สาหร่าย

5 สาหร่าย ป้องกันไขมันในเลือดสูง

สาหร่ายเป็นอาหารของชาวเอเชียมานานนับพันปี ทั้งเป็นหนึ่งในอาหารประจำวันของชาวโอกินาว่า ซึ่งมีประชากรที่อายุยืนเกิน 100 ปี มากที่สุดแห่งหนึ่งในโลก อาหารชีวจิตเองก็นับว่าทันสมัย ไม่เปลี่ยน เพราะ อาจารย์สาทิส อินทรกำแหง กูรูต้นตำรับชีวจิต ทราบถึงประโยชน์จึงแนะนำให้รวมสาหร่ายไว้ในเมนูอาหารประจำวันเช่นกัน เนื่องจากสาหร่ายมีประโยชน์สารพัด อาทิการป้องกันไขมันในเลือดสูงนี่ล่ะค่ะ วันนี้จึงขอแนะนำให้รู้จักกัน 5 ชนิด ดังนี้

 สาหร่ายพวงองุ่นลดไขมันในเลือด ต้านเบาหวาน

 สาหร่ายทะเลสีเขียว เป็นเม็ดกลม เรียงกันเป็นช่อคล้ายพวงองุ่น หรือคล้ายไข่ปลาคาร์เวียร์ ชาวญี่ปุ่นเรียกสาหร่ายชนิดนี้ว่า อุมิ บูโด (umibudo) ส่วนชาวไทยรู้จักในชื่อ สาหร่ายช่อพริกไทย หรือสาหร่ายพวงองุ่น

ในต่างประเทศ เช่น จีน ญี่ปุ่น เกาหลี นิยมกินสาหร่ายพวงองุ่นมานาน สำหรับประเทศไทยเป็นที่นิยมในจังหวัดทางภาคใต้และภาคตะวันออก ปัจจุบันศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงชายฝั่งพังงาได้ทำวิจัยเพาะเลี้ยงและส่ง เสริมให้ชาวบ้านขายเป็นอาชีพ

สาหร่ายพวงองุ่นมีกลิ่นของน้ำทะเลและรสชาติเค็มกว่าสาหร่ายทะเลชนิดอื่น เล็กน้อย นิยมกินร่วมกับอาหารหลายชนิด เช่น อาหารทะเล ซูชิ มัน ฝรั่ง ผสมในสลัดผัก ใช้ปรุงอาหารแทนไข่ปลาคาร์เวียร์ หรือ ตกแต่งจานอาหารเพื่อความสวยงามก็ได้

ส่วนเรื่องคุณค่าทางโภชนาการนั้นอุดมด้วยวิตามินและแร่ธาตุหลายชนิด ทั้งกรดไขมันไม่อิ่มตัว วิตามินบี 2 วิตามินอี ไอโอดีน แคลเซียม แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส และสังกะสี

รายงานจากวารสาร Root Gatherers ศึกษาในกระต่ายที่ได้รับการ ป้อนอาหารที่มีไขมันสูงและคอเลสเตอรอลสูง พบว่าหลังได้รับสารสกัดจากสาหร่ายพวงองุ่นนาน 30 วัน ระดับคอเลสเตอรอลร้ายในเลือดลดลง และล่าสุด ในปี 2014 วารสาร Asian Pacific Journal of Tropical Biomedicine ค้นพบว่า สาหร่ายพวงองุ่นมีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคเบาหวาน ลดความดันโลหิต ป้องกันโรคหัวใจล้มเหลว และช่วยต้านมะเร็งอีกด้วย

แต่นั่นคงไม่พอ เราขอแถมความรู้ 4 สาหร่ายที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ มาแนะนำให้คุณได้ไปกินเพิ่มเติมกันด้วย

รวมสูตรอร่อย 4 สาหร่ายยอดนิยม

สาหร่ายทะเลยอดนิยมชื่อคุ้นหู อาหารอายุวัฒนะของชาวโอกินาว่าที่อยากแนะนำ ได้แก่ คอมบุ (kombu) วากาเมะ (wakame) โนริ (nori) และ โมซุกุ (mozuku)

416Health-53-1

สาหร่ายคอมบุ มีสีน้ำตาลนิยมนำมาตากแห้ง รีด และตัดเป็นแผ่น มีกลิ่นรสของทะเลแรง และมีไอโอดีนสูง ใช้เป็นส่วนประกอบสำคัญในการทำดาชิ (dashi) สารปรุงรสอร่อย หรือรสอุมามิของอาหารญี่ปุ่น นับเป็นเครื่องปรุงรสพื้นฐานที่ทำให้น้ำซุปและอาหารหลายชนิดมีรสชาติกลม กล่อม

416Health-53-3

สาหร่ายวากาเมะ มีสีน้ำตาล รสชาติจืด แต่เมื่อแช่ในน้ำจะเปลี่ยนเป็นสีเขียว นิยมใส่สาหร่ายวากาเมะใน ซุปเต้าเจี้ยวญี่ปุ่น (miso soup) ร่วมกับเต้าหู้ขาว นอกจากนี้ ยังใส่ในบะหมี่โซบะ (soba noodle dishs) สลัดผัก ปรุงเป็นยำสาหร่าย หรือผัดกับข้าวไม่ขัดสี

416Health-53-2

สาหร่ายโนริ มีสีเขียวเข้มจนถึงสีดำ มีทั้งชนิดแผ่นและผง ชนิดแผ่นมีลักษณะบางกรอบนิยมนำมาย่างก่อนใช้ห่อซูซิ (sushi) หรือทำเป็นผลิตภัณฑ์ขนมขบเคี้ยวเป็นสาหร่ายปรุงรสในรูปแบบต่างๆ นอกจากนี้ ยังมีเครื่องปรุงรสทำจากผงสาหร่ายโนริผสมกับเครื่องเทศนิยมใช้โรยบนข้าวและ อาหารเพื่อเพิ่มรสชาติ

416Health-53-4

สาหร่ายโมซุกุ มีสีน้ำตาล นิยมกินสด กินคู่กับซอสถั่วเหลือง ใส่ในสลัดผัก หรือนำมาดองในน้ำส้ม เนื้อสัมผัสคล้ายวุ้นเส้น เหนียวนุ่ม กรอบกรุบเวลาเคี้ยว ปัจจุบันเป็นอาหารขึ้นชื่อของชาวโอกินาว่า และมีแนวโน้มที่จะผลิตเพื่อส่งออกเพิ่มขึ้น

สำหรับประโยชน์ของสาหร่ายทั้ง 4 ชนิด สรุปไว้ใน Journal of the American College of Nutrition ในงานวิจัยที่ชื่อ The Okinawan Diet: Health Implications of a Low-Calorie,

Nutrient-Dense, Antioxidant-Rich Dietary Pattern Low in Glycemic Load กล่าวโดยสรุป สาหร่ายทั้ง 4 ชนิดให้พลังงานต่ำมาก แต่อุดมด้วยคุณค่าทางโภชนาการสูง ทั้งโปรตีน ไอโอดีน โฟเลต แมกนีเซียม ธาตุเหล็ก แคลเซียม และฟูโคแซนทิน (fucoxanthin) ซึ่งเป็นสารพฤกษเคมีในกลุ่มแคโรทีนอยด์ (carotenoid)

ฟูโคแซนทิน ช่วยเพิ่มระบบเผาผลาญ ลดระดับน้ำตาลในเลือด และมีส่วนช่วยในการรักษาโรคอ้วนลงพุง (metabolic syndrome) ซึ่งพบในผู้ที่มีเส้นรอบเอวมากกว่าหรือเท่ากับ 80 เซนติเมตรในผู้หญิง และมากกว่าหรือเท่ากับ 90 เซนติเมตรในผู้ชาย ที่มีระดับน้ำตาล ความดันและไขมันในเลือดสูง เสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวาน โรคหัวใจและหลอดเลือดในสมองอุดตัน

นอกจากนี้ยังพบ ฟูคอยแดน (fucoidan) มากในสาหร่ายคอมบุ และสาหร่ายวากาเมะ ซึ่งมีงานวิจัยพบว่ามีสารแอนติอ๊อกซิแดนท์สูง ลดความเสี่ยงสารพัดโรคร้ายรวมถึงโรคมะเร็ง โดยมีรายงานระบุว่าสามารถยับยั้งเซลล์มะเร็งต่อมน้ำเหลืองในคน ปัจจุบัน ฟูคอนแดนได้รับความนิยมนำมาผลิตเป็นอาหารเสริมหลายผลิตภัณฑ์ในประเทศญี่ปุ่น

กินสาหร่ายทะเลแล้วอายุยืน ช่วยป้องกันสารพัดโรคร้าย ชาวโอกินพิสูจน์มาแล้วหลายชั่วอายุคน แถมมีงานวิจัยมาช่วยการันตรีเรื่องการกินสาหร่ายช่วยป้องกันไขมันในเลือดสูง อีกด้วย นาทีนี้ไม่กินตามกระแสไม่ได้แล้วค่ะ

 

ที่มาจากนิตยสารชีวจิต

    ผลไม้ 5 สี

    ประโยชน์ของ ผักผลไม้ 5 สี

     

    สับปะรด, เบต้าแคโรทีน, แคโรทีนอยด์, ขับของเสีย, ผลไม้รสเปรี้ยว …เพราะแม้เราจะบอกเสมอว่า หากไม่อยากป่วยใจต้องลดเครียด ลดหงุดหงิด แต่ในกรณีที่พยายามหลีกเลี่ยงแล้ว แต่ความเครียดก็ยังตามรุมเร้า เปลี่ยน “อาหาร” ก็ช่วยได้อย่างไม่น่าเชื่อ

    แถมไม่ใช่การกินแบบธรรมดา… แนะนำว่า ต้องเป็น “ผักผลไม้สารพัดสี” ด้วยจะยิ่งดีเพิ่มสีในอาหาร และจานของว่าง

    shutterstock_161613653

    “สีส้ม – สีเหลือง” บำรุงหลอดเลือด

    ข้อมูลนี้ได้รับคำยืนยันจาก นายแพทย์เอียน เค. สมิธ ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการ ได้กล่าวว่า ผู้ที่บริโภคอาหารสีส้มและเหลืองเป็นประจำ ไม่ว่าจะเป็นแครอท แตงโมสีเหลือง สับปะรด ข้าวโพด ส้ม มะม่วงสุก และพริกหวานสีเหลือง ส้ม มีงานวิจัยชี้ว่ามีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันลดลง รวมถึงอัตราเสียชีวิตด้วยโรคดังกล่าวก็ลดลงอย่างเห็นได้ชัดด้วย

    ที่เป็นเช่นนั้นเนื่องจากในผลไม้และผักสีส้ม-เหลือง มีวิตามินเอ วิตามินอี และสารแคโรทีนอยด์ ซึ่งเป็นสารสำคัญที่ช่วยเสริมสร้างเนื้อเยื่ออ่อน เยื่อบุผิว และช่วยให้หลอดเลือดและหัวใจแข็งแรง นอกจากนี้ยังมีผลต่ออารมณ์ ช่วยให้ไม่ขุ่นมัวอีกด้วย

    ผักผลไม้สีม่วง, กะหล่ำม่วง, แอนโทไซยานิน, สารต้านอนุมูลอิสระ “สีน้ำเงิน – สีม่วง” แก้ซึมเศร้า ลดเพลีย

    ผักผลไม้ที่มีสีม่วง สีน้ำเงิน ไม่ว่าจะเป็นองุ่น บลูเบอร์รี่ แบล็กเบอร์รี่ มะเขือม่วง กะหล่ำม่วง มักอุดมไปด้วยสารแอนโทไซยานินที่ต้านฟรีแรดิคัล หรือสารต้านอนุมูลอิสระ ที่ช่วยลดการอักเสบในระดับเซลล์ อันเป็นสาเหตุสำคัญของการทำงานไม่ปกติในอวัยวะต่างๆ รวมถึงหัวใจด้วย

     

    นอกจากนี้อาหารสีม่วงและน้ำเงินยังเหมาะกับคนที่มีภาวะอาการซึมเศร้า เครียด และอ่อนเพลีย เนื่องจากเซลล์ต่างๆ ในร่างกายทำงานอ่อนแอลง

    อีกทั้งสารในกลุ่มแอนโทไซยานินยังช่วยลดความเสี่ยงในเกิดโรคร้าย เช่น โรคหัวใจ โรคอัลไซเมอร์ โรคมะเร็ง และโรคหลอดเลือดสมอง อีกด้วย

    ลูทีน, วิตามินเอ, ผักใบเขียว, ผักโขม “สีเขียว” ลดเครียด ดูแลดวงตา

    ไม่น่าเชื่อว่า นอกจากความเครียดจะมาจากสมองที่เหนื่อยล้า หรือเผชิญความทุกข์แล้ว อาจเกิดจากความเมื่อยล้าของ “ดวงตา” ได้ด้วย เนื่องจากการรับรู้ที่ไม่เต็มประสิทธิภาพจากการมองไม่ชัด ตาล้า ก็ทำให้เกิดความตึงเครียดและอึดอัดได้

    โดยเฉพาะยุคนี้ที่คนส่วนใหญ่ใช้สายตา “จ้องจอ” กันอย่างจริงจัง ทั้งจอมือถือ และจอคอมพิวเตอร์ ทำให้เกิดอาการตาล้า ปวดศีรษะเรื้อรัง เครียดมากขึ้น แถมอาจมีอาการกล้ามเนื้อเกร็งแทรกเข้ามาอีกด้วย

    shutterstock_336002402

    ทางออกสำหรับอาการนี้อยู่ในผลไม้และผักสีเขียว โดยเฉพาะปวยเล้ง คะน้า ผักบุ้ง แตงกวา เซเลอรี่ และถั่วลันเตา ซึ่งมีสารลูทีน ช่วยปกป้องดวงตาจากโรคจอประสาทตาเสื่อม ต้อกระจก และลดการเกิดเซลล์รับแสงในตาเสื่อมได้อีกด้วย
    ยิ่งไปกว่านั้นยังป้องกันโรคมะเร็งในกลุ่มมะเร็งลำไส้ มะเร็งกระเพาะ รวมถึงลดโรคเบาหวาน และโรคหัวใจได้อีกด้วย

    …จากนี้คุณก็มี “ผักผลไม้สารพัดสี” เป็นตัวเลือกในการดูแลหัวใจ และดวงตาแล้วนะคะ …อย่าลืมหามากินกันล่ะ หัวใจและอารมณ์จะได้ดีตลอดไป

    ข้อมูลเรื่อง “ดูแลหัวใจด้วยผักผลไม้ 5 สี” จากคอลัมน์ เรื่องพิเศษ นิตยสารชีวจิต ฉบับที่ 344

      ชุดว่ายน้ำ

      มาดูวิธีเลือกซื้อ ชุดว่ายน้ำ ให้เด็กผู้หญิงกันเถอะ

      ร้อนนี้เด็กๆ หลายคนร้องเรียกให้คุณพ่อคุณแม่พาไปเล่นน้ำ  แต่บางคนยังไม่มีชุดว่ายน้ำให้กับลูกเลย  โดยเฉพาะลูกสาว  เรามีวิธีเลือกซื้อ ชุดว่ายน้ำ เด็กหญิงอย่างไรไม่ให้โป๊ และประหยัด  มาอ่านประสบการณ์ดีๆ  ของคุณพ่อท่านหนึ่งจากบล็อก โอเคเนชั่นค่ะ

      ชุดว่ายน้ำ สำหรับเด็กผู้หญิง มีหลายราคา  ตั้งแต่ 150 ไปถึง 3000 ก็ยังมีครับ  ถ้าหากซื้อในห้างก็ราคาแพงหน่อย แต่ถ้าหากซื้อจากตลาดนัด หรือจากร้านออนไลน์ก็ราคาถูกลง เท่าที่ผมสำรวจราคา พบว่าซื้อออนไลน์ราคาถูกกว่า แต่ต้องวัดขนาดให้แน่นอน  สอบถามคนขายให้เคลียร์

      ชุดถูกก็คุณภาพด้อยลงมา ชุดแพงก็คุณภาพดีขึ้น แต่ว่า ซื้อมาแล้วใช้คุ้มหรือเปล่า บางทีซื้อมาแล้ว เด็กไม่ยอมว่ายน้ำ หรือนานๆว่ายที ก็ไม่คุ้ม อย่างนั้นเลือกชุดราคาถูกดีกว่า แต่ถ้าหากซื้อแล้ว เด็กว่ายน้ำทุกสัปดาห์ ก็ซื้อแพงหน่อยก็ได้  แต่จะถูกหรือแพง สิ่งทีอยากบอกไว้นิดคือ  ควรสอนให้เด็กรู้จักดูแลชุดว่ายน้ำด้วย เพราะชุดว่ายน้ำ ถ้าดูแลไม่ดีก็เสื่อมสภาพเร็ว

      ชุดว่ายน้ำเด็กผู้หญิง
      ชุดว่ายน้ำเด็กผู้หญิง

      เลือกแบบไหนดี  เท่าที่ผมเคยเห็น ที่นิยมกันมี 3 แบบ
      1. wet suit เหมือนยังกับชุดกางเกงวอร์มขาแค่เข่า หรือขาสั้น  แบบ ชิ้นเดียว หรือ สองชิ้น เสื้อ-กางเกง เด็กหญิงหรือชายก็ใส่ได้  ชุด wet suit นี่ผมไม่เคยซื้อครับ
      2. แบบชิ้นเดียว เสื้อ-กระโปรง เย็บติดกัน สวมแบบใส่กระโปรง  คือ จากขาดึงขึ้นมา  เหมาะสำหรับเด็กเล็กไม่เกิน 10 ขวบมากกว่า ตัวยังไม่เก้งก้าง
      3. แบบ 2 ชิ้น เสื้อ – กางเกงแบบบิกินี  สำหรับเด็กหญิง ยังไม่มีฟองน้ำหน้าอก รองทรง  ถ้าหากสำหรับเด็กเริ่มจะวัยรุ่น 12 ขวบขึ้น จะมีฟองน้ำรองที่หน้าอก

      วัดขนาดก่อนซื้อ

      วัด ขนาดเด็กก่อนไปซื้อ  วัดรอบเอว (waist)  , รอบอก (chest)  ,บ่า-เป้า  อันนี้สำคัญครับ ถ้าหากไม่ได้พาเด็กไปด้วย  แต่ถ้าหากพาไปด้วย แล้วซื้อในห้างจะขอลองใส่ได้  กรณีไม่ได้พาเด็กไปด้วย ต้องวัดขนาด แล้วปรึกษาคนขายให้ดี เพราะชุดว่ายน้ำแต่ละยี่ห้อนั้น มีมาตรฐานแตกต่างกันออกไปครับ  ยี่ห้อ Triumph  ใช้ขนาดเป็นเบอร์ S , M , X , XL     ยี่ห้อ ELLE ใช้ขนาด 3 , 4  ,5 ,6  ยี่ห้อ Speedo ใช้ขนาด 8 ,10 ,11 ,12,13,14,15 ยี่ห้อ Arena ใช้ขนาด 8,10 ,11,12,14  แถม Speedo กับ Arena เบอร์เดียวกัน ก็ขนาดไม่เท่ากันอีก   วิธีคือ คือ ลองใส่หรือสอบถามคนขายที่มีประสบการณ์ในการเลือกชุดว่ายน้ำให้เด็ก ผมเคยถามหญิงสาวที่ขายในห้าง ปรากฎว่าเธอให้ข้อมูลไม่ได้ อาจจะเพราะยังไม่เคยเลือกเองจริงๆ

      คนขายส่วนใหญ่มักจะถามผมว่า เด็กอายุเท่าไร  แล้วเธอก็จะบอกว่า ชุดนี้สำหรับเด็ก 6 ขวบ 8 ขวบ เป็นต้น จริงๆแล้ว อาจจะต้องตรวจสอบเพิ่มเติม ขนาดของเด็กอาจจะไม่เท่ากัน อย่าง แต่หลาน 8 ขวบ เอว 20  นิ้ว อก 21 นิ้ว  ซึ่งถ้าหากวัดตามขนาดแล้ว บางยี่ห้อเทียบได้กับเด็ก 4-8 ขวบเท่านั้นเอง ดังนั้น ถ้าให้ปลอดภัยละก็ วัดขนาดดีกว่า  อีกอย่างก็คือ ชุดว่ายน้ำอัตราการยืดตัวสูง เช่น  อก ยืดได้ 22 – 29 นิ้ว  เอวได้สูงสุด 23 นิ้ว

      ขนาดชุดว่ายน้ำ
      ชุดว่ายน้ำเด็กผู้หญิง

      ซื้อมาหลวมได้เปรียบกว่า ถ้าหากต้องการประหยัด เพราะซื้อมาแล้วมาเย็บร่นเข้าอีกหน่อยให้กระชับ ทั้งกางเกง และเสื้อ แต่พอเด็กตัวโตขึ้นก็ขยายออก หรือถ้าหากผ้ายืดก็เย็บเข้ามาอีก  ให้พอดีตัว

      สิ่งที่แตกต่างจากชุดผู้ชายก็คือ ผู้หญิง  จะเด็กหรือผู้ใหญ่ เวลาลงว่ายน้ำ ต้องใส่หมวกว่ายน้ำด้วย  เลือกหมวกผ้า ดีกว่าหมวกยางซิลิโคน เพราะใส่สบายกว่า ไม่รัดเกินไป (ผมรู้สึกแบบนั้นนะ)  หรือจะเลือกหมวกยางลายการ์ตูนก็ได้   แยกซื้อต่างหากก็จ่ายแพงขึ้นอีกหน่อย ถ้าหากซื้อแบบรวมมาพร้อมชุดก็ช่วยประหยัดเงินได้

      แว่นตาว่ายน้ำ สำหรับเด็ก ราคาไม่ถูกเหมือนกันนะครับ  อย่างต่ำต้องมี 250 บาท  ส่วนแพงๆก็ต้องมี 500 บาท แว่นตาว่ายน้ำ ใช้แบบธรรมดาก็พอ เพราะเด็กยังไม่ค่อยระวังรักษา (อย่าว่าแต่เด็กเลย ผู้ใหญ่เองก็เถอะ บางทีก็ไม่ได้ดูแลเช่นกัน)  แว่นตาแบบธรรมดา โดยมากเป็นพลาสติก สายก็เป็นยางธรรมดา ตัวเลนส์ กัน UV , Anti-Fog ประมาณนั้น   ส่วนพวกแว่นตาอันละ 100 บาท 150 บาท ไม่ควรซื้อครับ เพราะว่า แว่นพวกนี้ ใส่แล้วไม่สบายตาครับ น้ำเข้าตาได้ เพราะออกแบบไม่ดี  ไม่มีอะไรทรมานไปกว่า ว่ายน้ำแล้วน้ำเข้าตาครับ!  แล้วบางทีก็ต้องขยับแว่นบ่อยๆด้วย เพราะแว่นพวกนี้มันจะคอยเลื่อนออกจากเบ้าตา และไม่มีสายที่ปรับระดับได้ โดยเฉพาะตรงจมูกแว่น  ยกเว้นแต่ว่า แว่นราคาตั้ง (list price) 400 บาท แล้วมาลดราคาเหลือ 199 ผมเคยซื้อ 2-3 อัน ใช้ได้เลยครับ

      การเลือกแว่นตาว่ายน้ำ  วิธีการเลือก คือ ดูว่า เป็นแว่นตาว่ายน้ำสำหรับเด็กหรือเปล่า  แว่นตาว่ายน้ำสำหรับเด็ก จะมีขนาดเล็กกว่าแว่นของผู้ใหญ่  ถ้าหากพาเด็กไปด้วย ลองเอาแว่นไปทาบกับตา  กรอบแว่นควรจะแนบสนิทกับเบ้าตา และเมื่อแปะกรอบแว่นเข้ากับเบ้าตา แว่นควรจะดูดเบ้าตาแล้วติดอยู่สักพัก ก่อนจะคลายตัวออก ไม่ใช่แปะปุ๊บ ปล่อยมือปั๊บก็หลุดเลย  อย่างนั้นไม่ไหวครับ (ผมเขียนเรื่องการเลือกซิ้อแว่นตาว่ายน้ำแยกไว้ต่างหาก เอาไว้จะมาลงอีกที)

      ขอให้ได้ชุดว่ายน้ำถูกใจครับ แล้วถ้าซื้อชุดว่ายน้ำให้ลูกแล้วไม่รู้จะทำอะไรดี ก็ซื้อชุดว่ายน้ำให้ตัวเองด้วยครับ  เวลาลูกไปว่ายน้ำ ก็ลงเล่นน้ำกับลูกซะเลย ว่ายไม่เป็นไม่เป็นไรครับ  แค่ได้ใช้เวลาสนุกด้วยกัน  ครอบครัวยุคใหม่ ยิ่งหาเวลาอยู่ด้วยกันยากอยู่ด้วยครับ

      เลือกซื้อชุดว่ายน้ํา
      เลือกซื้อชุดว่ายน้ําให้ลูก

       

      ที่มาจากบทความเรื่อง ซื้อชุดว่ายน้ำให้เด็กหญิง http://www.oknation.net/blog/yamkrub/2009/11/21/entry-1

      ภาพ shutterstock

        อุ้มโยนลูกแรงๆ เสี่ยง shaken baby syndrome

        อุ้มโยน เขย่า ดึงแขน อันตรายกับลูกมากกว่าที่คิด

        คุณพ่อ คุณแม่หลายท่านชอบจับลูก อุ้มโยนเขย่าดึงแขน ขึ้นสูงๆ แกว่งไปมาบ้าง โยกบ้าง เห็นลูกน้อยหัวเราะชอบใจก็คิดว่าชอบ แต่จริงๆ แล้วการกระทำเหล่านี้เป็นอันตรายต่อลูกน้อย คุณพ่อ คุณแม่อาจจะยังไม่ทราบถึงอันตรายที่อาจทำให้ลูกบาดเจ็บขั้นรุนแรงได้

         

        อุ้มโยนเขย่าดึงแขน
        เขย่าทารก อันตราย

        “เธอช่วยทำยังก็ได้ให้ลูกมันเงียบเสียงซะทีเถอะ”

        คุณพ่อบ้านผู้กำลังคร่ำเคร่งกับกองงานตรงหน้า บ่นอย่างหงุดหงิด หลังจากทนฟังเสียงลูกน้อยวัยแบเบาะร้องไห้ลั่นแบบไม่รู้จักหยุด

        “เงียบ…เงียบได้แล้ว แหกปากอยู่ได้ บอกให้…เงียบๆๆๆ”

        คุณแม่ตะเบ็งเสียงอย่างสุดกลั้น พร้อมสองมือยกลูกสาวตัวน้อยลอยเหนือเบาะรองนอน และแล้วหล่อนก็เขย่าลูกอย่างสุดแรง!!!  สิ่งที่ตามมาก็คือ ลูกสาวเงียบเสียงลงโดยพลัน! คุณแม่ จึงหันกลับไปทำงานบ้านต่อ คุณพ่อก้มหน้าพิมพ์งานต่อ สามชั่วโมงก็แล้ว สี่ชั่วโมงก็แล้ว ลูกน้อยก็ยังคงนอนนิ่ง ไม่ร้อง ไม่หิว

        “หรือว่าเราจะเขย่าตัวลูกแรงเกินไป” คุณแม่เริ่มวิตก “แต่ไม่นะ ลูกคงร้องจนเพลียเลยหลับยาว”

        เธอปลอบใจตัวเองเพื่อลดความรู้สึกผิด ส่วนคนเป็นพ่อก็ยังวุ่นอยู่กับงานที่กองสุมดั่งไม่รับรู้ใดๆ ในบ้าน

        กระทั่งต้องอุ้มลูกไปโรงพยาบาล หลังจากที่คุณแม่หน้าซีดเผือดมาบอกว่า ลูกรักนอนแน่นิ่งไปกว่าหกชั่วโมงแล้ว! ทางโรงพยาบาลพบว่าเด็กมีอาการซึม ไม่สนองตอบต่อเสียง สนองตอบเล็กน้อยต่อความเจ็บ หายใจแค่สิบสี่ครั้งต่อนาที แถมชีพจรเต้นช้าเพียงหกสิบครั้งต่อนาที

        คุณหมอช่วยให้ออกซิเจนผ่านทางหน้ากากและถุงลม แต่เด็กอาการไม่ดีขึ้น จึงใส่ท่อเพื่อช่วยการหายใจ คุณหมอตรวจตาพบว่าที่จอรับภาพนั้นมีเลือดออก เมื่อตรวจสมองด้วยเครื่อง MRI ก็พบว่า มีเลือดออกใต้เยื่อหุ้มสมอง รวมทั้งระหว่างรอยแบ่งแยกของสมอง

        นี่คือสิ่งที่น่าตกใจ และน่าเสียใจเป็นอย่างยิ่งก็คือ อีกเพียงสามวันถัดมา….ลูกน้อยเสียชีวิต สาเหตุเนื่องจากเด็กถูกจับตัว และเขย่าอย่างรุนแรงจนเลือดออกในสมอง

        อุ้มโยนเขย่าดึงแขน
        อุ้มโยนเขย่าดึงแขน อันตรายกับลูก

         

        ภาพกรณีตัวอย่างจาก bushywood.com เมื่อลูกน้อยถูกพ่อแม่อุ้มโยน เขย่าจนเป็น Shaken baby Syndrome

        อุ้มโยนเขย่าดึงแขน
        Shaken baby Syndrome

        คลิปกรณีตัวอย่างเมื่อลูกน้อยร้องงอแง แล้วคุณพ่อจับตัวลูกมาเขย่า

        Shaken Baby Syndrome คืออะไร?

        โอกาสที่เกิดขึ้นโดยส่วนมาก จะเกิดกับเด็กอายุต่ำกว่า 1 ขวบ ซึ่งพบบ่อยในช่วงวัย 3 – 8 เดือน เกิดจากการเขย่าเด็กไปมาอย่างรุนแรง จนกระทบกระเทือนทางสมอง อาจทำให้ตาบอด เป็นอัมพาต ชักกระตุก ไปจนถึงเสียชีวิตได้

        เด็กที่ตกอยู่ในภาวะ Shaken Baby Syndrome จำนวน 1 ใน 3 คน มักจะเสียชีวิต ที่เหลือรอดก็มีโอกาสตาบอด เป็นลมชัก หรือถ้ารอดก็มักมีปัญหาด้านการเรียนรู้ หรือสติปัญญาต่อไปได้

        เคยมีกรณีที่ลูกน้อยเสียชีวิตเพราะโดนเขย่าอย่างรุนแรง จนเกิดอาการชัก หยุดหายใจเป็นช่วงๆ เนื้อตัวเขียว และสิ้นใจ เมื่อทีมแพทย์ทำการผ่าชันสูตรก็พบว่าเด็กมีเลือดออกในสมองจำนวนมาก ทั้งๆ ที่ภายนอกไม่มีบาดแผล หรือริ้วรอยการถูกทำร้ายเลย

        จากการศึกษาในประเทศแคนาดา พบว่าในกลุ่มทารกที่รอดชีวิตหลังจากที่ถูกสั่นหรือเขย่าอย่างรุนแรงและได้รับบาดเจ็บนั้น 10 ปีต่อมาพบว่า มีเพียง 7% เท่านั้นที่มีอาการปกติ ส่วน 12% นั้นยังอยู่ในขั้นโคม่า คือไม่สามารถพูด คิดหรือเคลื่อนไหวได้ และเป็นอัมพาต อีก 60% นั้นจัดอยู่ในขั้นไร้ความสามารถ (Disability) และจากที่กล่าวมาในกลุ่มที่รอดชีวิตนั้นร้อยละ 80 ต้องพึ่งการรักษาและช่วยเหลือไปตลอดชีวิต

         

        อ่านต่อ ทำไมถึงอันตราย? และ 6 พฤติกรรมที่คุณพ่อคุณแม่ควรหลีกเลี่ยง” คลิกหน้า 2

          ทำความสะอาดห้องน้ำ ให้สวยปิ๊งแบบปลอดภัย

          คุณพ่อ คุณแม่บ้านไหนที่มีปัญหาเรื่องคราบสกปรก และกลิ่นเหม็นในห้องน้ำ ล้างเท่าไหร่ก็ไม่สะอาดหมดจดสักที ครั้นจะใช้สารเคมีรุนแรงก็กลัวว่าจะมีสารเคมีตกค้าง กลายเป็นการทำร้ายลูกน้อยในบ้านได้ เรามีเคล็ดลับดีๆ มาบอกต่อมา ทำความสะอาดห้องน้ำ ให้สะอาด หอมสดชื่น และปลอดภัย

          Continue reading “ทำความสะอาดห้องน้ำ ให้สวยปิ๊งแบบปลอดภัย”

            ให้นมแม่ไม่นาน 6 เดือน ลูกฉลาด

            ให้นมแม่ไม่ถึง 6 เดือน กลัวลูกไม่ฉลาด

            หากหลังคลอดให้นมแม่ได้ไม่ถึง 6 เดือน จะทำให้ลูกฉลาดน้อยกว่าเด็กที่กินนมแม่นานๆ หรือไม่

            ความฉลาดขึ้นกับ 3 ปัจจัยหลักค่ะ คือ พันธุกรรม การเลี้ยงดู และสารอาหารที่มีผลต่อสมอง หากเด็กมีพันธุกรรมเดียวกัน ได้รับการเลี้ยงดูที่เหมือนกัน ไม่ได้รับสารพิษต่อสมอง เช่น อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่มีสารปรอท หรือ สารตะกั่ว แต่ต่างกันที่การได้รับสารอาหารไม่เหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นสารอาหารที่บำรุงสมอง ได้แก่ ทอรีน ดีเอชเอ อัลฟ่าแลคตัลบูมิน ไอโอดีน ธาตุเหล็ก และยังมีสารอื่นๆ อีกมากมาย เช่น โปรตีน วิตามิน เกลือแร่ต่างๆ ผู้ที่ได้รับสารอาหารเหล่านี้ครบถ้วนและได้กินยาวนานกว่าก็ย่อมมีพัฒนาการทางสมองที่ดีกว่า แต่หากได้กินนมแม่ โดยไม่ได้กินอาหารเสริมตามวัย ไม่ได้รับสารอาหารอื่นๆ ที่กล่าวมา ทารกที่กินนมแม่คนนั้นก็คงไม่ฉลาดไปกว่าเด็กอื่นที่ได้กินอาหารครบถ้วนค่ะ

            ให้นมแม่ไม่นาน 6 เดือน ลูกฉลาด

            แรกเกิดสมองมนุษย์พัฒนามาเพียง 30% อีก 70% จะพัฒนาต่อจนเสร็จสมบูรณ์ในอีก 6-7 ปี ส่วนที่สร้างเสร็จช้าที่สุดคือปลอกหุ้มเส้นประสาท ซึ่งอาศัยดีเอชเอที่มีอยู่ในนมแม่และอาหารตามวัย เช่น อโวคาโด ปลาน้ำจืด ปลาทะเล ถั่วเปลือกแข็ง ถั่วเมล็ดแห้ง เมล็ดพืช

            อ่านต่อ “นมแม่ช่วยพัฒนาสมองลูกอย่างไร” คลิกหน้า 2

            banner300x250-1

              แม่โกหก

              รู้บ้างไหม? แม่โกหกเรากี่ครั้งในชีวิต

              คงเป็นเรื่องที่แย่ไม่ใช่น้อยถ้าเราถูกใครสักคนแสดงความไม่จริงใจกับเรา โดยเฉพาะถ้าคนๆ นั้นเป็นคนที่มีความสำคัญกับชีวิตของเรา เมื่อ แม่โกหก ไม่ว่าจะพูดเพื่ออะไร จุดประสงค์อะไร หรือมีเจตนาที่ดีแค่ไหน ก็ไม่ใช่เรื่องที่ดี สำหรับเนื้อหานี้จะทำให้คุณประทับใจความรักอันยิ่งใหญ่ของแม่

              Continue reading “รู้บ้างไหม? แม่โกหกเรากี่ครั้งในชีวิต”

                ปานแรกเกิด

                ปานแรกเกิด เด็กกระดองเต่า เรื่องจริงสุดเศร้าของเด็กชายวัย 6 ขวบ

                เว็บไซต์จากต่างประเทศระบุว่าพบเด็กชายวัย 6 ขวบที่ป่วยเป็นโรคประหลาดมีไฝดำลุกลามไปทั่วแผ่นหลัง คล้ายกับกระดองเต่า จนถูกเรียกว่า “เด็กกระดองเต่า” โรคประหลาดนี้ถ้าปล่อยไว้นานอาจทำให้เสียชีวิตได้ และโรคนี้ยังทำให้เด็กชายถูกชาวบ้านในหมู่บ้านไล่ให้ออกไปจากหมู่บ้าน เพราะเชื่อว่าเป็นอำนาจจากปีศาจ แต่จริงๆ แล้วเป็นเพียง ปานแรกเกิด

                Continue reading “ปานแรกเกิด เด็กกระดองเต่า เรื่องจริงสุดเศร้าของเด็กชายวัย 6 ขวบ”

                  ลักพาตัว

                  6 พื้นที่เสี่ยงถูกลักพาตัว และ 5 ไม่ ป้องกันการลักพาตัว

                  ปัจจุบันสถิติเด็กถูก “ลักพาตัว” สูงขึ้นเรื่อยๆ จากรายงานข้อมูลเด็กหายของมูลนิธิกระจกเงาพบว่า ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 1 มีนาคม 59 มีการแจ้งเด็กหายช่วงอายุ 1 – 15 ปี แล้ว 82 ราย เป็นเพศหญิงมากกว่าเพศชาย โดยมีสาเหตุคือ หนีออกจากบ้าน ถูกล่อลวง พลัดหลง และถูกลักพาตัว แม้แต่ในต่างประเทศ ก็มีเหตุการณ์ที่น่ากลัว และเกิดขึ้นกับเด็กด้วย ดังเช่น ข่าวด้านล่างนี้

                  จากข่าวสด –  ประหารแล้ว! ฆาตกรโรคจิต ฆ่าเชือดคอดื่มเลือดเด็กชาย

                  ฆาตกรโรคจิต ลักพาตัวเด็กชายวัย 12 ปี แล้วฆ่าปาดคอดื่มเลือดสดๆ เป็นคดีสะเทือนขวัญที่เคยเกิดขึ้นอย่างเหี้ยมโหด

                  ลักพาตัว
                  ฆาตกรโรคจิต ลักพาตัวเด็กชายวัย 12 ปี

                  สถานที่ที่เด็กหายมากที่สุด คือหน้าโรงเรียน ซึ่งเป็นสถานที่ไกลหูไกลตาพ่อแม่ เพราะฉะนั้น การป้องกันลูกจากการถูกลักพาตัวจึงเป็นหน้าที่ของพ่อแม่ คุณพ่อ คุณแม่ควรสอนลูกน้อยให้รู้จักระวังตัว โดยการสร้างเกราะป้องกันตัวเองจากโจรลักเด็ก ที่มักจะใช้สิ่งของมาหลอกล่อ คุณพ่อ คุณแม่ต้องสอนลูกอยู่บ่อยๆ ว่าไม่ให้คุย ไม่รับของ และไม่ไปไหนกับคนแปลกหน้า และจำหลักการ 5 ไม่ไว้ให้ขึ้นใจ

                  6 พื้นที่เสี่ยงถูกลักพาตัว

                  สถานที่ที่ปลอดภัยที่สุด คือสถานที่ที่อันตรายที่สุด เพราะการก่อเหตุลักพาตัว มักจะเกิดขึ้นในบริเวณที่ไม่น่าจะเกิดขึ้น และเป็นบริเวณที่พ่อแม่มักนิ่งนอนใจ เพราะคิดว่าคุ้นชิน และปลอดภัยสำหรับลูกหลาน ได้แก่

                  1.บ้าน ทั้งบริเวณหน้าบ้าน และภายในบ้านของเราเอง

                  2.วัด โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่มีงานวัด

                  3.โรงพยาบาล

                  4.สวนสาธารณะ

                  5.ห้างสรรพสินค้า

                  6.บริเวณใกล้ที่ทำงานของคุณพ่อ คุณแม่เอง

                  อ่านต่อ “5 ไม่ ป้องกันการลักพาตัว” คลิกหน้า 2

                    อาหารเสริมแช่แข็ง

                    ทำอาหารเสริมแช่แข็งให้ลูก สำหรับคุณแม่ที่ไม่มีเวลา

                    คุณแม่ยุคใหม่หลายๆ ท่าน อาจจะไม่ค่อยมีเวลามานั่งทำอาหารเสริมให้ลูกน้อยได้ตลอดเวลา แต่ก็อยากจะทำอาหารเสริมให้ลูกน้อยได้รับประทานด้วยตัวเอง เรามีวิธีทำ “อาหารเสริมแช่แข็ง” มาแนะนำคุณแม่ที่ไม่มีเวลา หรือทำงานนอกบ้าน ให้ลูกน้อยได้รับอาหารเสริมที่ประโยชน์ครบทุกมื้อค่ะ

                    อาหารเสริมแช่แข็ง

                    ส่วนผสม

                    1.โปรตีน และไขมันได้แก่ ตับไก่  เนื้อไก่ เนื้อหมู ซี่โครงอ่อน กระดูกซุบ เต้าหู้อ่อน เนื้อปลาน้ำจืด (ปลาทับทิม ปลานิล ปลาช่อน ปลากะพง ปลาเก๋า ปลาทะเล

                    2 คาร์โบไฮเดรต ได้แก่ ข้าว จมูกข้าว จมูกข้าวกล้อง

                    3.วิตามิน และเกลือแร่ ได้แก่ ผัก เช่น ฟักทอง มันฝรั่ง ข้าวโพด หัวผักกาด บล็อกโครี่ ผักตำลึง ผักบุ้ง ปวยเล้ง ผักโขม คะน้า แครอท หัวหอม มะเขือเทศ เห็ดเข็มทอง เห็ดฟาง

                    วิธีทำ

                    1.ต้มน้ำซุป ตั้งน้ำร้อนต้มกระดูก (ไก่/หมู) ใส่ตับ หมู/ไก่ ลงไปต้มด้วย หั่นหอมโยนลงไป น้ำซุปจะหวานหอม เคี่ยวไว้ครึ่งวัน ทิ้งให้เย็น แล้วตักใส่ขวดแก้ว หรือเทใส่ถาดน้ำแข็งเป็นบล็อกก้อน

                    อาหารแช่แข็ง
                    วิธีทำอาหารเสริมแช่แข็งสำหรับลูกน้อย

                    2.ข้าว ต้มจมูกข้าวกล้องให้นิ่ม น้ำที่ใช้ต้มข้าว ก็ใช้น้ำซุปที่ต้มเคี่ยวไว้จนข้าวนิ่ม

                     

                    อ่านต่อ “ทำอาหารเสริมแช่แข็งให้ลูก สำหรับแม่ที่ไม่มีเวลา” คลิกหน้า 2

                      ฟันผุ

                      หมอฟันอึ้ง! เด็ก 3 ขวบ ฟันผุแทบหมดปาก มาดูกันว่าเป็นเพราะอะไร..

                      ฟันผุ ผลแฝงของน้ำตาลจากอาหาร อย่างที่เราทราบกันดีกว่าอาหารหวาน น้ำหวาน ของหวานไม่ดีสำหรับเด็ก ในแง่ของแคลอรี่สูงอาจทำให้เด็กเป็นโรคอ้วนจากพลังงานที่เกินกว่าความจำเป็น แต่พ่อแม่ส่วนมากลืมไปว่าของหวานนั้นส่งผลต่อสุขภาพในช่องปากของลูกด้วย ภาพที่หยิบยกมานี้อาจจะดูโหดไปเสียหน่อย แต่นี่คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง และเกิดขึ้นบ่อย จนคุณหมอฟันเห็นแล้วอยากจะร้องไห้แทนเจ้าหนูน้อยผู้น่าสงสาร Continue reading “หมอฟันอึ้ง! เด็ก 3 ขวบ ฟันผุแทบหมดปาก มาดูกันว่าเป็นเพราะอะไร..”

                        รักลูกมากเกินไป

                        แม่ครับ พรุ่งนี้ผมจะถูกประหารแล้วนะครับ

                        ความรักของแม่ที่มีต่อลูกยิ่งใหญ่เสมอ แต่คุณแม่หลายๆ ท่าน แน่ใจแล้วหรือ? ว่าการเลี้ยงลูกของคุณไม่ได้เป็นการตามใจลูกจนเกินไป อย่าปล่อยให้การเลี้ยงดูลูกด้วยความรักของแม่ที่มีมากเกินเหตุ ย้อนกลับมาทำร้ายลูกโดยไม่รู้ตัว จนถึงขั้น ประหาร ลองอ่านบทความนี้เพื่อเป็นข้อคิด และเตือนใจคุณ

                         

                        ประหาร
                        แน่ใจแล้วหรือ? ว่าการเลี้ยงลูกของคุณไม่ได้เป็นการตามใจลูกจนเกินไป

                        เลี้ยงลูกผิด จนถึงขั้น ประหาร

                        แม่ครับ

                        ลูกชายคนนี้ของแม่จะถูกประหารในวันพรุ่งนี้แล้วนะครับ ผมไม่รู้ว่าทำไมผมต้องกลายมาเป็นอย่างนี้ ผมได้แต่นึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต

                        ตอนที่ผม 3 ขวบ ด้วยความซนของผมวิ่งเร็วเกินไปจนสะดุดก้อนหินจนหกล้ม แม่รีบวิ่งเข้ามากอดผมไว้ ปลอบผมไปพลาง กระทืบเท้าไปที่หินก้อนนั้นไปพลาง

                        “อย่าร้องนะลูกแม่ ไอ้ก้อนหินหน้าโง่ แกทำให้ลูกของชั้นหกล้มทำไม?”

                        พอผมได้ฟัง เดิมทีผมพยายามกลั้นเอาไว้แต่ก็ต้องร้องไห้ออกมา

                        แม่กำลังบอกผมว่า ที่ผมหกล้มความผิดอยู่ที่หินหน้าโง่ก้อนนั้น แต่ผมไม่รู้ว่าแม่พูดเพื่อปลอบใจผม เพื่อไม่ให้ผมร้องไห้ต่างหาก

                        ตอนที่ผมอายุได้ 4 ขวบ ผมเอาแต่จ้องดูทีวีโดยไม่ยอมลุกไปกินข้าว แม่เอาข้าวเดินมาป้อนให้ผมกินหน้าทีวี แม่ทำให้ผมรู้ว่า ผมไม่ต้องลุกไปกินข้าวเองก็ได้ เดี๋ยวแม่ก็เอามาป้อนผมถึงที่ แต่ผมไม่รู้ว่าแม่กลัวว่าผมกินข้าวจะหกเลอะพื้น หรือไม่อยากซักผ้าที่เปื้อนคราบอาหารของผมต่างหาก

                        ตอนที่ผมอายุได้ 6 ขวบ แม่พาผมไปซื้อของขวัญวันปีใหม่ แม่บอกผมว่าให้ซื้อได้อย่างเดียว ผมซื้อหุ่นยนต์เปลี่ยนร่างได้ แต่พอเห็นเครื่องบินผมก็อยากได้เครื่องบินอีกลำหนึ่ง แม่บอกผมว่าไม่ได้ แม่จะซื้อให้เพียงอย่างเดียว

                        ผมก็เลยนอนกลิ้งลงไปกับพื้นและร้องไห้เสียงดังจ้า  จนแม่ต้องจ่ายเงินค่าเครื่องบินเสร็จผมจึงยอมหยุดร้องไห้ แม่กำลังสอนให้ผมรู้ว่า หากผมต้องการอะไรแล้วไม่ได้ดั่งใจ ผมจะใช้ไม้ตายอย่างนี้กับแม่ และผมก็ชนะแม่ทุกครั้ง แต่ผมไม่รู้ว่าที่แม่ยอมผมนั้นก็เพราะแม่ไม่อยากขายขี้หน้าคนอื่นที่กำลังยืนมองดูอยู่ต่างหาก

                        ประหาร
                        อย่าปล่อยให้การเลี้ยงดูลูกด้วยความรักของแม่ที่มีมากเกินเหตุ ย้อนกลับมาทำร้ายลูกโดยไม่รู้ตัว

                        อ่านต่อ “แม่ครับ พรุ่งนี้ผมจะถูกประหารแล้วนะครับ” คลิกหน้า 2

                          ไอซ์แพ็ค

                          วิธีทำไอซ์แพ็คสารพัดประโยชน์ จากเจลผ้าอ้อม

                          คุณพ่อ คุณแม่อาจจะยังไม่ทราบว่า เจลในผ้าอ้อมของลูกน้อยนั้น สามารถนำมาใช้ดัดแปลงได้สารพัดประโยชน์ ไม่ว่าจะนำมาทำปุ๋ยเพื่อปลูกต้นไม้ นำมาแช่นมให้ลูกเวลาที่ออกไปข้างนอก หรือนำมาประคบเย็น Amarin Baby & Kids มีวิธีเด็ดทำ ไอซ์แพ็ค สารพัดประโยชน์ มาฝากค่ะ

                          Continue reading “วิธีทำไอซ์แพ็คสารพัดประโยชน์ จากเจลผ้าอ้อม”

                            โอปอล์อยากชวนคุณแม่ให้รู้จัก ‘โรคไอพีดี’ ป้องกันสำคัญกว่ารักษา

                            เพราะเป็นคุณแม่มือใหม่ที่มีลูกครั้งแรกก็เจอศึกหนักตั้งแต่ตั้งครรภ์แฝด ทั้งยังเกือบสูญเสียลูกน้อยไป ทำให้คุณแม่โอปอลล์สัญญากับตัวเองว่าทุกเรื่องที่เกี่ยวกับลูก เธอต้องเรียนรู้เพื่อทำหน้าที่ปกป้องลูกน้อยให้ดีที่สุด
                            และการได้เป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยรณรงค์ให้คุณแม่ได้รู้จักและเรียนรู้เกี่ยวกับโรคไอพีดี ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่เธออยากแชร์ ซึ่งเมื่อได้อ่านบทความความของ พ.ญ. สุธีรา เอื้อไพโรจน์กิจกุมารแพทย์ทารกแรกเกิด ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับโรคนี้ได้น่าสนใจทีเดียว

                            มารู้จักโรคไอพีดีกันดีกว่าค่ะ
                            โรคไอพีดี (IPD,Invasive Pneumococcal Disease) เป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียนิวโมคอคคัส ชนิดรุนแรงและแพร่กระจาย ประกอบด้วยโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ, โรคติดเชื้อในกระแสเลือด, โรคปอดอักเสบหรือปอดบวม หรือทำให้เป็นโรคที่พบบ่อยกว่าไอพีดีแต่ไม่รุนแรง เช่นโรคหูชั้นกลางอักเสบ(หูน้ำหนวก), โรคไซนัสอักเสบ, โรคคออักเสบบางครั้งแม้เป็นการติดเชื้อที่ไม่รุนแรงในเบื้องต้นแต่ถ้ารักษาไม่ถูกต้อง เชื้ออาจลุกลามไปอวัยวะข้างเคียงและสมองได้
                            โรคนี้สามารถเกิดขึ้นได้กับคนทุกช่วงอายุ แต่จะพบบ่อยในเด็กที่อายุต่ำกว่า 2 ปี ซึ่งเป็นโรคที่เป็นสาเหตุของการเสียชีวิตสูง หรือเมื่อรักษาหายอาจมีผลแทรกซ้อนตามมาภายหลัง เช่น อาจมีความผิดปกติของระบบประสาท, การได้ยินบกพร่อง ซึ่งมีผลต่อพัฒนาการของเด็ก โดยอุบัติการณ์ของการเกิดโรคไอพีดี (IPD) ในเด็กอายุน้อยกว่า 5 ปีเป็น 11.7 ต่อแสนประชากร1

                            โรคไอพีดีติดต่อได้อย่างไร
                            เชื้อนิวโมคอคคัสมักอาศัยอยู่ในโพรงจมูกหรือคอของคนทั่วไปทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ ขึ้นกับอายุและสิ่งแวดล้อมที่อาศัยอยู่ตรวจพบเชื้อได้ในสารคัดหลั่ง เช่น น้ำมูก น้ำลาย เสมหะ โดยที่ผู้ที่เป็นพาหะจะไม่มีอาการผิดปกติใดๆ
                            แต่จะแพร่กระจายเชื้อสู่ผู้อื่นได้โดยการ ไอ จามการเอาของเล่นเข้าปาก การรับประทานอาหารหรือดื่มน้ำถ้วยเดียวกันซึ่งเป็นการแพร่กระจายในลักษณะเดียวกับโรคหวัด ฉะนั้นเด็กเล็กที่ไม่มีภูมิต้านทานก็จะติดเชื้อได้ง่าย

                            อาการของโรค
                            โรคที่เกิดจากเชื้อนิวโมคอคคัส อาจก่อโรคได้ทั้งแบบชนิดรุนแรง (ไอพีดี)และแบบไม่รุนแรง
                            1.โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ เด็กจะมีไข้สูง ปวดศีรษะ ซึมลง อาเจียน คอแข็งส่วนในเด็กทารกจะมีไข้สูง ซึม ร้องกวนงอแง กระหม่อมโป่งตึงโคม่าไม่รู้สึกตัว ชักและอาจเสียชีวิตถ้าไม่เสียชีวิตก็อาจมีความผิดปกติของระบบประสาท เช่น หูหนวกระดับสติปัญญาต่ำ แขนขาเกร็ง เป็นโรคลมชัก เนื่องจากสมองถูกทำลายการวินิจฉัยโรคนี้ต้องมีการตรวจเพาะเชื้อจากการเจาะตรวจน้ำไขสันหลัง
                            2.โรคติดเชื้อในกระแสเลือดเด็กจะมีอาการไข้สูง ซึมลง ร้องกวนงอแงความดันโลหิตต่ำหรือช็อค และเสียชีวิตถึง 20%2 เชื้อจากกระแสเลือดอาจกระจายไปสู่อวัยวะอื่นได้ เช่น ปอดอักเสบเยื่อหุ้มสมองอักเสบ
                            3.โรคปอดอักเสบ มีไข้สูง ไอ เจ็บหน้าอกเวลาหายใจ และเหนื่อยหอบถ้ารุนแรงมากอาจจำเป็นต้องใช้เครื่องช่วยหายใจเนื่องจากภาวะการหายใจล้มเหลว เสียชีวิตได้ 5-7%3 และมีภาวะแทรกซ้อน เช่นเชื้อจากปอดเข้ากระแสเลือด ทำให้เพิ่มความเสี่ยงในการเสียชีวิตมากขึ้นภาวะหนองที่ช่องปอด ภาวะปอดแฟบ เป็นฝีในปอดทำให้ต้องผ่าตัดระบายหนองหรือตัดเนื้อปอดที่เสียหายหรืออุดตันซึ่งถ้าทิ้งไว้จะเป็นแหล่งของเชื้อโรคภาวะเยื่อหุ้มหัวใจที่อยู่ใกล้กับปอดอักเสบติดเชื้อทำให้การทำงานของหัวใจผิดปกติอาการปอดอักเสบจากเชื้อนิวโมคอคคัสมักมีการดำเนินโรคอย่างรวดเร็วทำให้ผู้ป่วยอาการทรุดหนักได้ภายใน 2-3 วัน บางรายก็อาการไม่ดีขึ้นทั้งๆที่ให้ยาฆ่าเชื้อไปแล้วแต่เป็นเพราะเชื้อดื้อยา
                            4. โรคหูชั้นกลางอักเสบ เด็กจะมีอาการไข้สูง บ่นปวดหู งอแง ถ้าไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง การติดเชื้ออาจลุกลามไปที่อวัยวะข้างเคียงหรือสมองได้ และสามารถเกิดหูน้ำหนวกเรื้อรัง แก้วหูทะลุ การได้ยินบกพร่อง ซึ่งมีผลต่อพัฒนาการด้านภาษาของเด็กด้วย

                            โรคไอพีดีรักษาได้อย่างไร
                            การติดเชื้อนิวโมคอคคัส สามารถรักษาได้ด้วยการใช้ยาปฏิชีวนะถ้าเป็นการติดเชื้อที่ไม่รุนแรง เช่น คออักเสบ หูน้ำหนวก หรือไซนัสอักเสบสามารถให้ในรูปแบบยารับประทานได้แต่ถ้าเป็นการติดเชื้อไอพีดี จำเป็นต้องได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีเพราะโรคจะดำเนินไปอย่างรวดเร็วและรุนแรงมิฉะนั้นอาจเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตหรือเกิดความพิการทางสมองผู้ป่วยต้องได้รับการรักษาในโรงพยาบาลแบบผู้ป่วยในบางครั้งต้องรักษาในไอซียูต้องได้รับยาปฏิชีวนะทางเส้นเลือดพร้อมกับการรักษาอาการที่เกิดขึ้น เช่นปัญหาการหายใจล้มเหลวขาดออกซิเจนทำให้ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ ยากันชัก ยาเพิ่มความดันโลหิต เป็นต้น

                            เด็กกลุ่มไหนที่มีความเสี่ยงต่อการติดโรคไอพีดี
                            1.เด็กอายุน้อยกว่า 2 ปีเนื่องจากเป็นวัยที่ภูมิต้านทานยังพัฒนาไม่เต็มที่เมื่อติดเชื้อมักจะมีอาการรุนแรง
                            2.เด็กทุกช่วงอายุที่มีภาวะต่อไปนี้
                            เด็กฝากเลี้ยงในสถานรับเลี้ยงเด็กจะเพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อสูงขึ้นถึง 2-3 เท่า3
                            โรคเรื้อรัง เช่น โรคหัวใจ โรคปอด โรคหอบหืด โรคไต โรคตับ โรคเบาหวานโรคเลือดจางธาลัสซีเมีย โรคเลือด sickle cell disease*
                            เด็กที่ไม่มีม้ามหรือม้ามทำงานไม่ดี*
                            ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง* เช่น ติดเชื้อเอชไอวี* โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง เด็กที่ได้รับยากดภูมิคุ้มกัน เช่นต้องได้ยาสเตียรอยด์ ยาเคมีบำบัด เป็นต้น
                            เด็กที่มีน้ำไขสันหลังรั่วหรือได้รับการผ่าตัดใส่วัสดุเทียมของหูชั้นใน
                            *ภาวะเหล่านี้จะเพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อนี้สูงกว่าเด็กปกติถึง 50เท่า3

                            ข้อปฏิบัติเบื้องต้นในการป้องกันโรคไอพีดีในเด็ก
                            1. สอนให้เด็กมีสุขภาพอนามัยที่ดี ล้างมือบ่อยๆ และปิดปากปิดจมูกทุกครั้งที่จาม หรือไอ
                            2. สอนให้เด็กหลีกเลี่ยงการสัมผัส กับคนที่เป็นไข้หวัดหรือป่วย
                            3. ให้ลูกกินนมแม่ซึ่งมีภูมิต้านทานโรคใครให้ลูกกินนมแม่อยู่ให้กินต่อเนื่องไปนานๆ
                            4. กินอาหารที่มีประโยชน์ครบ 5 หมู่ ออกกำลังกายเป็นประจำ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
                            5. หลีกเลี่ยงควันบุหรี่ และการพาเด็กไปในที่ๆมีผู้คนแออัด
                            6. การสร้างเสริมภูมิคุ้มกันอย่างเหมาะสม โดยสามารถปรึกษาแพทย์เพิ่มเติมเรื่องลูก

                            เอกสารอ้างอิง
                            1. Rhodes J, Dejsirilert S, Maloney SA, Jorakate P, Kaewpan A, Salika P, et al. Pneumococcal Bacteremia Requiring Hospitalization in Rural Thailand: An update on incidence, Clinical Characteristics, Serotype Distribution, and Atimicrobial Susceptibility, 2005-2010. PLoS One. 2013;8:e66038.
                            2. World Health Organization. Pneumococcal vaccines WHO position paper 2012. Wkly Epidemiological Rec 2012; 14: 129-144.
                            3. Centers for Disease Control and Prevention. Epidemiology and Prevention of Vaccine-Preventable Diseases. Hamborsky J, Kroger A, Wolfe S, eds. 13th ed. Washington DC: Public Health Foundation; 2015.

                             

                            logo                                                                                                                                                   PP-PNP-THA-0030

                              หนูน้อยวัย 8 เดือน รอดปาฏิหาริย์ แผ่นดินไหว คุมาโมโตะ

                              ที่มาจาก ThaiPBS

                              ข่าวจาก ThaiPBS หนูน้อยวัย 8 เดือนรอดชีวิตจากแผ่นดินไหวรุนแรงญี่ปุ่น ขณะที่ยอดผู้เสียชีวิตจาก 9 คน บาดเจ็บอีกหลายร้อยคน บ้านเรือนหลายหลังพังถล่มและเกิดไฟไหม้ ขณะที่หน่วยกู้ภัยยังคงเร่งค้นหาผู้รอดชีวิตที่ติดอยู่ใต้ซากหักพัง

                              15 เม.ย. สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า นายกรัฐมนตรีชินโซะ อาเบะ จัดการประชุมฉุกเฉินคณะรัฐมนตรีและเจ้าหน้าที่ พร้อมทั้งให้คำมั่นว่ารัฐบาลจะให้ความช่วยเหลือทุกอย่างในภารกิจการกู้ภัย และช่วยเหลือผู้ประสบภัยแผ่นดินไหวที่ต้องอพยพออกจากบ้านเรือน โดยรัฐบาลจะทุ่มเทความพยายามทุกอย่างเพื่อหลีกเลี่ยงภัยพิบัติซ้ำสองจากอา ฟเตอร์ช็อคที่เกิดตามมา นายอาเบะ ยังแสดงความเสียใจกับครอบครัวผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บ

                              หนูน้อยแผ่นดินไหว (2)

                              ขณะที่ หน่วยกู้ภัยญี่ปุ่นกว่า 1,300 นาย พร้อมด้วยทหาร 1,600 นายและตำรวจอีกเกือบ 2,000 นาย ระดมกำลังค้นหาและช่วยเหลือผู้รอดชีวิตจากเหตุแผ่นดินไหวในพื้นที่ทางตอนใต้ ของญี่ปุ่น โดยช่วยเด็กทารกหญิงวัย 8 เดือนออกมาได้ 1 คน

                              แผ่นดินไหวเกิดขึ้นเมื่อเวลา 21.26 น.ตามเวลาท้องถิ่นตรงกับ 19.26 น. ค่ำวานนี้ (14 เม.ย.) ตามเวลาในประเทศไทย วัดความรุนแรงได้ 6.4 และเกิดลึกเพียง 10 กิโลเมตร จุดศูนย์กลางอยู่ห่างจากจังหวัดคุมาโมโตบนเกาะคิวชูไปทางตะวันออกประมาณ 11 กิโลเมตร แต่ไม่มีการประกาศเตือนภัยสึนามิ หลังเกิดแผ่นดินไหวไปแล้ว 40 นาที มีแผ่นดินไหวเกิดตามมาอีกวัดความรุนแรงได้ 5.7 และผ่านไปอีก 2 ชั่วโมงครึ่งก็เกิดตามอีกระลอกวัดความรุนแรงได้ 6.4 ขณะที่มีรายงานว่ามีอาฟเตอร์ช็อคเกิดตามมาอีกกว่า 100 ครั้ง เจ้าหน้าที่ต้องประกาศเตือนประชาชนว่าอาจมีอาฟเตอร์ช็อคเกิดขึ้นต่อเนื่องไป อีกหนึ่งสัปดาห์หรือมากกว่า

                              A patient is evacuated by emergency staff to an hospital in Kumamoto City on April 16, 2016. A strong 7,0 earthquake hit southern Japan early, the US Geological Survey said, a day after another powerful tremor killed at least nine people in the same area. Tens of thousands of people fled their homes after the 6.5-magnitude quake struck the southwestern island of Kyushu on Thursday night, leaving lumps of concrete strewn in the streets. / AFP PHOTO / KAZUHIRO NOGI

                              อย่างไรก็ตาม แรงสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหวทำให้อาคารบ้านเรือนพังถล่ม โดยเมืองมาชิกิ ซึ่งมีประชากรประมาณ 34,000 คน และอยู่ใกล้จุดศูนย์กลางแผ่นไหวดินเป็นพื้นที่ได้รับความเสียหายอย่างหนัก อาคารหลายหลังพังถล่มและเกิดไฟไหม้บ้านเรือน ขณะที่บ้านเรือน 16,000 หลังไม่มีกระแสไฟฟ้าใช้ เนื่องจากระบบส่งจ่ายกระแสไฟฟ้าได้รับความเสียหาย แม้แผ่นดินไหวจะสร้างความเสียหายแต่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ 3 แห่งทางตอนใต้สุดของเกาะคิวชูและบนเกาะชิโกกุ ซึ่งอยู่ติดๆ กัน ไม่ได้รับผลกระทบใดๆ ขณะที่โรงงานของบริษัทยักษ์ใหญ่หลายแห่งในพื้นที่แผ่นดินไหวไม่ว่าจะเป็น ฮอนด้า บริดจ์สโตนและโซนีต้องระงับการผลิตชั่วคราว

                              หนูน้อยแผ่นดินไหว (1)

                              ทั้งนี้มีรายงานว่ารถไฟบนเกาะคิวชูต้องหยุดให้บริการหลังเกิดแผ่นดินไหว และมีรถไฟหัวกระสุนตกรางแต่เป็นขบวนรถเปล่าจึงไม่มีใครได้รับอันตราย ล่าสุดยอดผู้เสียชีวิตยังอยู่ที่ 9 คน มีผู้ได้รับบาดเจ็บอีกเกือบ 900 คน ในจำนวนนี้มีอาการสาหัส 44 คน คาดว่าตัวเลขผู้เสียชีวิตจะเพิ่มสูงขึ้นอีก

                              japantimeline

                              ส่วนสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงโตเกียว แจ้งว่าไม่มีคนไทยได้รับผลกระทบและขอให้คนไทยที่พำนักในญี่ปุ่นและนักท่อง เที่ยวไทยใช้ความระมัดระวังและติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด กรณีขอความช่วยเหลือในจังหวัดคุมาโมโตะ ติดต่อกองการต่างประเทศ จังหวัดคุมาโมโตะ (81-96-333-2315)

                               

                                เมื่อลูกทารกชัก เรื่องใหญ่ที่พ่อแม่ควรรู้

                                แม้อาการชักในทารกไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ แต่สำหรับพ่อแม่มือใหม่หลายท่าน เพียงแค่ได้ยินคำว่า “ชัก” ก็คงตกอกตกใจกันบ้างใช่ไหมคะ เราจะมาเจาะลึกอาการ “ชัก” ในเบบี๋ กับ พญ. พิชญา ไพศาล กุมารแพทย์ด้านประสาทวิทยา โรงพยาบาลสมิติเวช สุขุมวิท ว่าอาการชักแบบไหนที่พ่อแม่ควรเฝ้าระวัง และเมื่อลูกมีอาการชัก ควรทำอย่างไร มาเริ่มกันเลยดีกว่าค่ะ

                                สาเหตุของอาการชักในทารกคือ

                                • พยาธิสภาพในสมองเฉียบพลันจากสาเหตุต่างๆ เช่น การติดเชื้อของเยื่อหุ้มสมอง เลือดออกในสมอง สมองขาดเลือด เนื้องอก หรือได้รับการกระทบกระเทือนจากอุบัติเหตุ เป็นต้น
                                • พยาธิสภาพในสมองที่เป็นมาแต่กำเนิด เช่น การพัฒนาการของเนื้อสมองผิดปกติ ทั้งจากพันธุกรรมหรือจากภาวะผิดปกติระหว่างตั้งครรภ์
                                • มีภาวะเสียสมดุลของน้ำตาลหรือเกลือแร่บางชนิดในเลือด
                                • โรคลมชัก ที่เกิดจากความผิดปกติทางพันธุกรรม
                                • ภาวะชักจากไข้สูง ซึ่งเป็นสาเหตุที่พบได้บ่อยที่สุดในเด็กทารกอายุ 6 เดือนถึงเด็กอายุ 5 ปี

                                นอกจากนี้ยังมีกลุ่มโรคลมชักส่วนหนึ่งที่ตรวจแล้วไม่พบสาเหตุอีกด้วย  อย่างไรก็ตามแม้ว่าภาวะชักจากไข้สูงจะพบได้บ่อยและไม่อันตราย ถ้าลูกมีไข้แล้วชักก็ควรพาไปพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุเสมอ

                                อันตรายจากอาการชักมีอะไรบ้าง?

                                อาการชักส่วนใหญ่มักหยุดได้เองภายในเวลาไม่กี่นาที จึงมักไม่ทำให้เกิดอันตรายโดยตรง แต่ผลกระทบจากการชักพบว่าอาจเกิดจาก

                                • การบาดเจ็บขณะชัก เช่น ชักแล้วล้มศีรษะฟาดพื้น ชักขณะทำกิจกรรม เช่น ว่ายน้ำ
                                • การบาดเจ็บจากการช่วยเหลือไม่ถูกวิธี โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเอาของแข็งเช่น ช้อน หรือนิ้วไปงัดปากลูกเพื่อไม่ให้กัดลิ้น เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ เพราะอาจไปกระตุ้นให้เกิดการสำลักแล้วหยุดหายใจได้ หรืออาจทำให้ฟันหักไปอุดหลอดลมเสียชีวิตได้ การอุ้มลูกขึ้นมาเขย่าๆ หรือการกดปั๊มหัวใจ ก็อาจทำให้กระตุ้นการสำลักได้เช่นกัน
                                • การชักซ้ำๆ หรือภาวะชักต่อเนื่องที่นานเกิน 30 นาที จะส่งผลต่อการทำงานของร่างกายทุกระบบ อันนี้เป็นภาวะที่ต้องรักษาอย่างเร่งด่วน

                                อาการชักในเบบี๋เป็นอย่างไร?

                                การชักในทารกที่พบบ่อย คือ การเกร็งหรือเกร็งและกระตุกทั่วตัว หมดสติ เรียกไม่รู้สึกตัว ตาเหลือก ซึ่งส่วนใหญ่คุณพ่อคุณแม่เห็นก็มักจะบอกได้ว่าเป็นอาการชัก แต่ในเด็กทารกจะมีอาการชักบางลักษณะที่คนส่วนใหญ่อาจไม่รู้และปล่อยผ่านไป แต่หากเป็นบ่อยๆ จะส่งผลต่อการมีพัฒนาการที่ช้ากว่าปกติได้ด้วย ดังนั้นหากคุณพ่อคุณแม่สังเกตเห็นอาการเหล่านี้ควรรีบพาลูกไปพบแพทย์ เช่น

                                • ชักสะดุ้ง ชักผวา เกิดในระยะเวลาสั้นๆ ดูคล้ายอาการสะดุ้งเวลาตกใจ เกิดซ้ำหลายๆ ครั้ง
                                • ชักเหม่อ เช่น กำลังเล่นอยู่ จู่ๆ ลูกก็นิ่งไป ไม่รู้สึกตัว ไม่ตอบสนองเป็นระยะเวลาสั้นๆ
                                • ชักตัวอ่อน อาจจะทรุดลงทันที หรือมีคอตกแขนตกทันที
                                • การกระตุกหรือเกร็งแขนหรือขาข้างใดข้างหนึ่งขึ้นมา โดยไม่ได้เป็นทั้งตัว

                                เมื่อลูกเบบี๋ชัก พ่อแม่ช่วยเหลืออย่างไรได้บ้าง?

                                อาการชักส่วนใหญ่หยุดเองได้ในเวลาไม่กี่นาที  สิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ช่วยได้คือ ระมัดระวังไม่ให้เกิดอันตรายจากการชัก จัดท่าลูกในท่านอนตะแคงเพื่อลดการสำลัก และไม่เอาอะไรใส่ปากลูกเด็ดขาด ถ้าหยุดชักแล้วอาการปกติดี ก็ค่อยพาลูกไปพบแพทย์ แต่ให้ระวังการชักที่นานเกิน 5 นาทีมักไม่หยุดเอง กรณีนี้ต้องพาไปโรงพยาบาลทันที

                                อาการชักจากไข้สูงเกิดจากอะไร? ทำให้พัฒนาการช้าจริงหรือ?

                                สาเหตุไม่แน่ชัด อาจเกิดจากเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิอย่างรวดเร็วส่งผลต่อการส่งสัญญาณประสาท ปัจจุบันก็พบว่าเกี่ยวข้องการความผิดปกติทางพันธุกรรมร่วมด้วย  ซึ่งอาการชักจากไข้สูงนั้นจากการศึกษาพบว่า ไม่ส่งผลกระทบต่อระดับสติปัญญา ความสามารถในการเรียนรู้ และพฤติกรรมของเด็ก และมักเกิดกับเด็กอายุ 6 เดือนถึง 5 ปีเท่านั้น จึงไม่ต้องเป็นกังวลมากค่ะ เพราะเมื่อเด็กอายุเกิน 5 ปี เขาจะหายได้เอง

                                แต่หากลูกมีประวัติชักจากไข้ซ้ำหลายๆ ครั้ง และมีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคลมชัก หมอจะทำการตรวจคลื่นไฟฟ้าสมอง เนื่องจากอาจมีโอกาสเป็นโรคลมชักได้มากกว่าคนทั่วไป

                                 

                                  เปิดเทอมวันแรก

                                  เปิดเทอมวันแรก …โรงเรียนแรกของลูก

                                  เปิดเทอมวันแรก ของลูก เป็นอีกหนึ่งวันสำคัญที่สุดของทั้งพ่อแม่ และลูกน้อย  เพราะ วันเปิดเทอมเป็นการไปโรงเรียนวันแรกของลูกที่เขาจะต้องออกไปเรียนรู้ประสบการณ์ต่างๆ นอกบ้าน ไม่ได้อยู่กับคนที่คุ้นเคยกับเขาทั้งวัน เรามีคำแนะนำจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในการพาลูกไปโรงเรียนในวันแรก ให้ผ่านไปได้ด้วยดีมาฝากค่ะ

                                  Continue reading “เปิดเทอมวันแรก …โรงเรียนแรกของลูก”

                                    โรงเรียนแรกของฉัน ความฝันของเรา

                                    ปัจจุบันการเลือกโรงเรียนให้กับลูก ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญจุดหนึ่งในชีวิตทีเดียว โรงเรียนสำหรับเจ้าตัวเล็กตอนนี้แบ่งเป็น 2 แนวทางหลักๆ คือ โรงเรียนที่เน้นวิชาการ กับ โรงเรียนทางเลือก ซึ่งแนวที่เน้นวิชาการก็จะเป็นโรงเรียนที่เราเห็นทั่วไปและมีมาแต่เดิม ส่วนโรงเรียนทางเลือกมาแพร่หลาย มีหลากหลายแนวคิดให้เลือกในช่วงประมาณ 10 ปีหลัง เช่น มอนเตสเซอร์รี่ วอลดอล์ฟ วิถีพุทธ เป็นต้น นอกจากนั้นก็จะมีแนวโฮมสคูลที่คุณพ่อคุณแม่เป็นคุณครูสอนลูกเองเต็มเวลา สำหรับครอบครัวเราไม่หนักไปขั้วใดขั้วหนึ่ง เราก็เลยเลือกโรงเรียนแนวกลางๆ ซึ่งก็มีให้เลือกไม่น้อย

                                    TRICK
                                    1) ผู้ปกครองเลือกแนวทางและแนวคิดโรงเรียน แต่ให้ลูกเลือกโรงเรียน (ถ้าผ่านไปเรียนแล้วลูกไม่มีความสุข ต้องมาพิจารณาว่าปัญหาอยู่ที่ตัวแนวคิดหรือตัวโรงเรียน)
                                    2) เตรียมความพร้อมพื้นฐานให้ลูกรู้จักช่วยตัวเอง
                                    3) สร้างแรงจูงใจลูกให้รู้จักการไปโรงเรียนและไม่กลัว
                                    4) พูดคุยกับลูกทุกวันเกี่ยวกับกิจกรรมที่ทำที่โรงเรียน

                                    ทำความรู้จักโรงเรียน

                                    หลังจากเราเลือกแนวโรงเรียนได้แล้ว เราก็พาเจ้าปูนปั้นไปดูบรรยากาศโรงเรียนต่างๆ ที่เราคัดออกมา แล้วเราก็เฝ้าสังเกตพฤติกรรมว่า เจ้าปูนปั้นชอบที่ไหน โดยสังเกตดูความตื่นเต้นต่อสถานที่ เช่น ห้องเรียน สนามเด็กเล่น รวมถึงให้เขารู้จักกับคุณครูที่ต้องอยู่ด้วยกันทุกวันก่อน แล้วสังเกตว่าเขาเข้ากับคุณครูและสถานที่ได้ไหม

                                    คำนึงการรับ-ส่ง

                                    สำหรับครอบครัวเดี่ยวที่เลือกโรงเรียนใกล้ที่ทำงานของคุณพ่อหรือคุณแม่ที่พร้อมไปรับส่งในเส้นทางที่ต้องไปทำงานอยู่แล้ว มีข้อดีก็คือเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินคุณก็จะไปถึงตัวลูกได้เร็ว แต่ข้อเสียคือเด็กจะต้องใช้ชีวิตอยู่บนรถตอนเช้ามากเกินไปหรือเปล่า? ทั้งกินข้าวและเปลี่ยนชุดนักเรียน และส่วนครอบครัวใหญ่ ก็อาจเลือกโรงเรียนใกล้บ้านโดยให้คุณปู่คุณย่า หรือญาติช่วยไปรับส่งได้ ช่วยทำให้ลูกไม่เหนื่อยกับการเดินทาง

                                    ฝึกช่วยเหลือตัวเองเตรียมพร้อมก่อนเข้าเรียน

                                    เราควรสอนให้เด็กสามารถช่วยเหลือตัวเองขั้นพื้นฐานให้ได้มากที่สุด คือ ตักข้าวกินเองได้ หัดให้บอกได้ว่า หิวน้ำ ต้องการไปห้องน้ำ ใส่เสื้อผ้าถอดเสื้อผ้า เป็นต้น ส่วนเรื่อง ก.ไก่ ข.ไข่ ปล่อยให้คุณครูสอนที่โรงเรียนก็ได้ครับ ที่บ้านเราใช้วิธีนำชุดนักเรียนมาให้เขาลองใส่เพื่อสร้างบรรยากาศให้เขาอยากไปโรงเรียน และฝึกให้เข้านอนแต่หัวค่ำ ตื่นมาจะได้สดใส

                                    ใช้เวลาปรับตัว

                                    เด็กบางคนสนุกในช่วง 2-3 วันแรก และงอแงมากเป็นเทอมเลยก็มี เพราะแม้โรงเรียนจะเป็นสถานที่ใหม่แสนสนุก แต่พอเขารู้ว่าต้องมาทุกวัน อดเล่นกับคุณพ่อคุณแม่ที่บ้านเท่านั้นแหละความดราม่าก็บังเกิด เพราะฉะนั้นในทุกๆ วัน คุณอย่าลืมถามลูกว่า “วันนี้ที่โรงเรียนเป็นอย่างไรบ้าง” “เพื่อนชื่ออะไร? คนไหนเป็นอย่างไร?” “คุณครูชื่ออะไร?” เพราะเรื่องราวที่ประทับใจลูก เขาจะเรียบเรียงเล่าออกมาได้ ยกตัวอย่างเช่น หากเป็นการเรียนเต้นรำหรือร้องเพลง เราก็มักให้ปูนปั้นนำแล้วเราก็ทำตามเขา ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ทำให้ปูนปั้นภูมิใจและเพิ่มความมั่นใจในตัวเองเข้าไป

                                     

                                    บทความโดย

                                    พ่อเอก จิรัฏฐ์ สิริเฉลิมพงศ์
                                    Blogger เจ้าของนามปากกา บรรทัดที่สิบเอ็ด
                                    คุณพ่อของน้องปูนปั้น ด.ช.ปัญญธัช สิริเฉลิมพงศ์

                                    ภาพ

                                    Shutterstock