ลูกเอาแต่ใจ

ลูกเอาแต่ใจ?! โดดให้รถชนเพราะแม่ไม่ทำตามที่ขอ!

ฮือฮา! ในโลกออนไลน์กับคลิป “ลูกเอาแต่ใจ” กระโดดให้รถชน เพียงเพราะแม่ไม่ทำสิ่งนี้ให้!

 

 

เมื่อไม่กี่ชั่วโมงมานี้ เป็นที่ฮือฮากับพฤติกรรมของเด็กชายคนหนึ่งเกิดอาการคลุ้มคลั่งพยายามจะวิ่งให้รถชน โดยเหตุเกิดที่ถนนชัยพฤกษ์ 1 หน้าบ้านสวนลลนา หมู่ 12 ตำบลหนองปรือ อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี
ภายหลังจากที่เจ้าหน้าที่รุดไปยังที่เกิดเหตุ ก็พบเด็กชาวต่างชาติ คาดว่าจะเป็นชาวจีนร้องเอะอะโวยวายอยู่ที่พื้นข้างถนน โดยเกาะผู้เป็นแม่อยู่ ทั้งเจ้าหน้าที่และคนในระแวกนั้นต่างพากันเข้าให้การช่วยเหลือ ซึ่งจากการสอบถามพบว่า เด็กชายคนดังกล่าวมากับแม่และกลุ่มทัวร์ที่โดยสารมากับรถตู้นั้น เกิดความไม่พอใจที่แม่ลงไปซื้อพิซซ่ามาให้ลูกชาย แทนที่จะเป็นแมคโดนัลด์ที่ลูกชายอยากทาน จึงไม่พอใจและพยายามวิ่งให้รถชน!! แต่โชคดีที่รถเบรกทันทำให้ไม่ได้รับอันตรายใด ๆ
ขณะเดียวกันเด็กชายคนดังกล่าวก็ลงไปนอนชักดิ้นชักงออยู่ที่พื้นถนน ผ่านไป 20 นาทีก็หมดสติไปเอง เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงนำตัวส่งโรงพยาบาลเพื่อให้การช่วยเหลือโดยด่วน
อัพเดทข่าวคราวล่าสุด สาเหตุที่แท้จริงที่น้องต้องแสดงออกขนาดนี้เป็นเพราะ น้องเป็นออทิสติกนั่นเองค่ะ ทั้งนี้ทีมงาน Amarin Baby & Kids ก็มีข้อมูลเกี่ยวกับ วิธีการรับมือกับลูกน้อยที่เป็นออทิสติกมาฝากด้วยเช่นกันนะคะ สนใจอ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่
ชมคลิปเหตุการณ์ดังกล่าว

อย่างไรก็แล้วแต่ เรื่องที่เกิดขึ้นนี้อาจจะถือได้ว่าเป็นข้อยกเว้น และทำให้โลกออนไลน์เข้าใจน้องมากขึ้นว่า ทำไมน้องถึงต้องทำขนาดนี้ และในขณะเดียวกันหากเปรียบเทียบเด็กบางคนที่เติบโตมากับครอบครัวที่ปกติสมบูรณ์ดี ก็ไม่วายที่จะมีพฤติกรรมเอาแต่ใจตัวเอง ซึ่งในวันนี้เราก็ได้เตรียมวิธีการรับมือเมื่อลูกเอาแต่ใจตัวเองมาฝากกันค่ะ

คลิกอ่านสาเหตุหลักที่ลูกเอาแต่ใจได้ที่หน้าถัดไป


เครดิต: Real Clip Channel และ ข่าวสด

    ลูกชอบกรี๊ด

    หมอแนะ! รับมือให้ถูก เมื่อ ” ลูกอาละวาด “

    พบกับวิธีการรับมือเวลาที่ “ลูกอาละวาด ” ได้อย่างแยบยลโดยไม่ต้องลงไม้ลงมือให้เจ็บปวดใจทั้งสองฝ่าย

     

     

    จะเกิดอะไรขึ้น เมื่ออยู่ดี ๆ ลูกน้อยที่แสนจะน่ารักน่าชัง พูดจาไพเราะ กลับกลายเป็นเด็กก้าวร้าว อาละวาด เริ่มขว้างปาข้าวของ กระทืบเท้าและลงไปนอนชักดิ้นชักงอที่พื้น คุณพ่อคุณแม่รับมือกันอย่างไร เดินหนี ดุ ว่า หรือตี?! แน่นอนค่ะว่าการตีนอกจากจะทำให้ลูกเจ็บตัวและเสียใจแล้ว คนเป็นพ่อเป็นแม่อย่างเรา ๆ ก็เจ็บที่ใจด้วยเช่นกัน ก็ใครละคะ จะไปอยากตีกล่องดวงใจของตัวเอง
    ดังนั้น วันนี้เราจะขอยกตัวอย่างเหตุการณ์จากคุณแม่ทางบ้านพร้อมกับคำแนะนำจากคุณหมอผู้เชี่ยวชาญทางด้านของพฤติกรรมเด็กมาฝากกัน จะเป็นอย่างไรนั้น เราไปอ่านบทความนี้พร้อม ๆ กันเลยค่ะ
    สวัสดีค่ะคุณหมอ ดิฉันมีลูกสาวหนึ่งคน ตอนนี้อายุได้ 3 ขวบครึ่งแล้วค่ะ แกเป็นเด็กฉลาด พูดเก่ง คล่องแคล่วว่องไวกว่าเพื่อน ๆ ในวัยเดียวกัน แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้คุณแม่รู้สึกหนักใจ และรู้สึกว่าเป็นพฤติกรรมที่ยากเกินกว่าจะรับได้ก็คือ
    ทุกครั้งเวลาที่มีเพื่อนมาเล่นที่บ้าน แล้วมาจับของเล่นที่ลูกกำลังเล่นอยู่หรือไม่ได้เล่นแล้ว ลูกของคุณแม่จะร้องกรี๊ดไม่พอใจ ทำให้ตอนนี้คุณแม่ไม่กล้าที่จะชวนใครมาเล่นที่บ้านแล้วละค่ะ แล้วเดี๋ยวนี้ลูกสาวของคุณแม่นอกจากจะชอบร้องกรี๊ดแล้วยังอาละวาดอย่างหนักในทุก ๆ เรื่อง แถมยังชอบออกคำสั่งให้คุณแม่หรือคนในบ้านทำตามในสิ่งที่เขาต้องการ หากไม่ทำตาม หรือคุณพ่อมาช่วยเขาจะรู้สึกไม่พอใจมาก ๆ เลยละค่ะ ยกตัวอย่างเช่น 
    ลูกสาวคุณแม่สั่งให้คุณแม่ไปแต่งตัวให้ แต่ขณะนั้นคุณแม่ไม่ว่าง พอคุณพ่อมาช่วยทำเขาก็จะไม่พอใจร้องกรี๊ดและทิ้งเสื้อผ้าที่คุณพ่อใส่ให้ พร้อมกับขว้างกล่องนมที่คุณพ่อเตรียมให้ แต่ถ้าหากคุณแม่ทำให้ ลูกก็จะสงบลง ปัญหาคือ ตอนนี้คุณแม่ต้องดูแลลูกคนเล็กอีกคน ที่ตอนนี้อายุเพียง 4 เดือน เลยรู้สึกว่าตัวเองเหนื่อยเพราะนอกจากจะต้องดูแลคนเล็กอย่างใกล้ชิดแล้ว ลูกสาวคนโตยังเรียกร้องความสนใจจากคุณแม่อีก คุณหมอว่าคุณแม่จะต้องทำอย่างไรดีคะ

    คลิกอ่านคำตอบของคุณหมอได้ที่นี่ค่ะ

      ผ้าห่อตัวเด็ก

      สลด! ผ้าห่อตัวเด็ก พรากชีวิตทารกวัย 3 เดือน

      แม่! ร่ำไห้แทบขาดใจ หลังสูญเสียลูกวัย 3 เดือน เนื่องจาก ผ้าห่อตัวเด็ก ไปติดกับยางล้อรถจักรยานยนต์!

       

       

      คุณพ่อคุณแม่ทราบหรือไม่คะว่า การห่อตัวลูกให้ถูกวิธีนั้น นอกจากจะช่วยให้ลูกรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยแล้ว ยังสามารถช่วยป้องกันโรคไหลตายหรืออุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นได้ด้วยเช่นกัน ดังเช่นเหตุการณ์ที่เรานำมาฝากในวันนี้ เป็นข่าวคราวการสูญเสียที่เกิดขึ้นกับครอบครัวหนึ่ง ที่ลูกวัยเพียง 3 เดือนนั้นต้องจบชีวิตลงเพราะ ผ้าห่อตัวเด็กไปติดกับยางล้อรถจักรยานยนต์ในขณะที่คุณพ่อคุณแม่ขับรถกลับบ้าน
      คุณพ่อเล่าว่า ในขณะที่กำลังขับจักยานยนต์อยู่นั้น ได้ยินเสียงภรรยาร้องเสียงดังจีงรีบจอดรถดูแล้วพบว่า ผ้าห่อตัวเด็กที่ใช้ห่อตัวลูกสาวนั้น ไปติดแน่นอยู่กับยางล้อรถจนสลบไป จึงได้เรียกหน่วยกู้ภัยให้รีบให้การช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน ด้านเจ้าหน้าที่ต้องใช้เวลา 1 ชั่วโมงกว่าที่จะถอดวงล้อรถจักรยานยนต์ และนำร่างของน้องออกมาได้ จึงได้รีบให้การช่วยเหลือด้วยวิธีการทำ CPR แต่น่าเศร้าที่ไม่สามารถช่วยชีวิตของทารกน้อยรายนี้เองไว้ได้
      ด้านคุณแม่วัย 17 ปีให้การว่า ตนและลูกสาวได้นั่งซ้อนท้ายรถจักรยนยนต์ของสามีเพื่อกลับบ้าน แต่ระหว่างทางขณะที่รถกำลังวิ่งและมีลมปะทะเข้ามา ทำให้ปลายผ้าห่มของลูกสาวเข้าไปติดพันกับยางล้อรถ จึงบอกให้สามีรีบจอดรถและขอความช่วยเหลือจากชาวบ้านในระแวกนั้น แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถยื้อชีวิตของลูกสาวเอาไว้ได้
      เจ้าหน้าที่ตำรวจกล่าวว่า เหตุการณ์ในครั้งนี้เป็นอุบัติเหตุที่เกิดจากความไม่ตั้งใจของทั้งคุณพ่อและคุณแม่ แต่อย่างไรก็ตามเจ้าหน้าที่ก็ได้เชิญตัวทั้งคู่เพื่อไปทำการสอบปากคำไว้เป็นหลักฐานต่อไป

      ดังนั้น เพื่อเป็นการป้องกันอุบัติเหตุที่อาจจะเกิดขึ้นได้ ทีมงาน Amarin Baby & Kids ก็ได้เตรียมวิธีการห่อตัวลูกที่ปลอดภัยและถูกต้องมาฝากคุณพ่อคุณแม่ทุก ๆ คนค่ะ

      ห่อตัวลูกอย่างไรให้ปลอดภัย


      เครดิต: Sharekhao และ โต๊ะข่าวชาวบ้าน
        ลูกเป็นหวัด

        วิธีสังเกต ลูกเป็นหวัด เพราะเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรีย

        รู้ให้เท่าทัน! รักษาให้ถูกโรค ลูกเป็นหวัด ชนิดไหนกันแน่ ไปหาคำตอบพร้อม ๆ กันค่ะ

         

         

        คุณพ่อคุณแม่เคยสงสัยกันไหมคะว่า เวลาที่คุณหมอวินิจฉัยว่า ลูกของเรานั้นเป็นหวัดประเภทไหนนั้น ทำไมคุณหมอเขาสามารถแยกแยะออก แล้วหวัดที่ว่า ระหว่างการติดเชื้อไวรัสกับแบคทีเรียต่างกันอย่างไร   วันนี้ คุณหมอศาธิณี ลิมปิสุข แพทย์เวชศาสตร์ทั่วไป โรงพยาบาลกรุงเทพ จะมาไขข้อสงสัยของเรากันค่ะ
        คุณหมอกล่าวว่า “หวัด” ของแต่ละคนนั้นมีอาการแตกต่างกัน แต่สาเหตุการเกิดโรคหวัดนั้นมาจากสาเหตุเดียวกันนั่นก็คือ การติดเชื้อในทางเดินหายใจส่วนบน

        ทำไมเราถึงควรแยกแยะให้ออกว่าเป็นหวัดประเภทไหน?

        เป็นเพราะว่า หวัดแต่ละประเภทนั้น มีการรักษาที่แตกต่างกัน แต่ส่วนใหญ่ที่พบจากผู้ป่วยโดยทั่วไปนั้นพบว่า จะเป็นหวัดไวรัส คือมีอาการเจ็บคอเล็กน้อย มีน้ำมูกไม่มาก มีไอจาม แล้วรู้สึกเพลีย สามารถหายเองได้ เพียงแค่พักผ่อนให้เพียงพอ
        แยกได้หรือไม่ได้ ไม่แปลกค่ะ อย่าว่าแต่เด็กเลยนะคะ แม้แต่ผู้ใหญ่บางคน อาจจะไม่ทันสังเกตหรือไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่า ตัวเองเป็นหวัด   แค่รู้สึกว่าตัวเองปวดหัว พอทานยาแก้ปวดก็หายเองได้โดยไม่จำเป็นต้องไปพบแพทย์ เพราะหวัดที่เกิดจากไวรัสในอากาศนั้น ไม่มียารักษาโดยตรง ก็มักจะให้ยารักษาตามอาการ และก็รอให้หายเองเท่านั้น
        แต่อย่างไรก็ดี หากเรารู้และแยกแยะออก การรักษาก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป เห็นด้วยไหมละคะ

         

        จะรู้ได้อย่างไรว่าลูกเป็นหวัดแบบไหน

          วิธีคำนวณ ส่วนสูงเด็ก

          วิธีคำนวณ ส่วนสูงเด็ก ทำได้ด้วย 2 วิธี

          วิธีคำนวณ ส่วนสูงเด็ก เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่พ่อแม่อยากรู้กันมากว่า ลูกๆ ของตัวเองนั้นจะสูงเท่าไหร่กันนะ!? เพราะเราใน ฐานะพ่อแม่ก็คงไม่อยากให้ลูกๆ เติบโตขึ้นไม่สูงสมส่วนได้มาตรฐานกันจริงไหมคะ เอาเป็นเราลองไปคำนวณส่วนสูงเด็กกันค่ะ ซึ่งทีม Amarin Baby & Kids มีวิธีคำนวณอย่างง่ายๆ มาฝากกันค่ะ

           

          วิธีคำนวณ ส่วนสูงเด็ก

          ก่อนที่จะทราบกันว่าลูกๆ ของเรานั้นจะสูงกันเท่าไหร่ด้วย วิธีคำนวณ ส่วนสูงเด็ก ที่สามารถหาค่าเฉลี่ยส่วนสูงกันได้ด้วย 2 วิธี เราจะไปดูกันก่อนว่าส่วนสูงของเด็กๆ นั้นต้องขึ้นอยู่กับปัจจัยใดบ้างค่ะ…

          1. กรรมพันธุ์ หากพ่อแม่มีสัดส่วนความสูงที่ไม่มาตรฐาน คือ ผู้ชายหากสูงไม่ถึง 168-180 เซนติเมตรถือว่าเตี้ย และ ผู้หญิงหากสูงไม่ถึง 156-160 เซนติเมตร ถือว่าเตี้ย
          2. การเจ็บป่วย พ่อแม่สูงได้มาตรฐาน แต่เมื่อลูกคลอดออกมาและมีการเจริญเติบโตทางร่างกายที่สูงไม่สมส่วนไม่ได้ มาตรฐานตามวัย ส่วนหนึ่งอาจมาจากการเจ็บป่วยที่มาจากฮอร์โมนบางตัว ที่ส่งผลกระทบต่อพัฒนาการการเติบโตของร่างกาย
          3. นอนพักผ่อนไม่เพียงพอ ในเด็กตั้งแต่แรกเกิด จนกระทั่งเติบโตขึ้นตามวัย การนอนหลับพักผ่อนในช่วงกลางคืน ควรนอนให้ได้ 10 ชั่วโมงขึ้นไป โดยที่ชั่วโมงการนอนกลางคืน และกลางวันจะลดลงตามวัยที่โตขึ้นของเด็กเองอัตโนมัติ ที่จะเหลือประมาณ 8-10 ชั่วโมง ถือเป็นมาตรฐานตามปกติเหมือนกับในผู้ใหญ่ แต่หากลูกนอนดึกมาก คือเข้านอนหลัง 3 ทุ่มขึ้นไป จะส่งผลกระทบต่อการเจริญเติบโต เนื่องจากการนอนหลับสนิทดีตั้งแต่หัวค่ำเป็นต้นไป ร่างกายจะผลิตโกรทฮอร์โม(Growth hormones) ที่มีคุณภาพออกมาได้ดี ซึ่งโกรทฮอร์โมนคือฮอร์แห่งการเจริญวัย
          4. อาหารที่ไม่เหมาะสม อาหารคือหนึ่งในปัจจัยสี่ที่สำคัญมาก ซึ่งเด็กควรได้รับอาหารที่มีประโยชน์ครบ 5 หมู่ และเหมาะสมตามช่วงวัย อาหารที่มีส่วนช่วยให้ร่างกายเจริญเติบโตได้ดี คือ อาหารประเภทโปรตีน แคลเซียม ซึ่งควรได้รับอย่างเหมาะสมและได้รับอย่างสม่ำเสมอ ก็จะช่วยให้ลูกมีพัฒนาการการเจริญเติบโตเป็นไปตามมาตรฐานสมวัย
          5. การออกกำลังกาย มีส่วนสำคัญไม่น้อยที่จะช่วยลูกมีพัฒนาการร่างกายเติบโตขึ้นอย่างสมวัยได้มาตรฐาน
          บทความแนะนำ คลิก >> 3 เทคนิค เพิ่มความสูงให้ลูก

          เห็นไหมคะว่า ความสูงของลูกต้องขึ้นอยู่กับหลายๆ องค์ประกอบด้วยกัน คือจะรอแค่ให้ลูกมีส่วนสูงเป็นไปตามวัยอย่างเดียวก็คงไม่ได้แล้วในปัจจุบันนี้ ดังนั้นจะดีมากหากพ่อแม่ช่วยกันกระตุ้น และส่งเสริมให้ลูกมีความสูงอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน หรือจะสูงกว่ามาตรฐานก็ย่อมเป็นเรื่องที่ดีต่อตัวของลูกๆ ทั้งนั้นค่ะ

          อ่านต่อ 2 วิธีคำนวณส่นสูงให้ลูก หน้า 2

           

          เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

            ลูกเหวี่ยงวีน

            ลูกเหวี่ยงวีน จะจัดการลงโทษอย่างไร?

            ลูกเหวี่ยงวีน เป็นปัญหาหนักใจของพ่อแม่อย่างมาก ยิ่งกับเด็กที่อายุ 1-3 ขวบ เมื่อถูกขัดใจเขาจะแสดงอารมณ์โกรธออกมา แต่รูปแบบที่ต่อต้านว่าไม่พอใจก็คือจะลงไปนอนดิ้นอาละวาดกับพื้น ร้องตะโกนเสียงดัง กระทืบเท้าแล้วก็กรี๊ดๆๆ พ่อแม่คนไหนอ่อนแอก็แพ้ไปค่ะ  ทีมงาน Amarin Baby & Kids มีวิธีเปลี่ยนลูกขี้วีนด้วยวิธีละมุนละม่อมแต่ได้ผลมาฝากกันค่ะ

             

            ลูกเหวี่ยงวีน อาละวาด เพราะอะไร?

            เวลาที่ถูกขัดใจ หรือไม่ได้ดั่งใจอาการ ลูกเหวี่ยงวีน อารมณ์บูด หน้าบึ้ง ออกฤทธิ์ด้วยการอาละวาดบ้านแตกจะมีมาพิสูจน์จิตใจพ่อแม่อยู่เรื่อยๆ ค่ะ ทำเอาปวดหัวไม่รู้จะจัดการกับลูกอย่างไรดี เพราะแค่ลำพังคนในบ้านก็สุดจะทนแล้ว แต่นี่ลูกยังไปแสดงกิริยาไม่น่ารักนี้ต่อหน้าผู้คนนอกบ้านอีก ใครเป็นพ่อแม่ก็ไม่อยากให้คนอื่นๆ มองลูกเราเป็นเด็กดื้อไม่น่ารักกันถูกไหมคะ อย่างน้อยก็มีบ้านผู้เขียนนี่แหละที่ไม่อยากให้ลูกๆ หลานๆ ที่บ้านเป็นเด็กขี้เหวี่ยง ขี้วีน แต่เชื่อไหมคะต่อให้เราดูแลเด็กๆ ดียังไง ก็มีบ้างที่พวกเขาจะแสดงพฤติกรรมไม่น่ารักนี้ออกมาให้คนที่บ้านได้ใจเต้นไม่เป็นจังหวะ และปวดหัวกันค่ะ

            บทความแนะนำ คลิก >> 4 วิธีปราบลูกดื้อ วางอำนาจ เอาแต่ใจ จากนักจิตวิทยาต่างประเทศชื่อดัง (มีคลิปเหตุการณ์จริง)

            การร้องดิ้นอาละวาด (Tantrums) หรืออาการเหวี่ยงวีนที่เกิดขึ้นกับเด็กนั้น มักจะพบว่าเกิดขึ้นกับเด็กในช่วงอายุ 1-3 ปี เพราะเด็กช่วงวัยนี้เริ่มที่จะมีความเป็นตัวของตัวเอง เวลาที่ถูกขัดใจก็มักจะโกรธพ่อแม่ หรือไม่ก็คนรอบข้างที่อยู่ด้วย เวลาเด็กๆ มีความรู้และอารมณ์โกรธที่คกกรุ่นอยู่ภายในใจ เขาก็มักที่จะเลือกปดปล่อยออกมาด้วยการแสดงอาการกรีดร้อง กระทืบเท้า ตะโกน หรือถ้าหนักหน่อยก็อาจจะตีคนที่อยู่รายล้อมด้วย ทั้งพ่อแม่ พี่ญาติพี่น้อง เป็นต้น

            อ่านต่อ ทำโทษลูกรูปแบบไหนดี หน้า 2

             

            เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

              อีสุกอีใส

              “อีสุกอีใส” โรคติดต่อที่ดูไม่น่ากลัว แต่อันตรายถึงชีวิตลูก!

              แม่เตือน! อันตรายถึงชีวิต อย่าคิดมองข้ามการฉีดวัคซีนโรค “อีสุกอีใส” ให้กับลูกเด็ดขาด!

               

               

              ภายหลังจากที่คุณแม่หายป่วยจากโรคอีสุกอีใส ก็ต้องพบว่า ลูกชายคนเล็กวัย 11 เดือนนั้น ได้รับเชื้อไวรัสจากเธอ! โดยคุณแม่สังเกตเห็นว่า ลูกชายคนเล็กนั้นเริ่มมีเม็ดขึ้นตามร่างกาย จึงได้รีบนำตัวไปส่งโรงพยาบาล
              อีสุกอีใส
              อีสุกอีใส
              ผลการตรวจก็ทำให้เธอถึงกับตกใจที่พบว่า ลูกชายนั้นติดเชื้อ “ไวรัสวาริเซลล่า” ซึ่งเป็นไวรัสชนิดเดียวกับที่ทำให้เป็นโรคงูสวัด คุณแม่แทบไม่เชื่อว่าลูกชายอายุเพียงแค่นี้จะสามารถป่วยเป็นโรคอีสุกอีใสได้แล้ว แต่โชคดีที่เธอพาลูกชายมาพบคุณหมอได้ทันเวลา
              อีกทั้งลูกชายคนโตก็ได้รับการฉีดวัคซีนโรคนี้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว จึงรอด … และด้วยเหตุนี้เอง ทำให้เธอรู้เลยว่า การพาลูกไปฉีดวัคซีนโรคนี้สำคัญมากน้อยเพียงใด จึงอยากที่จะออกมาเผยแพร่เรื่องราวนี้ให้กับทุก ๆ ครอบครัว อย่าคิดว่าโรคดังกล่าวนั้นไม่อันตราย เพราะถ้าหากปล่อยทิ้งไว้แล้วลูกเป็นขึ้นมา อาจจะทำให้รุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้

              โรค “อีสุกอีใส” คืออะไร?

              โรคอีสุกอีใส นั้นสามารถเรียกอีกอย่างได้ว่า โรคฝีดาษไก่ เป็นโรคที่ติดต่อได้จากเชื้อไวรัสวาริเซลลาซอสเตอร์ เป็นโรคที่ระบาดได้ง่ายและแพร่กระจายได้โดยการแพร่เชื้อผ่านทางอากาศของละอองที่มาจากทางเดินหายใจ หรือจากของเหลวที่มาจากแผลตุ่มน้ำบนผิวหนัง ของผู้ที่เป็นโรคอีสุกอีใสหรือโรคงูสวัด
              ผู้ที่ติดเชื้ออีสุกอีใสจะมีไข้และผื่นคัน โดยปกติแล้วผื่นจะเห่อขึ้นมากกว่า 5 วันโดยจะเริ่มขึ้นเป็นตุ่มน้ำบนหนังศีรษะและใบหน้าก่อน แล้วจึงจะเคลื่อนไปที่ลำตัวและตามแขนขา ผื่นจะขึ้นโดยส่วนมากตามลำตัว ตุ่มน้ำจะคันและหลังจากนั้นจะแห้งลงและกลายเป็นสะเก็ดในระยะเวลาประมาณ 3 วัน ผู้ที่เป็นโรคอีสุกอีใสส่วนมากจะหายเป็นปกติใน 2 ถึง 4 สัปดาห์

              อ่านอาการของโรคได้ที่หน้าถัดไป


              เครดิต: news.com.au

                ลูกโดนน้ำร้อนลวก

                ตะลึง! ลูกโดนน้ำร้อนลวก แต่แม่กลับรักษาด้วยวิธีนี้!

                คนแถวบ้านถึงกับอึ้ง! เมื่อรู้ว่า แม่วัยละอ่อน! ทำสิ่งนี้กับ ลูกโดนน้ำร้อนลวก !

                 

                 

                เรื่องนี้เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงกับสมาชิกเพจคนหนึ่งของเราค่ะ โดยคุณแม่ได้ติดต่อมาเพื่อเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับคนแถวบ้าน พร้อมกับขอให้เราช่วยเป็นสื่อกลางในการนำเสนอวิธีการดูแลเมื่อ ลูกโดนน้ำร้อนลวก ว่าต้องทำอย่างไร เพราะสิ่งที่คุณแม่ท่านนี้เจอนั้น ท่านเล่าว่า เด็กตัวเล็ก ๆ คนนึง ต้องเกือบเสียแขนข้างขวาของตัวเองไป เพียงเพราะแม่ทำสิ่งนี้! คุณแม่ได้เล่าให้กับทีมงานของเราได้ฟังว่า
                เย็นวันนั้น ในขณะที่คุณแม่กำลังป้อนข้าวลูกอยู่หน้าบ้าน ก็ได้ยินเสียงร้องของลูกสาวของเพื่อนข้างบ้าน ที่มีอายุเพียง 2 ปีร้องลั่นด้วยน้ำเสียงที่เจ็บปวด ด้วยความสนิทประกอบกับความเป็นห่วง คุณแม่จึงรีบวิ่งเข้าไปดูพบว่า น้องกำลังนอนพลิกตัวไปมาอยู่ คุณแม่จึงถามว่าเกิดอะไรขึ้น
                เพื่อข้างบ้านบอกว่า ในขณะที่เขากำลังตั้งกาน้ำร้อนเพื่อเตรียมจะต้มน้ำชงนมอยู่นั้น ลูกสาวก็วิ่งซนไปมาแล้วไปคว้ากาน้ำร้อนที่อยู่ในเตา ทำให้กาน้ำล้มลงมา แต่โชคดีที่ราดแค่แขนข้างขวาเท่านั้น! คุณแม่ก็เลยถามว่า แล้วได้ทำการปฐมพยาบาลเบื้องต้นน้องไปแล้วหรือยัง คนแถวบ้านบอกว่าทำแล้วด้วยการใช้น้ำปลาราดไปที่แขนของน้อง!!
                พอได้ฟังเท่านั้นแหละ คุณแม่รีบเอาผ้าชุบน้ำเย็นจัดประคบแขนของน้อง! แล้วรีบนำตัวส่งโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดทันที! เมื่อไปถึงที่โรงพยาบาล คุณหมอก็รีบทำการปฐมพยาบาลน้องอีกครั้งนึง พร้อมกับถามว่าก่อนหน้านี้ได้มีการปฐมพยาบาลน้องมาอย่างไรบ้าง พอคุณหมอทราบว่า คุณแม่ของน้องเอาน้ำปลาราดเท่านั้น คุณหมอก็ตำหนิทันทีพร้อมกับกล่าวว่า โชคดีนะที่พามาโรงพยาบาล มิเช่นนั้นละก็ แผลอาจจะอักเสบติดเชื้อจนอาจทำให้น้องสูญเสียแขนข้างขวานี้ไปเลยก็ได้!!

                อ่านวิธีการปฐมพยาบาลเบื้องต้นเมื่อลูกโดนน้ำร้อนลวก

                  แยมสตอเบอรี่ ยี่ห้อไหนดี

                  เลือกซื้อ แยมสตรอเบอร์รี่ ยี่ห้อไหนดี ไม่ทำลายสุขสภาพลูกน้อย

                  แยมสตอเบอรี่ ยี่ห้อไหนดี … ซึ่ง แยม เป็นของหวานประเภทหนึ่ง ใช้รับประทานโดยการทาลงบนขนมปังเพื่อเพิ่มรสชาติให้ขนมปังอร่อยมากขึ้น แยมมักจะทำมาจากผลไม้ หากลูกน้อยของคุณชอบทานขนมปังทาแยม แล้วคุณแม่จะเลือกซื้อ แยมโดยเฉพาะรสชาติยอดฮิตอย่าง แยมสตรอเบอรี่ ยี่ห้อไหนดี ที่ไม่ทำลายสุขสภาพของลูกน้อยและทุกคนในครอบครัว Amarin Baby & Kids มีคำตอบมาฝากค่ะ

                  เลือกซื้อ แยมสตรอเบอร์รี่ ยี่ห้อไหนดี ไม่ทำลายสุขสภาพลูกน้อย

                  แยมสตอเบอรี่ ยี่ห้อไหนดี

                  แยมเป็นการถนอมอาหารโดยใช้น้ำตาลความเข้มข้นสูง เพื่อป้องกันการเติบโตของจุลินทรีย์ ถือเป็น อาหารหวานประเภทหนึ่งใช้ทานกับขนมปัง มีลักษณะคล้ายเยลลี่แต่ไม่จับตัวเป็นก้อน โดยมีวิธีการผลิตคือการนำของที่จะทำเป็นแยม (เช่น ผลไม้ชนิดต่างๆ) มาต้มกับน้ำและน้ำตาล เพื่อให้สารเคมีในตัวของผลไม้ทำปฏิกิริยากับน้ำตาล แล้วปล่อยทิ้งไว้ให้เย็นก็จะได้แยมตามที่ต้องการ โดยแยมสามารถแบ่งเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ ดังนี้

                  • แยมหวาน แยมชนิดนี้จะมีรสหวาน ตั้งแต่หวานมากจนกระทั่งหวานน้อย แต่แยมในชนิดนี้จะไม่นิยมทาขนมปังมากๆ เพราะมันจะหวานเลี่ยน เช่น แยมผลไม้ ต่างๆ เป็นต้น
                  • แยมที่ไม่หวาน เป็นแยมที่ไม่มีรสหวาน เช่น แยมธัญพืช แยมไก่ เป็นต้น

                  กระบวนการทำแยม

                  แยมประกอบไปด้วยส่วนผสมหลักๆที่สำคัญ 3 อย่างด้วยกัน นั่นก็คือ น้ำตาล เพกติน และกรด ผสมกันในสัดส่วนที่เหมาะสม

                  น้ำตาล ซึ่งเป็นตัวที่ทำให้เกิดเป็นรสชาติ อีกทั้งยังช่วยให้เพกตินก่อตัวเป็นเจลด้วยดึงน้ำออกมาจากเพกติน ซึ่งก็ถือเป็นข้อดีที่ช่วยให้ยืดอายุการเก็บของแยมได้นานขึ้น นั่นก็เป็นเพราะว่าความชื้นทำให้อาหารเน่าเสียได้เร็ว เมื่อมีน้ำตาลอยู่มาก ก็จะไม่มีที่เหลือให้น้ำได้อยู่ แบคทีเรียก็ไม่สามารถเจริญเติบโตได้

                  อย่างไรก็ดี ปริมาณน้ำตาลสุดท้ายในแยมควรจะอยู่ที่ 65-69% ซึ่งหากคุณแม่จะเลือกซื้อแยม ที่ดีมีประโยชน์ต่อสุขภาพของลูกน้อยควรเลือกแยมที่มีส่วนประกอบของน้ำตาลที่ไม่มากจนเกินไป เพื่อไม่ให้ลูกน้อยติดหวาน หรือมีค่าน้ำตาลเกินจากการกินแยมเหล่านี้ ซึ่งอาจเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวานได้ตั้งแต่เด็กนั่นเอง

                  ซึ่งจากข้อมูลขององค์การอนามัยโลก แนะนำให้คนเราควรรับประทานน้ำตาลแค่วันละ 6 ช้อนชา (หรือประมาณ 2 ช้อนโต๊ะ) เท่านั้น เพื่อหลีกเลี่ยงโรคเบาหวาน ที่ถูกยกระดับให้เป็นโรคอันตรายเทียบเท่า “โรคเอดส์” แต่ที่น่าตกใจคือจากการสำรวจของกรมอนามัย และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กลับพบว่า คนไทยบริโภคน้ำตาลมากถึงวันละ 20 ช้อนชา เกินกว่าปริมาณแนะนำถึง 3 เท่า โดยเฉพาะเด็ก ๆ ที่ชอบกินขนม ลูกอม ของหวาน และดื่มน้ำอัดลมวันละหลายขวด หลายกระป๋อง จึงเห็นได้ว่าเด็กไทยจำนวนมากในยุคนี้มีภาวะน้ำหนักเกินตามมานั่นเอง จนสถิติ อ้วนลงพุงของเด็กไทยพุ่งสูงขึ้นที่สุดในโลก และในรอบ 5 ปีที่ผ่านมานี้ พบเด็กไทยอายุต่ำกว่า 15 ปี ป่วยเป็นโรคเบาหวานเพิ่มขึ้นถึง 6 เท่า ขณะเดียวกันยังพบว่า มีคนไทยถึง 17 ล้านคน ดื่มน้ำอัดลมทุกวัน ไม่แปลกเลยที่สถิติผู้ป่วยโรคเบาหวาน โรคอ้วน จะพุ่งสูงขึ้นตามไปด้วย และสำหรับในเด็กอายุ 6-13 ปี จะมีปริมาณพลังงานที่ใช้ต่อวัน 1600 kcal ก็มีปริมาณน้ำตาลที่เหมาะสมต่อวันไม่เกิน 4 ช้อนชา

                  ข้อมูลอ้างอิงจาก : www.lovefitt.com

                  เพกติน จะพบได้ตามธรรมชาติในผนังเซลล์ของพืช ได้แก่ เปลือกหรือแกนของผลไม้ มีโครงสร้างโมเลกุลน้ำตาลเรียงต่อกันยาว เมื่อเราเอาผลไม้ไปเคี่ยวหรือผ่านความร้อน เพกตินก็จะถูกปล่อยออกมา และเมื่อมันไปรวมกับน้ำตาลและกรดในสัดส่วนที่เหมาะสม โมเลกุลที่เรียงกันยาวเหมือนลูกโซ่นี้มันก็จะไปเชื่อมต่อกัน ซึ่งอุณหภูมิที่ใช้ก็ประมาณ 104°C และหลังจากที่มันเย็นตัวลงแล้วแยมก็จะเกาะกัน

                  อย่างไรก็ตาม ผลไม้แต่ละชนิดก็จะมีปริมาณเพกติน มากน้อยต่างกัน ที่มีมากก็คือ แอปเปิ้ล แบล็คเคอร์แรนท์ และองุ่น ส่วนที่มีน้อยกว่าก็ได้แก่ พวกเบอร์รี่ทั้งหลาย ซึ่งถ้าจะเอามาทำแยมก็ต้องเอาผลไม้ที่มีเพกตินมากกว่ามาผสมหรือใช้เพกตินสกัดแทนก็ได้

                  อ่านต่อ >> “ส่วนประกอบสำคัญในแยม และรีวิวแยมสตรอเบอร์รี่ เทียบส่วนประกอบเนื้อเน้นๆ รวม 19 ยี่ห้อ” คลิกหน้า 2

                  อ่านต่อ “บทความดีๆ น่าสนใจ” คลิก!

                  เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                   

                    แม่ดุลูก

                    นักจิตวิทยาชี้ “การดุลูก” ส่งผลให้ลูกเป็นโรคซึมเศร้า

                    ” การดุลูก “ ทำได้…แต่!! ต้องพองาม มิเช่นนั้น อาจก่อให้เกิดความสูญเสียไปตลอดชีวิต

                     

                    นักจิตแพทย์กล่าวว่า “การขึ้นเสียงหรือส่งเสียงดัง” เพื่อดึงความสนใจให้ลูกฟังหรือเปลี่ยนพฤติกรรมนั้น ส่วนใหญ่แล้วจะไม่ค่อยได้ผล   เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่คุณเริ่มส่งเสียงดัง ลูก ๆ ก็จะเริ่มเข้าสู่โหมดชัดดาวน์ตัวเองทันที!”
                    นอกจากนี้ ยังมีงานวิจัยพบว่า เด็กที่มักโดนคุณพ่อคุณแม่ตะคอกอยู่เสมอนั้น จะมีแนวโน้มมีปัญหาด้านพฤติกรรม มีอาการซึมเศร้า และเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ ก็จะไม่มีความพึงพอใจในความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง
                    ดังเช่นเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ ที่สามารถเป็นอุทาหรณ์ให้กับทุก ๆ ครอบครัวได้เป็นอย่างดีเลยละค่ะ เมื่อ น้องโน้ต (นามสมมุติ) เด็กนักเรียนชายวัย 10 ปี กำลังศึกษาอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ของโรงเรียนเอกชนชื่อดังแห่งหนึ่ง ตัดสินใจจบชีวิตของตัวเองลงด้วยการกระโดดตึกคอนโดที่อยู่อาศัยของตัวเอง โดยมีสาเหตุมาจากการมีปากเสียงกับคุณแม่
                    การดุลูก
                    เครดิต: คมชัดลึก
                    ภายหลังจากที่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการสอบสวนนางแพรว (นามสมมุติ) วัน 28 ปี ซึ่งเป็นคุณแม่ของน้องโน้ต   จึงได้ความว่า ก่อนเกิดเหตุนั้น น้องโน้ต ลูกชายกำลังจะเดินทางไปโรงเรียน แต่ถือวิสาสะหยิบเงินในกระเป๋าของคุณแม่ไปโดยพลการ ตนจึงได้เรียกลูกชายมาต่อว่า ทำให้ลูกอารมณ์เสียไม่พอใจ พร้อมกับมีท่าทีเอะอะโวยวาย ก่อนที่จะเก็บตัวอยู่แต่ในห้องลำพังและไม่ยอมไปโรงเรียน
                    พอตกบ่าย ตนคิดว่าลูกจะดีขึ้น แต่กลับกลายเป็นว่า ลูกชายกลับก่อเหตุด้วยการกระโดดออกจากหลังห้องที่อยู่ชั้น 16  ทำให้ร่างของน้องร่วงลงไปกระแทกพื้นระเบียงคอนกรีตชั้นที่ 6 ได้รับบาดเจ็บสาหัสดังกล่าว และเสียชีวิตภายในวันต่อมาที่โรงพยาบาล
                    ทีมงาน Amarin Baby & Kids ทุกคนขอแสดงความเสียใจกับเหตุการณ์การสูญเสียที่เกิดขึ้นนี้กับคุณแม่และครอบครัวของน้องด้วยนะคะ และก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าเหตุการณ์ดังกล่าวจะสามารถเป็นอุทาหรณ์เตือนใจให้กับทุก ๆ ครอบครัวได้เป็นอย่างดี

                    อ่าน! วิธีการลงโทษลูกด้วยความรัก คลิก!


                    เครดิต: คมชัดลึก

                      เลือกเพศลูก

                      8 วิธี เลือกเพศลูก ทั้งแบบธรรมชาติและใช้เทคโนโลยี

                      ” เลือกเพศลูก “ อย่างไรให้ได้ผล 100% ทั้งแบบธรรมชาติและแบบที่ใช้เทคโนโลยี!

                       

                      ในหลาย ๆ ครอบครัวไม่ว่าจะเพิ่งแต่งงานแล้วหรือเป็นคู่แต่งงานมาได้สักพักแล้วก็ตาม เมื่อรู้ว่าตัวเองพร้อมที่จะมีใครสักคนเข้ามาเติมเต็มชีวิตคู่แล้วนั้น ก็ย่อมที่จะมีความฝันอยากที่จะได้เพศของลูกตามที่ตัวเองตั้งใจฝัน แน่นอนค่ะว่า มีวิธีมากมายที่จะมาช่วยในการ “เลือกเพศลูก” เราทั้งแบบที่เป็นธรรมชาติและแบบที่ใช้เทคโนโลยีเข้าช่วย
                      และวันนี้เราก็ได้เตรียมข้อมูลดี ๆ มาฝากคุณพ่อคุณแม่ทุกคน ที่กำลังคิดหาวิธีต่าง ๆ นา ๆ เพื่อที่จะอยากได้เพศลูกได้ตรงตามความหวังของตัวเอง แต่ก่อนที่จะไปดูวิธีที่ว่านี้นั้น เราาทำความรู้จักเกี่ยวกับเรื่องทั่ว ๆ ไปของการเลือกเพศของลูกเรากันก่อนค่ะ
                      การเลือกเพศของลูกนั้น ในกฎหมายบ้านเราถือเป็นเรื่องที่ผิดกฎหมายนะคะ เพราะเป็นการผลิดหลักมนุษยธรรมและไม่มีความจำเป็น เพราะการเลือกเพศนั้น จะทำให้โอกาสในการตั้งครรภ์มีน้อยลง และมีความเสี่ยงต่าง ๆ เพิ่มมากขึ้น แต่ก็มีข้อยกเว้นเช่นกัน โดยจะต้องขึ้นอยู่กับดุลพินิจของแพทย์เป็นสำคัญค่ะ ยกตัวอย่างเช่น หากแพทย์ลงความเห็นว่า หากมีลูกเป็นเพศนี้แล้ว โอกาสรอดของเด็กอาจจะไม่สูง หรืออาจจะเป็นเรื่องของโรคทางพันธุกรรมบางอย่างที่จะสามารถถ่ายทอดไปยังลูกเฉพาะแต่เพศใดเพศหนึ่งเช่น โรคสังข์ทอง โรคเลือด โรคผิวหนังบางประเภท ถ้าหากพ่อแม่หรือคนในครอบครัวเคยมีประวัติเหล่านี้ หากได้ลูกชายก็ย่อมมีโอกาสที่จะเป็นได้ ในขณะที่ลูกสาวจะไม่เป็น อะไรแบบนี้เป็นต้น
                      ทั้งนี้ ยังเป็นการห้ามไม่ให้มีการขายไข่ รวมถึงการอุ้มบุญ เพราะจะเป็นการกระทำที่ผิดตาม พ.ร.บ.สถานพยาบาล 2541 และตามประกาศแพทยสภา ในเรื่องมาตรฐานการให้บริการเกี่ยวกับเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ ซึ่งมีข้อกำหนดว่า การตรวจวินิจฉัยโรคทางพันธุกรรมของตัวอ่อน ก่อนย้ายเข้าสู่โพรงมดลูก จะทำได้เฉพาะการตรวจวินิจฉัยโรคตามความจำเป็น และต้องไม่กระทำในลักษณะการเลือกเพศ โดยสถานพยาบาลและแพทย์ผู้ให้บริการต้องได้รับหนังสือรับรองจากราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทยแล้วเท่านั้น จึงจะสามารถทำได้

                      อะไรคือตัวกำหนดเพศของลูก? อ่านต่อ คลิก!

                        สอนลูกให้มีน้ำใจ

                        สอนลูกให้มีน้ำใจ อยู่ได้บนโลกที่เห็นแก่ตัว

                        จำเป็นมากน้อยแค่ไหนที่ต้อง สอนลูกให้มีน้ำใจ สอนไปแล้วได้อะไร ไปหาคำตอบกันค่ะ!

                         

                         

                        โลกของเราจะสวยงาม น่าอยู่และมีความสุขได้ ถ้าทุกคนบนโลกมีน้ำใจให้กันและกัน ไม่เห็นแก่ตัว ไม่เห็นแก่ได้ แต่จะทำอย่างไรละ ให้คนทุกคนรู้จักถึงความมีน้ำใจและการแบ่งกัน หากไม่เริ่มปลูกฝังจากสถาบันครอบครัว การมีน้ำใจนั้นไม่จำเป็นเลยที่จะต้องมีน้ำใจแต่เฉพาะคนในครอบครัว ญาติพี่น้อง เพื่อนฝูงหรือคนรู้จัก การแสดงออกต่อคนแปลกหน้า ก็สามารถช่วยทำให้โลกนี้น่าอยู่มากขึ้น
                        เช่นเดียวกับเหตุการณ์ที่เรานำมาฝากในวันนี้ค่ะ เป็นเหตุการณ์ที่เด็กนักเรียนชายชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ของโรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัดฟุกุโอกะ ที่เขาสามารถช่วยพาผู้หญิงสูงวัยอายุ 91 ปีที่หายตัวไปกลับมาส่งบ้านได้อย่างปลอดภัย!
                        สอนลูกให้มีน้ำใจ
                        เครดิต: Asahi
                        ฮิโรโตะ คิตะโอกะ เด็กนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 เล่าว่า วันนั้นในขณะที่เขากำลังนั่งรถเมล์กลับบ้าน ก็ได้ยินคุณยายพูดคุยกับพนักงานคนขับรถเมล์ โดยพนักงานบอกให้คุณยายท่านนี้ลงรถ เพราะว่าคุณยายขึ้นรถผิดทาง ฮิโรโตะ คิดว่า เขาจะปล่อยให้คุณยายคนนี้อยู่คนเดียวไม่ได้เด็ดขาด
                        จึงลงรถเมล์พร้อมกับคุณยายท่านนี้ และโทรหาคุณแม่ ซึ่งคุณแม่ของ ฮิโรโตะ ก็เต็มใจช่วยคุณยายอย่างเต็มที่ จึงอาสาขับรถพาคุณยายกลับไปส่งแถวบ้านตามที่คุณยายบอก และเมื่อมาถึงบ้านก็ต้องพบว่า บ้านของคุณยายนั้นเต็มไปด้วยตำรวจและเจ้าหน้าที่เขต จึงได้ทราบความจากลูกชายคุณยายว่า “คุณยายนั้นหายตัวออกไปจากบ้านเมื่อตอนบ่ายที่ผ่านมา”
                        เรื่องราวนี้ถือเป็นเรื่องของเด็กคนหนึ่งที่แน่นอนว่า เขาจะต้องถูกครอบครัวของเขานั้นปลูกเรื่องของความมีน้ำใจมาตั้งแต่ยังเล็ก ๆ แน่ ๆ และผลขอกงารทำความดีในครั้งนี้ ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจถึงกับมอบประกาศนียบัตรให้กับ ฮิโรโตะ เลยทีเดียวละค่ะ … ช่างเป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างมากเลยละค่ะ อ่านแล้วทำให้รู้สึกว่า ความมีน้ำใจนั้นสามารถทำให้โลกของเราน่าอยู่ขึ้นเยอะเลยจริง ๆ

                        ปลูกฝังอย่างไรให้ลูกมีน้ำใจ คลิก!


                        เครดิต: Asahi

                          การเลี้ยงลูกเชิงธรรมะ

                          อย่าทำลายหนทางแห่งความเป็นมนุษย์ของเด็ก

                          สำหรับบทความนี้ แม่น้องเล็กขอหยิบยกเนื้อหาน่าอ่านจากในนิตยสาร Amarin Baby & Kids ฉบับคู่มือระวังภัยฯ มาฝากให้กับคุณพ่อ คุณแม่ ซึ่งเขียนโดย คุณพศิน อินทรวงค์ เกี่ยวกับวิถีชีวิต การเลี้ยงลูกเชิงธรรมะ เป็นแนวทางให้คุณพ่อ คุณแม่ ที่มีลูกวัย 3 ขวบปีแรกของชีวิตค่ะ

                          Continue reading “อย่าทำลายหนทางแห่งความเป็นมนุษย์ของเด็ก”

                            เต้านมส่วนเกินใต้รักแร้

                            เต้านมส่วนเกินใต้รักแร้อันตรายหรือไม่?

                            เต้านมส่วนเกินใต้รักแร้ (Accessory Breast) เป็นปัญหาที่คุณแม่หลายๆ ท่านเป็นกันมาก จนทำให้เกิดความรำคาญ และ กระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน เพราะบางคนเป็นถึงขั้นหุบแขนไม่ลง มีอาการเจ็บ ดังนั้นเพื่อช่วยให้คุณแม่หายขาดจากเต้านมส่วนเกิน ทีมงาน Amarin Baby & Kids มีวิธีการรักษามาแนะนำให้ได้ทราบกันค่ะ

                             

                            เต้านมส่วนเกินใต้รักแร้ สาเหตุเกิดจากอะไร?

                            เชื่อว่าเป็นใครก็ต้องตกใจเมื่อพบว่าจู่ๆ ตัวเองก็มี เต้านมส่วนเกินใต้รักแร้ เพิ่มเข้ามา จนเกิดความสงสัยว่าเต้านมที่เกินมา ตรงใต้รักแร้นี้เกิดขึ้นได้อย่างไร ซึ่งก็พอจะสรุปสาเหตุของการเกิดเต้านมส่วนเกินได้ดังนี้ค่ะ

                            1. เกิดตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา ในบางรายตุ่มใต้ผิวหนังในบริเวณอื่นๆ ที่นอกจากหน้าอก อาจจะไม่ฝ่อและสลายตัวไปอย่างที่ควรจะเป็น ก็จะทำให้เกิดเต้านมเกินขึ้นได้เช่นกัน การแพทย์จะเรียกว่า เต้านมรักแร้
                            2. เกิดจากสาเหตุภายนอกอื่นๆ ทั้งจากการใส่เสื้อผ้าหรือชุดชั้นในที่รัดจนเกินไป จนเป็นการบีบเนื้อบริเวณเต้านม ทำให้เกิดเป็นเต้านมส่วนเกินได้ในที่สุด อีกทั้งอายุที่มากขึ้นก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่ง

                            อ่านต่อ ลักษณะอาการของเต้านมส่วนเกิน หน้า 2

                             

                            เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                              เต้านมอักเสบ หลังคลอดลูก

                              เต้านมอักเสบ หลังคลอดลูก อาการ และการรักษา

                              เต้านมอักเสบ หลังคลอดลูก แม่ที่ให้นมลูกอาจต้องเจอกับภาวะเต้านมเป็นฝีจนอักเสบ ซึ่งในคุณแม่ที่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ไม่อยากจะให้เกิดขึ้นกับตัวเองกันสักเท่าไหร่ เพราะเวลาที่เต้านมเป็นฝีอักเสบ  มีทั้งความเจ็บและความทรมาน ทีมงาน Amarin Baby & Kids มีวิธีดูแลรักษาเมื่อเกิด ฝีเต้านมอักเสบหลังคลอดลูก มาฝากกันค่ะ

                               

                              เต้านมอักเสบ หลังคลอดลูก เกิดจากสาเหตุใด?

                              ในช่วงตั้งแต่ลูกแรกคลอดที่คุณแม่เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมแม่ ในช่วงแรกๆ อาจจะยังไม่มีปัญหาใดๆ ในการให้นม แต่พอให้นมลูกไปได้สัก 2-3 สัปดาห์หลังคลอด ในคุณแม่บางรายอาจพบว่ามีภาวะแทรกซ้อนของเต้านม ที่เรียกว่า เต้านมอักเสบ เนื่องจากน้ำนมระบายไม่ทันจนส่งผลให้ท่อน้ำนมอุดตัน น้ำนมที่ยังค้างอยู่ในเต้านมเป็นเวลานาน เมื่อเชื้อแบคทีเรียเข้าสู่เต้านมทางหัวนมแม่ และตรงบริเวณลานหัวนมที่แตก จะส่งผลให้เกิดการอักเสบติดเชื้อขึ้นได้  ซึ่งหากไม่ได้รับการดูแลรักษาอย่างรวดเร็ว ก็จะกลายเป็นฝีหนองตามมาในที่สุดค่ะ

                               

                              อ่านต่อ >> “ฝีเต้านม หลังคลอด อาการเป็นอย่างไร?” หน้า 2

                               

                               

                              เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                                ทําอย่างไร ลูกพูดไม่เพราะ

                                ลูกชอบพูดคำหยาบ แก้ไขแบบไหนถึงจะได้ผล

                                ตะลึงกันไป เมื่อจู่ ๆ ลูกชอบพูดคำหยาบ ขึ้นมา! ทำเอางานนี้คนเป็นพ่อเป็นแม่ถึงกับตั้งคำถาม ไปเอาคำเหล่านี้มาจากไหน !?

                                 

                                 

                                เมื่อเด็กน้อยที่แสนจะเรียบร้อย กลายเป็นเด็กที่ชอบพูดคำหยาบพร้อมแสดงท่าทางก้าวร้าวขึ้นมา แน่นอนละค่ะ งานนี้ทั้งคุณพ่อคุณแม่ต้องมีหงายท้องกันบ้าง พร้อมกับตั้งคำถามว่า ลูกของเรานั้นไปเลียนแบบคำพูดนี้มาจากไหน! และเชื่อเถอะค่ะว่า ต้องมีการถกเถียงเอามาเป็นอารมณ์ระหว่างคุณพ่อคุณแม่เองอีกแน่นอน … ทำไมน่ะเหรอคะ? นั่นก็เป็นเพราะว่า ต่างฝ่ายจะต้องต่างหาที่มาของคำพูดเหล่านั้น พร้อมกับโทษกันเองว่า เป็นเพราะคุณ! ลูกถึงเป็นแบบนี้!
                                เราทุกคนคงไม่อยากให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นภายในครอบครัวกันหรอกใช่ไหมละคะ ดังนั้น วันนี้เราก็ได้เตรียมคู่มือสยบลูกชอบพูดคำหยาบมาฝากกัน แต่ก่อนที่จะไปดูนั้น เรามาหาสาเหตุของคำพูดเหล่านี้กันก่อนดีกว่านะคะ

                                ลูกเรียนรู้คำหยาบมาจากไหน?

                                • ที่บ้าน ข้อนี้ถือเป็นข้อแรกเลยที่เราควรนึกถึงด้วยการสำรวจตัวเราเองหรือสมาชิกในครอบครัวว่า มีใครชอบพูดคำหยาบไม่สุภาพต่อหน้าเด็กบ้างหรือไม่ ถ้ามีละก็ทุกครั้งที่เผลอทำ ควรที่จะกล่าวขอโทษด้วยทุกครั้ง พร้อมสอนให้ลูกได้รู้ว่า คำที่พูดออกไปนั้นไม่ดี ไม่เหมาะสม และไม่ควรพูด
                                • ที่โรงเรียน อาจจะลองถามลูกว่า มีเพื่อนคนไหนชอบพูดจาไม่เพราะ หรือชอบพูดคำเหล่านี้บ่อย ๆ บ้างหรือไม่ โดยน้ำเสียงที่คุณพ่อคุณแม่ถามลูกนั้น ควรเป็นน้ำเสียงที่นุ่มนวล ชักชวนลูกคุยในแนวสบาย ๆ มากกว่าการเรียกถามด้วยน้ำเสียงที่ดุดัน มิเช่นนั้น ลูกก็จะเกิดความรู้สึกกลัว แล้วก็ไม่กล้าที่จะบอกความจริงกับเราได้
                                • ทีวี หรือสื่อโซเชียลต่าง ๆ หากเป็นเช่นนั้น คุณพ่อคุณแม่จะต้องพิจารณาแล้วละค่ะว่า ยังสมควรให้ลูกดูรายการเหล่านั้นต่อไปหรือไม่ เพราะเด็ก ๆ เขาไม่รู้หรอกค่ะว่า คำพูดที่มีอยู่ในละคร สื่อโฆษณาต่าง ๆ นั้นเป็นสิ่งที่ดีหรือไม่ดี เพราะไม่มีใครแนะนำ พวกเขาก็จะลอกคำพูดหรือพฤติกรรมเหล่านั้นมาแสดงออกกับคนอื่น ๆ

                                 

                                เมื่อรู้ที่มาของคำหยาบนั้นแล้ว ต้องทำอย่างไรต่อไป คลิก!

                                  โรคเริม

                                  แม่แชร์! ลูกเป็น” โรคเริม ” เพราะสัมผัสของใครบางคน!

                                  ลูกเพียงหนึ่งสัปดาห์ ต้องป่วยเป็น ” โรคเริม ” เพราะมีใครสักคนมาแสดงความรักด้วยการสัมผัส

                                   

                                   

                                  ทราบหรือไม่คะว่า ต่อให้เด็กทารกหรือเด็กเล็กนั้นจะน่ารักหรือน่าเอ็นดูแค่ไหน เราก็ไม่ควรที่จะแสดงความรักกับเด็กด้วยการหอม กอด และ จูบ!! เพราะการแสดงออกแบบนั้น อาจจะนำพาให้ลูกหลานของเรา ต้องป่วยเป็นโรคร้ายแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ” โรคเริม “
                                  สถิติการป่วยของทารกที่เป็นโรคนี้ พบมากในประเทศสหรัฐอเมริกา โดยสาเหตุการป่วยนั้นมาจาก “จูบ” และเรื่องที่จะนำเสนอต่อไปนี้ เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นนี้ที่ทารกแรกเกิดวัยเพียงหนึ่งสัปดาห์ต้องถูกหามส่งโรงพยาบาลทันที เพราะ “การสัมผัส” ของใครบางคน
                                  หนูน้อยมาเรียน่า ทารกแรกเกิดวัยเพียงหนึ่งสัปดาห์ ต้องถูกหามส่งโรงพยาบาลทันทีที่คุณแม่ของเธอพบว่า ทารกน้อยไม่แสดงอาการตอบสนองใดทั้ง ๆ ที่หลังคลอดนั้นลูกสาวปกติดีทุกอย่าง โดยคุณแม่เล่าวว่า เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา คุณแม่พยายามปลุกให้เธอตื่นมาดูดนม แต่เธอก็ไม่ยอมดูดและไม่มีแม้แต่อาการตอบรับใด ๆ แม้ว่าคุณแม่จะพยายามเท่าไหร่ก็ตาม
                                  เมื่อเห็นท่าไม่ดี คุณแม่จึงรีบนำตัวหนูน้อยรายนี้ส่งโรงพยาบาลทันที ผลการตรวจพบว่า มาเรียน่าติดโรคเริม! ประเภท HSV1 โดยคุณหมอแจ้งว่า อาจจะมีใครสักคนที่ป่วยเป็นโรคนี้มาสัมผัสที่แขนและปากของเธอ ทำให้มาเรียน่าต้องติดโรคดังกล่าวมา ซึ่งผลการตรวจของหนูน้อยนั้นไม่สู้ดี คุณหมอจึงต้องรีบนำตัวเธอเข้ารับการรักษาโดยด่วนในห้อง NICU หลังจากนั้นไม่เกินสองชั่วโมง คุณหมอและทีมงานต่างพากันวิ่งวุ่น เพราะหนูน้อยเริ่มหายใจติดขัด อวัยวะภายในของเธอเริ่มไม่ทำงาน!

                                  อ่านเรื่องราวเพิ่มเติมได้ที่หน้าถัดไป

                                    โรคอันตรายของผู้หญิง

                                    10 โรคอันตรายของผู้หญิง ที่มักเกิดและต้องระวังให้มาก!

                                    โรคอันตรายของผู้หญิง มีอยู่ไม่น้อยเลยค่ะที่ต้องระวังกันให้มาก โดยเฉพาะคนที่มีลูกแล้วยิ่งต้องให้ความสำคัญกับสุขภาพมาเป็นอันดับต้นๆ เพราะผู้หญิงหลังมีลูกมีหลายโรคที่เสี่ยงอาจเกิดขึ้นได้กับสุขภาพค่ะ ทีมงาน Amarin Baby & Kids มีโรคอันตรายที่ผู้หญิงทุกควรต้องระวังมาให้ได้ทราบกันค่ะ

                                     

                                    โรคอันตรายของผู้หญิง

                                    รู้หรือไม่คะว่า โรคอันตรายของผู้หญิง ที่มักเกิดขึ้นจนทำให้ต้องล้มหมอนนอนโรงพยาบาลรักษาตัวกันให้เสียทั้งเงิน และเวลานั้นมีโรคอะไรที่ควรระวังกันบ้าง!!

                                    อย่างที่ทราบกันค่ะว่าในผู้หญิงนั้นมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมากกว่าผู้ชาย โดยเฉพาะโรคภายในของผู้หญิง ที่มีให้ต้องเฝ้าระวังกันไม่ว่าจะเป็น โรคมะเร็งรังไข่ มะเร็งปากมดลูก มะเร็งเต้านม ฯลฯ รวมถึงอีกหลายโรคที่เสี่ยงต่อสุขภาพ ดังนั้นจึงจำเป็นอย่างมากที่ควรได้รับการตรวจสุขภาพเป็นประจำทุกปี อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง

                                    บทความแนะนำ คลิก >> 5 อาการเตือนสุขภาพผู้หญิง ที่ไม่ควรมองข้าม!!

                                    ซึ่งปัจจุบันทุกโรงพยาบาลจะมีโปรแกรมตรวจสุขภาพที่จัดให้เหมาะกับทั้งผู้หญิง และผู้ชาย แต่สำหรับผู้หญิงก็เพิ่มเรื่องการตรวจภายใน เพิ่มเข้ามา

                                    ตรวจร่างกายทั่วไปโดยแพทย์ (PE)

                                    วัดความดันโลหิต ชีพจร ชั่งน้ำหนัก วัดส่วนสูง   (Vital signs)

                                    เอกซเรย์ปอดฟิลม์ใหญ่ ยกเว้นสตรีตั้งครรภ์ (Chest X-ray)

                                    ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (EKG)

                                    ตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด (CBC)

                                    ตรวจระดับน้ำตาลในเลือด (FBS)

                                    ตรวจระดับไขมันในเลือด (Cholesterol)

                                    ตรวจระดับไขมันในเลือด (Triglyceride)

                                    ตรวจการทำงานของตับ (SGOT)

                                    ตรวจการทำงานของตับ (SGPT)

                                    ตรวจการทำงานของไต (Creatinine)

                                    ตรวจปัสสาวะ (UA)

                                    ตรวจภายใน โดยสูตินรีแพทย์ (PV)

                                    ตรวจมะเร็งปากมดลูก (Thin Prep Pap Test)[1]

                                    อ่านต่อ 10 โรคอันตรายในผู้หญิง ที่พบว่าป่วยกันมาก หน้า 2

                                     

                                    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่