พัฒนาการลูกเสีย

เตือน! พัฒนาการลูกเสียจากมือถือของพ่อแม่

สัญญาณร้ายเตือนพ่อแม่ยุคใหม่หันมาใส่ใจลูก หลังพบตัวเลขเด็กปฐมวัยช่วยเหลือตัวเองได้น้อยลง และขาดทักษะทางการพูด โดยชี้ว่าปัญหามาจากพ่อแม่ และผู้ดูแลขาดการเอาใจใส่ที่ดีพอ เนื่องจากพ่อแม่ให้ความสนใจกับสมาร์ทโฟนมากกว่าลูกนั่นเอง Continue reading “เตือน! พัฒนาการลูกเสียจากมือถือของพ่อแม่”

    รวมเรื่องที่พ่อแม่ชอบทำให้ลูกเสียใจโดยไม่รู้ตัว?

    อยากให้ผู้ใหญ่อ่าน … ปัจจุบันปัญหาสังคมเกิดขึ้นมากมายในประเทศไทย หลายฝ่ายหลายภาคส่วนรณรงค์ช่วยกันแก้ไข แต่คุณเชื่อหรือไม่ว่าจากการสำรวจ สถาบันที่ควรมีส่วนเกี่ยวข้องในการแก้ไขปัญหาสังคมมากที่สุด กับนิ่งเฉยมาก นั่นก็คือ สถาบันครอบครัว Continue reading “รวมเรื่องที่พ่อแม่ชอบทำให้ลูกเสียใจโดยไม่รู้ตัว?”

      โรคติดต่ออันตราย

      โรคติดต่ออันตราย 12 โรค ปี 2559 ที่พ่อแม่ต้องระวัง

      เมื่อเดือนมิถุนายนที่่ผ่านมา กระทรวงสาธารณสุขเปิดเผยว่า พบ โรคติดต่ออันตราย ในปี 2559 จำนวน 12 โรค เช่น กาฬโรค ไข้ทรพิษ ไข้เลือดออกไครเมียนคองโก ไข้เวสต์ไนล์ ไข้เหลือง โรคไข้ลาสซา โรคติดเชื้อไวรัสนิปาห์ โรคติดเชื้อไวรัสมาร์บบวร์ก เป็นต้น โดยมีรายละเอียดดังนี้

      Continue reading “โรคติดต่ออันตราย 12 โรค ปี 2559 ที่พ่อแม่ต้องระวัง”

        นิสัยลูกน้อย

        นิสัยลูกน้อย 8 แบบ อยากให้เป็นคนแบบไหนขึ้นอยู่กับการเลี้ยงดู

        คุณพ่อ คุณแม่ คือครูคนแรกของลูกน้อยที่จะสามารถสั่งสอนลูกให้เติบโตไปในแนวทางที่กำหนด เรามาดูการเลี้ยงดูลูกน้อย 8 แบบที่ทำให้ นิสัยลูกน้อย เติบโตมาแตกต่างกัน เช่น การตำหนิ การเมินเฉย การเลี้ยงให้มีความอับอาย การสอนลูกให้ขี้กลัว สอนมาด้วยกำลังใจ การยกย่องชื่นชม

        Continue reading “นิสัยลูกน้อย 8 แบบ อยากให้เป็นคนแบบไหนขึ้นอยู่กับการเลี้ยงดู”

          อุบัติเหตุบนรถไฟฟ้า

          อุบัติเหตุบนรถไฟฟ้า ที่พ่อแม่ควรระวัง

          รถไฟฟ้าเป็นสิ่งอำนวยความสะดวกให้กับคนเมือง ได้เดินทางอย่างรวดเร็ว หลีกเลี่ยงปัญหารถติด แต่อุบัติเหตุเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ แม้กระทั่งบนรถไฟฟ้าที่เรามั่นใจว่าปลอดภัย มาดูเหตุการณ์นี้ไม่พร้อมๆ กันเพื่อเป็นอุทาหรณ์ถึง อุบัติเหตุบนรถไฟฟ้า ที่อาจเกิดขึ้นได้กับลูกน้อย

          Continue reading “อุบัติเหตุบนรถไฟฟ้า ที่พ่อแม่ควรระวัง”

            เค้กบลูเบอร์รี่ กล้วย ไอศกรีม

            เค้กบลูเบอร์รี่ & กล้วย & ไอศกรีม (1 ขวบ+)

            ถึงคราวของหวานสำหรับเด็กน้อยผู้แพ้อาหารบ้าง นอกจากเค้กที่คุณพ่อคุณแม่ทำเองได้ง่ายๆ แล้ว ยังมีไอศกรีมด้วย น่าจะถูกใจลูกแน่นอน!

            เมนูนี้สำหรับเด็กอายุ 1 ขวบขึ้นไป

            Top 8 Free!

            เมนูนี้ปราศจากส่วนผสมจากแป้งสาลี ผลิตภัณฑ์จากนม ไข่ ถั่วเหลือง ถั่วเปลือกแข็ง ถั่วลิสง ปลาทะเล และสัตว์ทะเลเปลือกแข็ง เช่น กุ้ง หอย ปู ปลาหมึก เหมาะสำหรับเด็กที่แพ้อาหารดังกล่าว

            เวลาปรุง เตรียม 10 นาที ปรุง 15 นาที

            ส่วนผสมสำหรับ 4-6 ที่

            1. แป้งข้าวเจ้า                            50           กรัม
            2. แป้งข้าวโพด                           50           กรัม
            3. ผงฟู                                        1              ช้อนชา
            4. เบกกิ้งโซดา                            ½            ช้อนชา
            5. น้ำตาลทรายขาว                   80           กรัม
            6. เกลือป่นหยิบมือ
            7. กล้วยหอมบด                         2              ลูก
            8. น้ำมันรำข้าว                          70           กรัม
            9. นมที่น้องดื่มได้                       50           กรัม
            10. วานิลลาสกัด                         1              ช้อนชา
            11. บลูเบอร์รี่แช่แข็งที่ละลายแล้ว              ½            ถ้วย

            วิธีทำ

            1. ใส่ส่วนผสมตั้งแต่แป้งข้าวเจ้าจนถึงเกลือป่นลงในชามผสม คนเข้ากันดี ใส่กล้วยหอมบดจนถึงวานิลลาสกัดลงผสม คนจนเนื้อเนียนเข้ากันดี ใส่บลูเบอร์รี่ คนพอเข้ากัน
            2. นำกระทะเทฟล่อนขึ้นตั้งไฟปานกลางค่อนข้างอ่อน ใช้น้ำมันทาบางๆ รอจนกระทะร้อน ตักส่วนผสมหยอดลงทอดประมาณครั้งละ ¼ ถ้วย ทอดจนเห็นฟองปุดๆ ทั่วแผ่นจึงกลับทอดอีกด้านประมาณ 1 นาที
            3. ตักขึ้นใส่จาน เสิร์ฟอุ่นๆ โรยไอซิ่งให้ทั่ว ราดหน้าด้วยซอสช็อกโกแลต และเสิร์ฟกับไอศกรีมวานิลลา

            Cooking Tips

            เนื้อเค้กสูตรนี้สามารถประยุกต์ทำเป็นคัพเค้ก โดยตักส่วนผสมใส่แก้วกาแฟ 2/3 ของแก้ว แล้วนำเข้าเตาไมโครเวฟ อบด้วยไฟแรงประมาณ 4-5 นาทีแล้วแต่ขนาดของแก้ว โดยเมื่อครบทุก 3 นาที ให้นำออกมาดูว่าเค้กสุกหรือยัง ถ้ายังให้อบเพิ่มครั้งละ 1 นาทีจนกว่าจะสุก เช็คว่าสุกหรือไม่โดยใช้ไม้แหลมจิ้มตรงกลางแก้ว ถ้าไม่มีเศษเค้กติดออกมาแสดงว่าสุกแล้ว

              ท้องแล้วออกกำลังกายได้ไหม ตั้งครรภ์

              “ท้อง” แล้วยังออกกำลังกายได้หรือไม่?

              ท้องแล้วออกกำลังกายได้ไหม? หากคุณเป็นคนที่ก่อนท้องติดการออกกำลังกายมาก แต่พอท้องแล้วต้องหยุดไหม เรามีคำตอบจาก นาวาตรี พญ. ณัฐยา รัชตะวรรณ สูตินรีแพทย์มาฝากค่ะ

              จากการทบทวนข้อมูลของคุณแม่ตั้งครรภ์ที่มีการออกกำลังกายต่อเนื่อง พบว่าการออกกำลังกายช่วยในเรื่องเหล่านี้ได้ดีมากคือ

              1. ช่วยลดอาการปวดหลัง ที่พบบ่อยมากขณะตั้งครรภ์ได้ชัดเจน เพราะกล้ามเนื้อมีความฟิตและยืดหยุ่นมากกว่าคุณแม่ที่ไม่เคยออกกำลังกายเลย
              2. ช่วยในการควบคุมน้ำหนักขณะตั้งครรภ์ ลดภาวะแทรกซ้อนของเบาหวานขณะตั้งครรภ์ได้ อีกทั้งยังทำให้ลูกในท้องไม่มีภาวะตัวโตเกินขนาดจนกลายเป็นเด็กอ้วน ที่สำคัญการออกกำลังกายในคุณแม่ตั้งครรภ์ปกติ ไม่ได้ทำให้ลูกตัวเล็กหรือเกิดการคลอดก่อนกำหนดแต่อย่างใด

              ถึงแม้ว่าการออกกำลังกายจะมีประโยชน์ แต่ก็มีข้อควรระวังเช่นกัน นอกจากคุณแม่จะต้องระมัดระวังตัวขณะออกกำลังกายไม่ให้เกิดอุบัติเหตุหรือไม่ทำให้ท้องถูกกระแทกจนเกิดรกลอกตัวเป็นอันตรายกับชีวิตลูกได้แล้ว หากคุณแม่มีภาวะดังต่อไปนี้ ก็ห้ามออกกำลังกายโดยเด็ดขาด

              1. ภาวะครรภ์เป็นพิษ

              เพราะขณะออกกำลังกาย คุณแม่จะมีความดันโลหิตสูงขึ้นซึ่งทำให้ครรภ์เป็นพิษแย่ลง จนอาจเกิดอาการชักได้

              2. เคยมีประวัติการคลอดบุตรก่อนกำหนดหรือตั้งครรภ์แฝด

              โดยเฉพาะช่วงไตรมาสที่สองและสาม

              3. คุณแม่ตั้งครรภ์ที่มีภาวะรกเกาะต่ำ

              ซึ่งการออกกำลังกายอาจจะทำให้เกิดเลือดออกทางช่องคลอด หากเลือดออกมากอาจจะทำให้ต้องยุติการตั้งครรภ์จนทำให้เด็กมีอันตรายถึงชีวิตได้

              4. คุณแม่ตั้งครรภ์ที่ลูกในท้องมีการเจริญเติบโตช้ากว่าปกติ

              มีน้ำหนักตัวน้อยกว่าเกณฑ์ ก็เข้าข่ายห้ามออกกำลังกาย เพราะขณะคุณแม่ออกกำลังกาย จะทำให้ออกซิเจนที่ส่งไปหาลูกลดลงชั่วขณะ จะยิ่งทำให้เด็กตัวเล็กลงไปอีก

              ดังนั้นหากคุณแม่ที่ตั้งครรภ์แล้วมีความประสงค์จะออกกำลังกายต่อเนื่อง เพราะก่อนตั้งครรภ์เคยออกกำลังกายอยู่แล้ว ควรปรึกษาสูติแพทย์ให้ทำการตรวจคัดกรองให้แน่ใจว่าคุณแม่แข็งแรงพอจะออกกำลังกายได้อย่างปลอดภัย ด้วยการตรวจร่างกายอย่างละเอียด ซักประวัติถึงชนิดของการออกกำลังกาย ระยะเวลาที่ใช้ ความถี่ความหนักของชนิดของการออกกำลังกาย ประวัติในครอบครัวว่าเคยมีสมาชิกที่เป็นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบไหม ประวัติเกี่ยวกับกระดูกและกล้ามเนื้อว่าเคยมีการบาดเจ็บมาก่อนหรือไม่ ประวัติการใช้ยาชนิดต่างๆ  และประวัติด้านโรคปอดที่อาจจะทำให้เกิดการเหนื่อยง่ายกว่าปกติ เป็นต้น

              อ่านเรื่อง ท้องแล้วยังออกกำลังกายได้ไหม? คลิกหน้า 2

                ใช้เทคโนโลยีอย่างไรให้ปลอดภัยกับแม่และลูกในท้อง

                ปัจจุบันนี้เรามีเทคโนโลยีที่ไฮเทคอยู่ใกล้ตัวมากมาย แม้แต่ในยามที่คุณตั้งครรภ์ ก็ยังมีเทคโนโลยีเครื่องมือไฮเทคต่างๆ มาช่วยอำนวยความสะดวก เพิ่มความรวดเร็ว สะดวกสบายให้กับการทำงาน ในการดำเนินชีวิตประจำวัน และการเลี้ยงลูกไม่ว่าจะเป็นคอมพิวเตอร์ มือถือ เครื่องถ่ายเอกสาร ไมโครเวฟ และเครื่องเล่น MP3

                Continue reading “ใช้เทคโนโลยีอย่างไรให้ปลอดภัยกับแม่และลูกในท้อง”

                  วิธีรับมือกับลูกช่างเถียง

                  คนเป็นพ่อแม่แทบทุกคนต้องเคยเผชิญปัญหา “ลูกเถียง” จะต่างกันก็ตรงที่เถียงน้อย เถียงมาก เถียงแหลก เถียงคำไม่ตกฟาก เถียงทันควัน ฯลฯ และมักจบเรื่องการเถียงด้วยอารมณ์เสีย โกรธ โมโห และทะเลาะกันในที่สุด

                  Continue reading “วิธีรับมือกับลูกช่างเถียง”

                    น้ำร้อนลวกลูกน้อย อุบัติเหตุที่พ่อแม่ควรระวัง

                    เรื่องราวของคุณแม่คนหนึ่งที่ฝากเตือนไว้เพื่อเป็นอุทาหรณ์ เมื่อคุณแม่ต้มข้าวไว้บนเตาแก๊ส ในขณะที่ลูกน้อยกำลังนั่งรถหัดเดิน เข็นไปดึงสายแก๊ส ทำให้หม้อตกลงมาทำให้ น้ำร้อนลวกลูกน้อย หนูน้อยชักดิ้นชัดงอด้วยความเจ็บปวด คุณแม่พบเข้าแทบใจสลาย ลูกเจ็บ แม่เจ็บกว่า

                    Continue reading “น้ำร้อนลวกลูกน้อย อุบัติเหตุที่พ่อแม่ควรระวัง”

                      อาหารก่อภูมิแพ้

                      อาหารก่อภูมิแพ้ 8 ชนิดที่พ่อแม่ควรระวัง

                      ในแต่ละปีมีคนนับล้านที่มีอาการแพ้อาหารจาก อาหารก่อภูมิแพ้ แม้ว่าอาการแพ้ที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่จะมีอาการไม่ค่อยรุนแรง แต่บางครั้งอาการแพ้อาหารก็สามารถทำให้เกิดปฏิกิริยารุนแรง และอาจทำให้เสียชีวิตได้ ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐอเมริกาประมาณการว่าจะมีเด็กที่แพ้อาหารเพิ่มขึ้น 8%

                      Continue reading “อาหารก่อภูมิแพ้ 8 ชนิดที่พ่อแม่ควรระวัง”

                        แมลงก้นกระดก

                        อันตรายจาก ‘แมลงก้นกระดก’ และวิธีป้องกัน

                        จากข้อความทางโซเชียลมีเดียที่ส่งต่อๆ กันมาเป็นทอดๆ เกี่ยวกับพิษภัยของ “ แมลงก้นกระดก ” ที่เมื่อโดนกัดหรือต่อยแล้ว จะเกิดเป็นโรคผิวหนังอักเสบ จนอาจทำให้ถึงขั้นเสียชีวิตนั้น Continue reading “อันตรายจาก ‘แมลงก้นกระดก’ และวิธีป้องกัน”

                          ตรวจสุขภาพลูก

                          “ตรวจสุขภาพลูก” รู้ก่อน รู้ทัน ป้องกันโรค

                          การตรวจสุขภาพเด็ก มีความจำเป็นต่อเด็กไม่แพ้ผู้ใหญ่ “เด็กมักจะมีสมุดสุขภาพประจำตัว  และหมอจะนัดมาพบเพื่อตรวจสุขภาพเป็นประจำอยู่แล้ว  นับเป็นพื้นฐานที่สำคัญมากและเด็กทุกคนทั่วโลกต้องมี” คุณหมอสินดี จำเริญนุสิต กุมารแพทย์ โรงพยาบาลเวชธานี กล่าวเปิดประเด็น เพื่อให้คุณพ่อคุณแม่ตระหนักถึงความสำคัญของการตรวจสุขภาพลูกน้อย

                          เด็กตรวจสุขภาพบ่อยแค่ไหน?

                          ลูกวัยทารกเป็นช่วงที่ยังไม่สามารถบอกอาการเจ็บป่วยได้ด้วยตัวเอง  กระทั่งเด็กวัยเตาะแตะหรือเข้าเรียนแล้ว  การอธิบายว่ารู้สึกเจ็บปวดหรือไม่สบายที่ใดบ้างก็ยังเป็นเรื่องยากอยู่ดี  และเป็นเรื่องยากสำหรับผู้ใหญ่ที่จะเข้าใจได้ถูกต้องเช่นกัน คุณหมอจึงแนะนำให้พาเด็กมาพบคุณหมอทุกครั้งที่คุณแม่สังเกตเห็นความผิดปกติ  และถึงแม้จะยังไม่มีอาการแสดงอย่างชัดเจน  ก็ควรพามาตรวจสุขภาพเป็นประจำ  เพื่อลดความเสี่ยงจากโรคร้ายต่างๆ  โดยพาลูกน้อยมาตรวจตามนัดหรือพาไปตรวจเมื่อลูกมีอายุครบตามกำหนดเวลา  ดังนี้

                          1 เดือน > 2 เดือน > 4 เดือน > 6 เดือน > 9 เดือน > 12 เดือน > 15 เดือน > 18 เดือน > 2 ขวบ

                          หลังจาก 2 ขวบขึ้นไป คุณหมอแนะนำให้ตรวจสุขภาพปีละครั้ง  เพื่อความมั่นใจ  และหากลูกน้อยเจ็บป่วย  จะสามารถรักษาได้ทันท่วงที

                          พาลูกไปตรวจสุขภาพ
                          พาลูกไปตรวจสุขภาพ

                          Checklist 9 ข้อควรตรวจ : เมื่อตรวจสุขภาพลูก ไม่ควรพลาด!

                          1.  ตรวจสุขภาพร่างกายทั่วไปและการเจริญเติบโต

                          เช่น สัญญาณชีพ  อุณหภูมิร่างกาย  ความดันโลหิต  ชีพจร  การหายใจ น้ำหนัก  ส่วนสูง  และรอบศีรษะของทารกในช่วง 2 ปีแรก  เนื่องจากเด็กมีการเจริญเติบโตและมีความเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา

                          2.  ประเมินภาวะโภชนาการ

                          สามารถตรวจได้ทั้งจากการเจริญเติบโต สัดส่วนร่างกาย  การประเมินผลจากอวัยวะส่วนต่างๆ  และการเจะเลือด  เพื่อพิจารณาว่าลูกน้อยได้รับสารอาหารครบถ้วนเพียงพอหรือไม่

                          ตรวจสุขภาพประจําปี
                          ตรวจสุขภาพลูก

                          3.  ประเมินพัฒนาการด้านพฤติกรรมและอารมณ์

                          เนื่องจากพฤติกรรมและอารมณ์ของเด็กจะเปลี่ยนแปลงไปตามวัย  คุณพ่อคุณแม่จึงควรให้ลูกน้อยได้รับการประเมินจากคุณหมอ  หากลูกน้อยมีปัญหาพัฒนาการล่าช้า  หรือมีปัญหาในเรื่องของพัฒนาการทางสมอง  การได้รับการตรวจวินิจฉัยและรักษาตั้งแต่ยังอยู่ในวัยเตาะแตะ (ก่อนเลยช่วงอายุ 3 ขวบ)  ซึ่งสมองกำลังพัฒนาเต็มที่  จะสามารถทำการรักษาและช่วยกระตุ้นพัฒนาการให้เทียบเท่าหรือใกล้เคียงเด็กปกติได้ดีกว่า

                          อ่านต่อเรื่อง “9 ข้อควรตรวจ : เมื่อตรวจสุขภาพลูก ข้อ 4-9” คลิกหน้า 2

                            การบ้านลูก

                            ถูกใจชาวเน็ตอย่างแรง! การบ้านลูก กับวิธีแก้ปัญหา”คุณแม่ติดโทรศัพท์” ตามฉบับอริยสัจ 4

                            การบ้านลูก มีการบ้านของเด็กนักเรียนโรงเรียนหนึ่ง  ซึ่งคุณครูให้วิเคราะห์ปัญหา “เมื่อคุณแม่ติดโทรศัพท์จนพาลูกมาโรงเรียนสาย” ตามหลักอริยสัจ 4 ทำเอาชาวเน็ตแชร์กันเยอะมาก 

                            Continue reading “ถูกใจชาวเน็ตอย่างแรง! การบ้านลูก กับวิธีแก้ปัญหา”คุณแม่ติดโทรศัพท์” ตามฉบับอริยสัจ 4″

                              เด็กตาบอดสี

                              เช็คตาบอดสีในเด็กเล็ก

                              เด็กตาบอดสี …หรือที่เรียกว่า colour blindness เป็นอาการที่ตาของผู้ป่วยแปรผล แปรภาพสีผิดไปจากผู้อื่นที่เป็นตาปกติ ตาเป็นอวัยวะจำเป็นต่อการดำเนินชีวิตอย่างปกติสุขในสังคม หากเกิดความผิดปกติไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดที่มีผลกระทบต่อการมองเห็น บุคคลนั้นๆ ย่อมได้รับผลกระทบไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ภาวะตาบอดสีเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตในสังคมมากพอสมควร Continue reading “เช็คตาบอดสีในเด็กเล็ก”

                                เทคนิคสร้างลูกเป็นอัจฉริยะได้ด้วยพ่อแม่

                                ความเป็นเด็กอัจฉริยะมิได้หมายถึงคนที่ อ่าน เขียน-เรียนหนังสือ คิดเลขได้เร็วตั้งแต่ 2 ขวบ อย่างที่หลายๆ คนเข้าใจ การที่สมองคิดได้เร็วไม่ได้หมายความว่าจะเป็นอัจฉริยะ แต่ที่จริงแล้วกลับไม่ใช่ เราอาจจะลืมไปว่าสมองของคนเรานั้นทำหน้าที่หลายอย่าง คือนอกจากจะมีส่วนของสติปัญญาแล้วยังมีส่วนของอารมณ์ด้วย

                                Continue reading “เทคนิคสร้างลูกเป็นอัจฉริยะได้ด้วยพ่อแม่”

                                  ซูชิ อาหารเด็ก ลูกไม่กินผัก

                                  ซูชิไร้เงา (1 ขวบ ++)

                                  ซูชิเมนูนี้สอดไส้ด้วยหมู แถมแอบซ่อนผักสับไว้ข้างในอีกด้วย เหมาะกับเด็กๆ ที่ไม่ค่อยยอมกินผัก แถมยังหยิบง่ายอีกด้วยนะ

                                  เมนูนี้สำหรับเด็กอายุ 1 ขวบขึ้นไป

                                  เวลาปรุง เตรียม 10 นาที ปรุง 30 นาที

                                  ส่วนผสมสำหรับ 4-6 ที่ 

                                  1. ข้าวญี่ปุ่นหุงสุกร้อนๆ  2  ถ้วย
                                  2. น้ำส้มสายชูหมักจากข้าว  2  ช้อนโต๊ะ
                                  3. น้ำตาลทรายขาว  2  ช้อนชา
                                  4. เกลือป่น  1  ช้อนชา
                                  5. หมูบด  ½  ถ้วย
                                  6. ผักต้มสับละเอียด  ½  ถ้วย (เช่น แครอท แตงกวา ฟักทอง ตำลึง เป็นต้น)
                                  7. ไข่แดง  1  ฟอง
                                  8. แป้งข้าวโพด  2  ช้อนโต๊ะ
                                  9. แป้งสาลี  1  ช้อนโต๊ะ
                                  10. โชยุ  2  ช้อนชา
                                  11. พริกไทยดำป่น  ¼  ช้อนชา
                                  12. สาหร่ายแผ่นใหญ่สำหรับทำซูชิ
                                  13. ซอสทงคัตซึและมายองเนส
                                  14. งาดำสำหรับโรยหน้า

                                  วิธีทำ

                                  1. ผสมน้ำส้มสายชู น้ำตาลทรายและเกลือให้ละลายเข้ากัน และผสมกับข้าวญี่ปุ่นหุงสุกใหม่ๆ คนให้เข้ากันดี พักไว้จนเย็นสนิท
                                  2. ผสมเนื้อหมูบด ผักสับ ไข่แดง แป้งข้าวโพด แป้งสาลี โชยุและพริกไทยป่น นวดเข้ากันประมาณ 5 นาทีให้เนื้อหมูเหนียวแน่นขึ้น ตัดส่วนผสมใส่ถุงพลาสติก มัดถุง พักไว้
                                  3. ต้มน้ำในหม้อให้เดือด ตัดปลายถุงให้กว้างประมาณ 1 เซนติเมตร บีบเนื้อหมูเป็นเส้นลงต้มให้สุก ตักขึ้นสะเด็ดน้ำพักไว้
                                  4. ม้วนซูชิโดยใช้พลาสติกแร็ปห่อเสื่อสำหรับม้วนซูชิ วางแผ่นสาหร่ายโดยหงายด้านขรุขระขึ้น ตักข้าวเกลี่ยบางๆ ให้ทั่วแผ่น (บางประมาณ 1-2 เม็ดข้าว) ราดซอสทงคัตซึและมายองเนสบางๆ ให้ทั่วแผ่น วางหมูเส้นที่ต้มเตรียมไว้ข้อ 3 ด้านใกล้ตัว เริ่มม้วนซูชิออกจากตัวไปด้านหน้า พยายามกดให้แน่น ใช้มีดคมๆ ตัดเป็นชิ้นพอคำ
                                  5. จัดเสิร์ฟซูชิโดยราดหน้าด้วยซอสทงคัตซึและมายองเนส โรยงาดำคั่ว

                                  Cooking Tips

                                  ถ้าหาซื้อข้าวญี่ปุ่นไม่ได้ สามารถประยุกต์ใช้ข้าวหอมมะลิ 3 ส่วน ผสมข้าวเหนียว 1 ส่วน แช่น้ำไว้ก่อนหุง 15 นาทีแทนก็ได้ แต่จะเหนียวน้อยกว่าข้าวญี่ปุ่นเล็กน้อย

                                    กินอาหารไม่ครบหมู่

                                    แม่ให้นม “กินอาหารไม่ครบหมู่” มีผลให้ลูกน้ำหนักน้อยหรือไม่?

                                    หากคุณแม่ให้นม กินอาหารไม่ครบหมู่ จะส่งผลให้ลูกทารกน้ำหนักน้อยตามไปด้วยจริงหรือไม่? แล้วคุณแม่ให้นมควรกินอาหารอะไรบ้างจึงจะส่งผลดีต่อลูกทารกที่กำลังโตขึ้นทุกวัน มาดูกันค่ะ

                                    Q: คุณแม่ให้นมลูกอายุ 4 เดือนอยู่ค่ะ แต่พอครบเดือนที่ 4 น้ำหนักเขาน้อยกว่าเกณฑ์ ทั้งๆ ที่กินนมแม่ ผสมกับนมขวดนิดหน่อย กินประมาณ 4-5 ขวด/4 ออนซ์ และไม่เคยให้ลูกกินน้ำเลย แต่แม่เป็นคนไม่กินผัก ไม่กินนม ไม่กินอาหารมัน ชอบของทอดๆ แห้งๆ แล้วก็ผอมด้วยค่ะ เพราะกินอาหารไม่ค่อยลง แบบนี้จะมีผลต่อน้ำนมทำให้ลูกกินแล้วน้ำหนักน้อยหรือไม่คะ?

                                    A: ก่อนที่เราจะตัดสินว่าลูกของคุณแม่น้ำหนักขึ้นน้อยเกินไปจริงหรือไม่ เราควรมาทำความรู้จักพัฒนาการและการเจริญเติบโตของเด็กวัย 4 เดือนกันค่ะ

                                    ช่วงนี้น้ำหนักของลูกจะขึ้นช้าลง คือ 15-25 กรัม/วัน ไม่ขึ้นมากเหมือนช่วงวัยก่อนหน้านี้ที่น้ำหนักขึ้นมากถึง 20-35 กรัม/วันเพราะช่วง 4 เดือนขึ้นไป เด็กจะห่วงเล่นมากขึ้น สนใจการกินน้อยลง ถ้ากำลังดูดนมอยู่ แล้วใครส่งเสียงขึ้นมา หรือเดินผ่าน หรือเข้ามาเล่นด้วย ลูกจะหยุดดูดนมทันที เพื่อผละออกมาเล่นและจะไม่กินจนกระทั่งอิ่มเป็นมื้อ แต่จะดูดแค่ช่วงสั้นๆ พอหายหิวไม่ยอมกินจนอิ่มแปล้ เพราะกลัวว่าถ้าอิ่มมากเกินไปจะผล็อยหลับไปแล้วไม่ได้เล่น ดังนั้นช่วงวัยนี้ ถ้าลูกไม่กิน ก็ไม่ต้องบังคับรับรองว่าไม่เป็นอันตรายแน่นอน

                                    อ่านต่อ “คุณแม่ให้นมควรเลือกกินอาหารอะไรบ้าง” คลิกหน้า 2

                                    banner300x250