ลักพาตัวเด็ก

ระวังภัยจากการล่อลวงเด็ก และแก๊งลักเด็ก

แม้ข่าวรถตู้ลักเด็กทำเอาคุณพ่อคุณแม่ขวัญผวา จะกลายเป็นแค่เรื่องลวงโลกที่ชอบแชร์ต่อๆ กันในโซเชียลมีเดีย แต่เหตุการณ์ ลักพาตัวเด็ก ก็ยังมีให้เห็นอยู่เนืองๆ ตามหน้าหนังสือพิมพ์ของบ้านเรา โดยเฉพาะข่าวใหญ่ที่สั่นสะเทือนใจเมื่อหลายปีก่อนกับข่าวน้องการ์ตูน วัย 6 ขวบ

Continue reading “ระวังภัยจากการล่อลวงเด็ก และแก๊งลักเด็ก”

    เด็กเก็บกด ส่งผลต่อความสุข และพัฒนาการ

    4 ข้อ ควรระวัง ถ้าไม่อยากให้ลูกเป็นเด็กเก็บกด

    เป็นเรื่องปกติที่คุณพ่อ คุณแม่ทุกคนก็คาดหวังในตัวลูก อยากให้ลูกเรียนเก่ง ประสบความสำเร็จในชีวิต จึงส่งเสริมให้ลูกน้อยเรียน จนบางครั้งก็หักโหมเกินไป การเรียนแบบนี้คงไม่ดีสักเท่าไหร่ เพราะลูกน้อยอาจกลายเป็น เด็กเก็บกด จากการกดดันเรื่องการเรียนของคุณพ่อ คุณแม่ไม่รู้ตัว

    เด็กเก็บกด ส่งผลต่อความสุข และพัฒนาการ

    มีกรณีตัวอย่างหนึ่งจากเว็บไซต์ huffingtonpost เป็นบทความของคุณแม่ที่มีประสบการณ์จริงในการเลี้ยงลูกให้เรียนเก่ง และประสบความสำเร็จในชีวิต คุณแม่มีลูกชายชื่อ “แซม” เขาเริ่มเรียนรู้ทักษะการอ่านเมื่อขึ้นชั้น ป.1 (7 ขวบ) เพราะคุณแม่เชื่อว่าช่วงวัยก่อน 7 ขวบ ควรให้ลูกน้อยได้เรียนรู้ทักษะอื่นๆ นอกเหนือไปจากตำราเรียน จนแซมกลายเป็นเด็กเรียนเก่ง ได้ใบปริญญามาให้คุณแม่ชื่นใจด้วยเกียรตินิยม เกรดเฉลี่ย 3.93 คุณแม่จึงแบ่งปันเคล็ดลับเลี้ยงลูกเรื่องการเรียนรู้ และระมัดระวังการบังคับลูกไม่ให้กลายเป็นเด็กเก็บกด

    1.อย่าจำกัดเวลาในการเล่นของลูก

    เก็บกดจากพ่อแม่
    ลูกเก็บกดจากพ่อแม่ ส่งผลต่อความสุข และพัฒนาการ

    เด็กเล็กๆ เรียนรู้ได้ด้วยการเล่น พวกเขาจะเรียนรู้ด้วยการขุด การเต้นรำ การสร้าง การเคาะ ไม่ใช่เรียนรู้จากหน้ากระดาษ และพวกเขาจะยังได้เรียนรู้การปฏิสัมพันธ์กับเด็กคนอื่นๆ เรียนรู้การแก้ไขปัญหา การทำงานเป็นทีม ทุกๆ สิ่งรอบตัวที่ลูกเล่นคือการเรียนรู้ เขาจะได้สนุกกับการเรียนรู้ทักษะการอ่าน การบวกลบเลขต่างๆ โดยที่พวกเขาไม่ทันได้สังเกต แต่คุณพ่อ คุณแม่ และคุณครูมักจำกัดเวลาเล่น และบังคับให้ลูกน้อยอ่านหนังสือ

    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

     

    2.อย่าจำกัดเวลาในการออกกำลังกายของลูก

    เก็บกดกดดัน
    ลูกเก็บกดจากพ่อแม่ ส่งผลต่อความสุข และพัฒนาการ

    เด็กเล็กๆ มักมีพลังเหลือล้น จนดูเหมือนไม่มีข้อจำกัด เขาจะเรียนรู้ได้ดีขึ้น เมื่อเขาได้เคลื่อนไหวร่างกาย และจากการวิจัยยังยืนยันอีกด้วยว่า เด็กที่มีการเคลื่อนไหว วิ่งเล่นไปรอบๆ และเล่น จะมีทักษะในการคิดที่ดีขึ้น และเพิ่มการทำงานของสมอง แต่คุณพ่อ คุณแม่ และคุณครูมักสั่งห้ามไม่ให้ลูกวิ่งเล่น เพราะกลัวจะหกล้ม กลัวเจ็บ กลัวชนคนอื่น

    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

     

    เลี้ยงลูกกดดัน
    ลูกเก็บกดจากพ่อแม่ ส่งผลต่อความสุข และพัฒนาการ

    คุณพ่อ คุณแม่ และคุณครูบางคน มักกดดันลูกน้อย เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนเข้าเรียนชั้นอนุบาล หรือชั้นประถมศึกษา ด้วยการฝึกให้ลูกน้อยทำแบบทดสอบต่างๆ จากการอ่านหนังสือ คือการท่องจำ แล้วทำแบบทดสอบ ไม่ได้ฝึกให้ลูกน้อยฝึกคิด และวิเคราะห์ด้วยตัวเอง ทำให้ลูกน้อยไม่เกิดกระบวนการในการเรียนรู้ ทั้งยังแสดงถึงความไม่ใส่ใจในตัวเด็กอย่างจริงจัง

    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

     

    4.อย่าทำให้ลูกรู้สึกท้อแท้ หรือล้มเหลว

    การเลี้ยงลูกแบบผิด ๆ
    ลูกเก็บกด จากพ่อแม่ ส่งผลต่อความสุข และพัฒนาการ

    พ่อแม่ทุกคนอยากให้ลูกประสบความสำเร็จในชีวิต แต่การคาดหวังในตัวลูกสูงเกินไป อาจทำให้พ่อแม่ผิดหวัง เมื่อลูกไม่สามารถทำในสิ่งที่พ่อแม่คิดไว้ได้ เขาจะรู้สึกท้อแท้ และล้มเหลวในชีวิต เขาจะเติบโตขึ้นมากับประสบการณ์ชีวิตที่ขุ่นมัว โดยเฉพาะเด็กวัยอนุบาลที่ต้องต่อสู้ และดิ้นรนในโรงเรียนที่มุ่งเน้นด้านการศึกษา ถ้าเขาทำไม่ได้ จะกลายเป็นความผิดหวัง ไปจนถึงจุดที่เขารู้สึกว่า “เกลียดโรงเรียน”

    เด็กเก็บกด
    เด็กเก็บกด ส่งผลต่อความสุข และพัฒนาการ

    อย่างไรก็ตาม การเรียนรู้ทักษะทางด้านวิชาการ ก็เป็นสิ่งสำคัญที่ปฏิเสธไม่ได้ แต่คุณพ่อ คุณแม่ก็อย่าลืมความสุขในการเรียนของลูกน้อย ลองหาแนวทางในการเรียน เน้นสอนในสิ่งที่ลูกชอบ และเหมาะสมกับเขามากที่สุด ลูกน้อยจะเกิดความกระตือรือร้นในการเรียนได้ด้วยตัวเองค่ะ

    อยากให้ลูกเรียนรู้อย่างสนุกสนาน เพื่อลูกฉลาด ดี และมีสุข

    แม่น้องเล็ก

    อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง คลิก!!

    กดดันเรื่องการเรียน ได้ผลเสียมากกว่าผลดี

    วิธีสอนลูกเรียนเก่ง เริ่มต้นได้ที่บ้าน

    ภาวะเครียดในเด็ก แก้ไขอย่างไร ?

    การเรียนลูก เป็นเพียงเรื่องของครู จบที่โรงเรียนจริงหรือ?

     

    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

    Save

      ห่มผ้าให้ลูก

      แม่ใจสลาย ลูกน้อยเสียชีวิตเพราะผ้าห่มคุณยาย

      คุณพ่อ คุณแม่เคย ห่มผ้าให้ลูก มั้ยคะ แน่นอนอยู่แล้วว่าทุกบ้านคงเคย แต่คุณพ่อ คุณแม่เริ่มห่มผ้าให้ลูกน้อยช่วงอายุเท่าไหร่กันเอ่ย? แม่น้องเล็กเคยเขียนเรื่องเกี่ยวกับ SIDS อาการเสียชีวิตแบบเฉียบพลันในทารก เรามาดูกรณีตัวอย่างอีกกรณีหนึ่งที่อาจทำให้ลูกน้อยเสียชีวิตได้เช่นกัน

      Continue reading “แม่ใจสลาย ลูกน้อยเสียชีวิตเพราะผ้าห่มคุณยาย”

        ขนมปังโฮลวีต

        ขนมปังโฮลวีต เลือกแบบไหน อย่างไรให้ลูกดี

        ขนมปังโฮลวีต แหล่งคาร์โบไฮเดรตให้พลังงานแก่ร่างกายและสามารถกินแทนข้าวได้ ซึ่งขนมปังที่คุณพ่อคุณแม่เคยเห็น มีทั้งแบบที่เป็นขนมปังขาว และขนมปังโฮลวีตที่มีสีน้ำตาลอ่อนๆ แล้วคุณแม่จะรู้ได้อย่างไรว่า ควรเลือกกินขนมปังแบบไหน ถึงจะได้ทั้งความอร่อยและมีประโยชน์มากกว่า? Amarin Baby & Kids มีคำตอบมาฝากค่ะ

        Continue reading “ขนมปังโฮลวีต เลือกแบบไหน อย่างไรให้ลูกดี”

          ช่วยลูกถูกไฟดูด

          รู้ไว้ใช่ว่า! 6 ขั้นตอน ช่วยลูกถูกไฟดูด (มีคลิป)

          อุบัติเหตุเกิดขึ้นได้หากเราประมาท และบ่อยครั้งที่ความประมาทนั้นมักจะเกิดขึ้นกับคนใกล้ตัว  กับลูก ๆ ที่น่ารักของพวกเรา และอุบัติเหตุนั้นก็มักจะเกิดขึ้นภายในบ้าน ยกตัวอย่างเช่น การที่ลูกถูกไฟดูด เราจะ ช่วยลูกถูกไฟดูด อย่างไรให้ปลอดภัยทั้งลูกและเรา

           

           

          จริงอยู่ที่คุณพ่อคุณแม่ป้องกันไม่ให้ลูกถูกไฟดูดด้วยการนำเอาอุปกรณ์ต่าง ๆ มาปิดรูปลั๊กไฟแล้ว แต่ถึงจะป้องกันอย่างไร หากลูกนำสื่อหรืออะไรก็แล้วแต่ที่มีฉนวนไฟฟ้าแหย่เข้าไปในรูปปลั๊กละก็ แน่นอนว่า สิ่งที่ไม่คาดคิดย่อมเกิดขึ้นตามมาแน่นอน และเราทุกคนก็ไม่อยากให้เกิดกับคนที่เรารักเลย เช่นเดียวกับภาพเตือนใจจากสมาชิกเฟซบุ๊กชื่อ Pravit Asawanonda พร้อมกับคำบรรยายใต้ภาพว่า

          ลูกถูกไฟดูด
          เครดิต: นพ. อภิชัย อังสพัทธ์

          วันนี้ภาพน่ากลัวนิดนึงนะครับ แต่อาจารย์ทาง ศัลยกรรมตกแต่ง ฝากเตือนมาว่า ในหลายๆ กรณีไฟช็อต ป้องกันได้ แต่ก็ยังปรากฏว่า เด็กๆยังเอาลวดไปแหย่ปลั๊กไฟ ฯลฯ …. ต้องฝากผู้ปกครอง สอนลูก สอนหลาน ด้วยนะครับ …. เสียนิ้ว ก็น่าเสียดาย แต่ถ้าถึงตาย ก็เสียใจกันทั้งครอบครัวนะครับ Cr ภาพ: นพ. อภิชัย อังสพัทธ์ #ประชาสัมพันธ์ #สมาคมแพทย์ผิวหนัง แห่งประเทศไทย #Dermatological_Society_of_Thailand # (DST) PR #แพทย์จุฬาฯ_เพื่อประชาชน

          คุณพ่อคุณแม่ทราบหรือไม่คะว่า ความรุนแรงของการถูกไฟดูดนั้น จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับจำนวนโวลต์และแอมแปร์ ของกระแสไฟฟ้าที่ผ่านเข้าสู่ร่างกาย ความต้านทานของเนื้อเยื่อที่กระแสไฟฟ้าผ่านเข้าไป ชนิดของกระแสไฟฟ้า และระยะเวลาที่สัมผัสกระแสไฟฟ้า เป็นต้น

          และถ้าหากได้รับการถูกไฟดูดอย่างรุนแรง จะทำให้เกิดอาการกล้ามเนื้อกระตุก เส้นประสาทชาไปทั่วร่าง หัวใจเต้นผิดจังหวะ หมดสติ และหยุดหายใจ กระแสไฟฟ้าจะทำลายเซลล์และเนื้อเยื่อต่าง ๆ ผิวหนัง กล้ามเนื้อ ระบบประสาท รวมถึงอวัยวะภายใน ซึ่งสาเหตุที่ทำให้เกิดการเสียชีวิตนั้น สืบเนื่องมาจากกระแสไฟฟ้าไหลผ่านหัวใจ ทำให้คลื่นหัวใจเปลี่ยนแปลงและหัวใจหยุดเต้นอย่างเฉียบพลัน

            ลูกท้องผูก ระบบขับถ่ายไม่ดี ของแบบนี้แก้ไขได้!

            เชื่อสิ! ว่าคนเป็นแม่แทบทุกคนต้องคอยแอบลุ้น แอบเบ่งตามทุกครั้งที่ ลูกท้องผูก หรือ เบ่งอึไม่ออก ก็แหมพ่อคุณแม่คุณเล่นเบ่งเอาหน้าดำหน้าแดงแบบนี้ จะให้คนเป็นแม่อย่างเราไม่รู้สึกห่วงกันได้อย่างไร

            แบบไหนเรียกว่า ลูกท้องผูก

            อุจจาระที่เป็นก้อนแข็ง อีกทั้งยังหมายถึงความยากลำบากขณะขับถ่าย และต่อให้ลูกขับถ่ายทุกวัน แต่เป็นก้อนเล็ก ๆ แข็ง ๆ ก็สามารถเรียกได้ว่า ลูกท้องผูก แล้วละค่ะ ปกติแล้วเด็ก ๆ จะถ่ายอุจจาระเฉลี่ยวันละ 4 ครั้ง ในช่วงอายุ 1 สัปดาห์แรก ไปจนถึงวันละ 2 ครั้ง เมื่ออายุ 2 ปี ช่วงนี้ปริมาณอุจจาระจะเพิ่มเป็น 10 เท่า และมีน้ำประมาณร้อยละ 75

            สำหรับเด็กที่มีอาการท้องผูกนั้น จะถ่ายออกมาเป็นก้อนเล็ก ๆ แข็ง ๆ หรือที่พวกเราคุ้นเคยกันดีว่า ลูกกระสุน ต้องเบ่งด้วยความยากลำบาก ทำให้มีอาการปวดท้อง จุกเสียด เนื่องจากอุจจาระตกค้างอยู่ในร่างกาย เด็กท้องผูกนั้นสามารถพบได้ในทุกช่วงวัย และพบมากที่สุดคือช่วงอายุประมาณ 6 เดือน – 4 ปี ซึ่งมีสาเหตุแตกต่างกันไปในเด็กแต่ละคน จากการเบ่งอุจจาระของลูกอาจทำให้เกิดอาการเจ็บก้น เขาจึงพยายามหยุดเบ่งโดยไม่รู้ตัว

            ปกติเด็กมักถ่ายอุจจาระทุกวัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กแรกเกิดที่กินนมแม่ อาจถ่ายวันละ 5 – 6 ครั้ง แต่เมื่อเด็กโตขึ้น ความถี่ของการถ่ายอุจจาระจะลดลง  ทำให้คุณพ่อคุณแม่เกิดความกังวลว่านี่คือ ลูกกำลังท้องผูกหรือไม่

            ลูกท้องผูก มีอาการอย่างไร?

            • ถ้าหากเคยถ่ายปกติทุกวันแล้วจู่ ๆ เกิดท้องผูกฉับพลันและมีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น มีประวัติอาเจียนเป็นน้ำดี และมีอาการปวดท้อง ท้องอืด ต้องนึกถึงภาวะอุดตันของทางเดินอาหาร กันก่อนเลยค่ะ โดยเฉพาะในทารกแรกเกิด ถ้าไม่ถ่ายขี้เทาใน 24 ชั่วโมงหลังคลอด อาจจะมีภาวะอุดกั้นของขี้เทาตั้งแต่แรกเกิด
            • สัญญาณความถี่ของการอุจจาระที่บ่งบอกว่าลูกท้องผูก คือการถ่ายอุจจาระน้อยกว่า 3 ครั้งใน 1 สัปดาห์ หรืออาจถ่ายทุกวันแต่ต้องเบ่งมากและอุจจาระแข็งอาจจะเป็นก้อนเล็ก ๆ คล้ายลูกกระสุนปืนอัดลมหรือก้อนใหญ่ ๆ ที่ทำให้มีอาการเจ็บปวดมากเวลาเบ่งถ่าย หรือบางครั้งอาจมีเลือดติดออกมาด้วยเพราะรูทวารฉีกขาด ซึ่งถ้าเป็นแบบนี้จะส่งผลให้ลูกจะรู้สึกกลัวการถ่ายอุจจาระจึงพยายามกลั้นเอาไว้ จนทำให้อุจจาระยิ่งมีขนาดใหญ่และแข็งมากขึ้นเรื่อย ๆ และเพิ่มความเจ็บปวดในการขับถ่ายในแต่ละครั้งได้
            • อาการท้องผูกที่ว่านี้มักจะไม่คอยพบในเด็กที่เลี้ยงด้วยนมแม่ เพราะการกินนมแม่นั้น ย่อยง่าย 

            อ่านสาเหตุที่ทำให้ลูกท้องผูกได้ที่หน้าถัดไป

              ลูกไม่ยอมพูด

              พ่อแม่ช่วยได้! หาก ” ลูกไม่ยอมพูด “

              ทำอย่างไรเมื่อ “ลูกไม่ยอมพูด” ทั้ง ๆ ถึงเวลาที่ควรจะเริ่มพูดได้แล้ว แบบนี้ผิดปกติหรือไม่ แล้วจะมีวิธีไหนช่วยลูกได้บ้าง ถ้าอยากรู้ ไปอ่านบทความนี้กันเลยค่ะ

               

               

              ปกติแล้ว เด็ก ๆ จะเริ่มพูดได้เมื่อไหร่?

              ในความเป็นจริงลูกของคุณพ่อคุณแม่นั้น มีพัฒนาการทางด้านภาษาตั้งแต่แรกเกิดแล้วละค่ะ เพียงแต่เป็นการแสดงออกในด้านของการส่งเสียงร้อง พอลูกมีอายุได้ 2 – 3 เดือน ก็จะเริ่มส่งเสียงอ้อแอ้ เหมือนพยายามจะคุยโม้กับคุณพ่อคุณแม่ หลังจากนั้นพัฒนาของลูกก็จะเริ่มมีมากขึ้นเรื่อย ๆ จนมีอายุได้ 5 – 6 เดือน คราวนี้ละค่ะ ลูกจะเริ่มเป่าฟอง เล่นน้ำลายในปาก พร้อมกับส่งเสียงในลำคออย่างสนุกสนาน จนในที่สุดลูกก็จะเริ่มออกเสียงเป็นคำพูดสั้น ๆ ได้ ถึงตอนนั้นแล้วลูกก็จะมีอายุได้ประมาณ 10 – 15 เดือนแล้วละค่ะ ซึ่งโดยคาดการณ์แล้ว ลูกของคุณพ่อคุณแม่ก็จะเริ่มพูดตอนมีอายุได้ประมาณ 1 ปีแล้วนั่นเอง

              แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่ลูกมีอายุครบ 2 ปีแล้วและลูกไม่ยอมพูดหรือพูดได้แค่คำศัพท์คำเดียว หรือสื่อสารกับคนอื่น ๆ ไม่ได้ แบบนี้ถือว่าเกิดบางสิ่งบางอย่างผิดปกติขึ้นกับลูกแน่นอนค่ะ ดังนั้น ถ้าหากคุณพ่อคุณแม่สังเกตเห็นว่า พัฒนาการทางภาษาของลูกนั้นไม่เหมือนกับเด็กคนอื่น ๆ ตามระยะเวลาที่ควรจะเป็นแล้วละก็ แนะนำให้ไปปรึกษาแพทย์ทันที 

              วิธีการสังเกตเพิ่มเติมก็คือ ให้คุณพ่อคุณแม่ลองดูว่า เวลาที่เราสื่อสารกับลูกนั้น ลูกเข้าใจหรือไม่ โดยให้ดูจากการพูดหรือสั่งเป็นหลัก เพราะธรรมชาติของเด็กที่มีอายุครบ 1 ปีนั้น เด็กจะสามารถทำตามคำสั่งง่าย ๆ และเข้าใจว่าคุณพ่อคุณแม่พูดอะไรค่ะ แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่ลูกไม่เข้าใจ ไม่สนใจ หรือขานชื่อเรียกแล้วลูกไม่แสดงอาการตอบรับละก็ เมื่อนั้นให้พาลูกไปพบแพทย์เพื่อปรึกษาแพทย์โดยทันทีเช่นกัน

                ลูกไม่ยอมพูด เพราะเป็นเด็กพูดช้าจริงหรือไม่ คลิกหาคำตอบได้ที่นี่


              เครดิต: โรงพยาบาลศิริราช

                รีไฟแนนซ์บ้าน

                เปิดโพย! รีไฟแนนซ์บ้านอย่างไร ไม่ให้ขาดทุน

                “รีไฟแนนซ์บ้าน” คืออะไร มีข้อเสียหรือไม่ แล้วแต่ละธนาคารมีโปรโมชั่นอะไร  ลงทุนไปแล้วจะขาดทุนหรือไม่ วันนี้เราจะไปเปิดโพยไปพร้อม ๆ กันค่ะ

                 

                 

                เมื่อการมีบ้านหรือคอนโดเป็นของตัวเอง คือความฝันอันสูงสุดของทุก ๆ คน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่กำลังจะสร้างครอบครัวหรือมีลูกแล้ว และเมื่อใดก็ตามที่คุณตัดสินใจจะลงทุน คุณก็ต้องยอมรับให้ได้ว่า คุณกำลังมีภาระอันหนักอึ้งในการสานฝันของคุณให้เป็นจริง แต่อย่างน้อยทางออกที่ว่านี้ก็ไม่ใช่ภาระเสมอไป เพราะเมื่อใดก็ตามที่คุณผ่อนบ้านหรือคอนโดไปได้สักพักหนึ่ง คุณก็สามารถที่จะทำการ รีไฟแนนซ์บ้านหรือคอนโดนั้นได้ไม่ยาก หากแต่ว่า ก่อนที่คุณจะทำนั้น คุณจะต้องทำความเข้าใจกับข้อมูลที่แท้จริงของการทำรีไฟแนนซ์ก่อน

                รีไฟแนนซ์ คือ อะไร

                คือ การเปลี่ยนแหล่งเงินกู้ โดยการไปกู้หนี้ที่ใหม่หรือที่เดิม เพื่อมาโปะหนี้ปัจจุบัน สั้น ๆ ง่าย ๆ ก็คือ การสร้างหนี้ใหม่เพื่อมาโปะหนี้เก่านั่นเอง สำหรับการรีไฟแนนซ์นั้น เราจะใช้ในกรณีที่เรารู้สึกว่าตอนนี้หมุนเงินไม่ทัน ทำอะไรไม่ค่อยคล่องเพราะกำลังแบกภาระที่หนักอึ้งนี้อยู่ ทำให้ธนาคารเกิดช่องทางเพื่อเป็นตัวช่วยให้กับบุคคลที่กำลังมองหาเงินสักก้อนมาโป่ะหนี้ก้อนปัจจุบันนั้น ยกตัวอย่างเช่น การรีไฟแนนซ์บ้าน คอนโด หรือรถ เป็นต้น

                ข้อดีของการทำรีไฟแนนซ์

                • ได้อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ใหม่ที่ถูกกว่า ทำให้เราผ่อนชำระได้ดอกเบี้ยถูกลงกว่าเดิม
                • บางกรณีอาจได้วงเงินกู้มากขึ้นกว่ายอดคงค้างเดิม
                • ลดภาระหนี้ ทำให้จำนวนเงินที่ต้องผ่อนต่อเดือนลดลง
                • ได้เงินส่วนต่างจากอัตราดอกเบี้ยที่ลดลง ทำให้มีเงินเหลือใช้จ่ายส่วนอื่นๆ ที่จำเป็นได้มากขึ้น สามารถนำไปหมุนเวียนใช้จ่ายหรือหมุนเวียนในธุรกิจได้

                 ข้อเสียของการทำรีไฟแนนซ์

                • ทำให้ระยะเวลาผ่อนชำระนานขึ้น
                • เสียค่าจัดรีไฟแนนซ์ใหม่ เสียค่าใช้จ่ายจิปาถะในการดำเนินการ เสียเวลา และอาจต้องเสียค่าปรับหากมีการไถ่ถอนก่อนกำหนด
                • มีความยุ่งยากในการเตรียมเอกสาร เช่น เอกสารเกี่ยวกับรายได้ของผู้กู้ หากปัจจุบันผู้กู้ตกงาน ไม่มีรายได้ ไม่สามารถหาเอกสารที่ยืนยันรายได้ของตนเอง อาจทำให้ไม่สามารถทำการรีไฟแนนซ์ได้

                ดูโปรโมชั่นการ รีไฟแนนซ์บ้านของแต่ละธนาคาร คลิก!


                เครดิต: ธนาคารกรุงศรีอยุธยา และ Poolprop

                  ลูกจำหน้าแม่ได้

                  4 สัญญาณบอกว่า ” ลูกจำหน้าแม่ได้ ” แล้ว

                  หนึ่งในคำถามท็อปฮิตที่คุณแม่มือใหม่หลาย ๆ ท่านสงสัยและอยากรู้กันมากที่สุดก็คือ “ลูกจำหน้าแม่ได้ เมื่อไหร่?” จะจำได้ตั้งแต่ 2 – 3 สัปดาห์แรกกเลยไหม? และแท้จริงแล้วลูกจะสามารถเริ่มมองเห็นได้เมื่อไหร่ หากคำถามพวกนี้เป็นคำถามที่คุณแม่กำลังต้องการคำตอบอยู่ละก็ ไปค้นหาคำตอบนั้นพร้อม ๆ กันเลยค่ะ

                   

                  ก่อนอื่นคุณแม่ทราบกันหรือไม่คะว่า ลูกของเรานั้นเริ่มมองเห็นกันได้ตั้งแต่เมื่อไหร่? จริง ๆ แล้วนั้นพัฒนาทางด้านการเรียนรู้และความสามารถในการจดจำของลูกนั้น เริ่มพัฒนาตั้งแต่พวกเขาอยู่ในครรภ์ของคุณแม่แล้วละค่ะ และจะเริ่มพัฒนาอย่างรวดเร็วในช่วงอายุครรภ์ 23-29 สัปดาห์ ในขณะที่ลูกอยู่ในครรภ์ หากคุณแม่ฟังเพลงที่ชอบบ่อย ๆ ลูกก็จะเกิดความคุ้นเคยพร้อมทั้งดิ้นตอบรับเพลงดังกล่าวนั้น เช่นเดียวกับหากลูก ๆ คลอดออกมาแล้ว เวลาที่ลูกงอแง เพียงแค่คุณแม่เปิดเพลงที่ชอบ ลูกก็จะหยุดร้องได้ทันที

                  เมื่อลูกมีอายุครบ 2เดือน สายตาของลูกเริ่มมีการพัฒนาเพิ่มขึ้นแล้วและเริ่มมองเห็นรายละเอียดและลักษณะเฉพาะของใบหน้ามากขึ้น ลูกสามารถเริ่มจดจำว่าตาของคุณแม่สีอะไร ลักษณะของจมูก และปาก เป็นแบบไหน ในขณะเดียวกันลูกก็เริ่มสังเกตและจดจำใบหน้าของคุณพ่อได้ด้วย ทารกในช่วงวัยนี้จะจำคุณพ่อคุณแม่ได้แม้ว่าทั้งคู่จะแต่งตัวต่างไปจากทุกวันหรือตัดผมทรงใหม่ ลูกก็ยังจำได้ ซึ่งต่างจากช่วงแรกที่ลูกยังจดจำเฉพาะภาพรวมของคุณพ่อคุณแม่

                  และลูก ๆ ก็จะเริ่มจดหน้าแม่ได้ในช่วงอายุระหว่าง 3 – 5 เดือน และด้วยความใกล้ชิดและความผูกพันที่แสนวิเศษทำให้ลูกจำคุณแม่ได้ทันทีเมื่อเจอหน้า เพราะถ้าหากเป็นคนอื่นละก็ ลูกจะนิ่งไม่แสดงออกมา เพราะไม่คุ้นเคย อาจจะต้องใช้เวลาสักพักถึงจะยิ้มให้ นอกจากใบหน้าของคุณแม่และคนในครอบครัวแล้ว ยังรวมถึงการจดจำสภาพแวดล้อมต่าง ๆ รอบตัวได้อีกด้วย ยกตัวอย่างเช่น เสียงสุนัขที่บ้านเห่า ของเล่น หรือข้าวของเครื่องใช้ เป็นต้น

                  ส่วนในช่วง 5 – 8 เดือนนั้น เป็นช่วงของการเรียนรู้และอยากเล่นสนุก ไม่สำคัญว่าจะเป็นการเล่นกับคน สัตว์เลี้ยง ของเล่นชิ้นโปรด หรือแม้แต่ข้าวของเครื่องใช้ประจำวัน ลูกก็จดจำได้หมดแล้ว  อีกทั้งยังรู้ด้วยว่า พวกเขาชอบเล่นกับใคร และจะตื่นเต้นทุกครั้งที่ได้ไปตามสถานที่ใหม่ ๆ ที่พวกเขายังไม่คุ้นเคย และจะแสดงออกผ่านทางสีหน้า แววตา และเสียงหัวเราะชอบใจ

                  จะรู้ได้อย่างไรว่า ลูกจำหน้าแม่ได้ แล้ว? อยากรู้คลิกเลย!


                  เครดิต: pigeon

                    สร้างวินัยเด็กอนุบาล

                    สร้างวินัยเด็กอนุบาล อย่างไร? ให้ได้ผลดี

                    แพทย์ระบุ ” สร้างวินัยเด็กอนุบาล อายุ 3 ขวบนั้นสำคัญกว่าการฝึกอ่าน-ออก-เขียน “ เหตุเพราะกล้ามเนื้อมัดเล็กยังทำงานได้ไม่เต็มที่ ควรปล่อยขีดเขียนอิสระ ไม่ต้องกังวลอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้

                     

                    แพทย์หญิงกาญจนา คูณรังษีสมบูรณ์ รองผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาการเด็กราชนครินทร์ จ.เชียงใหม่ กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า การปรับอายุเด็กเล็กให้เข้าเรียนอนุบาลโดยเริ่มที่ 3 ขวบนั้น ต้องถามว่า หลักสูตรในการเรียนการสอนคืออะไร เพราะปัจจุบันการเรียนการสอนระดับชั้นอนุบาลของสถานศึกษาแต่ละแห่งก็มีความแตกต่างกัน การนำเด็ก 3 ขวบเข้ารับการศึกษานั้น สิ่งที่สอนควรเป็นเรื่องของการฝึกระเบียบวินัยให้รู้จักช่วยเหลือตัวเองพร้อมกับการฝึกเข้าสังคม เพราะการฝึกพื้นฐานเหล่านี้ตั้งแต่เด็กจะช่วยปลูกฝังพวกเขาให้เป็นผู้ใหญ่ที่ดีและมีคุณภาพในวันข้างหน้า

                    แพทย์หญิงกาญจนายังกล่าวเพิ่มเติมอีกว่า การบังคับให้ลูกเรียนเขียนอ่านตั้งแต่อายุยังน้อยโดยกังวลว่าลูกจะอ่านออกเขียนไม่ได้นั้นเป็นเรื่องที่ไม่น่ากังวลมากเท่ากับการไม่ฝึกสร้างวินัยให้เด็กได้รู้จักช่วยเหลือตัวเอง รวมทั้งเป็นการปิดกั้นจินตนาการของพวกเขาอีกด้วย ไม่ต้องกังวลว่าลูกจะอ่านหรือเขียนไม่ได้ เพราะตามอายุแล้วให้เด็กเริ่มเรียนเขียนอ่านตอนมีอายุ 5 ขวบ

                    และสำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่ต้องการฝึกให้ลูกเป็นเด็กสองภาษานั้น ก็สามารถทำได้โดยยึดหลักการคล้ายกัน นั่นก็คือ การพยายามใช้ภาษาที่สองกับลูกในชีวิตประจำวัน เด็กจะได้รู้สึกถึงความแปลกใหม่ของภาษาอีกทั้งยังได้เรียนรู้ไปพร้อม ๆ กันได้อีกด้วย

                    “เด็กวัย 3 ขวบ ยังอยู่ในช่วงของการพัฒนากล้ามเนื้อมัดเล็ก การให้ฝึกขีดเขียนอย่างอิสระ ก็จะช่วยฝึกการทำงานของกล้ามเนื้อมัดเล็กให้ดีขึ้น แต่การบังคับให้เขาเขียนตามเส้นปะเลย ด้วยความที่กล้ามเนื้อมัดเล็กของเขายังทำงานได้ไม่เต็มที่ ก็จะเป็นการฝืนธรรมชาติของเด็กเกินไป และวัยนี้ควรให้เขาได้เล่นอย่างอิสระเพื่อฝึกพัฒนาการต่าง ๆ จะเป็นผลดีกับลูกมากกว่าการจับมานั่งฝึกเขียนอ่าน ซึ่งอาจทำให้ขาดพัฒนาการด้านอื่น ๆ” แพทย์หญิงกาญจนา กล่าว

                    คลิกอ่าน 3 ดี ที่จะมาช่วยสร้างวินัยให้เด็กได้ที่หน้าถัดไป


                    เครดิต: Manager Online

                      10 วิธีฝึกลูกช่วยเหลือตัวเอง สร้าง EF มี Self-Esteem

                      วิธีฝึกลูกช่วยเหลือตัวเอง เป็นเรื่องที่คุณแม่ๆ ถามกันเข้ามามากค่ะว่า พอจะมีวิธี หรือเทคนิคง่ายๆ สำหรับใช้ฝึกลูกตั้งแต่ เล็กๆ ให้เขาสามารถช่วยเหลือตัวเองได้บ้างหรือเปล่า ถามมาแบบนี้ ทีมงาน Amarin Baby & Kids มี 10 วิธีช่วยลูกในการให้  เขาได้รู้จักการช่วยเหลือตัวเองจากเรื่องเล็กๆ ในชีวิตประจำวันมาฝากกันค่ะ

                       

                      วิธีฝึกลูกช่วยเหลือตัวเอง มีประโยชน์อย่างไร?  

                      คุณพ่อคุณแม่ทราบหรือไม่ว่ามี วิธีฝึกลูกช่วยเหลือตัวเอง อยู่หลากหลายวิธีซึ่งล้วนแล้วมีแต่ประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นกับตัวของ  เด็กๆ เอง ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของ…   

                      • ได้ฝึกพัฒนาการกล้ามเนื้อมัดเล็ก
                      • ได้ฝึกการเรียนรู้ที่จะแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าที่เกิดขึ้น
                      • ได้ฝึกการคิด แยกแยะ วิเคราะห์
                      • ได้ฝึกความรับผิดชอบกับเรื่องตัวส่วนเล็กๆ น้อยๆ ด้วยตัวเอง

                      คุณพ่อคุณแม่สามารถฝึกลูกให้รู้จักช่วยเหลือรับผิดชอบตัวเองได้ในหลายๆ เรื่องตั้งแต่ที่พวกเขายังเป็นเด็กเล็กๆ ซึ่งช่วงวัยที่ดีที่สุดในการฝึกก็คืออายุ 3-4 ขวบขึ้นไป เพราะเป็นวัยที่เด็กๆ จะรู้เรื่องและเข้าใจกับทุกสิ่งอย่างได้ดีมากขึ้นแล้ว โดยเฉพาะก่อนหน้าที่จะส่งลูกเข้าเรียนอนุบาล การเตรียมพร้อมให้ลูกได้รู้จักการช่วยเหลือรับผิดชอบตัวเองได้ไม่ว่าจะเป็น การตักข้าว ทานเอง การใช้ห้องน้ำในการขับถ่าย การใส่ถุงเท้า รองเท้าได้เอง การติดกระดุมเสื้อ การแปรงฟัน ฯลฯ การฝึกให้ลูกรู้จักช่วยเหลือตัวเอง นั้นได้ประโยชน์และผลดีต่อตัวของเด็กๆ อย่างมาก เพราะพวกเขาจะได้ในเรื่องของระเบียบวินัย ความรับผิดชอบ เป็นต้น เอาเป็นว่าเราลองไปดูเคล็ดลับวิธีฝึกลูกให้รู้จักช่วยเหลือตัวเองที่เป็นประโยชน์พร้อมๆ กันค่ะ

                      อ่านต่อ 10 วิธีฝึกลูกให้รู้จักช่วยเหลือตัวเอง หน้า 2

                      เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                        10 วิธีรับมือ “ลูกดื้อ” ตามแบบฉบับคุณแม่ยุคใหม่!

                        หมดยุคแล้วกับการลงโทษด้วยการตบตีทุกครั้งที่ ลูกดื้อ เพราะยุคนี้คือ ยุคใหม่ที่คุณแม่ส่วนใหญ่เลือกที่จะใช้เหตุผล หรือการลงโทษลูกด้วยวิธี Time Out แทน แต่ในความเป็นจริง คุณแม่ ๆ ทราบกันหรือไม่คะว่า วิธีการรับมือเวลาที่ “ลูกดื้อ” นั้นมีมากมาย และแต่ละวิธีก็ไม่ได้ยากสำหรับคุณแม่ยุคใหม่เลย

                        แต่ก่อนที่เราจะไปดูวิธีการรับมือเวลาที่ “ลูกดื้อ” นั้น เรามาทำความรู้จักกับสาเหตุของการแสดงออกถึงพฤติกรรมี่ไม่น่ารักนี้กันก่อนค่ะ

                        ทำไมลูกถึงดื้อ?

                        • ดื้อตามวัย เมื่อไหร่ก็ตามที่ลูกมีอายุ 2 ขวบ พวกเขาจะเริ่มมีความเป็นตัวของตัวเอง รักอิสระมากขึ้น ไม่ชอบให้ใครมาบังคับ และแน่นอนว่า จะเริ่มต่อต้านสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่บอกให้ทำ จนก่อให้เกิดพฤติกรรมที่ไม่น่ารักนั่นก็คือ การร้องอาละวาดและเอาแต่ใจตัวเอง เป็นต้น
                        • ควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ ด้วยความที่ลูกยังเด็ก นอกจากพวกเขาจะยังไม่สามารถที่จะสื่ออารมณ์ความรู้สึกตอนนั้นออกมาได้แล้ว พวกเขายังไม่รู้จักแม้แต่วิธีการควบคุมตัวเองอีกด้วย ส่งผลให้คุณพ่อคุณแม่มองว่า ลูกเป็นเด็กขี้โวยวาย หรือดื้อเงียบ เป็นต้น
                        • สิ่งแวดล้อมรอบข้าง คุณพ่อคุณแม่ต้องสังเกตสิ่งแวดล้อมรอบตัวว่ามีอะไรที่เป็นตัวกระตุ้นหรือส่งผลต่อพฤติกรรมของลูกหรือไม่ ยกตัวอย่างเช่น ในโรงเรียนที่มีเด็ก ๆ อยู่มาก แน่นอนว่า พวกเขาก็จะมีการทะเลาะหรือแย่งของเล่นกันบ้าง ทำให้ลูกอาจจะซึมซับพฤติกรรมเหล่านั้นมาจนกลายเป็นเด็กที่มีพฤติกรรมก้าวร้าวก็เป็นได้
                        • สภาพจิตใจ เด็กที่ได้รับการเลี้ยงดูอย่างไม่เหมาะสม ถูกปล่อยปละละเลย รู้สึกขาดความรักและความอบอุ่น ทำให้พวกเขาเรียกร้องความสนใจของคนรอบข้างด้วยการแสดงออกถึงพฤติกรรมที่ดูแล้วไม่น่ารัก เพราะรู้ว่าหากแสดงออกไป คุณพ่อคุณแม่จะต้องให้ความสนใจกับพวกเขาแน่นอน

                        อ่าน 10 วิธีรับมือลูกดื้อได้ที่หน้าถัดไป

                        เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                          ยุติการตั้งครรภ์

                          ยุติการตั้งครรภ์ ความจริงที่คุณแม่ยากจะเผชิญ

                          ยุติการตั้งครรภ์ ถือเป็นข่าวร้ายที่คุณแม่ทุกคนไม่อยากจะได้ยิน คุณแม่หลายท่านอาจจะสงสัยว่ามีปัจจัยอะไรบ้างที่ทำให้ต้องยุติการตั้งครรภ์และควรจะปฏิบัติตัวอย่างไรหลังยุติการตั้งครรภ์ เราจะมาพูดคุยกันในบทความนี้ค่ะ

                          การยุติการตั้งครรภ์คืออะไร

                          การยุติการตั้งครรภ์ หมายถึงการที่คุณแม่จะไม่สามารถตั้งครรภ์ต่อไปได้ อาจจะเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น  ตัวอ่อนในครรภ์ถูกขับออกจากมดลูกก่อนถึงเวลาอันสมควร ทารกในครรภ์จึงไม่สามารถมีชีวิตอยู่ หากเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น คุณแม่มักมีอาการเลือดออกทางช่องคลอดจำนวนมากพร้อมกับอาการปวดท้องและปวดหลัง  ถ้าคุณแม่ประสบกับอาการเหล่านี้ ควรรีบไปพบคุณหมอเพื่อตรวจสอบถึงความผิดปกตินะคะ

                          อย่างไรก็ตาม ในบางกรณี แม้ว่าคุณแม่จะไม่มีอาการเลือดออกทางช่องคลอด ด้วยปัญหาทางสุขภาพของคุณแม่หรือทารกในครรภ์ คุณหมออาจจะประเมินแล้วว่า คุณแม่ควรจะยุติการตั้งครรภ์  มิฉะนั้นแล้ว อาจจะเกิดผลเสียกับคุณแม่และลูกน้อย ในบางกรณีอาจถึงขั้นเป็นอันตรายต่อชีวิตได้ค่ะ

                          ปัญหาสุขภาพที่ทำให้ต้อง ยุติการตั้งครรภ์

                          ปัญหาสุขภาพที่ทำให้ต้องยุติการตั้งครรภ์ แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ ปัญหาสุขภาพของทารกในครรภ์ และปัญหาสุขภาพของคุณแม่ค่ะ

                          ปัญหาสุขภาพของทารกในครรภ์

                          สาเหตุหนึ่งที่คุณแม่ต้องยุติการตั้งครรภ์ คือ ทารกในครรภ์มีสุขภาพไม่แข็งแรง มีความผิดปกติทางร่างกาย เช่น

                          • ความบกพร่องทางกระดูกสันหลัง (Spina Bifida)
                          • ภาวะไม่มีสมองและกะโหลกศีรษะ (Anencephaly)
                          • แฝดติดกัน (Conjoined twins)
                          • ความผิดปกติเกี่ยวกับไต
                          • ความผิดปกติทางด้านโครโมโซม

                          ปัญหาสุขภาพของคุณแม่

                          ปัญหาสุขภาพของคุณแม่ที่ทำให้ไม่สามารถตั้งครรภ์ต่อไปได้ เช่น

                          เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                           

                          อ่านต่อ อาการที่พบบ่อย หลังยุติการตั้งครรภ์ คลิกหน้า 2

                            อาหารเช้าสร้างพลังสมอง อารมณ์ดีตลอดวัน

                            เด็กๆ ที่ได้ทานอาหารเช้าก่อนออกไปเรียน หรือออกไปทำกิจกรรมต่างๆ จะช่วยให้สามารถเรียนรู้ และทำทุกกิจกรรมออกมาได้อย่างมีประสิทธิภาพ นั่นเพราะอาหารเช้าที่มีประโยชน์ จะให้ทั้งพลังงานและสารอาหารต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย จึงทำให้ลูกพร้อมในทุกวัน แล้ว เมนูอาหารเช้าสร้างพลังสมอง แบบไหนถึงจะเหมาะกับเด็กๆ คุณแม่อยากรู้กันแล้วใช่ไหมคะ ถ้าอย่างนั้นไปทราบพร้อมกันค่ะ

                            อาหารเช้าสร้างพลังสมอง
                            อาหารเช้ามีบทบาทสำคัญต่อการเจริญเติบโต และพัฒนาการของเด็กในทุกด้าน ยิ่งโดยเฉพาะพัฒนาการด้านร่างกาย และพัฒนาการด้านสมอง ที่เด็กต้องใช้ในการเรียนรู้ และจดจำเรื่องราวต่างๆ ที่มีเรื่องใหม่เข้ามาให้เรียนรู้ในทุกวันตามช่วงวัยของพวกเขา ซึ่งอาหารคือหนึ่งในปัจจัย 4 ที่จำเป็นอย่างมากต่อเด็กทุกคนควรจะได้รับในปริมาณที่เหมาะสมสมดุลกัน มีคุณค่าสารอาหารหลากหลาย ซึ่งโภชนาการที่ดีสำหรับเด็กคือต้องอยู่ในสัดส่วนของอาหารหลัก 5 หมู่ และร่างกายควรจะได้รับทั้ง พลังงาน คาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมัน วิตามินและเกลือแร่

                            ทำไมต้องให้ลูกกินอาหารเช้า มื้อเช้าดีต่อสมองลูกอย่างไร?
                            คุณแม่เคยตื่นเช้าขึ้นมา แล้วออกไปทำงานทั้งที่ไม่ได้ทานอาหารเช้ากันบ้างไหมคะ ถ้าเคยกันล่ะก็เชื่อว่าคุณแม่ต้องมีอาการเชื่องช้า จะทำอะไร จะคิดอะไรก็คิดไม่ค่อยออก เพราะสมองไม่แล่น ซึ่งสาเหตุบอกได้เลยว่าเป็นเพราะคุณแม่ไม่ทานอาหารเช้าก่อนมาทำงานนั่นเองค่ะ

                            เด็กๆ ก็เหมือนกันยิ่งถ้ากำลังอยู่ในช่วงวัยเรียน การทานอาหารเช้ามีความสำคัญอย่างมาก นั่นเพราะถ้าไม่ทานอาหารเช้า จะทำให้สมองเรียนรู้ช้า เซื่องซึม ไม่มีสมาธิ

                            เด็กที่ไม่ได้ทานอาหารเช้าจะทำให้ร่างกายขาดอาหารยาวนาน นับตั้งแต่มื้อเย็นจนถึงมื้อเช้าของวันใหม่ ซึ่งจากการไม่ทานอาหารเช้าผลก็คือ ร่างกายลูกก็จะขาดน้ำตาลในเลือด ซึ่งน้ำตาลในเลือดเป็นอาหารพลังงานของสมองที่จะทำให้สมองเรียนรู้ คิด จดจำได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ถ้าน้ำตาลไปเลี้ยงสมองน้อยลงก็จะทำให้สมองเรียนรู้ช้า ลูกก็จะรู้สึกไม่กระปรี้กระเปร่า ไม่ตื่นตัว เรียนไม่รู้เรื่อง

                            ดังนั้นหากอยากให้สมองลูกทำงานดี คุณแม่ ควรเตรียมเมนูอาหารสร้างพลังสมอง ให้ลูกทานทุกเช้ากันด้วยนะคะ

                            ถ้าเลือกอาหารเช้าจากโกโก้ครั้นช์จะได้สารอาหารที่มีประโยชน์กับร่างกายลูกหรือไม่
                            สำหรับคุณแม่ที่ต้องออกไปทำงานนอกบ้าน แล้วต้องดูแลทุกคนในบ้านไปด้วยพร้อมกัน เชื่อว่าทุกเช้าในสัปดาห์ของวันทำงานคุณแม่ต้องยุ่งมากไหนจะต้องจัดการธุระส่วนตัวของตัวเอง แล้วยังต้องรีบมาจัดแจ้งเตรียมตัวให้ลูกอีก ยิ่งโดยเฉพาะอาหารเช้า ที่เข้าใจเลยค่ะว่า บางวันคุณแม่ไม่เวลาทำอาหารเช้าให้ลูก แต่ก็ไม่อยากให้ลูกพลาดการทานมื้อเช้า

                            คุณแม่จึงอาจสงสัยว่าแล้วถ้าจะให้ลูกทานโกโก้ครั้นช์เป็นอาหารเช้า แล้วจะได้คุณค่าสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายของลูกหรือเปล่า  ตอบเลยค่ะว่าโกโก้ครั้นช์ เป็นอีกหนึ่งทางเลือกอาหารเช้าที่เหมาะกับเด็กๆ เพราะโกโก้ครั้นช์ทำมาจากโฮลเกรนหรือ ธัญพืชเต็มเมล็ดที่ไม่ผ่านการขัดสี หรือผ่านการขัดสีน้อยมาก  จึงยังมีส่วนประกอบของธัญพืชครบทั้ง 3 ส่วน คือ เยื่อหุ้มเมล็ด เนื้อข้าว และจมูกข้าว โฮลเกรนจึงมีคุณค่าทางโภชนาการให้ประโยชน์ต่อสุขภาพ เพราะทุกส่วนของเมล็ดข้าวยังอยู่ครบ ทำให้คุณประโยชน์ที่อยู่ในจมูกข้าว และเยื่อหุ้มเมล็ดยังคงอยู่ ไม่ถูกขัดสีออกไป เหมือนธัญพืชขัดสีที่จะเหลือเพียงส่วนเนื้อข้าว

                            นอกจากนี้ แนะนำให้คุณแม่เติมนมจืดที่ให้แคลซียม และ ผลไม้สดเช่น สตรอเบอร์รี กีวี่ ให้มื้อเช้ามีประโยชน์ยิ่งขึ้น เพียงเท่านี้ลูกก็อิ่มพร้อมออกไปเรียนรู้ และทำกิจกรรมสนุกสร้างสรรค์ตลอดวันแล้วค่ะ

                              เมนูต้านหวัด

                              เปิดสุดยอด “เมนูต้านหวัด” ที่พ่อแม่ไม่ควรพลาด!

                              ช่วงนี้อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย เดี๋ยวฝนตก เดี๋ยวแดดออก บางวันเล่นเอาครบ 3 ฤดูเสียอย่างนั้น แล้วแบบนี้จะไม่ให้ลูกรักของคุณพ่อคุณแม่ไม่เป็นหวัดได้อย่างไร งานนี้คงนอกจากจะต้องดูแลร่างกายของเราเป็นอย่างดีแล้ว การบำรุงด้วยอาหารต้านหวัดก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม ซึ่งวันนี้ทีมงาน Amarin Baby & Kids ก็ได้นำเอา เมนูต้านหวัด ที่นอกจากจะทำง่ายแล้วยังอร่อยอีกด้วยมาฝากคุณพ่อคุณแม่ทุกท่านกันค่ะ

                              เมนูต้านหวัด เมนูแรกที่นำมาฝากก็คือ โยเกิร์ต

                              เมนูต้านหวัด โยเกิร์ต

                              โยเกิร์ตนั้นเต็มไปด้วยสิ่งที่มีชีวิตและจุลินทรีย์ขนาดเล็กนับล้าน ๆ ตัว ที่จะคอยช่วยปกป้องร่างกายของเราจากเชื้อแบคทีเรียและไวรัสที่จะมาแทรกแซงจนทำให้ร่างกายเริ่มอ่อนแอและเป็นไข้หวัดได้ในที่สุด อีกทั้งโปรไบโอดิกส์ ทั้งแล็กโตบาซิลลัสและไบโฟแบคทีเรียม ที่นอกจากจะไปช่วยเพิ่มเม็ดเลือดขาวในร่างกายแล้ว ยังไปช่วยป้องกันเชื้อโรคได้อีกด้วย … สำหรับคุณพ่อคุณแม่ท่านไหนที่ชอบเข้าครัว วันนี้เราก็มีวิธีการทำโยเกิร์ตมาฝากกันด้วยนะคะ

                              สิ่งที่ต้องเตรียม

                              • น้ำนมวัวแท้ 1 แก้ว หรืออาจจะเป็นนมยี่ห้ออื่นที่มีรสชาติค่อนข้างมัน
                              • โยเกิร์ตรสธรรมชาติยี่ห้อที่ลูกชื่นชอบ
                              • หม้อสแตนเลสใบขนาดที่สามารถวางขวดโยเกิร์ตขนาดเล็กลงไปได้
                              • ขวดแก้วขนาดประมาณ ทานอิ่มต่อ 1 ครั้ง ไม่ให้สูงเกินหม้อสแตนเลสใบนั้น

                              วิธีการทำ

                              homemade yogurt how to

                              ขั้นตอนที่ 1: ห้คุณแม่นำโยเกิร์ตมาวางทิ้งไว้ให้หายเย็น หลังจากนั้น ให้อุ่นนมด้วยไมโครเวฟ โดยใช้ไฟอ่อนนาน 3 นาที แล้วนำออกมาวางผึ่งทิ้งไว้ประมาณ 2-3 นาที แล้วเติมโยเกิร์ตที่หายเย็นแล้วลงไปประมาณ 1 ช้อนโต๊ะ คนให้ละลายเป็นเนื้อเดียวกัน (อย่าใส่เยอะมากนะคะ เพราะอาจจะทำให้โยเกิร์ตเปรี้ยวเกินไป)

                              ขั้นตอนที่ 2: นำนมที่ผสมเสร็จแล้ว ตักใสขวดแก้วที่เตรียมไว้

                              ขั้นตอนที่ 3: ใส่น้ำร้อนในหม้อสแตนเลส ให้อุณหภูมิประมาณพอร้อน แล้วนำขวดโยเกิร์ตวางเรียงปิดฝา ทิ้งเอาไว้ ประมาณ 4-6 ชั่วโมง มาถึงขั้นตอนนี้ คุณแม่ห้ามเอียงขวดเด็ดขาดนะคะ
                               
                              เพียงเท่านี้คุณแม่ก็จะได้โยเกิร์ตโฮมเมดมาช่วยเสริมภูมิคุ้มกันหวัดให้กับลูกแล้วละค่ะ

                              เครดิต: Cosmenet
                                ลูกขาดอากาศหายใจ

                                แม่โพสต์เตือน! หลัง ลูกขาดอากาศหายใจ เพราะนอนคว่ำ

                                เป็นที่น่าสลดหดหู่ใจอีกครั้งกับข่าวคราวการจากไปของทารกวัยเพียง 3 เดือนกว่า ที่คุณแม่จับให้ลูกนอนคว่ำจน ลูกขาดอากาศหายใจ บนที่นอน

                                เรียกได้ว่าเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างหนักภายหลังจากที่ Drama-addict ได้โพสต์ข่าวคราวการจากไปของทารกวัย 3 เดือน กับสองวัน ที่คุณแม่ได้แชร์เตือนครอบครัวอื่นเพื่อเป็นอุทาหรณ์ของการปล่อยให้ลูกนอนคว่ำตั้งแต่อายุยังน้อย โดยคุณแม่เล่าว่า

                                ####เตือนแม่ๆทุกคนนะคะ ####
                                #การปล่อยลูกน้อยนอนคว่ำ เราคนนึงค่ะที่ปล่อยน้องนอนคว่ำตั้งแต่สะดือหลุดได้12วัน น้องมีพัฒนาการดีแข็งแรงทุกอย่าง กลับหน้าเองตลอด ตั้งแต่เริ่มนอนคว่ำ จน3เดือนค่ะ จนน้องพลิกกลับมาหงายเอง ชูคอเอง เพราะความชะล่าใจของแม่ค่ะ พอน้องอายุได้แค่ 3เดือนกับ2วัน วันนั้นแม่นั่งรีดผ้าอยู่หน้าห้องแม่เทียวดูน้องทุก30นาที พอเวลา 1.30 คุณแม่เข้าไปดูน้องครั้งสุดท้ายจับน้องว่าฉี่ไหม น้องก็กลับหน้าขยับตัวอยู่เลยค่ะ และพอเวลา 02.00 แม่เข้าไปอีกครั้งเพื่อจะปลุกน้องขึ้นมากินนม จับน้องที่กำลังนอนคว่ำหน้า แต่น้องกับไม่ขยับตัว คุณแม่เริ่มใจสั่นและรีบดูว่าน้องมีอะไรปิดจะหมูกไหม แต่ไม่ค่ะ พอดูหน้าน้องกับคว่ำลงไปกับที่นอน น้องเริ่มซีด ตาโรย คุณแม่กับคุณพ่อรีบอุ้มน้องขึ้นรถ ทั้งผายปอดทั้งปั๊มหัวใจลูก ไปจนถึงโรงบาล หมอก็พยายามช่วยเต็มที่ค่ะ และแล้วน้องก็ต้องจากคุณพ่อกับคุณแม่ไปค่ะ ด้วยความที่เป็นลูกคนแรกหมอช่วยยื้ออยู่3 ชม. เต็มค่ะ จนหมอบอกกับแม่ว่าให้ปล่อยน้องไปนะคะคุณแม่เพราะหมอทำทุกวิถีทางแล้ว หัวใจน้องไม่ตอบสนอง เท่านั้นแหละค่ะแม่แทบล้มทั้งยืน ทำอะไรไม่ถูก เลยค่ะ พอเห็นแม่ๆลงรูปลูกนอนคว่ำหน้าทีไรรุ้สึกกลัวทุกทีค่ะ ####อยากให้แม่ๆดูแลน้องอย่างใกล้ชิดอย่าละห่างสายตานะคะ เพราะบางทีเค้าไม่มีเสียงร้องอะไรเลย เพื่อเตือนเรา พอจะรู้อีกทีก็สายไปแล้ว#### 

                                ซึ่งงานนี้เรียกได้ว่า เหล่าคุณพ่อคุณแม่หรือแม้แต่คนที่ไม่มีลูกเองนั้นได้เข้ามาแสดงความคิดเห็นกันอย่างไม่หยุดหย่อน บ้างก็ว่า สาเหตุเพราะคุณแม่อาจจะอยากให้ลูกมีหัวสวย หัวทุย เลยหัดให้ลูกนอนคว่ำตั้งแต่ยังเล็ก เป็นต้น

                                ด้วยความรักและเป็นห่วงกับทุก ๆ ครอบครัว ทีมงาน Amarin Baby & Kids จึงอยากที่จะขอนำเสนอสาเหตุของการเสียชีวิตของทารกที่เกิดขึ้นบ่อยและมากที่สุดคือ “โรคไหลตายในทารก” หรือเรียกอีกอย่างว่า Sudden Infant Death Syndrome (SIDS) และไม่ใช่แต่เฉพาะในประเทศไทยเท่านั้นนะคะ ที่เกิดการสูญเสียนี้ ยกตัวอย่างประเทศสหรัฐอเมริกาที่ พบว่ามีเด็กทารกสูญเสียจากภาวะดังกล่าวประมาณ 1.5 คนต่อเด็ก 1,000 คน โดยสาเหตุหลัก ๆ นั้นมาจาก การที่ “ลูกขาดอากาศหายใจ” เพราะคุณพ่อคุณแม่ปล่อยให้ลูกนอนคว่ำ

                                การนอนคว่ำนั้น เป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญต่อการตายฉับพลันของเด็กทารก สำหรับในประเทศสหรัฐอเมริกานั้นได้จัดตั้งโครงการ “Back to sleep” หรือ “โครงการให้เด็กนอนหงาย” เริ่มตั้งแต่ในปี 1992 และจากการจัดตั้งโครงการนี้ ทำให้คุณพ่อคุณแม่ระวังกันมากขึ้น ทำให้การตายของทารกด้วยโรค SIDS นั้นลดลงอย่างชัดเจน

                                โรคไหลตายหรือ SIDS คืออะไร … อ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่หน้าถัดไปค่ะ


                                เครดิต: Drama-addict

                                เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                                  ลูกปวดหัว

                                  เตือนพ่อแม่! อย่าเพิกเฉย ทุกครั้งที่ “ลูกปวดหัว”

                                  เมื่อไหร่ก็ตามที่ ลูกปวดหัว คุณพ่อคุณแม่อย่าได้นิ่งนอนใจ เพราะอาการปวดหัวดังกล่าว อาจเป็นอาการที่บ่งบอกถึงโรคบางอย่างก็เป็นได้!

                                  คุณพ่อคุณแม่หรือผู้ปกครองบางท่านอาจจะตั้งคำถามว่า “ลูกปวดหัว ได้ด้วยหรือ?” คำตอบก็คือ ได้ค่ะ เพียงแต่ว่าตอนเล็ก ๆ ลูกอาจจะยังสื่อให้พวกเราเข้าใจไม่ได้ อาจจะมีบ้างที่บอกว่า “เจ็บหัว” หรือ “แสดงออกด้วยการร้องไห้งอแง” แต่เมื่อไหร่ที่เขาเริ่มโตขึ้น ลูกจะสามารถเริ่มอธิบายถึงอาการดังกล่าวได้มากกว่าเดิม 

                                   

                                  คุณพ่อคุณแม่ทราบหรือไม่คะว่า อาการปวดหัวของเด็กนั้น จะพบได้มากในเด็กที่อยู่ในวัยเรียน และอาการดังกล่าว จะเริ่มดีขึ้นหรือหายได้เองภายหลังจากที่ลูกรับประทานยาแก้ปวดและได้นอนพักแล้ว

                                  อาการปวดหัวของลูกเกิดขึ้นจากสาเหตุอะไรได้บ้าง?

                                  1. อาการปวดหัวเฉียบพลันในเด็กอันเกิดจากเวลาที่ลูกมีไข้ ความเครียด อุบัติเหตุ หรือการได้รับการกระทบกระเทือนทางสมอง และโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ อันเกิดจากเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรีย
                                  2. อาการปวดหัวเรื้อรังในเด็ก ส่วนใหญ่แล้วมักจะเกิดจากอาการผิดปกติของอวัยวะบนใบหน้า ยกตัวอย่างเช่น หูชั้นกลางหรือไซนัสอักเสบ ฟันผุ สายตาผิดปกติ มีบ้างที่ ลูกปวดหัว อันเนื่องมาจากกลุ่มอาการไมเกรน ภาวะเลือดออกในสมอง หรือเนื้องอกในสมอง เป็นต้น
                                  3. สำหรับบ้านไหนที่มีลูกสาวที่โตแล้ว การปวดประจำเดือน ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่จะไปกระตุ้นให้เกิดอาการปวดหัวได้เช่นกันค่ะ
                                  4. อาการปวดหัวอันเกิดจากการได้รับการกระทบกระเทือนทางสมอง หากไม่รุนแรงถึงขั้นทำให้เด็กหมดสติ อาการปวดหัวมักไม่รุนแรงมาก อาการดังกล่าวก็จะสามารถหายได้เองภายใน 2-3 วัน

                                  ดูแลอย่างไร เมื่อ “ลูกปวดหัว”

                                  ในยามที่ ลูกปวดหัว คุณพ่อคุณแม่สามารถดูแลลูกได้ไม่ยาก หากทราบถึงสาเหตุของอาการดังกล่าวและแก้ปัญหาได้อย่างถูกจุด ยกตัวอย่างเช่น

                                  1. วิธีการดูแลลูกในกรณีที่ปวดหัวแบบไม่รุนแรง หากลูกยังสามารถทำกิจวัตรประจำวันได้อย่างปกติ คุณพ่อคุณแม่ก็สามารถดูแลลูกได้ด้วยการสังเกตและเฝ้าติดตามอาการในเบื้องต้นว่า สาเหตุที่ ลูกปวดหัว นั้น เป็นเพราะอะไร สามารถแก้ไขได้หรือไม่ หากเป็นเพราะลูกเครียดเรื่องการเรียน คุณพ่อคุณแม่ก็ควรที่จะเป็นที่ปรึกษาลูก และไม่ควรที่จะดุหรือว่าลูกอีก เพราะการกระทำดังกล่าว อาจจะเป็นการกระตุ้นให้อาการดังกล่าวเป็นมากยิ่งขึ้นก็เป็นได้
                                  2. หากลูกปวดหัวแต่ไม่มีไข้หรือไม่มีอาการอื่นแทรกแซง แนะนำให้คุณพ่อคุณแม่ให้ยาแก้ปวดกับลูก ยกตัวอย่างเช่น ยาพาราเซตามอล เป็นต้น หลังจากนั้นก็ควรให้ลูกนอนพักผ่อนให้เต็มที่
                                  3. ในกรณีที่ลูกปวดหัวเพราะสาเหตุของการได้รับการกระทบกระเทือนทางสมอง คุณพ่อคุณแม่ ควรที่จะเฝ้าดูแลอาการของลูกอย่างใกล้ชิด และต้องสังเกตว่า ลูกมีอาการปวดหัวอย่างรุนแรงหรือไม่ มีอาเจียนพุ่ง หรือซึมลงหรือเปล่า ซึ่งอาการดังกล่าวนั้น เป็นอาการที่บ่งชี้ว่า ลูกอาจจะมีเลือดออกในสมองก็เป็นได้ และสำหรับการส่งเด็กไปเพื่อรับการตรวจเอ็กซเรย์กระโหลกศีรษะหรือเอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์ทันที่หลังได้รับการกระทบกระเทือนนั้น ไม่มีประโยชน์ค่ะ เว้นเสียแต่ว่า ลูกมีอาการเปลี่ยนแปลงในสมองจนสังเกตเห็นได้ชัด หรืออาจจะมีอาการอื่นป่วยร่วมด้วย

                                  อาการปวดหัวแบบไหนที่พบบ่อยในเด็ก หาคำตอบได้ที่หน้าถัดไปค่ะ

                                    Tags

                                    เลือดกำเดาไหล

                                    เลือดกำเดาไหล แบบนี้…? อันตรายกับลูกแน่นอน!

                                    เมื่อลูกมี เลือดกำเดาไหล อาจทำให้คุณพ่อคุณแม่หลายคนตื่นตระหนกตกใจกลัว และกังวลว่า ลูกกำลังเป็นโรคอะไรหรือเปล่า ซึ่งสำหรับเด็กบางคนอาจไม่น่ากังวล แต่คุณพ่อคุณแม่ก็ไม่ควรละเลย เพราะถ้าลูกมี เลือดกำเดาไหล ผิดปกติ ก็ต้องรีบดูแลรักษานะคะ เพื่อมาให้กลายเป็นเรื่องบานปลาย Continue reading “เลือดกำเดาไหล แบบนี้…? อันตรายกับลูกแน่นอน!”