ถูกลืมบนรถ

น้องกาก้าโคม่า! หลัง ถูกลืมบนรถ นาน 8 ชม.

สะเทือนใจข่าวอัปเดตอาการ “น้องกาก้า” เด็กที่ ถูกลืมบนรถ โรงเรียน! พร้อมวิธีสอนลูกให้เอาตัวรอด

 

 

อีกหนึ่งอุทาหรณ์ที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น! กับข่าวคราวของน้องกาก้า นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 วัยเพียง 6 ปีที่ถูกลืมบนรถ นาน 8 ชั่วโมงจนหมดสติไปนั้น มาถึงตอนนี้แพทย์เจ้าของไข้แนะนำให้พ่อแม่ทำใจแล้ว

ความคืบหน้ากรณีเด็กชายชนะชัย คงผล หรือน้องกาก้า ล่าสุด นายแพทย์ สุชาติ กิตติภัทร รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลพระ นครศรีอยุธยาเปิดเผยว่า อาการของน้องกาก้า ช่วงนี้อาการทรงตัวสมองไม่ตอบสนอง แต่ยังใช้เครื่องช่วยหายใจอยู่ เนื่องจากน้องขาดอากาศมานานก่อนที่จะมาถึงโรงพยาบาล ส่วนตอนนี้ทางโรงพยาบาลพระนครศรีอยุธยาได้ ปรึกษาพ่อกับแม่ของน้องกาก้า ว่าอาการน้องขณะนี้ค่อนข้างจะวิกฤต จึงอยากให้ร่างกายของน้องได้บริจาคร่างให้กับคนไข้หรือผู้ป่วยคนอื่นที่ต้องการอวัยวะภายในที่ใช้การได้ นำไปช่วยเหลือผู้ป่วยเพื่อให้โอกาสผู้ป่วยเหล่านั้นได้มีโอกาสหาย ซึ่งทางเพราะแม่ของน้องกาก้าก็ยินยอมให้ทางโรงพยาบาลนำร่างของน้องหรืออวัยวะที่ใช้ได้นำไปบริจาคช่วยเหลือผู้ป่วยต่อไปเพื่อให้น้องได้ทำบุญกุศลแก่คนอื่น

นางฝันตา บุญงาม 33 ปี แม่ของน้องกล่าวทั้งน้ำตาว่าเห็นอาการลูกแล้ว ทำใจตั้งแต่วันแรก เนื่องจากอาการลูกไม่ตอบสนอง แต่ก็หวังให้มีปาฏิหาริย์ และก็ไม่มี ซึ่งเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับครอบครัว อยากให้เป็นอุทาหรณ์กลับคนที่รับส่งนักเรียน ไม่ว่าจะเป็นประเภทใด อยากให้คนขับรถ ช่วยตรวจดูทุกครั้งที่มารับมาส่งเด็กว่ายังมีเด็กหลงเหลืออยู่ในรถหรือไม่ เนื่องจากเด็กเล็กไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ อยากให้คนขับรถไม่ประมาทและรอบครอบกว่านี้ ก็คงไม่เกิดความสูญเสียดังกล่าว และส่วนตัวไม่โกรธคนขับรถพร้อมจะให้อภัย ส่วนเรื่องของคดีก็ต้องว่าไปตามกฎหมายต่อไป

ล่าสุดได้รับแจ้งว่า น้องได้จากไปอย่างสงบแล้วเมื่อเวลา 16.25 น. ที่ผ่านมา … ทีมงาน Amarin Baby & Kids ขอแสดงความเสียใจกับการจากไปของน้องด้วยนะคะ

คลิกอ่าน! วิธีการสอนลูกให้รู้จักเอาตัวรอด 


เครดิต: มติชน และเพจแหม่มโพธิ์ดำ

    เด็ก 3 ภาษา

    วิธีการปั้นลูกให้เป็น “เด็ก 3 ภาษา”

    อยากให้ลูกกลายเป็น เด็ก 3 ภาษา พ่อแม่ปั้นได้ด้วยวิธีเหล่านี้! พร้อมคลิปจากบล็อกเกอร์ดัง!

     

     

    ขอต้อนรับคุณพ่อคุณแม่ทุกคนเข้าสู่ยุค AEC ที่ถือว่าเป็นยุคแห่งการเปลี่ยนแปลงสำหรับเด็ก ๆ ทุกคน ที่หันหน้าไปทางไหนก็เจอแต่เด็กพูดได้มากกว่า 2 ภาษาด้วยกัน และแทบจะทุกโรงเรียน ก็เริ่มที่จะมีการสอนภาษาที่สามกันยกตัวอย่างเช่น ภาษาจีน ที่บอกเลยงานนี้คุณพ่อคุณแม่อาจจะต้องกุมขมับกันแล้วละว่า ลูกของเราจะสามารถกลายเป็น เด็ก 3 ภาษาได้เหมือนกับคนอื่น ๆ หรือไม่ ไม่ต้องกังวลไปนะคะ เพราะวันนี้เรามีข้อมูลดี ๆ มีประโยชน์พร้อมคำแนะนำจาก Blogger ที่บอกเลยเขาทำสำเร็จกับลูกมาแล้ว จะทำอย่างไร ยากหรือง่ายเพียงใด เราจะมาติดตามไปพร้อม ๆ กันค่ะ

    วิธีการฝึกลูกให้เป็น เด็ก 3 ภาษา

    1. เริ่มจากการฝึกให้ลูกได้เรียนรู้คำศัพท์จากสิ่งใกล้ตัว ยกตัวอย่างเช่น สัตว์เลี้ยง ท้องฟ้า น้ำ สิ่งของที่ใช้ในบ้าน
    2. สอนคำกล่าวสวัสดีในตอนเช้าเป็นภาษาไทย อังกฤษและจีน เป็นประจำทุกวัน
    3. เล่นเกมส์ฝึกภาษาหรือทายภาษา ทายคำศัพท์ง่าย ๆ ทำให้เหมือนกับเป็นเกมส์การเล่นสนุกมากกว่าการเรียนการสอนนอกจากจะทำให้ลูกรู้สึกเพลิดเพลินแล้ว ยังเป็นการสร้างความสัมพันธ์ให้กับคนในครอบครัวได้
    4. หาเพลง หนัง หรือการ์ตูนสนุก ๆ น่าสนใจมาดูหรือฝึกร้องกับลูก นอกจากลูกจะได้ชินหูแล้ว ยังได้สำเนียงของเจ้าของภาษาอีกด้วยนะคะ

    คลิกอ่านวิธีการฝึกลูกจากบล็อกเกอร์ชื่อดังได้ที่นี่


    เครดิต: Baanjanpasa

      วิธีการลดไข้

      วิธีลดไข้ลูก! ตามแบบฉบับของชาวเยอรมัน

      พบกับ ” วิธีลดไข้ลูก ” ตามแบบฉบับพื้นเมือง ที่บอกเลยงานนี้ไม่ควรพลาด! เพราะเรามีคลิปมาฝากด้วย!

       

       

      คุณพ่อคุณแม่ทราบไหมคะว่า ที่ประเทศเยอรมนีนั้นทางกุมารแพทย์จะแนะนำ วิธีการลดไข้ ที่สามารถช่วยชลออาการของเด็ก ๆ ได้ก่อนถึงโรงพยาบาลไม่ให้มีอาการหนักขึ้น อีกทั้งยังช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้ไปในตัวอีกด้วย
      ซึ่งวิธีที่ทางกุมารแพทย์สอนนี้เขาเรียกกันว่า Wadenwickel ค่ะ ที่บอกเลยว่างานนี้ทำง๊ายง่าย อีกทั้งยังไม่ทำลายสุขภาพของลูกน้อยอีกด้วย หากคุณพ่อคุณแม่บ้านไหนไม่อยากให้ลูกรับประทานยาเยอะ ลองใช้วิธีนี้ดูกันเลยนะคะ
      อุปกรณ์ที่ต้องเตรียมมีดังต่อไปนี้ค่ะ
      • ผ้าขนหนูขนาดเล็ก 2 ผืน
      • ผ้าเช็ดตัวขนาดใหญ่ 2 ผืน
      • ผ้าขนหนูที่หนานุ่มหรือผ้าพันคอ 2 ผืน

         

      ขั้นตอนการทำ คลิก!

        ไวรัสตับอักเสบบี

        ฟรี! ตรวจคัดกรอง ไวรัสตับอักเสบบี-ซี 4 วันนี้เท่านั้น!

        รู้ทัน! ป้องกันได้ ด้วยการตรวจคัดกรอง ไวรัสตับอักเสบบี และซี!

         

         

        ” ไวรัสตับอักเสบบี – ซี “ โรคที่แม้แต่ป่วยเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองเป็น แล้วจะรู้ว่าป่วยได้หรือไม่ทำได้ด้วยวิธีการคัดกรอง และนี่ถือเป็นข่าวดี เมื่อกระทรวงสาธารณสุขร่วมกับองค์การอนามัยโลก และสมาคมโรคตับแห่งประเทศไทย ได้แถลงข่าวสัปดาห์รณรงค์ตับอักเสบโลก หลังพบคนไทยติดเชื้อไวรัสดังกล่าวร่วมประมาณ 3 ล้านคน!
        พร้อมกันนี้ได้ตั้งเป้าลดผู้ป่วยติดเชื้อดังกล่าวได้ร้อยละ 50 ภายในปี 2564 และประกาศขอเชิญชวนประชาชนทุกคนเข้ารับการตรวจคัดกรองโรคไวรัสตับอักเสบบีและซีได้ฟรี! ระหว่างวันที่ 31 กรกฎาคมถึงวันที่ 4 สิงหาคม 2564 ในโรงพยาบาลสังกัดกระทรวงสาธารณสุขที่เข้าร่วมโครงการ 104 แห่งทั่วประเทศ!

        ไวรัสตับอักเสบบี และซี คืออะไร?

        โรคไวรัสตับอักเสบบี เป็นโรคที่มีอาการอักเสบที่ตับ สาเหตุเกิดจากเชื้อไวรัสตับอักเสบบีบุกรุกเข้าสู่เซลล์ตับ ส่งผลให้เกิดอาการอักเสบขึ้น ในบางรายเชื้ออาจจะฝังตัวอยู่ในร่างกายเป็นปีๆ โดยที่ผู้ติดเชื้อไม่ทราบเลยว่าตัวเองกำลังติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีอยู่ (เป็นพาหะ) เชื้อตัวนี้ยังสามารถแบ่งตัวได้อย่างรวดเร็วในเซลล์ของตับ ส่งผลให้ตับอักเสบและถูกทำลาย
        โรคไวรัสตับอักเสบซี เกิดจากการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดซี สามารถติดต่อกันได้หลายวิธี อย่างเช่น ผ่านทางเลือด การใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน หรือเพศสัมพันธ์ พบโดยเฉลี่ยประมาณร้อยละ 1 – 2 ของประชากรไทย โดยพบมากทางภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เมื่อไวรัสเข้าไปในร่างกายแล้ว มันจะอาศัยอยู่ที่ตับ ผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซีส่วนใหญ่ไม่มีอาการ  มักตรวจพบได้จากการตรวจสุขภาพหรือจากการบริจาคเลือด ผู้ปวยมักจะมีการอักเสบของตับน้อยๆ แต่เรื้อรัง ทำให้เกิดพังผืดในตับ นำไปสู่ภาวะตับแข็งและมีโอกาสเกิดมะเร็งตับในที่สุด

        อ่านเนื้อหาข่าวเพิ่มเติมได้ที่หน้าถัดไปค่ะ


        เครดิต: The world medical center

          ผลไม้บำรุงเลือด

          5 ผลไม้บำรุงเลือด ดีต่อแม่ตั้งครรภ์และแม่ให้นม

          เพราะผู้หญิงคือเพศที่มีการสูญเสียเลือดมากกว่าเพศชาย ดังนั้น ผู้หญิงทั้งหลายจึงไม่ควรพลาด 5 ผลไม้บำรุงเลือด นี้!

           

           

          ไม่จำเป็นต้องสงสัยเลยทำไมถึงบอกว่า ผู้หญิงเป็นเพศที่จำเป็นต้องมีการสูญเสียเลือดมากกว่าผู้ชาย นั่นก็เป็นเพราะว่า ผู้หญิงเป็นเพศที่ต้องมีการเสียเลือดในทุก ๆ เดือน ไหนจะคลอดลูกอีก เรียกได้ว่า ผู้หญิงคือผู้เสียสละอย่างแท้จริง ๆ และด้วยความเป็นผู้เสียสละนี้แหละ ทำให้ผู้หญิงทุกคนต้องคำนึงถึงสุขภาพของตัวเองเป็นอย่างดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของระบบไหลเวียนโลหิต เพราะถ้าหากร่างกายไม่มีเลือดไปหล่อเลี้ยงหรือส่งต่อสารอาหาร ก็คงจะเหมือนกับการขาดตัวกลางที่จะไปเชื่อมโยงอวัยวะต่าง ๆ เข้าด้วยกัน
          ในแต่ละช่วงวัยที่ร่างกายมีการเจริญเติบโตก็ย่อมต้องการ ๆ ดูแลที่แตกต่างกัน ยกตัวอย่างเช่น วัยแรกเริ่มของการเจริญพันธุ์ ที่ผู้หญิงส่วนใหญ่ในวัยนี้พบปัญหาในเรื่องของ “โลหิตจาง” มากที่สุด โดยมีสาเหตุมาจาก
          • พฤติกรรมการเข้านอนดึก หรือพักผ่อนไม่เพียงพอ
          • ประจำเดือนมา หรือประจำเดือนที่ผิดปกติ
          • พฤติกรรมการบริโภคอาหารหรือเครื่องดื่มที่ไม่เหมาะสม เป็นต้น
          และด้วยความเป็นห่วงผู้หญิงทุกคนทีมงาน Amarin Baby & Kids จึงขอนำเสนอ 5 ผลไม้บำรุงเลือด จะมีอะไรบ้างนั้นไปหาคำตอบนี้พร้อม ๆ กันเลยนะคะ

          คลิกอ่าน 5 ผลไม้บำรุงเลือดได้ที่นี่

            ทิชชู่ซับน้ำมัน

            แพทย์เตือน! เอา ทิชชู่ซับน้ำมัน ปลอดภัยแน่หรือ?

            ทำถูกแล้วหรือ!? ที่ใช้ ทิชชู่ซับน้ำมัน กับอาหารประเภททอด!

             

             

            หากพูดถึงการทำอาหารประเภททอด ด้วยความที่พวกเราทุกคนต่างกังวลกันถึงแต่ปริมาณของน้ำมัน ที่ปะปนอยู่ในอาหาร พวกเรากลับลืมฉุกคิดไปว่า แล้ว “ทิชชู่” ที่เราใช้ซับนั้น แท้จริงแล้ว ปลอดภัยจริงหรือไม่!?
            กรมอนามัยกระทรวงสาธารณสุข ได้ออกเตือนประชาชน ห้ามใช้กระดาษทิชชู่ซับน้ำมันจากอาหาร เสี่ยงรับโซดาไฟและสารไดออกซินซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง
            หลาย ๆ ท่านอาจจะตั้งคำถามว่า อ้าว! แล้วเราจะเอาอะไรซับน้ำมันละ ดร. นพ. พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ ได้ให้คำแนะนำว่า หากต้องการที่จะซับน้ำมันจากอาหาร ให้ใช้กระดาษซับที่เป็นกระดาษเฉพาะที่ได้มาตรฐานสากล พร้อมกับเปิดเผย  ถึงกรณีที่มีกระแสข่าวในโซเชียลเน็ตเวิร์ค เกี่ยวกับอันตรายจากการใช้กระดาษทิชชูซับอาหารทอด ว่า แม่บ้าน แม่ครัว หรือผู้ค้าอาหารไม่ควรใช้กระดาษทิชชู่มาซับน้ำมันจากอาหาร เพราะเนื้อเยื่อเล็ก ๆ ของกระดาษทิชชู่จะติดในอาหาร ทำให้เราได้รับสารเคมีต่าง ๆ ที่อยู่ในกระดาษทิชชู่ไปด้วย เนื่องจากกระดาษทิชชู่ผลิตมาจากเยื่อกระดาษบริสุทธิ์ โดยมีวัตถุดิบคือต้นไม้ เช่น ต้นไผ่หรือต้นไม้อื่น ๆ แต่ปัจจุบันสังคมให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น จึงมีการนำกระดาษหมุนเวียนใหม่ เช่น กระดาษ A4 ที่ใช้แล้ว นำไปผลิตกระดาษทิชชู่ หรือแม้แต่กระดาษฟางที่ผลิตจากฟางข้าว ซึ่งในกระบวนการตีวัตถุดิบให้เป็นเนื้อเยื่อต้องใช้โซเดียมไฮดรอกไซด์หรือโซดาไฟ และเพื่อความขาวน่าใช้จึงมีการใช้สารคลอรีนฟอกขาว และมีสารไดออกซินซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งเป็นส่วนประกอบด้วยนั้น
            ดร.นพ.พรเทพ กล่าวต่อไปว่า สารโซเดียมไฮดรอกไซด์ (NaOH) หรือโซดาไฟ เมื่อทำปฏิกิริยากับโปรตีนและไขมัน จะมีฤทธิ์กัดกร่อนเนื้อเยื่อรุนแรง ทำให้บริเวณนั้นอ่อนนุ่มกลายเป็นวุ้นหรือเจลาตินและสบู่ เนื้อเยื่อถูกทำลายหรือถูกกัดลึกลงไป ซึ่งการทำลายอาจต่อเนื่องหลายวัน การหายใจเอาไอหรือละอองสารยังส่งผลให้ระคายเคืองต่อทางเดินหายใจส่วนบน ทำให้จาม ปวดคอ น้ำมูกไหล ปอดอักเสบรุนแรง หายใจขัด การสัมผัสถูกผิวหนังจะระคายเคืองรุนแรง เป็นแผลไหม้และพุพองได้ การกลืนกินทำให้แสบไหม้บริเวณปาก คอ และกระเพาะอาหาร ส่วนสารไดออกซิน (dioxins) เป็นสารที่สถาบันวิจัยมะเร็งระหว่างชาติจัดให้เป็นสารก่อมะเร็งในมนุษย์ เมื่อร่างกายได้รับเข้าไปจะไม่ทำให้เกิดอาการอย่างเฉียบพลัน แต่อาการจะค่อย ๆ เกิดและเพิ่มความรุนแรงจนถึงเสียชีวิตได้

            อ่านเนื้อหาเพิ่มเติมได้ที่หน้าถัดไปค่ะ

              การเลี้ยงลูกแบบพ่อแม่ชาวเยอรมัน

              5 แนวทาง การเลี้ยงลูกแบบพ่อแม่ชาวเยอรมัน

              การเลี้ยงลูกแบบพ่อแม่ชาวเยอรมัน เป็นอีกหนึ่งไอเดียที่สุดยอดเหมือนกันค่ะ สำหรับคนเยอรมันแล้วเขาจะมีแนวทางในการเลี้ยงลูกแบบให้อิสระ และก็จะให้ความสำคัญกับการสอนให้ลูกเป็นตัวของตัวเอง รู้จักรับผิดชอบในหน้าที่ ทีมงาน Amarin Baby & Kids มีแนวทาง 5 อย่างในการเลี้ยงลูกของพ่อแม่ชาวเยอรมันมาบอกกันค่ะ

               

              การเลี้ยงลูกแบบพ่อแม่ชาวเยอรมัน

              อยากทราบกันแล้วใช่ไหมคะว่า การเลี้ยงลูกแบบพ่อแม่ชาวเยอรมัน เขามีการเลี้ยงดูลูกกันอย่างไร ซึ่งแนวทางการเลี้ยงลูกแบบพ่อแม่ชาวเยอรมัน จะเหมือนหรือแตกต่างจากของไทยอย่างไรบ้าง ทั้งนี้สภาพสังคมและระบบการศึกษาของแต่ละประเทศนั้นแตกต่างกัน บางอย่างอาจเป็นเรื่องที่ดูแล้วไม่ปลอดภัยหรือไม่เหมาะสมในสังคมหนึ่ง แต่กลับกลายเป็นสิ่งที่อีกสังคมยอมรับได้ไปซะอย่างนั้น อย่างไรก็ตามเด็กๆ ชาวเยอรมันนั้นได้ชื่อว่าเป็นเด็กนักเรียนที่เก่งและจัดอยู่ในอันดับต้นๆ ของการวัดระดับการศึกษาเลยทีเดียว

               

              บทความแนะนำ คลิก>> การเลี้ยงลูกในโลกยุคไอที ให้ได้ประโยชน์สูงสุด

               

              หลายๆ คนคงคิดว่าพ่อแม่ชาวเยอรมันนั้นจะต้องเข้มงวดกับลูก แต่ความจริงแล้วไม่ใช่เลยค่ะ คุณพ่อคุณแม่ชาวเยอรมันนั้นให้อิสระกับลูกมาก และให้ความสำคัญกับการสอนให้เด็กเป็นตัวของตัวเองและรู้จักรับผิดชอบในหน้าที่ พวกเขาให้เด็กๆ ได้มีโอกาสที่จะตัดสินใจด้วยตัวเองและเติบโตขึ้นมาอย่างมีความเชื่อมั่น แนวคิดหลักของพ่อแม่ชาวเยอรมัน มีดังนี้

               

              อ่านต่อ 5 แนวทางการเลี้ยงลูกของคนเยอรมัน หน้า 2

               

              เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                วิธีเลี้ยงลูกอย่างสร้างสรรค์

                13 วิธีเลี้ยงลูกอย่างสร้างสรรค์

                วิธีเลี้ยงลูกอย่างสร้างสรรค์ ทั้ง 13 วิธีนี้เป็นคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญคนดัง ที่รับรองว่าเมื่อได้อ่านแล้ว คุณพ่อคุณแม่จะต้อง มีแนวคิดใหม่ๆ ในการเลี้ยงลูกให้ได้ดีกันอย่างแน่นอน อยากรู้ไหมว่าว่าการเลี้ยงลูกแบบสร้างสรรค์นั้นมีอะไรบ้าง ทีมงาน Amarin Baby & Kids มีมาบอกให้ได้ทราบกันตามนี้เลยค่ะ

                 

                วิธีเลี้ยงลูกอย่างสร้างสรรค์

                อยากรู้กันแล้วใช่ไหมคะว่า วิธีเลี้ยงลูกอย่างสร้างสรรค์ จากผู้เชี่ยวชาญเขามีแนะนำไว้อย่างไรกันบ้าง สำหรับ การเลี้ยงลูกที่เราจะพูดถึงนี้เป็นเรื่องง่ายๆ ที่เราจะต้องพบเจอกันอยู่แล้วในแต่ละวัน แต่จะดีมากยิ่งขึ้นถ้าทำแล้วจะช่วยให้เด็กๆ เติบโตขึ้นมาเป็นคนคุณภาพมากยิ่งขึ้น เพื่อให้ไม่เป็นการเสียเวลาเราไปทำความเข้าใจกับทั้ง 13 วิธีในการเลี้ยงลูกกันค่ะ

                1. ปล่อยลูกให้รู้จักความผิดหวัง

                ถ้าเราอยากให้ลูกรู้จักช่วยเหลือตัวเอง เด็กๆ ต้องล้มแล้วลุกเองเป็น “พ่อแม่ส่วนใหญ่รู้ว่าลูกลุกขึ้นเองได้ แต่ก็อดที่จะเข้าไปช่วยไม่ได้” เชอร์รี่ โนคา ผู้เขียนหนังสือเรื่อง กล้าทำในสิ่งที่ถูกต้อง: วิธีการเลี้ยงลูกให้มีความกตัญญูและรับผิดชอบในยุคของการทำตามใจตัวเอง (Have the Guts to Do It Right: Raising Grateful and Responsible Children in an Era of Indulgence) พ่อแม่ควรท่องไว้เสมอว่า: การที่ลูกเจอกับอุปสรรคบ้างจะส่งผลดีต่อลูกในระยะยาว ตัวอย่างเช่น เด็กวัยรุ่นที่ซักผ้ารีดผ้าเองเป็นก็สามารถช่วยเหลือตัวเองได้มากกว่าเพื่อนๆ ที่ยังทำไม่เป็น ก่อนจะรีบเข้าไปช่วยเหลือลูก คุณพ่อคุณแม่ลองถามตัวเองก่อนว่า “ถ้าเราไม่เข้าไปช่วยตอนนี้ ลูกจะเป็นอะไรหรือเปล่า” ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กๆ อย่างการหกล้มของเด็กๆ หรือปัญหาและอุปสรรคใหญ่ๆ เรื่องเพื่อนหรือเรื่องการเรียน คุณพ่อคุณแม่ก็อย่าเพิ่งรีบเข้าไปช่วยค่ะ ลองปล่อยให้พวกเขาแก้ปัญหาเองดูก่อน เพราะทักษะการแก้ปัญหานี่แหละที่เป็นสิ่งสำคัญสำหรับเด็กๆ เอาล่ะ ได้เวลาที่คุณพ่อคุณแม่จะยืนมองดูอยู่ห่างๆ แล้วค่ะ

                2. ยึดมั่นในกฎเหล็ก 3 ข้อเรื่องการบ้านลูก

                ข้อแรกคือ “กินกบตัวนั้นซะ” กฎที่ เท็ด ธีโอดอร์โร อาจารย์สอนสังคมศาสตร์ โรงเรียนมัธยมแฟร์แฟกซ์ เคาน์ตี้ รัฐเวอร์จิเนีย กล่าว กฎนี้หมายความว่า “ให้ทำข้อที่ยากที่สุดก่อน” ข้อสองคือ วางโทรศัพท์ลง เวลาทำการบ้านเด็กๆ อาจต้องใช้คอมพิวเตอร์ แต่การกดโทรศัพท์เพื่อเล่นเกมหรือคุยกับเพื่อนนั้นเป็นข้อห้ามระหว่างการทำการบ้าน ข้อที่สามคือ เมื่อทำการบ้านเสร็จให้เก็บใส่กระเป๋าแล้ววางไว้หน้าประตูทางออกให้เรียบร้อย ตอนเช้าเด็กๆ จะได้ออกจากบ้านไปพร้อมกับการบ้านที่ทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว เพียงแค่ยึดกฎเหล็กสามข้อนี้เท่านั้น คุณพ่อคุณแม่ก็ไม่ต้องคอยตามบ่นลูกๆ เรื่องการบ้านอีกต่อไป

                 

                บทความแนะนำ คลิก>> เลี้ยงลูกแบบญี่ปุ่น กับ 8 ความลำบาก เพื่อให้ลูกเป็นเด็กเก่ง โตไปมีคุณภาพ

                3. เด็กๆ จะงอแงเวลาหิว กระวนกระวายใจ เหงา และเหนื่อย

                ต้นเหตุของอาการงอแงและการทำตัวไม่น่ารักของเด็กๆ ก็คือ 4 ข้อนี้ค่ะ หิว ไม่สบายใจ เหงา หรือเหนื่อยเกินไป คุณพ่อคุณแม่ต้องท่องไว้ให้ขึ้นใจเลย

                อ่านต่อ 13 วิธีการเลี้ยงลูกอย่างสร้างสรรค์ หน้า 2

                 

                เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                  ผมสวย

                  อยากให้ลูกมี “ผมสวย” ทำง่ายด้วยวิธีนี้!

                  พบกับวิธีที่จะทำให้ลูกของเรามี ผมสวย เงางามโดยที่ไม่ต้องหวีบ่อย เพราะการหวีบ่อยเกินไปก็ไม่ใช่เรื่องดี!

                   

                   

                  จริง ๆ หรือที่เขาเล่าขานต่อ ๆ กันมาว่า อยากมีผมสลวยสวยเก๋นั้นต้องหวีผมเยอะ ๆ และบ่อย ๆ … คุณแม่บางคนด้วยความที่อยากให้ลูกสวย ก็หวีเช้า หวีกลางวัน หวีเย็น และหนำซ้ำคุณพ่อคุณแม่บางคนยังให้ลูกหวีผมก่อนนอนด้วย เรียกได้ว่า 4 เวลาเลยก็ว่าได้ … ซึ่งการหวีบ่อยแบบนี้จะส่งผลดีกับเส้นผมของลูกจริงหรือไม่นั้น วันนี้เรามี ผศ. นพ. รัฐพล ตวงทอง หัวหน้าสาขาโรคเส้นผมและการผ่าตัดปลูกถ่ายเส้นผม ภาควิชาตจวิทยา คณะแพทย์ศาสตร์ศิริราช และอนุกรรมการประชาสัมพันธ์ สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย จะมาช่วยให้คำตอบนี้กับพวกเราทุกคนกันค่ะ

                  เรื่องทั่วไปเกี่ยวกับเส้นผมที่คุณอาจจะยังไม่รู้

                  • เส้นผมบนหนังศีรษะของคนเราปกติมี ประมาณ 90,000 – 140,000 เส้น
                  • ผู้หญิงจะมีเส้นผมมากกว่าผู้ชาย
                  • รากผมจะมีเส้นผมได้เฉลี่ย 2-4 เส้น
                  • รากผมบนหนังศีรษะมีทั้งหมดประมาณ 85,000 – 130,000 รากผม
                  • โดยปกติเส้นผมมีวงจรชีวิตทั้งหมดประมาณ 2–6 ปี
                  • 90% ของเส้นผมบนศีรษะจะอยู่ในระยะของการเจริญเติบโต และอีก 10 % จะอยู่ในระยะพัก ซึ่งจะไม่เจริญอีก ต่อจากนั้นประมาณ 2 – 3 เดือน ก็จะหลุดร่วงไป
                  • ผมจะร่วงประมาณ 50–100 เส้นต่อวัน ถ้าผมร่วงมากกว่า 100 เส้น จะถือว่ามีผมร่วงมากกว่าปกติ ในผู้ชายหลุดร่วงได้ไม่เกิน 60 เส้นต่อวัน ในผู้หญิงหลุดร่วงได้ไม่เกิน 100 เส้นต่่อวัน
                  • ผมจะขึ้นใหม่หลังจากร่วงไปภายใน 6 เดือน
                  • ผมจะยาวในอัตราประมาณ 1/2 นิ้วต่อเดือน
                  • ผู้หญิงจะมีผมยาวเร็วกว่าผู้ชายประมาณ 0.02 มิลลิเมตรต่อวัน
                  • เด็กมีผมยาวเร็วกว่าผู้ใหญ่ โดยจะมีผมยาวประมาณ 0.41 มิลลิเมตรต่อวัน และจะลดลงเหลือเพียง 0.32 มิลลิเมตรต่อวัน ในวัยสูงอายุ
                  • อาการผมร่วงพบในคนเอเชียน้อยกว่าคนยุโรปหรือคนผิวขาว
                  • คนเราปกติจะสังเกตพบว่าผมบางขึ้นเมื่อมีผมร่วงไปแล้วประมาณ 25 %
                  • ในหนึ่งตารางเซนติเมตรจะมีเส้นผมอยู่ 120 – 200 เส้น
                  • “ผม” ของแต่ละคนจะมีขนาดใหญ่หรือเล็ก ตรงหรือหยิก สีทองหรือสีดำ ขึ้นอยู่กับเชื้อชาติและกรรมพันธุ์

                  โรคผมเหี่ยวคืออะไร คลิก!


                  เครดิต: Thai Hair Center

                    ภาวะขาดธรรมชาติ

                    แพทย์เตือน! โรคภาวะขาดธรรมชาติ โรคใหม่ที่พ่อแม่ต้องรู้!

                    พบกับอีกหนึ่งโรคของเด็กยุคใหม่ “โรคภาวะขาดธรรมชาติ” ที่จิตแพทย์เป็นห่วงมากถึงขนาดต้องออกโรงเตือน

                     

                     

                    ด้วยเทคโลโยที่ก้าวหน้าและทันสมัย ทำให้โลกใบนี้ของเราก้าวไกลไปมากกว่าเดิมจนเด็กสมัยนี้เกิดรักความสบายจนวัน ๆ ไม่อยากจะทำอะไร นอกจากเอาแต่ก้มหน้าก้มตาหรือมัวแต่จ้องหมอจอสี่เหลี่ยมที่มีภาพวิ่งไปวิ่งมาประกอบกับเสียงเพลงที่เป็นแรงจูงใจ
                    จนทำให้เกิดภาวะโรคใหม่ที่นักจิตแพทย์ทุกคนรู้สึกเป็นห่วงเป็นใยอนาคตของชาติ นั่นก็คือ “โรคภาวะขาดธรรมชาติ” นั่นเองค่ะ ฟังดูแล้วคุณพ่อคุณแม่อาจจะคิดว่า มีด้วยเหรอโรคนี้?!?
                    คำตอบคือ มีค่ะ! โดยโรคภาวะขาดธรรมชาติหรือ  Nature Deficit Disorder (NDD) นั้นถึงแม้ว่าจะไม่ได้ถูกระบุในทางการแพทย์จริง ๆ แต่ก็เป็นคำที่ Richard Louv ผู้เขียนหนังสือ Last Child in the Woods ได้กล่าวถึงอาการของเด็กที่เติบโตมาโดยขาดการเชื่อมโยงกับธรรมชาติ แน่นอนค่ะว่า มีการศึกษารองรับมากมายเกี่ยวกับภาวะดังกล่าวของเด็กที่ป่วยเป็นโรคนี้ ซึ่งเด็กที่ป่วยภาวะนี้นั้นมีแนวโน้มที่จะเป็นโรคสมาธิสั้น ไม่สามารถจดจ่ออยู่กับอะไรได้นาน ๆ บางคนก็มีภาวะซึมเศร้าหรือไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้ และแน่นอนค่ะว่า ภาวะทั้งหมดนี้จะทำให้เด็ก ๆ มีปัญหากับการเข้ากับสังคมในอนาคต

                    อ่านสาเหตุของโรคภาวะขาดธรรมชาติเพิ่มเติมได้ที่หน้าถัดไป

                      ยาสามัญประจำบ้าน

                      6 ยาสามัญประจำบ้าน ที่ควรพกตอนไปเที่ยวด้วยทุกครั้ง

                      เที่ยวครอบครัวทริปไหน ๆ ปลอดภัยได้ง่าย ๆ ด้วยการพก ยาสามัญประจำบ้าน เหล่านี้ติดตัวไปด้วย!

                       

                       

                      ช่วงวันหยุดยาว ๆ แบบนี้คุณพ่อคุณแม่วางแผนพาสมาชิกในครอบครัวไปเที่ยวไหนกันบ้างคะ ไปเที่ยวภายในประเทศหรือว่าต่างประเทศกันเอ่ย … แต่ไม่ว่าจะไปทริปไหน ๆ หากไม่อยากพลาดความสนุกละก็ อย่าลืมพวกยาสามัญประจำบ้านเหล่านี้ไปกันด้วยนะคะ

                       

                      แต่ก่อนที่จะไปดูลิสต์รายชื่อยาที่เราเตรียมมาให้วันนี้ เราไปดูก่อนดีกว่านะคะว่า จะไปเที่ยวกับลูกนั้นควรวางแผนอะไรบ้าง
                      1. วางแผนสถานที่เที่ยว เตรียมหาข้อมูลจุดแวะพักต่าง ๆ เช่น ปั๊มน้ำมัน ร้านอาหาร สถานที่ท่องเที่ยว ที่เราจะผ่านอย่างละเอียด
                      2. บอกเล่าลักษณะของสถานที่เที่ยวและกิจกรรมคร่าว ๆ ให้ลูกของเราได้ทราบ
                      3. ระบุระยะเวลาที่ครอบครัวจะใช้ในสถานที่หรือกิจกรรมต่าง ๆ ให้ชัดเจน
                      4. บอกกฎกติกาของแต่ละสถานที่ หรือกติกาที่จะเป็นข้อตกลงระหว่างกันในครอบครัวให้ชัดเจน
                      5. อธิบายผลที่จะตามมาว่า หากไม่ปฏิบัติตามแล้วจะพลาดโอกาสอะไรบ้าง
                      6. เตือนอันตรายหรือสิ่งที่ลูก ๆ ควรระมัดระวัง
                        แม่ไม่รัก

                        รับมืออย่างไร เมื่อลูกคนโตคิดว่า แม่ไม่รัก

                        พบกับ 3 เรื่องราวของคุณแม่ กับวิธีการรับมือทำอย่างไรเมื่อลูกคนโตไม่รักน้องและกลัว ” แม่ไม่รัก “

                         

                        โดยแต่ละเรื่องราวที่เรานำมาฝากในวันนี้ จะแบ่งออกเป็นสามช่วงเวลาค่ะ เริ่มตั้งแต่น้องคนเล็กอยู่ในท้อง ไปจนถึงคลอดน้องออกมา เรื่องราวที่ว่านี้จะเป็นอย่างไร แล้วคุณแม่แต่ละท่านจะรับมือได้หรือไม่ ไปอ่านประสบการณ์ตรงของคุณแม่ทั้งสามท่านนี้พร้อม ๆ กันเลยค่ะ

                        เริ่มจากเรื่องราวของคุณแม่น้ำ (Oheem Pj) กับประสบการณ์การแนะนำให้พี่ได้รู้จักกับน้องคนเล็กตั้งแต่อยู่ในท้อง

                        แม่ไม่รัก
                        เครดิต: Oheem Pj
                        ขอแนะนำตัวก่อนเลยนะคะ ชื่อแม่น้ำค่ะ มีลูกชายสองคนคนโตชื่อ พี่ทะเล อายุ 5 ขวบ ส่วนลูกชายคนเล็กชื่อน้องอันดามัน ที่ตอนนี้อายุได้ 1 ขวบ 4 เดือนแล้ว ซึ่งกว่าคุณแม่จะรู้ว่าตัวเองมีน้องคนเล็กก็ท้องได้ 3 เดือนแล้ว ตอนนั้นคุณแม่มีอาการแพ้ท้องบ้างค่ะ พอพี่ทะเลรู้ว่าตัวเองกำลังจะมีน้อง คุณแม่ก็จะเริ่มสอนให้รักน้อง พร้อมกับคอยบอกเขาว่า คุณแม่กำลังมีน้องตัวเล็ก ๆ อยู่ในท้องเหมือนพี่ทะเลตอนเด็ก ๆ ผลตอบรับที่ได้ก็คือ “เลไม่รักน้อง” เป็นแบบนี้อยู่พักใหญ่ ๆ เลยละค่ะ
                        แต่พอถึงเวลาตรวจครรภ์กับคุณหมอ คุณแม่ก็พาพี่ทะเลไปด้วย คราวนี้เขาเริ่มมีความเป็นพี่ชายมากขึ้น เริ่มอยากมีส่วนร่วมในการขอตั้งชื่อน้องด้วยการถามว่า “ขอผมตั้งชื่อน้องนะครับแม่” คุณแม่ก็เลยบอกว่า “ได้จ้ะลูก” ทำให้เขายิ่งรักน้องมากขึ้น พอคลอดน้องก็รู้สึกว่าทั้งคู่รักกันมาก เชื่อไหมคะเวลาที่คุณแม่ดุพี่ชาย น้องชายตัวเล็ก ๆ ก็จะคลานมานอนทับตัวและเอามือลูกหัวพี่ชายเหมือนกับจะปลอบว่าไม่เป็นไร
                        สิ่งที่คุณแม่อยากจะฝากบอกก็คือ การที่พี่ชายคนโตบอกว่าไม่รักน้องนั้นเป็นเรื่องธรรมชาติค่ะ เป็นเหมือนกับว่าความรู้สึกของเด็กที่กลัวว่าจะโดนแย่งความรักและทุกสิ่งที่เคยได้ไป ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ที่กำลังประสบปัญหาดังกล่าวจะต้องใจเย็นและให้เวลาลูกในการปรับตัวค่ะ รวมถึงควรระมัดระวังในการใช้คำพูดเช่น ดื้อมากเดี๋ยวไม่รัก ดูซิน้องไม่เห็นจะดื้อเลย อะไรแบบนี้เป็นต้น คุณพ่อคุณแม่จะต้องทำกิจกรรมทุกอย่างเหมือนเดิมและกอดเขาให้มาก ๆ เมื่อลูกปรับตัวได้ความมั่นใจที่เคยมีก็จะกลับมาเอง อาการไม่รักน้องหรือกลัวว่าแม่ไม่รักก็จะลดลงเช่นกันค่ะ

                        คลิก! อ่านเรื่องราวของคุณแม่ท่านที่สองได้ที่นี่

                          ลูกนอนหลับ

                          ผลวิทยาศาสตร์ยืนยัน ลูกนอนหลับ มากน้อยมีผลกับสมอง

                          ลูกนอนหลับ มีแต่ได้กับได้ จะดีจริงอย่างที่เขาพูดกันหรือไม่ ไปหาคำตอบกันค่ะ

                           

                          คุณพ่อคุณแม่คะ ได้มีการยืนยันจากนักวิทยาศาสตร์แล้วค่ะว่า การนอนหลับที่มีคุณภาพนั้นเป็นสิ่งสำคัญที่มีคุณค่ากับการพัฒนาการของลูกเป็นอย่างมากเลยละค่ะ เพราะช่วงเวลาดังกล่าว คือช่วงเวลาที่ร่างกายของลูกจะพัฒนาได้อย่างเต็มที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพัฒนาการทางด้านสมอง
                          โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 2 ปี ควรที่จะนอนหลับพักผ่อนให้มาก เพราะสมองจะมีพัฒาการเร็วที่สุด โดยขนาดสมองของเด็กในวัยนี้โตถึง 80% ของสมองผู้ใหญ่เลยละค่ะ อีกทั้งช่วงเวลาที่ลูกนอนนั้น เปรียบเสมือนกับช่วงเวลาที่ร่างกายทำการรวบรวมข้อมูลที่ลูกไปเจอมาทั้งวันสะสมและบันทึกไว้เพื่อที่จะสามารถเรียกกลับมาดูได้ในเวลาต่อมา
                          สำหรับเด็กแรกเกิดไปจนถึงอายุ 3 เดือนแรก เด็กจะนอนมากถึง 16 – 18 ชั่วโมงต่อวัน เพราะยังไม่สามารถแยกแยะเวลากลางวันและกลางคืนได้ ดังเช่น คุณพ่อคุณแม่มือใหม่จะสามารถสังเกตได้ว่า  ลูกของเราชอบนอนเวลากลางวัน และมักที่จะตื่นในเวลากลางคืน ต่อมาพอลูกมีอายุครบได้ 4 – 6 เดือน การนอนกลางวันก็จะเริ่มลดน้อยลง เหลือวันละ 1 – 2 ชั่วโมง  และก็จะยืดเวลาในการนอนกลางคืนยาวขึ้น
                          แต่เมื่อโตขึ้นอายุครบได้ 1 ปี จะลดชั่วโมงการนอนเหลือ 12 – 13 ชั่วโมงต่อวัน และเมื่อลูกอายุได้ 4 – 6 ปี ก็จะไม่นอนกลางวัน และจะนอนกลางคืนเป็นระยะเวลายาวนานเหมือนกับคุณพ่อคุณแม่เลยละค่ะ

                          การนอนทำไมถึงส่งผลกับพัฒนาการทางสมองลูก คลิก!


                          เครดิต: Born J, Wilhelm I. System consolidation of memory during sleep. Psychological Research (2012) 76:192–203

                            สวัสดิการคนจน

                            เปิดแล้ว! สวัสดิการคนจน รอบ 2 มีผล 1 ต.ค. 60 นี้!

                            ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยความคืบหน้า สวัสดิการคนจน พร้อมแจกบัตรเดือนสิงหาคมนี้!

                             

                            กลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันอยู่พักหนึ่งใหญ่ถึง สวัสดิการคนจน ที่ได้เปิดรับสมัครรอบสองไปเมื่อวันที่ 13 เมษายนถึงวันที่ 15 พฤษภาคม 2560 ที่ผ่านมา
                            ว่าจะเป็นการให้เงินหรือว่าเป็นบัตรอะไร จนปีที่มาของหลากหลายกระแส และทุกคนต่างเฝ้ารอว่า จะเกิดสามารถสรุปและมีผลบังคับใช้บัตรดังกล่าวได้เมื่อไหร่
                            ล่าสุด นายสมชัย สัจจพงษ์ ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยถึงความคืบหน้ามาตรการช่วยเหลือประชาชนที่มีรายได้น้อย ที่มีความประสงค์เข้ารอรับสวัสดิการของรัฐว่า “กรมบัญชีกลางได้ทำการสรุปความต้องการใช้เงินในโครงการดังกล่าวแล้ว คาดว่า จะใช้วงเงินไม่เกิน 40,000 ล้านบาทในรอบแรก ซึ่งเป็นการคำนวณตัวเลขเบื้องต้นจากประชาชนที่คาดว่าจะเข้ามาติดต่อขอรับสิทธิดังกล่าวประมาณ 14 ล้านคน”
                            โดยกรมบัญชีกลางจะเริ่มทำการแจกบัตรสวัสดิการภายในเดือนสิงหาคมถึงเดือนกันยายน เพื่อจะได้นำไปใช้ได้ทันในวันที่ 1 ตุลาคมที่จะถึงนี้ และสำหรับผู้ที่มีรายได้ต่อปีต่ำกว่า 30,000 บาทนั้น มาตราการรอบสองที่ว่า อาจมีการเติมเงินให้เช่น กรณีที่มีรายได้ 28,000 บาทต่อปี รัฐอาจจะเติมเงินให้อีก 2,000 บาท แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นยังไม่มีข้อสรุปสำหรับเรื่องนี้ ก็คงต้องรอดูกันต่อไปนะคะ

                            บัตรสวัสดิการคนจนสามารถทำอะไรได้บ้าง คลิก!

                              ผนึก3 สารอาหารสำคัญในนมแม่ (DHA, Choline, Lutein) ช่วยพัฒนาสมอง

                              ใหม่ ครั้งแรก การศึกษาเชิงสังเกตของ Dr. Chetham และ Dr. Sheppard ที่มหาวิทยาลัย North Carolina ประเทศ สหรัฐอเมริกา วัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างสารอาหารในนมแม่ ลูทีน โคลีน และ ดีเอชเอกับความจำของทารกอายุ 6 เดือน โดยการวิเคราะห์สารอาหารสำคัญ ในน้ำนมแม่ที่ให้นมบุตรที่อายุ 3 -4 เดือน และทดสอบความจำ ในทารก 67 คนที่ได้นมแม่ที่นำมาวิเคราะห์ ที่อายุ 6 เดือน เพื่อดูความสัมพันธ์ของผลการทำงานร่วมกันของ DHA Choline Lutein กับความจำทารก ผลการศึกษา แสดงความสัมพันธ์ของทำงานร่วมกัน 3 สารอาหารในนมแม่ที่มี 3 สารอาหารในปริมาณที่สูงกว่า1

                              (ดีเอชเอ &โคลีน, โคลีน & ลูทีน) มีความสัมพันธ์กับกระบวนการสร้างความจำที่ดีกว่าในทารก อย่างไรก็ตามยังต้องการ การศึกษาเพิ่มเติมในการทำงานร่วมกันของสารอาหารเหล่านี้

                              แอลฟา-แล็คตัลบูมิน อีก 1 สารอาหารสำคัญ ที่พบในนมแม่
                              เป็นที่ทราบกันดีว่านมแม่เป็นแหล่งที่ดีที่สุดของสารอาหารต่างๆ เพราะในนมแม่มีสารอาหารที่จำเป็นและสำคัญสำหรับการพัฒนาสมองหลายอย่าง เช่น ดีเอชเอ เอเอ ลูทีน ธาตุเหล็ก และหนึ่งในสารอาหารที่สำคัญคือ แอลฟา-แล็คตัลบูมิน

                              “แอลฟา-แล็คตัลบูมิน” เป็นโปรตีน คุณภาพสูงซึ่งพบได้มากในนมแม่ สำคัญต่อการสร้างสื่อประสาท เช่นทริปโทเฟน ช่วยในการนอนหลับ ทำให้อารมณ์ดี และยังลดความเครียดอีกด้วยผลวิจัยทางการแพทย์แสดงให้เห็นว่าเด็กที่ได้รับนมแม่ จะสร้างสารสื่อประสาทมากกว่า  ส่งผลให้เด็กนอนหลับและมีอารมณ์ดีกว่า ซึ่งในระยะยาวอาจส่งผลดีต่อพฤติกรรม การเรียนรู้ และการพัฒนาสมอง2-5

                              Ref:

                              1. Cheatham CL and Sheppard KW. Synergistic Effects of Human Milk Nutrients in the Support of Infant Recognition Memory: An Observational Study. Nutrients 2015: 7; 9079-95.
                              2. Lonnerdal B, Lien EL. Nutritional and physiologic significance of alpha-lactalbumin in infants. Nutr Rev 2003: 61(9); 295-305
                              3. Steinberg LA, O’Cornell NC, Hatch TF, Picciano MF, Birch LL. Tryptophan intake influences infants’sleep latency. J Nutr 1992: 122(9); 1781-91
                              4. Cubero J, Valero V, etc. The circadian rhythm of tryptophan in breast milk affects rhythms of 6-sulfatoxymelatonin and sleep in newborn. Neuroendocrinology letters 2005: 26(6); 657-61.
                              5. Touchette E, Petit D, Seguin JR, etc. Associations between sleep duration patterns and behavioral/cognitive functioning at school entry. Sleep 2007: 30(9); 1213-9

                              WN/2017/Mar/102/TH

                                Tags

                                ท้องแรกผ่าคลอด

                                ท้องแรกผ่าคลอด ท้องสองคลอดเอง จะได้ไหมนะ

                                คุณแม่ที่เคยผ่าคลอดมาก่อน อาจจะเคยได้ยินว่า ท้องแรกผ่าคลอด ท้องถัดๆ ไป คุณแม่ต้องผ่าคลอดตลอด คำพูดเช่นนี้อาจจะสร้างความสงสัยให้คุณแม่ว่าจริงหรือไม่ บทความนี้มีคำตอบ คลายข้อข้องใจของคุณแม่ได้ค่ะ

                                ท้องแรกผ่าคลอด ท้องสองมีโอกาสคลอดเองสำเร็จมากแค่ไหน

                                คุณแม่ที่เคยผ่าคลอดมาก่อนจะคลอดเองสำเร็จหรือไม่ ขึ้นอยู่กับปัจจัยดังต่อไปนี้

                                • สาเหตุที่ผ่าคลอดในท้องที่แล้ว
                                • คุณแม่เคยคลอดเองมาบ้างหรือไม่ คุณแม่จำนวน 85-90% เลยทีเดียว ที่คลอดเองสำเร็จ ซึ่งคุณแม่เหล่านี้มักจะเป็นคุณแม่ท้องสาม เคยผ่าคลอดในท้องแรกและคลอดเองในท้องที่สองมาแล้วค่ะ
                                • คุณแม่มีปัญหาสุขภาพในการตั้งครรภ์คราวนี้หรือไม่

                                อย่างไรก็ตาม กรณีที่คุณแม่ ท้องแรกผ่าคลอด มาก่อน อาจจะมีโอกาสคลอดเองในท้องต่อไปได้น้อยลง ถ้าหาก

                                • คุณแม่ถูกเร่งคลอดซึ่งส่งผลกระทบต่อแผลที่มดลูก
                                • คุณแม่ที่ผ่าคลอดท้องที่แล้วเพราะการคลอดมีปัญหา คุณแม่ไม่สามารถคลอดเองได้
                                • คุณแม่ที่มีภาวะอ้วนมาก มีค่าเฉลี่ยมวลร่างกาย(BMI) มีค่ามากกว่า 30 (ค่าเฉลี่ยปกติอยู่ที่ 5-22.9) ตั้งแต่ตั้งครรภ์

                                เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                                 

                                สำหรับคุณแม่ที่อยู่ในเงื่อนไขดังต่อไปนี้ คุณหมอไม่แนะนำให้คุณแม่ที่เคยผ่าคลอดมาแล้วคลอดเอง ควรจะรับการผ่าตัดคลอดดีกว่าค่ะ

                                • วันคลอดท้องที่แล้วกับกำหนดคลอดท้องนี้ห่างกันน้อยกว่า 12 เดือน
                                • อายุครรภ์ของคุณแม่เกิน 41 สัปดาห์
                                • ทารกในครรภ์มีน้ำหนักตัวมาก
                                • คุณแม่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป

                                อ่านต่อ อยากคลอดเอง แต่ไม่รู้จะตัดสินใจอย่างไรดี คลิกหน้า 2

                                  เฝ้าระวังไข้หวัดใหญ่ระบาด

                                  เฝ้าระวังไข้หวัดใหญ่ระบาด หลังพบมีผู้ป่วยเสียชีวิตในฮ่องกง

                                  เฝ้าระวังไข้หวัดใหญ่ระบาด กรมควบคุมโรคในประเทศไทยประกาศเตือนกันอีกครั้งกับโรคไข้หวัดใหญ่ ซึ่งหลังจากพบว่าเมื่อไม่กี่วันมานี้พบการระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่ในฮ่องกงจนพบว่ามีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก  ทีมงาน Amarin Baby & Kids มีรายละเอียดในเรื่องนี้มาให้ได้ทราบกันค่ะ

                                   

                                  เฝ้าระวังไข้หวัดใหญ่ระบาด!!!

                                  กรมควบคุมโรคแจ้งเตือน เฝ้าระวังไข้หวัดใหญ่ระบาด หลังพบผู้ป่วยเสียชีวิตจำนวนมากที่ที่ฮ่องกง หวั่นคนไทยป่วย…

                                  กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เผยประเทศไทยเฝ้าระวัง ป้องกันและควบคุมโรคไข้หวัดใหญ่เข้มข้น ทั้งภายในประเทศและมีการประสานข้อมูลในต่างประเทศอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง  ส่วนในกรณีพบการระบาดของไข้หวัดใหญ่ในฮ่องกง นั้น ทางองค์การอนามัยโลก ยังไม่มีคำแนะนำห้ามการเดินทางไปยังประเทศดังกล่าว พร้อมขอให้ประชาชนดูแลสุขภาพของตนเองและใช้มาตรการ “ปิด ล้าง เลี่ยง หยุด” ป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่

                                  (เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2560) –  นายแพทย์เจษฎา  โชคดำรงสุข  อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า จากที่มีรายงานข่าวในต่างประเทศพบการระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่ในฮ่องกงและมีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก นั้น กระทรวงสาธารณสุข โดยกรมควบคุมโรค ได้ติดตามสถานการณ์ดังกล่าวอย่างใกล้ชิด โดยจากการตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้น พบว่ามีรายงานเหตุการณ์ดังกล่าวจริง ซึ่งทางประเทศไทยจะประสานกับหน่วยงานด้านสาธารณสุขที่เกี่ยวข้องในฮ่องกง เพื่อยืนยันข้อมูลอีกครั้ง

                                  ทั้งนี้ จากเหตุการณ์การระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่ในฮ่องกงครั้งนี้ เป็นไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล ส่วนใหญ่ตรวจพบเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ชนิด A (H3N2) แต่ยังไม่พบรายงานการดื้อยาหรือกลายพันธุ์ของเชื้อ จึงไม่พบว่ามีไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่แต่อย่างใด  และทางองค์การอนามัยโลก (WHO) ยังไม่มีคำแนะนำห้ามการเดินทางไปยังประเทศดังกล่าว จึงยังไม่จำเป็นต้องแจ้งเตือนเป็นกรณีพิเศษสำหรับการเดินทางไปยังประเทศนั้นๆ แต่ขอแนะนำผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงและต้องเดินทางไปในเมืองที่มีการระบาดมาก ควรปรึกษาแพทย์เพื่อพิจารณาการฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ก่อนเดินทาง และดูแลสุขภาพของตนเอง  หลีกเลี่ยงการไปสถานที่แออัดหรือมีผู้คนอยู่จำนวนมาก  ไม่คลุกคลีผู้ป่วย ล้างมือบ่อยๆด้วยน้ำและสบู่  ใส่หน้ากากอนามัย หากมีอาการป่วยในขณะอยู่ต่างประเทศหรือกลับมายังประเทศไทยแล้วก็ตาม ขอให้รีบไปพบแพทย์โดยเร็ว เพื่อรับการวินิจฉัยโรคต่อไป

                                  นายแพทย์เจษฎา  กล่าวต่อไปว่า  สำหรับโรคไข้หวัดใหญ่ในประเทศไทยปีนี้ ตั้งแต่ต้นปี 2560 ถึงปัจจุบัน มีรายงานผู้ป่วยแล้ว 43,082 ราย เสียชีวิต 5 ราย  กลุ่มอายุที่พบมากที่สุด คือ อายุ 15-24 ปี (ร้อยละ 11.4) อายุ 25-34 ปี (ร้อยละ 10.7) และอายุ 10-14 ปี (ร้อยละ 10.6) ตามลำดับ  ส่วน 5 จังหวัดแรกที่มีอัตราป่วยต่อประชากรแสนคนสูงสุด คือ ลำพูน เชียงใหม่ ระยอง กรุงเทพมหานคร และอุตรดิตถ์ ตามลำดับ

                                  อ่านต่อ 4 มาตรการป้องกันไม่ให้ป่วยไข้หวัดใหญ่ หน้า 2

                                   

                                  เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                                    มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก

                                    มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก กับสัญญาณเตือนให้ระวัง!

                                    มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก แค่ชื่อก็น่ากลัวจนไม่อยากให้เกิดขึ้นกับผู้หญิงทุกคนแล้วละค่ะ ยิ่งโดยเฉพาะคนที่เป็นแม่หากไม่ เจ็บป่วยด้วยโรคร้ายแรงต่างๆ นั่นย่อมเป็นสิ่งที่ดีที่สุด เพราะอะไรรู้ไหมคะ “คนเป็นแม่ห้ามเจ็บ ห้ามตาย!!” ทีมงาน Amarin Baby & Kids จะมาชวนคุณแม่ และผู้หญิงทุกคนมาเฝ้าระวังสุขภาพให้ห่างไกลจากมะเร็งร้ายที่เยื่อบุโพรงมดลูกกันค่ะ

                                     

                                    มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก กับสัญญาณเตือนร่างกายที่ควรรู้!!

                                    จะดีแค่ไหนถ้าคุณแม่ และผู้หญิงทุกคนได้รู้เท่าทันอาการของ มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก สำหรับมะเร็งชนิดนี้นั้น มักจะเกิดขึ้น ที่อวัยวะสืบพันธ์ของผู้หญิง ซึ่งจะมีสัญญาณเตือนเบื้องต้นให้รู้กันดังนี้…

                                    – มีเลือดออกทางช่องคลอดภายหลังที่หมดประจำเดือนไปแล้ว

                                    – ประจำเดือนมาผิดปกติ เช่น มากะปริบกะปรอย หรือปริมาณมาก หรือจำนวนวันที่มีประจำเดือนมาก

                                    – มีตกขาวมาก

                                    – บางครั้งอาจจะมีอาการปวดท้องน้อย หรือไม่เวลาปัสสาวะก็จะมีอาการขัดๆ

                                    – อาจคลำเจอก้อนในท้องน้อย ซึ่งมักเกิดจากการที่มดลูกมีขนาดโตขึ้น[1]

                                    บทความแนะนำ คลิก >> เป็นเนื้องอกมดลูก มีลูกได้ไหม?

                                    นี่คือสัญญาณเตือนร่างกายที่บอกให้รู้ได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้นภายในมดลูกนั่นเองค่ะ ดังนั้นเมื่อพบอาการแสดงผิดปกติบางอย่างเกิดขึ้นให้คุณแม่รีบไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจอาการในทันทีค่ะ

                                    อ่านต่อ ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดมะเร็งที่เยื่อบุโพรงมดลูก หน้า 2

                                     

                                    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่