ขนหมาเข้าปอด

พ่อโพสต์เฟซบุ๊กเตือน! ลูกป่วยเป็นภูมิแพ้อย่างหนัก เพราะขนสุนัข

ขนหมาเข้าปอด !! …อีกหนึ่งเรื่องที่มีหลายคนมักเข้าใจกันว่า ขนของสัตว์เลี้ยงอย่างน้องหมาน้องแมว สามารถเข้าไปในปอดของเราได้ และทำให้ป่วยเป็นโรคภูมิแพ้!

Continue reading “พ่อโพสต์เฟซบุ๊กเตือน! ลูกป่วยเป็นภูมิแพ้อย่างหนัก เพราะขนสุนัข”

    สามีเปลี่ยนไป

    10 ข้อเช็คเลยเรื่องอะไรที่ สามีภรรยาทะเลาะกัน มากที่สุด

    ไม่อยากให้ขาเตียงสั่นคลอนต้องรู้ เรื่องอะไรบ้างที่ทำให้ สามีภรรยาทะเลาะกัน!

     

     

    ออกจะเป็นเรื่องธรรมด๊า ธรรมดา ที่คู่แต่งงานหลาย ๆ คู่มักชอบทะเลาะกัน แต่แน่นอนละค่ะว่า ใครเล่าจะอยากให้การทะเลาะกันนั้นมาปั่นโสตประสาททำให้ความสัมพันธ์ที่ปั้นกันมากับมือต้องพังทลาย และการที่เราจะป้องกันการทะเลาะกันได้นั้น เราก็ควรที่จะทราบถึงเรื่องหลัก ๆ ที่เป็นสาเหตุที่ทำให้ต้องทะเลาะกันก่อนค่ะ จะมีเรื่องอะไรบ้างนั้น หากพร้อมแล้ว ไปอ่านบทความนี้พร้อม ๆ กันค่ะ

    10 เรื่องที่ สามีภรรยาทะเลาะกัน มากที่สุด!

    1. เวลา หลังจากที่มีตกลงใช้ชีวิตคู่กันแล้วนั้นก็เป็นเรื่องธรรมดาของงภรรยาใช่ไหมละคะ ที่อยากจะใช้เวลาอยู่กับสามีให้มาก ๆ ก็แหม! แต่งงานกันแล้วนี่นา … ผิดกับคุณสามีที่ชอบจะใช้เวลาอยู่กับโลกของตัวเอง อยากอยู่ลำพัง เผลอ ๆ คุณผู้ชายบางท่านคิดเสียอีกว่า แต่งงานกันแล้วไม่จำเป็นต้องตัวติดกันมากนักหรอก เจอกันตลอด 24 ชั่วโมง 7 วัน เบื่อแย่เลย! ซึ่งวิธีแก้นั้นก็คงไม่มีอะไรที่จะดีไปกว่าการปรับตัวเข้าหากันหรอกจริงไหมคะ เพราะถ้าหากคนสองคนคิดที่จะใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันแล้วละก็ การปรับตัวเข้าหากันนั้นคือสิ่งที่ตอบโจทก์ได้ดีที่สุด ลองแบ่งเวลาด้วยการให้เวลากับตัวเองและคนข้าง ๆ ของเราบ้าง แบบนี้สิถึงจะสมดุลที่สุด
    2. เงิน ๆ ทอง ๆ เพราะไม่ใช่กระเป๋าของใครกระเป๋าของมันอีกแล้ว การจัดสรรเงินนั้นจะต้องทำให้ลงตัวที่สุด มิฉะนั้นละก็จะมีปัญหาเกิดขึ้นได้ ยกตัวอย่างเช่น ฝ่ายหนึ่งใช้เงินสุรุ่ยสุร่ายไปกับของที่ตัวเองอยากได้โดยไม่แบ่งเบาภาระเลย ส่วนอีกฝ่ายกลับต้องมารับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งบ้านรวมถึงหนี้สินต่าง ๆ เพียงคนเดียว งานนี้คงต้องคุยกันให้ดีเสียแต่เนิ่น ๆ แล้วละค่ะว่า ใครจะรับผิดชอบอะไร แล้วจะมีการควบคุมค่าใช้จ่ายกันแบบไหน ไม่อยากขัดแย้งกัน อย่าลืมลองคุยกันดูนะคะ
    3. เพศ เพราะเรื่องเพศเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ผู้ชายบางคนยึดถือว่าผู้ชายคือผู้นำเป็นช้างเท้าหน้า ผู้หญิงจะต้องทำตามและคอยเอาใจทุกอย่าง อีกทั้งมีบ้างที่กดขี่ข่มเหงเพศตรงข้ามด้วยการใช้วาจาดูถูก หนำซ้ำใช้กำลังกันก็มี ส่วนคุณผู้หญิงบางคน ถือว่าผู้ชายต้องเอาใจ ต้องเสนอและต้องช่วยทุกอย่าง ดังนั้น จึงไม่ยอมทำอะไร แบบนี้จะลงเอยได้อย่างไรหากไม่เปิดอกคุยกันให้ชัดเจน และสิ่งที่สำคัญที่สุดที่ไม่ควรมองข้ามเลยก็คือ การให้เกียรติซึ่งกันและกัน
    4. หึงหวง ความรู้สึกสำคัญที่มีตั้งแต่ก่อนแต่งงานและหลังแต่งงาน ในบางคู่อาจจะรุนแรงมากกว่าก่อนแต่งเสียด้วยซ้ำ ทราบไหมคะว่า ความรู้สึกหึงหวงนั้นเกิดจากความรู้สึกไม่มั่นคง ทำให้ต้องการควบคุมอีกฝ่ายไว้เพื่อให้ตัวเองรู้สึกอุ่นใจ สิ่งที่จะช่วยขจัดความรู้สึกนี้ไปได้ก็คือ ความเชื่อใจ ไว้วางใจ และให้เกียรติซึ่งกันและกันทั้งต่อหน้าและลับหลังนั่นเองค่ะ
    5. ลูก เพราะทุกคนมาจากต่างที่ต่างสังคมทำให้พื้นฐานการเลี้ยงดูของแต่ละคนนั้นแตกต่างกัน จึงไม่แปลกที่จะมีการถกเถียงกันเกี่ยวกับการเลี้ยงดูลูก สิ่งที่จะมาช่วยป้องกันเรื่องนี้ได้ก็ถือ การยอมรับและปรึกษาหารือกัน ไม่ยึดความคิดของตัวเองเป็นใหญ่ พูดคุยและค่อย ๆ ช่วยกันปรับไป โดยนึกถึงความสุขของความเป็นพ่อ แม่ และลูกเข้าไว้นั่นเอง

    คลิกดูเรื่องที่คู่รักชอบทะเลาะกันต่อได้ที่หน้าถัดไปค่ะ

      ลูกกินยาก อมข้าว

      11 เทคนิคแก้ปัญหา ลูกกินยาก อมข้าว

      ลูกกินยาก อมข้าว เป็นหนึ่งปัญหาหนักใจของพ่อแม่เลยก็ว่าได้ เมื่อลูกเข้าสู่วัยเตาะแตะอายุประมาณ 1 ขวบขึ้นไป การทานอาหารจะไม่ใช่เรื่องง่ายกับแม่ๆ หลายคนแล้วค่ะ เพราะลูกมักจะมีอาการไม่ยากกินข้าว หรือไม่ก็อมข้าวกว่าจะกินหมดจานนี่ลุ้นกันตัวโก่งทั้งบ้าน!!  ทีมงาน Amarin Baby & Kids มีคำแนะนำในการช่วยให้ลูกกินข้าวได้อย่างมีความสุขมาฝากค่ะ

       

      ลูกกินยาก อมข้าว

      อย่างที่บอกไปค่ะว่าปัญหา ลูกกินยาก อมข้าว นี่ถือเป็นปัญหาปราบเซียนเลยก็ว่าได้ เพราะแม้แต่ในครอบครัวของผู้เขียนเองก็เจอกับปัญหานี้เหมือนกัน เริ่มที่หลานชายคนโต ตอนที่เขาได้ 2 ขวบการทานข้าวไม่ได้อยู่ในบรรยากาศของความสุขสักเท่าไหร่ เพราะต้องเค้นบังคับให้ทานข้าวกันเลยค่ะ ซึ่งจากการเฝ้าดูพฤติกรรมของเขาคือ จะเขี่ยข้าวมารวมไว้ แล้วตักกินแต่ กับข้าวที่ชอบเท่านั้น มื้อไหนไม่มีแกงจืดไข่น้ำ หรือไข่เจียว แทบจะไม่แตะข้าวในจานเลยค่ะ พอไม่กินเองเราตักป้อนให้ก็ กว่าจะเคี้ยวข้าวได้แต่ละคำ อมจนข้าวในปากเปื่อย คือต้องบอกว่าหลายชายทานได้สารพัดเมนูที่ทำจากไข่ ต่อให้จะใส่ผักลง ไปในเมนูไข่ด้วยก็ทานได้ไม่มีเกี่ยง แต่ที่นี้คนเป็นพ่อแม่ใครจะยากให้ลูกทานแต่เมนูซ้ำๆ ใช่ไหมละคะ

      ความกังวลที่เกิดขึ้นว่าหลานจะได้สารอาหารไม่ครบ ทำให้ต้องพาไปตรวจเช็กสุขภาพกับคุณหมอเด็ก ก็ได้ความว่าถึงเขาจะ ไม่ทานข้าวมากอย่างที่เราต้องการให้แต่ละมื้อ แต่เขาก็ทานนม กินผลไม้ กินผักได้ น้ำหนักส่วนสูงมีความสัมพันธ์กันดี เล่น ได้ และแข็งแรง แต่คุณหมอก็แนะนำว่าค่อยๆ ปรับเปลี่ยนเมนูไปเรื่อยๆ หาเทคนิคเพื่อล่อใจให้เขาอยากทานเมนูอื่นบ้าง

      คุณหมอยังบอกอีกว่าเด็กที่อยู่ในช่วงวัย 1-3 ขวบเขาจะทานอาหารได้เพียง 1 ใน 4 ของผู้ใหญ่เท่านั้น ถ้าทานข้าวในแต่ละมื้อ ถ้าอิ่มแล้วก็อิ่มจะไม่เอาอะไรเพิ่มอีก ฉะนั้นไม่ต้องบังคับ ตักอาหารเท่าที่เขาทานได้แค่ไหนแค่นั้น แล้วผ่านช่วงขวบวัยนี้ไปเด็กๆ จะเริ่มปรับตัวได้ และสนุกกับการอาหารที่หลากหลายมากขึ้นเองค่ะ

      เมื่อได้รับคำแนะนำแบบนี้ ที่บ้านเลยไม่บังคับ ไม่สร้างบรรยากาศในการทานข้าวที่ตึงเครียดให้กับหลานชาย พอถึงมื้ออาหารเราจะให้เขาตักข้าว กับกับข้าวที่เขาอยากทานเอง อยู่ในปริมาณที่เขาต้องการจะทานได้กี่คำก็ไม่เป็นไร อ่อ!! แต่เมนูอาหารควรมีสัก 2-3 เมนูค่ะ เอาแบบที่ทานได้กันทั้งครอบครัว คือเมื่อเขาเห็นว่าทุกคนทานเมนูเดียวกับเขาๆ จะอยากทานข้าวมากขึ้น อันนี้ใช้ได้ผลจริงกับครอบครัวผู้เขียนเลยค่ะ

       

      บทความแนะนำ คลิก>> เมนูอาหารน่ารัก 360 เมนู แก้ปัญหาลูกน้อยกินยาก

       

      เอาเป็นว่าถ้าครอบครัวไหนที่กำลังเจอกับปัญหา ลูกกินยาก อมข้าว กันอยู่ละก็ แนะนำว่าให้สังเกตพฤติกรรมการกินของเด็กๆ ก่อน ว่านอกเหนือจากอาหารมื้อหลัก 3 มื้อแล้ว เขาทานนม หรือทานอะไรที่มีประโยชน์ได้เพิ่มเข้ามาบ้าง จากนั้นให้ไปเช็กพัฒนาการน้ำหนักส่วนสูงว่าสมดุลตามช่วงวัยหรือเปล่า เพราะการทราบถึงสาเหตุในเบื้องต้นจะช่วยให้แก้ไขปัญหาได้ตรงจุดมากขึ้นค่ะ

      อ่านต่อ 11 วิธีช่วยแก้ปัญหาลูกไม่ยอมกินข้าว หน้า 2 

       

      เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

        โรคติดต่อที่โรงเรียน

        พ่อแม่ระวังโรคยอดฮิต ลูกเสี่ยงติดง่ายที่โรงเรียน

        คุณพ่อ คุณแม่คงทราบกันดีอยู่แล้ว ว่าช่วงเปิดเทอมของเด็กๆ เป็นช่วงที่เด็กๆ จำนวนมากมารวมตัวกันในสถานที่ที่จำกัด ทำให้หลายครั้งที่พบ โรคติดต่อที่โรงเรียน โดยเฉพาะโรคติดต่อยอดฮิต 4 ประเภทนี้ ซึ่งเด็กๆ เป็นกันได้ง่าย เรามาดูกันดีกว่าค่ะว่ามีโรคอะไรบ้าง จะได้หาวิธีป้องกัน

        Continue reading “พ่อแม่ระวังโรคยอดฮิต ลูกเสี่ยงติดง่ายที่โรงเรียน”

          นับลูกดิ้น

          แม่เตือน! นับลูกดิ้น สำคัญจริงกับชีวิตลูก

          คุณแม่สูญเสียลูกในครรภ์เพราะไม่ได้ นับลูกดิ้น ทุกชั่วโมงพร้อมเตือนหากพบอะไรผิดปกติรีบหาหมอทันที!

           

           

          ก่อนอื่นต้องขอแสดงความเสียใจกับการจากไปของน้อง พร้อมกับขอขอบคุณคุณแม่ท่านนี้มาก ๆ ที่อนุญาตให้เรานำเรื่องราวนี้มาแชร์เพื่อเป็นอุทาหรณ์ให้กับคุณแม่ท่านอื่น ๆ ค่ะ โดยคุณแม่ได้ให้สัมภาษณ์ผ่านทีมงาน Amarin Baby & Kids ว่า

          ตอนนี้เราได้เสียลูกไปในขณะที่ตั้งครรค์ได้ 36 w หรือ 8 เดือนกว่าค่ะ แค่อีกไม่กี่วันน้องก็จะได้ออกมาลืมตาดูโลกแล้ว น้องเป็นผู้หญิงนะค่ะ เราฝากพิเศษกับคุณหมอท่านหนึ่งที่ดังมากในระดับจังหวัด เราไปหมอทุกครั้งตามนัดทุกครั้ง หมอซาวด์เห็นลูกเราตลอด เห็นหัวใจ แขนขา ครบ ปกติทุกอย่าง แต่ก่อนที่ลูกเราจะเสียสองอาทิตย์ เรามีความรู้สึกว่าลูกดิ้นน้อยลง เราก็ไปหาหมอตรวจ พอหมอซาวด์ก็เห็นว่าหัวใจเต้นปกติ เราก็กลับบ้านปกติ หลังจากกลับบ้านเราก็รู้สึกว่าลูกดิ้นนะ แต่ดิ้นน้อย เราก็ลองค้นหาข้อมูลในกูเกิ้ลดู ส่วนใหญ่เขาบอกว่า มักเป็นอาการใกล้คลอด เพราะเขาตัวใหญ่แล้ว พื้นที่ในการดิ้นก็จะน้อยลง เราก็คิดมาแบบนี้ตลอด

          หลังจากนั้นสองอาทิตย์ เมื่อวันจันทร์ที่ 31/7/60 เรามีความรู้สึกว่าลูกไม่ดิ้น แต่ท้องเราเดี๋ยวก็โย้ไปทางซ้ายมั่ง ขวามั่ง แต่ไม่มีการดิ้นดุกดิก ๆ เราเลยคิดว่าลูกคงโก่งตัวเล่น พอวันอังคาร์ที่ 1/8/60 เรารู้สึกท้องแข็งถี่ตลอด เรากลัวว่าจะมีการใกล้คลอด แต่เราก้อยังไม่รู้สึกว่าลูกเราดุกดิกหรือถีบเลย มีเพียงอาการท้องแข็งเท่านั้น เราไม่เจ็บไม่ปวดท้องแต่อย่างใด ไม่มีเลือดไม่มีมูกหรือน้ำอะไรไหลเลย

          พอเวลา 18:00 เราถึงมือหมอ หมอฟังคลื่นหัวใจเด็กก็ไม่ได้ยินเสียงหัวใจ หมอเลยซาวด์ดูน้องในท้อง สรุปหัวใจน้องไม่เต้นแล้ว หมอบอกว่าลูกในท้องเสียชีวิตแล้วนะครับ เราถามหมอว่าเกิดขึ้นได้ยังไง แต่หมอก็ให้คำตอบเราไม่ได้ เราช็อกมาก เสียใจทรมานเหมือนใจจะขาด อยากให้เป็นเราแทนที่จากโรคนี้ไป ไม่ใช่นางฟ้าตัวน้อยของแม่

          เราเลยอยากเอาเรื่องนี้มาแชร์ให้คุณแม่ที่กำลังตั้งทัองอยู่ ได้โปรดอย่าห่วงงาน ได้โปรดอย่าชะล่าใจ ได้โปรดอย่าคิดไปเองว่าลูกจะไม่เปนอะไร พยายามนับลูกดิ้นทุกครั้งทุกชั่วโมง หากมีความผิดปกติให้รีบหาหมอ อย่ากลัวว่าใครจะว่าว่าเรากลัวเกินเหตุ อย่าสนคำพูดใคร ให้รีบหาหมอให้เร็วที่สุด อย่าให้เป็นเหมือนเรา สุดท้ายเราตั้งชื่อลูกเราว่า “ตั้งโอ๋” ตอนนี้เขาคงไปอยู่บนสรวงสวรรค์เป็นนางฟ้าตัวน้อยๆอยู่บนนั่น แล้วแม่จะรอหนูมาเกิดอีกครั้ง รักนะนางฟ้าตัวน้อยของแม่ 

          ทีมงาน Amarin Baby & Kids ขอแสดงความเสียใจกับการจากไปของน้องอีกครั้ง และขอให้เป็นกำลังใจให้คุณแม่ผ่านช่วงเวลานี้ไปได้นะคะ

          อ่าน ข้อมูลเกี่ยวกับลูกดิ้น คลิก!


          เครดิต: เพจคนท้องคุยกัน

            ตัวช่วยกระตุ้นน้ำนมแม่

            5 ตัวช่วยกระตุ้นน้ำนมแม่ อย่างง่ายสำหรับแม่มือใหม่

            ตัวช่วยกระตุ้นน้ำนมแม่ เคล็ดลับที่นำมาบอกให้ทราบกันนี้ น่าจะเข้ากับช่วงเดือนสิงหาคมที่มีทั้งวันแม่ และต้นสัปดาห์ของเดือนก็ยังเป็นช่วงสัปดาห์นมแม่โลก ที่มีการรณรงค์ให้เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ผู้เขียนก็เป็นคนหนึ่งที่สนับสนุนให้ลูกทานนมแม่ค่ะ และครั้งนี้เพื่อเป็นการช่วยให้แม่มือใหม่มีน้ำนมแม่ในการเลี้ยงลูกได้นานมากกว่า 6 เดือน เรามี 5 ตัวช่วยกระตุ้นนมแม่มาฝากค่ะ

             

            ตัวช่วยกระตุ้นน้ำนมแม่

            แม่มือใหม่ที่เพิ่งคลอดลูกถามกันเข้ามามากกว่าพอจะมีคำแนะนำหรือ ตัวช่วยกระตุ้นน้ำนมแม่ บ้างหรือไม่ เพราะส่วนมากแล้วพอหลังคลอดลูกและกลับจากโรงพยาบาล ปัญหาหนึ่งที่มักเจอกันบ่อยๆ คือ น้ำนมแม่มาน้อย กลัวว่าน้ำนมแม่จะแห้งและไม่มีให้ลูกได้กินอย่างที่ตั้งใจเอาไว้

            ก่อนอื่นต้องบอกว่าในเด็กทารกแรกเกิดกระเพาะอาหารของเขาจะเล็กนิดเดียว การทานนมแม่อาจทานได้นิดหน่อยแต่จะร้องทานบ่อยๆ ทุก 1-2 ชั่วโมง ดังนั้นหากคุณแม่ให้ลูกทานนมแม่ตามรอบชั่วโมง ร่างกายก็จะถูกกระตุ้นให้มีการผลิตน้ำนมแม่หลังจากที่น้ำนมที่ลูกเพิ่งดูดหมดเกลี้ยงเต้าไปค่ะ แต่ถ้าคุณแม่ไม่ให้ลูกดูดนมแม่ตามรอบชั่วโมงกระบวนการผลิตน้ำนมก็จะไม่ถูกกระตุ้น เมื่อเป็นเช่นนี้หลายๆ ครั้ง น้ำนมแม่ก็จะไม่มีการผลิตขึ้นมาและน้ำนมแม่หดหายไปในที่สุดได้ค่ะ

            ในช่วงสัปดาห์นมแม่โลกที่องค์กรพันธมิตรนมแม่โลก” (World Alliance for Breastfeeding Action หรือ WABA) ได้กำหนดให้ทุกวันที่ 1-7 สิงหาคมของทุกปี เป็น “สัปดาห์นมแม่โลก” ก็เพื่อให้ทุกคนในทุกประเทศได้เห็นและให้ความสำคัญกับการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ที่อย่างน้อยลูกก็ควรได้ทานนมแม่มาตั้งแต่แรกเกิดไปจนถึง 6 เดือน แต่ในปัจจุบันก็มีหลายๆ องค์กรได้รณรงค์สนับสนุนให้เลี้ยงลูกด้วยนมแม่มากกว่า 6 เดือน นั่นเพราะในน้ำนมแม่เต็มไปด้วยสารอาหารที่ครบถ้วน และยังมีสารภูมิต้านทานโรคที่จำเป็นกับร่างกายลูก ช่วยลดอัตราเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยจากโรคต่างๆ ได้อีกด้วย นอกจากนี้แม่ก็ไม่ต้องกังวลว่าลูกจะเป็นภูมิแพ้อาหารจากการทานนมผง เอาเป็นว่านมแม่นั้นสด สะอาด ปลอดภัยกับลูกอย่างแน่นอนค่ะ

             

            5  ตัวช่วยกระตุ้นน้ำนมแม่ อย่างง่ายสำหรับแม่มือใหม่

            การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ไม่ใช่เรื่องยากเกินกำลังของคนเป็นแม่ค่ะ ขอเพียงแค่ใจสู้และมีวินัยในการให้ลูกเข้าเต้าตามรอบชั่วโมง เพราะการดูดก็คือการกระตุ้นน้ำนมแม่ให้ผลิตอยู่ตลอดเวลา กระบวนการผลิตน้ำนมแม่จะมีการสร้างน้ำนมนมตามปริมาณความต้องการของลูก เอาเป็นว่าเพื่อให้ไม่เป็นการเสียเวลา ผู้เขียนมีเคล็ดลับดีๆ ในการช่วยกระตุ้นบำรุงน้ำนมแม่ให้กับแม่ลูกอ่อนมือใหม่ทุกคน ดังนี้ค่ะ…

            ตัวช่วยกระตุ้นน้ำนมแม่
            Credit Photo : iStock

            1. ดื่มน้ำให้มาก

            แม่ที่เพิ่งคลอดลูก และอยู่ในระหว่างที่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ จำเป็นอย่างมากที่แต่ละวันต้องดื่มน้ำเปล่าให้มากกว่าปกติ คือจาก 1.5 ลิตรต่อวัน ก็อาจเพิ่มเป็น 2 ลิตร(จำง่ายๆ คือดื่มน้ำให้เกินวันละ 10 แก้ว) อันนี้คือจากประสบการณ์ของคนในครอบครัวผู้เขียนเอง และจากเพื่อนๆ ที่เป็นแม่ลูกอ่อน ก็จะดื่มน้ำเปล่ากันให้มากขึ้น สำหรับน้ำเปล่าที่ดื่มนั้นจะเป็นน้ำเย็น น้ำอุ่น หรือน้ำอุณหภูมิปกติก็ได้ ขอแค่ให้น้ำดื่มนั้นเป็นน้ำสะอาดเป็นใช้ได้ค่ะ การดื่มน้ำจะช่วยให้ร่างกายสามารถผลิตปริมาณน้ำนมแม่ได้มากขึ้นค่ะ

             

            2. นวดเปิดท่อน้ำนม

            แม่หลังคลอดเกือบจะทุกคนมักจะมีอาการเต้านมคัด ทำให้น้ำนมไม่สามารถระบายออกได้หมด เมื่อลูกดูดน้ำนมก็จะออกมาได้ไม่ค่อยดีนัก ลูกก็จะร้องงอแงเพราะกินนมแม่ไม่ได้ ส่วนแม่ก็จะปวดเต้านม ในกรณีที่คุณแม่มีอาการเต้านมคัดอย่างแรกให้ประคบร้อนที่เต้านม แล้วก็ให้ลูกดูดนมแม่ระหว่างที่ลูกดูดนมก็ให้นวดบริเวณรอบๆ เต้านมพร้อมไปด้วย ก็จะเป็นการช่วยกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนออกซิโตซิน(oxytocin) ก็จะทำให้น้ำนมไหนออกมาได้ดี สำหรับการนวดเปิดท่อน้ำนมสามารถทำได้ขณะให้ลูกดูดนมจากเต้าแม่ หรือขณะที่แม่บีบปั๊มนมก็ทำได้เช่นกันค่ะ

            ตัวช่วยกระตุ้นน้ำนมแม่
            Credit Photo : iStock

            3. การปั๊มนมแม่

            ก็เป็นอีกหนึ่งเคล็ดลับวิธีที่จะช่วยกระตุ้นน้ำนมแม่ได้ดีมากๆ เพราะการปั๊มนมก็เหมือนให้ลูกเข้าเต้า เมื่อเต้านมถูกกระตุ้นก็จะเกิดการผลิตน้ำนมชุดใหม่ออกมาอยู่ตลอดเวลา คุณแม่ที่น้ำนมมีปริมาณมาก สามารถเก็บน้ำนมแม่ได้ด้วยการใช้เครื่องปั๊มนมค่ะ น้ำนมที่ปั๊มออกมาก็ให้ใส่ถุงน้ำนม เขียนวันที่กำกับไว้ด้วยนะคะ

            ตัวช่วยกระตุ้นน้ำนมแม่
            Credit Photo : iStock

            4. ทานอาหารที่มีประโยชน์

            การทานอาหารของแม่ช่วงให้นมลูกเป็นเรื่องที่สำคัญและต้องใส่ใจให้มากๆ เพราะร่างกายมีความต้องการอาการที่มาก เพียงพอเพื่อใช้ในการผลิตน้ำนมแม่ และยังนำไปใช้ในการช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอไปจากการตั้งครรภ์และคลอดลูก  อาหารของแม่ให้นมลูกก็ยังคเป็นอาหารหลัก 5 หมู่ ที่ต้องทานให้ครบในปริมาณสัดส่วนที่สมดุลกัน รวมทั้งเพิ่มการทานอาหารกลุ่มสมุนไพรที่มีส่วนช่วยบำรุงน้ำนมแม่ได้ดี เช่น ขิง ใบกะเพราะ หัวปลี กุยช่าย มะละกอ ฟักทอง มะรุม ใบตำลึง  ใบแมงลัก อินทผลาลัม ฯลฯ

            ตัวช่วยกระตุ้นน้ำนมแม่
            Credit Photo : iStock

            5. สมุนไพรกระตุ้นน้ำนมแม่

            คุณแม่ลูกอ่อนที่เพิ่งคลอดลูกแล้วน้ำนมมาน้อย นอกจากเคล็ดลับทั้ง 4 วิธีนั้นแล้ว ก็ยังสามารถทานสมุนไพรสำเร็จรูปที่มีคุณสมบัติในการช่วยกระตุ้นบำรุงน้ำนมแม่ได้อีกวิธีหนึ่งนะคะ แต่ต้องเลือกสมุนไพรที่ปลอดภัย 100% ผ่าการตรวจจากแล็บชั้นนำ มีมาตรฐานการผลิตที่ทันสมัย ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยา ไม่มีผลข้างเคียงต่อลูกน้อยของเรา ซึ่งปัจจุบันนี้ก็มีสมุนไพรสำเร็จรูปบำรุงร่างกายคุณแม่หลังคลอด ที่ช่วยบำรุงน้ำนมและฟื้นฟูสุขภาพคุณแม่ในตัวเดียว พร้อมทานได้ทันที อย่างเช่น พริม (Prim)สมุนไพรแทนการอยู่ไฟ เป็นสมุนไพรสกัดเข้มข้นจากธรรมชาติ 100% ชนิดแคปซูล ที่ช่วยบำรุงน้ำนม ให้น้ำนมมามาก ไม่เหม็นสาบคาว แถมยังช่วยดึงไขมันในร่างกายออกมาใช้ ให้นมข้น ไม่ใส มีสารอาหารครบถ้วน ถือเป็นตัวช่วยที่ดีตัวหนึ่งให้คุณแม่ให้นมน้องได้นานเท่าที่ต้องการได้ด้วยค่ะ สำหรับสมุนไพรสำเร็จรูปเหล่านี้สามรถหาซื้อได้ที่ร้านขายยาทั่วไป หรือเสิร์ชหาข้อมูลเพิ่มเติมในกูเกิ้ลได้เลยค่ะ

            ท้ายนี้หวังว่าเคล็ดลับทั้ง 5 วิธีนี้จะถูกใจคุณแม่ทุกคนนะคะ แล้วอย่าลืมนำไปปรับใช้กันด้วย เพื่อที่น้ำนมจะได้มาดีและมีปริมาณมากเพียงพอให้ลูกได้กินนมแม่ไปนานๆ ค่ะ

              น้ำส้ม ยี่ห้อไหน น้ำตาลน้อย

              น้ำส้ม ยี่ห้อไหน น้ำตาลน้อย วิตามินซีสูง เหมาะกับลูกน้อย

              น้ำส้ม ยี่ห้อไหน น้ำตาลน้อย วิตามินซีสูง คุณพ่อคุณแม่ควรรู้ก่อนจะเลือกซื้อน้ำส้มให้ลูกกิน เพื่อให้ลูกได้รับวิตามินซีจากน้ำส้มอย่างเต็มที่

              Continue reading “น้ำส้ม ยี่ห้อไหน น้ำตาลน้อย วิตามินซีสูง เหมาะกับลูกน้อย”

                ลูกติดเชื้อRSV

                พ่อแม่ระวัง! ลูกติดเชื้อRSV เพราะเครื่องเล่นที่ห้าง

                มีคุณแม่ท่านหนึ่ง แชร์ประสบการณ์ผ่านทางสื่อออนไลน์ เมื่อลูกน้อยไปเล่นเครื่องเล่นที่ห้างสรรพสินค้า เมื่อกลับมาบ้านลูกน้อยมีไข้สูง จึงพาไปหาหมอพบว่า ลูกติดเชื้อRSV เพราะเครื่องเล่น แม่น้องเล็กจึงขออนุญาตคุณแม่ นำเรื่องราวมาแชร์เพื่อให้พ่อแม่ท่านอื่นระมัดระวังตัวกันค่ะ

                ลูกติดเชื้อRSV เพราะเครื่องเล่น

                ขอแชร์ประสบการณ์ค่ะ เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา แม่พาน้องไปเล่นของเล่นที่หยอดเหรียญตามในห้าง เล่นเยอะมาก หลายรอบ ทุกทีก่อนเล่นแม่จะเอาทิชชู่เปียกเช็ดก่อนทุกครั้ง แต่ครั้งนี้ลืมติดไปด้วยค่ะ น้องก็เล่นอย่างสนุก พอแม่เผลอน้องก็ อม กัด ของเล่นที่ตัวเองนั่ง กลับมาบ้านก็ปกติ พอเช้าวันรุ่งขึ้น น้องเริ่มมีไข้ ตัวร้อน แม่ก็ให้กินยาลดไข้ เช็ดตัวปกติ ผ่านไปแล้ว 2 วัน ก็ยังไม่ดีขึ้น ช่วงระหว่าง 2 วัน ไข้ก็มีสูง มีลดบ้าง วันที่ 3 มีอาเจียน มีถ่ายเป็นน้ำ แม่เลยตัดสินใจพามา รพ. คุณหมอวัดไข้ได้ 40 คุณหมอตรวจแล้วก็ขอเจาะเลือดตรวจอีกกลัวน้องจะเป็นไข้หวัดใหญ่ ปรากฏว่าผลออกมา ลูกติดเชื้อRSV แม่ก็ยังงง น้องเป็นได้ยังไง คุณหมอถามคุณแม่พาน้องไปเล่นที่ไหน หรือว่าเล่นกับเด็กคนอื่นบ้างมั๊ยค่ะ เพราะเชื้อตัวนี้ติดจากเด็กสู่เด็ก คราวนี้ละแม่ถึงบางอ้อเลยค่ะ เพิ่งจะพาไปเล่นของเล่นในห้างมาเอง

                สาเหตุของโรค rsv

                คุณหมอให้แอดมิดเลย ไข้ขึ้นสูง กลัวน้องชัก ต้องคอยดูอาการ #อยากจะฝากเตือนแม่ๆ นะคะช่วงนี้โรคนี้ระบาดหนักมากกับเด็กแล้วก็โรคมือเท้าปาก

                #อยากให้แม่ๆ ที่มีลูกเล็กระวังกันด้วยนะคะ

                เห็นลูกแล้วก็สงสารค่ะ พยาบาลหาเส้นจะเจาะน้ำเกลือตามมือแต่หาไม่เจอ มาเจอเส้นที่เท้าแทน คนเป็นแม่อย่างเราเห็นลูกแล้วสงสารจับใจเลยค่ะ เข็ดเลยกับการพาลูกเล่นของเล่นนอกบ้าน

                ลูกติดเชื้อRSV

                เครดิต: HerKid

                นอกจากนี้ยังมีคุณพ่อ คุณแม่หลายคนสงสัย ว่าสามารถฉีดวัคซีนป้องกันเชื้อนี้ได้หรือไม่ แม่น้องเล็กจึงลองหาข้อมูลเพิ่มเติมพบว่า ยังไม่มีวัคซีนป้องกัน มีเพียงคำแนะนำในการป้องกันตัวไม่ให้ได้รับเชื้อเท่านั้น แล้วเราจะมีวิธีปกป้องไม่ให้ ลูกติดเชื้อRSV ได้อย่างไร เราไปหาคำตอบกันค่ะ

                 

                เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                 

                ความรู้เบื้องต้นเมื่อ ลูกติดเชื้อRSV

                โรคที่พบมากในเด็กเล็ก โดยเฉพาะในช่วงหน้าฝนมีอยู่ด้วยกันหลายโรค เช่น โรคไข้หวัดใหญ่ โรคมือเท้าปาก โรคไข้เลือดออก สุกไส รวมไปถึงโรคที่คุณพ่อ คุณแม่ต้องระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง คือ การติดเชื้อไวรัส RSV ซึ่งพบมาก และเติบโตได้ดีในอากาศชื้น โดยเฉพาะหน้าฝน ติดต่อกันได้ง่าย โดยการไอ จาม การหายใจรดกัน และการสัมผัส เด็กๆ สามารถรับเชื้อได้ตั้งแต่แรกเกิด ซึ่งมีระยะฟักตัวของเชื้อประมาณ 2-6 วัน

                อาการของ RSV

                อาการของ RSV จะคล้ายๆ กับไข้หวัดใหญ่ แต่มีความรุนแรงของโรคมากกว่า โดยจะมีอาการดังนี้

                • มีไข้สูง ขึ้นๆ ลงๆ จามบ่อย และมีน้ำมูกใสๆ ไหลตลอดเวลา
                • ไอคล้ายเสียงสุนัขเห่า ไอมากจนทำให้รู้สึกเหนื่อยได้ง่าย
                • หายใจลำบาก มีเสียงวี้ดขณะหายใจ ปีกจมูกบานเวลาหายใจ ตัวเขียวจากการขาดออกซิเจน

                อาการของ RSV

                การป้องกันเชื้อ RSV

                สำหรับการฉีดวัคซีนป้องกันเชื้อไวรัส RSV นั้น แม่น้องเล็กลองค้นหาข้อมูลแล้วยังไม่มีวัคซีนที่ใช้ป้องกันเชื้อไวรัส RSV ได้โดยตรง แต่คุณพ่อ คุณแม่สามารถฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ที่มีอาการใกล้เคียงกัน เพื่อป้องกันลูกน้อยได้ในระดับหนึ่งก่อน ร่วมด้วยวิธีการป้องกันอื่นๆ เช่น

                • หมั่นล้างมือให้สะอาดทุกครั้งก่อน และหลังจับต้องสิ่งของสาธารณะ และรับประทานอาหาร
                • ถ้าคุณพ่อ คุณแม่เป็นหวัด หรือสงสัยว่าเพื่อนของลูกเป็นหวัด ให้หลีกเลี่ยงไม่เข้าใกล้ หรือสัมผัสลูกน้อย และใส่หน้ากากอนามัย เพื่อป้องกันละอองที่เกิดจากการไอ หรือจาม
                • หลีกเลี่ยงการจูบ และหอมแก้มเด็กเล็กๆ เพราะอาจเป็นการแพร่เชื้อ ไม่ใช่เพียง RSV โดยไม่รู้ตัว
                • แยกลูกน้อยให้ห่างจากผู้ป่วย และไม่พาลูกน้อยในที่ชุมชนที่มีคนพลุกพล่าน เพราะอาจได้รับเชื้อ

                 

                เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                 

                การรักษาตัวเมื่อลูกติดเชื้อRSV

                โรคนี้นอกจากยังไม่มีวัคซีนป้องกันโรคโดยตรงแล้ว ยังไม่มียารักษาโดยตรงด้วย จึงต้องรักษาตามอาการ โดยการรับประทานยาลดไข้ตามอาการทุก 4-6 ชั่วโมง พร้อมด้วยเช็ดตัวให้ลูกน้อยเพื่อลดไข้ นอนหลับพักผ่อนให้มากๆ เพื่อให้ร่างกายฟื้นตัว อาจใช้เวลาในการรักษาประมาณ 1-2 สัปดาห์

                ป้องกันลูกจาก rsv
                ข้อมูลน่ารู้ ป้องกันลูกจาก rsv

                อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง

                RSV โรคติดเชื้อทางเดินหายใจในเด็ก สุดฮิตในหน้าฝน

                ไวรัส RSV วายร้ายต่อสุขภาพของเด็กเล็ก!!

                โรคหน้าฝนในเด็ก ที่พ่อแม่ควรระวัง


                 

                เครดิต: โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์

                 

                เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                  ยาลดไข้

                  เตือน! ยาลดไข้ ใช้ผิดวิธีอันตรายถึงชีวิตลูก

                  เมื่อลูกไม่สบาย สิ่งที่คุณพ่อคุณแม่นึกถึงก็คือ ” ยาลดไข้ ” แต่จะเกิดอะไรขึ้นหากเราใช้ยานี้ผิดวิธี!

                   

                   

                  เพราะอากาศเปล่ี่ยนแปลงบ่อย เดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาว ประเดี๋ยวฝนตกอีกละ เรียกว่าสมัยนี้วันนึงจะมีครบทั้งสามฤดูแล้วก็ว่าได้ แล้วแบบนี้จะไม่ให้ลูกหลานของพวกเราจะไม่ป่วยกันได้อย่างไร ซึ่งสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ทุกคนเฝ้าภาวนาไม่อยากให้เกิดขึ้นก็คือ “ไม่อยากให้ลูกมีไข้หรือตัวร้อน” แต่ใครละจะไปห้ามได้จริงไหมคะ

                  ทุกครั้งที่ลูกหลานของเรามีไข้สิ่งที่เราจะนึกถึงก็คือ “ยาลดไข้” แต่พวกเราจะมั่นใจกันได้อย่างไรว่ายาที่ลูกหลานรับประทานเข้าไปนั้นจะไม่ส่งผลกระทบใด ๆ กับเขา หรือสามารถให้ยาได้ถูกต้องตามปริมาณที่พวกเขาควรได้รับ ซึ่งวันนี้เราจะมาพูดถึงยาลดไข้กันค่ะว่า แท้จริงแล้วแบ่งออกเป็นได้กี่ชนิด พร้อมแล้วไปอ่านบทความนี้กันเลยค่ะ

                  ในบ้านเราทุกวันนี้ มียาลดไข้ขายกันมากมายหลายชนิดมีทั้งที่ทานแล้วปลอดภัยและทานแล้วส่งผลเสียถึงกับชีิวิต แต่ก่อนที่เราจะไปดูว่ายาลดไข้ประเภทใดที่ลูกหลานทานได้ปลอดภัยนั้น เราไปดูประเภทของยาลดไข้ที่ไม่ควรรับประทานกันก่อนค่ะ ซึ่งสามารถแบ่งยากลุ่มนี้ออกเป็น 3 พวกด้วยกัน คือ

                  1. ยาที่มีตัวยาสำคัญเป็นยาต้านจุลชีพหรือยาฆ่าเชื้อโรค อันได้แก่ เตตร้าซัยคลีน คลอแรมเฟนิค่อล เป็นต้น ยาต้านจุลชีพนี้ มิใช่ยาแก้ตัวร้อน นอกจากไม่มีฤทธิ์ในการลดไข้โดยตรงแล้ว ยังเป็นยาที่มีอันตรายอย่างมากอีกด้วย โดยเฉพาะเตตร้าซัยคลีน (หรือเรียกสั้นๆ ว่า เตตร้า) และคอลแรมเฟนิคอล (หรือเรียกสั้นๆ ว่า คลอแรม) ทั้ง 2 ตัวนี้ไม่ควรซื้อให้เด็กกินอย่างยิ่ง เพราะอาจมีพิษถึงตายได้ทีเดียว

                  ซึ่งยาที่ว่านี้ก็มีคุณพ่อคุณแม่บางท่านที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์นั้นซื้อไปให้ลูกทานโดยไม่รู้ถึงความอันตรายของมัน ลักษณะของยานั้นเป็นน้ำเชื่อมข้น ๆ เหมือนตะกอนซึ่งเมื่อเขย่าเข้ากันแล้วมักจะมีสีเหลืองหรือสีส้มโดยสรรพคุณของตัวอย่างนั้นจะอวดโอ้เกินความจริงว่า สามารถรักษาโรคไข้หวัดใหญ่ ไข้หวัด อีสุกอีใส คางทูม และอื่น ๆ อีกมากมาย จึงทำให้คุณพ่อคุณแม่หรือผู้ใหญ่บางท่านที่ไม่ทราบซื้อไปให้ลูกหลานรับประทาน ซึ่งตัวยาอย่างยาเตตร้านั้น หากเด็กรับประทานบ่อยจะทำให้เกิดฟันเหลืองดำหรือฟันผุเสียหาย อีกทั้งยังมีพิษต่อไต ส่วนยาคลอแรม ถ้าหากให้เด็กเล็กรับประทานเข้าไปละก็ อาจทำให้ถึงแก่ชีวิตได้ หรือไม่ก็ไปกดไขกระดูกไม่ให้สร้างเม็ดเลือดทำให้เกิดเป็นโรคโลหิตจากชนิดร้ายแรงได้ค่ะ

                  คลิกอ่านเพิ่มเติมได้ที่หน้าถัดไป

                    แม่ท้องใช้มือถือ

                    วิจัยชี้! แม่ท้องใช้มือถือ มากไปส่งผลกับทารกในครรภ์

                    อัพเดทล่าสุดผลวิจัยชี้ชัดแล้วว่า แม่ท้องใช้มือถือ มากเกินไปส่งผลเสียกับทารกในครรภ์แน่นอน!

                     

                     

                    เมื่อ “มือถือ” คือส่วนหนึ่งของชีวิต ทำให้สิ่งต่าง ๆ รอบข้างเปลี่ยนไปไม่ใช่แต่เฉพาะสิ่งรอบตัวเท่านั้นที่เปลี่ยน หากสังเกตตัวเองให้ดีจะรู้ทันทีเลยว่า การเล่นมือถือมากเกินไปนั้นส่งผลเสียอย่างไรบ้างกับสุขภาพของเรา และในวันนี้เราจะขอนำเสนอผลงานวิจัยล่าสุดที่อาจจะทำให้ใครหลาย ๆ คนตกใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับคุณแม่ท้องทุก ๆ คน

                    จากผลงานวิจัยล่าสุดจากมหาวิทยาลัยคุมาโมโต้ของประเทศญี่ปุ่นได้กล่าวไว้ว่า การที่คุณแม่ท้องใช้มือถือมากเกินไปนั้น ส่งผลแน่นอนกับทารกในครรภ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง

                    1. เรื่องของน้ำหนักทารก ซึ่งมีผลทำให้น้ำหนักตัวทารกต่ำกว่าเกณฑ์ อีกทั้งยังมีภูมิคุ้มกันที่ต่ำกว่าปกติ
                    2. มีปัญหาเกี่ยวกับการป่วยเรื้อรังต่าง ๆ

                    งานวิจัยดังกล่าวนี้ ได้ทำการเก็บผลสรุปจากกลุ่มตัวอย่างที่เป็นคุณแม่ท้องจำนวนทั้งสิ้น 521 คน และทุกคนใช้มือถือของตัวเอง เรียกได้ว่าแทบจะทุกเวลา ทุกสถานที่ ทั้งวันทั้งคืน และไม่ใช่แค่นั้นแม้แต่เวลานอน คุณแม่ทั้งหมดไม่มีใครอยู่ห่างจากมือถือเลย

                    นอกจากนี้งานวิจัยยังค้นพบอีกว่า จากกลุ่มตัวอย่างแทบทุกคนที่จะเก็บมือถือติดตัวไว้ตลอดเวลา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกระเป๋าเสื้อและกระเป๋ากางเกงเพื่อความสะดวกสบายของการนำมาใช้ และนอกจาก 2 ข้อที่ได้กล่าวมาถึงผลเสียของทารกในครรภ์นั้น การที่คุณแม่ท้องใช้มือถือมากเกินไปก็ยังจะส่งผลให้เกิดความวิตกกังวล มีปัญหาเรื่องการนอน อารมณ์ซึมเศร้า ซึ่งอารมณ์ทั้งหมดของคุณแม่ท้องนั้น ส่งผลต่อทารกในครรภ์ด้วยทั้งสิ้น

                    อ่านผลงานวิจัยอื่นเพิ่มเติม คลิก


                    เครดิต: Standard Media

                      ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ H1N1

                      ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ H1N1

                      ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ H1N1 กลับมาระบาดอีกครั้ง จึงอยากเตือนให้ทุกครอบครัวได้เฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด ทั้งเด็ก และ ผู้ใหญ่มีสิทธิป่วย หากภูมิคุ้มกันร่างกายไม่แข็งแรงป่วยแล้วรักษาไม่ทันถึงขั้นเสียชีวิตได้ ทีมงาน Amarin Baby & Kids มีข้อมูลการป่วยล่าสุดมาให้ได้ทราบกันค่ะ

                       

                      ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ H1N1 

                      กลับมาระบาดอีกครั้งกับ ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ H1N1 ที่ทำให้ผู้ติดเชื้อป่วยจนเสียชีวิต เมื่อวันที่ 19 มิ.ย. 60 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะนี้ชาว อ.แม่สอด จ.ตาก และใกล้เคียงต่างหวาดผวากับโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ ชนิดเอ เอช1 เอ็น1 เนื่องจากระบาดและเสียชีวิตแล้ว 3 ราย ทำให้เด็กและผู้สูงอายุรวมทั้งผู้ที่มีโรคประจำตัวที่รับเชื้อได้ง่ายพากันไปฉีดวัคซีนป้องกันจำนวนมาก ด้านเจ้าหน้าที่ระดับสูงผู้ป่วยในโรงพยาบาลแม่สอด เปิดเผยว่า ในรอบ 1-2 สัปดาห์ที่ผ่านมา มีการระบาดของเชื้อไข้หวัดใหญ่นี้ในเขตพื้นที่ อ.แม่สอด และอีกหลายอำเภอในโซนฝั่งตะวันตก พบว่ามีผู้เสียชีวิตถึง 3 รายแล้ว โดยมีการเสียชีวิตในรอบ 14 วัน หรือ 2 สัปดาห์ จากจำนวนผู้เข้ารับการรักษานับสิบราย

                      ทั้งนี้ โรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ในคนเกิดจากเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ชนิดเอ เอช1 เอ็น1 ซึ่งเป็นเชื้อตัวใหม่ที่เกิดจากการผสมข้ามสายพันธุ์ ซึ่งมีสารพันธุกรรมของเชื้อไข้หวัดใหญ่คน ไข้หวัดใหญ่สุกร และไข้หวัดใหญ่สัตว์ปีกด้วย เริ่มพบการระบาดที่ประเทศเม็กซิโก และแพร่ไปกับผู้เดินทางไปในอีกหลายประเทศ ระยะแรกกระทรวงสาธารณสุขใช้ชื่อโรคนี้ว่า “โรคไข้หวัดใหญ่ที่ระบาดในเม็กซิโก” และเมื่อองค์การอนามัยโลกได้ประกาศชื่อเป็นทางการเมื่อวันที่ 29 เมษายนที่ผ่านมา จึงเปลี่ยนชื่อเป็น “ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ชนิดเอ เอช1 เอ็น1” และใช้ชื่อย่อว่า “ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009”

                      บทความแนะนำ คลิก >> รู้ไหมว่า ไข้เลือดออก กับ ไข้หวัดใหญ่ ต่างกันอย่างไร?

                      คนส่วนใหญ่ติดโรคไข้หวัดใหญ่จากการถูกละอองฝอยไอจาม น้ำมูก น้ำลาย ของผู้ป่วยโดยตรง หรือได้รับเชื้อทางอ้อมผ่าน ทางมือหรือสิ่งของเครื่องใช้ที่ปนเปื้อนเสมหะ น้ำมูกน้ำลาย เช่น ผ้าเช็ดหน้า ลูกบิดประตู โทรศัพท์ แก้วน้ำ ก๊อกน้ำ แป้น คอมพิวเตอร์แล้วใช้มือแคะจมูก ขยี้ตา ป้ายปาก โดยไม่ได้ล้างมือด้วยสบู่หรือเจลแอลกอฮอล์ก่อน – ที่มาข่าว ไทยรัฐ ออนไลน์

                      อ่านต่อ มารู้จักกับไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ หน้า 2 

                       

                      เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                        ตรวจดีเอ็นเอ

                        แม่ใจสลายผล ตรวจดีเอ็นเอ บอกไม่ใช่ลูกแท้ ๆ

                        แม่เลี้ยงดูมาตลอด 28 ปีน้ำตาตกใน หลังผล ตรวจดีเอ็นเอ ชี้! ลูกชายไม่ใช่ลูกแท้ ๆ ของตัวเอง

                         

                         

                        เรื่องราวดราม่าในครั้งนี้ เกิดขึ้นอีกครั้งกับคุณแม่ชาวจีนแผ่นดินใหญ่ที่หัวใจแตกสลาย เมื่อได้ค้นพบความจริงที่ว่า ลูกชายที่เธอเลี้ยงดูฟูมฟักมาอย่างดีตลอด 28 ปีที่ผ่านมานั้น ไม่ใช่ลูกแท้ ๆ ของตัวเอง!

                        โดยเรื่องราวนี้เกิดแดงขึ้นเมื่ออดีตสามีที่หย่าขาดกันไปเมื่อปี 2004 นั้น ต้องการให้คุณแม่ ตรวจดีเอ็นเอ เนื่องจากไม่เข้าใจว่า ทำไมลูกชายคนนี้ถึงได้หน้าตาดีหล่อเหลาเกินไป ซึ่งผลที่ออกมานั้นเป็นไปอย่างที่สามีภรรยาทั้งคู่คิดนั่นก็คือ ลูกชายที่ทั้งสองเลี้ยงดูมานั้นหาใช่ลูกที่แท้จริงของคนทั้งคู่ไม่!

                        และในปี 2016 คุณแม่ได้ทำการ ตรวจดีเอ็นเอ อีกครั้งเพื่อความมั่นใจ และผลที่ได้ก็ชี้ชัดเหมือนเดิมว่า ดีเอ็นเอนั้นไม่ตรงกัน โดยคุณแม่ท่านนี้ได้เปิดเผยผ่านสื่อท้องถิ่นว่า “เด็กคนนี้เขาทั้งตาโต จมูกโด่ง ในขณะที่อดีตสามีนั้น หน้าตาไม่ได้ดูดีมากถึงขนาดนั้น ทำให้มีความแตกต่างกันอย่างชััดเจน จนทำให้คนที่อาศัยอยู่ในละแวกบ้านและบรรดาเพื่อน ๆ เกิดความสงสัยและมักจะถามตัวเองเสมอว่า ทำไมลูกชายถึงได้หล่อขนาดนี้ มีวิธีการเลี้ยงดูอย่างไรถึงทำให้ลูกชายดูแตกต่างจากคนในครอบครัว”

                        คุณแม่เชื่อว่า สาเหตุของต้นตอทั้งหมดนั้น อาจมาจากโรงพยาบาลที่นครเซี่ยงไฮ้ซึ่งเป็นสถานที่เกิดของลูกชายน่าจะส่งลูกผิดคนให้กับเธอตั้งแต่เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ปี 1989 และปัจจุบันเธอก็กำลังอยู่ในช่วงของการดำเนินการฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากโรงพยาบาลดังกล่าวอยู่เป็นเงินถึง 1.3 ล้านหยวนหรือคิดเป็นเงินไทยประมาร 6.4 ล้านบาท

                        ขณะเดียวกันด้านลูกชายก็ได้ให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อว่า เขาแทบไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้น ทำให้เขาไม่สามารถรับความจริงนี้ได้ ชมคลิป! 

                        การตรวจหาดีเอ็นเอคืออะไร คลิก!


                        เครดิต: เดลินิวส์  The Sun และ คลิปจาก Kathy

                          โรคคาวาซากิ

                          โรคคาวาซากิ โรคร้ายที่ใกล้ตัวลูก

                          เรื่องจริงของ โรคคาวาซากิ โรคร้ายที่ส่งผลทำให้เกิดความผิดปกติของหัวใจเด็ก เรื่องจริงที่พ่ออยากบอกต่อ!

                           

                           

                          พบกับกระทู้ที่คุณพ่อท่านหนึ่งเขียนขึ้นผ่านเวปพันธิป เพื่อกล่าวเตือนทุกครอบครัวที่มีลูกต่ำกว่า 5 ขวบให้ระวังโรคร้ายที่สามารถส่งผลกับการทำงานของหัวใจลูกดังเช่นลูกของคุณพ่อที่สุดท้ายแล้วเกิดภาวะแทรกซ้อนจนทำให้ลูกชายต้องป่วยเป็นเส้นเลือดหัวใจโป่งพอง ไปอ่านเรื่องราวของคุณพ่อท่านนี้กันเลยค่ะ

                          กระทู้นี้ผมเขียนขึ้นเพื่อเป็นข้อคิดและเป็นความรู้สำหรับพ่อแม่ทุก ๆ คนที่มีลูกอายุต่ำกว่า 5 ขวบ…ขอให้เป็นวิทยาทานเพื่อช่วยให้ลูกชายผมหายป่วยจากภาวะแทรกซ้อนเส้นเลือดหัวใจโป่งพองกลับมาเป็นปกติในเร็ววัน…
                          Day 1-3  : ลูกผมป่วยเป็นไข้โดยไข้สูงเริ่มในวันที่ 2  ผมให้ยาลดไข้ที่บ้าน และติดตามอาการ พบว่ากลางวันลูกชายยังเล่นได้ดีในช่วง 2 วันแรก แต่วันที่ 3 งอแงมาก ส่วนกลางคืนงอแงมากขึ้นในคืนที่ 2 และ 3  ซึ่งตอนแรกผมก็คิดว่าลูกไม่น่าจะเป็นอะไรมาก?
                          Day 4 :08:00 น. ผมพาลูกไปหาหมอที่ รพ. เอกชนในตัวจังหวัด หมอที่รับแอทมิทเจาะเลือดหาโรคใข้เลือดออกและไข้หวัดใหญ่แต่ไม่พบทั้ง 2 โรค แต่พบว่าค่าการอักเสบสูงมาก เลยรับแอทมิทโดยการให้น้ำเกลือ ยาลดไข้และยาฆ่าเชื้อ (ไม่รู้ชื่อยา?) เพราะลูกชายเพลียมาก ไม่ยอมกินข้าวและนม และงอแงไม่ยอมนอน (วางให้นอนเดี่ยวๆไม่ได้ ยกเว้นนอนบนพ่อหรือแม่ แต่หลับไม่สนิท) ผ่านไป 2 วันอาการไข้สูงก็ยังไม่ดีขึ้น (กินยาลดไข้ลงสักพักแล้วก็กลับมาไข้สูงต่อ)
                          Day 6: – 09:00 น. หมอสั่งตรวจเลือดเพื่อหาใข้เลือดออกอีกรอบแต่ก็ไม่พบ หมอสงสัยเป็นโรคคาวาซากิ (เป็นครั้งที่ 2 ที่ผมได้ยินชื่อโรคนี้ ครั้งแรกเคยได้ยินจากคนในหมู่บ้านเดียวกันที่ลูกวัย 3 เดือนเขาเคยป่วยเป็นโรคนี้ แต่ไม่ได้สนใจอะไร) ผมตัดสินใจย้าย รพ. เพื่อพาลูกไปรักษาตัวที่กรุงเทพ เป็น รพ.เอกชนชื่อดัง (ซึ่งลูกผมเคยไป Admit มาหลายครั้งด้วยโรคหวัด) โดยผมค้นหาหมอที่ชำนาญเฉพาะทางของโรคนี้
                          – 17:00 น. วันที่ 6 ลูกผมก็ถึงมือหมอ โดยหมอสอบถามอาการต่าง ๆ ผมก็เล่าให้ฟังพร้อมกับจดหมายของหมอจาก รพ.เดิม พูดคุยกับหมอมากกว่าครึ่งชั่วโมง หมอฟังอาการแล้วก็พยายามพูดให้ฟังเรื่องเกี่ยวกับโรคนี้ ทั้งที่บอกว่าโรคนี้สามารถเป็นและหายเองได้ และภาวะแทรกซ้อนที่น่ากลัวของโรคนี้คือภาวะเส้นเลือดหัวใจโป่งพอง ซึ่งหมอบอกว่ามียาที่ราคาแพงมากจะช่วยป้องกันปัญหาดังกล่าวได้ โดยยาดังกล่าวไม่มีผลเสียอะไร นอกจากเสียเงิน ถ้าไม่ได้เป็นโรคนี้ ผมก็รับได้กับทุกอย่าง หมอจะให้ยาดังกล่าวในคืนนี้เลย โดยให้เขียนรายการสำรองยาไว้แล้วส่งตรวจเลือดลูกผมอีกครั้ง  (ความรู้สึกผมตอนนั้นใจหนึ่งก็ภาวนาอย่าให้ลูกเป็นโรคดังกล่าวเลย เพราะค่ายาแพงมาก ผมมาหาความรู้เองในคืนนั้นพบว่ายาชื่อ IVIG เป็นยาที่แพงมาก ใน รพ.เอกชน ยาดังกล่าวต่อ 1 โดสอาจจะเป็นแสนบาท)
                          – 21:00 น. หมอโทรมาแจ้งว่ายังจะไม่ให้ยาตัวแพง เพราะค่าเลือดยังไม่สื่อว่าเป็นโรคาวาซากิ ให้สังเกตอาการไข้ โดยตั้งแต่ช่วง 18:00 น. หมอได้สั่งจ่ายยาลดไข้สูงชื่อ Brusil (ชื่อสามัญ Ibrufen) และยาฆ่าเชื้อไหมผมไม่แน่ใจ แต่ผมอ่านเจอทีหลังว่าถ้ามีการให้ยาชนิดนี้อาจจะบดบังอาการของโรคคาวาซากิได้..?
                          – คืนนั้นทั้งคืนพยาบาลก็เข้ามาวัดไข้และเมื่อไข้สูงก็ ให้ยาลดไข้ต่อเนื่องจน 08:00 น. ของเช้าวันที่ 7
                          Day 7: -09:00 น. หมอมาตามอาการต่อ และห้ามให้พยาบาลให้ยาลดไข้อีกแล้ว เพื่อตามผลของไข้  จนเวลาประมาณ 14:00 น. ลูกผมก็กลับมาตัวร้อนต่อ ไข้อยู่ที่ 37.9 พยาบาลให้ยาลดไข้ต่ำ
                          -15:00 น.  หมอโทรมาบอกว่ายังไม่ให้ยาตัวดังกล่าว แต่จะให้หมอเฉพาะทางด้านโรคติดเชื้อมาช่วยดูอาการว่าเกิดจากอะไร
                          -21:00 น. หมอเฉพาะทางโรคติดเชื้อมา แจ้งว่าขอติดตามผล 2 วันเพื่อดูอาการไข้ โดยจะให้ยาฆ่าเชื้อ โดยหมอสงสัยเป็นโรคเห็บหนู?
                          ***ช่วงวันที่ 6-7 ที่ผมต้องเล่าละเอียดเพราะเป็นช่วงเวลาที่สำคัญมากในการวินิจฉัยโรคคาวาซากิของลูกผม เพราะพอเข้าวันที่ 8 หลังจากได้รับยาฆ่าเชื้อตัวใหม่ ลูกผมไข้ลดลงต่อเนื่องจนไม่มีไข้ ในตอนนั้นผมก็ดีใจว่าลูกหายใข้แล้วและไม่เป็นโรคดังกล่าว ***

                          อ่านต่อเรื่องราวของคุณพ่อ คลิก!

                            อะโวคาโด

                            ” อะโวคาโด ” ผลไม้ที่ทุกคนในครอบครัวคู่ควร

                            หากพูดถึงผลไม้ที่สาว ๆ ชื่นชอบ หนึ่งในนั้นจะต้องมี ” อะโวคาโด ” ที่บอกเลยว่าสรรพคุณดีมากจนตกใจ

                             

                             

                            อะโวคาโด ชื่อดีคุณภาพยิ่งเลิศ

                            เรียกอีกชื่อว่า ลูกเนย โดยมีชื่อเรียกทางวิทยาศาสตร์ว่า Persea americana Mill เป็นต้นไม้พื้นเมืองของเม็กซิโกในรัฐปวยบลา จัดอยู่ในวงศ์เดียวกันกับกระวาน อบเชย เบย์ลอเรล สำหรับประเทศไทยมีการนำมาปลูกครั้งแรกที่จังหวัดน่าน ก่อนจะแพร่ขยายไปทั่วประเทศ จัดเป็นผลไม้ที่มีเนื้อมันเป็นเนย รูปร่างคล้ายสาลี่ หรือรูปไข่จนถึงรูปกลม

                            เป็นผลไม้ที่นิยมรับประทานกันมากในแถบยุโรปและอเมริกา เพราะมีสารอาหาร วิตามิน และแร่ธาตุหลากหลายที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพอย่างมาก แต่สำหรับใครที่ชอบผลไม้ที่มีรสชาติหวานก็มักจะมองข้ามผลไม้ชนิดนี้ไป เรียกได้ว่าน่าเสียดายมาก ๆ เลยละค่ะ

                            ที่น่าตกใจก็คือแม้ว่าผลเพียงครึ่งลูกนั้นมีน้ำหนัก 100 กรัม จะมีไขมันสูงถึง 14.66 กรัม หากทำการเทียบกับผลไม้ชนิดอื่นจะมีไขมันน้อยมากหรือไม่มีไขมันเลย แต่เป็นที่น่าแปลกที่การรับประทานผลไม้ชนิดนี้นั้น ไม่ได้ทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นแต่อย่างใด เมื่อเทียบกับการรับประทานไขมันอื่นในปริมาณเท่ากัน แถมการรับประทานอะโวคาโดยังช่วยลดน้ำหนักได้อีกด้วย และไม่ทำให้อ้วน แถมยังช่วยลดระดับไขมันเลว ได้อย่างชัดเจนอีกด้วย ! 

                            เรียกได้ว่างานนี้ต้องร้อง “ว้าว” ดัง ๆ เลยละค่ะ 

                            คลิกดูคุณประโยชน์ของผลไม้ชนิดนี้

                              โรคมะเร็งในเด็ก

                              3 อันดับ โรคมะเร็งในเด็ก ที่พบมากที่สุดในไทย

                              แพทย์เผยชนิดของ โรคมะเร็งในเด็ก 3 ชนิดที่พบมากในเด็กไทย!

                               

                               

                              โรคมะเร็งที่พบมากในเด็กนั้น สามารถพบได้ในเด็กตั้งแต่แรกเกิด ที่มีจำนวนผู้ป่วยเพิ่มขึ้นทุกปี จะมีโรคมะเร็งชนิดไหนบ้าง เราจะไปหาคำตอบกัน พร้อมกับสัญญาณของโรคมะเร็งที่พ่อแม่ควรรู้!

                              โรคมะเร็งในเด็ก เป็นอย่างไร

                              โรคมะเร็งในเด็ก หมายถึงโรคมะเร็งที่เกิดในวัยตั้งแต่แรกเกิดจนถึงอายุต่ำกว่า 15 ปี เป็นโรคมีอัตราเกิดน้อยกว่าในผู้ใหญ่มาก คิดเป็นประมาณ 1ใน 10 ของโรคมะเร็งในผู้ใหญ่และเกือบทั้งหมดนั้นเป็นมะเร็งชนิดแตกต่างจากผู้ใหญ่

                              แตกต่างกันอย่างไร?

                              โรคมะเร็งในผู้ใหญ่นั้นสามารถจัดแบ่งชนิดของโรคมะเร็งตามอวัยวะ และเป็นชนิดเกิดจากเซลล์เยื่อบุผิวหรือเยื่อเมือก ของอวัยวะ ซึ่งจัดเป็นกลุ่มโรคมะเร็งชนิดคาร์ซิโนมา เช่น โรคมะเร็งกล่องเสียง โรคมะเร็งเต้านม โรคมะเร็งปอด หรือ โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ และส่วนน้อยเกิดจากเซลล์ของเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน ซึ่งจัดเป็นกลุ่มโรคมะเร็งชนิด ซาร์โคมา

                              แต่สำหรับโรคมะเร็งในเด็กนั้น แบ่งชนิดของมะเร็งตามลักษณะชนิดของเซลล์มะเร็ง ส่วนใหญ่เกิดจากเซลล์ชนิดพบเฉพาะในวัยเด็ก หรือเซลล์ชนิดเกิดจากเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน ดังนั้น เกือบทั้งหมดจึงเป็นโรคมะเร็งในกลุ่ม ซาร์โคมา เช่น โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวเอแอลแอล โรคมะเร็งประสาทซิมพาทีติคชนิดนิวโรบลาสโตมา หรือ โรคมะเร็งลูกตาชนิดเรติโนบลาสโตมา แต่อาจเกิดโรคมะเร็งชนิด คาร์ซิโนมาเช่นเดียวกับในผู้ใหญ่ได้บ้างประปราย

                              จากสถิติการป่วยด้วยโรคมะเร็งที่เด็กไทยคิดเป็น 21.7, 16.6 และ 10.2 ต่อประชากร 100,000 คน

                              • เด็กชายอายุระหว่าง 0-4 ปี, 5-9 ปี, และ 10-14 ปี ตามลำดับ และ 14.1, 10.5 และ 9.4 ต่อประชากร 100,000 คน
                              • เด็กหญิงอายุระหว่าง 0-4 ปี, 5-9 ปี, และ 10-14 ปี ตามลำดับ

                              คลิกอ่าน 3 โรคมะเร็งที่เด็กไทยเป็นมากที่สุด

                                ท่าเซ็กส์

                                7 ท่าเซ็กส์แนะนำ! ทำได้หลังคลอด ปลอดภัย ไม่เจ็บ ไม่กดทับแผล

                                สำหรับในเรื่องของการมีเพศสัมพันธ์หลังผ่าคลอด ท่าเซ็กส์ เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ต้องระมัดกระวังให้ดี เพราะหากคุณพ่อคุณแม่ร่วมรักกันแบบผิดท่าผิดทางไป อาจทำให้โดนแผลผ่าคลอด กดทับแผล จนเกิดอาการเจ็บ หรือแผลปริ ฉีดขาดได้

                                Continue reading “7 ท่าเซ็กส์แนะนำ! ทำได้หลังคลอด ปลอดภัย ไม่เจ็บ ไม่กดทับแผล”

                                  เบบี้มายด์

                                  เบบี้มายด์ จัดงานเสวนา “ผิดหรือถูก เลี้ยงลูกแบบไหน เสริมพัฒนาการลูกดีที่สุด?”

                                  เบบี้มายด์ จัดงานเสวนา “ผิดหรือถูก เลี้ยงลูกแบบไหน เสริมพัฒนาการลูกดีที่สุด?”

                                  ชวน 4 สุดยอดคุณหมอพร้อมคุณแม่เซเลบริตี้และบล็อกเกอร์คนดัง กระตุ้นความเชื่อมั่น
                                  ให้คุณแม่เลี้ยงลูกอย่างมีความสุขที่สุด เป็นธรรมชาติของตัวเองและลูกมากที่สุด

                                  หลังจัดทำผลสำรวจในกลุ่มคุณแม่รุ่นใหม่และพบว่า 94% ของคุณแม่คนไทยรู้สึกไม่มั่นใจในสัญชาตญาณการเลี้ยงลูกของตนเอง ส่วนอีก 83% มีความเครียดและวิตกกังวลเรื่องการเลี้ยงลูก เบบี้มายด์ อัลตร้ามายด์ กลุ่มผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติเพื่อทารกตั้งแต่แรกเกิด จึงจัดงานเสวนา ผิดหรือถูก เลี้ยงลูกแบบไหน เสริมพัฒนาการลูกดีที่สุด?” ตามพันธกิจของแบรนด์เบบี้มายด์ในการสร้างกำลังใจและความเชื่อมั่นให้กับคุณแม่มือในการเลือกสรรวิธีการเลี้ยงลูกตามสัญชาติญาณของความเป็นแม่ที่รู้ดีที่สุดว่าสไตล์การดูแลแบบใดที่เหมาะกับธรรมชาติของลูกตน

                                  โดยได้เชิญ 4 สุดยอดคุณหมอมาร่วมไขทุกข้อสงสัยในการเลี้ยงลูกแต่ละสไตล์ ได้แก่ ศาสตราจารย์ พญ.อุมาพร ตรังคสมบัติ (ที่สองจากซ้าย)  จิตแพทย์มือ 1 ของประเทศไทยประสบการณ์มากกว่า 30 ปี และผู้ก่อตั้งเพจปั้นใหม่ แพทย์หญิง เสาวภา พรจินดารักษ์ (ที่สามจากซ้าย) จากลูกเชิงบวก (ผู้เชี่ยวชาญกุมารเวช ด้านพัฒนาการและพฤติกรรม) ทันตแพทย์หญิงจีรภา ประพาศพงษ์ (ที่สามจากขวา) จากเพจหมอภา (ผู้เขียนหนังสือ 30 หลักคิด ติดปีกลูก) นายแพทย์ถิรชัย ตันสันติวงศ์ (ที่สองจากขวา) กุมารแพทย์ระบบประสาทที่ได้รับความไว้วางใจจากเหล่าเซเลบริตี้ โดยในงานมีเหล่าบล็อกเกอร์แม่และเด็ก รวมทั้งคุณแม่เซเลบริตี้คนดัง อาทิ เจนนิส (โสภณพนิช) ยังพิชิต, วาริธร กันท์ไพบูลย์ (ขวาสุด), พิมพ์ภัทร ยมนาค, ชาลียา พสวงศ์, พรพิมล ธรรมวัฒนะ (ซ้ายสุด), ทพญ.พิชชุดา ทัพพะทัต ฯลฯ ที่จูงลูกน้อยมาร่วมรับฟังและแชร์ประสบการณ์การเลี้ยงลูกด้วยความเข้าใจในธรรมชาติของลูกตนเอง

                                  นางสาวสุทิพา ปัญญามหาทรัพย์ Chief Marketing Officer บริษัทโอสถสภา จำกัด (กลาง) เผยถึงข้อมูลเชิงลึกของกลุ่มคุณแม่รุ่นใหม่ว่า “เมื่อเร็วๆ นี้ เบบี้มายด์ได้จัดทำผลสำรวจความคิดเห็นของคุณแม่รุ่นใหม่ร่วมกับ Asia Parenting เว็บไซต์ให้คำแนะนำด้านการเลี้ยงลูกที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในประเด็นเรื่องการเลี้ยงดูลูกในปัจจุบัน เราพบประเด็นที่น่าสนใจหลายประเด็น อาทิ 94% ของคุณแม่ที่ถูกสำรวจรู้สึกไม่มั่นใจในสัญชาตญาณการเลี้ยงลูกของตนเอง โดยเฉพาะเรื่องวิธีการเลี้ยงลูกที่ดีที่สุดตามสัญชาตญาณความเป็นแม่ที่ตนเองคิดว่าถูกต้องและใช้ได้ผล 83% ยังบอกอีกว่า ตนมีความกังวลและมีความเครียดบ่อยครั้งเรื่องการเลี้ยงลูก นอกจากนี้ คุณแม่มากกว่าครึ่งยังยืนยันอีกว่า คนรอบข้างล้วนมีอิทธิพลในการเลี้ยงลูกของตน ตั้งแต่พ่อแม่ของตนเอง พ่อแม่สามี แพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญ ไปจนถึงความคิดเห็นในอินเทอร์เน็ต”

                                  เบบี้มายด์

                                  “สำหรับเบบี้มายด์ เราเชื่อในสัญชาตญาณความเป็นแม่ ความคิดเห็นของคนอื่นๆ รอบตัว ไปจนถึงความเห็นของผู้เชี่ยวชาญหรือสิ่งที่เราเห็นในอินเทอร์เน็ตอาจทำให้คุณแม่เกิดความลังเลบ้างในความเชื่อมั่นในสัญชาตญาณของตนเอง แต่เบบี้มายด์เชื่อมั่นว่า ธรรมชาติดีที่สุดและคนเป็นแม่ย่อมเข้าใจธรรมชาติของลูกตนเองได้มากที่สุด เราจึงมีพันธกิจที่จะส่งเสริมความมั่นใจและเป็นพลังใจให้คุณแม่เชื่อมั่นในสัญชาตญาณความเป็นแม่ของตนเอง และเราพร้อมที่จะยืนอยู่เคียงข้างคุณแม่ทุกคนในการเลี้ยงลูกตามสไตล์ของตนเอง ซึ่งไม่มีผิดไม่มีถูกและไม่ต้องทำตามใคร เพราะสัญชาตญาณความเป็นแม่นี่เองที่จะชี้แนะแนวทางในการเลี้ยงลูกที่ดีที่สุด พร้อม ๆ กับเดินหน้าสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์พื่อทารกตัวน้อย จากสารสกัดจากธรรมชาติที่ดีที่สุด เพื่อให้อย่างน้อยเป็นหนึ่งเรื่องที่คุณแม่สามารถวางใจและคลายกังวลว่าได้เลือกผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุดสำหรับลูกสุดที่รัก” นางสุทิพา กล่าวเพิ่มเติม

                                  หลังจากนี้เบบี้มายด์จะเดินหน้าจัดกิจกรรมเพื่อเพิ่มความเชื่อมั่นในสัญชาตญาณความเป็นแม่ที่เข้าใจธรรมชาติของลูกแต่ละคนดีที่สุดอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งร่วมกับโรงพยาบาลชั้นนำในการเวิร์คช็อปการดูแลลูกน้อยด้วยผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติเพื่อเสริมความมั่นใจของคุณแม่อย่างรอบด้าน เป็นแรงบันดาลใจและลดความกดดันต่อคุณแม่มือใหม่ในการเลี้ยงลูกในแบบฉบับของตนเอง โดยสามารถติดตามความเคลื่อนไหวได้ที่ www.facebook.com/BabiMildTH/

                                  เบบี้มายด์

                                  (พื้นที่ข่าวประชาสัมพันธ์)

                                    ควันบุหรี่

                                    แม่แชร์! ลูกเสียชีวิตเพราะ ควันบุหรี่ ของคนในบ้าน!

                                    เพราะ ” ควันบุหรี่ ” ทำให้คุณแม่ท่านนี้ต้องสูญเสียลูกชายสุดที่รักไปอย่างไม่มีวันกลับ

                                     

                                     

                                    “บุหรี่” สิ่งที่คนสูบไม่ได้รับและคนรับไม่ได้สูบ … พิษร้ายที่ส่งผลอันตรายถึงแก่ชีวิตในคนทุกเพศทุกวัยโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็กและสตรีมีครรภ์ … เช่นเดียวกับคุณแม่ท่านนี้ที่เปิดอกให้สัมภาษณ์กับทีมงานถึงสาเหตุการจากไปของลูกชายคนที่สองที่มีอายุได้เพียง 1 ปี 2 เดือน โดยคุณแม่ได้เล่าถึงเหตุการณ์ว่า

                                    ก่อนหน้าที่น้องจะมีอาการชักเกร็งนั้น น้องมีอาการไอแบบมีเสมหะมาหลายเดือนแล้ว ไปหาคุณหมอฉีดยาก็ไม่หาย กินยาแก้ไอก็ไม่หายไอ พอคุณหมอทราบถึงสาเหตุที่มีคนใกล้ชิดของน้องสูบบุหรี่นั้น คุณหมอก็เตือนให้อยู่ให้ห่าง เพราะควัญบุหรี่อันตรายมากจึงทำให้น้องหายได้ช้า พอนาน ๆ เข้าน้องก็เริ่มมีอาการหอบควบคู่ไปด้วย
                                    คุณแม่เล่าต่อไปอีกว่า ในวันที่น้องเข้าโรงพยาบาลนั้นน้องมีอาการชักเกร็งจนหยุดหายใจไป 2 วินาที พอประมาณตี 5 กว่า น้องเริ่มมีไข้ขึ้น คุณย่าจึงนำตัวน้องส่งโรงพยาบาล พอมาถึงพยาบาลก็พากันเช็ดตัว ซึ่งภายหลังจากที่คุณหมอทราบเหตุการณ์ คุณหมอก็เลยต้องสั่งให้น้องนอนดูอาการที่โรงพยาบาล เพราะคุณหมอบอกว่า การที่น้องหยุดหายใจไปแบบนั้นไม่ใช่ผลดี
                                    ระหว่างที่น้องรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลนั้น คุณหมอต้องให้น้องหายใจผ่านเครื่องช่วยหายใจเพราะน้องหายใจเองลำบาก อีกทั้งยังต้องดูดเสมหะน้องทุกวัน แต่ไม่ว่าหมอจะพยายามวิธีไหน น้องก็ไม่มีวี่แววว่าจะมีอาการดีขึ้นเลยจนกระทั่งถูกย้ายให้ไปอยู่ในห้องไอซียูเด็ก!

                                    อ่านเรื่องราวของคุณแม่เพิ่มเติมคลิก!