ดูมือถือ

หยุดเด็กตื่นมาดูมือถือกลางดึก ภัยเงียบส่งผลอ่อนเพลียที่โรงเรียน

                คุณพ่อคุณแม่ที่ให้ลูกมีโทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟนตั้งแต่เด็กๆ  ควรมองย้อนกลับมาดูว่าเป็นการหยิบยื่นดาบสองคมให้กับลูกหรือเปล่า  อย่าเพิ่งให้สิทธิ์ลูกครอบครองโทรศัพท์มือถือไว้จนกว่าจะอายุ 13 ปี  เพราะอะไรนั้น  AMARIN Baby & Kids นำข้อมูลมาให้ดูกันค่ะ

นักวิชาการพบว่าเด็ก 1 ใน 5 ที่มีพฤติกรรมติดโซเชียลมีเดียโดยลุกขึ้นมาเปิดมือถือกลางดึกนั้นจะส่งผลให้เกิดอาการอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย เวลาไปโรงเรียน

มหาวิทยาลัยคาร์ดิฟฟ์ พบว่าเด็ก เยาวชน ที่อายุ 12 – 15  ปี   จากจำนวน 1 ใน 3 คน มักจะสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึกอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 – 2 ครั้ง  เพื่อเช็คข้อมูลข่าวสารในแอปฯ โซเชียลมีเดียต่างๆ และโต้ตอบกับเพื่อนๆ  ทั้งแชทและพูดคุย  ซึ่งเด็กกลุ่มนี้จะมีอาการเพลียและเมื่อยล้าเวลาไปโรงเรียน  งานวิจัยครั้งนี้สำรวจจากเด็กจำนวน 848 คน  จากโรงเรียนทั้งหมดในเวลส์  โดยจัดแบ่งเป็น 2 กลุ่มวัย  คือ 12-13 ปี และ 14-15 ปี ด้วยเงื่อนไขต่อไปนี้

www.rafi.org.ph
ภาพจาก www.rafi.org.ph

 

กลุ่มนักเรียนอายุ 12 – 13 ปี 412  คน  พบว่า

22%   เป็นเด็กที่มักจะใช้โซเชียลมีเดียทุกคืน
17%   เป็นเด็กที่เข้านอนหลังเที่ยงคืน ทั้งๆ  ที่ต้องตื่นไปโรงเรียนตั้งแต่เช้า
14%   เป็นเด็กที่ใช้โซเชียลมีเดียอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง

กลุ่มนักเรียนอายุ 14 – 15 ปี  436  คน  พบว่า

28%   เป็นเด็กที่ใช้เวลากับโซเชียลมีเดียเป็นเวลานานและเข้านอนหลักเที่ยงคืนเป็นประจำ ทั้งที่วันพรุ่งนี้ต้องไปโรงเรียนแต่เช้า
23%   เป็นเด็กที่สะดุ้งตื่นขึ้นมาตอนกลางคืน  เพื่อติดต่อกับเพื่อนในโลกโซเชียลแทบทุกคืน
15%   เป็นเด็กที่ใช้โซเชียลมีเดียอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง

นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยดังกล่าว แสดงความคิดเห็นว่าอาการสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึกเพื่ออ่านหรือสื่อสารกับเพื่อนทางโซเชียลมีเดียทุกวันนั้น  น่าจะเป็นคำตอบที่ว่าทำไมเด็กๆ ถึงมีอาการอ่อนเพลีย และอยากนอนตอนกลางวัน  ดังนั้นผู้ใหญ่เองควรจะเป็นผู้ห้ามเด็กๆ หยุดพฤติกรรมดังกล่าวเสีย  เพราะมีผลอันตรายต่อการนอนน้อยเสียอีก


อ่านต่อ “หยุดเด็ก
ตื่นมาดูมือถือกลางดึก  ภัยเงียบส่งผลอ่อนเพลียที่โรงเรียน” คลิกหน้า 2

    พ่อแม่ระวัง!! 12 ข้อนี้ จะทำลายชีวิตลูกด้วยตัวคุณเอง

    พ่อแม่ทุกคนต่างก็ต้องการให้ลูกรักของตนประสบความสำเร็จในชีวิต อยากเห็นลูกได้ดิบได้ดี พยายามเลือกหนทางที่ดีให้กับลูกเสมอ เพื่ออนาคตในวันข้างหน้า…แต่บางครั้งความปรารถนาดีของคนเป็นพ่อเป็นแม่ก็สร้างปัญหาลูกได้โดยไม่รู้ตัว! Continue reading “พ่อแม่ระวัง!! 12 ข้อนี้ จะทำลายชีวิตลูกด้วยตัวคุณเอง”

      ภาพถ่ายใต้น้ำ

      ภาพถ่ายใต้น้ำ ของคุณแม่ตั้งครรภ์

      ช่วงเวลาที่คุณแม่ตั้งครรภ์ เป็นช่วงเวลาที่พิเศษสุดๆ คุณแม่ท้องหลายคนอาจใช้ช่วงเวลานี้ในการเรียนโยคะกายบริหารเบาๆ ใต้น้ำ เพื่อให้คุณแม่ได้ผ่อนคลาย และบางครั้งเราก็อยากเก็บภาพประทับใจนั้นเอาไว้ให้ลูกน้อยดูเมื่อตอนโต เรามาดู ภาพถ่ายใต้น้ำ แสนอัศจรรย์ของคุณแม่ค่ะ

      Continue reading “ภาพถ่ายใต้น้ำ ของคุณแม่ตั้งครรภ์”

        ลูกฟันขึ้นช้า ฟลูออไรด์ ดูแลฟันลูก

        ลูกฟันขึ้นช้า…ให้ฟลูออไรด์เพิ่มดีไหม?

        หากลูกเรามีปัญหาฟันขึ้นช้า ให้ฟลูออไรด์จะช่วยเรื่องฟันของลูกหรือเปล่า มาดูคำตอบและคำแนะนำง่ายๆ เพื่อฟันแข็งแรงจากคุณหมอกันค่ะ

        Q: ลูกชายอายุ 7 เดือน ฟันยังไม่ขึ้นเลยค่ะ มีเพื่อนแนะนำว่าให้ผสมฟลูออไรด์ลงไปในน้ำให้ลูกดื่มได้ จึงอยากขอคำแนะนำคุณหมอว่าให้ฟลูออไรด์ลูกน้อยได้แค่ไหนและเป็นอันตรายหรือไม่คะ?

        การให้ฟลูออไรด์ผสมในน้ำดื่มไม่ได้ช่วยให้ฟันขึ้นเร็วขึ้น ฟลูออไรด์ในปริมาณที่เหมาะสมช่วยลดความเสี่ยงฟันผุ แต่ถ้าได้รับในปริมาณมากเกินไป เช่น กินน้ำจากแหล่งน้ำที่มีฟลูออไรด์สูงกว่า 1.5 มิลลกรัมต่อลิตรต่อเนื่องเป็นเวลานาน จะทำให้เกิดปัญหาฟันตกกระหรือฟลูออโรซิส คือเนื้อฟันเสีย เป็นรอยขาวขุ่น เป็นหลุม ร่องหรือเนื้อฟันเป็นสีน้ำตาล  และถ้าสะสมไปเรื่อยๆ ก็จะมีผลต่อกระดูก ทำให้มีอาการผิดปกติตามข้อต่อต่างๆ เนื่องจากฟลูออไรด์ไม่ได้มาจากน้ำแต่เพียงอย่างเดียว อาจมาจากยาสีฟันซึ่งมีปริมาณฟลูออไรด์สูงเช่น 1000 ppm  ควรเลือกใช้ชนิดที่มีแค่ 500 ppm ก็เพียงพอสำหรับเด็ก

        ลูกฟันขึ้นช้า ฟลูออไรด์ ดูแลฟัน

        เคล็ดลับฟันแข็งแรง

        1. ตรวจสอบว่าน้ำกินในแหล่งที่อยู่อาศัยมีปริมาณฟลูออไรด์เท่าใด ถ้ามีน้อยต้องเสริมฟลูออไรด์เม็ดหรือนัดเคลือบฟลูออไรด์สม่ำเสมอ

        2. สอนให้ลูกดื่มของเหลวจากถ้วย ยิ่งฝึกเร็วยิ่งดีเพราะการดื่มจากถ้วยเนื้อฟันจะสัมผัสโดนของเหลวน้อยกว่า เมื่อเลิกขวดได้จะทำให้งดนมมื้อดึกได้

        3. เมื่อมีฟันขึ้นแล้ว ถ้าลูกติดดูดขวดหรือต้องถือถ้วยน้ำติดมือไว้ตลอดเวลา ให้ใส่แค่น้ำเปล่าเท่านั้น ถ้าอยู่ในคาร์ซีทต้องฝึกให้กินน้ำเปล่าแก้กระหายเท่านั้น

        อ่านต่อ “เคล็ดลับดูแลฟันลูกให้แข็งแรง ข้อ 4-6” คลิกหน้า 2

          ทารกร้องไห้

          8 เทคนิครับมือเมื่อลูกทารกร้องไห้อย่าง “ไม่มีเหตุผล”

          เคยไหมคะ? ลูกไม่ได้หิว ผ้าอ้อมก็ยังโอเค ไข้ก็ไม่มี แต่ลูกร้องไห้…ทำไมกันเนี่ย แต่อย่าเพิ่งเพลียไปค่ะ วันนี้ Amarin Baby & Kids มีเทคนิคดีๆ 8 ข้อให้คุณพ่อคุณแม่ลองเลือกทำดู รับรองว่าต้องมีสักวิธีที่ทำให้ลูกเบบี๋หยุดร้องไห้ได้แน่ค่ะ

          เมื่อคุณพ่อคุณแม่หาสาเหตุไม่ได้ แล้วทำไมทารกถึงร้องไห้ล่ะ เบบี๋เขามีเหตุผลของเขา แต่ต่อให้คุณเป็นพ่อแม่ที่ฉลาดมากๆ ก็คงไม่สามารถอ่านใจลูกทารกได้อยู่ดี แล้วลูกก็ยังพูดไม่ได้อีกต่างหากเนอะ

          ถ้ายังไม่ได้อ่านเรื่อง “สาเหตุที่ทำให้ลูกร้องไห้และวิธีรับมือ” ลองดูก่อนก็ได้ค่ะ จะได้รู้เทคนิคสำหรับสาเหตุต่างๆ หรือจะลองทำ 7 วิธี ด้านล่าง แม้ยังไม่รู้สาเหตุที่ลูกร้องไห้ก็ได้ไม่ว่ากัน

          1. หาอะไรให้ลูกดูด

          การได้ดูดอะไรสักอย่างทำให้ชีพจรของทารกสม่ำเสมอ ผ่อนคลายท้อง และทำให้อวัยวะที่ตื่นตกใจสงบลง เลือกใช้ได้ทั้งจุกนมหลอกหรือเอานิ้วให้ดูด เขาก็จะสงบลงได้เองค่ะ

          2. โอบอุ้มและหุ้มห่อ

          เด็กแรกเกิดชอบความอบอุ่นและปลอดภัยเหมือนอยู่ในครรภ์คุณแม่ ลองห่อตัวลูกด้วยผ้าห่มหรือใส่เป้อุ้มเด็ก หรืออุ้มเขาแนบไหล่เพื่อให้ได้สัมผัสคล้ายกัน แต่เบบี๋บางคนอึดอัดเวลาถูกอุ้มหรือห่อตัวและอาจจะรู้สึกดีกับวิธีปลอบแบบอื่นดีกว่า เช่น อุ้มไกว หรือดูดจุกนมหลอก

          3. เสียงเพลงและท่วงทำนอง

          ลองเปิดเพลง ร้องเพลงกล่อมหรือเพลงที่คุณพ่อคุณแม่ชอบ และเต้นไปรอบๆ ห้อง ทดลองเพลงหลายๆ แบบเพื่อดูว่าลูกน้อยชอบเพลงแบบไหน

          อ่านต่อ “8 เทคนิค รับมือลูกทารกร้องไห้” คลิกหน้า 2

            สัญญาณเตือนสมาธิสั้น

            สัญญาณเตือนสมาธิสั้น 7 ข้อที่พ่อแม่ต้องสังเกต

            อาการของเด็กสมาธิสั้นมีตั้งแต่ไม่สามารถจดจ่ออยู่กับสิ่งหนึ่งได้นานๆ ขาดแรงจูงใจ ไปจนถึงมีปัญหาทางจิต กระสับกระส่าย เหม่อลอย หรือมีความเครียด วิตกกังวล แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าลูกของเราเป็นเด็กสมาธิสั้นหรือไม่? Amarin Baby & Kids มีวิธีสังเกต สัญญาณเตือนสมาธิสั้น

             

            1.เสียสมาธิได้ง่าย

            สัญญาณเตือนสมาธิสั้น

            เด็กที่มีสมาธิสั้น จะมีปัญหาในการจดจ่อกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นเวลานานๆ จึงยากที่จะเล่น หรือทำการบ้านได้สำเร็จ ยิ่งถ้าหากทำการบ้านในที่อึกทึก มีสิ่งรบกวนต่างๆ เสียงโทรศัพท์ เสียงทีวี บางครั้งจนถึงขั้นทิ้งสิ่งที่ทำอยู่กลางคันแล้วหันไปสนใจอย่างอื่นต่อ

            2.มีทักษะในการฟังที่ไม่ดี

            สัญญาณเตือนสมาธิสั้น

            เมื่อคุณพ่อ คุณแม่พูดด้วย มักไม่สามารถมีสมาธิในการฟังจนจบ เนื่องจากไม่มีทักษะในการฟังที่ดี ทำให้เกิดความผิดพลาดในการรับสาร แล้วส่งสารออกไปผิดพลาดและมีปัญหาอยู่บ่อยๆ

            3.ไม่รู้จักผ่อนคลาย หรือพักผ่อน

            สัญญาณเตือนสมาธิสั้น

            เด็กๆ ที่สมาธิสั้นมักจะอยู่ไม่สุข จะกระโดดไปมา มีอาการที่ไม่สงบตลอดเวลา กระสับกระส่าย ขาดความรู้สึกผ่อนคลาย จึงทำให้เกิดความเครียดได้ง่าย

            4.มีปัญหากับความล่าช้า

            สัญญาณเตือนสมาธิสั้น

            สำหรับเด็กที่สมาธิสั้น มักจะทำการบ้านไม่เสร็จ ผลัดวันประกันพรุ่ง ไปโรงเรียนสาย ทำอะไรไม่ตรงเวลา มีอาการหลงๆ ลืมๆ จับจด ไม่สามารถกะเวลาได้ถูก ไม่มีความอดทน จึงให้ทำอะไรผิดพลาดอยู่บ่อยๆ

            5.โกรธง่าย

            5025662409_bec5f94844_b

            เด็กที่เป็นโรคสมาธิสั้น จะควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ ระเบิดอารมณ์ออกมาได้ง่าย เพราะไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ มักจะหงุดหงิด ฉุนเฉียว โกรธง่ายมากกว่าปกติ

            6.ไม่ระมัดระวังจึงเกิดอุบัติเหตุบ่อย

            สัญญาณเตือนสมาธิสั้น

            เด็กที่สมาธิสั้นจะมีใจจอจ่อต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้ยาก ไม่เว้นแม้แต่เวลาเดิน หรือวิ่ง มักจะวอกแวกตลอดเวลา ทำให้พลาดหกล้ม และบาดเจ็บได้ง่าย

            7.มีปัญหาครอบครัว

            สัญญาณเตือนสมาธิสั้น

            เด็กๆ ที่สมาธิสั้น มักจะมีปัญหาครอบครัว มักไม่ค่อยรับฟังผู้ใหญ่ และลืมง่าย ไม่ใส่ใจคนในครอบครัว และโดนคนในบ้านต่อว่า หรือตำหนิบ่อยๆ เรื่องความผิดพลาดของตัวเองจนกลายเป็นความเบื่อหน่าย และทะเลาะเบาะแว้งกัน

            ถ้าพบว่าลูกๆ ของเรามีลักษณะอาการ สัญญาณเตือนสมาธิสั้น เหล่านี้ ควรรีบไปปรึกษาแพทย์ หรือผู้เชี่ยวชาญให้ช่วยกันหาทางรักษา และบำบัดอาการที่ถูกต้อง ครอบครัวจะได้กลับมามีความสุขดังเดิม

            เครดิต: สำนักงานกองทุนสนับสนุนการเสริมสร้างสุขภาพ สสส.

            อ่านเพิ่มเติม คลิก!!

            ลูกน้อยอยู่ไม่สุข เป็นสัญญาณของเด็กสมาธิสั้นหรือไม่?

            วิธีทำให้ลูกมีสมาธิ และเป็นคนดี เริ่มต้นด้วยการเป็นตัวอย่างที่ดีของลูก

            โรคสมาธิสั้นในเด็ก แก้ได้!

             

            เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

             

              ทำความสะอาดลูกน้อย

              วิธีทำความสะอาดลูกน้อย ตั้งแต่หัวจรดเท้า (มีคลิป)

              วิธีทำความสะอาดลูกน้อย ในช่วงแรกเกิดเป็นช่วงที่ร่างกายยังบอบบางและอ่อนแอมาก หากคุณพ่อคุณแม่มือใหม่จะอุ้มจะจับก็ต้องทำด้วยความระมัดระวัง…โดยเฉพาะเรื่องการดูแลความสะอาดของลูกน้อย ก็ถือเป็นเรื่องที่คุณแม่ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ 

              Continue reading “วิธีทำความสะอาดลูกน้อย ตั้งแต่หัวจรดเท้า (มีคลิป)”

                เป่าเปา

                กุ๊บกิ๊บอวดผลงานปั๊มนมครั้งแรก & ภาพสุดน่ารักน้อง “เป่าเปา”

                มาดูความน่ารักของน้อง เป่าเปา ลูกสาวคุณแม่กุ๊บกิ๊บ

                เป่าเปา

                 

                                เป็นใครก็อดเก็บภาพความประทับใจนี้ไม่อยู่ เมื่อผู้หญิงอย่างเราได้ปั๊มนมเก็บไว้ให้ลูกได้สำเร็จ  ตื่นตันและปิติแค่ไหนนั้นมาดูกันว่าคุณแม่กุ๊บกิ๊บเขียนแคปชั่นไว้อย่างไร

                เป่าเปา

                 

                “First Time  ปั๊มนมครั้งแรกให้ลูกตื่นเต้นมาก!!!

                ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าจะกลายเป็นแม่ลูกอ่อนที่มีคนติดตามมากที่สุดขณะนี้  ยอดไลค์ต่อรูปไม่ต่ำกว่า 100,000  ขอแถมด้วยภาพความน่ารักของน้องเป่าเปา  ลูกสาวสุดน่ารักที่ถูกจับแต่งตัวให้จี๊ดเหมือนคุณแม่ไม่มีผิด  แฟชั่นผ้าห่อตัว ไปจนถึงชุดเด็กอ่อน  น่ารักเบาๆ สไตล์ครอบครัวสายฮา

                ggubgibb (4)

                ไปหาหมอครบหนึ่งสัปดาห์
                ไปหาหมอครบหนึ่งสัปดาห์
                คุณแม่กุ๊บกิ๊บกับชุดให้นมสุดชิค
                คุณแม่กุ๊บกิ๊บกับชุดให้นมสุดชิค
                ถ่ายคู่กับพี่หมีตัวใหญ่
                ถ่ายคู่กับพี่หมีตัวใหญ่
                ผ้าห่อตัวการ์ตูนแสนน่ารัก
                ผ้าห่อตัวการ์ตูนแสนน่ารัก
                ชุดโบว์สายแบ๊ว
                ชุดโบว์สายแบ๊ว
                คาดโบว์เล็กๆ นิดนึงค่ะคุณแม่
                คาดโบว์เล็กๆ นิดนึงค่ะคุณแม่
                ชุดธรรมดาหนูก็มีนะคะ
                ชุดธรรมดาหนูก็มีนะคะ

                ภาพจาก IG : gggubgib36

                banner300x250-1

                Save

                  ป้องกันอาชญากรรมแก่เด็ก ไม่โพสต์รูปลูกลงโซเชียล

                  สิ่งที่ไม่ควรโพสต์ลงโซเชียล
                  อย่าโพสต์รูปลูกลงโซเชียล
                  ถ้าไม่อยากถูกพวกโรคจิต Save
                  รูปไปจิ้น

                  เมื่อวันที่ 30 มิ.ย. ที่ผ่านมา คุณแม่ท่านหนึ่งได้เข้าแจ้งความกับตำรวจแล้ว  เนื่องจากมีญาติๆ พบเห็นว่ามีเฟซบุ๊กของชายคนหนึ่งนำภาพลูกสาวของคุณแม่ ไปมโนว่าเป็นหลานของตัวเอง  ซึ่งเป็นรูปเก่าๆ ของลูกที่คุณแม่โพสต์ไว้หลายปีแล้ว  ชายดังกล่าวนำมาเล่นเรื่องเป็นตุเป็นตะว่าไปรับที่โรงเรียน  ทั้งๆ ที่ไม่รู้จักกันมาก่อน

                  สิ่งที่ไม่ควรโพสต์ลงโซเชียล

                  คุณแม่แสดงความกังวลและต้องการออกมาเตือนคุณแม่ทุกท่านให้ระวังผู้ไม่หวังดีนำรูปลูกของตนเองไปใช้โดยไม่ทราบเจตนา  ซึ่งในโพสต์ของชายดังกล่าวนั้นก็มีคนเชื่อและชื่นชมความน่ารักของเด็ก ทั้งๆ ที่ไม่มีความเกี่ยวข้องทางเครือญาติกันเลย  คุณแม่จึงร้อนใจเข้าแจ้งความก่อนจะเกิดเหตุไม่ดีขึ้นอีก

                   

                  ขโมยรูป2

                  ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้อาจไม่ใช่ครั้งแรกในบ้านเรา  แต่เมื่อถูกแชร์มากทำให้ถูกพูดถึงและเป็นประเด็นทางสังคมว่าควรช่วยกันออกมาปกป้องสิทธิของเด็ก  เพราะเด็กเองก็เลือกไม่ได้ว่าอยากจะเผยแพร่รูปของตัวเองหรือไม่  และอนาคตหากลูกย้อนกลับมาดูภาพ จะเหมาะสมหรือไม่?

                  yahoo

                  ตัวอย่างประเทศเพื่อนบ้านที่เริ่มออกมาพูดถึงสิทธิของเด็ก  และความปลอดภัยทางโซเชียลคือมาเลเซีย โดย กระทรวงการพัฒนาสังคม สตรี และความมั่นคงของประเทศมาเลเซีย ได้ยกตัวอย่างจากต่างประเทศมีการรณรงค์เรื่องการโพสต์รูปเด็กผ่านโซเชียลมีเดีย อย่างจริงจัง เพราะ รูปเด็กน่ารัก อาจจะกลายเป็นเป้าของพวกชอบมีเพศสัมพันธ์กับเด็ก และอาจจะถูกสูบรูปไปโพสต์ไว้ในกลุ่มเว็บไซต์ของคนกลุ่มนี้  ซึ่งเมื่อภาพถูกเผยแพร่ไปโดยง่ายแล้วก็ยากที่จะสืบหาที่มาว่ามาจากไหน  ตัวอย่าง สหรัฐอเมริกาที่มีกฏห้ามเด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี ไม่ให้มีบัญชีผู้ใช้โซเชียลมีเดีย ทั้งอินสตาแกรม  เฟซบุ๊ก และอื่นๆ

                  อ่านวิธีป้องกันก่อนโพสต์รูปลงโซเชียลได้ที่หน้า 2

                    รีไฟแนนซ์

                    รีไฟแนนซ์ คือ อะไร

                    หลายครอบครัวกำลังมีปัญหาเรื่องดอกเบี้ยส่งบ้าน  อยากจะปิดให้หมดไวๆ เพื่อนำเงินมาใช้จ่ายส่วนอื่น  ซึ่งวันนี้เราขอแนะนำวิธีการลดดอกเบี้ยด้วยการ “รีไฟแนนซ์”  ซึ่งมีหลักการอย่างไรบ้างนั้น  เรามาศึกษาไปพร้อมๆ กันค่ะ

                     

                    การรีไฟแนนซ์คืออะไร?

                    การรีไฟแนนซ์ คือการที่เรามีสัญญาเงินกู้อยู่จำนวนหนึ่ง และต้องการที่จะเคลียร์หนี้ในส่วนนี้ เนื่องจากได้รับผลประโยชน์ หรือข้อเสนอที่ดีกว่าจากจากเงินกู้ก้อนใหม่ เช่น ดอกเบี้ยน้อยกว่าในวงเงินที่มากขึ้น จึงนำเงินที่ได้จากเงินกู้ก้อนใหม่ (ที่มีข้อเสนอที่ดีกว่า) มาเคลียร์หนี้ก้อนเก่านั่นเอง  เพื่อรับผลประโยชน์ หรือสัญญาเงินกู้ฉบับใหม่ ในธนาคารหรือสถาบันการเงินเจ้าใหม่ แต่ ก็ต้องวิเคราะห์ให้ดีๆ  ว่าส่วนต่างค่าประหยัด หรือดอกเบี้ยที่ลดลงจากการรีไฟแนนซ์ กับค่าใช้จ่ายที่ต้องใช้ในการรีไฟแนนซ์นั้น คุ้มค่ากันหรือไม่

                     

                    ค่าใช้จ่ายสำหรับการรีไฟแนนซ์

                    มีด้วยกัน 6 ส่วน ได้แก่

                    1. ค่าปรับการคืนเงินกู้ก่อน ซึ่งจะมีประมาณ 0 – 2% ของยอดหนี้ที่รีไฟแนนซ์ โดยจะจ่ายให้ผู้ให้กู้เจ้าเดิม หากรีไฟแนนซ์ทั้งก้อนก่อนครบกำหนด 3 ปี
                    2. ค่าจัดการสินเชื่อ ประมาณ 0 – 1% ของวงเงินกู้ใหม่ โดยจ่ายให้กับผู้ให้กู้ใหม่
                    3. ค่าธรรมเนียมสำหรับการจำนอง ประมาณ 10% ของราคาประเมินโดยจะไม่เกิน 2 แสนบาท จ่ายให้กับกรมที่ดิน และไม่จำเป็นต้องจ่ายหากรีไฟแนนซ์กับเจ้าเดิม
                    4. ค่าประเมินราคาหลักประกัน 1,500 บาท – 0.25% ของราคาประเมิน จ่ายให้กับผู้กู้ใหม่ และอาจจะไม่จำเป็นต้องจ่ายหากรีไฟแนนซ์กับที่เดิม
                    5. ค่าทำประกันอัคคีภัย 2,000 บาทสำหรับบ้านมูลค่า 1 ล้านบาท โดยจ่ายให้กับผู้กู้ใหม่
                    6. ค่าอากรแสตมป์ ที่จะต้องจ่ายให้กับผู้ให้กู้ใหม่ เป็นจำนวน 0.05% ของวงเงินกู้ใหม่

                    การเงิน

                    ข้อดีของการทำรีไฟแนนซ์

                    1. จากอัตราดอกเบี้ยที่ลดลง จะทำให้ได้เงินส่วนต่าง ทำให้มีเงินเหลือสำหรับใช้จ่ายๆ ส่วนอื่นๆ ซึ่งจะเป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่กำลังมีแผนทำธุรกิจ เพราะจะสามารถเพิ่มทุนในการหมุนเวียนในธุรกิจได้
                    2. ในบางกรณีอาจจะทำให้ได้วงเงินกู้ที่มากขึ้นกว่ายอดค้างเดิม
                    3. อัตราดอกเบี้ยเจ้าใหม่ที่ถูกกว่า ซึ่งจะทำให้สามารถผ่อนชำระดอกเบี้ยได้ถูกลงกว่าเดิม
                    4. เป็นการลดภาระหนี้ของ โดยจะแบ่งเบาภาระให้จำนวนเงินที่ต้องผ่อนในแต่ละเดือนลดลงนั่นเอง

                     

                    ข้อเสียของการทำรีไฟแนนซ์

                    1. ค่อนข้างยุ่งยากในเรื่องของการเตรียมเอกสาร
                    2. ทำให้ระยะเวลาการผ่อนชำระนานขึ้น
                    3. เสียค่าจัดรีไฟแนนซ์ใหม่ อาจจะมีการเสียเวลา เสียค่าใช้จ่ายจิปาถะอีกด้วย

                     

                     

                    ที่มา : เพจ ครอบครัวการเงิน  (https://www.facebook.com/KrobKruaKarnNgern)

                    ภาพ : ShutterStock

                      ลูกฟันผุ

                      ลูกฟันผุ เรื่องไม่เล็ก โทษเยอะเกินคาดคิด!

                      เมื่อลูกฟันผุจะส่งผลเสียหลายประการ แถมยังลดทอนความมั่นใจของลูกน้อยได้อีกต่างหาก มาดูแลฟันลูกกันดีกว่าค่ะ ทำได้ตั้งแต่ซี่แรกเลยนะ!

                      โรคฟันผุ เป็นโรคที่เกิดจากปัจจัยหลายอย่างร่วมกันได้แก่  ลักษณะของฟัน น้ำลาย อาหาร (โดยเฉพาะอาหารที่มีรสหวานหรือคาร์โบไฮเดรต เช่น น้ำตาลแป้ง  ลูกอม  ขนมหวาน  น้ำอัดลม  รวมถึงน้ำผลไม้ชนิดต่างๆ) คราบจุลินทรีย์ พันธุกรรม และพฤติกรรมการดูแลสุขอนามัยในช่องปาก  คุณพ่อคุณแม่จะบอกให้ลูกระมัดระวังการเลือกกินอาหารหรือแปรงฟันให้สะอาดเอี่ยม  เขาก็ยังไม่สามารถทำได้ในทันที  จึงเป็นหน้าที่ของคุณพ่อคุณแม่ที่ต้องดูแลฟันของลูกน้อยให้แข็งแรง เริ่มตั้งแต่วันแรกที่เบบี๋มีฟันซี่แรก  คุณพ่อคุณแม่ก็แปรงฟันด้วยยาสีฟันผสมฟลูออไรด์ให้เขาได้แล้ว! ผศ. ทพญ. ดร.เข็มทอง มิตรกูล ภาควิชาทันตกรรมเด็ก  คณะทันตแพทยศาสตร์  มหาวิทยาลัยมหิดล จึงมีเคล็ดวิธีการดูแลฟันของลูกน้อยแต่ละช่วงวัยมาฝากคุณพ่อคุณแม่ทุกคนค่ะ

                      โทษของฟันผุมีเยอะมาก!

                      โรคฟันผุในเด็กมีรูปแบบการทำลายล้างเนื้อฟันที่รุนแรง  โดยในช่วงแรกรอยผุจะมีสีน้ำตาลหรือสีดำรอบคอฟัน  แต่หากปล่อยให้ลุกลามตัวฟันจะถูกทำลายจนเหลือแต่ตอของรากฟันเท่านั้น  ซึ่งโรคฟันผุไม่เพียงทำให้ลูกน้อยปวดฟัน  ฟันไม่สวย  หรือมีกลิ่นปากเท่านั้น  แต่ยังส่งผลต่อพัฒนาการและชีวิตประจำวันของลูกน้อยมากกว่าที่คิด

                      • การเจริญเติบโตของร่างกาย “ช้ากว่าวัย”

                      ความเจ็บปวดจากโรคฟันผุมักส่งผลให้เด็กรับประทานอาหารได้ไม่เต็มที่  ส่งผลให้เด็กขาดสารอาหาร  ร่างกายไม่แข็งแรง  หรือน้ำหนักตัวน้อย  นอกจากนี้อาการปวดฟันอาจทำให้เด็กน้อยนอนหลับได้ไม่เต็มอิ่ม  ทำให้การหลั่งฮอร์โมนที่ควบคุมการเจริญเติบโตของร่างกาย (Growth Hormone)  ซึ่งจะหลั่งเฉพาะช่วงที่ลูกน้อยนอนหลับพักผ่อน  หลั่งได้ปริมาณลดลง  ร่างกายของลูกจึงเจริญเติบโตช้ากว่าเด็กวัยเดียวกัน

                      banner300x250-1

                      • ทักษะการสื่อสารและสังคม “สะดุด”

                      โรคฟันผุมักเป็นสาเหตุให้เด็กสูญเสียความมั่นใจในการพูด  ทำให้เขาพลาดโอกาสในการฝึกฝนทักษะการสื่อสารและการเข้าสังคมกับเพื่อนอย่างน่าเสียดาย  ปัญหาดังกล่าวอาจบ่มเพาะจนทำให้ลูกน้อยเติบโตเป็นคนที่ไม่มีความมั่นใจหรือมีปัญหาด้านบุคลิกภาพได้

                      • “เชื้อลุกลาม” จากฟันแท้สู่ฟันน้ำนม

                      ในเด็กที่มีฟันน้ำนมผุมีความเสี่ยงทำให้ฟันแท้ผุตามไปด้วยสูงขึ้น  เนื่องจากฟันที่ไม่กำจัดรอยผุให้หมดไป  จะทำให้ช่องปากสูญเสียสมดุล  เชื้อที่อยู่ในฟันน้ำนมจึงสามารถย้ายไปอยู่ที่ฟันแท้ได้ โดยเฉพาะในช่วงที่เด็กมีฟันชุดผสมคือมีทั้งฟันแท้และฟันน้ำนมปนกัน (ช่วงอายุ 7-12 ปี) หากปล่อยให้ฟันผุโดยไม่แก้ไข  ยิ่งมีความเสี่ยงมากกว่าปกติ

                      • เสี่ยง “ติดเชื้อ” ในกระแสเลือด

                      หากฟันผุถูกทิ้งไว้นานวัน  เชื้อโรคอาจลุกลามเข้าไปบริเวณโพรงอากาศหรือช่องว่างที่มีอยู่ในกะโหลกศีรษะซึ่งในศีรษะและใบหน้ามีช่องที่เป็นโพรงอากาศและช่องว่างหลายช่อง  อาจทำให้เกิดการติดเชื้อ และหากไม่ได้รับการรักษาทันท่วงที เชื้อโรคอาจลุกลามไปในกระแสเลือดได้

                      อ่านต่อ “วิธีดูแลฟันลูกเล็กวัยแรกเกิดถึง 3 ขวบ” คลิกหน้า 2

                        ติดทีวี

                        “ทีวี” แหล่งรวมความรุนแรง..เลี้ยงลูกอย่างไรไม่ให้ “ติดทีวี”

                        ทีวีเป็นสื่อหน้าจอชนิดแรกที่เด็กๆ จะเข้าถึง ส่วนใหญ่แล้วแทบทุกบ้านจะเปิดทีวีไว้เวลาเลี้ยงลูกเลี้ยงเด็ก คุณแม่ คุณยาย หรือพี่เลี้ยงก็มักจะดูทีวีหรือฟังเสียงก็ยังดีควบคู่กันไปด้วย

                        พอเด็กอายุได้สามสี่เดือน เริ่มจ้องหน้า จำหน้าคนได้ เด็กก็จะเข้าถึงทีวีที่เปิดคาไว้ จ้องมองแสงสีที่แวบไวแวบมา  ฟังเสียงที่ดังอยู่ตลอดเวลา ภาพไหนซ้ำๆ เสียงไหนซ้ำๆ เช่นโฆษณาที่ซ้ำๆ กัน เด็กก็มักจะจำได้ หยุดนิ่งเมื่อภาพนั้นโผล่มาหรือเสียงนั้นดังเข้ามาผู้ใหญ่ก็จะบอกว่าลูกชอบดูโฆษณาเขาเก่งมากเลยจำโฆษณานั้นโน้นได้

                        ความจริงแล้วทีวีก็มีประโยชน์ เปิดโลกกว้างให้เด็กเรียนรู้ แต่เผอิญโทษก็มีมากและเกี่ยวข้องกับการตลาดของผู้เกี่ยวข้องกับทีวี ทำให้โทษกลับกลายเป็นสิ่งที่น่าเป็นห่วงมากกว่า

                        โทษจากทีวีมาจากไหน

                        โทษจากทีวีมาจากรายการที่ส่อความรุนแรงหลายๆ รูปแบบที่มีมากมาย เผอิญรายการเหล่านี้ตอบสนองต่อจิตใต้สำนึกลึกๆ ของมนุษย์ทำให้รายการเหล่านี้เป็นที่นิยมโดยง่าย สปอนเซอร์ก็มากมาย คนชอบดู ดูแล้วก็ติด ติดแล้วก็ใช้เวลากับมันมากๆ จนไม่กิน ไม่นอน ไม่คุยกัน เด็กก็เสียสุขภาพ อ้วน เสียสายตา กล้ามเนื้อปวดล้า เสียพัฒนาการด้านอื่นๆ เพราะเสียเวลา เสียโอกาสการเรียนรู้ ครอบครัวก็ขาดการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน แถมยังนำไปสู่การติดสื่อหน้าจอประเภทอื่นๆ อีกด้วย

                        เรตติ้ง…เตือนภัยได้จริงหรือ

                        หลายปีแล้วที่บ้านเรามีการแจ้งเรตติ้ง (rating) ก่อนเข้ารายการทีวี (เริ่มใช้ตั้งแต่ 1 ธ.ค. 2549) คงน่าสนใจไม่น้อยหากมีใครจะทำวิจัยกันว่า ได้ผลหรือไม่อย่างไร แต่สิ่งที่ทุกคนรู้ๆ กันอยู่คือ ผู้ใหญ่หลายๆ ท่านยังคงปล่อยให้เด็กๆ นั่งหน้าสลอน ดูทั้งรายการ น 13+ (เหมาะกับเด็กอายุ 13 ปีขึ้นไป)  น 18+ (เหมาะกับเด็กอายุ 18 ปีขึ้นไป)  หรือแม้แต่ รายการ ฉ (เฉพาะผู้ใหญ่ดู ไม่เหมาะกับเด็กและเยาวชน) ซึ่งก็คงต้องทำการประชาสัมพันธ์กันให้หนักหน่วงกว่านี้ละครับ เพื่อให้ผู้ใหญ่ และจริงจังกับ “เรตติ้ง..เตือนภัย” ที่ทางการอุตส่าห์ทำกันออกมาด้วยความเป็นห่วงใยเด็กๆ

                        banner300x250-1

                        อ่านต่อ “แนวทางทำให้ลูกไม่ติดทีวี” คลิกหน้า 2

                          ไข้เลือดออก

                          ปลายฝนต้นหนาว ไข้เลือด ออกกลับมาอีกแล้ว พ่อแม่เฝ้าระวังด่วน!

                          สถานการณ์ ไข้เลือดออก โดยสำนักโรคติดต่อนำโดยแมลง อัพเดตเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2559 ที่ผ่านมา พบว่ามีแนวโน้มของผู้ป่วยเพิ่มมากขึ้น ถึงแม้ว่าจะน้อยกว่าเมื่อปีที่แล้วแต่ก็พบว่ามีผู้ป่วยแล้วกว่า 21,414 คนนับตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา และมีผู้เสียชีวิตแล้วกว่า 17 คน

                          Continue reading “ปลายฝนต้นหนาว ไข้เลือด ออกกลับมาอีกแล้ว พ่อแม่เฝ้าระวังด่วน!”

                            ความสำคัญและข้อดีของการเลี้ยงลูกโดย “คุณพ่อ”

                            เมื่อพูดถึงการเลี้ยงลูกใครๆ ก็นึกถึงคนเป็นแม่ แต่วันนี้ Amarin Baby & Kids มีข้อดีของคุณพ่อในการช่วยดูแลเจ้าตัวน้อยมาฝาก แล้วคุณแม่จะต้องประหลาดใจว่าในมุมการเลี้ยงลูกของคุณพ่อก็มีข้อดีมากมายแฝงอยู่ เพราะคุณพ่อก็มีความสำคัญกับเจ้าตัวน้อยเหมือนกัน

                            ความสำคัญของคุณพ่อกับลูกน้อยวัยขวบแรก

                            Advantages of the for baby care dad

                            พ่อ…คือ ผู้ช่วยผู้สนับสนุนคนสำคัญ

                            โดยทั่วไปแล้วในสังคมไทย คุณพ่อมักถูกคาดหวังให้เป็นเสาหลักของครอบครัว ด้วยบทบาทเพศชาย ด้วยความแข็งแรง ที่สามารถปกป้องคุ้มครองให้ครอบครัวอยู่เย็นเป็นสุข เรื่องของอารมณ์ คุณพ่อก็ถูกคาดหวังว่าจะใช้เหตุผลมากกว่า รวมทั้งเป็นเสาหลักเวลาที่มีวิกฤติต่างๆ เกิดขึ้นในครอบครัว … นอกจากนั้น คุณพ่อยังเป็นกำลังสำคัญในการช่วยแบ่งเบาภาระ ผลัดเปลี่ยนบทบาท หน้าที่กับคุณแม่ได้เช่น ในช่วงหลังคลอด 3-4 เดือน คุณแม่ที่ให้ลูกกินนมแม่จะต้องอยู่กับลูกตลอด 24 ชม. ซึ่งหากคุณพ่อเข้ามาช่วยดูแล ให้คุณแม่ได้พักผ่อน นอนหลับ ให้มีเวลาได้ดูแลตัวเองบ้าง คุณแม่ก็จะมีกำลังกาย กำลังใจ เกิดความผ่อนคลาย ไม่หงุดหงิดง่าย ซึ่งจะเป็นผลดีต่อทั้งตัวคุณแม่และลูกน้อยค่ะ

                            banner300x250

                            พ่อ…คือ ต้นแบบพัฒนาการลูก

                            สิ่งที่เด็กวัยขวบแรกต้องการ คือมีผู้ใหญ่สักคนดูแลอย่างใกล้ชิด ให้ความรัก เรียกว่า mother figure เพราะว่าส่วนใหญ่จะเป็นแม่ แต่ในขวบปีแรก เด็กยังแยกไม่ได้การดูแลจะต้องมาจากเพศไหน ถ้าคุณแม่เป็น single mom แล้วตอบสนองลูกได้ดีทั้งหมด ก็ไม่มีปัญหาค่ะ แต่พอเริ่มที่จะมีเรื่องบทบาทของเพศ ประมาณสัก 2-3 ขวบ แล้วไม่มี model เช่น เด็กผู้ชายที่แม่เลี้ยงดูมาตลอด ไม่มีลุง ไม่มีลูกพี่ลูกน้องเพศเดียวกัน ให้ได้เลียนรู้การแสดงบทบาทของการเป็นเพศชาย ก็อาจเกิดปัญหาได้ แต่ก็ไม่เสมอไปค่ะ

                            Advantages of the for baby care dad

                            • คุณพ่อกับลูกสาว คุณพ่อเป็นผู้ชายคนแรกที่ลูกได้สัมผัส และมีบทบาทสำคัญกับชีวิตเพราะเป็นตัวแทนเพศชาย เป็นต้นแบบให้เด็กมี concept ของเพศชาย และเรียนรู้ความแตกต่างของเพศ รวมทั้งวิธีการที่พ่อปฏิบัติต่อแม่
                              • ถ้าพ่อใช้ความรุนแรง ลูกก็ได้เห็นตัวอย่างและมีภาพลักษณ์ของเพศชายในทางไม่ดีว่าชอบใช้กำลังใช้ความก้าวร้าวในการจัดการปัญหา ในอนาคตหากลูกสาวมองเพศชาย หรือจะหาคู่ครอง เขาก็จะเอาพ่อเป็นมาตรฐานในการเทียบ ถ้าคุณพ่อแสดงบทบาทได้ดี มีความอบอุ่น ให้เกียติผู้หญิง มีน้ำใจช่วยเหลือคุณแม่ มีความอ่อนโยน ลูกสาวก็จะมีทัศนคติที่ดีต่อเพศชาย เวลาที่จะหาคู่ครองก็จะพยายามเลือกเฟ้นคนที่คล้ายกับพ่อซึ่งเป็นสิ่งที่ดี
                              • แต่ถ้าคุณพ่อมีความก้าวร้าว ลูกก็จะมีทัศนคติที่ไม่ดีต่อเพศชายและอาจมองว่าการมีครอบครัวเป็นสิ่งไม่ดี และอาจทำให้ลูกหลีกเลี่ยงการมีครอบครัว หรือพยายามมองหาผู้ชายที่มีลักษณะแตกต่างจากพ่อมาเป็นคู้ครอง เป็นต้น

                            Advantages of the for baby care dad

                            • คุณพ่อกับลูกชาย ก็มีความสำคัญมากไม่แพ้กันค่ะ เพราะเด็กผู้ชายจะเรียนรู้การแสดงออกและบทบาทของเพศชาย ทั้งเรื่องอารมณ์ ความรู้สึก การกระทำ ความคิดต่างๆ เช่น เวลาพ่อโกรธ เศร้า ผิดหวัง กลัว ฯลฯ พ่อแสดงออกอย่างไร รวมทั้งเรื่องการแสดงออกของการวางตัวต่อเพศตรงข้าม ท่าทีที่พ่อแสดงออกกับแม่ การที่เด็กผู้ชายจะเติบโตขึ้นมาเป็นแบบไหน ส่วนใหญ่จะมี model มาจากพ่อของเขาค่ะ
                              • ถ้าพ่อใช้ความรุนแรง เช่น ในการลงโทษ หรือในการดูแลลูกชาย เพราะเห็นว่าเป็นผู้ชาย เด็กก็จะซึมซับความรุนแรง คือ ยอมรับว่าวิธีการนี้คือวิธีการจัดการปัญหา เวลาที่ลูกมีปัญหาก็จะใช้วิธีนี้ต่อไป เมื่อเขาเติบโตขึ้นก็จะซึมซับความคิดที่ว่า ผู้ชายที่ตัวโตกว่า มีพละกำลังมากกว่า สามารถที่จะใช้ความรุนแรงจัดการกับคนที่ด้อยกว่า ตัวเล็กกว่า ซึ่งก็เป็นต้นแบบที่ไม่ดีค่ะ
                              • หากคุณพ่อใส่ใจช่วยเหลือคุณแม่ดูแลลูก สร้างความรักความอบอุ่นให้ลูกและกระตุ้นพัฒนาการผ่านทางประสาทสัมผัสทั้ง 5 รวมทั้งตอบสนองเวลาที่ลูกต้องการ เพียงเท่านี้ลูกน้อยก็จะเติบโตมีพัฒนาการดีสมวัยไร้ปัญหาแล้วละค่ะ

                            อ่านต่อ >> ความสำคัญของคุณพ่อกับลูกน้อยวัยขวบแรก

                            และข้อดีของคุณพ่อในการช่วยดูแลเจ้าตัวน้อย” คลิกหน้า 2

                              12 เทคนิค สร้างลูกดี มีวินัย

                                          ระหว่างวันคุณแม่อาจจะทำงานเยอะ ทั้งงานบ้าน  งานประจำ  จนลืมไปว่าลูกก็ต้องได้รับการดูแล เอาใจใส่   และเด็ก Gen  นี้ก็ต้องเรียนรู้สิ่งที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีเพื่อปรับตัวให้เข้ากับสื่อการเรียนการสอน และทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัว  มาดูกันว่าจะต้องทำอย่างไรเพื่อให้ได้ลูกดีมีวินัยในยุคนี้กันบ้าง

                              ลูกดีมีวินัย ด้วย 12 เทคนิคทันยุคไอที

                              ลูกดีมีวินัย

                              1  ทำให้ลูกเข้านอนตรงเวลาได้ด้วยตัวของเขาเอง

                              การเข้านอนเป็นวินัยแรกที่เด็กควรจะหัดเรียนรู้ด้วยตัวเอง  วินัยนี้จะติดตัวเขาไปจนเป็นนิสัยที่ส่งเสริมสุขภาพและการจัดการตารางเวลาของชีวิต  หากคุณปล่อยตามสบายให้ลูกนอนเมื่อไหร่ก็ได้  เล่นเมื่อไหร่ก็ได้  อาจจะต้องหนักใจเมื่อคุณต้องพักผ่อนแต่ลูกยังทำเสียงดัง  เล่นอยู่ทั้งคืน  ไม่ยากเลยหากจะสอนลูกให้มีวินัยในในการเข้านอน  โดยตอนกลางวันก็ปล่อยให้เขาได้เล่นอย่างเต็มที่  และบอกให้เข้าใจว่าช่วงเวลาใดคุณต้องไปทำงาน  ช่วงเวลาใดเป็นช่วงเวลาครอบครัว เรามาอ่านนิทานเล่นสนุกกันได้  แต่หากต้องเข้านอนแล้วต้องทราบความหมายว่า “หมดเวลาสนุกแล้วล่ะ”

                              ลูกดีมีวินัย

                              2 อย่าให้ลูกกินขนมหวานทุกวัน

                              ขนมหวานนอกจากจะมีโทษเรื่องปริมาณน้ำตาลที่มากเกินไปจนทำให้เด็กไม่อยากกินอาหารหลักแล้ว  ยังเป็นสิ่งพิเศษที่เด็กรู้สึกว่าเป็นของขวัญ  ของรางวัล  ซึ่งเมื่อไหร่ที่เด็กร้องขอแล้วคุณมอบให้เขาทันทีแล้วล่ะก็ เขาจะเรียนรู้ว่าหากอยากได้จะต้องใช้วิธีอะไรมาอ้อนคุณพ่อคุณแม่บ้าง  จะทำให้คุณเสียการควบคุมเมื่อต้องการกำหนดให้เขาอยู่ในวินัย และจะตามมาด้วยโรคอ้วน ฟันผุ   มีขนมทานเล่นที่ทำมาจากธัญพืชมากมายอาจเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า หรือหั่นผลไม้เก็บไว้ในตู้เย็น ให้ลูกรู้สึกว่าหยิบง่ายแทนการกินขนมจะดีกว่า

                              ลูกดีมีวินัย

                              3 ให้ลูกได้มีหน้าที่รับผิดชอบบางเรื่องของตัวเอง

                                          เริ่มสอนให้เขาได้มีหน้าที่และความรับผิดชอบของตัวเองได้ตั้งแต่เขาเริ่มรู้ความ  โดยเริ่มจากกิจกรรมง่ายๆ รอบๆ ตัว เช่น เก็บของเล่น  เมื่อโตขึ้นมาหน่อยอาจจะรดน้ำต้นไม้  ให้อาหารสัตว์เลี้ยง หรือช่วยนวดคุณยายคุณตา  ซึ่งการสอนให้เขารู้จักหน้าที่ของตัวเองจะส่งเสริมให้เด็กมีความมั่นใจในตัวเอง  รู้จักคุณค่าของตัวเอง และเป็นจุดเริ่มต้นที่จะปลูกฝังเรื่องที่ซับซ้อนกว่านี้ได้

                              ลูกดีมีวินัย

                              4 อย่าสร้างบรรยากาศในบ้านให้ตึงเครียดจนเกินไป

                              หากคุณวางแผนกำหนดหน้าที่ กำหนดทุกอย่างไว้ทั้งหมด เด็กจะรู้สึกเครียดและจะกลายเป็นเด็กที่มีความสับสนในตัวเองในที่สุดเพราะเขาจะไม่ทราบว่าสิ่งใดที่เขาสามารถปฏิบัติได้บ้าง  และจะกลายเป็นเด็กที่ไม่มีจุดมุ่งหมายในชีวิต  ซึ่งนักจิตวิทยาแนะนำว่าควรให้มีพื้นที่สำหรับเขาบ้างในบ้าน  ให้เขาได้จัดการพื้นที่ของเขาเอง โดยที่พ่อแม่จะไม่เข้าไปยุ่งจนกว่ามันจะเป็นเรื่องอันตราย เช่น  ลูกเอาของไปวางรกๆ เกิดไป หรือ เป็นห้องปิดที่พี่กับน้องอาจเล่นกันแล้วเกิดอุบัติเหตุ

                               

                              คลิกอ่านเรื่อง >> 12 เทคนิค สร้างลูกดี มีวินัย ในหน้า 2

                               

                                การเงินในครอบครัว…เรื่องที่ต้องสอน

                                Q ช่วงนี้คุณแม่ต้องบริหารจัดการเรื่องการเงินในครอบครัวให้ดี เพราะนอกจากจะมีลูกน้อยที่ต้องเลี้ยง 2 คน แล้วยังมีคุณปู่คุณย่าคุณตาคุณยายอีก จึงศึกษาหาความรู้ทั้งจากในเว็บไซต์และตามแผงหนังสือ ก็จะมีคนพูดถึงเรื่องเงินๆ ทองๆ การหารายได้ รวมถึง Passive income กันมากมาย   จึงอยากให้คุณหมอแนะนำหน่อยค่ะ

                                           

                                คุณแม่น่าจะกำลังถามถึงการปลูกฝังความรู้เรื่องการเงิน หรือ Financial Literacy ในลูก ซึ่งเป็นทักษะจำเป็นในการใช้ชีวิต แต่ถูกละเลย ไม่มีการสอนหรือฝึกฝนในเด็ก (หรือแม้แต่ในผู้ใหญ่) จนทำให้ผู้ใหญ่หลายคนเป็นหนี้ท่วมหัว ไม่มีเงินออม หารายได้ไม่พอกับรายจ่ายและหนี้สิน เพราะไม่มีความรู้ด้านการเงิน จนส่งผลต่อพฤติกรรมการใช้เงินที่ไม่เหมาะสม

                                หมอได้อ่านบทความจากเว็บไซต์ www.investopedia.com เห็นว่าน่าสนใจมาก เขาพูดถึงความรู้เรื่องการเงินว่า คือ ความสามารถในการใช้ความรู้ และมีทักษะบริหารจัดการใช้เงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตั้งแต่การทำบัญชีรายรับรายจ่ายประจำวัน ไปจนถึงการออมเงินเพื่อใช้จ่ายเมื่อเกษียณอายุ

                                คุณพ่อคุณแม่หลายคนไม่ได้พูดกับลูกเกี่ยวกับเรื่องการเงินในครอบครัว เด็กหลายคนที่คุณหมอเคยดูแล ไม่รู้แม้แต่ที่มาของเงิน แถมบ่อยครั้งที่เด็ก ๆ จะได้ยินความเชื่อผิดๆ จากคนอื่นนอกบ้าน เช่น คนรวยคือคนที่โชคดี ถูกหวย ถูกล็อตเตอรี่  แทนที่จะรู้ว่าคนมีเงินใช้ไม่ขาดแคลน คือ คนที่ทำงานหนัก รู้จักเก็บออมและใช้เงินอย่างมีประสิทธิภาพ

                                หากคุณพ่อคุณแม่ หรือผู้ใหญ่ต้องการสอนเด็กให้มีความรู้เรื่องเงิน ควรสอนเขาให้ครบวงจร ตั้งแต่ “การหาเงิน” “การใช้จ่ายเงิน” และ “การออมเงิน” โดยเริ่มสอนได้ตั้งแต่เขาเริ่มนับเหรียญเป็น หรือรับเงินทอน หมอมีแนวทางการสอนความรู้เรื่องเงิน Financial Literacy มาฝากกันค่ะ

                                 shutterstock_212514691

                                สอนลูกให้รู้จักความหมายของเงิน

                                เด็กอายุ 3 ขวบขึ้นไป เริ่มเข้าใจหลักการว่าเงินมีไว้สำหรับแลกเปลี่ยนสิ่งของ เพราะเขาสังเกตเห็นคุณพ่อคุณแม่เปิดกระเป๋าเพื่อหยิบเงิน เวลาซื้อของเล่น อาหาร หรือขนมเป็นต้น แต่เขายังไม่เข้าใจว่าเงินคืออะไร และมาอยู่ในกระเป๋าของคุณพ่อคุณแม่ได้อย่างไร ดังนั้นสำหรับเด็กในวัยนี้ พ่อแม่ควรสอนลูก 3 เรื่องสำคัญดังนี้

                                1. สอนให้ลูกเข้าใจถึงสาเหตุที่เราใช้เงินในการแลกเปลี่ยนสิ่งของ เพราะ
                                • เราไม่สามารถนำสิ่งต่างๆ ติดตัวเราไปได้ทุกที่ เราจึงต้องใช้เงินซื้อมา ถามเขาว่าเราสามารถนำอาหารและน้ำดื่มจำนวนมากใส่ไว้ในกระเป๋าเรา เวลาไปไหนมาไหน
                                • เป็นเรื่องยากที่เราจะเอาสิ่งที่มีไปแลกสิ่งที่เราต้องการ เช่น เราไม่สามารถเอาเสื้อผ้าที่ไม่ใส่แล้ว ไปแลกกับข้าวสาร 1 กิโลกรัม
                                • สิ่งของบางอย่างก็มีอายุจำกัด เช่น ผลไม้ที่เน่าเสีย หรือ อาหารที่บูด

                                ด้วยเหตุผลดังกล่าวข้างต้น จึงทำให้มนุษย์ต้องคิดหาของมีค่าอื่นมาใช้ในการแลกสิ่งของที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต เช่น ทอง หรือ เงิน

                                1. สอนให้รู้จักเงิน ทั้งในรูปแบบของเหรียญและธนบัตร
                                • สอนผ่านรูปทรง (เหรียญเป็นวงกลม ธนบัตรเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า) ขนาด (เล็ก-ใหญ่) และสี (ธนบัตร สีเขียว = 20 บาท สีแดง = 100 บาท เป็นต้น)
                                • นำเหรียญหลากหลายมูลค่ามาปนกัน แล้วให้ลูกแบ่งเหรียญที่มีลักษณะเหมือนกันให้อยู่ในกองเดียวกัน
                                • สอนให้รู้ว่าเหรียญแต่ละเหรียญเรียกว่าอะไร เช่น เหรียญ 1 บาท 5 บาท 10 บาท 25 สตางค์ และ 50 สตางค์ รวมถึงการสอนให้เข้าใจธนบัตรต่างๆ
                                • นำเหรียญ 1 บาท จำนวน 5 เหรียญ มากองรวมกัน เทียบกับเหรียญ 5 บาท (เริ่มสอนได้เมื่อลูกเริ่มเข้าใจจำนวน)
                                1. สอนให้เข้าใจมูลค่าของสิ่งของและค่าของเงิน
                                • เอาขนมที่มูลค่าต่างกัน เช่น ชิ้นเล็ก ราคา 5 บาท ชิ้นใหญ่ 10 บาท แล้วฝึกให้ลูกหยิบเงินให้ตรงกับราคา
                                • เมื่อลูกโตขึ้น อาจฝึกให้เขาหยิบเงินให้แม่ 27 บาท โดยให้เหรียญและธนบัตรแก่เขา
                                • เมื่อเขาบวกลบเลขได้ ให้เขาหยิบธนบัตร 20 บาท ถามเขาว่าถ้าซื้อของ 15 บาท แม่ค้าต้องทอนกี่บาท หรือถ้าเขามีเงิน 5 บาท แม่ให้เพิ่ม 20 บาท เขาจะมีเงินกี่บาท

                                 

                                เด็กที่เติบใหญ่เป็นผู้ใหญ่ที่มี Financial Literacy ก็เหมือนเด็กที่อ่านออกเขียนได้ เพราะเป็นความรู้และทักษะที่จำเป็นในการใช้ชีวิตเมื่อเขาเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่ต้องรับผิดชอบตนเอง ครอบครัวและสังคม คุณหมอหวังว่าคุณพ่อคุณแม่รุ่นใหม่จะช่วยปลูกฝัง ฝึกฝนทักษะนี้ให้ลูกผ่านประสบการณ์จริงในชีวิตประจำวันค่ะ (รวมถึงอาจฝึกฝนตัวเองไปด้วย)

                                 

                                Mom’s Tips

                                ยังมีเรื่องอะไรที่ต้องสอนให้ลูกรู้อีกบ้าง

                                • สอนลูกให้รู้จักการหาเงินหรือหารายได้
                                • สอนให้ลูกเข้าใจและแยกแยะได้ระหว่างสินค้าและบริการ
                                • สอนให้แยกแยะระหว่าง “ความจำเป็น” กับ “ความอยาก”
                                • สอนให้เลือกว่าจะใช้จ่ายหรือซื้ออะไร
                                • ฝึกให้ออมเงินเพื่อเป้าหมายระยะสั้น
                                • ฝึกให้ฝากเงินในธนาคาร

                                 

                                https://www.amarinbabyandkids.com/preschooler-kid/kid-age-7-12/kid-care/money-5/

                                อ้างอิง :  www.investopedia.com/university/teaching-financial-literacy-kids/

                                 

                                เรื่องโดย : พญ.นลินี  เชื้อวณิชชากร
                                ภาพ : ShutterStock

                                  การตั้งชื่อลูก

                                  การตั้งชื่อลูก คิดให้ดีก่อนส่งผลกระทบต่อจิตใจในอนาคต

                                  คุณพ่อ คุณแม่เคยกังวลกันไหมคะ ว่าจะตั้งชื่อลูกชาย หรือลูกสาวของเราอย่างไรดีให้เป็นมงคล ฟังดูไพเราะ หรือมีคนชมว่าชื่อนี้เพราะจังเลย การตั้งชื่อลูก เป็นสิ่งสำคัญ เพราะลูกน้อยของเราจะต้องใช้ชื่อนี้ไปตลอดชีวิต เป็นการบ่งบอกตัวตนที่แท้จริงของลูกน้อย

                                  การตั้งชื่อลูก คิดให้ดีก่อนส่งผลกระทบต่อจิตใจในอนาคต

                                  มีคุณพ่อท่านหนึ่งอยากตั้งชื่อลูกชายว่า “แสงนภา” เพราะชื่อมีความหมายคล้ายกับพ่อและแม่ แต่เมื่อบอกกับใครๆ ทุกคนต่างพากันหัวเราะ แล้วบอกว่าเป็นชื่อผู้หญิง คุณพ่อจึงเกิดความกังวลกลัวว่าลูกจะถูกโดนล้อในตอนโต

                                  การตั้งชื่อลูกให้ถูกกาลเทศะ ส่งผลต่อจิตใจ และพฤติกรรมของลูกน้อยอย่างไม่น่าเชื่อ การที่คุณพ่อ คุณแม่ตั้งชื่อลูกให้แปลกๆ อาจจะส่งผลให้ลูกน้อยเกิดปมด้อยขึ้นในอนาคตได้โดยที่ไม่รู้ตัว อาจกลายเป็นเด็กที่มีพฤติกรรมไม่ชอบเข้าสังคม เข้ากับกลุ่มเพื่อนไม่ได้ ไม่กล้าแสดงออก ทำให้เครียด ไม่มีสมาธิในการเรียน หรือบางครั้งอาจกลายเป็นโรคซึมเศร้า ลองคิดดูว่าเมื่อลูกเข้าสู่สังคมใหม่ๆ ต้องแนะนำตัวเองด้วยชื่อประหลาดๆ ที่คุณพ่อ คุณแม่ตั้งให้ ทุกคนคงขำ นำไปซุบซิบ เมื่อลูกเผชิญกับปัญหาเหล่านี้แล้วเขาจะกลายเป็นคนอย่างไร เพราะชื่อกลายเป็นเครื่องมือในการล้อเลียนลูกของเราในอนาคต

                                  การตั้งชื่อลูก

                                  ตั้งชื่อลูก อย่าให้ถูกล้อเลียน

                                  ลองคิดดูว่า เวลาที่มีคนเรียกชื่อเราผิด เขียนชื่อเราผิด เรายังตะขิดตะขวงใจ รู้สึกไม่พอใจเล็กๆ เพราะชื่อคือตัวตนของเรา เด็กๆ หลายคนอาจจะสามารถผ่านช่วงเวลาที่ถูกล้อเลียนชื่อมาได้ และไม่ส่งผลกระทบอะไรมากมายนัก แต่ถ้าหากกลายเป็นลูกของคุณพ่อ คุณแม่เองที่รับไม่ได้กับเรื่องแบบนี้ล่ะ ซึ่งก็มีหลายคนที่มีปัญหาจากการตั้งชื่อของพ่อแม่ ปัญหานั้นมันฝังอยู่ในใจของลูกของเราไปตลอดชีวิต

                                  การเริ่มต้นชีวิตที่ไม่ดี แม้เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย ก็อาจจะส่งผลให้เกิดปัญหาใหญ่ได้ในตอนโต เด็กบางคนแนะนำชื่อของตัวเองให้คนอื่นรู้จัก แต่เมื่อเขาเหล่านั้นได้ยินชื่อที่แปลกประหลาด จึงถามต่อว่าได้ชื่อนี้มายังไง เมื่อเด็กเจอกับเหตุการณ์แบบนี้ก็จะไม่กล้าบอกชื่อของตัวเองอีกเป็นครั้งที่ 2 กลายเป็นเด็กเงียบไปเลยทันที เมื่อเด็กต้องเจอกับเหตุการณ์แบบนี้ซ้ำๆ ก็กลายเป็นว่า ตัวเขาเองทำอะไรผิดลงไปหรือเปล่า? ทำไมถึงมีคนถามแต่ชื่อตัวเขาเองซ้ำๆ เกิดความรู้สึกไม่มั่นใจในตัวเอง เมื่อเจอคำถาม “อะไรนะ” บ่อยๆ เข้าก็จะรู้สึกว่าตัวเองพูดไม่ชัดรึเปล่า? ทำให้เกิดความอายในการบอกชื่อของตัวเอง

                                  ไม่อยากให้ลูกมีปม นอกจากคุณพ่อคุณแม่จะศึกษาหลักการตั้งชื่อลูกให้เป็นมงคล โดยไม่มีตัวอักษรที่เป็นกาลกิณีแล้ว ก็ควรคำนึงถึงความรู้สึกของลูกเมื่อต้องเข้าสังคมด้วย เพราะหากลูกถูกล้อเลียนก็จะเป็นปมฝังอยู่ในใจลูกไปตลอดชีวิต ซึ่งพ่อแม่ทุกคนคงไม่มีใครอยากทำร้ายลูกโดยไม่ตั้งใจแน่นอน

                                  ต้นเรื่อง: http://pantip.com/topic/

                                  อ่านเพิ่มเติม คลิก!!

                                  รวมชื่อลูกสาวลูกชายแบบยุคใหม่ เรียกง่ายทั้งไทยและอังกฤษ

                                  รวมชื่อเล่นยอดฮิตและเก๋ๆ แบบครบถ้วน ทั้งไทยและอังกฤษ กว่า 500 ชื่อ

                                  เทคนิคการฝึกสอนลูกวัยอนุบาลหัดเขียนชื่อตัวเอง

                                  เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                                   

                                    ลูกดูดนมแม่ไม่ได้

                                    ลูกดูดนมแม่ไม่ได้ ปัญหาใหญ่ของทารกป่วย/คลอดก่อนกำหนด

                                    สำหรับทารกที่ป่วย และคลอดก่อนกำหนด จะไม่แข็งแรงและมีแรงมากพอในการดูดนมแม่จากเต้า ทำให้ ลูกดูดนมแม่ไม่ได้ ยิ่งมีความจำเป็นอย่างมากในการได้รับน้ำนมที่เพียงพอ ดังนั้นการบีบนม จึงเป็นวิธีที่จำเป็นที่จะทำให้ลูกน้อยได้รับน้ำนมที่เพียงพอ

                                    Continue reading “ลูกดูดนมแม่ไม่ได้ ปัญหาใหญ่ของทารกป่วย/คลอดก่อนกำหนด”