ฝีดาษลิง เริม อีสุกอีใส ต่างกันอย่างไร

ฝีดาษลิง เริม อีสุกอีใส ต่างกันอย่างไร

Alternative Textaccount_circle
event
ฝีดาษลิง เริม อีสุกอีใส ต่างกันอย่างไร
ฝีดาษลิง เริม อีสุกอีใส ต่างกันอย่างไร

ฝีดาษลิง เริม อีสุกอีใส ต่างกันอย่างไร

ขณะนี้โรคฝีดาษลิงได้ระบาดอยู่ในหลายประเทศทั่วโลก และคาดการณ์ว่าในขณะนี้ที่ไทยเปิดประเทศแล้วการระบาดของฝีดาษลิงอาจเข้ามาในไม่ช้า อย่างไรก็ดีมีอีก 2 อาการที่มีตุ่มคล้ายกับฝีดาษลิง ได้แก่ เริมและอีสุกอีใส เราจะสังเกตุได้อย่างไรว่า ฝีดาษลิง เริม อีสุกอีใส ต่างกันอย่างไร

ฝีดาษลิง เริม อีสุกอีใส ต่างกันอย่างไร

ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ผู้อำนวยการศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้สัมภาษณ์ถึงลักษณะอาการที่แตกต่างระหว่าง โรคฝีดาษลิง และโรคเริม ว่า ลักษณะผื่น ตุ่มที่ผิวหนังจากการเกิดโรคบางครั้งแยกยาก ที่แยกยากสุดคือ อีสุกอีใส

มีการศึกษาพบว่า บางประเทศในแอฟฟริกา คนในพื้นที่มีการติดเชื้อซ้ำสองตัวพร้อมกันคือ ทั้งอีสุกอีใส และฝีดาษลิงพบประมาณ 12.5% ดังนั้น อีสุกอีใสแยกยาก แล้วยังอาจจะเกิดพร้อมกับฝีดาษลิงได้ สำหรับประเทศไทย โอกาสที่จะเป็นอีสุกอีใสอาจจะน้อย เพราะเด็กได้รับการฉีดวัคซีนอีสุกอีใสแล้ว

ฝีดาษลิงและอาการของโรค

ฝีดาษลิงเป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัส orthopoxvirus ที่แพร่จากสัตว์สู่คน ด้วยอาการที่คล้ายกับฝีดาษแต่มีความรุนแรงน้อยกว่า โดยเชื้อไวรัสฝีดาษลิง เป็นเชื้อไวรัสสายพันธุ์ที่ใกล้เคียงกับเชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดโรคฝีดาษในคน และฝีดาษวัว ในทวีปแอฟริกาเชื้อฝีดาษลิงพบในสัตว์หลายชนิดไม่ว่าจะเป็นกระรอกเชือก กระรอกต้นไม้ หนูกระเป๋าแกมเบีย หนูดอร์ไมซ์ รวมถึงลิงสายพันธุ์ต่าง ๆ และสัตว์อื่น

ฝีดาษลิง

ผู้ป่วยจะแสดงอาการของโรคฝีดาษลิงหลังติดเชื้อประมาณ 12 วัน อาการป่วยคือ

  1. มีไข้ หนาวสั่น
  2. ปวดหัว เจ็บคอ ต่อมน้ำเหลืองโต (ต่อมน้ำเหลืองโต เป็นอาการสำคัญที่แตกต่างจากฝีดาษคน)
  3. ปวดกล้ามเนื้อ ปวดหลัง
  4. อ่อนเพลีย
  5. จากนั้นประมาณ 1-3 วัน จะมีผื่นขึ้นบริเวณแขนขา และอาจจะเกิดบนหน้าและลำตัวได้ด้วย
  6. จากผื่น จะกลายเป็นตุ่มหนอง
  7. ในระยะสุดท้ายตุ่มหนอง จะมีสะเก็ดคลุมแล้วหลุดออกมา

โรคนี้จะใช้เวลาตั้งแต่เริ่มเป็นจนหายประมาณ 2–4 สัปดาห์

เริมและอาการโรคเริม

โรคเริม เกิดจากเชื้อไวรัส ที่มีชื่อว่า Herpe Simplex Virus (HSV) ซึ่งจะมีอยู่ 2ชนิดด้วยกัน คือ HSV type1และ HSV type2 โดยเชื้อ HSV นั้นทำให้เกิดเริมได้ที่บริเวณผิวหนัง และในส่วนชั้นเยื่อเมือกของร่างกาย โดยสามารถเกิดได้กับทุกเพศ ทุกวัย

ลักษณะอาการของโรคเริมนั้น เป็นดังนี้

เริม
  • เริ่มจาก มีตุ่มน้ำใสขึ้นในบริเวณที่ติดเชื้อ
  • หลังจากนั้นจะแตกออก แล้วเกิดเป็นแผล มีอาการปวดแสบ ปวดร้อนร่วมด้วย

เมื่อผู้ป่วยได้รับเชื้อมาครั้งแรก อาจมีระยะฟักตัวนานประมาณ 2-20 วัน ก่อนจะมีอาการแสดงออกมา แต่เมื่อหายแล้วเชื้อก็ยังสามารถเข้าไปฝังตัวในปมประสาทใต้ผิวหนังของเรา และสามารถเกิดขึ้นใหม่ได้ทุกเมื่อหากเรามีสุขภาพอ่อนแอ หรือพักผ่อนน้อย เพราะเริมชอบเกิดในคนที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ

โดยทั่วไปเริมสามารถติดต่อกันได้ทางการสัมผัส ดังนั้นหากเกิดเริมขึ้น ควรงดการใช้สิ่งของส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น งดมีเพศสัมพันธ์ในขณะที่มีโรคเริมกำเริบ

อีสุกอีใสและอาการโรคอีสุกอีใส

โรคอีสุกอีใส (Chickenpox) ที่เกิดจากไวรัสวาริเซลลาซอสเตอร์ (Varicella-Zoster Virus) เป็นโรคที่เกิดการติดเชื้อได้ง่าย สำหรับผู้ที่ไม่เคยเป็นโรคอีสุกอีใส หรือไม่เคยได้รับวัคซีนป้องกันโรคอีสุกอีใสมาก่อน ในปัจจุบันมีวัคซีนอีสุกอีใส ที่ช่วยป้องกันเด็กจากการเป็นอีสุกอีใส การฉีดวัคซีนอีสุกอีใสเป็นประจำ และตามระยะเวลาที่กำหนด เป็นสิ่งที่จำเป็นในการป้องกันโรคอีสุกอีใส

อีสุกอีใส

อาการของโรคอีสุกอีใส จะเริ่มจากผื่นคันและจะมีอาการอยู่ประมาณ 10-21 วัน หลังจากผู้ป่วยได้รับเชื้อไวรัส หลังจากนั้นจะเกิดผื่นพุพองที่จะแสดงอาการอยู่ประมาณ 5-10 วัน อาการอื่น ๆ ที่อาจเกิดขึ้นก่อนการเกิดผื่น ได้แก่

  • ไข้
  • เบื่ออาหาร
  • ปวดศรีษะ
  • รู้สึกอ่อนล้าและไม่สบายตัว  

อาการโรคอีสุกอีใส สามารถแบ่งได้เป็น 3 ระยะ

ระยะที่ 1 มีตุ่มสีชมพู หรือแดง เริ่มก่อตัวบนผิวหนัง และเกิดขึ้นเป็นระยะเวลาหลายวัน
ระยะที่ 2ตุ่มน้ำจะเกิดขึ้นภายในหนึ่งวัน และเริ่มมีการแตก
ระยะที่ 3 – เกิดสะเก็ดแผลที่จะครอบตุ่มน้ำที่เกิดการแตก สะเก็ดเหล่านี้จะใช้เวลาอีกหลายวันกว่าจะดีขึ้น

หลังจากทั้ง 3 ระยะแล้ว จะพบว่าเกิดตุ่มแดงบนผิวหนังหลายวัน และจะมีอาการของผื่นชนิดต่าง ๆ ทั้งเป็นตุ่มแดง ตุ่มน้ำ และในที่สุดก็จะกลายเป็นสะเก็ดแผล ผู้ป่วยจะเริ่มเข้าสู่ระยะแพร่เชื้อเป็นระยะเวลา 48 ชั่วโมงก่อนเกิดผื่น โดยผู้ป่วยจะยังอยู่ในระยะเวลาแพร่เชื้อจนกว่าจะเกิดสะเก็ดแผลครอบตุ่มน้ำ หลังจากนั้นจึงจะพ้นระยะของการแพร่เชื้อ

โรคอีสุกอีใสจะไม่แสดงอาการที่รุนแรงในเด็กที่มีสุขภาพดี อย่างไรก็ตามในเคสที่มีความรุนแรง ผื่นจะเกิดการลุกลามไปทั่วทั้งร่างกายและจะเกิดรอยโรคขึ้นในช่องคอ รวมถึงที่เยื่อบุผิวบริเวณท่อปัสสาวะ ทวารหนัก และช่องคลอด

 

ขอบคุณข้อมูลจาก

โรงพยาบาลศิครินทร์, แนวหน้า,MedPark Hospital, มติชน

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

มาแล้วแม่จ๋า ฝีดาษลิง ระบาดหลายที่ทั่วโลก

โรคอีสุกอีใส กับความเชื่อผิดๆ พร้อมคำเตือนจากคุณหมอ

เริมในช่องปาก โรคฮิตของเด็กเล็ก อาการเป็นอย่างไร

เรื่องที่คนอ่านมากสุด

keyboard_arrow_up