คลอเรสเตอรอลในเลือด

นักวิจัยพัฒนา! ข้าวไทยตัวยาช่วยลด คลอเลสเตอรอลในเลือด

ทีมวิจัยไทยสุดเจ๋ง! พัฒนาข้าวไทยเป็นยาลด คอเลสเตอรอลในเลือด ได้!

 

 

คุณพ่อคุณแม่หลาย ๆ ท่านอาจจะไม่รู้ว่า ข้าวไทยของเรานั้นมีประโยชน์มากมายใช่แค่เพียงช่วยให้อิ่มท้องเท่านั้น ยังมีประโยชน์ถึงขนาดสามารถนำมาทำเป็นยาลดคอเลสเตอรอลในเลือดได้เลย ซึ่งผลงานวิจัยที่ว่านี้ยังสามารถคว้ารางวัลดีเด่นกลับมาได้อีกด้วย

แต่ก่อนที่เราจะไปดูผลงานสำเร็จของนักวิจัยชาวไทยที่ว่านี้ เรามาทำความรู้จักกับ คอเลสเตอรอล กันก่อนค่ะ เพราะหลาย ๆ ท่านอาจจะรู้จักแต่แค่ชื่อ แต่ไม่รู้ว่าจริง ๆ แล้ว เจ้าคอเลสเตอรอลนี้ มีหน้าที่อะไร แล้วจะส่งผลร้ายอยา่งไรกับเราได้บ้าง

คอเลสเตอรอล คืออะไร?

คอเลสเตอรอล มีบทบาทสำคัญหลายประการอย่างที่เราคาดไม่ถึง ทั้งเป็นส่วนประกอบของเยื่อหุ้มเซลล์ ช่วยในการส่งผ่านสารละลายต่าง ๆ เข้าออกเซลล์ หรือรับส่งสัญญาณมาสู่เซลล์ และยังเป็นสารตั้งต้นการสร้างน้ำดีสำหรับย่อยไขมันที่เรากินเข้าไป รวมทั้งมีส่วนสำคัญในการผลิตสารจำพวกสเตียรอยด์ฮอร์โมน เช่น ฮอร์โมนเพศ ฮอร์โมนที่ไปควบคุมระบบเกลือแร่และการทำงานของไต เป็นต้น

ทำความรู้จักกับ คอเลสเตอรอล เพิ่มเติม คลิก!

    คำสอนของพ่อแม่

    จิตแพทย์แนะ! 7 วิธี “สอนลูกให้มีจิตใจดี”

    สอนลูกทั้งทีอย่าสอนให้ลูกเป็นคนร้าย พบ 7 วิธีแนะนำจากจิตแพทย์ถึงวิธีการ “สอนลูกให้มีจิตใจดี” กันได้ที่นี่

     

     

    จากข่าวเหตุการณ์ในโลกยุคปัจจุบันคุณพ่อคุณแม่จะเห็นได้ว่า จิตใจคนสมัยนี้ช่างดูดุดันและแข็งกระด้างมากขึ้น หลายคนเลือกวิธีการแก้ปัญหาด้วยการใช้อารมณ์ บางคนเลือกวิธีการแก้ปัญหาด้วยการเอาความสะดวกสบายของตนเองเป็นใหญ่ นอกจากตัวบุคคลเองแล้ว “สื่อ” ต่างก็มีผลต่อการแก้ปัญหาเช่นเดียวกัน

    แน่นอนค่ะว่าด้วยความที่พวกเราเป็นคุณพ่อคุณแม่เป็นผู้ใหญ่ ก็มักที่จะเล็งเห็นถึงผลลัพธ์ต่าง ๆ ตามมามากมาย คนอื่นเราอาจจะไม่สามารถสอนหรือขัดเกลาให้เขามีจิตใจที่ดีได้ แต่กับลูกของเราเอง เราสามารถทำได้ ซึ่งในวันนี้ ทีมงาน Amarin Baby & Kids ก็ได้รวบรวมเอาเทคนิคการสอนลูกให้มีจิตใจดีงามตั้งแต่ยังเล็กโดยคำแนะนำของจิตแพทย์มาฝากคุณพ่อคุณแม่ทุก ๆ ท่านได้นำไปประยุกต์ใช้กันด้วยนะคะ จะมีอะไรบ้างนั้นพร้อมแล้ว เราไปอ่านพร้อม ๆ กันเลยค่ะ

    อ่านเทคนิคการสอนลูกให้มีจิตใจดี คลิก!

      จุลินทรีย์โพรไบโอติก

      กุมารแพทย์ชี้ จุลินทรีย์โพรไบโอติก แอล รียูเทอรี่ ช่วยลดโคลิก-ปวดท้อง-ภูมิแพ้แก่เด็ก

      โรงพยาบาลเปาโล พหลโยธิน จัดงานสุขภาพที่ดีของลูก คือ ความสุขของแม่ มีการเสวนาเรื่อง “ประโยชน์ของน้ำนมแม่และจุลินทรีย์โพรไบโอติก” จากกุมารแพทย์ และนักโภชนาการ โดยเผยผลวิจัยทางการแพทย์ พบว่า จุลินทรีย์โพรไบโอติก แล็กโตบาซิลลัส รียูเทอรี่ (แอล. รียูเทอรี่) ช่วยบรรเทาอาการโคลิก ท้องผูก ท้องเสีย ลดความถี่และความรุนแรงของอาการปวดท้อง ลดการสำรอกนม ภูมิแพ้ และมีส่วนช่วยลดจำนวนวันในการเป็นโรคติดเชื้อทางเดินหายใจ ตอกย้ำจุลินทรีย์โพรไบโอติคเป็นหนึ่งในทางเลือกที่ช่วยให้สุขภาพเด็กดีขึ้น

      แพทย์หญิง สุรีรัตน์  พงศ์พฤกษา กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคภูมิแพ้ หอบหืด และวิทยาคุ้มกัน โรงพยาบาลเปาโล พหลโยธิน เปิดเผยว่า จุลินทรีย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่อยู่ร่วมกันกับเรา ทั้งในระบบทางเดินอาหาร ผิวหนัง ในปาก ซึ่งจุลินทรีย์มีปริมาณมากเป็นล้านล้านชีวิตและมีกว่า 400-4,000 สปีชีส์แต่ละสปีชีส์ก็อาจจะอยู่ในบริเวณที่แตกต่างกัน โดยมีหน้าที่ช่วยสร้างวิตามิน เช่น วิตามิน K ช่วยย่อยและดูดซึมอาหาร ช่วยยับยั้งเชื้อโรค และช่วยทำให้เรามีภูมิคุ้มกันที่ดี โดยสำหรับเด็กทารกก่อนคลอดจะอยู่ในภาวะปราศจากเชื้อในถุงน้ำคร่ำ จนเมื่อคลอด ถุงน้ำคร่ำแตก เด็กก็จะสำลักเอาจุลินทรีย์เชื้อดีเหล่านี้ ซึ่งอาศัยอยู่ในบริเวณช่องคลอดของคุณแม่ เช่น จุลินทรีย์แล็กโตบาซิลลัส เข้าไปในร่างกาย ซึ่งจุลินทรีย์เหล่านี้ก็จะเข้าไปตั้งรกรากในระบบทางเดินอาหาร และสร้างสภาพแวดล้อมให้จุลินทรีย์เชื้อดีอื่น ๆ เข้ามาอาศัย และสนับสนุนระบบย่อยและดูดซึมอาหาร รวมทั้งสร้างภูมิคุ้มกันที่ดีและเหมาะสม

      สำหรับเด็กที่คลอดผ่านการผ่าท้องคลอด จะไม่ได้รับจุลินทรีย์เหล่านี้ แต่จะได้รับชนิดอื่นซึ่งอาศัยอยู่ที่ผิวหน้าท้องแทน เช่น สเตปโตคอคคัส  ซึ่งมีการศึกษาพบว่าอาจทำให้เกิดสิ่งที่เราเรียกว่า Dysbiosis หรือเกิดความไม่สมดุลของเชื้อจุลินทรีย์ได้ ซึ่ง Dysbiosis หรือเกิดความไม่สมดุลของเชื้อจุลินทรีย์ เกิดจากหลายสาเหตุ เช่น จากวิธีการคลอด หากคลอดทางธรรมชาติก็จะมีโอกาสเกิดได้น้อยกว่า แต่แม่บางคนก็มีความเสี่ยงหากต้องคลอดธรรมชาติ ซึ่งแพทย์อาจต้องเลือกการผ่าท้องคลอดแทน การไม่ได้รับประทานนมแม่ก็เป็นอีกสาเหตุ เพราะลูกที่ได้รับนมแม่จะได้รับจุลินทรีย์ที่ดี รวมทั้งอาหารจุลินทรีย์ที่ดีในน้ำนมแม่อีกด้วย การรับประทานยา เช่น ยาปฏิชีวนะ ยาลดกรด (PPI) เป็นต้น การรับประทานอาหารที่เน้นโปรตีน ผักผลไม้น้อย ซึ่งไม่เอื้อต่อการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์เชื้อดี นอกจากนี้ยังพบปัจจัยเสริมอื่น ๆ อีก เช่น ความเครียด เป็นต้น

      จุลินทรีย์โพรไบโอติก

      การเกิด Dysbiosis หรือความไม่สมดุลของจุลินทรีย์นั้น ได้มีการศึกษาทางการแพทย์ยืนยันแล้วว่าอาจทำให้เกิดโรคทางระบบทางเดินอาหารหลายโรค เช่น โรคท้องผูก โรคท้องเสีย ภาวะปวดท้อง เช่น IBS และสำหรับทารกก็มีการศึกษาพบว่าเป็นสาเหตุให้เกิดภาวะร้องโคลิกได้อีกด้วย นอกจากนี้ยังพบว่าทำให้เกิดโรคในระบบอื่น ๆ อีก เช่น โรคภูมิแพ้ โรคอ้วน หรือแม้กระทั่งตอนนี้ทางการแพทย์ก็พบว่ามีความสัมพันธ์กับโรคทางพัฒนาการของเด็กอีกด้วย

      สำหรับภาวะร้องโคลิกมักจะพบในทารกอายุไม่เกิน 5-6 เดือน โดยจะร้องไห้มากกว่า 3 ชั่วโมงต่อวัน และมักเป็นเฉพาะกลางคืน โดยร้องมากกว่า 3 วันต่อสัปดาห์ และเป็นมากกว่า 1 สัปดาห์ ให้สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นภาวะโคลิก ควรพามาพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยให้แน่ใจว่าจะไม่เกิดจากโรคอื่น ซึ่งทารกเหล่านี้จะร้องจากสาเหตุหลักคือปวดท้อง และมีการศึกษาทางการแพทย์ยืนยันแล้วว่าภาวะ Dysbiosis เป็นหนึ่งในสาเหตุหลัก สำหรับภาวะนี้จะหายได้เองเมื่อทารกอายุมากกว่า 6 เดือน แต่มีการศึกษาพบว่าเด็กเหล่านี้จะเกิดโรคอื่น ๆ ตามมาในอนาคตได้มากกว่าเด็กปกติ เช่น โรคภูมิแพ้

      สำหรับวิธีการรักษาในอันดับแรก คือต้องให้ความรู้แก่แม่และครอบครัว เพื่อให้รับมือได้อย่างถูกต้องเหมาะสม ทารกที่รับประทานนมแม่อยู่แล้วไม่ควรเปลี่ยนไปรับประทานนมผงเด็ดขาด เพราะนมแม่คือสิ่งที่ดีที่สุดอยู่แล้ว ส่วนการรักษาทางการแพทย์จะแนะนำให้ให้โพรไบโอติกในการรักษา ซึ่งปัจจุบันโพรไบโอติกที่ให้ผลลัพธ์ที่ดี คือ แอล รียูเทอรี่ ซึ่งจะช่วยลดการร้องของเด็กได้เป็นอย่างดี ส่วนยาอื่นๆ เช่น ยาไซเมติโคน ซึ่งเป็นยาลดแก๊ซ หรือแม้แต่สมุนไพรไกล๊วอเตอร์ก็ยังไม่มีการศึกษายืนยันว่าจะให้ผลและปลอดภัยจริง ๆ

      จุลินทรีย์โพรไบโอติก

      จุลินทรีย์โพรไบโอติก แอล รียูเทอรี่ มีการศึกษาทางการแพทย์ค่อนข้างเยอะมาก ในทารกที่คลอดก่อนกำหนดมีการเริ่มให้ตั้งแต่วันแรกหลังคลอด ก็พบว่าให้ได้อย่างปลอดภัยและได้ผลดี นอกจากนี้ ทางการแพทย์ยังพบว่ามีส่วนช่วยในการรักษาอาการท้องผูก ภาวะปวดท้อง ท้องเสีย รวมทั้งภาวะสำรอกนม ตลอดจนช่วยทำให้อัตราการเกิดโรคภูมิแพ้ลดลง เพราะโพรไบโอติกช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันของร่างกายเด็ก ทำให้แข็งแรงมากยิ่งขึ้น ปัจจุบันการรักษาด้วยโพรไบโอติก หรือที่เรียกว่า Bacterio therapy กำลังได้รับความสนใจในแวดวงทางการแพทย์เป็นอย่างมาก ว่าเป็นทางออกในการรักษาอย่างยั่งยืน และปลอดภัย

      นอกจากนี้ ในยุโรปยังให้เด็ก ๆ รับประทาน จุลินทรีย์โพรไบโอติก เป็นประจำ เพราะมีการศึกษาว่าหากรับประทาน แอล รียูเทอรี่ ทุกวันก็จะช่วยลดอัตราการเกิดโรคติดเชื้อ โรคท้องเสีย ลงได้ โดยการเลือกโพรไบโอติกต้องเลือกเจาะจงระดับสายพันธุ์ ที่มีการศึกษาทางการแพทย์ยืนยันแล้วเท่านั้น และยิ่งสำหรับเด็ก ๆ ต้องเลือกเฉพาะสายพันธุ์ที่มีการศึกษาในเด็กและพบว่าปลอดภัยเท่านั้น โดยในระดับโลกจะมี 8 สายพันธุ์ ซึ่ง แอล รียูเทอรี่ ก็เป็นหนึ่งในนั้น ทั้งนี้ ปัจจุบัน แอล รียูเทอรี่ ที่มีจำหน่ายในไทย 2 แบบ คือแบบน้ำ และแบบเม็ดเคี้ยว โดยทารกหรือเด็กที่ยังเคี้ยวไม่ได้ก็ให้รับประทานแบบน้ำวันละ 5 หยด สามารถผสมในน้ำนมแม่ หรือให้ได้โดยตรง ถ้าเด็กโตเริ่มเคี้ยวได้ก็เปลี่ยนมารับประทานแบบเม็ดวันละ 1 เม็ด โดยมีรสชาติค่อนข้างดี

      จุลินทรีย์โพรไบโอติก

      จุลินทรีย์โพรไบโอติก

      ข้อมูลเพิ่มเติม

      ผลวิจัยอ้างอิง BioGaia AB, Sweden พบว่าจากกลุ่มตัวอย่างเด็กที่ได้รับประทานโพรไบโอติค แล็กโทบาซิลลัส รียูเทอรี นั้น ช่วยให้สุขภาพดีขึ้น ได้แก่ ลดจำนวนวันของอาการท้องเสียลง 67%  ลดจำนวนวันในการเป็นโรคติดเชื้อทางเดินหายใจลง 67%  ลดจำนวนวันในการใช้ยาปฏิชีวนะลง 34% นอกจากนี้ ยังช่วยบรรเทาอาการต่างๆ ได้แก่ 74% ของเด็กผู้ป่วยหายจากอาการท้องเสีย หลังได้รับโพรไบโอติค แล็กโทบาซิลลัส รียูเทอรี เพียง 2 วัน  การขับถ่ายเฉลี่ยต่อวันเพิ่มขึ้น 43% หลังได้รับโพรไบโอติค แล็กโทบาซิลลัส รียูเทอรี 1 เดือน  ลดจำนวนครั้งของอาการปวดท้องต่อสัปดาห์ลง 47% หลังได้รับโพรไบโอติค แล็กโทบาซิลลัส รียูเทอรี 4 สัปดาห์ และ ลดการสำรอกนมลง 50% หลังได้รับโพรไบโอติค แล็กโทบาซิลลัส รียูเทอรี 1 เดือน

       

        ยาขับน้ำคาวปลา หลังคลอด

        อันตรายกิน ยาขับน้ำคาวปลา หลังคลอด !!

        ยาขับน้ำคาวปลา หลังคลอด จำเป็นต้องกินไหม? เป็นอันตรายต่อสุขภาพหรือเปล่า? จริงๆ มีอีกหลายคำถามเลยค่ะที่แม่ๆ พึ่งคลอดลูกอ่อนถามกันเข้ามาเกี่ยวกับยาขับน้ำคาวปลา ดังนั้นเพื่อเป็นการไขข้อข้องใจบวกความสงสัยของคุณแม่หลังคลอดลูก ทีมงาน Amarin Baby & Kids มีข้อมูลที่น่าสนใจ และเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพแม่หลังคลอดลูกมาให้ทราบค่ะ

         

        ยาขับน้ำคาวปลา หลังคลอด

        ก่อนที่เราจะไปหาคำตอบว่า ยาขับน้ำคาวปลา หลังคลอด จำเป็นต้องกินหรือเปล่า ผู้เขียนจะขอย้อนอธิบายถึงที่มาที่ไปของน้ำคาวปลากันก่อนสักเล็กน้อย เพราะยังมีแม่หลังคลอดที่ส่วนใหญ่ยังไม่เข้าใจว่าคืออะไร!!

        น้ำคาวปลา (Lochia) คือของเหลวที่มาจากเลือด น้ำเหลือง น้ำคร่ำ เยื่อบุโพรงมดลูกที่หลุดลอกออกมาภายหลังจากที่คลอดทารกและรก การคลอดลูกจะทำให้มีแผลเกิดขึ้นตรงผนังมดลูก และโพรงมดลูก ซึ่งเป็นบริเวณที่เกาะของรก พอหลังคลอดลูกแล้วจะทำให้เกิดน้ำคาวปลาออกมาค่ะ

        “น้ำคาวปลา” จะแบ่งออกเป็น 3 ระยะ คือ

        1. น้ำคาวปลาแดง (lochia rubra) ออกมาตั้งแต่วันแรกหลังคลอดจนถึงประมาณ 3-5 วัน มีสีแดงช้ำๆ คล้ำๆ เพราะประกอบด้วยเลือด เมือก และเศษรก
        2. น้ำคาวปลาเหลืองใส (lochia serosa) ออกต่อจากน้ำคาวปลาแดงไปจนถึงประมาณวันที่ 10 หลังคลอด โดยจะจางลงและสีจะเริ่มเปลี่ยนเป็นน้ำตาลหรือชมพู จากนั้นจะค่อยๆ กลายเป็นเหลืองใส ในน้ำคาวปลาช่วงนี้จะประกอบด้วยน้ำเหลือง เยื่อเมือก เม็ดเลือดแดง และเม็ดเลือดขาว
        3. น้ำคาวปลาขาว (lochia alba) มีสีเหลืองขุ่นจนออกไปทางขาว ออกต่อจากน้ำคาวปลาเหลืองใสไปจนถึง 6 สัปดาห์หลังคลอด ในน้ำคาวปลาจะมีเม็ดเลือดแดงน้อยลง แต่มีเม็ดเลือดขาว ไขมัน เมือก และเซลล์บุผนังช่องคลอดมากขึ้น ปริมาณน้ำคาวปลาจะค่อยๆ ลดลงจนแห้งสนิท[1]

        บทความแนะนำ คลิก>> มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก กับสัญญาณเตือนให้ระวัง!

        คุณแม่หลังคลอดลูกจะมีน้ำคาวปลาตามธรรมชาติค่ะ ฉะนั้นไม่ต้องตกใจว่าคืออะไร หรือบางคนไม่รู้เลยเข้าใจว่านั่นคือการมีประจำเดือนซึ่งไม่ใช่นะคะ และถึงแม้ว่าการมีน้ำคาวปลาจะเป็นเรื่องปกติหลังคลอด แต่ก็มีคุณแม่บางคนที่มีน้ำคาวปลาผิดปกติ ไปดูกันต่อว่าน้ำคาวปลาที่ว่าผิดปกตินั้นต้องเป็นลักษณะใดกันค่ะ

        อ่านต่อ จะรู้ได้อย่างไรว่าน้ำคาวปลาผิดปกติ หน้า 2

         

        เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

          เลิกบุหรี่

          ผู้เชี่ยวชาญเผย! แค่กดจุดนวดเท้าก็ เลิกบุหรี่ ได้

          ใครจะไปเชื่อว่า แค่กดจุดนวดเท้าก็สามารถ เลิกบุหรี่ ได้แล้ว!? อยากรู้ว่าเพราะอะไร ไปอ่านบทความนี้กัน

           

           

          อาจารย์ธนัท ดลอัมพรพิศุทธิ์ ประธานชมรมนวัตกรรมการแพทย์ทางเลือก ผู้เชี่ยวชาญศาสตร์การบำบัดโรคและฟื้นฟูสุขภาพด้วยการนวดกดจุดเท้า ได้อธิบายถึงเหตุผลว่า ทำไมการนวดกดจุดสะท้อนเท้านั้น ถึงมีส่วนในการเลิกบุหรี่ได้ไว้ดังนี้

          “เท้า” เป็นอวัยวะหนึ่งที่สำคัญของร่างกาย ที่นอกจากจะช่วยรองรับน้ำหนักตัวทั้งหมดของร่างกายมนุษย์ ยังเป็นที่ซ่อนแถบบำบัด “ZONE THERAPY” ที่ช่วยให้มนุษย์ทุกคนสามารถบำบัดโรคได้

          การกดจุดสะท้อนเท้านั้นจะต้องอาศัยกระบวนการที่เรียกว่า กระบวนการสะท้อนกลับของร่างกาย (REFLEXOLOGY) ซึ่งการนวดกดจุดสะท้อนเท้า ที่ไม่ต้องใช้อุปกรณ์ใด ๆ เพราะเท้าเป็นส่วนปลายของร่างกายที่มีปลายประสาทเชื่อมโยงไปสู่อวัยวะต่าง ๆ การนวดนี้จะส่งผลให้กลไกในร่างกายเริ่มต่อต้านสารนิโคติน ทำให้ช่วยลดการสูบบุหรี่ลงได้

          อ่าน นวดกดจุดสะท้อนเท้าช่วยเลิกบุหรี่ ต่อได้ที่หน้าถัดไปค่ะ

            พัฒนาการลูกน้อยในครรภ์

            เจาะลึก 40 สัปดาห์กับ พัฒนาการลูกน้อยในครรภ์

            แม่ท้องอยากรู้ไหม พัฒนาการลูกน้อยในครรภ์ แต่ละสัปดาห์เป็นอย่างไร ถ้าอยากรู้ วันนี้หนูจะมาเล่าให้ฟัง

             

            แม่จ๋า แม่รู้ไหม ตั้งแต่วันที่หนูอยู่ในท้องแม่ พัฒนาการลูกน้อยในครรภ์ เปลี่ยนแปลงไปทุก ๆ สัปดาห์เลยนะจ๊ะ แต่แม่อาจจะยังไม่รู้ว่า เปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง วันนี้หนูจะมาเล่าให้แม่ ๆ ฟังเองจ้ะ

            พัฒนาการลูกน้อยในครรภ์ 1 สัปดาห์แรก

            พัฒนาการลูกน้อยในครรภ์

            เย้ เย้! ในที่สุดหนูก็ทำได้ ตอนนี้หนูฝ่าฟันอุปสรรคมากมายมาอยู่ในท้องของแม่ได้แล้วนะจ๊ะ ช่วงหนึ่งสัปดาห์แรกของหนูนั้น คุณหมอเขาจะเรียกหนูว่า “ตัวอ่อน” จ้ะแม่ ช่วงนี้แม่รู้ไหมจ๊ะว่า ช่วงนี้หนูได้รับทั้งสารอาหารพร้อมกับขับถ่ายของเสียผ่านเยื่อหุ้มรกที่กำลังจะพัฒนาเป็นรกกับเส้นเลือดในผนังมดลูกของแม่จ้ะ

            พัฒนาการทารกในครรภ์ 2 สัปดาห์

            พัฒนาการทารกในครรภ์

            เมื่อเข้าสัปดาห์ที่สอง หนูเริ่มมีไขสันหลังแล้วนะจ๊ะ ร่างกายของหนูเริ่มมีการสร้างไขสันหลังและส่วนหลัง โดยจะพัฒนาไปเป็นโครงสร้างกระดูกสันหลังและสมอง รวมถึงตอนนี้จ้ะแม่ หนูเริ่มมี “หัวใจ” ดวงน้อย ๆ แล้วนะจ๊ะ แม่ดีใจไหม?

            พัฒนาการลูกน้อยในครรภ์ 3 สัปดาห์

            พัฒนาการทารกในครรภ์หนูเริ่มพัฒนาร่างกายมากขึ้นด้วยการฝังตัวอยู่ในผนังมดลูกของแม่และเริ่มแบ่งกลุ่มเซลล์ออกเป็น 3 กลุ่มแล้วละจ้ะ กลุ่มไหนบ้างน่ะเหรอจ๊ะ ก็ได้แก่ “กลุ่มชั้นนอก” ที่จะมาช่วยพัฒนาเป็นระบบประสาท ผิวหนัง ฟัน ผม เลนส์ตา และต่อมต่าง ๆ ต่อไปเป็น “กลุ่มชั้นกลาง” ที่จะมาพัฒนาเป็นระบบกล้ามเนื้อ อวัยวะสืบพันธุ์ ระบบขับถ่าย เส้นเลือดหัวใจ และกระดูก และกลุ่มสุดท้ายก็คือ “กลุ่มชั้นใน” จะพัฒนาเป็นระบบย่อย อวัยวะหายใจ ตับ และตับอ่อน นั่นเอง

            พัฒนาการทารกในครรภ์ 4 สัปดาห์

            พัฒนาการทารกในครรภ์

            ครบเดือนนึงแล้วนะจ๊ะแม่จ๋า … ตอนนี้ขนาดของหนูเล็กเท่าปลายเข็ม ร่างกายของหนูกำลังสร้างเลือดและเส้นเลือดอย่างรวดเร็วเลยละจ้ะ ทำไมถึงเป็นเช่นนั้นน่ะเหรอจ๊ะ? นั่นเป็นเพราะหนูต้องใช้ออกซิเจนและสารอาหารจากแม่เพื่อช่วยในการเจริญเติบโตอย่างไรละจ้ะ โดยทั้งสองอย่างนั้นจะถูกถ่ายทอดลำเลียงผ่านท่อเล็กจิ๋วที่เชื่อมระหว่างตัวอ่อนและหลอดเลือดในผนังมดลูกของแม่จ้ะ

            พัฒนาการทารกในครรภ์  5 – 8 สัปดาห์

            ตอนนี้รูปร่างของหนูเหมือนกุ้งที่กำลังงอตัวเลยละจ้ะ ที่พิเศษไปกว่านั้นก็คือ ร่างกายสามารถเริ่มแยกได้แล้วว่าส่วนไหนเป็นส่วนของศีรษะ ลำตัว แขนละขา ลำตัวของหนูเริ่มจะค่อย ๆ ยืดยาวออกทีละนิด พร้อมกับเค้าโครงหน้าก็เริ่มปรากฎเป็น จมูก ปาก โพรงจมูก และก็ช่องปากแล้วนะ

            พัฒนาการทารกในครรภ์ 9 – 10 สัปดาห์

            พัฒนาการทารกในครรภ์

            แม่รู้ไหมจ๊ะว่า ตอนนี้หัวใจของหนูเต้นเร็วมากเหมือนจะออกมาอยู่ข้างนอกเลย หากคุณแม่อยากรู้ว่าเร็วขนาดไหนนั้น ลองนึกถึงอัตราการเต้นของหัวใจที่เร็วกว่าของแม่ประมาณเท่าตัวหรือประมาณ 140 – 150 ครั้งต่อนาที อวัยวะที่สำคัญก็เริ่มพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็วจนหนูตกใจเลยละ

            พัฒนาการลูกน้อยในครรภ์ 11 – 12 สัปดาห์

            พัฒนาการทารกในครรภ์

            “เรียกหนูว่าทารกได้แล้ว” เริ่มมีจมูกใหญ่ขึ้น มีกระดูก ซี่โครง เริ่มกลืนน้ำคร่ำและถ่ายปัสสาวะได้แล้วด้วยจ้ะ นอกเสียไปจากนี้หนูสามารถเริ่มเหยียดตัว งอหลังและยืนแขนขาได้อีกด้วยแล้วนะจ๊ะ

            พัฒนาการทารกในครรภ์ 13 – 14 สัปดาห์

            พัฒนาการทารกในครรภ์ช่วงนี้หนูกำลังลอยตัวอยู่ในถุงน้ำคร่ำของแม่แล้ว อบอุ่นสบายมาก ๆ เลย เพราะในนี้อุณหภูมิจะอยู่ที่ประมาณ 37.5 องศา ไม่ใช่แค่นนั้นนะ หนูเริ่มสามารถหรี่ตา ขมวดคิ้ว หน้าบึ้ง ดูดนิ้ว กำมือ แล้วก็เริ่มหัดหายใจเองได้แล้วด้วยละ (เก่งไหมจ๊ะ)

             

            พัฒนาการลูกน้อยในครรภ์ 15 – 16 สัปดาห์

            พัฒนาการทารกในครรภ์

            ช่วงนี้อยู่ในช่วงที่ร่างกายหนูเริ่มเติบโต หนูได้ยินเสียงต่าง ๆ แล้วนะ ยกตัวอย่างเช่น เสียงหัวใจของแม่ เสียงแม่พูดคุยกับคนอื่น เสียงหายใจ อ้อ! ที่สำคัญเวลาหนูเจอแสงสว่าง ๆ หนูสามารถเอามือมาบังได้แล้วด้วยนะจ๊ะ เป็นอย่างไงละ หนูเก่งและก็ฉลาดมากเลยใช่ไหม

            พัฒนาการทารกในครรภ์ 17 – 18 สัปดาห์

            พัฒนาการทารกในครรภ์

            แม่รู้สึกเหมือนมีอะไรตอดอยู่ในท้องไหมจ๊ะ เพราะสัปดาห์นี้หนูดิ้นจนแม่สามารถรู้สึกได้แล้วละ จำนวนเซลล์ประสาทของหนูเริ่มเท่ากับผู้ใหญ่แล้วนะ โดยเซลล์ประสาทในสมองจะถูกห่อหุ้มด้วยชั้นไขมัน ที่คุณลุงหมอเรียกว่า ไมอีลีน
            ช่วยในการสร้างและนำสัญญาณเข้าออกผ่านสมองนั่นเองจ้ะ

            พัฒนาการลูกน้อยในครรภ์ 19 – 20 สัปดาห์

            พัฒนาการทารกในครรภ์

            มาถึงตอนนี้หนูเริ่มดูดนิ้วตัวเองได้แล้ว ขนาดแขนและขาก็เริ่มสมส่วนกับร่างกาย สมองมีการขยายขนาดใหญ่ขึ้น สร้างเครือข่ายเส้นใยประสาทมากขึ้น และสมองกับกล้ามเนื้อต่างก็ช่วยกันทำหน้าที่ของตัวเองได้สัมพันธ์กันเป็นอย่างดี

            พัฒนาการลูกน้อยในครรภ์ 21 – 22 สัปดาห์

            พัฒนาการทารกในครรภ์

            เห็นหนูพัฒนาการดีขึ้นภายนอกเหมือนทารกแรกคลอดแล้วแต่หากรู้ไม่ว่าหนูโตแต่ร่างกายอวัยวะภายในยังไม่สมบูรณ์เท่าไร  จึงยังไม่ใช่เวลาที่จะสามารถมีชีวิตอยู่ภายนอกโพรงมดลูกของคุณแม่ได้เพราะปอดและระบบการทำงานในอวัยวะบางอย่างยังไม่สมบูรณ์นั่นเอง

            พัฒนาการทารกในครรภ์ 23 – 24 สัปดาห์

            พัฒนาการทารกในครรภ์ตอนนี้หนูรู้สึกสนุกกับการเรียนรู้และตอบโต้แม่มาก ๆ เลยละ ไม่ว่าแม่จะพูดหรือคุยกับใครหนูได้ยินชัดแจ๋วเลยละ ที่สำคัญเสียงสุนัขที่บ้านเห่า เสียงแตรรถยนต์หรือเสียงเพลงที่ดังมาก ๆ ยิ่งได้ยินใหม่เลย อ้อ! แม่จ๋า ตอนนี้ลูกรักของแม่
            มีขนาด 22 – 28 เซนติเมตร และน้ำหนักประมาณ 400-600 กรัมแล้วนะ

            พัฒนาการลูกน้อยในครรภ์ 25 – 26 สัปดาห์

            พัฒนาการทารกในครรภ์ครึ่งทางแล้วจ้ะแม่ ตอนนี้หนูสามารถเคลื่อนไหวได้ตามเสียงหรือจังหวะการเคลื่อนไหวของแม่แล้ว อวัยวะหูภายนอกของหนูก็พัฒนาสมบูรณ์ ช่วงนี้แม่ต้องพูดกับหนูบ่อย ๆ นะ หนูจะได้จำเสียงแม่ได้อย่างไรละจ๊ะ

            พัฒนาการทารกในครรภ์ 27 – 28 สัปดาห์

            พัฒนาการทารกในครรภ์

            หนูเริ่มตัวใหญ่ขึ้นแล้วนะ ดวงตาก็เจริญเติบโตมากจนพร้อมจะลืมตาและมองเห็นได้ในอีกไม่ช้า ขนตาก็ขึ้นแล้ว สมองก็โตเต็มคับกะโหลกศีรษะ มีรอยหยักและจุดเชื่อมต่อเก็บข้อมูลต่าง ๆ ในสมองมากขึ้นแล้วด้วย

            พัฒนาการทารกในครรภ์ 29 – 30 สัปดาห์

            พัฒนาการทารกในครรภ์

            ผมและเล็บหนูเริ่มสวย และศีรษะของหนูก็มีขนาดใหญ่ขึ้น ทั้งนี้ก็เพื่อรองรับสมองที่พัฒนาอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้หนูเริ่มสามารถควบคุมอุณหภูมิร่างกายของตัวเองได้แล้วและไขกระดูกที่มีหน้าที่ผลิตเซลล์เม็ดเลือดแดงก็พัฒนาสมบูรณ์แล้วละจ้ะ

            พัฒนาการทารกในครรภ์ 31 – 34 สัปดาห์

            พัฒนาการทารกในครรภ์

            เกินกว่าครึ่งทางแล้วนะจ๊ะแม่ ตอนนี้หนูกะพริบตาได้ ประสาทสัมผัสทั้ง 5 เริ่มทำงานได้ดีและสมบูรณ์ สมองก็พัฒนาเต็มที่ต่อเนื่อง ช่วยให้ตา กล้ามเนื้อ และปอดทำงานได้ดีขึ้น นอกจากนี้ ไม่ว่าแม่จะทานอะไร หนูก็รับรส รับกลิ่น ได้ยิน และสัมผัสได้ดีขึ้นแล้วด้วยจ้ะ

            พัฒนาการทารกในครรภ์ 35 – 36 สัปดาห์

            พัฒนาการทารกในครรภ์อึดอัดจังเลยจ้ะแม่ ท้องแม่เริ่มเล็กเกินไปสำหรับหนูแล้ว ผิวหนังของหนูก็ยังคงสร้างชั้นไขมันอยู่เรื่อย ๆ เพื่อรักษาอุณหภูมิร่างกายให้อบอุ่น จึงยังคงมีไขสีขาวอยู่บ้างบริเวณลำตัวและหลัง เพื่อช่วยหล่อลื่นให้คลอดได้ง่ายขึ้น ตอนนี้ยาว 42-45 เซนติเมตร น้ำหนัก 1,700-2,000 กรัมแล้วนะ

            พัฒนาการทารกในครรภ์ 37 – 38 สัปดาห์

            พัฒนาการทารกในครรภ์ตอนนี้หนูแข็งแรง ฉลาด มีเซลล์ประสาทมากด้วยนะ หากหนูเป็นผู้หญิงมดลูกและท่อรังไข่จะสร้างเสร็จสมบูรณ์และอยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้อง แต่ถ้าหากหนูเป็นผู้ชายก็จะสามารถมองเห็นอวัยวะเพศได้ชัดเจน ขนาดตัวตอนนี้อยู่ที่ประมาณ  45 – 49  เซนติเมตร น้ำหนัก 2,100 – 2,700 กรัมจ้ะ

            พัฒนาการทารกในครรภ์ 39 – 40 สัปดาห์

            พัฒนาการทารกในครรภ์หนูพร้อมออกมาดูโลกแล้วจ้ะ ปอดของลูกน้อยพัฒนาเต็มที่ พร้อมที่จะหายใจหลังคลอดแล้ว อวัยวะทุกส่วนเจริญเติบโตเต็มที่ฮอร์โมนจากรกจะช่วยเตรียมเต้านมคุณแม่ให้ผลิตน้ำนม และอาจทำให้หนูมีเต้านมและหัวนมที่เต่งตึงได้ด้วย แต่ไม่ต้องห่วงนะจ๊ะ เพราะอาการจะหายไปเองใน 2- 3 วัน ตอนนี้หนูตัวอ้วนกลมอยู่เต็มโพรงมดลูกของแม่แล้วละ
            ลำตัวตัวยาวประมาณ 49-51 เซนติเมตร น้ำหนัก 2,800-3,000 กรัม ที่สำคัญหนูอยากเจอหน้าแม่แล้วด้วยนะ

            มาถึงตอนนี้แม่ก็คงจะรู้กันแล้วใช่ไหมละจ๊ะว่า พัฒนาการทารกในครรภ์ แต่ละสัปดาห์นั้นหนูเปลี่ยนแปลงไปมากขนาดไหน และถ้าอยากให้หนูแข็งแรงมีพัฒนาการที่ดี แม่จ๋า…อย่าลืมทานอาหารที่มีประโยชน์และพักผ่อนให้เพียงพอกันด้วยนะจ๊ะ

            อ่านต่อบทความน่าสนใจอื่นๆ

             

            เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

             

              เปิดสูตร เมนูไข่เพิ่มพลัง มื้อเช้าแสนง่าย ช่วยลูกน้อยสมองดี มีกำลัง! (ขนมปังหน้าไข่อบชีส)

              เมนูไข่ มื้อเช้า …เพราะมื้อเช้าของลูกนั้นสำคัญ โดยเฉพาะเด็กที่อยู่ในวัยเรียน ซึ่งต้องให้พลังงานและสมองเป็นอย่างมาก เพื่อให้พร้อมต่อการเรียนรู้ ซึ่งการทานมื้อเช้าที่มีสารอาหารครบ 5 หมู่ก็จะช่วยให้ลูกน้อยของเรา มีพลังทั้งสมองและร่างกายที่พร้อมเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

              Continue reading “เปิดสูตร เมนูไข่เพิ่มพลัง มื้อเช้าแสนง่าย ช่วยลูกน้อยสมองดี มีกำลัง! (ขนมปังหน้าไข่อบชีส)”

                วัคซีนเด็ก

                5 วัคซีนเด็ก สำคัญ! ป้องกัน 9 โรคร้ายให้ลูกตอนโต

                วัคซีนเด็ก ฉีดเพื่อป้องกันและสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคให้กับลูกน้อย ซึ่งเด็กทุกคนควรได้รับวัคซีนให้ครบตามตารางวัคซีน ที่กำหนด

                Continue reading “5 วัคซีนเด็ก สำคัญ! ป้องกัน 9 โรคร้ายให้ลูกตอนโต”

                  ปวดหัวไมเกรน

                  ปวดหัวไมเกรน การมีเซ็กส์ช่วยคุณได้!

                  พบกับงานวิจัยจากต่างประเทศที่เผยว่า การมีเพศสัมพันธ์ช่วยลดอาการ ปวดหัวไมเกรน ได้ดีกว่ายา!

                   

                   

                  ทรมานเสียเหลือเกินกับอาการปวดหัวแบบไมเกรนที่ไม่ว่าใครก็ไม่อยากเป็น เรียกได้ว่าหากอยากหายก็ต้องทานยา และถ้าทานยามากเกินไป ผลกระทบต่อร่างกายก็กลับเพิ่มพูน แล้วถ้าไม่อยากปวดหัว สิ่งที่เราเลี่ยงไม่ได้เลยก็คือการทานยา แต่ถ้าไม่ทานล่ะ  จะมีวิธีไหนสามารถช่วยเราได้อีกไหม? วันนี้เรามีงานวิจัยจากต่างประเทศมาฝากกันด้วยนะคะ

                  แต่ก่อนที่เราจะไปดูผลงานวิจัยนั้น ทำไมเราไม่ลองมาทำความรู้จักกับ “โรคไมเกรน” กันก่อนละคะ … บางท่านอาจจะรู้แต่ชื่อว่า “ไมเกรน” แต่อาจจะไม่รู้ว่า ลักษณะของโรคและอาการนั้นแตกต่างอย่างไรกับอาการปวดหัวแบบธรรมดา และในวันนี้เราจึงรวบรวมข้อมูลนี้มาฝากคุณพ่อคุณแม่ให้ทราบกันค่ะ

                  ทำความรู้จักกับ “โรคไมเกรน” คลิก!

                    เลี้ยงลูก แบบโบราณกับสมัยใหม่ แบบไหนดีกว่ากัน?

                    เลี้ยงลูก อย่างไรไม่ให้เชยและไม่ให้ล้ำสมัยจนเกินไป ต้องทำแบบไหน ? ถึงจะถูกต้องและเหมาะสม

                     

                     

                    เมื่อวันเวลาทำให้ยุคสมัยเปลี่ยนแปลงไป เช่นเดียวกับสังคมและสิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบตัวเรา ทุกคนต่างแข่งขันกันในทุก ๆ เรื่องผิดกับยุคสมัยก่อนที่ต่างคนต่างช่วยเหลือซึ่งกันและกันในแบบถ้อยทีถ้อยอาศัย แต่เมื่อทุกอย่างเปลีี่ยน สิ่งเดียวที่จะทำให้อยู่รอดได้ก็คือ การปรับตัวให้เข้ากับยุคและสมัยมากกว่าการอิงไปทางใดทางหนึ่งมากเกินไป เช่นเดียวกับการเลี้ยงลูก ถ้าหากเราเลี้ยงลูกแบบโบราณมากเกินไปก็หาว่าล้าสมัย แต่กลับกันถ้าหากเราเลี้ยงลูกทันสมัยเกินไปก็กลับกลายเป็นว่าหัวสมัยใหม่จนบางทีเป็นการตามใจลูกมาไป แล้วแบบนี้พ่อแม่อย่างเราจะต้องทำอย่างไร เลี้ยงลูกแบบไหนให้เหมาะสมและพอดี

                    “ครูหวาน” หรือ “ธิดา พิทักษ์สินสุข” ผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษาสำหรับเด็ก ได้ให้มุมมองและคำแนะนำเกี่ยวกับการเลี้ยงลูกของครอบครัวสมัยก่อนว่าและสมัยใหม่โดยพูดถึงข้อดีของทั้งยุคสมัยไว้

                    ต้องเลี้ยงลูกตามแบบไหนถึงจะเข้ายุคสมัย คลิก!

                      ความฉลาดทางอารมณ์

                      สอนลูกมีความฉลาดทางอารมณ์ ด้วยการสร้าง 7 นิสัยเพิ่มสุขนี้!

                      การสร้าง ความฉลาดทางอารมณ์ ของลูก หรือ EQ ไม่ใช่เรื่องไม่ยาก เพียงแต่คุณพ่อคุณแม่ใส่ใจต่อพัฒนาการของลูกในแต่ละช่วง และทำความเข้าใจกับธรรมชาติของลูกในแต่ละช่วงวัยเท่านั้น

                      Continue reading “สอนลูกมีความฉลาดทางอารมณ์ ด้วยการสร้าง 7 นิสัยเพิ่มสุขนี้!”

                        เนื้องอกหลอดเลือด

                        แชร์ประสบการณ์ลูกเสี่ยงตาบอดเพราะ เนื้องอกหลอดเลือด บนผนังตา

                        เนื้องอกหลอดเลือด บนผนังตาความอันตรายที่เกิดกับหนูน้อยวัยทารกถ้ารักษาไม่ทันอาจทำให้สูญเสียการมองเห็น ผู้เขียน ได้รับอนุญาตจากคุณแม่ทราย ซึ่งเป็นเจ้าของต้นเรื่องนี้ เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับลูกน้อยที่เป็นเหมือนแก้วตาดวงใจของครอบครัว ทีมงาน Amarin Baby & Kids จะพาไปทำความรู้จักกับเคสนี้ รวมถึงแนวทางการรักษาที่เหมาะสมค่ะ

                         

                        เนื้องอกหลอดเลือด บนผนังตา หากรักษาไม่ทันอาจทำให้ลูกตาบอดใส!

                        แม่ๆ รู้หรือไม่ว่า เนื้องอกหลอดเลือด หากเกิดขึ้นในจุดที่สุ่มเสี่ยงบนร่างกายอย่างตรงบริเวณใกล้รูหู บนเปลือกตา ฯลฯ ก็อาจทำให้ลูกมีปัญหาการได้ยิน การมองเห็นได้ค่ะ และนี่ก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องราวจากประสบการณ์ตรงของคุณแม่ทรายที่ได้เขียนแชร์เกี่ยวกับเนื้องอกหลอดเลือดบนผนังตาที่เกิดขึ้นกับลูกรักตัวน้อยที่อยู่ในวัยทารก ไปติดตามกันว่าคุณแม่ทรายมีแนวทางในการรักษาอย่างไรกันค่ะ…

                        ขออนุญาตแชร์ประสบการณ์ค่ะ น้องอันซีนเป็นเนื้องอกหลอดเลือดที่ผนังตาบนด้านซ้ายค่ะ ขอเริ่มเล่าให้แม่ๆ ฟังตั้งแต่ เริ่มแรกเลยนะคะ

                        น้องอันซีนคลอดออกมาเมื่อวันที่ 4 พค. 2560 สุขภาพร่างกายลูกปกติดีทุกๆ อย่าง และหลังคลอดผ่านไป 7 วันคุณหมอ ประจำตัวลูกนัดตรวจสุขภาพอีกครั้ง ทรายก็ถามคุณหมอถึงบริเวณแดงๆ ที่ตาซ้าย คุณหมอบอกว่าเป็นปานเส้นเลือดแดงเดียวจะค่อยๆ จางหายไปเองค่ะ คุณแม่ไม่ต้องกังวลนะคะ(เป็นไปไม่ได้ใช่ไหมคะแม่ๆ ที่คนเป็นแม่อย่างเราๆ จะไม่กังวล)

                        หลังจากไปหาหมอกลับมาบ้านผ่านไป 15 วัน ทรายก็พาลูกไปพบคุณหมออีก คราวนี้คุณหมอบอกคุณแม่น้องเป็นปานสตอเบอรีจะโตตามตัวไปเรื่อยๆ ให้คุณแม่สังเกตดูการโตของปานไปเรื่อยๆ นะคะ แล้วเดียวมาคุยกะหมออีกที(ในใจตอนนั้นสัญชาตญาณความเป็นแม่บวกความร้อนใจ รอไม่ไหวค่ะคุณหมอ) กลับมาถึงบ้านคุยกันกับสามีทำไงกันดี เช้ามาก็ เปลี่ยนโรงพยาบาลไปพบหมออีกท่านหนึ่ง ซึ่งคุณหมอก็พูดทำนองเดียวกันกับคุณหมอท่านแรก มาถึงตรงนี้ทรายก็ยังไม่มั่นใจอยู่ดี ก็เลยพาลูกไปหาหมอท่านอื่นอีก 2-3 หมอ ก็พูดแบบเดียวกันหมดว่า “ให้รอหายเอง” !!!

                        1 เดือนผ่านไป ทรายกับสามีรออย่างที่คุณหมอทุกๆ ท่านพูดไม่ไหวแล้ว เพราะปานเริ่มขยายขึ้นเรื่อยๆ ทุกครั้งที่มองหน้าลูกสงสารลูกมากๆ ร้องไห้ทุกวันเลย ในใจกลัวไปหมดทุกอย่างด้วยความที่น้องเป็นลูกที่เรารอมาหลังจากแต่งงานได้ 3 ปี กลัวว่าตาลูกจะมองไม่เห็น กลัวลูกเป็นปม ทุกอย่างคิดเยอะแยะวุ่นวายไปหมด และในทุกๆ วันก็ไม่เคยละความพยายามหาข้อมูลเกี่ยวกับปาน จนไปเจอเพจของคุณหมอที่ท่านประจำอยู่ที่โรงพยาบาลศิริราช คุณหมอเขียนข้อมูลไว้อย่างคร่าวๆ สามีโทรถามรายละเอียดต่างๆ ที่โรงพยาบาลทันทีค่ะ พอเช้าวันรุ่งขึ้นสามีก็ขับรถเข้ากรุงเทพฯ มาคนเดียวเพื่อทำเรื่องให้ลูกเป็นคนไข้ของศิริราชก่อนค่ะ

                        เมื่อถึงวันนัด น้องอายุ 1 เดือน 25 วัน ไปพบคุณหมอที่ตึกเจ้าฟ้ามหาจักรีเป็นตึกเด็กค่ะ คุณหมอลงตรวจช่วงบ่ายอย่างเดียวเราไปกัน 3 คนพ่อแม่ลูกตั้งแต่เช้า ได้พบคุณหมอตอน 5 โมงเย็นค่ะ คิวสุดท้ายเลย แม่ๆ คงจะทราบดีอยู่แล้วว่าที่โรงพยาบาลนี้คนไข้เยอะมากค่ะ อยากจะบอกว่าทรายกับสามีนับถือใจลูกตัวเองมากๆ เพราะลูกไม่ร้องไม่งอแงเลย กินอิ่มก็หลับบนแขนทรายวนไปอย่างนี้จนถึงคิวตรวจเลยค่ะ

                        บทความแนะนำ คลิก>> วิธีสังเกตลักษณะต้องสงสัย “มะเร็งไฝ”

                        เมื่อได้พบคุณหมอ แม่ๆ รู้ไหมคะทรายกับสามีตื้นตันใจอย่างบอกไม่ถูก ตอนนั้นในห้องตรวจมีคุณหมออยู่ 3 ท่าน น้องนักศึกษาแพทย์ 4-5 คน และพี่พยาบาล 2 คน คุณหมอท่านหนึ่งพูดขึ้นว่า “ขอโทษด้วยนะคะที่ให้รอนาน วันนี้คิวหมอเยอะมากค่ะ” ความรู้สึกของทรายที่มันอัดอั้นมาตลอดร้องไห้โฮเลยค่ะ แค่ประโยคนี้ของคุณหมอคือ ใจทรายชื้นขึ้นมากๆ  จากนั้นคุณหมอก็สอบถามประวัติต่างๆ ของน้อง และอธิบายข้อมูลทุกอย่างละเอียดมากค่ะ ทรายเขียนไว้คร่าวๆ ดังนี้ค่ะ

                        อ่านต่อ แนวทางการรักษาน้องอันซีน หน้า 2

                         

                        เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                          โปรแกรมคำนวณภาวะโภชนาการ

                          โปรแกรมคำนวณภาวะโภชนาการ เช็กน้ำหนักส่วนสูง ความสมส่วนของลูก

                          หากคุณพ่อคุณแม่อยากรู้ว่า ลูกของเรา อายุ ณ ตอนนี้มีน้ำหนักกับส่วนสูงเท่านี้ ลูกมีร่างกายหรือภาวะโภชนาการที่สมส่วนหรือไม่ อ้วน หรือผอมเกินไปหรือเปล่า สามารถตรวจเช็กได้จาก โปรแกรมคำนวณภาวะโภชนาการ นี้ได้เลยค่ะ

                          Continue reading “โปรแกรมคำนวณภาวะโภชนาการ เช็กน้ำหนักส่วนสูง ความสมส่วนของลูก”

                            ท่าเซ็กส์ ลดน้ำหนัก

                            10 ท่าเซ็กส์ ลดน้ำหนัก เบิร์นแคลอรี่ได้กว่า 100 kcal

                            คุณผู้หญิงที่อยากเผาผลาญแคลอรี่ สลายไขมัน แบบง่ายๆ เชิญทางนี้ กับ 10 ท่าเซ็กส์ ลดน้ำหนัก ได้ เพียงแค่ไม่กี่นาที ก็จะช่วยให้คุณละลายไขมันส่วนเกินทิ้งได้ไม่แพ้วิ่งออกกำลังเลยทีเดียว

                            Continue reading “10 ท่าเซ็กส์ ลดน้ำหนัก เบิร์นแคลอรี่ได้กว่า 100 kcal”

                              คาถาเด็ด! จากหลวงพ่อจรัญ วิธีแก้ “มีลูกดื้อเกเร นำทุกข์สาหัสมาให้” พลิกชีวิตได้ทั้งครอบครัว!

                              คำสอนหลวงพ่อจรัญ ช่วยได้!! หากบ้านไหนมีลูกดื้อ หรือเกเร จนนำความทุกข์แสนสาหัสใจมาให้แก่คนเป็นพ่อเป็นแม่ ซึ่งแม้จะสรรหาวิธีแก้ไขมามากมาย แต่ก็จนปัญญาแก้ไม่ได้ ลองดูคำสอนวิธีแก้จากหลวงพ่อจรัญ ซึ่งท่านได้มอบคาถาเด็ดไว้ให้ แก่คนเป็นพ่อเป็นแม่ เพื่อให้นำไปใช้แก้ไขเมื่อมีลูกดื้อ

                              Continue reading “คาถาเด็ด! จากหลวงพ่อจรัญ วิธีแก้ “มีลูกดื้อเกเร นำทุกข์สาหัสมาให้” พลิกชีวิตได้ทั้งครอบครัว!”

                                บุหรี่ทำร้ายลูก

                                บุหรี่ทำร้ายลูก แน่นอน! หลังแพทย์พบสารพิษในปัสสาวะเด็ก

                                บุหรี่ทำร้ายลูกแน่นอน! เตือนทุกครอบครัวที่มีคนสูบบุหรี่ในบ้านให้ระวัง หลังพบสารพิษในปัสสาวะเด็กเล็ก!

                                 

                                 

                                งานวิจัยพบสูบบุหรี่ในบ้าน ทำเด็กป่วยเป็นหวัด เจ็บคอบ่อย เด็กบางรายมีอาการหนักมากถึงขนาดต้องพ่นยา ที่สำคัญกับ ผลร้ายอันน่าตกใจเมื่อมีการตรวจพบสารพิษจากบุหรี่ในปัสสาวะเด็กที่อาศัยในคอนโด แฟลต สูงกว่าตามบ้านถึง 2 เท่า ห่วงหญิงตั้งครรภ์รับควันบุหรี่มือสองสูงถึง 90% ส่งผ่านสารพิษไปถึงทารกในครรภ์

                                ศาสตราจารย์นายแพทย์ ประกิต วาทีสาธกกิจ เลขาธิการมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ แถลงข่าว “วิจัย สูบบุหรี่ในบ้าน มหันตภัยสารพิษสู่ลูกน้อย” ว่า ควันบุหรี่เมื่อถูกหายใจเข้าสู่ปอด สารพิษในควันบุหรี่จะถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือด ซึ่งจะไหลเวียนไปยังทุกอวัยวะของร่างกายในเวลาอันรวดเร็ว สารพิษซึ่งรวมสารก่อมะเร็งยังสามารถผ่านรกไปถึงทารกในครรภ์ได้ ซึ่งสารพิษเหล่านี้บางส่วนจะถูกทำลายโดยตับ ที่เหลือจะถูกขจัดออกทางปัสสาวะ การที่สารพิษและสารก่อมะเร็ง ถูกพาไปสัมผัสกับทุกอวัยวะ เป็นเหตุให้หลอดเลือดเสื่อม เกิดโรคกับอวัยวะทั่วร่างกาย รวมถึงมะเร็ง 12 ชนิด

                                อ่านต่อผลงานวิจัยและเนื้อหาเพิ่มเติมจากแพทย์ คลิก!


                                  กฎหมายอุ้มบุญ

                                  ” กฎหมายอุ้มบุญ ” เรื่องน่าสนใจพ่อแม่ยุคใหม่ต้องรู้

                                  กฎหมายอุ้มบุญ เรื่องน่าสนใจที่พ่อแม่ยุคใหม่ต้องรู้ หากคิดรับบุตรมาเติมเต็มความสมบูรณ์ของครอบครัว

                                   

                                   

                                  การมีบุตรนับเป็นหัวใจสำคัญของการเติมเต็มความสมบูรณ์ให้กับครอบครัว หลายคู่จึงแสวงหาวิธีที่จะให้ได้บุตรมาเติมเต็มความสมบูรณ์ ซึ่งบางครอบครัวเลือกใช้วิธีการรับบุตรบุญธรรม หรือใช้วิธีการว่าจ้างให้หญิงอื่นมาอุ้มบุญหรือตั้งครรภ์แทน ทั้งนี้ในบางกรณีกฎหมายไม่เปิดช่องให้ดำเนินการได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกฎหมายของประเทศไทยบ้านเรา ยกตัวอย่างเช่น ในกรณีของกลุ่มบุคคลที่มีรสนิยมรักร่วมเพศ หรือสามีภรรยาซึ่งไม่ได้จดทะเบียนสมรสนั้น วิธีการดังกล่าวถือมีความผิดตามกฎหมาย และมีโทษทางอาญา

                                  อย่างไรก็ดีปัจจุบันมีกฎหมายรองรับเรื่องการอุ้มบุญ หรือตั้งครรภ์แทนแล้ว โดยอาศัยเทคโนโลยีทางการแพทย์ในการช่วยให้เกิดการตั้งครรภ์ภายใต้เงื่อนไขตามพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ พ.ศ. 2558 การตั้งครรภ์แทน โดยมีเงื่อนไขตามพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ พ.ศ. 2558 ตามมาตรา 21

                                  คลิกอ่านต่อข้อกฎหมาย มาตรา 21 ได้ที่หน้าถัดไป

                                    แอสไพริน ป้องกันครรภ์เป็นพิษ

                                    แอสไพริน ป้องกันครรภ์เป็นพิษ ได้จริงหรือไม่?

                                    แอสไพริน ป้องกันครรภ์เป็นพิษ ผู้เขียนมีเพื่อนที่มีอาการครรภ์เป็นพิษจนเกือบจะต้องยุติการตั้งครรภ์ แต่ในความสุ่มเสี่ยงอันตรายนั้นก็ผ่านพ้นมาได้ด้วยดีจากการดูแลอย่างใกล้ชิดจากคุณหมอ และเท่าที่ฟังจากเพื่อนเหมือนจะพูดถึงยาแอสไพริน ว่าแต่ครรภ์เป็นพิษเกี่ยวข้องกับแอสไพรินยังไง ทีมงาน Amarin Baby & Kids มีข้อมูลที่น่าสนใจมาบอกต่อให้ทราบกันค่ะ

                                     

                                    แอสไพริน ป้องกันครรภ์เป็นพิษ

                                    ก่อนที่เราจะไปไขข้อข้องใจว่า แอสไพริน ป้องกันครรภ์เป็นพิษ ได้จริงหรือไม่นั้น ผู้เขียนขอพูดถึงอาการครรภ์เป็นพิษก่อน สักนิดว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร และอันตรายต่อสุขภาพครรภ์มากแค่ไหน…

                                    รศ.นพ.วิทยา ถิฐาพันธ์ สูตินรีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ได้อธิบายถึงการเกิดครรภ์เป็นพิษ คือเป็นภาวะความดันโลหิตสูงขณะ ตั้งครรภ์ หรือครรภ์เป็นพิษที่พบบ่อยในผู้หญิงตั้งครรภ์ ซึ่งความรุนแรงของความดันโลหิตสูงจากการตั้งครรภ์สามารถแบ่งออกได้เป็นหลายระดับ เช่น…

                                    • เป็นความดันโลหิตสูงอย่างเดียวไม่มีอาการอื่นใดแทรกซ้อน
                                    • เป็นความดันโลหิตสูงและมีอาการแทรกซ้อน ได่แก่ มีอาการบวม การทำงานของอวัยวะภายในอย่าง ตับ ไตทำงานผิดปกติ มีอาการชัก

                                    สำหรับอาการแทรกซ้อนที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ หากรุนแรงมากก็อาจทำให้คุณแม่ท้องเสียชีวิตจากภาวะครรภ์เป็นพิษได้สูงค่ะ ในกรณีปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดครรภ์เป็นพิษมาได้จากหลายสาเหตุค่ะ…

                                    • มีการตั้งครรภ์ตอนที่อายุมากกว่า 35 ปีขึ้นไป หรือตั้งครรภ์ตอนอายุน้อยกว่า 20 ปี
                                    • มีประวัติคนในครอบครัวเคยมีภาวะครรภ์เป็นพิษตอนท้อง
                                    • การตั้งครรภ์แฝด
                                    • การตั้งครรภ์ไข่ปลาอุก
                                    • มีโรคเบาหวานร่วมด้วย
                                    บทความแนะนำ คลิก>> โรคความดันโลหิตสูงกับการตั้งครรภ์ ภัยเงียบของแม่ท้อง

                                    ในคนท้องที่มีภาวะของครรภ์เป็นพิษเกิดขึ้นขณะตั้งครรภ์ ผลกระทบทางสุขภาพที่จะได้รับ คือ หลอดเลือดตีบแคบทำให้เลือดไม่สามารถไปหล่อเลี้ยงร่างกาย อวัยวะต่างๆ ได้เต็มที่ จนทำให้ผิวหนังทั่วร่างกายมีน้ำไปแทรกจนทำให้เกิดการบวมตามปลายมือ ปลายเท้า เปลือกตา ประสิทธิภาพการทำงานของไตลดลง ตับที่เลือดไปเลี้ยงไม่พออาจเกิดการเน่าตายไปบางส่วนได้ และที่อันตรายมากสำหรับทารกในครรภ์คือ เมื่อเลือดไปเลี้ยงได้น้อยลง ก็จะทำให้พัฒนาการการเจริญเติบโตไม่ดี ส่งผลให้ทารกเสียชีวิตในครรภ์คุณแม่สูงมากค่ะ

                                    อ่านต่อ ป้องกันครรภ์เป็นพิษ ด้วยยาแอสไพริน หน้า 2

                                     

                                    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่