เล่นโทรศัพท์ตอนปิดไฟ

หมอเตือน! ให้ลูกเล่นโทรศัพท์ตอนปิดไฟ เสี่ยงตาบอด

หมอศิริราชได้ออกมาเตือนภัยอันตราย! หากพ่อแม่ปล่อยให้ลูก เล่นโทรศัพท์ตอนปิดไฟ หรือดูโทรทัศน์ในที่มืด อาจส่งผลร้ายต่อดวงตาและเสี่ยงทำให้ลูกตาบอดได้

Continue reading “หมอเตือน! ให้ลูกเล่นโทรศัพท์ตอนปิดไฟ เสี่ยงตาบอด”

    ลูกสุขภาพดี

    กุมารแพทย์เผย! ลูกสุขภาพดี ได้ถ้าพ่อแม่ไม่ประคบประหงม

    อยากให้ ลูกสุขภาพดี ทำได้ไม่ยาก แค่ปล่อยให้เล่นเลอะเทอะบ้าง

     

     

    สังเกตไหมคะว่า คุณพ่อคุณแม่สมัยนี้เลี้ยงลูกแบบประคบประหงมมากจนเกินไป เลอะอะไรนิดอะไรหน่อยก็ไม่ได้ ต้องคอยเช็ด ต้องคอยห้ามลูก บางทีแม้แต่เวลาที่ลูกเล่นหรือสัมผัสกับธรรมชาติอย่างดินและทราย ก็กลับโดนห้ามไปด้วย และนั่นส่งผลให้ลูกรักของเรานั้นกลับไม่มีภูมิ

    ล่าสุดสำนักข่าว Mirror ได้เผยแพร่บทความน่าสนใจ จากมหาวิทยาลัยวอริค (University of Warwick) ประเทศอังกฤษ ได้เปิดเผยผลการศึกษาว่า เด็กที่ถูกปกป้องจากสิ่งสกปรกมีความเสี่ยงต่อการสัมผัสและแพร่กระจายเชื้อโรคได้มากกว่าเด็กที่ถูกปล่อยให้เล่นกับดินทราย และการเล่นสกปรกนิด ๆ หน่อย ๆ ยังเป็นผลดีกับสุขภาพ อย่างน้อยๆ ก็สามารถช่วยให้โรคภูมิแพ้ดีขึ้นได้

    แพทย์หญิง Maya Shetreat-Klein กุมารแพทย์ ระบุว่าเด็กที่เป็นภูมิแพ้ส่วนใหญ่จะถูกเลี้ยงมาแบบประคบประหงมมากเกินไป พร้อมเผยประสบการณ์ส่วนตัวจากลูกชายที่ป่วยเป็นโรคหอบหืด จนส่งผลต่อพัฒนาการ และการรักษาตัวยังไม่ได้ผล จึงค้นหาสาเหตุทางวิทยาศาสต์ ซึ่งนั่นก็ทำให้พบข้อมูลอันน่าตกใจ เพราะอาหารคือต้นเหตุของอาการป่วย ทำให้ส่งผลกระทบกับระบบย่อยอาหาร ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายและสมอง

    นอกจานี้ ยังได้มีการเผยแพร่เหตุผลดังกล่าวผ่าน The Dirt Cure ซึ่งนำเอาผลการศึกษาอันน่าตกใจหลายอย่างมาเผยแพร่ ได้แก่ อัตรการเพิ่มขึ้นของการเกิดโรคเรื้อรังในเด็ก ทั้งจากโรคภูมิแพ้และสมาธิสั้น ไปจนถึงอาการป่วยทางจิต และโรคอ้วน ซึ่งสามารถหยุดยั้งได้ง่าย เพียงการปล่อยให้เด็ก ๆ ได้กลับสู่ธรรมชาติ ได้เล่นดินเล่นทราย ให้พวกเขาได้รับสารอาหารจากดินบ้าง

    เพราะอะไร จึงควรปล่อยให้ลูกเล่นเลอะเทอะบ้าง อ่านต่อได้ที่หน้าถัดไปค่ะ


    เครดิต: BECTERO

      แกงค์มิจฉาชีพ

      เตือนภัยแม่! ระวัง แกงค์มิจฉาชีพ แฝงมากับโทรศัพท์

      เจอเบอร์แปลกให้ระวัง! แกงค์มิจฉาชีพ ข่มขู่จะฆ่าลูกสาวหากคุณแม่ไม่โอนเงินให้!!

       

       

      เพราะสังคมสมัยนี้น่ากลัว คนมักหากินกันแปลก ๆ และง่ายขึ้นด้วยการอาศัยช่องทางต่าง ๆ นานา โดยที่ไม่สนใจเลยว่าจะไปทำให้ใครเดือดร้อนหรือไม่ เช่นเดียวกับเหตุการณ์ที่จะมานำเสนอดังต่อไปนี้ เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง และแน่นอนค่ะว่าไม่ใช่เหตุการณ์เดียวที่เกิดขึ้นกับสังคมไทยในปัจจุบัน

      โดยเรื่องราวที่ว่านี้เกิดขึ้นกับครอบครัวหนึ่งที่แกงค์มิจฉาชีพได้โทรเข้ามือถือลูกสาวก่อน และให้กดเลข หลังจากนั้นขอเบอร์โทรคนที่บ้านเพื่อจะได้ส่งของไปให้ เรื่องราวจะเป็นเช่นไร เราไปอ่านพร้อม ๆ กันเลยค่ะ

      “มิจฉาชีพมาแนวใหม่อีกแล้วครับ โทรเข้ามือถือลูกสาว บอกว่าจะส่งสินค้า แต่ไม่สามารถส่งให้ได้ ให้กด 9 เพื่อรับเลขพัสดุตกค้าง พอกด 9 มีเจ้าหน้าที่รับสาย สอบถามรายละเอียดข้อมูล พร้อมขอเบอร์โทรคนที่อยู่รับสินค้าที่บ้านจะได้ไปส่งให้ ให้เบอร์แม่ไป มิจฉาชีพโทรไปขู่ฆ่าแม่ที่บ้าน ถ้าไม่โอนเงินไปให้จะฆ่าลูกสาว แม่ก็วางสายไปคิดว่าเป็นมิจฉาชีพ แล้วรีบโทรหาลูกสาว แต่มิจฉาชีพรับสายบอกให้โอนเงินมา ถ้าไม่อย่างนั้นฆ่าลูกสาวทิ้งแน่ ๆ แล้วก็มีเสียงผู้หญิงกรีดร้องให้ช่วย มันบอกให้โอนเงินมา แต่ตัวแม่ไม่เคยทำอะไรเกี่ยวกับการโอนเงินหรือใช้ ATM เป็นเลย และบอกว่าไม่มีเงิน จะให้ฉันทำอย่างไร

      สุดท้ายมิจฉาชีพบอกให้ไปซื้อบัตรเติมเงินมาเติมเงินที่โทรศัพท์ 1000 บาท ส่วนตัวลูกสาวพยายามโทรหาแม่เกือบ 20 สาย แต่ไม่ติด สรุปแล้วมิจฉาชีพ หลอกให้กด 9 เพื่อล็อคโทรศัพท์ไม่ให้โทรติดต่อใครได้อีก และมิจฉาชีพสามารถรับโทรศัพท์แทนได้ในขณะที่แม่โทรมาหาลูกสาว ทำให้แม่เชื่อว่าลูกสาวตกอยู่ในอันตราย จึงอยากจะเตือนภัยทุกท่าน สมัยนี้เขาหากินกันง่ายๆ แบบนี้นี่เอง บางคนอาจสูญเงินเป็นแสน เป็นล้าน เพื่อปกป้องญาติพี่น้องตัวเอง

      อ่านเรื่องราวของแกงค์คอลเซ็นเตอร์ที่เกิดขึ้นจริงอีกเรื่องได้ที่หน้าถัดไปค่ะ


      เครดิต: Pantip

        เมนูบำรุงสมอง ลูกน้อย

        เปิดสูตรเด็ด! เมนูบำรุงสมอง ลูกน้อย “ซูชิข้าวผัดแซลมอน” ทำง่ายได้ประโยชน์เต็มคำ (มีคลิป)

        เมนูบำรุงสมอง ลูกน้อย …เพราะอาหารก็เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่มีส่วนช่วยในการพัฒนาสมองของลูกน้อยและช่วยให้สมองมีการเติบโตอย่างรวดเร็ว มีประสิทธิภาพพร้อมเรียนรู้

        Continue reading “เปิดสูตรเด็ด! เมนูบำรุงสมอง ลูกน้อย “ซูชิข้าวผัดแซลมอน” ทำง่ายได้ประโยชน์เต็มคำ (มีคลิป)”

          เมนูอาหารเช้าลูก

          เปิด 5 เมนูอาหารเช้าลูก “ไข่และขนมปัง”

          อย่าปล่อยให้ เมนูอาหารเช้าลูก กลายเป็นเรื่องน่าเบื่ออีกต่อไป เพราะเรามี 5 เมนูสองคู่ดูโอ้มาฝากกันค่ะ!

           

           

          เพราะอาหารเช้าคือสิ่งที่สำคัญที่สุดกับร่างกาย ดังนั้น จึงเป็นเรื่องจำเป็นที่คุณพ่อคุณแม่ต้องให้ความสำคัญ และไม่ควรปล่อยให้ลูกต้องข้ามมื้อสำคัญนี้ไป จริงอยู่ที่วันธรรมดาคือวันที่เร่งรีบ จึงไม่สามารถที่จะทำการพิถีพิถันอะไรได้มาก แต่อย่างน้อยคุณพ่อคุณแม่ขา … วันหยุดสุดสัปดาห์เราก็สามารถสร้างสรรค์มื้อเช้าให้เป็นมื้อที่สุดแสนจะพิเศษได้ด้วยการชวนลูกเข้าครัว หรือถ้าหากลูกยังเล็กและยังไม่ยอมตื่น คุณพ่อคุณแม่ก็สามารถลงมือทำให้เองได้เลย อันนี้ก็ไม่ว่ากันค่ะ

          แต่ทีนี้อาหารเช้าที่เรานำมาฝาก ไม่ใช่เมนูธรรมดาค่ะ เพราะมากับสองคู่ดูโอ้ ที่เวลาควงคู่อยู่ด้วยกันทีไร ก็ดูช่างน่ากินและอร่อยเสียจริง ๆ โดยคู่ดูโอ้ที่ว่านี้จะเป็นใครไปไม่ได้นอกเสียจาก ขนมปัง และก็ไข่นั่นเองค่ะ และวันนี้ทีมงานก็ได้รวบรวม 5 เมนูที่บอกเลยว่า คุณพ่อคุณแม่ไม่ควรพลาด อีกทั้งยังทำได้ง่าย และวัตถุดิบก็หาได้ไม่ยุ่งยากซับซ้อน จะมีเมนูอะไรบ้างนั้นพร้อมแล้วไปชมพร้อม ๆ กันเลยค่ะ

           

           เมนูขนมปังไส้ไข่กวน

          เมนูอาหารเช้าลูก
          เครดิต: คุณ Fillerneck

          ส่วนผสม 

          • ขนมปังตัดขอบ ประมาณ 4 แผ่น
          • ครีม 3-4 ช้อนโต๊ะ
          • ไข่ไก่ สำหรับชุบ 3 ฟอง
          • ไข่ไก่ สำหรับทำไข่กวน 1 ฟอง
          • เนย กับ มายองเนส ปริมาณเท่า ๆ กัน
          • เกลือ
          • น้ำตาลทราย (ปรุงแล้วแต่ชอบค่ะ)

          ขั้นตอนการทำ

          1. ทำไข่กวน โดยผสมครีม 1-2 ช้อนโต๊ะ กับไข่ 1 ฟอง ใช้ไฟกลาง คนผสมพอสุก ยกลงพักไว้
          2. ตัดขนมปังเป็นชิ้นสามเหลี่ยม หรือถ้าชอบแบบทั้งแผ่นก็ได้เช่นกัน
          3. ผสมเนยกับมายองเนสเข้าด้วยกัน แล้วทาที่ขนมปังด้านใน
          4. ตีไข่กับครีมเข้าด้วยกัน
          5. ใส่ไข่กวนลงไปบนขนมปัง พับขอบขนมปังและบีบให้ติดกัน โดยเอาไข่ไก่ทาลงที่ขอบเพื่อเป็นตัวประสาน หรือถ้าไม่ชอบไส้ไข่กวนก็เอาไส้อย่างอื่นก็ได้ หรือเอาแค่ไส้มายองเนสกับเนยก็ได้
          6. ใส่น้ำมันใช้ไฟกลางค่อนไปทางอ่อน แล้วค่อย ๆ เอาขนมปังชุบไข่ใส่ลงไป ทอดจนสุกเหลืองทั้งสองด้าน
          7. ตักขนมปังทอดใส่จาน หากไม่ชอบทานหวาน ก็ไม่ต้องโรยน้ำตาลค่ะ แต่ถ้าหากคุณพ่อคุณแม่กลัวว่าจะเลี่ยนเกินไปก็สามารถหาซอสมะเขือเทศ มาให้ลูกจิ้มก็ได้นะคะ


          เครดิต: สูตรจาก คุณ fillerneck สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม

          ดูเมนูไข่กับขนมปังเมนูที่สองได้ที่หน้าถัดไปค่ะ

            ลูกหลับง่าย

            10 วิธีช่วยให้ ลูกหลับง่าย และสบาย

            พบกับ 10 วิธีที่จะช่วยให้ ลูกหลับง่าย หลับสบายไร้กังวล แถมพ่อแม่ไม่ต้องเหนื่อย

             

             

            คุณพ่อคุณแม่หลาย ๆ ท่านอาจจะกำลังเผชิญปัญหาลูกน้อยนอนยาก นอนไม่นาน จนรู้สึกว่าตัวเองปวดหัวเหลือเกินกับการสรรหาวิธีมากล่อมลูกให้นอนหลับ เพราะทีมงาน Amarin Baby and Kids ทราบดีว่ามีคุณพ่อคุณแม่หลาย ๆ ท่านกำลังประสบกับปัญหานี้อยู่ จึงอยากจะขอแชร์เคล็ดลับเล็ก ๆ น้อยกับการพาให้ลูกน้อยนอนหลับได้อย่างง่ายดายมาฝากกันค่ะ แต่ก่อนที่เราจะไปดูนั้น ทำไมเราไม่มาหาสาเหตุของการนอนไม่หลับของลูกกันก่อนละคะ

            เพราะอะไร? ลูกถึงไม่ยอมนอน?

            คุณพ่อคุณแม่ทราบไหมคะว่า อะไรคือสาเหตุที่ทำให้ลูกน้อยของเรานอนยาก? หากพูดถึงสาเหตุนั้น จริง ๆ แล้วสามารถแบ่งออกได้เป็น 4 กลุ่มหลัก ๆ อันได้แก่

            1. ปัญหาที่เกิดจากตัวเด็กเอง ยกตัวอย่างเช่น ลูกเจ็บป่วยไม่สบายอันเกิดจาก หูชั้นกลางอักเสบ ซึ่งเป็นสาเหตุที่พบบ่อยมากที่สุด ทำให้ลูกเจ็บหู ปวดหู มีไข้ อาเจียน หรือเป็นไข้หวัด คัดจมูก หายใจไม่ออกเป็นต้น
            2. ปัญหาที่เกิดจากจิตใจ ยกตัวอย่างเด็กที่มีปัญหาชักหรือเด็กที่มีความผิดปกติในระบบประสาท ทำให้มีอาการเกร็งของกล้ามเนื้อ รวมไปถึงเด็กที่มีสมาธิสั้น เด็กกลุ่มนี้จะมีปัญหาในการนอนมากกว่าเด็กที่ปกติ
            3. เกิดจากยา ยาส่วนใหญ่ในกลุ่มที่ทำให้เด็กหลับทั้งที่ใช้รักษาอาการเจ็บป่วยทางร่างกาย ภาวะชัก หรือปัญหาทางด้านจิตใจ เมื่อใช้ไปนาน ๆ ยานั้นจะส่งผลให้นอนไม่หลับได้ หากคุณพ่อคุณแม่พบว่าสาเหตุที่ลูกนอนไม่หลับนั้นมาจากยา ให้หยุดยานั้นก่อนค่ะ แต่หากหยุดไม่ได้ก็ควรปรับเวลาให้ยาไม่ให้ใกล้กับเวลานอนของลูกแทนค่ะ
            4. นิสัยเด็กเอง ข้อนี้ถือเป็นข้อที่พบบ่อยที่สุดในเด็กอายุตั้งแต่ขวบปีแรกไปจนถึง 5 ปี และจะติดไปเป็นนิสัยเมื่อโตขึ้น ทำให้เด็กกลุ่มนี้หลับยาก ส่งผลให้คุณพ่อคุณแม่ต้องคอยอุ้ม หรือให้ดูดนมก่อนถึงจะหลับได้

            คลิกอ่าน 10 วิธีช่วยให้ลูกน้อยหลับง่ายได้ที่หน้าถัดไปค่ะ


            เครดิต: หาหมอ

              ครีมกันแดด SPF เท่าไหร่ดี

              ครีมกันแดด SPF เท่าไหร่ดี ช่วยป้องกันมะเร็งผิวหนังได้ ?

              ครีมกันแดด SPF เท่าไหร่ดี ถึงจะป้องกันมะเร็งผิวหนัง? บ้านเราเป็นเมืองร้อนค่ะ มีแดดเกือบตลอดทั้งปี ซึ่งแสงแดดนี่แหละตัวร้ายทำลายผิว  ทั้งทำให้เกิด ฝ้า กระ ผิวหมองคล้ำ และที่ร้ายคือ “มะเร็งผิวหนัง” (Skin Cancer) ใครที่ออกแดดแล้วไม่ชอบทาครีมกันแดด อันตรายมากค่ะ ทีมงาน Amarin Baby & Kids มีคำตอบว่า ครีมกันแดดค่า SPF เท่าไหร่ที่ช่วยป้องกันมะเร็งผิวหนัง มาฝากกันค่ะ

               

              ครีมกันแดด SPF เท่าไหร่ดี

              เชื่อว่าทุกคนต้องมีคำถามนี้อยู่ในใจว่า ครีมกันแดด SPF เท่าไหร่ดี ที่ควรเลือกซื้อมาใช้กัน เพราะที่มีอยู่ตอนนี้ทั้ง SPF15, SPF30, SPF50 ฯลฯ ก็เลือกกันไม่ถูกว่าค่ากันแดดแบบไหนที่ปกป้องผิวจากแสงแดดได้ดีมากกว่ากัน ดังนั้นเพื่อให้ทุกคนได้เข้าใจเกี่ยวกับครีมกันแดดให้มากขึ้น ผู้เขียนมีข้อมูลเล็กๆ น้อยๆ มาบอกกันค่ะ

              สำหรับค่า SPF ที่ได้ยินกันบ่อยๆ เขามีชื่อเรียกแบบเต็มๆ ว่า Sun Protection Factor ค่ะ ซึ่งเป็นค่าการป้องกันรังสี UVB จากแสงแดด ที่เมื่อทาครีมกันแดดลงบนผิวหน้า ผิวกายแล้วทุกคนไม่ว่าจะเด็ก หรือผู้ใหญ่จะสามารถอยู่ท่ามกลางแสงแดดจ้า หรือแสงแดดอ่อนๆ ได้นานกี่นาที กี่ชั่วโมง นั่นเองค่ะ

              ซึ่งหลักการคำนวณง่ายๆ คือ ถ้าคุณแม่ทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF15 (10X15 = 150 นาที) ก็จะประมาณ 2.30 ชั่วโมง (*โดย ปกติผิวจะทนแดดอยู่ได้ประมาณ 10 นาที ซึ่งหากตากแดดนานกว่านี้โดยที่ไม่ได้ทาครีมกันแดด จะสังเกตเห็นว่าผิวเริ่ม แดงๆ และไหม้ได้)

              บทความแนะนำ คลิก>> รีวิวครีมกันแดด สำหรับเด็ก ตัวไหนเหมาะกับลูกที่สุด!

              การใช้ครีมกันแดด ไม่ว่าจะค่า SPF มากหรือน้อย ให้ดูที่ลักษณะกิจกรรมที่ทำในแต่ละวันค่ะ ถ้าต้องออกข้างนอกนานๆ  หลายชั่วโมงแล้ววันนั้นแดดแรงมาก อาจเลือกใช้ที่มีค่า SPF สูงหน่อย ที่สำคัญควรทาก่อนออกแดด และระหว่างที่ทำ กิจกรรมกลางแจ้งควรทาครีมกันแดดซ้ำลงไปด้วย ซึ่งส่วนมากฉลากข้างบรรจุภัณฑ์จะมีแจ้งไว้ค่ะ ส่วนใครที่ทำงานนั่งอยู่ ออฟฟิศถึงจะมีแอร์เย็นฉ่ำ แต่รังสียูวีก็มาได้กับแสงไฟนีออนนะคะ ฉะนั้นทาครีมกันแดดด้วยนะ อาจเลือกเป็นค่า SPF15 ก็ พอค่ะ  เพราะไม่ว่าจะเป็นรังสียูวีจากแสงแดด หรือหลอดไฟ ก็เสี่ยงมะเร็งผิวหนังได้เหมือนกันค่ะ

              อ่านต่อ วิธีสังเกตมะเร็งผิวหนัง หน้า 2 

               

              เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                ลูกเป็นไส้ติ่งอักเสบ

                ลูกปวดท้อง อย่านิ่งนอนใจ! 4 โรคร้ายที่อาจแอบแฝง

                ลูกปวดท้อง พ่อจ๋าแม่จ๋า อย่านิ่งนอนใจ เพราะบางทีอาการดังกล่าวอาจเป็นอาการเริ่มต้นของ 4 โรคนี้!

                 

                 

                โรคลำไส้กลืนกัน

                ลำไส้กลืนกันถึงแม้ว่าแพทย์จะยังหาถึงสาเหตุของโรคนี้ไม่เจอ แต่ก็คาดว่าอาจจะเกิดจากการเหนี่ยวนำบางอย่าง เช่นต่อมน้ำเหลืองในลำไส้ที่โตขึ้น ไม่ว่าจะเกิดจากไข้หวัด หรือลำไส้อักเสบเป็นตัวกระตุ้น ทำให้เกิดภาวะที่ส่วนของลำไส้เล็กที่อยู่ต้นกว่า ค่อย ๆ เคลื่อนที่เข้าไปอยู่ในลำไส้ส่วนที่อยู่ปลายกว่า ในลักษณะที่เรียกว่ากลืนกันนั่นเอง ทำให้เกิดภาวะลำไส้อุดตันภายใน โรคนี้สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกเพศ มักจะพบได้บ่อยในเด็กเล็กช่วงอายุ 4-8 เดือน และมักจะเกิดขึ้นในเด็กที่อ้วนท้วน ร่างกายสมบูรณ์ แข็งแรงดี

                อาการของโรค

                – ลูกจะปวดท้องทุกครั้งที่ลำไส้เกิดการบีบตัว จนในบางครั้งทนไม่ไหวจึงส่งเสียงร้องกรี๊ดออกมา
                – ตัวซีด มือ-เท้าเกร็ง เหงื่อออกตามร่างกาย และอาจมีอาการอาเจียนร่วมด้วย และจะเริ่มมีไข้ต่ำและเริ่มซึ่ม
                – อาการปวดท้องจะค่อย ๆ ลดลงเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นชั่วขณะ จนกระทั่งเด็กปวดท้องอีกครั้งพร้อมกับอาเจียนซึ่งอาจจะมีสีเขียวของน้ำดีปนมาด้วย
                – เมื่อลำไส้กลืนกันมากขึ้น ลูกจะเริ่มถ่ายอุจจาระเป็นเลือด ซึ่งมีลักษณะเป็นเลือดสีคล้ำปนออกมากับมูก หรืออาจจะออกมาเป็นเลือดสดก็ได้

                การรักษา

                – แพทย์จะทำการดันลำไส้ส่วนที่เคลื่อนตัวเข้าไป ให้ออกมาจากลำไส้ส่วนที่กลืนกันอยู่โดยการใช้แรงดันผ่านทางทวารหนัก โดยการสวนลำไส้ใหญ่ด้วยสารทึบแสง หรือใช้แรงกดอากาศจากกาซเป็นตัวดัน หากสามารถดันลำไส้ที่กลืนกันออกได้ ก็ไม่จำเป็นต้องผ่าตัด  หากลูกสามารถกินนมแม่หรืออาหารเสริมได้ตามปกติภายในเวลา 12 ชั่วโมง หลังจากการดัน และกลับบ้านได้ภายใน 1-2 วัน
                – ในกรณีที่ลำไส้มีการกลืนกันเป็นระยะเวลานาน จนเกิดการเน่าของลำไส้ หรือไม่สามารถดันลำไส้ที่กลืนกันออกมาได้ จำเป็นต้องได้รับการผ่าตัดให้ลำไส้ส่วนที่กลืนกันคลายตัวออกจากกัน และถ้าลำไส้มีการเน่าตายแล้วก็จำเป็นต้องผ่าตัดตัดต่อลำไส้ส่วนที่ดีเข้าหากัน การดูแลหลังการผ่าตัดนั้น อาจใช้เวลานานกว่าการใช้วิธีดันลำไส้ ลูกจะสามารถกินอาหารได้ตามปกติหลังจากนั้น 3-5 วัน

                สิ่งที่พ่อแม่ต้องระวัง

                สำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่ไม่รู้ว่าลูกน้อยป่วยเป็นโรคลำไส้กลืนกัน เมื่อใดก็ตามที่เห็นว่าลูกมีอาการปวดท้อง อาเจียน มีไข้ อาจนึกไปว่าเป็นโรคลำไส้อักเสบจากการติดเชื้อหรือเป็นโรคบิด ซื้อยามารับประทานเอง กระทั่งลำไส้เริ่มมีการขาดเลือด จนลูกถ่ายอุจจาระเป็นเลือดปนมูกจึงไปแพทย์ ทำให้ได้รับการรักษาที่ช้าเกินไป  แม้ว่าอุบัติการณ์ของการเกิดโรคลำไส้กลืนกันมีไม่มากนัก แต่ก็ยังเป็นโรคที่มีความรุนแรง อาจทำให้เด็กเสียชีวิตได้ ดังนั้น จึงไม่ควรนิ่งนอนใจกับอาการปวดท้องที่เกิดขึ้น ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยโรคและรักษาอย่างเร่งด่วนค่ะ

                ลูกปวดท้องอย่านิ่งนอนใจ อาจเป็นสัญญาณของโรคถัดไปก็เป็นได้

                  อยากได้ลูกแฝด

                  อยากได้ลูกแฝด ต้องลอง 9 วิธีธรรมชาติทำได้แน่นอน!

                  เชื่อว่ามีหลายครอบครัวที่มีความพร้อมมากและเมื่ออยากมีลูก ก็คง อยากได้ลูกแฝด เพราะด้วยความที่ท้องครั้งเดียวแต่ได้เด็กน่ารักพร้อมกันถึง 2 คน (หรือมากกว่า) จึงทำให้คุณแม่หลาย ๆ คนสงสัยว่าถ้าอยากได้ลูกแฝดต้องทำอย่างไร?

                   

                  คงจะดีที่ว่ายิงปืนนัดเดียวแต่ได้นกถึง 2 ตัว เพราะการที่จะมีลูกแฝดได้ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ เลย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากเพราะถ้าคุณอยากมีลูกแฝดจริงๆ ก็พอจะมีเคล็ดลับที่จะช่วยทำให้มีโอกาสในการท้อง “ลูกแฝด” มากขึ้น ซึ่งจะต้องใช้วิธีไหนบ้าง ตามไปดูกันเลยค่ะ

                  อยากได้ลูกแฝด ต้องลอง! 9 วิธีธรรมชาติ พร้อม 1 เซ็กส์ ทำได้แน่นอน

                  การตั้งครรภ์แฝดเกิดจาก?

                  การตั้งครรภ์แฝดสามารถเกิดได้ทั้งตามธรรมชาติ  และเกิดจากเทคโนโลยีช่วยเจริญพันธุ์ แฝดมี 2 ชนิดคือ

                  • แฝดเหมือน เกิดจากไข่1 ใบได้รับการผสมตามกระบวนการธรรมชาติ  แล้วแบ่งตัวออกเป็น 2 จึงมีหน้าตา ท่าทาง และเพศที่เหมือนกัน และถ้าหากว่าไข่นั้นแบ่งตัวไม่สมบูรณ์ ก็จะมีโอกาสที่เด็กจะมีร่างกายบางส่วนที่ติดกันด้วยค่ะ เปอร์เซ็นต์การเกิดแฝดชนิดนี้คือ 1 : 250
                  • แฝดไม่เหมือน เกิดจากไข่2 ใบ (หรืออาจมากกว่า) อาจเกิดจากการผสมทั้งตามธรรมชาติและจากการผสมเทียม เปอร์เซ็นต์การเกิดไม่แน่นอน ขึ้นกับหลาย ๆ ปัจจัยด้วยกัน และใช้เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์นั่นเองที่ทำให้พบภาวะนี้ได้บ่อยมากขึ้นกว่าเดิม ซึ่งเด็กแฝดที่เกิดจากไข่คนละใบ จะเป็นเด็กที่มีหน้าตาคล้ายกัน แต่จะไม่เหมือนกันหมดซะทีเดียว และมีโอกาสที่จะมีเพศต่างกันด้วย เช่น แฝดชาย-หญิง กรณีนี้จะไม่มีการใช้อวัยวะร่วมกัน เพราะเป็นการเกิดจากไข่คนละใบนั่นเอง

                  อยากได้ลูกแฝด

                  โอกาสในการเกิดลูกแฝด

                  จากสถิติทั่วไปพบว่า

                  • การตั้งครรภ์แฝดสองจะเป็นกรณีที่พบได้บ่อยที่สุด ในอัตรา 1 ต่อ 89 ราย (ในการตั้งครรภ์เดี่ยว 89 ราย จะพบครรภ์แฝดสองเพียง 1 ราย)
                  • ส่วนแฝดสามจะพบได้ยากขึ้นในอัตราส่วน 1 ต่อ 892 คือ 89 x 89 = 7,921 ราย
                  • และสำหรับแฝด 4 จะเป็นกรณีที่พบได้ยากมาก ๆ ในอัตรา 1 ต่อ 893 คือ 89 x 89 x89 = 704,969 ราย

                  ส่วนอีกข้อมูลระบุว่าการตั้งครรภ์แฝดสองจะพบได้ประมาณ 1% ของการตั้งครรภ์ทั่วไป (1 ใน 100 ราย) แต่จะมีอัตราการเกิดเพียง 1 ใน 250 ของการคลอดครรภ์แฝดทั้งหมด

                   

                  เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                   

                   

                  อยากได้ลูกแฝด

                  √ ข้อดีของการมีลูกแฝด

                  • อันดับแรกก็คงหนีไม่พ้นความน่ารักและดูพิเศษกว่าเด็กทั่วไปที่จะเป็นเด็กน้อยที่มีความน่ารักและรูปร่างหน้าตาเหมือนกันมากกว่า 1 คน (ในกรณีของแฝดแท้) คุณแม่จะมีความสุขมากเวลาเห็นเด็กทั้ง 2 คนที่มีอายุเท่ากันเล่นด้วยกันหรือสื่อสารกัน ไปไหนมาไหนก็มีแต่คนมารุมล้อมเล่นด้วย
                  • พวกเขาจะเป็นเหมือนพี่เหมือนน้อง เหมือนเพื่อนสนิท เป็นที่ปรึกษาในเวลาเดียวกัน แถมยังเป็นที่ระบายอารมณ์ที่ดีที่สุดอีกด้วย
                  • สามารถแลกของใช้กันได้ ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า ฯลฯ เพราะฝาแฝดส่วนมากจะมีความชอบอะไรที่เหมือน ๆ กันอยู่แล้ว จึงทำให้ประหยัดเงินไปได้เยอะ แต่ก็ใช่ว่าแฝดทุกคู่จะมีความชอบที่เหมือนกันเสมอไป เพราะบางคู่ก็ต่างกันสุดขั้วไปเลยก็มี

                  X ข้อเสียของการมีลูกแฝด

                  • อุ้มท้องลำบาก 2 เท่า ในช่วงไตรมาสที่ 2-3 ของการตั้งครรภ์ ท้องของคุณแม่ครรภ์แฝดจะมีขนาดโตขึ้นมาก เมื่ออายุครรภ์มากเข้าจะทำให้คุณแม่รู้สึกแน่นอึดอัด ไม่สะดวกสบาย หายใจไม่ค่อยออก แถมยังต้องมาแบกรับน้ำหนักที่มากขึ้น ทำให้คุณแม่บางคนอาจจะเดินไปไหนมาไหนไม่ไหวกันเลยก็มี
                  • ภาวะเสี่ยงในระหว่างการตั้งครรภ์ ขณะคลอด และหลังคลอด จะมีโอกาสเกิดขึ้นได้มากการตั้งครรภ์เดี่ยว ซึ่งเรื่องค่าใช้จ่ายในการฝากครรภ์จึงมีสูงขึ้น เพราะแพทย์ต้องนัดไปตรวจถี่กว่าคุณแม่ตั้งครรภ์เดี่ยว คุณแม่บางรายอาจต้องสูญเสียลูกไป 1 คน หรือเสียลูกไปทั้ง 2 คนจากการแท้งบุตรก็ได้
                  • แฝดแท้หน้าเหมือนเกิดได้น้อย จากกระบวนการทำเด็กหลอดแก้วคุณแม่จะมีโอกาสได้ลูกที่เป็นแฝดแท้น้อยกว่าแฝดเทียมมาก (โอกาสที่จะได้แฝดแท้หน้าเหมือนมีเพียงส่วนน้อยเท่านั้น) หรือก็คือส่วนใหญ่จะได้แฝดที่มาจากไข่คนละใบ หน้าตาจึงไม่เหมือนซะทีเดียว แต่จะดูคล้ายเหมือนเป็นพี่น้องกันมากกว่า หรืออาจจะเป็นคนละเพศซึ่งคุณแม่ที่คาดหวังว่าจะได้ลูกแฝดแท้หน้าเหมือนก็อาจจะเกิดความผิดหวังก็เป็นได้
                  • ปัญหาเรื่องการเลี้ยงดู การเลี้ยงลูกแฝดก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แต่การมีลูกแฝดจะยากกว่าการเลี้ยงเด็ก 2 คนที่เป็นพี่น้องกันมาก คุณแม่จะต้องมาคิดว่าจะเลี้ยงลูกยังไงไม่ให้เขาทั้งสองรู้สึกว่าไม่ด้อยไปกว่ากัน เพราะปัญหาที่พบได้บ่อย ๆ ของเด็กแฝดก็คือพวกเขาอาจมีความรู้สึกว่าตนเองนั้นด้อยกว่า มักจะโดนเปรียบเทียบกันตลอด จึงอาจทำให้เกิดปัญหาการอิจฉาฝาแฝดของตนเองตามมา
                  • ปัญหาเรื่องค่าใช้จ่าย ค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูจะต้องคูณสองคูณสามเข้าไปอีก ต้องถามว่าครอบครัวพร้อมไหมสำหรับการเลี้ยงดูเด็กแฝดทั้งสองคนพร้อมกัน ถ้ามีคนช่วยเลี้ยงก็ดี แต่ถ้าต้องจ้างพี่เลี้ยงค่าใช้จ่ายมันจะขึ้นมากเลยทีเดียว เพราะการจะจ้างพี่เลี้ยงจากศูนย์ในกรณีของลูกแฝดจะต้องมีพี่เลี้ยง 2 คน ถ้าสภาพทางการเงินของครอบครัวไม่มั่นคงจริงหรือไม่มีญาติพี่น้องคอยช่วยเลี้ยงเลย ก็คงเป็นเรื่องที่หนักเอาการ
                  • เสียเวลาความเป็นส่วนตัว คุณแม่หรือคุณพ่อจะต้องเสียสละเวลาส่วนตัวของตัวเองเกือบทั้งหมดไปกับการดูแลเด็กทั้ง 2 คน เพราะเด็ก ๆ ที่กิน เล่น หรือตื่นไม่พร้อมกันจะเท่ากับว่าคุณแม่ต้องทำกิจกรรมต่าง ๆ เป็น 2 เท่าตลอด ไม่ว่าจะอาบน้ำ แต่งตัว การให้นม หรือการป้อนข้าว

                  วิธีการและปัจจัยที่ทำให้สมหวังได้สำหรับครอบครัวที่อยากได้ลูกแฝด

                  1. กรรมพันธุ์ ถ้าคนในครอบครัวมีประวัติการตั้งครรภ์แฝด คุณแม่จะมีโอกาสตั้งครรภ์แฝดมากขึ้น (การถ่ายทอดทางพันธุกรรมของครรภ์แฝดนั้นจะมาจากทางฝ่ายแม่มากกว่าฝ่ายพ่อ)

                  2. เชื้อชาติ ถ้าคุณแม่เป็นชนชาติแอฟริกันจะมีโอกาสตั้งครรภ์แฝดได้มากกว่าคุณแม่ที่เป็นคนผิวขาวหรือคนผิวเหลือง (อัตราการเกิดครรภ์แฝดจะแตกต่างกันไปตามเชื้อชาติ ในคนผิวสีจะพบได้ประมาณ 1-4% ส่วนคนผิวขาวจะพบได้ประมาณ 0.7-1% และในคนผิวเหลืองอย่างเอเชียบ้านเราจะอยู่ที่ประมาณ 0.3% และเกือบทั้งหมดจะเป็นแฝดเทียมหรือแฝดต่างไข่)

                  3. จำนวนครรภ์หรือการตั้งครรภ์หลัง ๆ สำหรับคุณแม่ที่เคยคลอดลูกมาแล้วหลายคนจะมีโอกาสตั้งครรภ์แฝดได้มากขึ้นเช่นกัน เพราะการตั้งครรภ์หลายครั้งจะทำให้ไข่มีโอกาสตกเยอะขึ้น

                  อ่านต่อ >> วิธีการและปัจจัยที่ทำให้มีลูกแฝด พร้อมท่าเซ็กส์ในการทำให้ได้ลูก” คลิกหน้า 2

                  เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                   

                    ลูกโดนแมลงกัด

                    7 วิธีสังเกตตุ่มตามตัวเมื่อ ลูกโดนแมลงกัด

                    เมื่อ ลูกโดนแมลงกัด มีตุ่มขึ้นตามตัวโดยไม่รู้ว่าคือตัวอะไร พบ 7 วิธีสังเกตตุ่มบวมบอกสัตว์ชนิดไหนกัดลูกกันแน่!

                     

                    คุณพ่อคุณแม่ทราบกันหรือไม่คะว่า เจ้าตุ่มต่าง ๆ ที่เราเห็นนั้น สามารถบอกได้ว่าลูกโดนตัวอะไรกัดมากันแน่ และในวันนี้ทีมงาน Amarin Baby and Kids ก็ได้รวบรวมเอา 7 ลักษณะของตุ่มที่เกิดจากแมลงกัดมาฝาก และ 1 ใน 5 นั้นก็มีสัตว์ร่ายมีพิษอยู่ด้วยเช่นกัน และแน่นอนว่า เจ้าพวกแมลงร้ายเหล่านี้ ไม่เลือกว่าจะต้องกัดฤดูอะไร เพราะพวกมันสามารถกัดพวกเราได้ทุกคนตลอดเวลา

                    ตัวเรือด

                    ตัวเรือดนั้นเมื่อโตเต็มตัวสามารถวัดได้ถึง 5.5-6.5 มิลลิเมตร  มันจะทำการเจาะดูดเลือดมนุษย์ในตอนที่เรานอนหลับ  และเมื่อตกกลางคืนหรืออยู่ในที่มืด ตัวเรือดก็จะไต่คลานออกมา และเมื่อถึงตัวคน มันก็เริ่มเจาะและดูดเลือด การเจาะดูดเลือดแต่ละครั้ง ตัวเรือดจะใช้เวลาประมาณ 5-10 นาที จึงจะได้เลือดเต็มท้อง โดยทั่วไปแล้วตัวเรือดมักจะออกมาหากินทุก ๆ 5-10 วัน การไต่คลานไปหาเหยื่อของตัวเรือด อาศัยการติดตามก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และความร้อนที่แผ่ออกมาจากร่างกายของเหยื่อนั่นเอง และเมื่อกัดแล้วจะเริ่มบวมและคัน ที่สำคัญจะทำให้ปวด ถึงแม้ว่าเจ้าตัวเรือดมันจะไม่อยู่แล้วก็ตาม แต่พิษสงที่มันฝากเอาไว้ยังคงอยู่

                    วิธีการปฐมพยาบาล

                    อย่าเกา และให้กินยา Antihistamine ซึ่งเป็นยาแก้แพ้ช่วยลดอาการคันได้ดี นอกจากนั้นให้หายาทาที่มีส่วนผสมของ Hydrocortisone ซึ่งหาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไป แต่ถ้าหากยังไม่ดีขึ้น หมายความว่าแผลเริ่มบวมแดงขึ้นเรื่อย ๆ ก็แนะนำให้ไปหาหมอทันทีค่ะ

                    แมงมุม

                    เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณแม่เห็นร่องรอยกัด (ตามภาพ) ที่นิ้วมือของลูกละก็ ให้สันนิษฐานว่าลูกอาจจะโดนแมงมุมกัดได้ค่ะ อย่ารอช้า ให้รีบไปพบแพทย์เพื่อเข้ารับการรักษาทันที เพราะเราไม่มีทางรู้เลยว่า แมงมุมที่มากัดเรานั้นมีพิษหรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แมงมุมแม่ม่าย หรือแมงมุมแม่ม่ายดำ

                    พิษแมงมุมแม่ม่ายดำมีผลต่อระบบประสาทเป็นหลัก เมื่อถูกกัดอาจรู้สึกเหมือนเข็มทิ่มหรือไม่รู้สึกอะไร แต่ผิวหนังบริเวณดังกล่าวจะแสดงปฏิกิริยาทันทีและอาจเห็นรอยเขี้ยวเป็นรูบนผิวหนัง โดยผู้ที่ถูกแมงมุมแม่ม่ายดำกัดอาจมีอาการตามมาคือ อาการปวดภายใน 1 ชั่วโมง โดยมักจะปวดบริเวณรอบ ๆ ที่เป็นรอยกัดค่ะ เริ่มมีอาการปวดบีบหรือเกร็งใจท้อง คลื่นไส้อาเจียน ความดันโลหิตสูง และอ่อนเพลีย เป็นต้น

                    วิธีการปฐมพยาบาล

                    • ล้างทำความสะอาดบริเวณที่ถูกกัดด้วยสบู่อ่อน ๆ และน้ำสะอาด โดยไม่ควรบีบหรือเค้นแผลเพราะจะทำให้พิษกระจายมากขึ้น
                    • ประคบเย็นที่แผลถูกกัดด้วยน้ำแข็ง หรือใช้ผ้าชุบน้ำเย็นแล้วบิดให้แห้ง เพื่อลดการกระจายของพิษ ตลอดจนอาการปวดและบวม
                    • หากจำเป็น อาจรับประทานยาที่หาซื้อได้ทั่วไป เช่น ยาบรรเทาอาการปวดอย่างพาราเซตามอล ไอบูโพรเฟน รวมถึงยาแก้แพ้

                     

                    เครดิต: พบแพทย์

                     

                    เห็บ

                    ลูกโดนแมลงกัด

                    สำหรับคนที่โดนเห็บกัดมักจะไม่เจ็บ ไม่มีอาการ เนื่องจากเห็บปล่อยสารที่ทำให้ชา และทำให้เลือดไม่แข็งตัว ส่วนใหญ่คนที่ถูกเห็บกัดจะสังเกตเห็นเห็บติดอยู่ที่ผิวหนัง ขณะอาบน้ำหรือเกา หลังเห็บหลุด (ทั้งหลุดเองเมื่อดูดเลือดอิ่มหรือจากการดึงออก) อาจเกิดปฏิกิริยาที่ผิวหนังเป็นตุ่มแดงคันบริเวณที่ถูกกัด ต่อมาตุ่มอาจใหญ่เป็นปื้น หรือก้อนนูนได้ ตุ่มพวกนี้แหละที่เป็นปัญหาให้มาพบหมอเพราะคันเหลือเกิน และเป็น ตุ่มอยู่นานหลายเดือนหรือเป็นปี ซึ่งถ้าเด็กหรือผู้ใหญ่โดนกัด และไม่ได้สนใจอาการรอยแดงตั้งแต่เนิ่น ๆ ทำให้อาการอาจจะหนักขึ้น ซึ่งผู้ที่โดนเห็บกัดอาจมีอาการแขนขาไร้เรี่ยวแรงใน 2-7 วัน อาจจะรุนแรงถึงขนาดหายใจไม่ออก และเสียชีวิตได้

                    วิธีการปฐมพยาบาล

                    • ให้รีบล้างน้ำสบู่อุ่น ๆ ตรงบริเวณที่ถูกเห็บกัด ใช้น้ำยาฆ่าเชื้อและถุงประคบน้ำแข็งในการลดอาการบวม
                    • หากคุณไม่มีถุงประคบน้ำแข็ง เพียงแค่ใช้ผ้าพันแผลที่ยืดหยุ่นได้หรือถุงพลาสติกหุ้มน้ำแข็งเอาไว้ก็ได้ หรือคุณจะใช้ถุงผักแช่แข็งสักถุงก็ได้เช่นกัน
                    • ประคบน้ำแข็งประมาณ 10 นาที จากนั้นก็เอาออกอีก 10 นาที ทำแบบนี้จนกว่าจะผ่านไปประมาณชั่วโมงหนึ่ง
                    • ลองใช้โลชั่นคาลาไมน์หรือครีมไฮโดรคอร์ติโซน ครีมทั้งสองชนิดนี้สามารถหาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไป ซึ่งอาจบรรเทาอาการคันจากการที่โดนเห็บกัดได้
                    • ปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรในการบรรเทาอาการคันด้วยยาแก้แพ้

                    เครดิต: Wikihow

                    อ่านต่อ วิธีสังเกตตุ่มจากแมลงชนิดอื่นๆ คลิกหน้า 2

                      ตั้งครรภ์อายุมาก

                      ตั้งครรภ์อายุมาก กว่า 30 อย่างไรให้ปลอดภัย?

                      ตั้งครรภ์อายุมาก เป็นเรื่องที่ผู้หญิงส่วนใหญ่มีความกังวลกัน โดยเฉพาะความปลอดภัยต่อสุขภาพลูกในท้อง เพราะเชื่อว่าถ้าท้องตอนอายุมากกว่า 30 ปีขึ้นไป จะทำให้ลูกในท้องเสี่ยงต่อภาวะดาวน์ซินโดรม และแม่ก็เสี่ยงต่อภาวะแท้งคุกคาม ฯลฯ ที่อาจเกิดขึ้นได้ขณะตั้งครรภ์ ทีมงาน Amarin Baby & Kids มีคำแนะนำสำหรับผู้หญิงที่จะท้องตอนอายุมากแล้ว มาฝากค่ะ

                       

                      ตั้งครรภ์อายุมาก – อายุเท่าไหร่ที่น่าจะท้องได้อย่างปลอดภัย !?

                      ผู้เขียนมีเพื่อนๆ ที่ ตั้งครรภ์อายุมาก กันอยู่หลายคนเลยค่ะ ซึ่งมีทั้งท้องตอนอายุ 33 และ 35 ปี ถามว่าแต่ละคนกลัวไหมที่จะ ท้องตอนอายุมากๆ กันแล้ว คำตอบที่ได้คือ “กลัว”  แล้วถ้ากลัวทำไมถึงมาท้องกันตอนอายุที่มากแล้วละ? จริงๆ ก็หลายเหตุผลค่ะ ทั้งแต่งงานช้า ยุ่งทำงานไม่มีเวลา กว่าจะมีลูกได้ก็อายุล่วงเลยกันมาจนป่านนี้

                      แน่นอนว่าท้องตอนอายุมาก อาจมีผลต่อสุขภาพครรภ์บ้าง เช่น อาการแทรกซ้อนต่างๆ เช่น ภาวะแท้งคุกคาม ครรภ์เป็นพิษ รกเกาะต่ำ ฯลฯ รวมถึงภาวะเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นกับลูกในท้อง เช่น ภาวะดาวน์ซินโดรม เป็นต้น แต่เพื่อความมั่นใจ และปลอดภัยต่อ สุขภาพของแม่ท้อง และก็ลูกน้อยในครรภ์ อายุในการอุ้มท้องก็มีผลอยู่มากค่ะ

                      ผู้เขียนอ่านเจอบทความรู้หนึ่งเกี่ยวกับอายุของแม่กับการตั้งครรภ์ของ รศ.นพ.วิทยา  ถิฐาพันธ์ ภาควิชาสูติศาสตร์ – นรีเวชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ได้ให้ข้อคิดเห็นเกี่ยวกับอายุของแม่ที่มีผลต่อสุขภาพครรภ์ นั่นคือ ช่วงที่ผู้หญิงจะมีความแข็งแรงสมบูรณ์ของร่างกาย ที่น่าจะพร้อมต่อการตั้งครรภ์ มีปัญหาน้อยที่สุดตั้งต่อตัวแม่ท้อง และลูกในท้อง จะอยู่ในช่วงอายุประมาณ 20-30 ปี ซึ่งเหมาะสมกับการอุ้มท้องมีลูก เห็นช่วงอายุแล้วใครที่อายุ 20 ต้นๆ ยังเรียนอยู่ก็เรียนให้จบกันก่อน (ไม่สนับสนุนให้ท้องไม่พร้อมค่ะ)

                      บทความแนะนำ คลิก>> ข้อดี vs ข้อเสีย ของการ มีลูกเมื่ออายุมาก

                      อย่างที่รู้กันค่ะว่าการกะเกณฑ์ที่จะมีลูกให้ได้ก่อนอายุ 30 ปี อาจไม่ง่ายกับทุกคู่รัก เพราะไม่ใช่ทุกคู่ ทุกครอบครัวที่แต่งงานกันเร็วก่อนอายุสามสิบ หรือไม่พอแต่งงานไปถึงปล่อยให้มีลูกๆ ก็ไม่มีสักที คืออาจเข้าข่ายภาวะมีลูกยาก อาจจะด้วยสุขภาพของไม่ฝ่ายหญิง ก็ฝ่ายชาย ดังนั้นจึงแนะนำให้กับผู้หญิงที่ ตั้งครรภ์อายุมาก สิ่งสำคัญที่ต้องทำเป็นอันดับแรกเลยคือ การตรวจสุขภาพก่อนท้อง ซึ่งควรตรวจทั้งสามี ภรรยา ตรวจสุขภาพให้พร้อม มั่นใจว่าจะมีลูกได้อย่างปลอดภัยถึงแม้จะอายุเยอะแล้วก็ตาม

                      อ่านต่อ ท้องตอนอายุมากกว่า 30 ปี อย่างไรให้ปลอดภัย หน้า 2

                       

                      เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                        เคี้ยวอาหารให้ละเอียด

                        เคี้ยวอาหารให้ละเอียด ได้สุขภาพอะไรบ้าง?

                        เคี้ยวอาหารให้ละเอียด อย่ารีบกิน รีบกลืน ผู้เขียนเป็นคนนึงเวลาไปทานอาหารกับเพื่อนๆ หรือทานข้าวที่บ้าน จะเป็นคนแรกๆ ทานข้าวหมดจานก่อนใคร ซึ่งพึ่งมารู้ว่าการเคี้ยวอาหารเร็วๆ นั้นมีผลเสียต่อระบบการย่อยอาหาร แถมยังทำให้อ้วน! เพื่อการมีสุขภาพที่ดีจากการเคี้ยวอาหารช้าๆ ทีมงาน Amarin Baby & Kids มีข้อมูลที่เป็นประโยชน์มาบอกกันค่ะ

                         

                         เคี้ยวอาหารให้ละเอียด ดีต่อระบบย่อยยังไง?

                        จากที่มีปัญหาเรื่องระบบกระเพาะ น้ำหนักตัว ผู้เขียนเปลี่ยนมา เคี้ยวอาหารให้ละเอียด เคี้ยวให้ช้าลง ถามว่าช้าแค่ไหน แบบ นี้เลยค่ะ เคี้ยวเอื้องแบบวัว ถ้าชีวิตประจำวันไม่ได้เร่งรีบมาก ช่วงมื้ออาหารก็ให้เวลาร่างกายด้วยการผ่อนคลายไปกับรสชาติ อาหารในจานบ้างค่ะ ลองทำกันเถอะค่ะ ดีจริงๆ

                        บางคนถามว่าทำไมต้องเคี้ยวอาหารให้ละเอียดก่อนกลืน ผู้เขียนก็เคยสงสัยเช่นกัน ตักข้าวเข้าปากเคี้ยวๆ 2-3 ทีแล้วกลืนเลย ไม่ได้เหรอ เดี๋ยวอาหารลงไปในกระเพาะก็บด ก็ย่อยเองแหละ ใครที่ยังคิดแบบนี้ ขอให้คิดใหม่ เคี้ยวใหม่ค่ะ ^_^

                        บทความแนะนำ คลิก>> กินน้ำถูกวิธี ลดความอ้วน ช่วยให้สุขภาพดี

                        ผลเสียของการเคี้ยวอาหารไม่ละเอียดแล้วรีบกลืนลงไป รู้ไหมคะว่า จะทำให้กระเพาะอาหารของเรานั้นทำงานหนักมาก ยิ่งขึ้น นั่นเป็นเพราะว่าส่วนประกอบของกระเพาะอาหารเป็นกล้ามเนื้อที่อ่อนนุ่ม ทำให้ไม่สามารถย่อยอาหารที่ชิ้นใหญ่  และแข็งได้ค่ะ เมื่อกระเพาะย่อยอาหารได้ไม่สมบูรณ์ เป็นผลทำให้กระเพาะอาหารต้องขับน้ำย่อยออกมามากขึ้นเกิดกรดเกิน  ป่วยเป็นโรคกรดไหลย้อนได้ค่ะ  และที่น่ากลัวคืออาหารที่ย่อยยาก หรือย่อยไม่หมดจะไปเสียดสีกระเพาะอาหารอยู่เรื่อยๆ  สามารถทำให้เป็นโรคกระเพาะอาหารอักเสบได้ด้วยเช่นกัน

                        Good to know … จำนวนเคี้ยวยิ่งมาก สุขภาพยิ่งดี

                        • เคี้ยวอาหาร 15 ครั้ง/คำ ช่วยเหงือกแข็งแรง คลายจากความตึงเครียด

                        • เคี้ยวอาหาร 30 ครั้ง/คำ ช่วยลดความอ้วน

                        • เคี้ยวอาหาร 60 ครั้ง/คำ ช่วยลดอาการท้องผูก สมองมีประสิทธิภาพทำงานได้ดี

                        • เคี้ยวอาหาร 80 ครั้ง/คำ ช่วยความจำดี

                        • เคี้ยวอาหาร 100 ครั้ง/คำ ช่วยทำให้ใจสงบ และแก้ปัญหาได้ดี

                        พอจะเห็นถึงประโยชน์จากการเคี้ยวอาหาร เคี้ยวข้าวให้ช้าลงกันบ้างแล้วใช่ไหมคะ แต่ยังไม่หมดแค่เท่านี้ เพราะการเคี้ยวข้าวอย่างช้าๆ ยังมีผลต่อการทำงานของสมอง และด้านอื่นๆ ของร่างกายด้วย ไปติดตามพร้อมกันค่ะ

                        อ่านต่อ การเคี้ยวอาหารช้าๆ ดีต่อสมองอย่างไร หน้า 2

                         

                        เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                          เผยเคล็ดลับ

                          เผยเคล็ดลับ! วิธีสอนภาษาอังกฤษลูก ให้เก่ง โดยไม่ต้องเรียนพิเศษ

                          มีพ่อแม่หลายคนอยากให้ลูกเก่งภาษาอังกฤษ จึงพยายามสรรหา วิธีสอนภาษาอังกฤษลูก ให้สามารถฟังพูดอ่านเขียนได้อย่างคล่องแคล่ว เพื่ออนาคตที่ดีของลูกเมื่อโตขึ้น

                          Continue reading “เผยเคล็ดลับ! วิธีสอนภาษาอังกฤษลูก ให้เก่ง โดยไม่ต้องเรียนพิเศษ”

                            ลูกหนังหัวลอก

                            ลูกหนังหัวลอก ต้องดูแลอย่างไร?

                            ลูกหนังหัวลอก พ่อแม่มือใหม่คนไหนเคยสังเกตกันบ้างว่า มีอะไรขาวๆ คราบไขมัน หรือคราบสะเก็ดหนาๆ ที่ติดอยู่บนศีรษะลูก ที่ถึงแม้จะคลอดออกมาได้หลายวันแล้วก็ตาม เอ้!!! ว่าแต่คุณแม่ควรแกะ แคะ ออกมาดีไหมนะ? หรือต้องดูแลหนังศีรษะลูกอย่างไรดี ทีมงาน Amarin Baby & Kids มีสิ่งที่ควรทำ และไม่ควรทำเมื่อ ลูกหนังหัวลอก มาให้ได้ทราบกันค่ะ

                             

                            ลูกหนังหัวลอก กับความบอบบางของ “กระหม่อม”

                            ก่อนที่จะพาคุณพ่อคุณแม่มือใหม่ไปพบกับปัญหา ลูกหนังหัวลอก ที่มักเจอกันอยู่บ่อยๆ ว่าต้องดูแลรักษาอย่างไรถึงจะถูกต้องไม่เป็นอันตรายต่อลูก ผู้เขียนขอย้อนกลับไปว่ากันด้วยเรื่อง กระหม่อมเด็กก่อนค่ะ เพราะมีแม่ๆ ถามกันมา พอสมควรว่า ทำไม กระหม่อมเด็กจึงบาง?

                            กะโหลกศีรษะของเด็กแรกเกิดประกอบไปด้วยกระดูกแผ่นบางๆ ที่แยกออกจากกันเป็นชิ้นๆ ตรงรอยต่อที่กระดูกสี่ชิ้นมา ชนกัน ก็จะเกิดเป็นช่องว่าง และช่องว่างเหล่านี้มีทั้งหมดหลายช่อง แต่ที่สังเกตเห็นได้มีทั้งสิ้น 6 จุด ซึ่งหลังจากคลอดช่องว่างทั้ง 6 จุดจะขยายขนาดขึ้น และจะมีเนื้อเยื่อเส้นใยที่แข็งแรงช่วยปกป้องสมองที่ภายใน สำหรับจุดเปราะบางที่แผ่น กระดูกทั้งหมดมาบรรจบกัน เรียกว่า “กระหม่อม”  มาดูกันว่าจุดของกระหม่อมทั้ง 6 จุดนี้นั้นแบ่งออกมาเป็นส่วนใดต่างๆ อะไรบ้างค่ะ

                            กระหม่อมหน้า 1 จุด

                            กระหม่อมหลัง 1 จุด

                            กระหม่อมข้างค่อนไปด้านหลัง 2 จุด

                            กระหม่อมกกหู 2 จุด

                            บทความแนะนำ คลิก>> กระหม่อมทารก ปิด-เปิด-โป่ง-ยุบ เรื่องสำคัญ แม่ต้องสังเกต

                            และเมื่อลูกอายุได้ประมาณ 8 สัปดาห์ กระหม่อมข้าง กับกระหม่อมกกหู จะค่อยๆ ถูกแทนที่ด้วยกระดูก และก็จะค่อยๆ ปิดตัวจนสมบูรณ์ ส่วนกระหม่อมหน้า กับ กระหม่อมหลัง ยังไม่ปิดเหมือนกับกระหม่อมส่วนอื่น นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงให้ระวังในส่วนกระหม่อม (ศีรษะ) ของลูกวัยทารกกันให้มากๆ แต่คุณแม่ไม่ต้องกังวลนะคะ เพราะเมื่อลูกอายุได้ประมาณ 4 เดือน กระหม่อมทั้ง 6 จุดจะแข็งแรงและปิดอย่างสมบูรณ์ค่ะ ที่สำคัญถึงกระหม่อมลูกจะแข็งแรงสมบูรณ์ขึ้นแล้วก็ไม่ได้หมายความว่าจะทำรุนแรงกับศีรษะลูกได้นะคะ อย่าลืมว่าภายในกะโหลกนั้นมี สมอง เนื้อสมองอยู่ หากเผลอไปเขย่าลูกอาจเสี่ยงทำลูกเสียชีวิตจากภาวะ Shaken Baby Syndrome ได้นะคะ ฉะนั้นต้องระวังกันให้มากๆ ด้วยนะจ๊ะ

                            อ่านต่อ  4 วิธีแก้ปัญหา หนังศีรษะทารกลอก หน้า 2 

                             

                            เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                              อ้วนหลังคลอด

                              อ้วนหลังคลอด น่ากลัวอย่างไร อยากรู้ต้องอ่าน!

                              ไม่อยาก อ้วนหลังคลอด ต้องอ่าน!! เพราะความน่ากลัวมันมากับความอ้วน! กับวิธีลดน้ำหนักที่ปลอดภัย

                               

                              มีคุณแม่ท่านไหนบ้าง? อยากเป็นคนอ้วน? … แน่นอนว่าคำตอบที่ได้คือ ไม่มี! แต่ทำไมเราถึงเห็นคุณแม่ส่วนใหญ่มีลูกแล้วมักจะอวบอ้วนกันทุกคน หลายท่านเปลี่ยนจากเสื้อผ้าไซส์ S มาเป็นไซส์ L บ้างก็มี … เรียกได้ว่า ความอ้วนได้พรากความสวยไปจากเราเสียจริง ๆ

                              ผลงานวิจัยกับความ อ้วนหลังคลอด ของคุณแม่

                              คุณแม่ ๆ ทราบกันหรือไม่คะว่า ได้มีผลงานวิจัยของมหาวิทยาลัยมิเนโซต้า พบว่า เป็นไปได้ที่คุณแม่ที่มีลูกเล็กจะมีน้ำหนักมากกว่าสาวโสดที่อยู่ในวัยเดียวกัน นอกจากนี้คุณแม่ลูกเล็กยังมีโอกาสรับประทานอาหารแคลอรี่สูง ดื่มเครื่องดื่มที่มีรสหวานมากกว่าสาว ๆ ร่วมรุ่นอีกด้วย

                              ซึ่งการศึกษาชิ้นนี้ได้ทำจากกลุ่มตัวอย่างจำนวน 1,520 คนที่มีอายุเฉลี่ย 25 ปี พบว่า ผู้ที่เป็นคุณแม่แล้วนั้นจะดื่มเครื่องดื่มรสหวาน และรับประทานอาหารไขมันสูงเฉลี่ยประมาณ 7 ครั้งต่อสัปดาห์ เทียบกับสาวที่ไม่มีลูกที่จะอยู่ที่ 4 ครั้งต่อสัปดาห์ ทำให้พวกเธอรับแคลอรี่เข้าไปโดยเฉลี่ย 2,360 แคลอรี่ต่อวัน มากกว่าเพื่อนสาวโสดที่อยู่ในวัยเดียวกันถึง 368 แคลอรี่เลยทีเดียว และถ้าต้องการอยากกลับมามีหุ่นสวยเพรียวลม ก็อาจต้องออกกำลังกายให้มากกว่าปกติด้วย

                              อ่านต่อผลงานวิจัยเพิ่มเติม คลิก!

                                ไวน์แดง

                                ปลุกอารมณ์ รักให้เร่าร้อนด้วยไวน์แดง

                                ” ปลุกอารมณ์ ” รักให้กลับมาเร่าร้อน ด้วยเครื่องดื่มสุดคลาสสิคระดับโลกอย่าง “ไวน์แดง”

                                 

                                คุณพ่อคุณแม่คงสงสัยว่า อ้าว! ไหนบอกว่าการดื่มเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์นั้นทำลายสมรรถภาพทางเพศไง แล้วทำไม ๆ จู่ ๆ ถึงมาบอกว่า ไวน์แดง คือเครื่องดื่มปลุกอารมณ์ทางเพศให้เร่าร้อนได้!?

                                เหรียญยังมีสองด้าน ดาบยังมีสองคม แม้แต่หน้าอกหน้าใจของเรายังมีสองข้างเลย แล้วทำไมเครื่องดื่มถึงจะมีทั้งคุณและโทษไม่ได้? ในวันนี้ทีมงาน Amarin Baby and Kids จึงได้ค้นหาข้อมูลและข้อสรุปของเรื่องนี้มาฝากคุณพ่อคุณแม่ทุก ๆ ท่านกันค่ะ

                                 เพราะอะไร ไวน์แดง ถึงเป็นสุดยอดเครื่องดื่ม ปลุกอารมณ์ ?

                                ได้มีผลงานวิจัยหนึ่งเปิดเผยว่า การดื่มไวน์แดงเพียงวันละหนึ่งถึงสองแก้วนั้น สามารถสร้างความประทับใจทางเพศสัมพันธ์ต่อชายคู่รักได้ดีกว่าผู้หญิงที่ชอบดื่มเหล้าหรือเบียร์! นั่นเป็นเพราะไวน์แดงนั้นมีส่วนช่วยในการสลายไขมันในเลือด ทำให้การไหลเวียนของเลือดนั้นสามารถหล่อเลี้ยงอวัยวะต่าง ๆ ได้อย่างทั่วถึง รวมไปถึงอวัยวะเพศด้วย!

                                นอกจากนี้ไวน์แดงยังมีประโยชน์ในด้านอื่น ๆ อีกด้วยเช่นกันนะคะ จะมีอะไรบ้างถ้าอยากรู้แล้วละก็

                                คลิกหาคำตอบกันได้ที่หน้าถัดไปเลยค่ะ


                                เครดิต: Thaiza

                                  อันตรายจากของเล่น

                                  อันตรายจากของเล่น…พ่อโพสต์เตือน! หามลูกส่งรพ. ด่วน! เพราะเล่นของไม่เหมาะกับวัย (มีคลิป)

                                  อันตรายจากของเล่น เป็นสิ่งที่พ่อแม่ต้องระวังโดยเฉพาะกับลูกน้อยวัยซนตัวเล็ก ๆ เพราะของเล่นที่ไม่เหมาะสม หรือของเล่นที่ไม่เหมาะกับวัยของลูก ก็อาจทำให้ของเล่นนั้นเป็นอันตราย เกิดโทษได้โดยที่คุณไม่ทันคาดคิด

                                  Continue reading “อันตรายจากของเล่น…พ่อโพสต์เตือน! หามลูกส่งรพ. ด่วน! เพราะเล่นของไม่เหมาะกับวัย (มีคลิป)”

                                    เนื้องอกนอกมดลูก

                                    9 อาการใกล้ตัวเสี่ยงเป็น “เนื้องอกนอกมดลูก”

                                    เนื้องอกนอกมดลูก เป็นอย่างไร ตำแหน่งไหนเป็นแล้วอันตรายที่สุด วันนี้มีคำตอบของคุณหมอมาฝากทุกคนค่ะ

                                     

                                    พูดถึง “เนื้องอก” อาการที่ไม่มีใครปรารถนาเพราะกลัวว่าหากปล่อยเอาไว้นั้น อาจผันแปรเป็น “มะเร็ง” ได้ ซึ่งเนื้องอกที่ผู้หญิงทุกคนต่างพากันกลัวมากที่สุดก็คือ “เนื้องอกนอกมดลูก”!! เพราะกลัวว่าวันนึงอาการนี้จะพัฒนากลายเป็น มะเร็งแทน!

                                    เรื่องนี้จะมีความเป็นไปได้มากน้อยเพียงใด วันนี้ คุณหมอกิตติ ตู้จินดา จะมาไขความกระจ่างให้คุณแม่ทุกท่านได้เข้าใจกันค่ะ แต่ก่อนอื่นเราไปทำความรู้จักกับมดลูกกันก่อนนะคะ

                                    ทราบกันหรือไม่คะว่า มดลูกมีส่วนประกอบกี่ชั้น

                                    คำตอบ: 3 ชั้น ได้แก่ เยื่อบุโพรงมดลูก กล้ามเนื้อมดลูก และเยื้อหุ้มมดลูก

                                    สาเหตุของการเกิดคืออะไร?

                                    คำตอบ: ยังไม่เป็นที่ทราบรู้แต่ว่าปัจจัยที่อาจทำให้เพิ่มอัตราการเป็นเนื้องอกนอกมดลูกอันดับแรกเลยคือ พันธุกรรม! นอกจากนี้ คุณหมอกิตติยังกล่าวอีกว่า อีกสาเหตุที่ทำให้เกิดนั้นก็คือ พฤติกรรมของตัวเราเองนี่ละค่ะ กลุ่มคนที่มีความเสี่ยงมากที่สุดก็คือ นักดื่ม และในคนที่เป็นโรคความดันสูงมาก ๆ เป็นมานาน มีอัตราการเป็นเนื้องอกมดลูกมากกว่าคนปกติ ส่วนคนอ้วนก็เช่นกัน และพวกที่ชอบการทานเนื้อ แฮม และพวกเนื้อแดงอีกด้วย

                                    เนื้องอกนอกมดลูก เป็นตรงไหนอันตรายที่สุด คลิก!