เตือนภัยคุณแม่

เตือนภัยคุณแม่! แค่ลูกกัดเงาะคำเดียว ถึงกับต้องหามส่งโรงพยาบาล

เป็นที่ทราบกันดีว่าผลไม้นั้นมีประโยชน์มากมายมหาศาล เพราะเป็นแหล่งของวิตามินและแร่ธาตุหลายชนิดที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ยิ่งช่วงนี้ผลไม้กำลังเก็บเกี่ยวและทยอยออกมาขาย โดยเฉพาะผลไม้ภาคตะวันออกไม่ว่าจะเป็น เงาะ มังคุด ทุเรียน ลองกอง แต่การเลือกซื้อผลไม้จำพวกนี้ก็ต้องระวังกันด้วยนะคะ … 

Continue reading “เตือนภัยคุณแม่! แค่ลูกกัดเงาะคำเดียว ถึงกับต้องหามส่งโรงพยาบาล”

    น้อง อีตั้น

    ส่องความหล่อ น้อง “อีตั้น” ลูกชายแม่หมิว ลลิตา

    หน้าหวานเหมือนแม่ น้อง “อีตั้น”  ด.ช.ศักดิเดช ศศิประภา  วัย 14 ปี  หลังจากไม่เคยออกสื่อมานาน  วันนี้เริ่มมีคนพูดถึงกันมากขึ้นหลังจากอีตั้นอัพเดทรูปภาพผ่านอินสตาแกรม @eeeaaatttooonnnzzz

    Untitled-9

    Untitled-8

    Untitled-7

    Untitled-6

    Untitled-5

    Untitled-4

    Untitled-3

    Untitled-2

    Untitled-1

     

    น้อง อีตั้น ด.ช.ศักดิเดช ศศิประภา

    ประวัติ  ด.ช.ศักดิเดช ศศิประภา  เกิดวันที่ 24 เมษายน 2546  เป็นลูกชายคนที่ 2 ของ แม่หมิว ลลิตา ศศิประภา กับ พ่อก้อง นรบดี ศศิประภา
    พี่ชายชื่อ “แพลงต้อน” ด.ช.ศศิเดช ศศิประภา

    lm7

    lm10

    lm9
    https://www.instagram.com/eeeaaatttooonnnzzz/
    ที่มาภาพ : pantip.com (คนเบื้องหลัง), facebook mew lalita

      เรียนเสริมทักษะ

      พาลูกไปเรียนเสริมทักษะตั้งแต่เล็ก ช่วยลูกสมองดีจริงหรือ?

      อาจเป็นคำถามในใจคุณพ่อคุณแม่หลายท่านที่มีลูกเล็กโดยเฉพาะในวัยทารก ว่าจำเป็นต้องพาลูกไปเข้าเรียนสถาบันเสริมทักษะหรือพัฒนาการต่างๆ ที่เปิดกันมากมายหรือเปล่า? เรามาพบคำตอบของคุณหมอสุธีรา เอื้อไพโรจน์กิจ ผู้เชี่ยวชาญด้านทารกแรกเกิดกันดีกว่าค่ะ

      Q: ลูกเพื่อนอายุ 6 เดือน คุณแม่พาลูกไปเรียนเสริมทักษะประสาทสัมผัสและพัฒนาการ กับสถาบันเสริมพัฒนาการเด็กแล้วค่ะ เขาบอกว่าจะช่วยให้ลูกมีพัฒนาการดีและฉลาด ตอนนี้ลูกตัวเองใกล้จะ 1 ขวบ จึงขอปรึกษาคุณหมอว่าการพาลูกไปเสริมทักษะตั้งแต่ลูกยังเล็กๆ แบบนี้จะช่วยลูกให้มีพัฒนาการดีหรือสมองดีได้จริงหรือ?

      A: การสอนลูกทำได้ตั้งแต่แรกเกิดค่ะ ผู้เชี่ยวชาญด้านพฤติกรรมเด็กบอกว่า ลูกเรียนรู้ได้ตลอดเวลา แม้แต่ตอนที่คุณคิดไม่ถึง เช่น เห็นลูกนั่งเฉยๆ สำหรับการสอนลูก ใครเป็นคนสอนก็ได้ ถ้าพ่อแม่สอนเองได้คือดีที่สุด โดยพ่อแม่ไม่ต้องเครียดว่า สอนลูกไม่เป็น เล่นกับลูกไม่เป็น

      กฎข้อแรกคือต้องผ่อนคลาย บางทีพ่อแม่อาจกำหนดกิจกรรมให้ลูก และเวลาเล่นกับลูก ให้พ่อแม่คอยสอนไปด้วยว่าอันนี้คืออะไร ลูกจะได้สนุกไปด้วยเรียนรู้ไปด้วยหรือบางทีอาจเปิดโอกาสให้ลูกได้เป็นผู้นำการเล่นในแบบของลูกเอง ซึ่งการเล่นไม่จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์หลายอย่าง อาจใช้แค่กระดาษแข็งเพียงไม่กี่แผ่นก็ได้ บางครั้งพ่อแม่ไม่ต้องจับคู่เล่นกับลูกตลอดเวลาเพราะพ่อแม่ก็มีงานบ้านต้องทำ แต่ต้องจัดสถานที่และสิ่งแวดล้อมให้เหมาะสมกับการสำรวจสิ่งต่างๆ รอบๆ ตัวของลูก เช่น วัยทารก อาจให้ลูกอยู่ในที่ปลอดภัยและสามารถมองดูสิ่งต่างๆ รอบๆ ตัวได้ ควรฝึกให้อยู่คนเดียว เล่นคนเดียวบ้าง เพื่อเป็นการสอนให้ลูกเข้าใจความเป็นจริงของโลกว่าบางครั้งเราก็ต้องอยู่คนเดียว มีความสุขกับตัวเองได้

      ส่วนโรงเรียนเสริมพัฒนาการจะสอนให้รู้จักจำนวน ตัวหนังสือ รูปทรง ผ่านการเล่นการเล่านิทาน การร้องรำทำเพลงการผลัดกันเล่นของเล่น เรียนรู้การอะลุ้มอล่วย การแก้ปัญหา การรักษาวินัย ฝึกการทำสิ่งต่างๆ ด้วยตัวเอง ไม่ใช่เป็นการนั่งเรียนเหมือนเด็กโต สิ่งสำคัญคือการฝึกให้ลูกเข้าสังคม ซึ่งบางบ้านไม่สามารถจัดให้ได้ อาจเพราะสังคมไม่ได้เอื้อให้ลูกได้เรียนรู้ที่จะเล่นกับเพื่อนวัยใกล้กัน แต่การพบปะคนอื่น เข้าคอร์สต่างๆ ก็มีจุดอ่อนด้วยเช่นกัน คือ ลูกอาจป่วยง่ายขึ้น ซึ่งเด็กที่อยู่บ้านโอกาสป่วยจะน้อยกว่าค่ะ

      คุณพ่อคุณแม่อาจลองพาลูกไปทดลองเรียนดูว่าลูกชอบไหม และควรจะนำสิ่งที่เขาสอนกลับมาสอนเอง และปฏิบัติต่อเนื่องที่บ้านให้ลูกเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง เป็นนิสัย ไม่ใช่พอสอนเสร็จในห้องเรียนก็จบๆ ไป แบบนี้เรียนเท่าไหร่ ก็คงไม่ได้ผล การแค่พาลูกไปเข้าคอร์ส เรียนเสริมทักษะ อย่างเดียวนั้นคงไม่สามารถเพิ่มศักยภาพให้ลูกได้เต็มร้อยเพราะใช้เวลาเพียงอาทิตย์ละไม่กี่ชั่วโมง พ่อแม่มีเวลาอยู่กับลูกที่บ้าน ให้ปรับหลักการที่ได้จากครูมาสอนลูกที่บ้าน ยิ่งเด็กเล็กๆ ยิ่งสอนง่ายและเวลาจะสอนอะไรให้สอนเหมือนกับการเล่นเกม เด็กๆ ชอบใช้เวลาอยู่ร่วมกับพ่อแม่อยู่แล้วค่ะ

      สิ่งที่โรงเรียนเสริมพัฒนาการสอนโดยมากก็เป็นกิจกรรมที่กระตุ้นพัฒนาการได้จริง แต่เด็กที่ได้รับการฝึกจากพ่อแม่ก็มีระดับพัฒนาการไม่ต่างจากเด็กที่เข้าโรงเรียนเสริม ขึ้นอยู่ว่าได้ฝึกให้ลูกได้มากแค่ไหน สำหรับกิจกรรมต่างๆ ที่พ่อแม่สามารถสอนเองได้ให้ศึกษาได้จากเว็บไซต์ www.homeschoolthailand.com และ www.พัฒนาการ.com

       

      จากคอลัมน์ Baby Q & A นิตยสาร Amarin Baby & Kids ฉบับเดือนพฤษภาคม 2559

      บทความโดย: พญ. สุธีรา เอื้อไพโรจน์กิจ กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านทารกแรกเกิด

      ภาพ: Shutterstock

        Socialize Study ทำอย่างไรให้เด็กเข้าสังคมได้ และไม่กลัวคน

        (ภาพจากแสนสิริ โครงการสราญสิริ ติวานนท์-แจ้งวัฒนะ)

        อีกหนึ่งทักษะของเด็กวัย 3 – 6 ปี ที่ต้องได้รับการส่งเสริมและพัฒนา นอกเหนือจากการส่งเสริมพัฒนาการทางด้านร่างกายและสมองแล้ว ทักษะการเข้าสังคมของลูก เป็นสิ่งที่พ่อแม่ต้องให้ความสำคัญไม่แพ้กัน ทักษะทางสังคมที่ดี ประกอบด้วย การพูด การฟัง การอยู่รวมกันกับผู้อื่น หากตอนนี้ลูกของคุณเป็นเด็กขี้อายมาก ไม่กล้าเล่นกับเพื่อนๆ ชอบเล่นคนเดียว  เรามีคำแนะนำในการส่งเสริมทักษะการเข้าสังคมให้ลูก สำหรับเด็กแล้วทักษะทางสังคมที่เริ่มต้นได้ง่ายที่สุด มาจากการ “เล่น” ค่ะ

        2
        ภาพจากแสนสิริ โครงการสราญสิริ พหลโยธิน-สายไหม

        การชวนลูกออกไปเล่นข้างนอก นอกจากจะเป็นการเปลี่ยนบรรยากาศให้เด็กๆ ได้ปรับตัวกับสภาพแวดล้อมใหม่แล้ว เด็กจะตื่นเต้น ตื่นตัว มีความสุข และพร้อมรับการเรียนรู้ที่แปลกใหม่ได้ง่าย สถานที่ “เล่น” ที่ใกล้ที่สุด และเป็นสังคมที่เด็กๆ คุ้นเคยได้ง่าย กล้าที่จะเล่นอย่างเต็มที่  เช่น สนามเด็กเล่นในหมู่บ้าน สระว่ายน้ำ สนามเด็กเล่นของโรงเรียน เป็นต้น

        นอกจากการเล่นเครื่องเล่นสนามที่ช่วยสร้างความเพลิดเพลินแล้ว เด็กๆ ยังสามารถสร้างสรรค์การเล่นใหม่ๆ ในแบบของเขา ที่มีกติการ่วมกัน กับเพื่อนวัยเดียวกันได้  ด้วยการเล่นวิ่งไล่จับ การเล่นบทบาทสมมุติ การเล่นกระต่ายขาเดียว ฯลฯ ข้อดีของการเล่นในด้านร่างกาย ที่ช่วยพัฒนากล้ามเนื้อแขนและขาให้แข็งแรงแล้ว  ยังช่วยพัฒนาด้านอารมณ์ และสังคมได้อีกด้วย

        เพราะการเล่นกับเพื่อนๆ จะช่วยให้เด็กรู้จักการปรับตัว มีกติกาการเล่นร่วมกัน มีความกล้าแสดงออก รู้จักการแบ่งปันและการมีน้ำใจ ช่วยเหลือผู้อื่น รู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย มีน้ำใจนักกีฬา เป็นทักษะทางสังคมใกล้ตัวที่พ่อแม่สามารถส่งเสริมลูกได้ง่ายๆ อีกทางหนึ่ง และเป็นผลดีกับลูกเมื่อเขาต้องไปเจอสังคมใหม่ๆ ในอนาคต จะช่วยให้ลูกรูู้จักการปรับตัวได้ดีค่ะ

        1
        ภาพจากแสนสิริ โครงการสราญสิริ ติวานนท์-แจ้งวัฒนะ

        นอกจากการออกแบบการใช้ชีวิตและที่อยู่อาศัยแล้ว “สังคม” เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ให้ความสำคัญ เพราะแสนสิริเชื่อว่าการสร้างสรรค์โครงการ ควรเกิดขึ้นไปพร้อมๆ กับการดูแลสังคม และสภาพแวดล้อมรอบด้าน โดยเฉพาะคุณภาพชีวิตของเด็กๆ ในชุมชน และไซต์ก่อสร้าง ที่จำเป็นต้องได้รับการดูแลอย่างดีที่สุดในฐานะ “อนาคตของชาติ” ถึงจะเป็นเพียงทางอ้อม และคุณเองก็มีส่วนช่วยเด็กๆ ให้มีชีวิตที่ดีขึ้น จึงเกิดเป็นโครงการ Green Hope  ที่นำของเหลือใช้คุณภาพดีที่ยังนำไปใช้ต่อได้ ออกแบบให้เป็นสิ่งที่ของที่มีประโยชน์ แล้วนำไปมอบให้กับห้องสมุดชุมชน อินทร์อุดม นนทบุรี เพื่อให้เด็กๆ ได้มีพื้นที่ที่มีคุณภาพ  เพราะเราเชื่อว่า ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่เราล้วนมีส่วนช่วยให้สังคมดีขึ้นได้


        ขอบคุณภาพจาก โครงการสราญสิริ สนใจโทร 1685 หรือ www.sansiri.com/house

          เด็กเล็กซ้อนมอเตอร์ไซค์

          เด็กเล็กซ้อนมอเตอร์ไซค์ อันตรายกว่าที่คุณคิด

          ในแต่ละวันเด็กเล็กๆ ตั้งแต่วัยอนุบาลไปจนถึงชั้นประถม นั่งซ้อนท้าย หรือนั่งข้างหน้ารถจักรยานยนต์กันจนชินตา กลายเป็นเรื่องปกติ โดยเฉพาะในต่างจังหวัด พ่อแม่มักนิยมใช้รถมอเตอร์ไซค์ไปส่งลูกๆ ที่โรงเรียนในตอนเช้า โดยไม่รู้เลยว่า เด็กเล็กซ้อนมอเตอร์ไซค์ อันตรายกว่าที่คิด

          Continue reading “เด็กเล็กซ้อนมอเตอร์ไซค์ อันตรายกว่าที่คุณคิด”

            ปัญหาสายตาในเด็ก

            ปัญหาสายตาในเด็ก ที่คุณพ่อคุณแม่ควรรู้

            การมองเห็นส่งผลต่อการเรียนรู้ของลูกน้อย รวมถึงการทำกิจกรรมต่างๆ คุณพ่อคุณแม่ต้องใส่ใจดูแลสายตาลูกน้อย  ข้อมูลขององค์การอนามัยโลก WHO ระบุว่าโรคตาพบบ่อยในเด็ก และแนะนำให้รีบตรวจรักษาค้นหาความผิดปกติตั้งแต่เริ่มต้น ซึ่งพบได้ในเด็กทารก เด็กเล็ก เด็กโต

            Continue reading “ปัญหาสายตาในเด็ก ที่คุณพ่อคุณแม่ควรรู้”

              ผ่าคลอดแบบธรรมชาติมีด้วยหรือ? จะเป็นอย่างไรต้องดู!

              เราคงเคยได้ยินการคลอดลูก ทั้งคลอดเองแบบธรรมชาติ และการผ่าท้องคลอด ซึ่งการคลอดแบบธรรมชาติ ถือเป็นมาตรฐานและมีความปลอดภัยสูง ในขณะที่การผ่าตัดคลอดก็ถือเป็นตัวช่วยที่ดีมากสำหรับการทำคลอดเช่นกัน ทั้งนี้ หัวใจสำคัญของการทำคลอดคือ “แม่รอด ลูกปลอดภัย” ดังนั้นการเลือกวิธีจึงต้องขึ้นอยู่กับข้อบ่งชี้ทางการแพทย์ที่ต้องพิจารณาเป็นสำคัญ Continue reading “ผ่าคลอดแบบธรรมชาติมีด้วยหรือ? จะเป็นอย่างไรต้องดู!”

                ภูมิคุ้มกันทางใจ

                สร้าง “ภูมิคุ้มกันทางใจ” ให้ลูก ไม่เป็นทั้ง “ผู้ทำร้าย” และ “เหยื่อ”

                การสร้าง “ภูมิคุ้มกันทางใจ” ให้ลูก จะหล่อหลอมให้ลูกเติบโตขึ้นโดยไม่เป็นทั้ง “คนที่ทำร้ายคนอื่น” และ “เหยื่อที่ถูกทำร้าย” สำหรับในบทความนี้จะเน้นที่ “การอบรมและจัดการพฤติกรรมเด็ก” มีหลักอย่างไร ไปดูกันเลยค่ะ

                1. อย่าลืมว่าความสัมพันธ์ที่ดีต้องมาก่อน

                ไม่ว่าการอบรมหรือจัดการพฤติกรรมของลูก คุณพ่อคุณแม่ต้องมีมุมที่อบอุ่นและเป็นมิตรกับลูก แต่ในบางครั้งที่จำเป็นคุณพ่อคุณแม่ต้องมีอำนาจสั่งการลูกและแสดงออกอย่างหนักแน่นและสม่ำเสมอ

                2. การฝึกวินัยในเด็กเล็ก

                คือ การทำอะไรสม่ำเสมอ เป็นตารางเวลาที่คาดการณ์ได้ โดยเริ่มได้ตั้งแต่ลูกอายุ 4 เดือน ควรจัดเวลากิน เวลานอน ให้เป็นที่เป็นเวลา เช่น

                • เด็กทารกจะดูดนมแม่ ต้องมีผ้าคลุมก่อนจึงจะดูดได้
                • เด็กที่เริ่มกินอาหารเสริม ควรนั่งกินที่โต๊ะอาหารเท่านั้น
                • เด็กอายุ 1 ขวบที่เริ่มเดินได้ หากเขาจะดูดนม หรือถือขนมไว้ในมือ ควรจับเขานั่งก่อนทุกครั้ง
                • เด็กที่โตขึ้น ฝึกให้เก็บของเล่นทุกครั้งที่เล่นเสร็จ
                ภูมิคุ้มกันทางใจ คือ
                ภูมิคุ้มกันทางใจ

                3. เข้าใจพัฒนาการทางสังคมอารมณ์ของลูก

                เมื่อเขาเริ่มเป็นตัวของตัวเอง (เด็กอายุ 18 เดือน – 2 ขวบครึ่ง) และช่วงทดสอบ-ท้าทาย (อำนาจ) ของผู้ใหญ่ (เด็กอายุ 3 – 4 ขวบ) พ่อแม่ต้องฝึกฝนเทคนิคในการพูดกับลูก เช่น ให้ทางเลือกแทนการออกคำสั่งหรือบอกให้เขาทำ และควรบอกให้ลูกได้รู้ตัวก่อนเปลี่ยนกิจกรรม เช่น หยุดเล่นก่อน ถึงเวลาอาบน้ำแล้ว แทนการสั่งให้เขาหยุดทันที

                4. เข้าใจและยอมรับว่าทุกคนมีอารมณ์ลบได้

                เช่น อารมณ์โกรธ หงุดหงิด เสียใจ ซึ่งเด็กจะแสดงสีหน้าท่าทางให้เห็นก่อนพูดได้เสียอีก ซึ่งคุณพ่อคุณแม่ควรรู้ว่าขณะที่ลูกมีอารมณ์เชิงลบ คือ โอกาสที่จะได้ใกล้ชิดและสอนลูก อย่าเบี่ยงเบนทั้งตัวลูกและตัวเรา อย่ากลัวหรือกังวลที่ต้องเผชิญกับช่วงเวลาดังกล่าว

                5. รับฟังลูกอย่างเห็นอกเห็นใจ

                แทนการคิดว่า “แค่นี้เองทำไมต้องโกรธ” “เรื่องนิดเดียวไม่เห็นต้องเสียใจเลย”  และคุณพ่อคุณแม่ควรบอกให้ลูกรู้ว่าตอนนี้เขากำลังรู้สึกอย่างไร หากลูกพูดได้ ควรช่วยลูกหาคำพูดบรรยายความรู้สึกของตัวเอง

                อ่านเรื่อง การสร้าง “ภูมิคุ้มกันทางใจ” ให้ลูก ต่อ คลิกหน้า 2 ได้เลยค่ะ

                banner300x250

                  เพลงกล่อมเด็ก

                  เพลงกล่อมเด็ก แบบไทยๆ ช่วยพัฒนาสมองและให้ลูกน้อยหลับสบาย

                  ทารกแรกเกิดลืมตาดูโลกใบใหม่ด้วยความกลัว ความกังวล กับสภาพแวดล้อมที่เขายังไม่คุ้นเคย การใช้ เพลงกล่อมเด็ก เสียงเพลงและทำนองของเพลงกล่อมเด็ก จะช่วยทำให้ทารกเกิดความผ่อนคลาย โดยเฉพาะเมื่อเป็นเสียงร้องเพลงขับกล่อมจากแม่ Continue reading “เพลงกล่อมเด็ก แบบไทยๆ ช่วยพัฒนาสมองและให้ลูกน้อยหลับสบาย”

                    kalamare

                    “มะลิ” กับ “ป้าแมร์” ขำอะไรกันหนักมากและพบกับ 100 เรื่อง Exclusive ของมะลิ สหวงษ์

                     

                    หลังจากที่คุณป้ากาละแมร์กลับมาหั่นผมสั้นอีกครั้ง  แฟนๆ ก็รู้สึกกระฉับกระเฉงตามไปด้วย  และเมื่อเซเล็ปรุ่นใหญ่อย่างป้าแมร์ กับรุ่นเด็กอย่างน้องมะลิ เด็กหญิงพาขวัญ สหวงษ์ มาพบกันแล้ว  มาดูกันว่าจะคุยกันรู้เรื่องไหม?

                     

                    มะลิ เป็นเด็กที่อยู่ด้วยแล้วมีความสุขจริงๆ เลือกรูปไม่ถูก ลงมันหมดเลยแล้วกัน อิแทนถ่ายดี๊ดี

                     kalamare (3)

                    มีความสุขเหลือเกินทูนหัว

                     kalamare (1)

                    คิดว่าคุยกันรู้เรื่องไหม!!!????

                     kalamare (2)

                    ที่มาภาพจาก IG : @kalamare

                                สรุปคือไม่น่าจะคุยกันรู้เรื่อง  แต่ภาพความน่ารักของสองสาวทั้งมะลิและป้ากาละแมร์ทำให้แฟนๆ มีความสุขมากๆ ทีเดียวค่ะ  และวันนี้ AMARIN Baby & Kids ได้รวบรวม 100 เรื่องราวของน้องมะลิ เด็กหญิงพาขวัญ สหวงษ์ มาให้แฟนๆ  ได้ทราบกัน  ซึ่งบางข้อนี่ทำให้อมยิ้มได้ไม่หยุดเลยทีเดียว  มาติดตามกันค่ะ

                     

                    1. มะลิเป็นลูกสาวของแม่โบว์ แวนดา กับพ่อปอ ทฤษฎี  สหวงษ์
                    2. มะลิเป็นที่รู้จักครั้งแรกผ่านสื่อเมื่อช่วงที่พ่อปอนอนป่วยอยู่ที่โรงพยาบาลด้วยโรคไข้เลือดออกเมื่อช่วงเดือน พ.ย. 58 ที่ผ่านมา เพราะมะลิร้องจะหาพ่อปอจ๋าทุกวัน
                    3. ไม่รู้ว่าทำไมทุกคนถึงเรียกมะลิว่า “มะลิสามจุก” (ยิ้ม)
                    4. มะลิชอบเต้น เต้น  แล้วก็เต้น
                    5. ก่อนแม่โบว์ท้องมะลิ แม่โบว์ฝันว่าได้จูงมือพ่อปอเดินไป  มีเด็กแก้ผ้าหันมายิ้มให้แม่โบว์เด็กน้อยกำลังนั่งพับเพียบพนมมือไหว้พระพุทธรูปปางยืนเมื่อตื่นมาแม่โบว์บอกพ่อปอว่ามั่นใจมากว่าจะมีเด็กผู้หญิงมาเกิดในท้องแน่ๆ
                    6. ตอนอยู่ในท้องมะลิดิ้นเก่งมากในช่วง 7-8 เดือน จนถึงเดือนสุดท้ายก่อนออกมาจ๊ะเอ๊ข้างนอก
                    7. แม่โบว์พยายามหาเพลงโมสาร์ทมาให้มะลิฟังค่ะ
                    8. แต่จะไม่ให้ดิ้นเก่งได้อย่างไร ก็พ่อปอเอาเพลงจังหวะ “ชะ ช่า ช่า” มาเปิดแนบท้องแม่โบว์ให้ฟังตลอดเลย
                    9. พ่อปอจัดกิจกรรมมาเต้นให้แม่โบว์ดูทุกคืน จนแม่โบว์ขำไม่หยุด
                    10. แต่พ่อปอบอกว่า “เต้นให้ลูกดู ไม่ได้เต้นให้แม่ดู”อิอิ
                    11. นอกจากนี้คุณพ่อคุณแม่ยังอ่านนิทานให้ลิฟังในท้องเพื่อสร้างพัฒนาการที่ดี
                    12. และพ่อปอชอบมาคุยกับมะลิเอาหูมาแนบฟังเสียงมะลิตั้งแต่อยู่ในท้อง
                    13. คุยไปคุยมา พ่อปอก็เต้นอีก
                    14. และมะลิก็ชอบเสียงดนตรีสามช่ามาตั้งแต่อยู่ในท้อง
                    15. แม่โบว์บอกว่าตอนท้องมะลิ แม่ชอบกินผักมากกกก
                    16. พ่อปออยากให้มะลิเติบโตตามพัฒนาการ มีความสุขตามวัย
                    17. พอคลอดมะลิแล้วแม่โบว์จะให้ฟังเพลง และเล่นด้วยกันเสมอ
                    18. แววความฉลาดของมะลิน่ะหรอจ๊ะ…เรื่องเต้นนี่เก่งอย่าให้บอกใคร
                    19. มะลิสามารถจำวิดีโอได้ ภายใน 3 รอบ แต่ขอดูนิ่งๆ ห้ามใครรบกวน
                    20. ตอนนี้มะลิกำลังหัดออกเสียงตามทุกๆ อย่าง
                    21. แต่แม่โบว์เป็นคนเลือกคลิปและการ์ตูนก่อนจะให้มะลิดู
                    22. ตอนนี้มะลิชอบเพลงกังนัมมาก แต่เพลงที่ชอบจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ เน้นจังหวะสามช่า
                    23. เวลาหนูดื้อ แม่โบว์จะไม่ดุ แค่จ้องมองนิ่งๆ ลิก็หายดื้อแล้ว
                    24. คำว่า “พี่จ๋า” มาจากตอนเฝ้าพ่อปอที่โรงพยาบาล แม่โบว์บอกว่าจะเรียก “พี่ๆ” อย่างเดียวไม่ได้  ไม่น่ารัก  มะลิเลยเพิ่ม “จ๋า” เข้าไปด้วย
                    25. ส่วนคำติดปากว่า “เอาสิ” มะลิจำจากใครมาก็ไม่รู้ จำไม่ได้เหมือนกัน :p
                    26. มะลิเพิ่งพูดได้แค่ 2 พยางค์ โดยคำแรกที่พูดได้คือ “ป๋อปอ” “ป๋อจ๋า”
                    27. คำต่อมาที่มะลิพูดได้คือ “หิวนม”
                    28. ช่วงนี้มะลิกำลังเรียนรู้คำศัพท์ แม่โบว์จะป้องกันโดยไม่ให้คนรอบข้างพูดคำไม่ดี
                    29. ส่วนวิธีเรียนรู้คำศัพท์ มะลิจำมาจากเพลงจ้า
                    30. คำฮิตของมะลิไม่ได้มีแต่คำว่า “พี่จ๋า” ยังมีคำว่า “กู้ดไนท์” และ “ซียูทูมอโรว์”
                    31. ก่อนเข้านอนมะลิกับแม่โบว์และพ่อปอจะจุ๊บกันทุกคืน
                    32. ถ้ามะลิตื่นแล้วแต่พ่อปอตื่นทีหลัง ลิจะเข้าไปตีหน้าจนกว่าจะตื่น
                    33. มะลิจะตื่นช่วง 00-9.00 น.
                    34. มะลิตื่นไม่ยาก ไม่งอแง เก่งไหมจ๊ะพี่จ๋า
                    35. มะลิเป็นเด็กนอนดึก จะเข้านอน 23.00 น.
                    36. แต่ตอนนี้กำลังปรับเวลาเข้านอนเป็น 21.00 น. เพราะเตรียมเข้าโรงเรียน
                    37. ตอนกลางวันลิจะนอนช่วง12.00 – 14.00 น.
                    38. ก่อนนอนมะลิจะมีผ้าเน่าหลายผืน มาวางไว้ที่อกก่อนกินนม
                    39. มะลิกำลังเรียนรู้การควบคุมกล้ามเนื้อขาและแขน จึงชอบกิจกรรมเต้นเข้าจังหวะเป็นพิเศษ
                    40. มะลิชอบแกะสีทาบ้าน ตอนนี้สีที่พ่อปอทาไว้ร่อนหมดแล้ว!
                    41. และมะลิชอบเอารีโมตไปซ่อนตามรู ตามซอก
                    42. มะลิเป็นเด็กกินนมเก่งมาก วันละ 7 ขวดออนซ์
                    43. แต่มะลิไม่ชอบกินข้าว
                    44. เห็นข้าวปุ๊บวิ่งหนีทันที
                    45. แต่ถ้าเอาข้าวต้มมัดมาล่อแล้วล่ะก็ ให้ทำอะไรมะลิก็ยอม
                    46. ช่วงนี้มะลิกินอาหารได้หลากหลาย และเริ่มรู้จัก “ช็อคโกแลต” แล้ว  แต่นานทีจึงจะได้กิน
                    47. ยังมี “เต้าหู้ไข่” ใส่กับอะไรมะลิก็ชอบ
                    48. ถึงมะลิจะกินยากแต่มะลิก็ไม่เลือกกินค่ะมะลิกินได้ทุกอย่าง
                    49. แต่ที่บ้านเราจะไม่รับประทานอาหารที่ใส่ผงชูรส
                    50. สิ่งของที่มะลิจะพกติดตัวไปทุกที่อยู่เสมอคือ “ผ้าเน่า”
                    51. แฟนคลับคิดว่ามะลิชอบ “เป็ด”
                    52. แต่มะลิชอบ “พี่ช้าง” มากกว่า
                    53. มะลิชอบไปเที่ยวทะเล ได้เล่นทราย
                    54. มะลิเป็นเด็กร่าเริงมาก แต่ขี้หงุดหงิด
                    55. มะลิไม่ชอบให้ใครมาจับตัวหรือรั้งไว้ ลิชอบอิสระ
                    56. มะลิไม่ชอบให้ใครมาลูบผม
                    57. ช่วงนี้มะลิชอบตีลังกา (หกคะเมน)
                    58. แต่พ่อปอบอกว่าปล่อยให้ล้มได้ ไม่เป็นไรหรอก แต่จะอยู่ใกล้ๆ เตรียมเข้ามารับตัวไว้ได้เสมอ
                    59. ช่วงนี้แม่โบว์กำลังเริ่มปลูกฝังวินัย เวลามะลิปวดฉี่ ให้พูด “ฉี่ ฉี่”
                    60. แต่มะลิก็จะฉี่ราดก่อนแล้วค่อยมาบอกทุ้กกที (ช้าไปหน่อย)
                    61. มะลิยังไม่รู้จักการรอคอย  เห็นอะไรแล้วต้องรีบวิ่งเข้าไปทุกที
                    62. แต่ถ้าแม่โบว์บอกว่า “ต้องรอก่อนนะ” ถึงจะรอ (ก็หนูเกรงใจแม่)
                    63. มะลิกำลังหัดติดกระดุมเอง สวมเสื้อผ้าเอง
                    64. แต่มะลิไม่ชอบถอดเสื้อผ้า มันอึดอัด
                    65. มะลิกำลังหัดแปรงฟัน และล้างมือเอง แต่ก็ยังไม่ค่อยสะอาดเท่าไหร่ คุณแม่มาช่วยดูเสมอ
                    66. ก่อนเล่นอะไรแม่โบว์จะให้ล้างมือ ล้างเท้า ล้างหน้าเสมอ เพื่อป้องกันเชื้อโรค
                    67. และมะลิต้องไปฉีดวัคซีนกับคุณหมอให้ครบ
                    68. และเมื่อมีวัคซีนป้องกันโรคใหม่ๆ ที่กำลังเข้ามาในบ้านเราก็ต้องไปฉีดป้องกันไว้
                    69. มะลิเป็นเด็กซนมาก ปีนตก ปีนตก ทุกองศา
                    70. มะลิยังไม่รู้จักทิศทาง ข้างหน้า ข้างหลัง
                    71. เวลาเดินทางเมื่อก่อนมะลิไม่ชอบนั่งคาร์ซีท แต่เดี๋ยวนี้เพื่อความปลอดภัย มะลิไม่งอแงแล้ว
                    72. มะลิสามารถแยกคนที่บ้านกับคนแปลกหน้าได้แล้ว
                    73. เวลาคนแปลกหน้าจะมาขอจับตัวมะลิจะเบี่ยงตัวหนีไม่ให้จับ
                    74. แต่ชอบให้มองมะลิจากไกลๆ
                    75. มะลิจะไม่รับของกินจากคนแปลกหน้า
                    76. เวลามีคนมองมาเยอะๆ มะลิชอบเปิดการแสดงโชว์ ไม่ว่าจะเดี่ยวไมโครโฟน หรือ..เต้น..เต้น.. เต้น..
                    77. ตอนนี้มะลิมีเพื่อนสนิทเป็นพี่วัย 3 ขวบ กับ 5 ขวบที่อยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน
                    78. มะลิจะแบ่งปันของเล่นให้กันอยู่เสมอ
                    79. แม่โบว์จะสอนให้มะลิแบ่งของให้เพื่อนๆ ด้วยมือของตัวเองเสมอ
                    80. และอะไรที่ไม่ใช่ของมะลิ มะลิจะไม่หยิบเอามาเล่นแม่บอกว่าไม่ใช่ของเราอย่างเช่นโทรศัพท์มือถือ
                    81. แต่ถ้าจะเอาโทรศัพท์มือถือของพ่อปอ มะลิจะเข้าไปอ้อนย่าให้หยิบให้
                    82. มะลิติดพี่เลี้ยงชื่อ “ป้ายุ”
                    83. มะลิติดป้าข้างบ้านชื่อ “ป้าปู” เขาคอยมาเที่ยวหามะลิตั้งแต่คลอด จนตอนนี้เราสนิทกันม้ากมากก
                    84. นอกจากสอนเต้นแล้ว พ่อปอคือผู้สอน “ไหว้”  อีกด้วย
                    85. โดยพ่อปอจะสอนให้ไหว “ในหลวง” ก่อนเป็นอันดับแรก
                    86. ก่อนจะไหว้พ่อกับแม่ และทุกๆ คน
                    87. ครั้งหนึ่งเราเคยนั่งรถผ่านถนนที่มีรูป “ในหลวง”มะลิเลยชวนทุกคนในรถยกมือไหว้กันให้ครบทุกคน และวันนั้นก็มีรูปในหลวงหลายที่เสียด้วย ทุกคนก็ต้องไหว้หลายๆ รอบ
                    88. เมื่อก่อนมะลิไม่รู้จักกล้องถ่ายรูป ไม่รู้ว่าการถ่ายรูปคืออะไร
                    89. แต่ตอนนี้เวลาเห็นกล้องดำๆ ใหญ่ๆ ยกไปยกมา ก็จะรู้แล้วว่าคือการ “ถ่ายรูป”
                    90. แต่ถ้ามะลิไม่อยากถ่ายรูปมะลิก็จะพูดว่า “ไม่รูป”
                    91. ช่วงนี้มะลิได้ออกงานบ่อย ได้ไปเที่ยวหลายๆ สถานที่ สนุกมาก ได้เจอคนเยอะๆ
                    92. แต่เวลามะลิเหนื่อยก็จะพูดว่า “พี่จ๋า ลิเหนื่อย”
                    93. มะลิใส่เสื้อผ้าได้ทุกสี ทุกแบบ  แต่ที่ชอบใส่กางเกงเพราะว่าพ่อปอเห็นว่ามันดูสบายๆ ล้มแล้วไม่เจ็บ
                    94. ที่มาของการมัดผม”สามจุก”ก็มาจากพ่อปอ ที่ไม่อยากให้ผมบังหน้าบังตามะลิเวลาเล่นสนุก
                    95. มะลิกำลังจะเข้าโรงเรียนใกล้บ้าน ในช่วงเดือนสิงหาคมนี้
                    96. พ่อปออยากให้มะลิเรียนในกรุงเทพฯ และวางแผนว่าจะให้มะลิเรียนรู้ตามพัฒนาการ พอจบอนุบาล 3  จึงค่อยมาดูว่ามะลิชอบอะไร
                    97. แม่โบว์บอกว่าเรื่องของวงการบันเทิงเป็นเรื่องอนาคต
                    98. ช่วงนี้มะลิมีงานโชว์ตัวไปจนถึงปลายปี 59 พี่จ๋าใกล้ที่ไหนมาหามะลิได้นะจ้ะ
                    99. อินสตาแกรมที่พี่จ๋าจะได้เห็นความอัพเดทของมะลิ สามารถติดตามได้จากของพ่อปอ @portidและของแม่โบว์ @vanda29
                    • มะลิขอบคุณทุกคนที่เคยมอบความรักให้กับพ่อปอ มามอบเป็นกำลังใจให้กับมะลิ – แม่โบว์ และในสมาชิกครอบครัวสหวงษ์  ถ้าพ่อปอยังอยู่ก็คงดีใจที่แฟนๆ รักพ่อปอขนาดนี้ค่ะ

                    ………………………………………………………………………………………………..

                    นางแบบ :น้องมะลิ – เด็กหญิงพาขวัญ สหวงษ์
                    ช่างภาพ :จักรพงศ์ นุตาลัย ผู้ช่วยช่างภาพ : กัญชนิกา เมืองวงศ์, ศิริรัตน์  ทวีรัตน์
                    สไตลิสต์ :  มัลลิกา ชัยทวีพรผู้ช่วยสไตลิสต์ : สุภัทรา  สิงหเดช
                    สัมภาษณ์ :
                    ทิพย์วรรณ เปรมปัญญา, สีวิกา ฉายาวรเดช, สุกัญญา  เขม้นเขตกิจ

                      เมื่อลูกติดคำหยาบมาจากนอกบ้าน

                      ในชีวิตประจำวันเราอาจจะคุ้นเคยกับการใช้คำหยาบผสมกลมกลืนอยู่ในบทสนทนาจนกลายเป็นเรื่องปกติ เด็กน้อยอาจจะมีคำหยาบที่ไปติดมาจากเพื่อนๆ หรือจากการที่ได้ยินมาจากสถานการณ์ต่างๆซึ่งอาจจะมาจากเราเอง

                      เปลี่ยนการ “ห้าม” เป็น “อธิบาย” ให้มากๆ

                      ซึ่งหากได้ยินลูกพูดคำหยาบ  สิ่งแรกที่ควรจะทำคือต้องอธิบายให้ลูกรู้ว่าคำนั้นมันไม่ดีอย่างไร เพราะอะไรจึงไม่สุภาพ และหากเขาอยู่ในวัยที่สามารถเข้าใจมากขึ้นแล้ว

                      เราอาจจะถามเขาว่า“ถ้ามีคนมาพูดกับหนูด้วยคำเดียวกันนี้ หนูจะชอบมั้ย?”ซึ่งถ้าเขาไม่ชอบก็ไม่ควรใช้กับใคร

                      บางทีเราอาจจะคิดไปเองว่า การอธิบายเรื่องราวเหล่านี้ เด็กก็คงไม่เข้าใจ เราจึงใช้การห้ามซึ่งเป็นวิธีการใช้อำนาจง่ายๆ แต่ความจริงแล้ว ทุกๆเรื่องหากเราใช้เวลาอธิบายให้ลูกฟังด้วยความตั้งใจ เด็กสามารถเข้าใจเรื่องราวต่างๆได้ง่ายกว่าที่เราคิด ผมลองยกตัวอย่างให้ฟังเรื่องราวจากประสบการณ์การเลี้ยงเจ้าปูนปั้นที่เกี่ยวกับคำหยาบนะครับ

                      ปกติครอบครัวของเราจะหลีกเลี่ยงการให้เจ้าปูนปั้นดูจอมือถือ อย่างไรก็ดีหากปูนปั้นอยากดูการ์ตูนเราก็จะให้เขาเลือกการ์ตูน แล้วเราก็จะคว่ำจอลงให้ฟังแค่เสียง

                      ครั้งหนึ่งเจ้าปูนปั้นเลือกการ์ตูน Thomas & Friends แต่บังเอิญเป็นเวอร์ชั่นที่มีคนเอามาดัดแปลง ดังนั้นตลอดเรื่องจะมีทั้งคำหยาบและคำแสลงออกมาหลายคำ พอปูนปั้นจะฟังซ้ำเราก็อธิบายให้เขารู้ว่าการ์ตูนตอนนี้มันมีคำที่ไม่เพราะอยู่เยอะ แล้วก็ขอให้เลือกเรื่องใหม่

                      ผ่านไปหลายวันพอปูนปั้นจะฟัง Thomas &Friends อีก เขาก็พูดขึ้นมาเองเลยว่า “ปูนปั้นจะฟัง Thomas & Friends แต่ไม่เอาเรื่องที่มีคำหยาบนะครับปะป๊า”

                      TRICK–เมื่อลูกพูดคำหยาบแทนที่จะดุหรือห้าม เราควรใช้การอธิบายให้เขาเรียนรู้และเข้าใจ แต่ถ้าเราหลุดพูดออกมาเสียเองก็ขอให้ยอมรับและขอโทษลูก นอกจากคำหยาบแล้ว คำที่เป็นการแบ่งยกคนเป็นชนิดประเภทต่างๆ หรือคำที่ต้องใช้ให้ถูกกาละเทศะก็ควรจะอธิบายให้เขาเข้าใจและใช้ให้ถูกต้อง

                        วิธีทำพาสปอร์ตให้ลูกน้อย

                        วิธีทำพาสปอร์ตให้ลูกน้อย ไปเที่ยวต่างประเทศ

                        คุณแม่คงสงสัยว่าถ้าเราจะพาลูกเที่ยวต่างประเทศ แล้วเราจะมี วิธีทำพาสปอร์ตให้ลูกน้อย อย่างไรบ้าง และมีขั้นตอนยังไง Amarin Baby & Kids รวบรวมข้อมูลไว้ดังนี้

                        Continue reading “วิธีทำพาสปอร์ตให้ลูกน้อย ไปเที่ยวต่างประเทศ”

                          พาลูกไปปฏิบัติธรรม

                          พาลูกไปปฏิบัติธรรม

                          ผู้เขียนเคยได้ยินคุณพ่อคุณแม่หลายคนที่สนใจธรรมะถามกันว่า ถ้าจะ พาลูกไปปฏิบัติธรรม ควรจะเริ่มตั้งแต่อายุเท่าไหร่ดี เพราะมีคอร์สสำหรับเยาวชนมากมายหลายแห่งทั่วประเทศ ผู้เขียนเองก็สนใจเรื่องนี้ และเคยได้ยินท่านโกเอ็นก้า วิปัสสนาจารย์ที่ผู้เขียนปฏิบัติตามแนวทางของท่านมาหลายปี บอกไว้ว่าอายุที่มนุษย์เริ่มปฏิบัติธรรมได้ ก็คือตั้งแต่อยู่ในท้องแม่!

                           

                          ผู้เขียนจำเรื่องนี้ได้ดีตั้งแต่ยังไม่ได้แต่งงานและตั้งใจแน่วแน่ว่าถ้ามีลูก จะพาไปฟังธรรมด้วยกันตั้งแต่อยู่ในท้องอย่างที่ได้ยินมา จนกระทั่งพบกับสามี และตั้งท้องลูกคนแรก ก็ได้ไปจริงๆ และเป็นการไปแบบไม่ทันได้ตั้งตัวด้วย เพราะตอนนั้นผู้เขียนกำลังจะไปเข้าคอร์สวิปัสสนา 20 วันที่แคลิฟอร์เนียและไปพักบ้านเพื่อนที่นั่น 2-3 วันก่อนที่จะไปศูนย์แล้วก็ได้รู้ตอนนั้นเองว่าท้อง สามีก็อยู่อีกรัฐหนึ่ง ได้แต่โทรศัพท์ไปบอก แล้วก็หายเข้าคอร์สไปเลย 20 วันไม่ได้พูดคุยกันจนกระทั่งจบคอร์สออกมาแล้วนั่นละ ถึงได้โทรไปหาอีกครั้ง สิ่งแรกที่สามีถามก็คือ “ตกลงยูยังท้องอยู่หรือเปล่า” ตลกดีจริงๆ

                           

                          สิ่งที่ผู้เขียนได้เรียนรู้มากที่สุดจากการอุ้มท้องไปปฏิบัติธรรมแบบปิดวาจา 20 วันนั้นก็คือ ลูกนั้นมีชีวิตจิตใจเป็นของตนเอง เราไม่สามารถจะไปบังคับควบคุมเขาได้อย่างแท้จริง แม่(และพ่อ)เพียงมีหน้าที่ให้โอกาสในการเกิด ดูแลให้เขาแข็งแรงปลอดภัย และให้การเลี้ยงดูอย่างดีที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ แต่ทั้งกายและใจของลูกนั้นเป็นของเขาเองโดยสมบูรณ์ ผู้เขียนได้แต่เฝ้าสังเกตและรับรู้ถึงการเคลื่อนไหว (ซึ่งแน่นอนว่าใน 20 วันนั้นยังไม่เกิดขึ้น) และเฝ้ารอให้เขาออกมาลืมตาดูโลกวุ่นๆ ใบนี้ด้วยตัวของเขาเอง

                          ผู้เขียนนำข้อสังเกตนี้ไปคุยกับอาจารย์ที่สอนคอร์สนั้น แล้วก็ได้รับรอยยิ้มยืนยันว่านั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ ไม่ใช่คิดไปเองหรือเพราะได้ยินคนอื่นบอกกันมา ทำให้ผู้เขียนรู้สึกว่าการได้เกิดปัญญาจากประสบการณ์ตรงแบบนั้นมันทำให้เรามีข้อเตือนใจตัวเองอยู่เสมอ แม้เวลาจะผ่านมาหลายปี แต่ทุกวันนี้ผู้เขียนก็ยังจะได้ถึงช่วงเวลาที่เกิดความคิดดังกล่าว และคงจะได้ระลึกถึงอยู่เสมอในยามที่คิดถึงหรืออยู่กับลูกอีก

                          สิ่งหนึ่งที่ผู้เขียนคิดว่าได้ประโยชน์มากจากการไปปฏิบัติธรรมตั้งแต่ยังท้อง ก็คือการเตรียมความพร้อมให้กับตัวเอง เพราะการที่คนคนหนึ่งจะก้าวข้ามจากความเป็นคนโสดกลายไปเป็นแม่ (หรือพ่อ) คนนั้น ต้องผ่านการเปลี่ยนแปลงอย่างมหาศาลและประสบการณ์ชีวิตมากมายหลายอย่าง ทั้งความเปลี่ยนแปลงและความอึดอัดไม่สบายกายที่เกิดขึ้นในระหว่างตั้งครรภ์ ทั้งความเจ็บปวดทรมานในระหว่างคลอดลูก และความเปลี่ยนแปลงในชีวิตที่เกิดขึ้นหลังจากลูกคลอดออกมาแล้ว เพราะฉะนั้นการเรียนรู้ที่จะเป็นผู้เฝ้าดูและสังเกตโดยไม่ตัดสิน ความเข้มแข็งทางกายและใจต่อความเปลี่ยนแปลง ความเจ็บปวด ความยากลำบาก และปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับชีวิต รวมทั้งความมีใจเป็นกลาง ไม่เหนี่ยวรั้งอยากให้สิ่งต่างๆ เป็นอย่างที่เราต้องการ หรือรังเกียจเดียดฉันท์ โกรธขึ้ง ผลักดันสิ่งที่ไม่พึงปรารถนา ย่อมมีคุณอนันต์ต่อการเป็นพ่อแม่คน ในระหว่างที่นั่งปฏิบัติธรรมชั่วโมงอธิษฐาน (ซึ่งจะต้องไม่เปลี่ยนท่านั่งและไม่ลืมตาตลอด 1 ชั่วโมง)และบางครั้งเจ็บปวดทรมานแสนสาหัสนั้น ผู้เขียนก็เหมือนได้เรียนรู้วิธีที่จะรับมือกับสิ่งกระทบรุนแรง และได้รู้จักตัวเองว่าในเวลาคับขันอย่างนั้น ใจของเราเป็นอย่างไร อยากหนี อยากสู้ หรืออยากอยู่เฉยๆ ไม่ทำอะไรรอให้มันหายเอง (คือจริงๆ แล้วเป็นทุกอย่างที่พูดมา)

                           

                          จบจากคอร์ส 20 วันนั้น ผู้เขียนเลยไปเป็นธรรมบริกรอีก 1 คอร์ส และไปเข้าคอร์สสติปัฎฐานอีก 1 คอร์สระหว่างนั้นก็ปฏิบัติทุกเช้าเย็น ใครบอกว่าให้เปิดโมสาร์ทให้ลูกฟังจะได้ฉลาด แต่ผู้เขียนเลือกเปิดบทสวดมนต์ให้พุงกลมๆฟังแทน ด้วยหวังว่าคลอดออกมาจะได้ใช้เป็นเพลงขับกล่อมได้ด้วย ใครๆ ที่ได้เห็นต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเด็กคนนี้เกิดออกมาจะต้องเป็นเด็กสงบมีธรรมะ ไม่งอแง เลี้ยงง่ายแน่นอน

                          ผลที่ได้เหรอคะ… เด็กหญิงเมตตาเกิดออกมาลืมตาแป๋วและร้องไห้หนักมาก! ถ้ามีสเกลความเลี้ยงยากเลี้ยงง่ายไล่จากศูนย์ไปสิบนี่ ผู้เขียนคิดว่าเมตตาต้องทำลายสถิติทะลุไปถึงไหนต่อไหน สามเดือนแรกนี่ไม่ต้องพูดถึง คือพ่อแม่ไม่ได้นอนเพราะเมตตาร้องไห้ ต้องอุ้มกล่อมตลอดเวลาทั้งกลางวันกลางคืน เปิดบทสวดมนต์ให้ก็ไม่ได้ผลอะไรทั้งสิ้น จนตอนนี้ผ่านไปเกือบสามปี หนูน้อยคนสวยของเราก็ยังโยเยโวยวายได้โล่

                          แต่สิ่งที่ทำให้ผู้เขียนได้ชื่นใจก็คือ ลูกเป็นคนอ่อนโยนและรู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา สนใจความรู้สึกของผู้อื่น มีเวลาที่อ่อนหวานมากๆ จนพ่อแม่ต้องละลาย มีเวลาที่กลายเป็นเด็กตลกจนเราต้องขำกลิ้ง และวันดีคืนดีก็นั่งลงขัดสมาธิหลับตาวางมือประสานกัน แล้วบอกว่า ‘I’m meditating!’ บนเบาะนั่งสมาธิของเรา ตั้งแต่ยังอายุได้แค่สองขวบครึ่ง ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะเห็นพ่อกับแม่นั่งทุกวันจึงได้ทำตาม และอีกส่วนหนึ่งผู้เขียนก็เชื่อมากๆ ว่าคงเพราะจิตของเขามุ่งมั่นมาทางนี้ จึงได้มาเกิดกับพ่อแม่ที่ฝักใฝ่ธรรมะ เพราะรู้ว่าจะได้รับการส่งเสริมต่อไปในชาติภพนี้ สำหรับลูกคนต่อมาซึ่งยังอยู่ในท้อง ผู้เขียนเลยพาไปปฏิบัติธรรมมาแล้ว 10 วัน ก็คงต้องมาดูกันต่อไปว่าจิตดวงนี้จะแตกต่างจากจิตของหนูเมตตาผู้พี่อย่างไรบ้าง

                          ถ้ามีว่าที่คุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ อ่านบทความนี้แล้วเกิดความสนใจ อยากไปปฏิบัติบ้าง ผู้เขียนก็ขออนุโมทนาล่วงหน้านะคะ เพราะดูแลร่างกายอย่างดีคงไม่พอ ต้องดูแลจิตใจให้เข้มแข็งและมีสุขภาพที่ดีด้วยเช่นเดียวกันค่ะ

                          www.thai.dhamma.org__

                           

                          เรื่อง : สิริยากร พุกกะเวส มาร์ควอร์ท
                          ภาพ : Shutterstock

                            เลือกรองเท้าให้ลูก

                            ระวัง เลือกรองเท้าให้ลูก คุณภาพไม่ดีอาจเป็นอันตรายกับลูกน้อย

                            รองเท้ากัด มักเป็นกันทุกคน โดยเฉพาะรองเท้าคู่ใหม่ที่เพิ่งซื้อมา ใส่ครั้งแรกอาจจะมีรอยโดนกัดที่ข้อเท้าด้านหลังและทำให้เป็นแผลพองหรือมีเลือดออกได้ … เรื่องนี้อาจจะไม่แปลกถ้าเกิดกับผู้ใหญ่อย่างเราๆ แต่หากเหตุการณ์นี้เกิดกับเด็กเล็กๆ หรือลูกของเรา พ่อแม่คงนิ่งนอนใจไม่ได้แน่ค่ะ ดังนั้น เลือกรองเท้าให้ลูก ต้องดูให้ดี

                            อย่างเหตุการณ์นี้เป็นเรื่องของอันตรายจากรองเท้าที่พ่อแม่คาดไม่ถึง กับเด็กหญิง Esmé Connor วัย 2 ขวบ ซึ่งเธอได้รับของขวัญเป็นรองเท้ายางสีชมพูน่ารัก แต่ใครจะคิดว่าหลังจากที่เธอใส่รองเท้านี้ออกไปวิ่งเล่น ได้เพียงแค่ครึ่งชั่วโมง หนูน้อยก็กลับวิ่งมาหาพ่อแม่พร้อมเลือดที่ติดเต็มเท้า

                            3500BC3F00000578-0-image-a-29_1465290613006

                            3500B77400000578-0-image-a-31_1465290620011

                            3500C0EA00000578-0-image-a-28_1465290380769

                            ระวัง เลือกรองเท้าให้ลูก คุณภาพไม่ดีอาจเป็นอันตรายกับลูกน้อย

                            เป็นเพราะยางจากรองเท้าบาดที่เท้าของเธอจนเป็นแผลนั่นเอง แม่ของหนูน้อยได้กล่าวว่า เธอได้รับของขวัญเป็นรองเท้าจากเพื่อนๆ ญาติๆ ซึ่งรองเท้าเป็นของแบรนด์ Next ในราคา 8 ยูโร หลังจากที่ดูแผลแล้วก็พบว่าสายรัดได้บาด เสียดสีที่บริเวณตาตุ่มด้านขวาของลูกสาว

                            3500C11F00000578-0-image-a-30_1465290615530

                            3500C03E00000578-0-image-a-27_1465290367558

                            จากนั้นแม่ของหนูน้อยก็ได้ติดต่อไปที่บริษัทเพื่อให้เรียกคืนสินค้าทันที และนำมาโพสต์เตือนพ่อแม่คนอื่นๆ ให้ระวังไว้ เพราะหากบริษัทไม่เรียกคืนสินค้าอาจจะมีเด็กๆ อีกหลายคนที่ได้รับบาดเจ็บเช่นลูกสาวตัวน้อยของเธอก็เป็นได้

                            อ่านต่อ >>  วิธีเลือกรองเท้าให้ลูกอย่างปลอดภัย คลิกหน้า 2

                              ล้างจมูกลูก

                              ล้างจมูกลูก อย่างไรให้ปลอดภัย ถูกต้องแต่ละช่วงวัย

                              เหตุผลที่ควร ล้างจมูกลูก เพราะน้ำมูกเป็นสิ่งอุดตันประเภทหนึ่งที่สร้างความรำคาญให้แก่ลูกน้อย เพราะในช่วงเด็กวัยไม่ถึงขวบจะยังสั่งน้ำมูกออกเองไม่เป็น ซึ่งมีผลทำให้เขาหายใจไม่สะดวก รู้สึกอึดอัดรวมทั้งนอนหลับไม่สนิท อยากให้เรานึกถึงตอนเราเป็นหวัดคัดจมูก มีน้ำมูกมาก ๆ ในรูจมูก ถ้าเป็นผู้ใหญ่ก็สามารถออกแรงสั่งดังปี้ดป๊าดออกมาในกระดาษทิชชูได้ แต่เด็กทารกไม่สามารถทำได้อย่างนั้น เขาต้องอาศัยการดูแลจากคุณพ่อคุณแม่ ล้างจมูกลูก ดูดน้ำมูกออกให้

                              Continue reading “ล้างจมูกลูก อย่างไรให้ปลอดภัย ถูกต้องแต่ละช่วงวัย”

                                บีม วรานิษฐ์

                                เปิดใจซิงเกิ้ลมัมคนเก่ง “บีม” วรานิษฐ์ จิราโรจน์เจริญ

                                จากเด็กสาวที่เคยวาดฝันเส้นทางชีวิตเหมือนผู้หญิงทั่วไป…เรียนจบ ทำงาน แต่งงาน มีลูก ใช้ชีวิตครอบครัวพ่อแม่ลูก แต่ในความจริงเมื่อเธอเติบโตขึ้นมา จนเข้าวัยกลางคน หลายอย่างไม่ได้เป็นอย่างฝันที่วาดไว้ ชีวิตรักไม่ได้สวยงาม เรื่องมีลูกจึงค่อยๆหายไปจากความคิด แต่ชีวิตพลิกผัน วันที่เธอลืมเรื่องมีลูกไปแล้ว ลูกเลือกมาอยู่กับเธอโดยไม่ทันตั้งตัว และวันนั้นเธอก็เข้มแข็งพอที่จะประกาศให้สาธารณะชนรู้ว่าเธอพร้อมที่จะเป็น “ซิงเกิ้ลมัม”

                                           

                                            เลือกเส้นทางคุณแม่เลี้ยงเดี่ยว

                                “ชีวิตบีมผ่านปัญหามาเยอะมากค่ะ โดยเฉพาะตอนที่คุณพ่อ (ศุภกรณ์ ศรีสวัสดิ์ หรือดี๋ ดอกมะดัน) ป่วยและเสียชีวิต ซึ่งบีมว่ามันเป็นมรสุมลูกใหญ่ที่สุดในชีวิตแล้ว หลังจากนั้นเป็นต้นมา ไม่ว่าจะเจอปัญหาอะไร บีมว่ามันเล็กน้อยมาก และเราจะผ่านมันไปได้ รวมถึงเรื่องลูกด้วยค่ะ” คุณบีมเริ่มต้นเล่าถึงเส้นทางการเป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวให้เราฟัง “ตอนที่รู้ว่าท้องแวบแรกก็คิดเหมือนกันว่าคงต้องแต่งงานแล้วล่ะ เพราะฝ่ายชายเขาก็พร้อมจะรับผิดชอบ แต่พอพูดคำว่าแต่งงาน คือเราไม่ได้มีความสุขเหมือนคนที่กำลังจะได้เป็นเจ้าสาว เราแต่งเพราะเราจะต้องดูแลรับผิดชอบลูก เราก็ถามตัวเองว่านี่คือทางที่เรามีความสุขใช่ไหม

                                “สิ่งที่เราเป็นห่วงไม่ใช่ชื่อเสียงของตัวเอง แต่เราเป็นห่วงคุณแม่ ห่วงครอบครัว ห่วงชื่อเสียงพ่อ แต่พอแม่ถามว่า “จะแต่งงานเนี่ยรักเขาหรือเปล่า คิดว่าแต่งไปแล้วจะมีความสุขไหม” เราตอบว่า ไม่ แต่แต่งเพราะต้องดูแลลูก แม่พูดขึ้นมาเลยว่า “ถ้าแต่งด้วยเหตุผลนี้ ไม่ต้องแต่งเลยนะ ไม่ต้องแต่งเพื่อชื่อเสียงพ่อ ไม่จำเป็น แม่เชื่อว่าถ้าพ่อยังอยู่ พ่อก็จะคิดแบบนี้เหมือนกัน ถ้าเกิดแต่งไปแล้วลูกไม่มีความสุข อย่าเลย”

                                ที่สำคัญที่สุดก็คือน้องโซร ถ้าเขาเกิดมาในครอบครัวที่พ่อแม่ไม่ได้รักกันแล้ว เขาก็คงจะไม่มีความสุข ถึงแม้ว่าเขาจะเล็กอยู่ แต่เขาก็คงจะรับรู้ได้ สัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่มันไม่อบอุ่นไม่น่าอยู่ แล้วบีมก็ลองสังเกตบ้านที่เป็นซิงเกิ้ลมัมกับบ้านที่มีทั้งพ่อแม่ ก็มีหลายบ้านที่เขาทะเลาะกัน มีปัญหากัน แต่อยู่ด้วยกัน เขาก็ไม่มีความสุข เพราะฉะนั้นให้ชัดเจนไปเลยดีกว่า ว่านี่พ่อ นี่แม่ ซึ่งไม่ได้เป็นสามีภรรยากันนะ แต่เราพร้อมที่จะให้จะให้ความรักเขาอย่างเต็มที่

                                พอเราตัดสินใจว่าจะทำตามความรู้สึกของตัวเอง พอคิดว่าจะเลี้ยงลูกเอง มันมีความสุขขึ้นมาเลย มันโล่งมาก สบายใจมาก ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าคนภายนอกจะรู้สึกอย่างไรนะ แต่ตอนนั้นบีมรู้สึกว่าไม่สนใจแล้ว ครอบครัวเรามีความสุข บีมมีความสุขกับชีวิตของบีมแบบนี้ พอใจแล้วค่ะ”

                                           banner300x250-1

                                            ชุลมุนในห้องคลอด

                                “บีมคลอดธรรมชาติค่ะ เป็นความตั้งใจของเราอยู่แล้ว บีมอยากจะรับรู้โมเมนต์ที่แม่บอกว่า “มันเจ็บมากเลยนะเธอ ผ่าไหม” (หัวเราะ) แล้วก็หาข้อมูลมาแล้วว่าคลอดเองดีนะ มันเป็นธรรมชาติ และบีมว่าธรรมชาติดีที่สุด อีกอย่างบีมแข็งแรงมาก สามารถคลอดเองได้

                                วันที่จะคลอด ประมาณ 9 โมงเช้า คุณหมอมาตรวจ ปากมดลูกเปิดแค่ 2 เซ็น หมอก็บอกว่าท้องแรก เดี๋ยวบ่าย 3 หมอมาใหม่ นอนตามสบายเลยค่ะคุณแม่ พยาบาลก็มาบอกว่าถ้าเจ็บบอกนะคะ ขอยาได้ เราก็ค่ะๆ ตอนแรกมันปวดเหมือนปวดท้องประจำเดือนแต่ยังไม่ถี่ แต่พอสักพักเริ่มถี่ แต่บีมก็ทน จิกหมอน ตอนนั้นสัก 11 โมงได้ ปวดก็ทนเพราะหมอบอกอีกนาน แต่มันทนไม่ไหวแล้ว ร้องโอ๊ยยยขึ้นมา พอเบล (น้องสาว) เห็นพี่โอ๊ยก็เรียกพยาบาลเลยค่ะ บอกปกติพี่หนูอดทนมาก ไม่เคยโอ๊ยมาก่อน ช่วยเรียกหมอมาดูด่วน

                                อ่านต่อ “เปิดใจซิงเกิ้ลมัมคนเก่ง “บีม” วรานิษฐ์ จิราโรจน์เจริญ” คลิกหน้า 2

                                 

                                  โรคหวัด

                                  วิธีสังเกต“โรคหวัด“ อาการแบบนี้ เป็นหวัดชนิดไหน

                                  พญ. ศาธิณี ลิมปิสุข แพทย์เวชศาสตร์ทั่วไป โรงพยาบาลกรุงเทพ ให้ข้อมูลว่าเมื่อเป็น “หวัด” บางคนอาจมีอาการแตกต่างกัน แต่สาเหตุการเกิดโรคเหมือนกัน คือ การติดเชื้อในทางเดินหายใจส่วนบน ดังนั้นเมื่อเราเป็น โรคหวัด สิ่งที่ต้องทำก็คือ สังเกตตัวเองว่า “หวัด” นั้น เป็นหวัดแบบไหน ไวรัส  หรือ แบคทีเรีย ซึ่งส่วนใหญ่ที่พบมักจะเป็นหวัดไวรัส อาการ คือ เพลีย ไอ เจ็บคอ และมีน้ำมูกบ้าง ใช้เวลา 2-3 วัน ก็หายเองได้ แค่พักผ่อนให้เพียงพอ  แต่ถ้ามีอาการหนักกว่านี้ ลองสังเกตตัวเองเบื้องต้นก่อนว่า เราเป็นหวัดชนิดไหน ดังนี้

                                  อาการหวัด
                                  อาการหวัด “ไวรัส” หรือ “แบคทีเรีย”

                                  วิธีสังเกต โรคหวัด “ไวรัส” หรือ “แบคทีเรีย”

                                  1. สังเกตสีของน้ำมูกและเสมหะ ถ้าเป็นแบคทีเรีย จะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองหรือสีเขียว บางครั้งอาจเป็นสีน้ำตาลหรือมีปนเลือดต้องทานยาฆ่าเชื้อแบคทีเรีย พวกแอนตี้ไบโอติก หรือยาปฏิชีวนะ
                                  2. ใช้ไฟฉายส่องดูคอในกระจก โดยอ้าปากให้กว้างที่สุด แล้วสูดหายใจ“เข้า” ทาง “ปาก” ลิ้นจะต่ำลง ลิ้นไก่จะยกตัวขึ้น เปิดให้เห็นหลังคอ  ไม่ต้องแลบลิ้น เกร็งลิ้น หรือกระดกลิ้น จากนั้นให้สังเกตว่าคอแดงหรือไม่ ต่อมทอนซิลที่อยู่ด้านข้าง บวมแดงเป็นหนองหรือเปล่า ถ้าคอดูแดงมาก มีหนอง ลิ้นไก่บวมแดง ต่อมทอนซิลโตบวมแดงเป็นหนอง น่าจะเป็นแบคทีเรีย ซึ่งหากไม่ได้กินยาฆ่าเชื้อ อาจหายหวัดด้วยตัวเองยากหรือค่อนข้างช้า
                                  3. สังเกตอาการของไข้หวัดใหญ่ (influenza) มีลักษณะเด่นๆ ที่นอกเหนือไปจากอาการของระบบทางเดินหายใจ คือ คลื่นไส้อาเจียน เบื่ออาหาร ท้องเสีย ปวดตัว ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ปวดข้อ ตาแดง เป็นผื่น  ช่วงเริ่มต้นจะแสดงอาการติดเชื้อไวรัสเหมือนๆ กัน แยกไม่ออกว่าเป็นโรคอะไร จนกว่าอาการอื่นที่ชัดเจนของโรคนั้นๆจะปรากฏขึ้น เช่น

                                  – หากมีอาการ คลื่นไส้ เบื่ออาหาร ปวดตัว ร่วมกับอาการหวัดและเป็นค่อนข้างหนัก ให้สงสัยว่าเป็น “ไข้หวัดใหญ่
                                  – หากมีอาการของไวรัสร่วมกับไข้สูง แถมมีประวัติโดนยุงลายกัด ให้นึกถึงไข้เลือดออก
                                  – หากมีอาการของไวรัสร่วมกับตัวเหลืองตาเหลือง ให้นึกถึง ไวรัสตับอักเสบ

                                  เมื่อเรากินยารักษาโรคหวัดแล้ว ให้สังเกตอาการต่อว่าดีขึ้นหรือไม่ หากดีขึ้น แสดงว่ายาได้ผลดี แต่ถ้าไม่ดีขึ้นหรือแย่ลงใน 2-3 วัน ควรกลับมาพบแพทย์อีกครั้ง  หรือถ้าดีขึ้นเหมือนจะหาย แต่พอหยุดยาฆ่าเชื้อ อาการกลับมาเป็นอีก ทั้งเจ็บคอ มีไข้ ไอ มีเสมหะ ก็ต้องกลับมาหาคุณหมอเพื่อดูว่าเชื้อดื้อยาหรือเปล่า อาจต้องให้ยาฆ่าเชื้อตัวเดิมต่อหรือควรปรับยาฆ่าเชื้อให้แรงขึ้น

                                  เมื่อใช้ยารักษาแล้วอย่าลืมดูแลสุขภาพตัวเอง ปรับสมดุลชีวิตตัวเองบ้าง พักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกาย ลดความเครียดลง หรือทานผักผลไม้เพิ่มขึ้น และรับประทานอาหารเสริมที่ช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน…เพื่อไม่ให้หวัดมาเยือนเราอีกค่ะ

                                  อ่านต่อบทความน่าสนใจ

                                  ลูกเป็นไข้หวัด ไม่รับประทานยา จะหายได้หรือไม่?

                                  ลูกเป็นหวัดเรื้อรัง ดูแลอย่างไรดีนะ?


                                  เรื่องโดย : กองบรรณาธิการ AMARIN Baby & Kids
                                  ภาพ  : shutterstock

                                   

                                  รวม 20 อาการต้องสงสัย ลูกไม่สบาย แบบนี้..! กำลังป่วยเป็นโรคอะไร?

                                    เขาหมดโอกาสได้เป็นพ่อ

                                    เขาหมดโอกาสได้เป็นพ่อ

                                    “สวยจริง!” ฉันอุทานเมื่อมองไปยังเส้นทางที่ตัดผ่านหน้าโรงพยาบาล ซุ้มอุโมงค์ดอกตาเบบูญ่าสีเหลืองเบ่งบานอวดความงามตลอดถนนสายดอกไม้นี้ ยิ่งแดดร้อนจ้า ดอกไม้ก็ยิ่งเบิกบานท้าทายแสงตะวัน กลีบดอกที่ร่วงหล่นคลุมพื้นเหมือนพรมผืนใหญ่ สะท้อนแสงแดดเป็นประกายระยิบระยับราวกับปูด้วยทองคำ เห็นดอกไม้ในหน้าร้อนนี้ ทำให้คิดได้ว่า…ความสุขความทุกข์คือของสิ่งเดียวกัน แล้วแต่จะมองด้านใด หากมองด้านทุกข์ก็ร้อนร้ายเหลือจะทน หากมองด้านสุขดอกไม้ก็ช่างงดงามสุดที่จะพรรณนา

                                    ……….

                                    คุณหมอคะ มีคนไข้มาขอตรวจอัลตร้าซาวนด์ค่ะ” ติ๋ม(ชื่อสมมุติ)พยาบาลประจำห้องตรวจเดินเข้ามาบอก พร้อมยื่นบัตรบันทึกประวัติคนไข้ ฉันตอบเธอว่า

                                    “ได้เลย เชิญที่ห้องอัลตร้าซาวนด์เลยค่ะ”

                                    เมื่อไปถึงห้องอัลตร้าซาวนด์พบคนไข้ผู้หญิงอายุ 22 ปี หน้าตาดี ผมยาวประบ่า นั่งรออยู่ ข้างๆเป็นหญิงวัยกลางคนผอม ตัวเล็ก

                                    “คุณสุดา(ชื่อสมมุติ)อยากตรวจอัลตร้าซาวนด์เพราะอะไรคะ” ฉันถาม

                                    “ลูกสาวประจำเดือนขาดไปสองเดือนละค่ะ คุณหมอ เลยจะมาตรวจดูเด็กในท้อง”สายทอง(ชื่อสมมุติ) ผู้เป็นแม่ตอบแทน

                                    “แล้วหนูตรวจน้ำปัสสาวะแล้วหรือยังว่าท้อง” ฉันหันไปถามคนไข้

                                    “ตรวจสองครั้งแล้วละค่ะ ขึ้นสองขีดทั้งสองครั้ง” สุดาตอบหน้าตาเฉยๆ ดูเป็นคนอารมณ์มั่นคง

                                    “งั้นมาตรวจดูนะคะ อ้อ…จะให้แฟนเข้ามาดูด้วยไหมคะ” ฉันขออนุญาต ตามประสบการณ์หากไม่ให้สามีเข้ามาดูอัลตร้าซาวนด์ทารกในครรภ์พร้อมกัน เดี๋ยวก็ต้องตรวจใหม่ อธิบายกันใหม่ เพราะสามีอยากเห็น

                                    “เรียกอ๊อด(ชื่อสมมุติ)มาดูด้วยกันไหมหนู” แม่หันมาถามลูกสาว

                                    “ไม่ต้องหรอกแม่ ไม่ต้องให้เขาเข้ามาดู” สุดาพูดน้ำเสียงเฉียบขาด หันมาย้ำกับฉัน “หมอ ไม่ต้องให้แฟนหนูเข้ามาดูนะ”“ค่ะ” ฉันรับปาก นึกในใจ เดี๋ยวฝ่ายชายก็ขอให้ตรวจซ้ำ

                                    ผลการตรวจอัลตร้าซาวนด์พบว่า สุดาตั้งครรภ์ ทารกอยู่ในโพรงมดลูก ตัวยาวจากหัวถึงก้นสองเซนติเมตร มีหัวใจเต้น แขนขากำลังงอก เด็กเคลื่อนไหวได้ ฉันชี้ให้แม่และลูกสาวดู

                                    “โอ้…เป็นตัวแล้วหรือหมอ ไม่ใช่ก้อนเลือดหรือหมอ” สายทองมองอย่างตื่นเต้น ชี้ให้สุดาดู “หนู ดูสิ ลูกหนูดิ้นได้แล้ว แค่สองเดือนนี้ ก็ดิ้นได้แล้วหรือหมอ” สายทองเสียงรัว

                                    “ดิ้นได้สิคุณสายทอง เด็กไม่ใช่ก้อนเลือด เป็นตัวตั้งแต่ได้ 1 เดือน คุณสายทองมีลูกกี่คนหรือ” ฉันถือโอกาสถามประวัติครอบครัว

                                    “ฉันมีลูกสามคน สุดานี่เป็นคนโต คนเล็กฉันเพิ่งได้ 10 ขวบเอง ตอนท้องไม่เคยได้ตรวจอัลตร้าซาวนด์เลย เลยไม่ค่อยรู้”

                                    “อ้อ…หมอ ลูกฉันไม่ทำแท้งนะ” สายทองพูดขึ้น ฉันฟังแล้วก็งง จึงถามว่า

                                    “แปลว่าอะไรคะ ที่นี่หมอไม่ได้รับทำแท้งอยู่แล้ว ที่พูดนั้นคุณสายทองหมายความว่ากระไร”  

                                    “ลูกฉันมันดื้อ ดื้อมาก ไม่เคยเชื่อพ่อแม่”

                                    “อย่างไรหรือ” ฉันยังไม่เข้าใจ

                                    เสียงเคาะประตูดังขึ้น พยาบาลยื่นหน้าเข้ามาบอกว่า “แฟนคุณสุดาอยากเข้ามาดูอัลตร้าซาวนด์ด้วย”

                                    ฉันคิดในใจว่า…ว่าแล้วไง มองชายที่ปรากฏตัว อ้วนเตี้ย เดินขากะเผลก ขาข้างหนึ่งสั้น ข้างหนึ่งยาว

                                    แต่สุดาตะโกนตอบว่า“ไม่ต้องเข้ามาดู” ฝ่ายชายก็ล่าถอยไป

                                    ……….

                                    สุดาเริ่มเล่าเรื่อง…

                                                    “คุณหมอ ที่แม่หนูว่าหนูดื้อ เพราะหนูเป็นคนเชื่อมั่นในตนเอง หนูเลือกเรียนปวช.แล้วขอแม่ไปทำงานที่กรุงเทพฯ เอง แม่ทัดทานอย่างไร หนูไม่เคยฟัง เรื่องแฟนก็เหมือนกัน แม่บอกอ๊อดเป็นคนขี้เหร่ หุ่นไม่ดี พิการ ไม่ร่ำรวย หาเช้ากินค่ำ ไม่ควรคบเป็นแฟน แต่หนูบอกแม่ว่า หนูไม่ได้คบคนที่รูปร่างหน้าตา คบที่นิสัยใจคอ อันที่จริงที่หนูเป็นแฟนเขา เพราะหนูสงสารเขา เห็นเขาเป็นเด็กกำพร้า พิการขา ไม่มีแฟนจนอายุสามสิบกว่า เขาทำงานที่โรงงานเดียวกับหนู

                                    “แต่เมื่อหนูท้อง หนูบอกเขาด้วยความดีใจเป็นคนแรก เขาบอกหนูว่าอย่างไรรู้ไหมคะ เขาบอกให้หนูเอาลูกออก เขายังไม่พร้อมที่จะรับผิดชอบเป็นพ่อ เขารู้สถานที่รับทำแท้งจะพาไปเอาออกเอง หนูไม่โต้ตอบเขา แต่หากเขาไม่รักลูก ทั้ง ๆที่เป็นลูกของเขาเอง หนูจะรักเขาสงสารเขาทำไม ลูกหนู หนูเลี้ยงเองได้ หนูรีบโทรศัพท์บอกแม่ แม่ให้หนูกลับมาบ้าน มาฝากท้องที่บ้าน พออ๊อดรู้ว่าหนูลาออกจากงาน กลับมาบ้าน เขาตามมา มาบอกพ่อแม่หนูว่า เขาจะแต่งงานกับหนู จะให้สินสอดทองหมั้นเท่านั้นเท่านี้แต่…เขาหมดสิทธิ์แล้ว…หมอ…เขาไม่มีสิทธิ์ในตัวหนูกับลูกอีก ทันทีที่เขาไม่ต้องการลูก”

                                    “แล้วคุณสายทองจะทำอย่างไร” ฉันหันมาถามคนเป็นแม่ ซึ่งนิ่งเงียบ

                                    สายทองยิ้มแห้ง ๆ “หมอ ฉันไม่เคยค้านอะไรลูกสำเร็จเลย ลูกจะทำอะไรก็ต้องตามใจเขาถึงลูกจะดื้อ แต่เขาเป็นคนดี เป็นเด็กกตัญญู ทำงานหาเงินส่งพ่อแม่ทุกเดือน เขาจะเลี้ยงลูกคนเดียวหรือให้ฉันเลี้ยง ฉันก็ยินดีสนับสนุนเขา”

                                    ตกลง สุดาก็ขอฝากท้อง เจาะเลือด รับวัคซีน รับยาบำรุง โดยมีอ๊อดนั่งนิ่งอยู่หน้าห้อง ไม่มีส่วนร่วมใดๆ ตอนกลับสุดาก็กลับพร้อมกับพ่อแม่ ไม่ได้ไปพร้อมกับอดีตแฟน

                                    อ๊อดเดินเข้ามาถามฉันว่า “คุณหมอ ลูกผมสมบูรณ์ดีไหมครับ” ฉันไม่รู้จะตอบอย่างไร ได้แต่บอกว่า ไปถามคุณแม่ดูนะคะ เขาก็ไม่ได้ถามอะไรอีก ได้แต่เดินคอตกออกจากโรงพยาบาลไป

                                    ฉันมองตามเขา…ชายพิการคนหนึ่ง ซึ่งอาจจะยังไม่รู้ว่า ตนเองหมดโอกาสได้เป็นพ่อแล้ว

                                    ……….

                                    บันทึกของหมอ

                                    แม่เลี้ยงเดี่ยวหรือSingle Mom เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดในสังคมไทยไม่นานนี่เอง แต่เดิมเกิดเพราะความจำเป็นจากการหย่าร้าง หรือสามีตาย แต่ปัจจุบันการเลือกเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว ถือว่าเป็นสิทธิอันชอบธรรม ถูกต้องตามกฎหมาย งานวิจัยพบว่า หากแม่มีสุขภาพกายใจแข็งแรง มุ่งมั่น ที่จะเลี้ยงดูลูก ลูกที่เกิดมาจะมีพัฒนาการทางร่างกาย จิตใจ ประสบความสำเร็จในชีวิต ไม่ต่างจากลูกที่มีครบทั้งพ่อและแม่

                                     

                                    จากคอลัมน์ : Pregnancy True Story ฉบับมิถุนายน 2559

                                    เรื่อง: พญ.ชัญวลี ศรีสุโข
                                    ภาพประกอบ: Panita Aoki