7 ทักษะฝึกลูกก่อนถึง เกณฑ์อายุเข้าอนุบาล 3 ขวบ

สพฐ. ประกาศหลักเกณฑ์ใหม่ ปีการศึกษา 2560 กับ เกณฑ์อายุเข้าอนุบาล และวิธีการนับอายุเด็ก พร้อมแนวทางปฏิบัติในการรับเด็กเข้าเรียนชั้นอนุบาล ที่เริ่มตั้งแต่อายุ 3 ขวบ ตามรัฐธรรมนูญ

เกณฑ์อายุเข้าอนุบาล

ดร.กมล รอดคล้าย เลขาธิการสภาการศึกษา ในฐานะโฆษกกระทรวงศึกษาธิการ ได้ออกมาแถลงภายหลังการประชุมองค์กรหลัก ศธ. ว่า ตามมาตรา 54 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 มีการวางกรอบการดำเนินงานเรื่องของเด็กปฐมวัย

สพฐ. ประกาศ เกณฑ์อายุเข้าอนุบาล ปี’60 เริ่มที่ 3 ขวบ

โดยก่อนหน้านี้ทางสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้ออกประกาศหลักเกณฑ์และวิธีการนับอายุเด็ก เพื่อเข้ารับการศึกษาระดับก่อนประถมศึกษาในสถานศึกษาขั้นพื้นฐานของ สพฐ. รวมถึงแนวปฏิบัติในการรับเด็กเข้าศึกษา ปีการศึกษา 2560

สาระสำคัญของประกาศฯ ฉบับนี้

คือ ให้รับเด็กที่มีอายุไม่น้อยกว่า 3 ปีบริบูรณ์ เข้าศึกษาในชั้นอนุบาล 1 ในสถานศึกษาขั้นพื้นฐานสังกัด สพฐ. ส่วนการนับอายุเด็กเพื่อเข้าเรียน ให้นับตั้งแต่วันที่เด็กเกิดไปจนถึงวันเปิดภาคเรียนที่ 1 คือ วันที่ 16 พ.ค. 2560 ตามระเบียบ ศธ. ว่าด้วยปีการศึกษา การเปิดและปิดสถานศึกษา พ.ศ. 2559

(ต้องเกิดวันที่ 16 พฤษภาคม 2557 เป็นต้นไปจึงจะมีอายุต้องครบ 3 ปีบริบูรณ์ ในวันที่ 16 พฤษภาคม 2560)

แนวปฏิบัติการรับเด็กอนุบาลเข้ารับการศึกษา ปีการศึกษา 2560

ซึ่ง ดร.กมล ได้กล่าวถึงแนวปฏิบัติการรับเด็กอนุบาลเข้ารับการศึกษา ในปีการศึกษา 2560 แบ่งเป็น 3 แนวทาง ดังนี้

1. สถานศึกษาที่เคยรับเด็กอนุบาลอายุ 3 ปีบริบูรณ์อยู่แล้วก่อนปีการศึกษา 2560 ให้สามารถเปิดรับเด็กอายุ 3 ปีบริบูรณ์ต่อไปได้ ไม่เกินจำนวนห้องที่รับอยู่เดิม

2. สถานศึกษาที่ไม่เคยเปิดรับเด็กอายุ 3 ปีบริบูรณ์มาก่อน หากในเขตพื้นที่บริการไม่มีสถานศึกษา หรือศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียนสังกัดอื่นเปิดรับเด็ก ให้สามารถรับเด็กอายุ 3 ปีบริบูรณ์ ที่มีภูมิลำเนาอยู่ในเขตพื้นที่บริการได้ตามความพร้อมของสถานศึกษา

3. พื้นที่ใดในเขตบริการของที่มีสถานศึกษาหรือศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียนสังกัดอื่น (นอกเขต) ที่จัดการศึกษาอนุบาลอายุ 3 ปีบริบูรณ์อยู่แล้ว แต่มีจำนวนเด็กเกินขีดความสามารถในการรับของสถานศึกษานั้นๆ ให้สถานศึกษาเปิดรับเด็กได้ตามความพร้อมของสถานศึกษา

ส่วนเด็กที่มีอายุไม่น้อยกว่า 4 ปีบริบูรณ์ และ 5 ปีบริบูรณ์ เข้ารับการศึกษาในชั้นอนุบาล 2 และชั้นอนุบาล 3 ตามลำดับ ทั้งนี้ ให้อำนาจคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานและสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษานั้นๆ เป็นผู้ให้ความเห็นชอบดำเนินการอย่างเหมาะสมซึ่งจากประกาศนี้ ก็มีประกาศของ สพฐ.ฉบับเดิม ได้มีการกำหนดเรื่องการรับเด็กเข้าเรียนก่อนระดับประถมศึกษาให้รับเด็กที่อายุไม่น้อยกว่า 4 ขวบ ทำให้ปกตินักเรียนอายุ 3 ขวบจะเข้าเรียนในระดับเตรียมอนุบาล (ปฐมวัย) กันก่อน 1 ปี

อ่าน 15 นาทีทุกวัน

และจากเกณฑ์อายุที่ถูกกำหนดขึ้นนี้เอง ก็ได้มีคำถามจากคุณพ่อคุณแม่หลายคนว่า ควรส่งลูกไปโรงเรียนเมื่อไหร่?  ก่อนเรียนอนุบาล  ควรให้ลูกเรียนเตรียมอนุบาลก่อนไหม?  มาฟังคำตอบกันค่ะ

อ่านต่อ >> ลูกควรไปโรงเรียนตอนอายุเท่าไหร่? หน้า 2

อ่านต่อบทความน่าสนใจ คลิก!


ขอบคุณข้อมูลข่าวจาก : www.manager.co.th

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

    บำรุงสมองลูก

    บำรุงสมองลูกน้อย ด้วย “อาหาร” ตั้งแต่แรกเกิด-3 ขวบ

    อาหารถือเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่จะช่วยเสริมสร้างพัฒนาการทางร่างกายสมอง และสติปัญญาของลูกให้เติบโตแข็งแรงสมวัยอย่างเต็มศักยภาพ ทีมงาน Amarin Baby & Kids มีเคล็ดลับในการ บำรุงสมองลูกน้อย ด้วยอาหารตั้งแต่แรกเกิด – 3 ขวบ มาบอกให้คุณพ่อคุณแม่ได้ทราบ เพื่อจะได้ลองนำไปปรับใช้กับการเตรียมอาหารให้ลูกๆ ที่บ้านกันค่ะ

     

    บำรุงสมองลูกน้อย ด้วย “อาหาร” ตั้งแต่แรกเกิด-3 ขวบ

    ในสามขวบปีแรกนับเป็นเวลาทองของชีวิตลูกที่พ่อแม่ควรให้ความใส่ใจเป็นพิเศษ ซึ่งการ บำรุงสมองลูกน้อย ด้วยการให้ได้รับอาหารและสารอาหารที่ครบถ้วนเหมาะสมตามช่วงวัยล้วนมีส่วนช่วยให้สมองและร่างกายของลูกได้รับการพัฒนาอย่างเต็มที่ เราลองมาดูกันว่ามีอาหารอะไรบ้างที่จะช่วยสร้างสมองดีให้กับลูกตั้งแต่แรกเกิดจนถึงสามขวบ

    บำรุงสมองลูกน้อย วัยแรกเกิด – 6 เดือน

    จริงๆ แล้วนมแม่เป็นสิ่งที่เหมาะกับลูกมากที่สุดในช่วงแรกเกิดถึงหกเดือน สารอาหารต่างๆ ที่ร่างกายคุณแม่มีได้ถ่ายทอดผ่านน้ำนมเพื่อเป็นอาหารของลูก ในน้ำนมแม่มีปริมาณคาร์โบไฮเดรต โปรตีนไขมัน วิตามิน และเกลือแร่ในปริมาณที่เหมาะสม ร่างกายของลูกสามารถดูดซึมได้โดยไม่ต้องผ่านการย่อย เพราะฉะนั้นจึงผ่านได้โดยสะดวกและดูดซึมได้ดี

    แต่เนื่องจากคุณแม่บางท่านอาจลางานได้แค่สามเดือน เพราะฉะนั้นหลังสามเดือนไปแล้วควรมีน้ำนมแม่สำรองเก็บไว้ หากคุณแม่รับประทานอาหารที่มีสารอาหารไม่เพียงพอจะส่งผลให้มีน้ำนมไม่เพียงพอกับลูก ซึ่งในกรณีนี้อาจจะพิจารณาให้นมผสมร่วมกับนมแม่เพื่อให้ลูกได้รับสารอาหารอย่างเพียงพอ

    วัย 6 เดือน – 1 ขวบ

    เมื่อลูกอายุ 6 เดือนขึ้นไปถือเป็นช่วงเวลาที่พร้อมจะให้อาหารเสริมได้แล้ว สามารถนับแทนเป็น 1 มื้อได้ แต่นมก็ยังเป็นสิ่งที่ลูกต้องการอยู่ หากคุณแม่ไม่สามารถเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ได้ ควรเลือกนมผสมที่มีคุณสมบัติเหมาะกับทารกและเด็กในแต่ละวัย

    อ่านต่อ >> อาหารที่เหมาะกับลูกวัยตั้งแต่ 8-10 เดือน หน้า 2 

     

    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

      AIA ผนึกกำลัง 14 โรงพยาบาล แจกวัคซีนไข้หวัดใหญ่ 4 สายพันธุ์

      ด้วยสถานการณ์การระบาดของไข้หวัดใหญ่ในช่วงฤดูฝนแบบนี้ ทาง AIA มีความห่วงใยคุณหนูๆ  จึงขอเป็นอีกหนึ่งแรงที่ช่วยให้เด็กไทยมีสุขภาพและภูมิต้านทานที่ดี มอบวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ 4 สายพันธุ์ใหม่ ให้แก่คุณหนูๆ อายุ 3-5 ปีที่ถือกรมธรรม์ประกันสุขภาพของเอไอเอ
      **เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ AIA Call Center 1581

        Tags

        วิธีคาดเข็มขัดนิรภัยคนท้อง ที่ถูกต้องและปลอดภัย

        วิธีคาดเข็มขัดนิรภัยคนท้อง  เพราะการคาดเข็มขัดนิรภัยช่วยป้องกันภัยจากอุบัติเหตุขณะโดยสารบนรถยนต์ได้ แต่สำหรับคุณแม่ท้องหลายคน อาจจะรู้สึกอึดอัดที่ต้องคาดเข็มขัดนี้ แต่สำหรับคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ โดยเฉพาะท้องแก่ใกล้คลอดนั้นยิ่งสมควรคาดเข็มขัดนิรภัยเป็นอย่างมาก เพราะถ้าไม่คาดเข็มขัดแล้วเกิดอุบัติเหตุขึ้นแล้วท้องได้รับการกระแทกอย่างรุนแรงอาจส่งผลกระทบต่อลูกในท้องได้ง่าย

        วิธีคาดเข็มขัดนิรภัยคนท้อง ที่ถูกต้องและปลอดภัย

        เชื่อได้เลยว่า มีคุณแม่ท้องหลายคน ที่ “ไม่เคยคาดเข็มขัดนิรภัย” เลย เพราะเกรงว่าเข็มขัดนิรภัย จะทำอันตรายให้กับลูกน้อยในท้อง เนื่องจากการถูกสายรัดและกดทับ รวมถึงอาจทำให้ตัวคุณแม่ท้องเองรู้สึกอึดอัดด้วย ซึ่งก็อาจเข้าใจตามนั้นได้ ไม่แปลกอะไร ยิ่งโดยเฉพาะแม่ท้องใกล้คลอดที่มีขนาดท้องใหญ่ขึ้นจนทำให้รู้สึกอึดอัด ดังนั้นการมีอะไรมารัดที่ตัวก็จะยิ่งทำให้อึดอัดเข้าไปใหญ่

        วิธีคาดเข็มขัดนิรภัยคนท้อง

        …แต่ในความเป็นจริงแล้ว การไม่คาดเข็มขัดนิรภัย จะเป็นการก่อให้เกิดอันตรายได้มากกว่าด้วยซ้ำ เพราะหลายคนเข้าใจว่าเวลาเข็มขัดนิรภัยทำงาน มันจะรั้งบริเวณท้องของคุณแม่ ซึ่งอาจจะเป็นอันตรายกับเด็กในท้อง ซึ่งแท้ที่จริงแล้ว การไม่คาดเข็มขัดนิรภัย อาจจะทำให้เมื่อเกิดอุบัติเหตุตัวคุณแม่กระแทกเข้ากับคอนโซลหน้ารถ หรือพนักพิงเบาะหน้าได้ ทำให้เกิดอันตรายได้มากกว่า ทั้งกับตัวลูกน้อยในท้องและคุณแม่ ดังนั้นการคาดเข็มขัดนิรภัย จึงยังเป็นสิ่งจำเป็นอยู่มากๆ แต่อาจจะต้องมีการปรับลักษณะการคาดให้เหมาะสมกับคุณแม่ท้องกว่าเดิม ด้วยวิธีการต่อไปนี้…

        √ หลักการคาดเข็มขัดนิรภัยคนท้อง ที่ถูกต้องและปลอดภัย

        เริ่มจากท่านั่ง ต้องไม่ปรับพนักพิงให้เอน หรือตั้งชันมากเกินไป ระยะห่างจากเบาะถึงคอนโซลหน้า ต้องไม่ชิดเกินไป แม้จะเป็นคนนั่งก็ต้องปรับท่านั่งให้ใกล้เคียงกับเวลาที่เราขับรถเอง เพื่อให้อยู่ในท่าที่ปลอดภัยที่สุดเนื่องจากการปรับพนักพิงเอน หรือตั้งชันเกินไป อาจทำให้เข็มขัดนิรภัยทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ

        จากนั้นให้คาดเข็มขัดนิรภัยตามปกติ แต่หลังจากคาดเข็มขัดนิรภัยแล้ว ต้องปรับแต่งสายเข็มขัดนิรภัยให้เหมาะสมและใส่ใจมากกว่าเดิม เข็มขัดนิรภัยที่พาดผ่านหน้าตัก หรือแนวสะโพก ต้องดึงลงมาต่ำกว่าครรภ์ ให้อยู่ในแนวสะโพกพอดี แล้วดึงให้กระชับ อย่าปล่อยให้หลวมจนเกินไป

         

        ส่วนเข็มขัดนิรภัยที่พาดผ่านมายังแนวบ่า ให้ผ่านร่องไหล่พอดีแนวเข็มขัดให้พาดผ่านระหว่างกลางออก ถ้าเป็นรถที่สามารถปรับระยะสูง/ต่ำของเข็มขัดนิรภัยได้ ควรปรับให้เหมาะสม ให้เข็มขัดนิรภัยพาดผ่านร่องไหล่ให้พอดี เพราะเมื่อเกิดอุบัติเหตุขึ้น เข็มขัดนิรภัยจะได้ทำงานอย่างเต็มประสิทธิภาพ เมื่อท่านั่งถูกต้อง ปรับแนวเข็มขัดนิรภัยให้ถูกต้องอย่างที่กล่าวไว้ ไม่ต้องกังวลว่าเด็กจะได้รับอันตราย เนื่องจากจุดรับแรงของร่างกายเมื่อเข็มขัดนิรภัยรั้งไว้ จะอยู่ที่สะโพกกับร่องไหล่

         

        หากยังนึกภาพไม่ออก ตามไปชมคลิป เรื่องบันดาลใจ ตอนที่ 43 การคาดเข็มขัดนิรภัยของคุณแม่ตั้งครรภ์ กันเลยค่ะ

        วิธีคาดเข็มขัดนิรภัยคนท้อง

        ชมคลิป >> การคาดเข็มขัดนิรภัยของคุณแม่ตั้งครรภ์ที่ถูกต้อง ปลอดภัยแน่นอน คลิกหน้า 2


        ขอบคุณข้อมูลจาก : www.motorexpo.co.th

        เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

         

          ระวัง! ลูกถูกไฟช็อต เพราะสายสร้อยข้อมือที่ใส่ แหย่เข้าไปในรูปลั๊กไฟ

          ลูกกถูกไฟช็อต เพราะสายสร้อยข้อมือที่ใส่ …  ในสมัยก่อน ผู้ใหญ่มักนิยมรับขวัญลูกหลานด้วยการให้ใส่สร้อยคอ สร้อยที่มีพระ หรือสร้อยข้อมือ-ข้อเท้าแก่เด็กเล็กแรกคลอด และให้เด็กภายในบ้านใส่กำไลข้อมือข้อเท้า หรือกระพรวนนั้น โดยมีความเชื่อว่าจะเสริมวาสนา โชคลาภ นำพาสิ่งที่ดีดีเข้าตัวเด็กและครอบครัว แต่ข้อดีนอกเหนือจากความเชื่อนี้แล้ว การที่เด็กเล็กใส่สร้อยก็ย่อมมีข้อร้ายแฝงอยู่ด้วยเช่นกัน

          การใส่สร้อยกำไลจะช่วยส่งเสียงขณะที่ลูกขยับ ทำให้คุณพ่อคุณแม่สามารถได้ยินและทราบตำแหน่งของลูกได้ แต่สิ่งที่ควรระวังไว้เสมอคือ ขนาดความยาวของสร้อย ต้องระวังไม่ให้สายสร้อยมีพอดีจนบีบข้อมือ ข้อเท้า รวมถึงขอบ รอยต่อต่างๆ ก็สามารถระคายเคืองผิว หรือบาด เกิดเป็นแผลได้ ส่วนสร้อยคอที่ยาวไปในเวลาที่เด็กนอนหลับก็อาจทำให้เป็นสาเหตุหนึ่งของการไปปิดกั้นการหายใจของลูก และอาจเป็นอันตรายต่อชีวิตได้

          ลูกถูกไฟช็อต เพราะสายสร้อยข้อมือที่ใส่ แหย่เข้าไปในรูปลั๊กไฟ

          รวมไปถึงอีกหนึ่งเรื่องที่พ่อแม่ไม่ทันได้คาดคิด คือสายสร้อยข้อมือที่ลูกใส่อาจยาวไปจนเผลอเข้าไปในรูปลั๊กไฟ ที่วางอยู่ใกล้มือลูก จนทำให้ลูกอาจโดนไฟช็อต ไฟดูดได้ ดังเช่นเหตุการณ์นี้ที่มีผู้นำภาพบริเวณข้อแขนเล็กๆ ของเด็กน้อยซึ่งมีลักษณะดำไหม้เกรียม อันเนื่องมาจาก การที่พ่อแม่ให้ลูกใส่สร้อยข้อมือ  แล้วสายของสร้อยแขนที่ยาวตกเข้าไปในรูปลั๊กไฟ  จึงทำให้เกิดการนำไฟฟ้า ไหม้ช็อตแขนของเด็กน้อยจนไหม้ดำ

          ลูกถูกไฟช็อต

          ขอบคุณภาพจาก : คุณ Kittisak Chimmanee 

          นับว่าโชคดีมากที่เด็กน้อยไม่ได้รับอันตรายจนถึงขั้นเสียชีวิต แต่ก็ทำให้เกิดแผลรอยไหม้บาดเจ็บ  ทั้งนี้การที่เด็กน้อยถูกไฟช็อตไหม้ดำได้นั้น อาจเนื่องมาจากเต้าเสียบน่าจะมีการชำรุดอยู่ภายใน เมื่อถูกโลหะอย่างสายสร้อยข้อมือเล็กๆ เแหย่เข้าในรูเต้ารับไฟฟ้า ทำให้ส่วนของร่างกายสัมผัสถูกส่วนที่มีไฟฟ้าโดยตรง จึงเกิดไฟฟ้าดูดช็อตเป็นรอยไหม้อย่างที่เห็นนั่นเอง

          ในกรณีนี้เป็นอุทาหรณ์ที่ให้คุณพ่อคุณแม่ต้องคอยระมัดระวังทั้ง 2 เรื่องเลยนั้นก็คือ การสวมใส่สร้อยให้ลูกน้อยที่ต้องคอยระวังในเรื่องของขนาดความยาวของสร้อย สำหรับสร้อยคอที่ยาวไปในเวลาที่เด็กนอนหลับก็อาจทำให้เป็นสาเหตุหนึ่งของการไปปิดกั้นการหายใจของลูก  และต้องระวังไม่ให้สายสร้อยมีพอดีจนบีบข้อมือ ข้อเท้า รวมถึงขอบ รอยต่อต่างๆ ก็สามารถระคายเคืองผิว หรือบาด เกิดเป็นแผลได้

          ⇒ Must read : Gold necklace ให้ลูกใส่สร้อยทอง เกือบต้องเสียลูกไป
          ⇒ Must read : สร้อยทอง รับขวัญลูกน้อยอันตราย

          ส่วนเรื่องที่ 2 คือ การเก็บดูแลปลั๊กไฟ หรือเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ ให้ใกล้จากมือเด็ก เพราะอาจทำให้ลูกน้อยเผลอเอานิ้วเข้าไปแหย่ หรือสายสร้อยแหย่เข้าไปในรูปลั๊กไฟ ก็อาจทำให้ลูกถูกไฟช็อตได้ เช่นเดียวกับเรื่องที่ได้เตือนมาข้างต้น

          อ่านต่อ >> “การป้องกันลูกถูกไฟช็อตและวิธีรักษาแผลไฟช็อตให้ลูกน้อย­” คลิกหน้า 2

          เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

           

            ความจุกระเพาะทารก

            ขนาดกระเพาะทารก จุปริมาณน้ำนมแม่ได้เท่าไหร่?

            ช่วงเวลาความสุขของคนเป็นแม่คือการให้ลูกได้เข้าเต้าดูดนมแม่ได้ตามรอบการผลิตน้ำนม นั่นเพราะการที่ลูกได้ดูดนมแม่เกลี้ยงเต้าจะช่วยให้เต้านมไม่เกิดอาการคัดตึงเจ็บขึ้นมาจนเป็นไตอักเสบ ว่าแต่ลูกที่เพิ่งคลอดมาได้ไม่กี่วันตัวเล็กกระจิดริดแบบนี้ ขนาดกระเพาะทารก จะจุน้ำนมแม่ได้แค่ไหน? ทีมงาน Amarin Baby & Kids มีคำตอบที่น่าสนใจมาฝากกันค่ะ

             

            ขนาดกระเพาะทารก

            คุณแม่ๆ เคยสงสัยกันไหมว่า ขนาดกระเพาะทารก จะมีขนาดความจุน้ำนมได้มากน้อยกันแค่ไหน เวลาที่แม่ให้ลูกกินนมปริมาณแค่ไหนถึงจะอิ่มกำลังดีไม่ทำให้ลูกอิ่มมากจนแน่นอึดอัดท้อง ผู้เขียนรวมทั้งคุณแม่ที่ส่งคำถามกันเข้ามาก็อยากรู้เช่นกันค่ะ เอาเป็นว่าก่อนที่เราจะไปหาคำตอบที่น่าสนใจเกี่ยวกับ ขนาดกระเพาะทารก ขออนุญาตให้ข้อมูลเกี่ยวกับน้ำนมแม่ที่มาวันแรกๆ กับคุณแม่มือใหม่ได้ทราบกันก่อนค่ะ เพราะเรื่องนี้แม่ๆ ก็อยากรู้กันมากเช่นกัน เพราะอะไรถึงเรียกน้ำนมแม่ว่าน้ำนมเหลือง

            จำได้ว่าตอนที่พี่สาวคลอดลูกหลังจากหนึ่งชั่วโมง คุณพยาบาลก็เข็นหลานชายมาส่งให้พี่สาวแล้วบอกให้เอาลูกเข้าเต้าดูดนม “น้ำนมจะออกมาน้อยก็ไม่เป็นไรนะคะคุณแม่ เดี๋ยวพอลูกกระตุ้นน้ำนมก็จะออกมาเยอะเอง ช่วงวันนี้พรุ่งนี้น้ำนมคุณแม่จะเหลืองๆ พยายามให้ลูกได้กินนะคุณแม่ เพราะนมส่วนนี้มีประโยชน์เยอะเลย” ระหว่างที่พยาบาลคุยพี่สาวก็สอนท่าให้ลูกดูดเต้ากินนมแม่ไปด้วย คือด้วยตอนนั้นเราก็ไม่รู้หรอกว่าน้ำนมแม่จะเป็นสีเหลือง เพราะเคยเห็นว่ามีแต่สีขาว น่าแปลกดี จนตอนหลังมารู้ว่าน้ำนมเหลืองที่พยาบาลพูดถึงนั้น คือ  โคลอสตรุ้ม (Colostrum)

            ซึ่งรู้ไหมว่านั่นหนะสุดยอดน้ำนมแม่เลยค่ะ เพราะนอกจากจะเต็มไปด้วยสารอาหารมากมาย น้ำนมเหลืองก็ยังมีสารภูมิต้านทานโรค ที่ช่วยป้องกันการเจ็บป่วยให้กับเด็กทารกด้วย วัคซีนธรรมชาติที่ร่างกายแม่ผลิตมาเพื่อลูกจริงๆ ค่ะ

            สารอาหารในน้ำนมแม่มีความผันแปรตามระยะการผลิตน้ำนม นมแม่ที่ร่างกายแม่ผลิตขึ้นมี 3 ระยะ ในระยะแรกมักมีสีเหลือง บางคนอาจเรียกว่าน้ำนมเหลือง หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่าโคลอสตรุ้ม (Colostrum) โคลอสตรุ้มนี้จะถูกสร้างขึ้นเพียงระยะ 1-3 วันแรกภายหลังการคลอดบุตรเท่านั้น และเต็มไปด้วยสารสร้างภูมิต้านทาน เช่น IgA แลคโตเฟอริน เซลล์เม็ดเลือดขาว โปรตีนต่างๆ ที่ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย น้ำนมในระยะนี้จะมีปริมาณน้ำตาลแลคโตสไม่สูงมากนัก มีปริมาณแร่ธาตุต่างๆ เช่น โซเดียม คลอไรด์ แมกนีเซียม ปริมาณสูง แต่มีปริมาณโพแทสเซียม และแคลเซียมต่ำกว่านมที่ผลิตระยะหลัง ถือได้ว่าน้ำนมระยะนี้ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้แก่ร่างกายมากกว่าการเร่งการเจริญเติบโต[1]

            นมไหนว่าแน่ นมแม่ซิแน่จริง เพราะสารอาหารครบถ้วนดีต่อการเจริญเติบโตของร่างกาย ช่วยให้สมองดี ไม่เจ็บป่วยง่าย และยังให้ลูกกินไปจนโตได้เลยค่ะ เห็นคุณประโยชน์ดีเยี่ยมแบบนี้แล้ว ไม่ต้องลังเลที่จะเลี้ยงลูกด้วยนมแม่แล้วค่ะ

            ขนาดกระเพาะทารก

            ขนาดกระเพาะทารก มีความจุน้ำนมแม่ได้เท่าไหร่?

            อย่างที่คุณแม่สงสัยกันว่า ลูกคลอดออกมาตัวเล็กนิดเดียว แต่ทำไมตื่นขึ้นมากินนมแม่ได้เกือบ 24 ชั่วโมง ใช่ค่ะเด็กแรกเกิดมักจะตื่นขึ้นมากินนมแม่ในหนึ่งวันทุก 2-3 ชั่วโมง กินอิ่มเสร็จก็นอนหลับต่อ เห็นวงจรชีวิตทารกช่วงแรกคลอดมา 1-3 เดือนนี่ทำเอาคนเป็นพ่อแม่อิจฉาเลย อยากนอนหลับพักผ่อนได้แบบลูกบ้างจัง เป็นความเหนื่อยของพ่อแม่ในช่วงแรกๆ แต่ก็เต็มไปด้วยความสุขค่ะ

            คุณหมอสุธีรา เอื้อไพโรจน์กิจ  กุมารแพทย์ชื่อดัง ได้อธิบายถึงขนาดของกระเพาะทารกแรกเกิดว่า เนื่องจากกระเพาะยังมีขนาดที่เล็กมาก นั่นจึงทำให้ทารกน้อยต้องตื่นขึ้นมาทานนมแม่บ่อยๆ และการสังเกตว่าลูกจะได้ทานน้ำนมแม่เพียงพอในแต่ละวันนั้น ให้ดูที่จำนวนครั้งที่ทารกอุจจาระออกมา คือ

            • อึออกมา 2 ครั้ง/วัน
            • ปัสสาวะออกมา 6 ครั้ง/วัน

            ซึ่งคุณหมอไม่แนะนำให้พ่อแม่ดูที่การขยับปากตลอดเวลาของลูก เพราะนั่นไม่ได้หมายความว่าลูกต้องการที่จะกินนมแม่ค่ะ

            ในวันแรกหลังคลอด กระเพาะของลูกจะมีขนาดความจุนมได้เพียง 5-7 มล. หรือ 1/6 ถึง 1/4 ออนซ์ ขนาดกระเพาะของลูกจะมีขนาดเทียบเท่าลูกแก้วลูกเล็กๆ เท่านั้นเองค่ะ ดังนั้นถ้าวันแรกที่น้ำนมเหลืองไหลออกมานิดเดียวก็ไม่เป็นไรค่ะ เพราะลูกได้รับนมแม่ที่เพียงพอแน่นอน

            ในวันที่ 3 หลังคลอด กระเพาะลูกจะมีขนาดเทียบได้กับลูกปิงปองหนึ่งลูก เห็นไหมคะว่ากระเพาะลูกได้มีการขยายให้มีขนาดความจุนมแม่ที่ใหญ่ขึ้นมาอีกนิดแล้วค่ะ ซึ่งปริมาณนมที่กระเพาะของลูกสามารถรับได้ คือ 22-27 มล. หรือ 3/7 ถึง 1 ออนซ์

            และนี่คือขนาดความจุปริมาณนมของกระเพาะทารก ที่จะค่อยๆ มีการพัฒนาให้ใหญ่ขึ้นตามลำดับตลอด 1 เดือน ดังนี้

            1 วัน ขนาดเท่ากับลูกแก้ว หรือผลเชอรี  ปริมาณนมที่รับได้อยู่ที่ประมาณ 5 – 7 ซีซี หรือ 1 – 1.4 ช้อนชา

            3 วัน ขนาดเท่ากับลูกวอลนัท ปริมาณนมที่รับได้อยู่ที่ประมาณ 22 – 27 ซีซี หรือ .75 – 1 ออนซ์

            7 วัน ขนาดเท่ากับผลแอปปริคอต ปริมาณนมที่รับได้อยู่ที่ประมาณ 45 – 60  ซีซี หรือ 1.5 – 2 ออนซ์

            30 วัน ขนาดเท่ากับไข่ไก่ ปริมาณนมที่รับได้อยู่ที่ประมาณ 80 -150  ซีซี หรือ 2.5 – 5 ออนซ์

             

            Must Read >> Overfeeding ลูกกินนมมากเกินไป อันตรายหรือไม่?

             

            คุณแม่หรือคนที่ช่วยเลี้ยงลูก ต้องไม่ป้อนนมให้แบบอิ่มเกินความต้องการของปริมาณนมในแต่ละมื้อด้วยนะคะ เพราะลูกอาจเกิดอาการ Overfeeding กินนนมเยอะเกินไป เพราะจะให้ลูกอาเจียนบ่อย จนทำให้กรดจากกระเพาะอาหารย้อนกลับออกมาเป็นผลทำให้หลอดอาหารเกิดเป็นแผลขึ้นได้

            อ่านต่อ การเก็บรักษาน้ำนมแม่ให้ได้คุณภาพ คลิกหน้า 2

             

            เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

              โรคติดเชื้อไวรัสอีโบลา

              โรคติดเชื้อไวรัสอีโบลา รู้ก่อนป้องกันได้ ปลอดภัยต่อสุขภาพเด็กและครอบครัว

              ทุกครอบครัวจะได้รับข่าวสารเตือนให้ระวังการติดเชื้อเจ็บป่วยจากไวรัสต่างๆ ที่มีระบาดขึ้นตามฤดูกาล รวมทั้งไวรัสที่ระบาดเข้ามาจากนอกประเทศ อย่าง โรคติดเชื้อไวรัสอีโบลา ที่ทุกครอบครัวควรเฝ้าระวังเพื่อความปลอดภัยต่อสุขภาพของบุตร หลาน และทุกคนในครอบครัว ทีมงาน Amarin Baby & Kids มีข้อมูลจากกรมควบคุมโรคมาบอกให้ทราบกันค่ะ

               

              โรคติดเชื้อไวรัสอีโบลา

              ไวรัสอีโบลาที่แฝงความน่ากลัวและอันตรายไว้ ใครที่ได้รับเชื้อจนป่วยเป็น โรคติดเชื้อไวรัสอีโบลา สามารถถึงขั้นเสียชีวิตได้ค่ะ

              เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2560 ที่ผ่านมา นายแพทย์เจษฎา โชคดำรงสุข อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวถึงกรณี ที่มีรายงานข่าวองค์การอนามัยโลก ให้ข้อมูลว่าพบผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสอีโบลาในประเทศ สาธารณรัฐ ประชาธิปไตยคองโก (DR Congo) นั้น กรมควบคุมโรคได้ติดตามสถานการณ์ดังกล่าวอย่างใกล้ชิด ซึ่งทาง องค์การอนามัยโลกยังไม่ได้ประกาศเป็นภาวะฉุกเฉินสาธารณสุขระหว่างประเทศ และยังไม่ได้ประกาศห้าม การเดินทางไปยังประเทศที่พบการระบาด ส่วนพื้นที่ที่รายงานก็อยู่ในพื้นที่ชนบทห่างไกล

              ในส่วนของประเทศไทย ยังคงดำเนินมาตรการเฝ้าระวังป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสอีโบลาตามระบบที่วางไว้ อย่างต่อเนื่อง และเข้มข้นทั้ง 3 ระดับ ได้แก่

              1.ด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศ  

              2.โรงพยาบาลภาครัฐและภาคเอกชน

              3.ในระดับชุมชน  โดยเฝ้าระวังและตรวจคัดกรองผู้ที่มีประวัติเดินทางมาจากพื้นที่ระบาดในทุกๆ ช่องทางเข้า-ออก ทั้งที่ด่านสนามบิน ด่านท่าเรือ และด่านชายแดน และติดตามอาการจนครบ 21 วันตามมาตรฐานที่กำหนด หากมีไข้จะรับเข้าดูแลในโรงพยาบาลที่จัดเตรียมไว้ทั้งใน กทม. และต่างจังหวัด เพื่อให้การรักษาตามมาตรฐานที่กำหนดไว้ และจะติดตามอาการผู้สัมผัสทุกคน 

              นอกจากนี้ กระทรวงสาธารณสุข ได้ร่วมกับหน่วยงานเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง จัดทำแนวทางการรักษา พร้อมทั้งจัดหาชุดพร้อมอุปกรณ์ป้องกันการติดเชื้อสำหรับเจ้าหน้าที่สาธารณสุขเพื่อปฏิบัติงานในโรงพยาบาล และในพื้นที่ และสนับสนุนให้โรงพยาบาลที่มีห้องแยกโรคให้สามารถดูแลผู้ป่วยโดยปฏิบัติตามแนวทางการวินิจฉัยดูแลรักษาและควบคุมป้องกันการติดเชื้อ  รวมถึงจัดทำคู่มือทั้งการตรวจทางห้องปฏิบัติการทั่วไปและการเก็บตัวอย่างเพื่อส่งตรวจหาการติดเชื้อไวรัสอีโบลา  ขอให้ประชาชนมั่นใจในระบบการเฝ้าระวังที่มีประสิทธิภาพของกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งที่ผ่านมายังไม่พบผู้เดินทางติดเชื้อไวรัสอีโบลา – ที่มา : สำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข

               

              ถึงไวรัสอีโบลาจะยังไม่แพร่ระบาดเข้ามาในประเทศไทย แต่ก็ชะล่าใจไม่ได้เด็ดขาดค่ะ เพราะความร้ายแรงของโรคนี้ก็เอาเรื่องอยู่พอสมควรค่ะ  ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ทุกครอบครัวทั่วไทย เราไปทำความรู้จักกับโรคนี้ให้ดีขึ้นกันอีกสักนิด เพื่อจะได้ดูแลป้องกันรักษาสุขภาพของคนในครอบครัวไว้กันตั้งแต่เนิ่นๆ ค่ะ

              อ่านต่อ ไวรัสอีโบลา กับสาเหตุของการติดโรค คลิกหน้า 2

               

              เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                ลูกเหงื่อออกเยอะมาก

                ลูกเหงื่อออกเยอะมาก ผิดปกติหรือไม่?

                คุณแม่จำนวนไม่น้อยกังวลใจว่า ลูกเหงื่อออกเยอะมาก โดยเฉพาะตอนนอน ลูกนอนเหงื่อออกหัว ทั้งที่นอนห้องแอร์ เป็นสัญญาณโรคร้ายหรือไม่? หากลูกนอนเหงื่อออกมากผิดปกติ อาจเป็นสัญญาณ 5 โรคร้ายที่คุณแม่ต้องระวัง Continue reading “ลูกเหงื่อออกเยอะมาก ผิดปกติหรือไม่?”

                  ระวัง! ให้ลูกน้อยนั่งซ้อนมอเตอร์ไซค์ อันตราย…เสี่ยงตายกว่าที่คุณคิด

                  ให้ ลูกนั่งซ้อนมอเตอร์ไซค์  รู้หรือไม่ว่า จากสถิติอุบัติเหตุโดยรถมอเตอร์ไซด์  มีเด็กอายุ 0-15 ปีได้รับบาดเจ็บ มีเด็กอายุน้อยกว่า 15 ปีที่บาดเจ็บจากรถจักรยานยนต์มากถึง 15,000 ราย และมีราวๆ 700 รายที่เสียชีวิตจากการบาดเจ็บดังกล่าว ซึ่งมากกว่าโรคไข้เลือดออกหลายเท่าตัว

                  ในแต่ละวันเด็กเล็กๆ ตั้งแต่วัยอนุบาลไปจนถึงชั้นประถม นั่งซ้อนท้าย หรือนั่งข้างหน้ารถจักรยานยนต์กันจนชินตา กลายเป็นเรื่องปกติ โดยเฉพาะในต่างจังหวัด พ่อแม่มักนิยมใช้รถมอเตอร์ไซค์ไปส่งลูกๆ ที่โรงเรียนในตอนเช้า โดยไม่รู้เลยว่า เด็กเล็กซ้อนมอเตอร์ไซค์ อันตรายกว่าที่คิด

                  ลูกนั่งซ้อนมอเตอร์ไซค์ อันตราย…เสี่ยงตายกว่าที่คุณคิด

                  ลูกนั่งซ้อนมอเตอร์ไซค์

                  ซึ่งหนึ่งในพาหนะยอดนิยมของคนไทยก็คือรถจักรยานยนต์หรือมอเตอร์ไซค์ จากข้อมูลการจดทะเบียนของรถจักรยานยนต์ของประเทศไทยพบว่า มีมากกว่ารถทุกชนิดรวมกัน นั่นคือ มากกว่า 60% ของรถทั้งหมด เนื่องจากมีราคาถูกกว่ารถยนต์ คล่องตัวกว่า ค่าดูแลรักษาต่ำกว่า ทำให้รถจักรยานยนต์เป็นขวัญใจของชาวไทยได้ไม่ยากเลย

                  แต่ในข้อมูลอีกด้านของรถจักรยานยนต์ก็พบว่า

                  การบาดเจ็บและเสียชีวิตบนท้องถนนของประเทศไทยนั้นราว ๆ 80% เกิดกับผู้ใช้รถจักรยานยนต์ ไม่ว่าจะเป็นผู้ขับขี่ ผู้โดยสาร ก็มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดการบาดเจ็บจากการใช้รถจักรยานยนต์ด้วยกันทั้งสิ้น

                  โดยปีหนึ่ง ๆ มีเด็กอายุน้อยกว่า 15 ปีที่บาดเจ็บจากรถจักรยานยนต์มากถึง 15,000 ราย และมีราว ๆ 700 รายที่เสียชีวิตจากการบาดเจ็บดังกล่าว ซึ่งมากกว่าโรคไข้เลือดออกหลายเท่าตัว ลองคิดดูเล่นๆ ว่าเราสูญเสียทรัพยากรที่สำคัญในอนาคตถึงปีละ 700 คนเลยทีเดียว หลายครั้งอุบัติเหตุและการบาดเจ็บที่ก็แทบจะเข้าข่าย “ไม่น่าจะเป็นไปได้” ดังเช่นที่เคยมีข่าวในปี 2558   “น้องม่อน” เด็กชายวัย 2 เดือน ต้องมาเสียเสียชีวิตเพราะถูกอุ้มซ้อนท้ายไปกับรถมอเตอร์ไซค์ โดยรถมอเตอร์ไซค์คันนี้ก็เป็นพาหนะคู่ใจของครอบครัวตั้งแต่พาคุณแม่ของน้องม่อนไปฝากครรภ์ที่โรงพยาบาล พาไปคลอด ตลอดจนพาน้องม่อนกลับจากโรงพยาบาลหลังคลอด

                  โดยวันที่เกิดเหตุ คุณแม่อาบน้ำแต่งตัวให้น้องม่อน เพื่อเตรียมตัวจะไปรับวัคซีนที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (สถานีอนามัย)ตามนัด  แม่ของน้องม่อนจึงเลือกที่จะให้คุณพ่อขับรถมอเตอร์ไซค์พาไปรับวัคซีน  เมื่อนัดแนะกับคุณพ่อเรียบร้อย  ก่อนออกเดินทางคุณแม่ก็ห่อน้องม่อนห่อตัวด้วยผ้าขนหนู   โดยที่ไม่รู้เลยว่าผ้าขนหนูที่ห่อตัวนี้เองที่ทำให้เกิดเหตุน่าเศร้าใจ

                  ระหว่างการเดินทางไปกับรถมอเตอร์ไซค์ ในระยะทางสั้นๆ นั้น ปลายผ้าขนหนูที่ห่อตัวของน้องม่อนถูกซี่ล้อของรถจักรยานยนต์คู่ใจดึงเข้าไป  แรงดึงทำให้ตัวน้องม่อนหลุดจากอ้อมแขนของคุณแม่ที่อุ้มอยู่เข้าไปอยู่บริเวณล้อหลังของรถมอเตอร์ไซค์ คุณพ่อหยุดรถทันทีด้วยความตกใจในเสียงร้องของคุณแม่ ก็พบว่าตัวของน้องม่อนติดอยู่กับซี่ล้อหลังของรถจักรยานยนต์ ตามตัวมีเลือดเปรอะเปื้อนพร้อมกับผ้าขนหนูที่คุณแม่ห่อตัวให้ขมวดอยู่กับแกนล้อแน่น ชาวบ้านที่เห็นเหตุการณ์ก็เข้ามาช่วยกันพยายามเอาตัวน้องม่อนออกจากซี่ล้อรถแล้วนำส่งโรงพยาบาลแต่ก็ช้าเกินไป  น้องม่อนเสียชีวิตในที่เกิดเหตุตรงนั้นเอง

                  และรวมไปถึงล่าสุด ได้มีคลิปวีดีโอที่เผยแพร่ลงทาง Facebook ซึ่งเป็นภาพของคุณแม่คนหนึ่งที่กำลังขับรถมอเตอร์ไซค์โดยมีลูกชายตัวน้อยนั่งซ้อนท้ายอยู่ข้างหลัง แต่ด้วยเสื้อแขนยาวที่ผูกเอวของแม่อยู่นั้น ห้อยโบกสะบัดไปมา และมีจังหวะการพัดจนแขนเสื้อเข้าไปพันที่ล้อรถ ทำให้เสื้อนั้นเกี่ยวกระชากเอาลูกชายตัวน้อยตกลงไปด้วย!!…..

                  >> ชมคลิปเหตุการณ์จริง เด็กน้อยถูกเสื้อกระชากเข้ากงล้อรถ
                  พร้อมวิธีให้ลูกนั่งซ้อนมอเตอร์ไซค์อย่างไรให้ปลอดภัย” คลิกหน้า 2

                  เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                   

                    ตั้งครรภ์แฝด

                    รับมือกับ 10 ความเสี่ยง ตั้งครรภ์แฝด

                    คุณแม่หลายคนรู้สึกตื่นเต้นดีใจที่ตัวเองกำลัง ตั้งครรภ์แฝด เพราะจะได้เป็นคุณแม่ที่มีลูกคราวเดียวกันหลายคน แต่ขณะเดียวกันก็รู้สึกอดเป็นกังวลไม่ได้ เพราะเมื่อตั้งครรภ์แฝด นั้นคุณแม่จะต้องเผชิญความเสี่ยงมากกว่าคุณแม่คนอื่นๆ ในบทความนี้ เราจะมารู้จักกับความเสี่ยงของการตั้งครรภ์แฝดและวิธีดูแลตัวเองของคุณแม่ท้องแฝดกันค่ะ

                    ทำไมท้องแฝดจึงมีความเสี่ยงสูง

                    แน่นอนค่ะว่าคุณแม่ที่ตั้งครรภ์ลูกน้อยมากกว่าหนึ่งคน จะต้องเผชิญความเสี่ยงระหว่างตั้งครรภ์มากขึ้นด้วย หากคุณหมอบอก คุณแม่ว่าการตั้งครรภ์แฝดเป็นการตั้งครรภ์ที่เสี่ยง คุณแม่ไม่ต้องตกใจไปนะคะ คำว่าตั้งครรภ์เสี่ยงของคุณหมอ หมายถึงคุณแม่จะต้องอยู่ในความดูแลของคุณหมอเป็นพิเศษแค่นั้นเองค่ะ คุณแม่ตั้งครรภ์แฝดส่วนใหญ่สามารถคลอดลูกที่แข็งแรงออกได้ เพียงแต่ว่าคุณแม่อาจจะต้องไปพบคุณหมอตามนัดมากกว่าคุณแม่ท่านอื่นค่ะ ซึ่งเป็นเรื่องที่จำเป็นนะคะ เพราะหากมีความผิดปกติเกิดขึ้นระหว่างการตั้งครรภ์ ยิ่งคุณหมอตรวจเจอเร็ว คุณแม่จะยิ่งได้รับรักษาที่ง่ายขึ้นค่ะ

                    ความเสี่ยงต่างๆ ที่เกิดเมื่อ ตั้งครรภ์แฝด

                    ความเสี่ยงระหว่างในการตั้งครรภ์นี้เป็นเรื่องที่คุณแม่ทุกคนอาจจะเจอได้นะคะ เพียงแต่ว่าคุณแม่ ตั้งครรภ์แฝด จะมีโอกาสเจอความเสี่ยงเหล่านี้มากขึ้น เรามาดูกันค่ะว่ามีอะไรบ้าง

                    1. คลอดก่อนกำหนด

                    การคลอดก่อนกำหนดหมายถึงการคลอดก่อน 37 สัปดาห์ คุณแม่ตั้งครรภ์เดี่ยวส่วนใหญ่จะคลอดในช่วงสัปดาห์ที่ 39 แต่โดยเฉลี่ยแล้วคุณแม่ตั้งครรภ์แฝดสองจะคลอดในช่วงสัปดาห์ที่ 36 และสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์แฝดสาม จะคลอดในช่วงสัปดาห์ที่ 32 ค่ะ ซึ่ง 60% ของคุณแม่ตั้งครรภ์แฝดสองมักจะคลอดก่อนกำหนด ส่วนคุณแม่ตั้งครรภ์แฝดสามตัวเลขคลอดก่อนกำหนดสูงขึ้น 90% เลยทีเดียวค่ะ

                    2. น้ำหนักตัวแรกเกิดน้อย

                    เนื่องจากคลอดก่อนกำหนด ทารกแฝดจึงมีน้ำหนักตัวแรกเกิดน้อยด้วยค่ะ ทารกที่เกิดก่อน 32 สัปดาห์ มักจะน้ำหนักน้อยกว่า 1500 กรัม ซึ่งมักจะทำให้เกิดปัญหาเรื่องความบกพร่องทางสติปัญญา ความพิการทางสมอง สูญเสียการมองเห็นและได้ยินได้ค่ะ

                    3. ความดันโลหิตสูง

                    คุณแม่ตั้งครรภ์แฝด มีแนวโน้มที่จะเจอกับภาวะความดันโลหิตสูงมากกว่าปกติค่ะ หากความดันของคุณแม่สูงมากจนเกินไป จะเกิดครรภ์เป็นพิษได้ ซึ่งอันตรายต่อชีวิตของคุณแม่และลูกค่ะ

                    4. ครรภ์เป็นพิษ

                    ครรภ์เป็นพิษ คืออาการที่คุณแม่ตั้งครรภ์มีความดันโลหิตสูงมากผิดปกติและตรวจพบโปรตีนในปัสสาวะ ส่งผลให้รกได้รับเลือดไม่เพียงพอ จนทารกในท้องได้รับออกซิเจนกับสารอาหารน้อยลงและทำให้น้ำหนักตัวน้อย ในคุณแม่บางรายที่ภาวะครรภ์เป็นพิษรุนแรงมากอาจมีอันตรายต่อชีวิตคุณแม่และลูกน้อยค่ะ คุณแม่ตั้งครรภ์แฝดมักตรวจพบอาการครรภ์เป็นพิษมากกว่าคุณแม่ท่านอื่นค่ะ

                    5. ภาวะทารกโตช้าในครรภ์

                    ทารกในท้องต้องแย่งสารอาหารกันทำให้ทารกในครรภ์แฝดโตช้ากว่าปกติค่ะ

                    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                     

                    อ่านต่อ ความเสี่ยงจากการตั้งครรภ์แฝดข้อ 6-10 คลิกหน้า 2

                      #กระทู้เด็ดพันทิป! คุณแม่ แชร์ประสบการณ์ ปัญหาชีวิตคู่ พร้อมขอกำลังใจ หลังสามีบอกว่า…ไม่มีความรู้สึกอะไรแล้ว

                      ปัญหาชีวิตคู่ …เป็นสิ่งที่สามารถเกิดขึ้นได้ แม้จะรักหรือเข้าใจกันแค่ไหนก็ตาม ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ทุกคนอยากจะหลีกเลี่ยงด้วยกันทั้งนั้น แต่เมื่อคนสองคนอยู่ด้วยกัน และด้วยพื้นฐานทางครอบครัว สิ่งแวดล้อมรอบกาย รวมถึงลักษณะนิสัยที่แตกต่างกัน ย่อมทำให้เกิดปัญหาขึ้นมาไม่วันใดก็วันหนึ่ง

                      #กระทู้เด็ดพันทิป! คุณแม่ ขอกำลังใจ พร้อมแชร์ประสบการณ์ ปัญหาชีวิตคู่ ที่กำลังสั่นคลอน

                      ปัญหาชีวิตคู่

                      ปัญหาชีวิตคู่ หรือ ปัญหาครอบครัว คือ ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นกับสมาชิกภายในครอบครัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่างสามีภรรยาผู้เป็นหัวหน้าหรือผู้นำครอบครัว ที่เกิดมีปฏิสัมพันธ์ที่ขัดกัน อาทิ มีความคิดเห็นที่แตกต่างกัน ไม่รับรู้หรือไม่เข้าใจความรู้สึกของคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่ง การสื่อสารที่ไม่เข้าใจกันหรือมีบทบาทที่ไม่สอดคล้องกัน เป็นต้น

                      ซึ่งความขัดแย้งนี้อาจนำไปสู่การจบความสัมพันธ์ลงได้ หากว่าคู่สมรสไม่พยายามเข้าใจซึ่งกันและกัน หรือไม่ร่วมมือกันหาทางเลือกที่ดีในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น เช่นเดียวกับคุณแม่ท่านนี้ที่กำลังประสบกับปัญหาชีวิตคู่อยู่ และต้องการมาหากำลังใจพร้อมคำปรึกษาเพื่อให้ได้ครอบครัวที่ดีและมีแรงในการใช้ชีวิต

                      โดยคุณแม่ท่านนี้ใช้ชื่อสมาชิกในเว็บไซต์พันทิปว่า TPThetsimonocE  ซึ่งได้มาตั้งกระทู้ขอกำลังใจ ขอกอดจากชาวสมาชิกในเว็บไซต์พันทิป พร้อมเล่าแชร์ประสบการณ์กับปัญหาชีวิตคู่ กับการมีครอบครัวที่เกิดขึ้นมา 3 ปี โดยมีลูกน้อยแสนน่ารักเป็นสักขีพยาน แล้ว…

                      มาขอกอดค่ะ.. คุยกับสามีเมื่อคืนเค้าบอกว่า ไม่มีความรู้สึกอะไรแล้ว T__T”

                      เรากับสามี อยู่ด้วยกันมา 3 ปีนี้   ไม่ได้แต่งงานค่ะ เราไม่เชื่อเรื่องงานแต่งงานเพื่อมีชีวิตคู่ มีลูกสาวที่น่ารักมากก ด้วยกัน 1 คน ตั้งแต่ปีที่แล้ว บ้านเรามีปัญหาทางการเงิน คุณพ่อทิ้งคุณแม่ไปมีครอบครัวใหม่

                      คุณแม่เป็นข้าราชการ เงินเดือนเหลือไม่มาก เราเงินเดือน 45k-50k ต้องรับผิดชอบแม่ น้องทีกำลังเรียนมหาวิทยาลัย ภาระบ้าน รถ ต้องตกมาหาเราหมด แทบจะเรียกว่าเงินเดือนเกือบทั้งหมด ต้องช่วยแม่กับน้อง ซึ่งเราก็แบกรับตรงนี้มาปีกว่าแล้ว

                      สามีเป็นคนต่างชาติ ด้วยความที่ไม่เข้าใจว่า ทำไมเราต้องแบกรับภาระทั้งหมด ก็เริ่มมีปัญหาระหองระแหงกัน ตั้งแต่ลูกสาวเกิดเค้าเป็นพ่อที่รักลูกมาก

                      เราไม่เคยต้องคิดมากเรื่องนี้ เค้าช่วยดูแลลูกทุกอย่าง ประคบประหงม
                      ไม่เคยบ่น เรื่องการดูแลลูก ตื่นมาดู เป็นห่วง พาไปหาหมอแบบนี้ตลอดค่ะ แต่ลึกๆ แล้วเราก็ทราบดีว่า 
                      ภายใต้ความสุขของการได้เป็นพ่อแม่ สามีเรา และตัวเราเองจะมีความรู้สึกว่าไม่ได้เป็นเหมือนเดิมอยู่ตลอดเวลา

                      ทุกวันนี้เรานอนเตียงเดียวกันทุกคืน เจอหน้ากันทุกวัน แต่ความรักมันไม่หวานเหมือนเมื่อก่อน ทะเลาะกันง่ายขึ้น

                      เค้าจะเบลมเราเสมอว่า เราทำให้เค้าเสียใจ เนื่องด้วยเรื่องครอบครัวเรา บางอย่าง บางทีเราเอาเงินให้แม่ ให้น้อง

                      เราบอกเค้าไม่ได้ เพราะรู้ดีว่าสามีไม่โอเคกับเรื่องนี้เท่าไหร่นัก แต่เราทนที่จะมองดูครอบครัวตัวเองลำบากในขณะที่เราอยู่ดีกินดีไม่ได้

                      เราก็รู้ว่าเค้ารู้ว่าเราทำอะไรลับหลัง แต่เค้าเลือกที่จะไม่พูดและเก็บไว้พูดกับเราในวันที่เค้าทนไม่ได้

                      เราเคยขอให้เค้าเดินออกจากชีวิตเราไป เราขอคืนขีวิตให้เค้า เพื่อที่เค้าจะได้ไม่ต้องมาแบกรับภาระครอบครัวเรากับเรา

                      เราคิดว่าชีวิตคนๆ นึงมันสั้น เราควรจะมีสิทธิเลือกที่จะทำในสิ่งที่ทำให้เรามีความสุข และไม่นึกย้อนกลับมาเสียใจในสิ่งที่เราทำ

                      แต่เค้าก็แค่บอกว่า เค้ารักเรานะ รักเราเหมือนเดิม เค้าดีใจที่เราเป็นภรรยาเค้า และเค้าดีใจที่เราเป็นแม่ของลูกอยู่เสมอ

                       

                      อ่านต่อ >> #กระทู้เด็ดพันทิป! คุณแม่ขอกำลังใจพร้อมแชร์ประสบการณ์ปัญหาชีวิตคู่ที่กำลังสั่นคลอน คลิกหน้า 2

                      เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                       

                        การติดคาร์ซีท ในรถให้ลูกนั่ง สำคัญมาก ‘แม่นานา’ฝากเตือน หลังเล่าเหตุการณ์รถบรรทุกชนท้ายรถที่ลูกนั่งอยู่

                        เมื่อเข้าสู่ช่วงหน้าฝน อาจทำให้มีอุบัติเหตุบนท้องถนนเกิดขึ้นได้บ่อยครั้ง เนื่องจากฝนที่ตกทำให้ถนนลื่น การติดคาร์ซีท ในรถให้ลูกนั่ง จึงเป็นเรื่องสำคัญมาก

                        ส่วนมากช่วงหน้าฝน ก็จะเป็นช่วงที่เด็กๆ เปิดเทอม สำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่มีรถส่วนตัว ซึ่งต้องคอยไปรับไปส่งลูก เรื่องความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนนในหน้าฝนจึงเป็นสิ่งที่ต้องคอยระมัดระวังมากที่สุด เพราะล่าสุดคุณแม่ นานา ไรบีนา ก็โดนเต็มๆ เมื่อรถของเธอจอดติดไฟแดงอยู่บนถนน ขณะที่ฝนตก ถนนลื่น จึงทำให้รถสิบล้อเบรกไม่อยู่พุ่ง และชนท้ายอย่างจัง

                        การติดคาร์ซีท ในรถให้ลูกนั่ง สำคัญมาก
                        แม่นานา’ฝากเตือน หลังลูกรอดชีวิต จากการถูกรถบรรทุกชนท้าย

                        ซึ่งภายในในรถก็มีลูกน้อย 2 ฝาแฝด ทั้งบีนา และ บรู๊คลิน นั่งอยู่ในรถด้วย แต่เด็กๆ ก็ไม่ได้รับอันตรายใดๆ เพราะนั่งรัดเข็มขัดในที่นั่งสำหรับเด็ก เพียงแต่ร้องกรี๊ดเสียงดังด้วยความตกใจเท่านั้น

                        โดยทางคุณแม่นานา ได้โพสต์ภาพอุบัติเหตุลงในไอจี และเตือนภัยคุณแม่ ที่มีเด็กเล็กๆ ว่าการให้เด็กๆ นั่ง Car Seat เป็นสิ่งที่สำคัญ และปลอดภัยที่สุด

                        การติดคาร์ซีท

                        “อุบัติเหตุเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา” คำนี้ขอให้ตระหนัก เหตุเกิดขึ้นเมื่อวานนี้แต่แม่คนนี้ขอรวบรวมสติเล่าให้ทุกคนฟังตอนนี้ เหตุการณ์คือรถเราจอดติดไฟแดงแล้วมีรถบรรทุก (ใช่ค่ะ รถบรรทุก) พุ่งมาแบบเบรคไม่ทัน ถนนลื่น ฝนตก ชนเข้าไปท้ายรถแบบจังๆ กระจกด้านหลังแตกลงมาหมด ลูกๆบีน่าบรู๊คลินอยู่ในรถ เสียงกรีดร้องของลูกดังมาก ด้วยความตกใจ แต่น้องสองคนปลอดภัย เราได้พาน้องๆไปตรวจเช็คที่โรงพยาบาลเรียบร้อย เนื่องจากแรงกระแทกค่อนข้างแรงมาก แต่สิ่งนึงที่ขอใช้คำว่า “จำเป็น” และเป็นสิ่งที่เราต้องใช้อย่างยิ่งคือ Car seat ทำให้สองบีไม่ตกไปไหนนั่งติดเก้าอี้ ไม่เจ็บตรงไหน ก่อนหน้านี้ยอมรับตรงๆว่ามีบ้างที่เราเห็นว่าเดินทางใกล้ๆนั่งตักเราสะดวกดี แต่ตอนนี้คงต้องนั่ง car seat อย่างสม่ำเสมอแล้ว ยอมรับว่าเหตุการณ์นี้มันน่ากลัวจริงๆ นึกภาพไม่ออกว่าถ้าเด็กสองคนไม่ได้นั่ง Car seat จะเป็นยังไง เมื่อคืนก่อนหลับยังร้องไห้ ตอนนอนยังนอนผวา ร้องไห้ น่าสงสารที่สุด ฝากมาเล่าเพื่อแม่ๆทุกคนที่รักลูกสุดหัวใจได้ระมัดระวังเรื่องนี้นะคะ ด้วยหัวใจของคนเป็นแม่ค่ะ  #benbrooklynguy #besafe

                        อ่านต่อ >> “ความสำคัญของคาร์ซีทกับลูกน้อย และวิธีติดตั้งที่ถูกต้อง” คลิกหน้า 2

                        อ่านต่อบทความอื่นน่าสนใจ คลิก!


                        ขอบคุณภาพและคลิปจาก nanarybena

                        เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                         

                          ไข้เลือดออกเดงกี

                          ไข้เลือดออกเดงกี โรคระบาดที่มากับฤดูฝน

                          ประเทศไทยเข้าสู่ช่วงหน้าฝนกันอีกแล้ว แน่นอนว่าความชื้นแฉะของน้ำฝนมักนำมาซึ่งโรคระบาดเพิ่มความเจ็บป่วยให้เด็กๆ ได้ง่ายมาก ยิ่งโดยเฉพาะกับโรค ไข้เลือดออกเดงกี ที่มียุงลายเป็นพาหะนำโรค ทีมงาน Amarin Baby & Kids มีข้อมูลเกี่ยวกับโรคไข้เลือดออกจากเชื้อไวรัสเดงกี มาเตือนให้ทุกครอบครัวได้เฝ้าระวังบุตรหลานให้ห่างไกลจากยุงลายกันค่ะ

                           

                          ไข้เลือดออกเดงกี  โรคระบาดที่มากับฤดูฝน  

                          ช่วงนี้คุณพ่อคุณแม่จะเห็นว่าฝนตกเกือบจะทุกวัน ลูกเล็กเด็กแดงระวังอย่าให้ป่วยโรค ไข้เลือดออกเดงกี หรือไปโดนละอองฝน เสื้อผ้าเนื้อตัวเปียกฝนกลับบ้านกันมาทุกวันนะคะ เพราะเดี๋ยวจะป่วยเป็นไข้หวัดทำให้ต้องหยุดเรียน หยุดทำงานเสียทั้งสุขภาพ เสียเวลา และเสียทั้งเงินค่าหมอ ค่ายา

                          Must Read >> แพ็คเกจวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ระบาด ปี 2560

                          ช่วงหน้าฝนตกกระหน่ำแบบนี้ ให้ทุกบ้านระวังตามตุ่มน้ำ สระน้ำ อุปกรณ์ต่างๆ ที่น้ำฝนสามารถเข้าไปขังได้ เพราะมักจะมีลูกน้ำยุงลายเข้าไปวางไข่กันได้ ซึ่งเจ้ายุงลายตัวร้ายนี่แหละค่ะ ที่เป็นพาหะนำมาซึ่งโรคไข้เลือดออก และแต่ละปีก็มักจะพัฒนาความรุนแรงของโรคจากไข้เลือดออกธรรมดา มาเป็นไข้เลือดออกที่เกิดจากเชื้อไวรัสแดงกี

                          มีข้อมูลเตือนให้เฝ้าระวังโรคไข้เลือดออกจากสำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. – 30 เม.ย. 2560 พบผู้ป่วย 9,229 ราย จาก 77 จังหวัด อัตราป่วย 14.11 ต่อแสนประชากร เสียชีวิต 14 ราย กลุ่มอายุพบมากสุด 15-24 ปี (26.24 %) 10-14 ปี (19.79 %) 25-34 ปี (15.05 %) ส่วนใหญ่เป็นนักเรียน ร้อยละ 46.6

                          และ 5 จังหวัดที่มีอัตราป่วยต่อแสนประชากรสูงสุด คือ สงขลา (133.86 ต่อแสนประชากร) พัทลุง (104.68 ต่อแสนประชากร) ปัตตานี(93.46 ต่อแสนประชากร) นราธิวาส (76.51 ต่อแสนประชากร) นครศรีธรรมราช (50.31 ต่อแสนประชากร)

                          นอกจากนี้ภาคที่มีอัตราป่วยสูงสุด คือ ภาคใต้ 58.54 ต่อแสนประชากร ภาคกลาง 10.49 ต่อแสนประชากร ภาคเหนือ 5.16  ต่อแสนประชากร ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 3.90 ต่อแสนประชากร – ที่มา : สำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข

                          อ่านต่อ สาเหตุของโรคไข้เลือดออกจากเชื้อไวรัสเดงกี คลิกหน้า 2

                           

                          เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                            อาหารสมุนไพร กระตุ้นน้ำนมแม่

                            สุดยอด อาหารสมุนไพร กระตุ้นน้ำนมแม่ เพิ่มทั้งปริมาณและคุณภาพช่วยลูกสมองดี

                            น้ำนมแม่ คือสุดยอดอาหารที่ดีที่สุดสำหรับลูกวัยทารกตั้งแต่แรกคลอด หากคุณแม่มีโอกาสให้นมลูกตั้งแต่ชั่วโมงแรกหลังคลอดนอกจากจะช่วยให้ลูกได้รับน้ำนมเหลืองที่อุดมไปด้วยสารภูมิต้านโรค และยังเป็นการช่วยกระตุ้นน้ำนมแม่ให้มาเร็วได้ดีอีกด้วย ทีมงาน Amarin Baby & Kids มี อาหารสมุนไพร กระตุ้นน้ำนมแม่ และยังช่วยให้ลูกสมองดีมาฝากกันค่ะ

                             

                            อาหารสมุนไพร กระตุ้นน้ำนมแม่

                            คุณแม่ลูกอ่อนที่เพิ่งคลอดลูก มีความจำเป็นที่จะต้องทาน อาหารสมุนไพร กระตุ้นน้ำนมแม่ ไปตลอดช่วงการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ เพราะร่างกายของแม่หลังคลอดต้องการสารอาหารที่มีประโยชน์มาช่วยในการฟื้นบำรุงร่างกายให้กลับมาแข็งแรงโดยเร็ว และสารอาหารยังจำเป็นต่อกระบวนการผลิตน้ำนมแม่ให้มีทั้งปริมาณและคุณภาพ เพื่อที่ลูกเมื่อทานนมแม่เข้าไปแล้วจะได้รับสารอาหารจากนมแม่ที่หลากหลายครบถ้วน เพื่อใช้ในการบำรุงหล่อเลี้ยงพัฒนาการด้านร่างกายให้เจริญเติบโตแข็งแรง ที่สำคัญยังช่วยให้พัฒนาการด้านสมองและสติปัญญาของลูกเติบโตสมบูรณ์ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

                            สำหรับการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่นั้น ทางองค์การอนามัยโลกและยูนิเซฟมีคำแนะนำเกี่ยวกับการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ดังนี้ค่ะ

                            • คุณแม่ควรให้นมแม่กับลูกทันทีในช่วง 1 ชั่วโมงแรกหลังคลอด
                            • คุณแม่ควรเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียวในช่วง 6 เดือนแรก
                            • คุณแม่สามารถให้นมลูกอย่างต่อเนื่องควบคู่ไปกับการให้อาหารเสริมตั้งแต่เดือนที่ 6 จนลูกอายุ 2 ขวบหรือนานกว่านี้ก็ได้ค่ะ

                            น้ำนมแม่จะมีมากหรือน้อยส่วนหนึ่งมาจากการมีวินัยในการให้ลูกดูดกระตุ้นอย่างน้อยทุก 2-3 ชั่วโมง ควบคู่ไปกับการที่คุณแม่ต้องทานอาหารที่มีประโยชน์ครบ 5 หมู่ และเน้นทานที่ช่วยในเรื่องการบำรุงน้ำนมแม่ อย่างอาหารประเภทที่เป็น อาหารสมุนไพร กระตุ้นน้ำนมแม่ รับรองว่าถ้าคุณแม่ลูกอ่อนที่ให้นมลูกทำแบบนี้น้ำนมแม่มีทั้งปริมาณและคุณภาพอย่างแน่นอนค่ะ

                            อ่านต่อ สุดยอดอาหารสมุนไพรช่วยเพิ่มน้ำนมแม่ คลิกหน้า 2

                             

                            เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                              นมแพะ ต่างจาก นมวัว อย่างไร?

                              “นม” ถือเป็นอาหารหลักของเด็กขวบปีแรก ซึ่งคุณแม่ต่างก็ทราบดีว่า นมแม่ดีที่สุดสำหรับลูกน้อย แต่เมื่อมีความจำเป็นต้องให้นมเสริมกับลูก คุณแม่ก็ควรพิจารณาเลือกนมที่มีโปรตีน และไขมันที่ย่อยง่าย และมีสารอาหารจากธรรมชาติในปริมาณสูง เพื่อให้ลูกรักมีน้ำหนักตัวดี มีพัฒนาการที่ดีสมวัย

                              เพราะ “นม” มีประโยชน์ต่อสุขภาพมากๆ โดยเฉพาะลูกน้อย เป็นแหล่งของโปรตีนที่ดี และแคลเซียมสูงตามธรรมชาติ เพื่อเสริมสร้างการเจริญเติบโต พัฒนาสมอง ระบบภูมิคุ้มกัน ดังนั้นเมื่อลูกมีปัญหาเรื่องการย่อยนม คุณพ่อคุณแม่ย่อมมีความกังวลใจ ในการเจริญเติบโตของร่างกายและสมองของลูกน้อย ซึ่งจะสงผลต่อพัฒนาการ และการเรียนรู้ของเขา

                              ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ควรพิจารณาเลือกนม ที่ย่อยและดูดซึมง่าย เพื่อป้องกันปัญหาดังกล่าว โปรตีนในนมเมื่ออยู่ในสภาพเป็นกรดในกระเพาะอาหารจะอยู่ในรูปก้อนโปรตีน หรือ Curd ซึ่งเป็นการจับตัวกันหลายๆ โมเลกุลของ เคซีน ซึ่งเมื่อถูกย่อยโดยเอนไซน์ในกระเพาะอาหาร จะแตกตัวออกเป็นโมเลกุลย่อยๆ และถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายในรูปกรดอะมิโน เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในร่างกายต่อไป

                              นมแพะ ต่างจาก นมวัว อย่างไร?

                              ปัจจุบัน นมแพะ ถือเป็นที่นิยมมานานแล้วในหลายประเทศทั่วโลก ซึ่งก็มีสิ่งที่แตกต่างกัน จาก นมวัว อย่างเห็นได้ชัด ดังนี้

                              นมแพะ ต่างจาก นมวัว

                              นมแพะ มีระบบการสร้างน้ำนมแบบเดียวกับนมแม่

                              นมแพะ มีระบบการสร้างน้ำนมแบบเดียวกับนมแม่ ที่เรียกว่า อะโพไคร์น (Aprocrine) ทำให้นมแพะ มีสารอาหารจากธรรมชาติในปริมาณสูง ที่เรียกว่า ไบโอแอคทีฟ คอมโพเนนท์ (Bioactive Component) ประกอบด้วย    นิวคลีโอไทด์ตามธรรมชาติ (Natural Nucleotide) 5 ชนิดที่คล้ายกับนมแม่ ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย มีทอรีน ช่วยให้การทำงานของจอประสาทตาดีขึ้น มีโกรทแฟคเตอร์ (Growth factor) ชนิดไอจีเอฟวัน (IGF-1) และทีจีเอฟ เบต้า (TGF- ?) ช่วยเสริมสร้างการเจริญเติบโต และมีสารโพลีเอมีนส์ (Polyamines) ช่วยให้เกิดการพัฒนาของระบบทางเดินอาหาร และระบบการย่อยอาหารให้สมบูรณ์

                              นมแพะ ต่างจาก นมวัว

                              นมแพะ ย่อยง่ายกว่านมวัว

                              นมแพะมีสัดส่วนของเบต้าเคซีน สูงกว่านมวัว 2 เท่า และมีแอลฟา เอสวันเคซีน ซึ่งย่อยยากในปริมาณที่ต่ำกว่านมวัวถึง 8 เท่า ทำให้โปรตีนของนมแพะ เกาะกันเป็นก้อนโปรตีนที่นุ่ม ทำให้ร่างกายย่อยได้ง่าย และรวดเร็วกว่า นอกจากนี้ยังมีไขมันห่วงโซ่ขนาดกลาง (MCT Oil) ในปริมาณสูงที่ร่างกายสามารถย่อย และนำไปใช้ได้รวดเร็วกว่า ลูกรักจึงมีน้ำหนักตัวดีอีกด้วย

                              นมแพะ ต่างจาก นมวัว

                              ในนมแพะยังมี โปรตีน CPP (Casein Phosphopeptides) โปรตีนนุ่ม ที่ย่อยและดูดซึมง่าย ช่วยให้ร่างกายสามารถดูดซึมแร่ธาตุต่าง ๆ ได้ดี ดื่มแล้วสบายท้อง ขับถ่ายคล่อง ดังนั้นทารกและเด็กเล็กที่ดื่มนมแพะจะสามารถย่อยง่าย และรวดเร็วกว่านมผงดัดแปลงจากนมวัว นอกจากนี้นมแพะยังสามารถดูดซึมแคลเซียม และสารอาหารบางตัว เช่น ธาตุเหล็กได้ดีกว่านมวัวเพราะฉะนั้นก็จะดีต่อสุขภาพกระดูก เพราะการกินแคลเซียมที่ดีก็จะไปสะสมให้กระดูกเราแข็งแรง ป้องกันโรคกระดูกพรุนในอนาคต

                               

                              นมแพะ ต่างจาก นมวัว

                              นมแพะ มีโอกาสทำให้เด็กแพ้นมน้อยกว่า นมวัว

                              ในนมแพะจะมีปริมาณโปรตีนก่อแพ้หรือเบต้าแลคโตกลอบบูลินน้อยกว่านมวัวถึง 3 เท่า การดื่มนมแพะจึงมีโอกาสเกิดภูมิแพ้น้อยกว่าเด็กที่ได้รับนมวัว สารเบต้าแลคโตกลอบบูลิน คือ โปรตีนขนาดใหญ่ที่ก่อให้เกิดอาการแพ้นมวัวร่างกายย่อยได้ยาก จึงเหลือตกค้างอยู่ในลำไส้เล็ก กลายเป็นสารก่อแพ้ที่กระตุ้นให้ร่างกายแสดงอาการแพ้ออกมาในลักษณะต่างๆ นมวัวมีสารนี้มากกว่า 3 เท่า เด็กที่ทานนมวัว จึงมีโอกาสแพ้นมวัวได้มากกว่า

                              อย่างไรก็ตาม แม้จะมีผลิตภัณฑ์นมให้เลือกซื้อจำนวนมากในท้องตลาด แต่นมแม่ก็ยังถือว่าเป็นนมที่ดีที่สุดของทุกๆ ชีวิต ควรให้นมแม่เป็นทางเลือกที่หนึ่งของลูก แต่ในกรณีที่มีความจำเป็นจริงๆ ที่ต้องใช้ผลิตภัณฑ์นมอื่นๆ ทดแทน ควรมีการเลือกอย่างละเอียดและต้องใส่ใจกับสารอาหารที่ลูกจะได้รับ ว่าเป็นสารอาหารจากธรรมชาติ หรือสารสังเคราะห์ เนื่องจากเป็นสิ่งสำคัญต่อการเจริญเติบโตของลูกน้อยเพื่อให้ลูกน้อยเติบโตอย่างสมวัย

                                พรีไบโอติก ดีกับลูกอย่างไร?

                                เพราะสุขภาพของลูกน้อย เป็นเรื่องสำคัญที่คุณพ่อคุณแม่ต้องใส่ใจเป็นพิเศษ เนื่องจากปัจจุบันมีโรคภัยแปลกๆ เกิดขึ้นมากมาย ฉะนั้นหนทางที่ดีที่สุดก็คือ การสร้างภูมิคุ้มกันให้กับลูกน้อย เพื่อป้องกันก่อนลูกน้อยเจ็บป่วย พรีไบโอติก (Prebiotics) สารอาหารที่มีบทบาทในการสร้างภูมิคุ้มกันให้กับลูกน้อยได้ จะสร้างได้ด้วยวิธีไหนต้องตามไปดูกันค่ะ

                                พรีไบโอติก (Prebiotics) คืออะไร

                                พรีไบโอติก คือ ใยอาหารที่ไม่ถูกย่อยในระบบทางเดินอาหาร แต่จะไปเป็นอาหารของจุลินทรีย์สุขภาพในลำไส้ใหญ่ ซึ่งจะมีประโยชน์คือช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโต ของจุลินทรีย์สุขภาพในลำไส้ใหญ่ เช่น ไบฟิโดแบคทีเรีย (Bifidobacteria), แลคโตบาซิลไล (Lactobacilli) และช่วยกำจัดจุลินทรีย์ที่ก่อให้เกิดโรคซัลโมเนลลา (Salmonella) และ อีโคไล (E. Coli) โดยเชื้อนี้จะถูกกำจัดออกจากระบบทางเดินอาหารไปพร้อมกับอุจจาระ จึงช่วยปรับสมดุลของระบบทางเดินอาหาร หมดปัญหาเรื่องท้องผูก และยังช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดีอีกด้วย

                                สารอาหารที่ถูกจัดเป็นพรีไบโอติกนั้นจะต้องมีลักษณะ 3 ประการคือ

                                1. สารอาหารนั้นจะต้องไม่ถูกย่อย หรือดูดซึมในกระเพาะอาหาร และลำไส้เล็ก
                                2. สารอาหารนั้นต้องเป็นอาหารของจุลินทรีย์ที่เป็นประโยชน์ต่อลำไส้
                                3. สารอาหารนั้นควรช่วยกระตุ้นสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย

                                ซึ่งพรีไบโอติก หรือใยอาหารมีอยู่หลายชนิดด้วยกัน เช่น โอลิโกฟรุกโตส อินนูลิน น้ำตาลแอลกอฮอล์ แลกโตส โอลิโกแซคคาไรด์ เป็นต้น โดยส่วนใหญ่แล้วเป็นสารประกอบพวกคาร์โบไฮเดรตที่พบได้ตามธรรมชาติ

                                ทั้งนี้ พรีไบโอติก ฃสามารถพบได้ในอาหารหลากหลายชนิด โดยส่วนใหญ่แล้วมักพบมากในผัก ชนิดต่าง ๆ เช่น หอมหัวใหญ่ หน่อไม้ฝรั่ง กระเทียม แอปเปิ้ล เมล็ดธัญพืชบางชนิด กล้วย และนอกจากนี้เรายังสามารถพบ พรีไบโอติกใน “นมแพะ” อีกด้วย

                                พรีไบโอติก (Prebiotics)

                                พรีไบโอติก (Prebiotics) สำคัญต่อลูกน้อยอย่างไร

                                พรีไบโอติกมีประโยชน์ต่อการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันลูกน้อย โดยมีผลพิสูจน์ทางการแพทย์ที่แสดงให้เห็นถึงประโยชน์ คือ

                                • เพิ่มจำนวนจุลินทรีย์สุขภาพในลำไส้
                                • ลดการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ที่ก่อให้โรคในลำไส้
                                • ส่งเสริมเยื่อบุเมือกของลำไส้ให้แข็งแรงขึ้น
                                • เพิ่มการผลิตแอนตี้บอดี้ (sIgA)
                                • ลดอุบัติการณ์ของการติดเชื้อ

                                พรีไบโอติก (Prebiotics) กับ “นมแม่”

                                มีข้อมูลจากทั้งการศึกษาทดลองและจากงานวิจัยต่างล้วนพบว่า นมแม่จะช่วยเสริมความแข็งแรงของระบบภูมิคุ้มกันของทารก เมื่อเทียบกับทารกที่ได้เลี้ยงด้วยนมผสมแล้ว ทารกที่เลี้ยงด้วยนมแม่จะมีอัตราการเกิดโรคติดเชื้อ โรคภูมิแพ้ และรวมถึงโรคเกี่ยวกับระบบภูมิต้านทานชนิดต่างๆ ที่น้อยกว่า

                                ซึ่งปัจจัยที่สำคัญอย่างหนึ่งในนมแม่ซึ่งช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน คือโอลิโกแซคคาไรด์ (Oligosaccharide) โอลิโกแซคคาไรด์ในนมแม่จัดเป็นพรีไบโอติก ซึ่งเป็นสารอาหารสำคัญที่มีบทบาทต่อการช่วยเพิ่มจำนวนจุลินทรีย์ชนิดดีในลำไส้ เมื่อจุลินทรีย์ชนิดดีในลำไส้มีมาก ก็จะไปยับยั้งการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ก่อโรค จึงป้องกันการติดเชื้อ

                                เมื่อลูกน้อยมีสุขภาพลำไส้ที่ดีก็มักจะไม่มีปัญหาเกี่ยวกับโรคภัย โดยเฉพาะโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร อีกทั้งช่วยลดอาการท้องผูก ท้องเสีย ด้วยคุณสมบัติที่พิเศษเหล่านี้เองทำให้ พรีไบโอติกมีประโยชน์อย่างมากสำหรับเด็กและทารก และในนมแพะเองก็มีพรีไบโอติกหรือใยอาหารชนิด โอลิโกแซคคาไรด์ (Oligosaccharides) อย่างอินนูลิน (Inulin) และโอลิโกฟรุคโตส (Oligofructose) ซึ่งเป็นอาหารของจุลินทรีย์ในลำไส้ใหญ่ ช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโต ของจุลินทรีย์สุขภาพในลำไส้ใหญ่ ช่วยปรับสมดุลในระบบทางเดินอาหาร ป้องกันการติดเชื้อและการอักเสบในระบบทางเดินอาหาร ลูกน้อยขับถ่ายได้ดีขึ้น ลูกน้อยจึงมีพัฒนาการที่ดีสมวัย

                                  ใส่ชุดชั้นในนอน

                                  ใส่ชุดชั้นในนอน เสี่ยงเป็นมะเร็ง จริงหรือ?

                                  ใส่ชุดชั้นในนอน เสี่ยงเป็นมะเร็ง จริงหรือ เรื่องนี้อาจเป็นที่สงสัยของผู้หญิงหลายคน ที่เคยได้ยินเพื่อนๆ ผู้หญิงอีกหลายๆ คน เตือนว่า “ไม่ต้องใส่บราหรือเสื้อชั้นในเวลานอน เพราะเดี๋ยวจะทำให้เป็นมะเร็งเต้านม”

                                  เพราะเรื่องหน้าอกหน้าใจเป็นเรื่องที่คุณสาว ๆ ให้ความสำคัญไม่น้อยไปกว่าการบำรุงสุขภาพหรือผิวพรรณ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเลือกแบบ และขนาด หรือจะเป็นเรื่องการสวมใส่ แล้วความเชื่อหรือเรื่องที่เคยได้ยินกันมา ว่าไม่ควรจะสวมใส่บราเวลานอนเพราะเข้าใจว่าอาจทำให้เกิดโรคมะเร็งได้ ซึ่งก็มีคุณผู้หญิงจำนวนไม่น้อยที่ไม่เชื่อในเรื่องนี้ เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว ตกลง ควรใส่หรือไม่ใส่ดี Amarin Baby & Kids มีคำอธิบายจากเว็บไซต์ huffingtonpost มาฝากค่ะ ไปดูกันว่าแท้จริงแล้ว ควรใส่หรือไม่ใส่บราเวลานอน

                                  ใส่ชุดชั้นในนอน เสี่ยงเป็นมะเร็ง จริงหรือ!?

                                  ใส่ชุดชั้นในนอน

                                  จากคำเล่าลือที่ว่าการสวมใส่บราหรือใส่ชุดชั้นในนอน เป็นต้นเหตุของการเกิดโรคมะเร็งเต้านม รวมไปถึงมีผู้หญิงส่วนใหญ่ที่ไม่ใส่ชุดชั้นในขณะที่นอนหลับเพราะรู้สึกอึดอัด อีกทั้งยังกลัวการทำงานของต่อมน้ำเหลืองผิดปกติและไปกระตุ้นให้เกิดมะเร็งที่เต้านม ซึ่งผู้ที่ไม่ได้สวมใส่ชุดชั้นในขณะนอนหลับอ้างว่า การอุดตันของต่อมน้ำเหลืองสามารถเพิ่มโอกาสในการเป็นมะเร็งเต้านม แต่ยังมีอีกหลายคนที่ไม่เห็นด้วยกับคำกล่าวนี้ และพวกเขายังคงใส่ชุดชั้นในตลอดเวลาเพื่อป้องกันไม่ให้หน้าอกหย่อนคล้อย

                                  แต่นั่นก็เป็นเพียงแค่คำเล่าลือเท่านั้นละค่ะ เพราะที่จริงแล้ว ยังไม่มีการศึกษาวิจัยใด ๆ ยืนยันได้ว่าการสวมใส่ชุดชั้นในนอน จะทำให้เกิดปัญหาสุขภาพตามมา

                                  สำหรับเรื่องนี้ แพทย์หญิง Amber Guth ผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้านศัลยกรรมและผู้อำนวยการสหสมาคมศัลยกรรมมะเร็งเต้านมของศูนย์การแพทย์แลงกอนแห่งมหาวิทยาลัยนิวยอร์กได้ยืนยันว่า ยังไม่พบหลักฐานใดแสดงให้เห็นว่าการสวมใส่บราในเวลานอนนั้นมีประโยชน์หรือโทษกันแน่

                                  นอกจากนี้วารสารทางการแพทย์ Cancer Epidemiology และ Biomarkers & Prevention ยังได้ตีพิมพ์ผลการวิจัยเกี่ยวกับความเชื่อมโยงในการสวมใส่บราและมะเร็งเต้านมว่า ไม่พบความเชื่อมโยงเกี่ยวข้องกันเลยแม้แต่น้อย แม้แต่ในกลุ่มผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนก็ตาม ซึ่งในทางกลับกันก็ไม่พบเช่นกันว่า การสวมใส่บราเวลานอนจะมีประโยชน์อย่างไร ถึงแม้ว่ามันอาจจะช่วยไม่ให้หน้าอกหย่อนคล้อยก่อนวัยก็ตาม

                                  ใส่ชุดชั้นในนอน

                                  ♥ Must read : 7 ท่าโยคะ หลังลูกหย่านม ช่วยเต้านมแม่หายเหี่ยวกลับมาเต่งตึงอีกครั้ง
                                  ♥ Must read : หน้าอกหย่อนคล้อย กลับมาเต่งตึง ด้วยเปลือกมะนาว

                                  นอกจากนี้ยังมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ระบุไว้ว่า การสวมใส่ชุดชั้นในตลอดเวลาจะช่วยป้องกันไม่ให้หน้าอกหย่อนยาน และปัจจัยที่ทำให้หน้าอกหย่อนยานได้นั้นเกิดจากลักษณะทางกรรมพันธุ์ การให้นมบุตร อายุที่มากขึ้น รวมไปถึงการตั้งครรภ์

                                  ทั้งนี้ความเชื่อเกี่ยวกับโรคมะเร็งเต้านมนั้นก็มาจากหนังสือ Dressed to Kill ที่ถูกตีพิมพ์ขึ้นในปี ค.ศ. 1995 (พ.ศ. 2538) ซึ่งในหนังสือได้ระบุว่าการสวมใส่บราหรือเสื้อชั้นในที่คับนานเกินวันละ 12 ชั่วโมง เป็นประจำทุกวันจะก่อให้เกิดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งเต้านมเพิ่มขึ้น โดยบราที่คับจะไปขัดขวางระบบไหลเวียนของน้ำเหลืองซึ่งเป็นของเหลวที่ช่วยดักจับสารพิษในร่างกาย

                                  ซึ่งความจริงแล้วมีผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ระบุไว้ว่า ต่อมน้ำเหลืองในรักแร้มีวิธีการตามธรรมชาติในการระบายน้ำเหลืองในเต้านมและยังป้องกันการติดเชื้อ รวมถึงการก่อตัวของเซลล์มะเร็งและปัญหาอื่นๆ ที่จะตามมา และจริงๆ แล้วแทบจะไม่มีหลักฐานทางการแพทย์อื่นใดอีกเลย ที่ยืนยันความเชื่อนี้ว่าการสวมใส่ชุดชั้นในขณะนอนหลับจะไปขีดขวางทางเดินของต่อมน้ำเหลือง (Lymph node) และเพิ่มความเสี่ยงของโรคมะเร็งเต้านม นอกจากเล่มนี้เรื่องเดียว

                                  และแม้ว่าจะไม่มีหลักฐานใดสนับสนุนการสวมใส่บราเวลานอน แล้วจะเสี่ยงเป็นมะเร็ง แต่สำหรับคุณผู้หญิงที่มีขนาดหน้าอกคัพ D ขึ้นไปก็ควรที่จะสวมใส่บราในเวลานอนหลับเพื่อช่วยไม่ให้หน้าอกซ้อนทับกันจนเกินไปเวลาที่นอนตะแคง และทำให้นอนหลับสบายขึ้นไม่อึดอัด และถ้าหากใครเลือกที่จะสวมใส่บราในเวลานอนละก็ ก็ควรที่จะเลือกบราที่ไม่มีโครงและสวมใส่สบาย เพราะการสวมใส่บราที่คับจนเกินไปอาจจะทำให้รู้สึกอึดอัดและส่งผลต่อการนอนหลับได้ค่ะ

                                  อ่านต่อ >> “การเลือกบราที่เหมาะกับคุณผู้หญิงทั่วไป แม่ท้องและแม่ให้นม” คลิกหน้า 2

                                  อ่านต่อบทความอื่นน่าสนใจ คลิก!


                                  ขอบคุณข้อมูลจาก : health.kapook.com

                                  เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                                   

                                    จับลูกนอนคว่ำ

                                    จับลูกนอนคว่ำ ที่ไม่ได้มีดีแค่ช่วยลูกหัวทุยสวย!!

                                    พ่อแม่ลูกอ่อนมือใหม่ที่พึ่งจะมีลูกแรกคลอด มีสารพัดเรื่องให้ได้เรียนรู้ ทั้งการอาบน้ำ การให้นมลูก แล้วไหนจะเรื่องการนอนของลูกที่หลายข้อมูลก็ว่าควรให้ลูกนอนหงาย แต่อีกหลายเสียงก็บอกว่า ลูกทารกต้องให้นอนคว่ำนะ!! ใครเคยสงสัยบ้างไหมว่าทำไมต้องให้ ลูกนอนคว่ำ ทีมงาน Amarin Baby & Kids มีคำตอบในเรื่องนี้มาให้ได้ทราบกันค่ะ

                                     

                                    จับลูกนอนคว่ำ หรือนอนหงายดีนะ?

                                    จับลูกนอนคว่ำ หรือจะเป็นท่านอนหงายดี เคยสงสัยกันไหมคะ? พ่อแม่มือใหม่ หรือจะมือเก่ามีประสบการณ์ในการเลี้ยงลูกมาแล้วก็ตาม ต้องรู้ว่าในเด็กแรกคลอดวัยทารกช่วง 1-3 เดือนแรก เป็นช่วงที่ลูกยังไม่สามารถช่วยเหลือ หรือขยับตัวพลิกคว่ำ พลิกหงายได้เอง ยังคงต้องอาศัยความช่วยเหลือจากพ่อแม่ และพี่เลี้ยงเด็ก ในการช่วยจัดท่านอน ขยับพลิกคว่ำ พลิกหงาย หรือนอนในท่าตะแคง เป็นต้น อยู่ตลอดเวลา

                                    ท่านอนของเด็กทารกจะมีอยู่ 2 ท่าที่พ่อแม่จะคุ้นเคยกันดี นั่นคือ ท่านอนหงาย กับท่านอนคว่ำ สมัยก่อนเด็กแรกเกิดคนเฒ่า คนแก่ ย่ายาย มักจะให้หลานตัวนอยนอนหลับท่านอนคว่ำกันซะส่วนใหญ่ เพราะการ จับลูกนอนคว่ำ จะช่วยให้รูปศีรษะของเด็กทุยสวย ศีรษะจะไม่แบนจนเสียรูปทรง แต่ถ้าในปัจจุบันตามวิธีการปฏิบัติที่เหมาะสมในการจัดท่านอนให้เด็กทารกแรกเกิด ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าควรให้ทารกนอนในท่านอนหงาย เพื่อป้องกันภาวะการตายเฉียบพลัน

                                    มีการวิจัยพบว่าการนอนคว่ำเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญต่อโรคการตายฉับพลันของเด็กทารกเรียกกันว่าโรค SIDS (sudden infant death syndrome)

                                    ในประเทศสหรัฐอเมริกาได้มีโครงการ “ให้เด็กนอนหงาย” (back to sleep) โดยแนะนำให้จัดท่านอนเด็กเป็นท่านอนหงายเสมอตั้งแต่ปี พ.ศ. 2535 พบว่าการตายจากโรค SIDS ลดลง จากการวิจัยหลายแหล่งพบว่าการนอนคว่ำมีความเสี่ยงต่อการกดทับจมูกปากจนขาดอากาศหายใจ[1]

                                    ดังนั้นจึงแนะนำคุณพ่อคุณแม่ที่มีลูกวัยทารกแรกคลอดว่า ในช่วงที่ลูกอายุน้อยกว่า 6 เดือน ไม่ควรจัดท่านอนให้ลูกด้วยการ จับลูกนอนคว่ำ เพราะทารกแรกเกิดยังไม่สามารถยกศีรษะ หรือตะแคงหน้าได้เอง การนอนคว่ำโดยที่ไม่มีผู้ใหญ่คอยดูแลอยู่ด้วย อาจทำให้ลูกขาดอากาศหายใจได้ ดังนั้น ควรเปลี่ยนจากท่านอนคว่ำมาเป็นท่านอนหงายก่อนจะดีที่สุด

                                    อ่านต่อ ให้ลูกนอนคว่ำ ที่ไม่ได้มีดีแค่ช่วย หัวทุย คลิกหน้า 2

                                     

                                    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่