ประโยชน์ ของ ยาสีฟัน

15 ประโยชน์ ของ ยาสีฟัน ที่ใช้ได้สารพัดอย่าง

Alternative Textaccount_circle
event
ประโยชน์ ของ ยาสีฟัน
ประโยชน์ ของ ยาสีฟัน

ประโยชน์ ของ ยาสีฟัน เป็นที่รู้กันดีว่าในกิจวัตรประจำวันหลังตื่นนอนตอนเช้า และก่อนเข้านอน เราทุกคนจะต้องแปรงฟัน ซึ่งฟันที่ขาวสะอาด และช่องปากที่หอมสดชื่น ก็เพราะว่ายาสีฟันที่ใช้แปรงฟันนั่นเองค่ะ ทีมงาน Amarin Baby & Kids มีประโยชน์ ของ ยาสีฟัน ที่ขอบอกว่าใช้งานได้สารพัดอย่างมากค่ะ

 

ประโยชน์ ของ ยาสีฟัน

หลายคนยังไม่รู้ว่าแท้จริงแล้ว ยาสีฟันไม่ได้มีดีแค่ดูแลความสะอาดของช่องปากและฟันเพียงอย่างเดียวเท่านั้น  แต่ยาสีฟันสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้อีกมากมาย ซึ่งยาสีฟันตามที่มีขายอยู่ในปัจจุบันนี้ มีให้เลือกใช้หลากหลายรสชาติ และต่างสรรพคุณ ใครชอบแบบไหนก็เลือกซื้อหามาใช้กันได้ตามสบาย ซึ่งบทนิยามของยาสีฟัน หมายถึงสิ่งที่ช่วยในการแปรงฟัน เพื่อทำความสะอาดฟัน ซึ่งอาจจะเป็นสารผสมที่เป็นผง หรือเป็นของเหลวข้นๆ ก็ได้1

อ่านต่อ >> “ส่วนประกอบของยาสีฟัน” คลิกหน้า 2 

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

สนามเด็กเล่น พัฒนาสมองเด็ก

สนามเด็กเล่น พัฒนาสมองเด็ก ได้อย่างไร ?

Alternative Textaccount_circle
event
สนามเด็กเล่น พัฒนาสมองเด็ก
สนามเด็กเล่น พัฒนาสมองเด็ก

สนามเด็กเล่น พัฒนาสมองเด็ก  การเล่นคืองานของเด็ก คุณพ่อคุณแม่หลายคนอาจไม่เห็นด้วย แต่จริงๆ แล้ว การเล่นของเด็กคืองานอีกรูปแบบหนึ่งที่ได้ใช้สมองในการคิดสร้างสรรค์ สร้างจินตนาการต่อยอดจากสิ่งที่ได้เล่น  และยิ่งถ้าเด็กได้เล่นนอกบ้านในสามเด็กเล่นที่เต็มไปด้วยอุปกรณ์การเล่นที่ช่วยพัฒนาสมองก็ยิ่งดีเป็นสองเท่า ทีมงาน Amarin Baby & Kids มีประโยชน์จากสนามเด็กเล่น มาฝากกันค่ะ

 

สนามเด็กเล่น  พัฒนาสมองเด็ก 

เด็กก่อนวัยเรียนเป็นช่วงวัยที่อยู่ระหว่างการพัฒนากลไกการเคลื่อนไหวร่างกาย กิจกรรมทางกายที่เหมาะสมสำหรับเด็กวัยนี้จึงต้องได้รับการออกแบบให้ส่งเสริมพัฒนาการด้านการเคลื่อนไหวพื้นฐาน เช่น การเดิน การทรงตัว การวิ่ง กระโดด ปีนป่าย ขว้างปา เป็นต้น และหนึ่งในแหล่งเรียนรู้ที่สามารถสร้างกิจกรรมทางกายให้เด็กได้นั่นก็คือ สนามเด็กเล่น

อ่านต่อ >> “สนามเด็กเล่น ที่ดีช่วยเสริมพัฒนาการลูกได้อย่างไร ?” คลิกหน้า 2 

 

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

สตรอเบอร์รี่ควิก ขนมเม็ดสีชมพู ยาเสพติดชนิดใหม่ พ่อแม่ต้องระวัง!

event

สตรอเบอร์รี่ควิก สตรอเบอร์รี่ควิก

สตรอเบอร์รี่ควิก หรือ ยาเสพติดชนิดใหม่นี้รู้จักกันในชื่อ “ไว ด้วยสตรอเบอร์รี่ (strawberry quick)” เป็นข่าวที่ถูกส่งต่อๆกันใน Line ว่าเป็นสิ่งที่น่ากลัว เป็นยาเสพติดที่แพร่หลายอยู่ตามโรงเรียนขณะนี้ที่คุณพ่อคุณแม่ควรระวัง และจำเป็นต้องรู้

ในเนื้อข่าว บอกว่า ยานี้มีลักษณะเป็นเม็ดคริสตัลที่ดูคล้ายขนมสตรอเบอร์รี่ป๊อปร็อก หรือ เมจิกป๊อป ขนมที่เป็นก้อนใส ๆ ขนาดเล็ก เมื่อใส่ปากก็จะส่งเสียงซ่าและค่อย ๆ ระเบิด เวลาละลายจะทำให้เกิดความรู้สึกว่ามันแตกป๊อปๆ ในปาก มีกลิ่นเหมือนสตรอเบอร์รี่

สตรอเบอร์รี่ควิก

สตรอเบอร์รี่ควิก

เป็นขนมยาเสพติดที่เด็กๆ แห่กินเพียบ ระบุลักษณะเม็ดกลมใส่ปากแล้วส่งเสียงซ่า และค่อยๆ ระเบิด มีหลากกลิ่นทั้งสตรอเบอร์รี่ ช็อกโกแลต โคล่า  อีกทั้งยังมีข่าวว่าได้มีการแจกจ่ายมันให้เด็กตามสนามโรงเรียน พวกเด็กๆ จะเรียกว่า เม็ดสตรอเบอร์รี่ หรือ ไว ด้วยสตรอเบอร์รี่ เด็กๆ ที่กินอันนี้โดยคิดว่ามันคือขนม จะถูกพาเข้าโรงพยาบาลอย่างเร่งด่วนในสภาพที่ร่อแร่

ยานี้มาได้กับช็อกโกแลต เนยถั่ว น้ำอัดลม เชอรี่ องุ่น และรสส้ม เข้าใจว่า นอกจากจะเป็นรสสตรอเบอร์รี่แล้ว อาจเป็นในรูปขนมป๊อปร็อกรสอื่นๆ ได้อีกด้วย

สตรอเบอร์รี่ควิก

ทั้งนี้ก็มีเด็ก ป.6 ของ โรงเรียนดัง ได้เอามาให้ลูกเพื่อนในหมู่บ้าน แล้วบอกว่าเป็น “ยาบำรุงสมอง”

อ่านต่อบทความอื่นน่าสนใจ

ทั้งนี้ทางด้าน อย. จึงได้ลงพื้นที่ตรวจพิสูจน์ระบุไม่พบสารเสพติดในขนม แล้วจึงเตรียมส่งให้กรมวิทย์พิสูจน์ต่อ ขอประชาชนอย่าตื่นตระหนก

โดยใช้การตรวจสอบด้วยชุดทดสอบเบื้องต้นหาสารเสพติดประเภท เมทแอมเฟตามีน โคเดอีน และเฮโรอีน ซึ่งผลการตรวจสอบปรากฏว่า ไม่พบสารเสพติดดังกล่าวในผลิตภัณฑ์แต่อย่างใด …แต่อย่างไรก็ตาม อย. จะส่งตัวอย่างผลิตภัณฑ์ให้กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ตรวจวิเคราะห์ส่วนประกอบ เช่น สีที่ใช้ในการผสมอาหาร วัตถุให้ความหวานแทนน้ำตาล อย่างละเอียดต่อไป อีกทั้ง อย. จะได้ดำเนินการติดตาม ตรวจสอบ และเฝ้าระวังผลิตภัณฑ์ที่มีลักษณะดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง เพื่อความปลอดภัยในการบริโภค

สตรอเบอร์รี่ควิก

ทั้งนี้ทั้งนั้น ขนมลักษณะดังกล่าวเป็นอาหารประเภทหนึ่งที่ได้รับความนิยมในกลุ่มเด็ก ๆ และวัยรุ่นเป็นอย่างมาก จึงเป็นเรื่องที่ขอนำมาแจ้งเตือนคุณพ่อคุณแม่ ทั้งนี้ควรสั่งสอนลูกหลานของเราไว้ว่า
1. อย่ารับขนมจากคนแปลกหน้าโดยเด็ดขาด
2. อย่าทานลูกอมที่ดูมีลักษณะแปลก สีสันจัดจ้าน ให้บอกให้เอาลูกอมที่มีอยู่ไปให้ครูโดยทันที

อ่านต่อ >> “โทษของการกินขนมหวานชนิดนี้” คลิกหน้า 2

ของเล่นอัตโนมัติทำลายสมองลูกจริงหรือ!?

event

การ เลือกของเล่นให้เหมาะสมกับวัย ของลูกน้อย เป็นปัญหาที่พบได้บ่อย ซึ่งพ่อแม่ส่วนใหญ่มีแนวโน้มที่จะเลือกของเล่นที่ไม่เหมาะกับวัย หรือของเล่นที่ยากเกินไปสำหรับเด็กที่เพิ่งเริ่มหัดเล่น ซึ่งพบว่าของเล่นที่ยากเกินความสามารถของเด็กจะทำให้ความตื่นเต้นในของเล่นใหม่ลดลงไปอีกด้วย

ของเล่นปกติช่วยเสริมพัฒนาการให้เด็กปกติเท่านั้นจริงหรือ!?!?

แม้ของเล่นปกติจะถูกออกแบบมาสำหรับการเล่นของเด็กปกติ  แต่เราจะใช้ของเล่นเพื่อพัฒนาเด็กได้อย่างเหมาะสมหรือไม่  พ่อแม่ต้องเป็นคนทำเอง  กับเด็กพิเศษก็เช่นกัน  คุณพ่อคุณแม่สามารถประยุกต์ใช้ของเล่นสำหรับเด็กปกติเพื่อเสริมสร้างพัฒนาการให้ลูกได้  อยู่ที่การนำลูกเล่นของพ่อแม่ให้สอดคล้องกับกลุ่มอาการของลูกด้วย  เช่น  เด็กออทิสติกคือเด็กที่มีบกพร่องเรื่องการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น  ฉะนั้นเขาจะมีปฏิสัมพันธ์ดีขึ้นได้พ่อแม่ก็ต้องมาเล่นกับลูกด้วย  แล้วสอนให้ลูกรู้ว่าเขาจะต้องปฏิสัมพันธ์กับผู้คนอย่างไร  ต่อให้เอาของเล่นอย่างดีมาให้เขามากมายแค่ไหน  แต่หากวางไว้ให้เขาเล่นคนเดียว  เขาก็จะพัฒนาได้ไม่ดี เด็กสมาธิสั้นก็เช่นกัน  อาการของเขาคือควบคุมตัวเองไม่ได้และทำงานไม่สำเร็จ  ถ้าพ่อแม่ไม่มานั่งควบคุมและเล่นไปกับเขา  แล้วใครจะมาควบคุมเขาได้  เพราะฉะนั้นลูกจะทำงานสำเร็จไหมโจทย์ก็อยู่ที่พ่อแม่ ของเล่นไม่สามารถช่วยควบคุมกำกับลูกสมาธิสั้นให้จดจ่อจนงานสำเร็จได้แน่

เลือกของเล่นให้เหมาะสมกับวัย

Good to know..  การเสริมสร้างพัฒนาการของเด็กทั้งที่เป็นเด็กพิเศษและเด็กปกติ  ไม่ได้ขึ้นอยู่กับอุปกรณ์อย่างของเล่น  แต่ขึ้นอยู่กับกระบวนการซึ่งพ่อแม่ต้องเป็นคนสร้างเสริมให้ลูกเอง

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

การ เลือกของเล่นให้เหมาะสมกับวัย

ของเล่นอัตโนมัติทำลายสมองลูกจริงหรือ!?!?

A  : ไม่จริงค่ะ ของเล่นจะส่งเสริมพัฒนาการลูกหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับพ่อแม่ว่าอ่านโจทย์ออกไหม  ของเล่นสมัยนี้บางอย่างกดปุ่มก็เคลื่อนไหวเองได้  เหมือนของใช้ในบ้านอย่างเครื่องดูดฝุ่นไฟฟ้าที่เป็นโรบอททำงานอัตโนมัติ  ซึ่งแค่กดปุ่มมันก็วิ่งดูดฝุ่นได้เอง  วิ่งไปชนกำแพงก็ถอยได้เอง  หรือวิ่งไปขอบทางก็ไม่ตกลงไป  หากคุณพ่อคุณแม่ลองชวนลูกสังเกตลักษณะการวิ่งการทำงานของอุปกรณ์อัตโนมัติเหล่านี้  เช่น  “ลองดูสิจ๊ะ  มันต้องวิ่งไปตรงไหนนะมันถึงจะถอย”  มันมีอะไรให้สังเกตและคิดต่อยอดได้มากมาย  อาจชวนลูกสังเกตและคิดว่าทำไมมันถึงทำแบบนั้นได้  หรือชวนลูกจินตนาการว่าเราจะสร้างของใช้อะไรบ้างให้ทำงานอัตโนมัติได้แบบนี้  การตั้งคำถามจะทำให้เกิดโจทย์ท้าทายและการสร้างจินตนาการใหม่ๆ  เด็กก็จะได้คิดต่อยอด  เหมือนที่เดี๋ยวนี้มีคนคิดประดิษฐ์รถยนต์ที่ใช้ระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติขึ้นมาแล้ว  นี่ก็เป็นสิ่งประดิษฐ์ที่เกิดจากการคิดต่อยอดเช่นกัน

เลือกของเล่นให้เหมาะสมกับวัย

แล้วของเล่นหรือของใช้อัตโนมัติก็เป็นไปตามยุคสมัย  ในอนาคตอาจหาซื้อของเล่นไขลานไม่ได้แล้ว  ม้าก้านกล้วยเดี๋ยวนี้ก็แทบไม่เห็นแล้ว  เพราะในเมืองก็ไม่มีต้นกล้วยให้ตัดแล้ว  ก็จะมีของเล่นสมัยใหม่ที่เป็นระบบอัตโนมัติขึ้นมาแทนที่มากขึ้น  ขึ้นอยู่กับว่าพ่อแม่จะใช้โอกาสตรงนั้นสอนลูกได้อย่างไร  โทรศัพท์มือถือก็เป็นระบบอัตโนมัติ  คุณพ่อคุณแม่ก็ใช้สอนลูกได้  แต่เราต้องใช้อย่างเหมาะสม  ไม่ปล่อยให้ลูกเล่นจนติดหรือเล่นจนส่งผลกระทบกับการใช้ชีวิตประจำวัน  อยากให้ลูกฉลาด พ่อแม่ต้องฉลาดก่อน หากอยากให้ลูกคิดเป็น แต่ตัวเองไม่คิดเลย ลูกก็ไม่รู้จะเรียนรู้จากใคร พ่อแม่จึงต้องคิดเป็น ต้องสร้างสรรค์ ต้องต่อยอดได้ แล้วลูกจะเรียนรู้จากวิธีคิดของพ่อแม่

อ่านต่อ >> “วิธีเลือกของเล่นให้เหมาะกับลูกแต่ละวัย” คลิกหน้า 2

บีทรูท เพื่อสุขภาพ คนท้อง

10 ประโยชน์ของ บีทรูท ผักเพื่อสุขภาพ คนท้อง

Alternative Textaccount_circle
event
บีทรูท เพื่อสุขภาพ คนท้อง
บีทรูท เพื่อสุขภาพ คนท้อง

บีทรูท ผักเพื่อสุขภาพ คนท้อง ช่วงเวลาตั้งครรภ์เป็นช่วงที่คุณแม่ต้องระมัดระวังเรื่องการทานอาหารให้มาก เพราะหากตามใจปากมากไป หรือทานอาหารที่ไม่มีประโยชน์ อาจมีโรคแทรกซ้อนอาจถามหาได้ เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันสูง ทีมงาน Amarin Baby & Kids มีประโยชน์จากพืชผักสีแดงอย่างบีทรูท มาให้คุณแม่ท้องได้ทราบ และทานเพื่อสุขภาพกันค่ะ

 

บีทรูท ผักเพื่อสุขภาพ คนท้อง

บีทรูท หรือหัวบีท เป็นผักรสหวานที่มีสรรพคุณทางยาหลายอย่าง ทั้งช่วยฟอกเลือดและเป็นยาล้างพิษตามธรรมชาติ ที่สามารถ ทานได้ทั้งแบบดิบหรือปรุงสุกร่วมกับผักอื่นๆ  และยิ่งถ้าได้ดื่มน้ำบีทรูท จะช่วยฟื้นฟูสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงขึ้นด้วย

 

อ่านต่อ >> “ประโยชน์ของบีทรูทสำหรับแม่ท้อง” คลิกหน้า 2 

 

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

อุบัติเหตุจากความประมาท

อุทาหรณ์ เด็กชายปีนรั้ว เสี่ยงเหล็กเสียบทะลุคอ

Alternative Textaccount_circle
event
อุบัติเหตุจากความประมาท
อุบัติเหตุจากความประมาท

ช่วงวัยเด็ก คือช่วงวัยที่อาจเกิด อุบัติเหตุจากความประมาท ได้ทุกเมื่อ เพราะเด็กๆ อยู่ในวัยเรียนรู้ และปรับตัว ด้วยความซุกซนจึงทำให้มีโอกาสเป็นอันตรายตลอดเวลา ดังข่าวที่เกิดขึ้นนี้ เมื่อ เด็กชายปีนรั้ว เพื่อเข้าไปเล่นกับเพื่อนเป็นประจำทุกวัน แต่วันนั้นฝนตก ประตูลื่น จึงพลาดเหยียบและเกิดเหตุนี้ขึ้น

(more…)

ปล่อยลูกน้อยวัยซนไว้คนเดียว เสี่ยงภัยอันตราย

Alternative Textaccount_circle
event

เมื่อคุณพ่อ คุณแม่มีลูก สิ่งที่หนึ่งต้องใส่ใจมากเป็นพิเศษคือลูกของเรา การที่ ปล่อยลูกอยู่คนเดียว โดยเฉพาะลูกน้อยวัยซนที่กำลังหัดคลาน หัดเดิน แล้วละสายตา ถึงแม้ว่าจะเป็นเพียงเสี้ยววินาที ก็อาจจะทำให้เกิดอันตรายร้ายแรงได้ทุกเมื่อ คุณพ่อ คุณแม่ควรป้องกันก่อนที่จะสายไป

(more…)

สมองเด็ก ออทิสติก เติบโตช้า

สมองเด็ก ออทิสติก เติบโตช้า เพราะอะไร แล้วจะพัฒนาได้ไหม ?

Alternative Textaccount_circle
event
สมองเด็ก ออทิสติก เติบโตช้า
สมองเด็ก ออทิสติก เติบโตช้า

สมองเด็ก ออทิสติก เติบโตช้า สิ่งที่พ่อแม่ทุกคนปรารถนาอยากจะให้ลูกเกิดมามีความสมบูรณ์แข็งแรง ทั้งร่างกายและสติปัญญา บางครั้งก็อาจไม่เป็นอย่างที่หวัง แต่ด้วยความเป็นพ่อแม่เราจะต้องดูแลลูกให้ดีที่สุดไม่ว่าเขาจะเกิดมาสมบูรณ์หรือไม่ก็ตาม ทีมงาน Amarin Baby & Kids มีงานวิจัยที่เผยให้เห็นถึงการเติบโตของ สมองเด็กออทิสติก ที่สามารถพัฒนาให้ลูกได้ใช้ชีวิตอยู่ในสังคมอย่างมีความสุขเหมือนกับเด็กปกติทั่วไป

 

สมองเด็ก ออทิสติก เติบโตช้า

กลุ่มโรคออทิสติก (Autistic spectrum disorder) เป็นกลุ่มของโรคที่มีสาเหตุจากความผิดปกติของสมอง ทำให้มีความบกพร่องของพัฒนาการหลายด้าน ได้แก่ พัฒนาการด้านภาษาและสังคมล่าช้า มีพฤติกรรม ความสนใจและการกระทำที่ซ้ำๆ และจำกัดโดยอาการดังกล่าวเกิดก่อนอายุ 3 ขวบ ซึ่งมีความรุนแรงของแต่ละโรคในกลุ่มแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับพัฒนาการทางภาษา ระดับสติปัญญา/ไอคิว (IQ, Intelligence Quotient) ซึ่งการวินิจฉัยและการรักษาตั้งแต่อายุยังน้อย จะทำให้เด็กมีโอกาสพัฒนาได้มากกว่าการรักษาเมื่ออายุมากขึ้น1

พฤติกรรมที่แสดงว่าลูกเป็นเด็กออทิสติก

ปัจจุบันการวินิจฉัยว่าเด็กเป็นออทิสติกหรือไม่นั้น สามารถตรวพบได้ตั้งแต่อยู่ในครรภ์ของคุณแม่ สำหรับเด็กที่เป็นโรค ออทิสติก จะแสดงอาการตั้งแต่แรกเกิดที่ยังแสดงอาการออกไม่ชัดเจนมากนัก แต่เมื่อลูกอายุได้ 3-5 เดือนเรื่อยไปจนถึง 2 ขวบ ลูกจะมีอาการแสดงออกว่าว่าเป็นออทิสติกอย่างชัดเจน สำหรับลูกในช่วงขวบปีแรก  พ่อแม่หรือผู้เลี้ยงดูเด็กสามารถตรวจสอบพฤติกรรมบ่งชี้ออทิสติกได้เบื้องต้น ดังนี้

  1. เงียบ นิ่ง เฉย
  2. ไม่สบตา
  3. ไม่ตอบสนองทางด้านอารมณ์
  4. ผูกพันกับสิ่งของอย่างใดอย่างหนึ่งซ้ำๆ
  5. ไม่แสดงท่าทางหรือส่งเสียงเรียก
  6. ไม่สนใจให้ใครกอดรัดเล่นด้วย
  7. เรียกให้คนอื่นเล่นด้วยไม่เป็น
  8. ไม่แสดงท่าทางหรือส่งเสียงเรียก
  9. ไม่สนใจที่จะให้ใครอุ้ม
  10. ท่าทางเฉยไร้อารมณ์เมื่อถูกชักชวนให้เล่น

 

Good to know… “กลุ่มโรคออทิสติก 10 – 83% มีความผิดปกติของคลื่นไฟฟ้าสมอง และมีโอกาสเกิดโรคลมชักมากกว่าคนทั่วไปในช่วงวัยเด็กและวัยรุ่น ซึ่งเด็กกลุ่มโรคออทิสติกที่มีระ ดับเชาวน์ปัญญา/ไอคิว (IQ) ต่ำ จะมีโอกาสเกิดอาการชักได้มากขึ้น2

อ่านต่อ >> “สมองเด็กออทิสติก เติบโตช้า เพราะอะไร” คลิกหน้า 2

 

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

ประทับใจ! ภาพวินาทีแรกคลอด ความงดงามที่แม่ไม่เคยได้เห็น

Alternative Textaccount_circle
event

ภาพแรกของคุณแม่กับเจ้าตัวน้อยส่วนใหญ่มักจะเป็นภาพเจ้าตัวน้อยในอ้อมอกของคุณแม่ใช่ไหมคะ แต่ในต่างประเทศ คุณพ่อคุณแม่นิยมใช้บริการช่างภาพมืออาชีพเพื่อบันทึกภาพช่วงเวลาแห่งความประทับใจในห้องคลอด จึงทำเราได้เห็นภาพสวยๆ ที่หาดูได้ยาก เป็นภาพวินาทีสำคัญที่คนเป็นแม่ไม่ได้เคยได้เห็น นั่นคือ ภาพวินาทีแรกคลอด ที่ศีรษะของลูกน้อยโผล่ออกมานั่นเอง (more…)

พัฒนาการทางสมองของทารก อันน่าทึ่ง ลูกน้อย “คิดอะไร” บ้างนะ?

Alternative Textaccount_circle
event

ว่ากันว่าพัฒนาการทางกายในแต่ละเดือนที่ทารกน้อยเติบโตขึ้นเป็นเรื่องที่น่าทึ่งสำหรับพ่อแม่แล้ว …แต่คุณพ่อคุณแม่รู้หรือไม่ว่าการเติบโตก้าวหน้าแบบเดือนต่อเดือนนั้นมีส่วนเกี่ยวข้องกับพัฒนาการทางสมองของทารก ” ที่ทำให้คุณอัศจรรย์ใจได้ยิ่งกว่าอีกนะคะ

สมอง เป็นอวัยวะที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการกำหนดคุณภาพและสติปัญญาของมนุษย์เรา โดยสมองจะทำหน้าที่เป็นศูนย์บัญชาการของร่างกาย ทั้งในเรื่องการรับข้อมูล การเก็บข้อมูล และการตอบสนองต่อสิ่งเร้าต่าง ๆ ดั้งนั้นภายในเนื้อสมองจึงมีส่วนต่าง ๆ มากมายเพื่อทำหน้าที่ต่าง ๆ ที่แตกต่างกันออกไป ทั้งในเรื่องการมองเห็น การใช้ภาษา การเคลื่อนไหว การคิด ความรู้สึก และหน้าที่อื่น ๆ อีกมากมาย

พัฒนาการทางสมองของทารก ตอนอยู่ในท้องแม่

การเติบโตของสมอง

สมอง เริ่มทำงานตั้งแต่อยู่ในท้อง ในช่วงแรกของชีวิตนี้สมองจะทำงานเพียงเพื่อการดำรงชีวิตให้อยู่รอดเท่านั้น ยังไม่ได้พัฒนาจนเจริญเต็มที่ จนพ้นขวบปีแรกไปสมองของลูกน้อย ก็จะมีการพัฒนาอย่างรวดเร็วมากในทุก ๆ ด้านไปจนถึงอายุประมาณ 4 ขวบ สมองจะพัฒนาไปถึง 60 % จนถึงอายุ 10 ปี จะเจริญเกือบเท่าผู้ใหญ่ จากนั้นก็จะพัฒนาในส่วนของการเรียนรู้ต่อไปเรื่อย ๆ อย่างไม่มีการหยุดยั้งจนกว่าจะตายไป

ระยะ 1-3 เดือน

เมื่อเริ่มตั้งครรภ์ เซลล์ที่เกิดจากการผสมระหว่างไข่และสเปิร์มจะแบ่งตัวและพัฒนาเป็นสมอง โดยมีลักษณะเป็นเนื้อเยื่อ แผ่นบาง แล้วค่อยๆ โค้งงอบรรจบกันเป็นท่อนำประสาท และเริ่มจัดโครงสร้างเป็นสมองส่วนหน้า ส่วนกลาง และส่วนหลัง ระยะนี้จุดประสานประสาทจะเกิดขึ้นในไขสันหลัง เมื่อเซลล์ประสาทเริ่มเชื่อมโยงกัน ก็เกิดการรับส่งข้อมูลถึงกันในสมอง นั้นหมายความว่าสมองของลูกน้อยเริ่มทำงานแล้ว

ระยะ 4-6 เดือน

ช่วงนี้จะมีไขมันล้อมรอบเส้นใยประสาท ทำให้กระแสไฟฟ้าระหว่างเซลล์สมองวิ่งมารวดเร็วยิ่งขึ้น การรับส่งข้อมูลก็ดีมากขึ้น ประสาทตาและหูของลูกจะทำปฎิกิริยากับแสงจ้าและเสียงดัง เซลล์ประสาทดริ่มเคลื่อนย้ายไปยังตำแหน่งที่จะทำหน้าที่ต่างๆ ที่ทำให้ระบบประสาทสมบรูณ์

ระยะ 7-9 เดือน

ไตรมาสสุดท้ายของ การตั้งครรภ์ นี้ เซลล์ประสาทจะตายสร้างแขนงประสาทอย่างมากมายค่ะ และแขนงประสาทเหล่านี้จะเชื่อมโยงกันจนกระทั้งทำงานประสานกับระหว่างวงจรประสาทได้เป็นอย่างดี ทำให้ลูกสามารถตอบสนองต่อเสียงที่คุ้นเคยอย่างเสียงคุณแม่ได้แล้ว

ภาพพัฒนาการสมองของทารกตอนอยู่ในท้องแม่

ขอบคุณคลิปวีดีโอจาก : Konvicted Leo

♥ บทความแนะนำน่าอ่าน : 7 วิธี เสริมความฉลาด สร้างเซลล์สมอง ลูกน้อย
♥ บทความแนะนำน่าอ่าน : วิธีเพิ่มพัฒนาการทางสมองให้ลูกในท้อง ช่วงไตรมาสที่ 2

อ่านต่อ “พัฒนาการทางสมองของลูกตั้งแต่ 2-12 เดือน” คลิกหน้า 2

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

จิตแพทย์แนะ! ขอบเขตการลงโทษเด็ก ป้องกัน “เด็กบอบช้ำหลังถูกลงโทษ”

Alternative Textaccount_circle
event

กรณี การลงโทษเด็ก ซึ่งเป็นข่าวจากประเทศญี่ปุ่น ที่พ่อกับแม่ลงโทษลูก ด้วยการปล่อยทิ้งไว้กลางทาง จนลูกหายไปกลางป่านานหลายวัน โชคดีที่เด็กรอดชีวิต .. นับเป็นข่าวที่ค่อนข้างสะเทือนใจว่า “พ่อแม่จำเป็นต้องลงโทษลูกขนาดนี้เลยหรือไม่?” จิตใจเด็กจะบอบช้ำหรือเปล่า และจริงๆแล้วในกรณีที่ลูกทำผิด ขอบเขตการลงโทษเด็ก ควรแค่ไหน…

ขอบเขต การลงโทษเด็ก แค่ไหนจึงจะพอดี

การลงโทษเด็ก

1. หากเด็กทำลายข้าวของ ทำทรัพย์สินเสียหาย รบกวนสาธารณะ เหล่านี้เป็นเรื่องที่คุณพ่อคุณแม่ทุกบ้านควรสั่งสอน และสั่งสอนทันทีด้วยไม่ทิ้งไว้ข้ามวัน

2. เมื่อพบเด็กกระทำรุนแรง พ่อแม่ที่ใส่ใจต้องหยุดการกระทำนั้นทันที แปลว่าท่านต้องอยู่บริเวณนั้น และเห็นความสำคัญถึงระดับทิ้งภารกิจตรงหน้าไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตามเดินไปหยุดเด็กในทันที

3. การหยุดเด็กที่ได้ผลนอกจากทำทันทีแล้ว ต้องการสีหน้า ท่าทาง และน้ำเสียง ที่เอาจริง

การลงโทษเด็ก

4. พ่อแม่บางบ้านทำเป็น พ่อแม่บางบ้านทำไม่เป็น พ่อแม่ที่ทำเป็นทำครั้งสองครั้งก็เอาอยู่ พ่อแม่ที่ทำไม่เป็นทำกี่ครั้งเด็กก็ไม่ฟังเพราะเขาฉลาดพอจะรู้อยู่แล้วว่าพ่อแม่อ่อนแอ (weak)

5. นอกจากสีหน้า ท่าทาง และน้ำเสียงแล้ว ก็คือคำพูด พ่อแม่ที่ทำเป็นมักพูดสั้นมาก “ไม่” “ไม่ให้” “ไม่ได้” เท่านี้พอ ไม่มีคำอธิบาย เด็กก็ฟัง ทำให้เด็กฟังก่อน เรื่องเหตุผลรอพูดทีหลังได้

อ่านต่อ “ขอบเขตการลงโทษเด็ก แค่ไหนจึงจะพอดี” คลิกหน้า 2

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

สมองลูกทำงานดี

10 วิธี กระตุ้น พัฒนาการ สมองลูก ทำงานดี

Alternative Textaccount_circle
event
สมองลูกทำงานดี
สมองลูกทำงานดี

กระตุ้น พัฒนาการ สมองลูก ทำงานดี ในฐานะพ่อแม่การได้เห็นลูกเติบโตขึ้นอย่างแข็งแรงสมบูรณ์ ทั้งร่างกาย จิตใจและพัฒนาการต่างๆ โดยที่ไม่มีอุปสรรคใดมาขัดขวาง ย่อมเป็นสิ่งที่พ่อแม่อยากให้เกิดขึ้นกับลูกของตัวเอง ยิ่งโดยเฉพาะพัฒนาการการเรียนรู้ที่มาจากการทำงานของพัฒนาการสมองที่ดี  ทีมงาน Amarin Baby & Kids มีเคล็ดลับวีธี การเลี้ยงดู ให้ สมองลูก ทำงานดี มาแนะนำให้ได้ทราบกันค่ะ

 

กระตุ้น พัฒนาการ สมองลูก ทำงานดี : สมองมีความสำคัญในการเรียนรู้ของเด็กอย่างไรบ้าง ?

พญ.สินดี จำเริญนุสิต กุมารเวชศาสตร์พัฒนาการและพฤติกรรมเด็ก โรงพยาบาลเวชธานี1  ได้กล่าวถึงความสำคัญของสมองที่สัมพันธ์กับการเรียนรู้ของเด็ก ดังนี้

  • สมองควบคุมและโปรแกรมการเจริญเติบโตของร่างกายทั้งหมด
  • สมองควบคุมการทำงานของระบบร่างกาย เนื้อเยื่อและเซลล์ต่างๆ ในร่างกาย และพัฒนาการของสมองเป็นรากฐานของการพัฒนาทุกด้าน ทั้งร่างกาย จิตใจ อารมณ์ สติปัญญา ความเฉลียวฉลาด ภาษา วัฒนธรรม ทักษะการสื่อสาร สังคม มนุษยสัมพันธ์ คุณธรรมและจริยธรรม
  • สมองเป็นระบบของการรับรู้ ประมวลข้อมูล การเรียนรู้ เก็บความจำและประสบการณ์ต่างๆ ที่สร้างโลกทัศน์เกี่ยวกับความเข้าใจเกี่ยวกับตัวเราและความสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม
  • สมองควบคุมการตอบสนองต่อสิ่งเร้าต่างๆ ควบคุมพฤติกรรม ความประพฤติ และการแสดงออกของปฎิสัมพันธ์กับผู้คนและสิ่งแวดล้อม เป็นรากฐานของบุคลิกภาพ
  • สมองเรียนรู้ภาษา วัฒนธรรม
  • สมองควบคุมสมาธิ ความสนใจ การตัดสินใจ จริยธรรม

อ่านต่อ >> “10 วิธี กระตุ้น พัฒนาการ สมองลูก ทำงานดี” คลิกหน้า 2 

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

อาหาร ทารกไม่ควรกิน

15 ชนิด อาหารที่ทารกควรหลีกเลี่ยง

Alternative Textaccount_circle
event
อาหาร ทารกไม่ควรกิน
อาหาร ทารกไม่ควรกิน

แม้ว่าลูกวัย 6 เดือนจะเริ่มทานอาหารอย่างอื่นนอกจากนมแม่ได้แล้ว แต่สิ่งสำคัญที่คุณแม่ควรระลึกไว้เสมอคือ ลูกน้อยยังไม่สามารถทานและย่อยอาหารได้ทุกอย่างเหมือนผู้ใหญ่นะคะ มีอาหารบางชนิดที่ยังไม่ควรเริ่มป้อนทันที และบางชนิดควรเริ่มหลังอายุ 1 ปี หรือจนกว่าฟันจะขึ้น  อาหารที่ทารกควรหลีกเลี่ยง จะมีอะไรบ้าง Amarin Baby & Kids รวบรวมไว้ให้คุณแล้วค่ะ (more…)

วิธีลดน้ำหนักหลังคลอด

9 วิธีลดน้ำหนักหลังคลอด..ให้คุณแม่กลับมาสวยเป๊ะเหมือนเดิม!

event
วิธีลดน้ำหนักหลังคลอด
วิธีลดน้ำหนักหลังคลอด

วิธีลดน้ำหนักหลังคลอด … เชื่อได้เลยว่าคุณแม่หลังคลอดทุกคนนั้น จะอ้วนสุดๆ หุ่นและร่างกายจะเปลี่ยนไปมากถึงมากที่สุด หน้าบวม ก้นใหญ่ แขนใหญ่ ขาใหญ่ มีพุงนำนม หน้าโทรม สารพัดที่สุดแสนจะบรรยายได้เลยทีเดียว

วิธีลดน้ำหนักหลังคลอด

มีลูกทั้งที หุ่นก็เปลี่ยนไปหมด จากคนเคยสวย จากชุดสวยๆที่เคยใส่ได้ ตอนนี้กลับใส่ไม่ได้ต้องหาเปลี่ยนชุดไซส์ใหญ่กว่าเดิม แล้วเมื่อไรหุ่นจะกลับมาเหมือนเดิม เหมือนตอนสาวๆ .. แต่อย่าเพิ่งหมดความพยายามกันนะค่ะคุณแม่ทั้งหลาย เรามาเริ่มเปลี่ยนแปลงหุ่นให้ย้อนกลับไปเป็นสาว สวย หุ่นน่าเซียะกันดีกว่า Amarin Baby & Kids มีวิธีดีๆ มาแนะนำคุณแม่ทั้งหลาย กับวิธีลดน้ำหนักหลังคลอด ให้คุณแม่กลับมาสวยเป๊ะเหมือนเดิม! จะต้องทำอย่างไรบ้าง…ตามไปดูกันเลยค่ะ

9 วิธีลดน้ำหนักหลังคลอด

ลดน้ำหนัก
ลดน้ำหนัก

1. ลดอาหารที่ไม่จำเป็น

จำพวก ข้าว , แป้ง , ขนมปัง , ของหวาน , น้ำตาล ทานน้อยๆ รวมทั้งควรหลีกเลี่ยงอาหารทอด เพื่อที่จะไม่ให้ไขมันไปสะสมในร่างกายมากเกินไป ควรหาอาหารหลากหลายให้ครบ 5 หมู่ ก็จะทำให้คุณแม่สามารถกลับมา

วิธีลดน้ำหนักหลังคลอด

2. ดื่มน้ำให้มาก

การลดน้ำหนักหลังคลอดของคุณแม่ง่าย คือ การดื่มน้ำ เพราะ ร่างกายต้องการน้ำไปใช้ในกลไกลต่าง ซึ่งตัวเรา สามารถลดน้ำหนัก และผิวพรรณดีเพราะ กินน้ำเยอะกว่าดื่ม ดื่มน้ำเยอะจะช่วยร่างกายย่อยอาหารได้ง่ายขึ้น ดูดซึม เผาผลาญระบบต่างจะกลับมาเหมือนก่อนท้องง่ายกว่าคนไม่ดื่มน้ำหรือดื่มน้อย

3. ขมิบช่องคลอด

หลังจากคลอดบุตรครบ 24 ชั่วโมง คุณแม่ที่คลอดเองตามธรรมชาติ สามารถบริหารร่างกายของเราด้วยท่าออกกำลังกายง่ายๆ คือ เริ่มจากการขมิบช่องคลอดเป็นประจำสม่ำเสมอ วิธีนี้จะช่วยให้กล้ามเนื้อสามารถทำงานได้ดี กระชับตัวได้เร็วมากขึ้น

อ่านต่อ >> “วิธีลดน้ำหนักหลังคลอด แบบง่ายที่คุณแม่ห้ามพลาด” คลิกหน้า 2

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ : 10 เรื่องอะไร ควรทำ ไม่ควรทำ ช่วงให้นมลูก

Alternative Textaccount_circle
event

ควรทำ ไม่ควรทำ ช่วงให้นมลูก คุณแม่ลูกอ่อนที่กำลังเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ อาจอยากจะทำอะไรหลายๆ อย่างในช่วงให้นมลูก แต่ก็เกิดความกังวลใจว่าจะสามารถทำได้หรือเปล่า ทีมงาน Amarin Baby & Kids มีข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ในเรื่องที่ ควรทำ ไม่ควรทำ ช่วงให้นมลูก มาฝากกันค่ะ

 

ควรทำ ไม่ควรทำ ช่วงให้นมลูก

การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ เป็นกลไกตามธรรมชาติของร่างกายผู้หญิงที่มีการสร้างน้ำนมขึ้นมาเพื่อใช้เลี้ยงลูก น้ำนมแม่เป็นอาหารที่ดีที่สุดสำหรับลูกตั้งแต่แรกเกิด ซึ่งองค์การอนามัยโลกระบุว่าเด็กทารกตั้งแต่แรกเกิดควรกินนมแม่ล้วน 6 เดือน และกินนมแม่ควบคู่อาหารเสริมจน 2 ปี หรือหากให้นมแม่ได้นานกว่านี้ก็สามารถทำได้  ไม่เกิดผลเสียต่อสุขภาพของลูกน้อยแต่อย่างใด

 

Good to know… “การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ คือการป้อนนมให้กับทารกหรือเด็กด้วยน้ำนมจากหน้าอกของผู้หญิง ทารกจะมีกลไกอัตโนมัติในการดูดที่จะทำให้เขาสามารถดูดและกลืนน้ำนมได้1

อ่านต่อ >> “น้ำนมแม่ มีประโยชน์อย่างไรต่อลูกน้อย” คลิกหน้า 2 

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

ของขวัญปีใหม่

รัฐบาลแจกเงินให้ผู้มีรายได้น้อย 3,000 บาท

Alternative Textaccount_circle
event
ของขวัญปีใหม่
ของขวัญปีใหม่

คณะรัฐมนตรีอนุมัติเงิน 1.27 หมื่นล้านบาท เพื่อช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย 5.4 ล้านคน โดยให้รับเงินคนละ 1,500 – 3,000 บาท เริ่มวันที่ 1 ธันวาคม 2559 นี้ โดยการโอนเข้าบัญชี เป็นการให้ ของขวัญปีใหม่ เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับผู้มีรายได้น้อย ในโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ อ่านรายละเอียด รัฐบาลแจกเงินให้ผู้มีรายได้น้อย ด้านล่าง

(more…)

น้ำตาลโตนด ประโยชน์ เพื่อสุขภาพ คนท้อง

น้ำตาลโตนด ประโยชน์ ต่อสุขภาพ คนท้อง

Alternative Textaccount_circle
event
น้ำตาลโตนด ประโยชน์ เพื่อสุขภาพ คนท้อง
น้ำตาลโตนด ประโยชน์ เพื่อสุขภาพ คนท้อง

น้ำตาลโตนด ประโยชน์  ต่อสุขภาพ คนท้อง คุณแม่คงรู้จักน้ำตาลโตนดเป็นอย่างดี  น้ำตาลโตนดมักใช้แทนน้ำตาลทราย  มีประโยชน์ต่อร่างกายหลายอย่าง  และในอินเดีย น้ำตาลโตนดถือเป็นตัวยาสำคัญในตำรับอายุรเวชหรือการแพทย์แผนโบราณของอินเดีย ทีมงาน  Amarin Baby & Kids  มี 9 ประโยชน์มหัศจรรย์ของน้ำตาลโตนด สำหรับคนท้อง มาให้ได้ทราบกันค่ะ

 

น้ำตาลโตนด ประโยชน์ ต่อสุขภาพ คนท้อง

น้ำตาลโตนดมีคุณค่าทางอาหารมากมาย  แต่สำหรับคนท้อง ต้องมั่นใจเป็นสองเท่าในสิ่งที่รับประทานเข้าไป เพราะหากพลาดเพียงครั้งเดียว คุณแม่อาจต้องเจอปัญหาทางสุขภาพมากมาย ไม่ว่าจะเป็น  โรคภูมิแพ้  โรคเบาหวาน ฯลฯ  แต่ในช่วงเวลาพิเศษของการตั้งครรภ์แบบนี้  ร่างกายของคนท้องก็ต้องการความหวานด้วยเช่นกัน  แต่จะกินน้ำตาลโตนดอย่างไรให้เกิดประโยชน์ ไม่เป็นโทษต่อสุขภาพร่างกายของแม่ท้อง

 

Good to know.. “น้ำตาลโตนด เป็นน้ำตาลที่ได้จากต้นตาลโตนด หากเป็นต้นตาลตัวผู้จะได้จากงวงตาล โดยใช้มีดตาล ปาดตรงบริเวณปลายงวง เพื่อให้น้ำตาลไหลซึมออกมา แต่หากเป็นต้นตาลตัวเมียให้ใช้ไม้คาบนวดระหว่างลูกประมาณ 3 วัน แล้วใช้มีดปาดตาลปาดตรงบริเวณปลายจั่นหรืองวง ถ้ามีน้ำตาลไหลออกมาก็แสดงว่าใช้ได้1

 

 

อ่านต่อ >> “น้ำตาลโตนด ประโยชน์ คนท้อง” คลิกหน้า 2

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

ลูกร้อง อาละวาด

ลูกร้องอาละวาดในที่สาธารณะ แม่จะทำยังไงดี?

event
ลูกร้อง อาละวาด
ลูกร้อง อาละวาด

ลูกร้อง อาละวาด ในที่สาธารณะ … คุณเคยเจอเหตุการณ์แบบนี้บ้างหรือไม่? ซึ่งคุณหมอสินดี จำเริญนุสิต กุมารแพทย์ด้านพัฒนาการและพฤติกรรม Kids Center โรงพยาบาลเวชธานี ได้กล่าวเกี่ยวกับการ “ร้องอาละวาด” ของเด็ก ไว้ว่า นี่คือส่วนหนึ่งของพัฒนาการที่พ่อแม่ต้องเข้าใจ  ซึ่งจะเป็นอย่างไรไปติดตามกันเลยค่ะ

ลูกร้อง อาละวาด เพราะอะไร

การร้องอาละวาด คือ การตอบโต้ของเด็กโดยทั่วไป เมื่อถูกขัดขวางอิสรภาพในการกระทำสิ่งที่ต้องการ หรือการเรียนรู้สิ่งใดสิ่งหนึ่ง ลักษณะการแสดงอารมณ์โกรธจะเกิดขึ้นในทันทีทันใด โดยไม่มีการวางแผนไว้ล่วงหน้า

การร้องอาละวาดไม่ได้เป็นเพียงการกระทำเพื่อเรียกร้องความสนใจแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ทั้งนี้เพราะเกิดจากการขาดทักษะในการสื่อสารของเด็ก รวมถึงตัวเด็กเองยังไม่เคยเรียนรู้การแสดงออกซึ่งอารมณ์โกรธในลักษณะอื่น

ซึ่งการร้องโวยวาย อาละวาดนี้ จะเกิดขึ้นกับเด็กในช่วงอายุ 1 – 3 ปี หรืออาจเรียกเด็กวัยนี้ว่า “วัยต่อต้าน” เพราะเมื่อเด็กวัยนี้รู้สึกคับข้องใจ โกรธ หรือผิดหวัง พวกเขามักแสดงออกโดยการร้องไห้ แผดเสียง หรือกระทืบเท้าไปมา ซึ่งบางครั้งทำให้พ่อแม่รู้สึกโกรธ หรืออับอายได้ อย่างไรก็ตาม การร้องอาละวาดเป็นส่วนหนึ่งของพัฒนาการเด็กเพื่อที่จะเรียนรู้การควบคุมตนเอง และในความเป็นจริงเด็กเกือบทุกคนต้องมีภาวะนี้บ้างไม่มากก็น้อย และสามารถพบได้ทั่วไปในเด็ก เพราะถือว่าเป็นขั้นตอนหนึ่งในกระบวนการพัฒนาทางด้านจิตใจ อารมณ์ และสังคมของเด็ก

ร้องอาละวาด

ทำไมเด็กต้องร้องอาละวาด?

เด็กวัยนี้เริ่มแสดงความเป็นตัวของตัวเอง อยากรู้อยากเห็นในสิ่งแวดล้อมซึ่งแปลกใหม่บนโลกใบนี้ เด็กมีความต้องการที่จะควบคุมทุกอย่าง ต้องการเป็นอิสระและพยายามที่จะทำอะไรที่เกินความสามารถของตนเอง ต้องการจะตัดสินใจเองและไม่อาจจะควบคุมตัวเองได้ดีพอ ยิ่งถ้าเขาเหนื่อย หิว หงุดหงิดหรือกลัวด้วยแล้ว เขาก็ยังไม่สามารถที่จะจัดการตัวเองได้ ดังนั้นการเรียนรู้ที่จะควบคุมอารมณ์ตัวเองเป็นเรื่องยากสำหรับเขา การร้องอาละวาด จึงเป็นหนทางในการปลดปล่อยอารมณ์ของเด็ก

ปัญหาเด็กร้องอาละวาดมีลักษณะอย่างไร?

อาการอาละวาดของเด็กมักจะเกิดขึ้นเป็นระยะเวลา 30 วินาทีถึง 2 นาที โดยจะมีความรุนแรงมากที่สุดในช่วง 30 วินาทีแรก ทั้งนี้พฤติกรรมผิดปกติที่มักปรากฏในเด็กที่มีปัญหาร้องอาละวาด ได้แก่

  • ร้องไห้ พร้อมกับกรีดร้อง หรือตะโกน
  • งอหลัง หรือเกร็งร่างกายในขณะที่อาละวาด
  • นอนลงดิ้นกับพื้น
  • เคลื่อนไหวแขนอย่างขาดการควบคุม
  • ปัสสาวะรดที่นอน
  • มีปัญหาการนอนหลับในเวลากลางคืน
  • ดูดนิ้ว
  • กลั้นหายใจจนหมดสติ (breath-holding spells)

อย่างไรก็ตาม หากการร้องอาละวาดดำเนินไปมากกว่า 15 นาที เกิดขึ้นมากกว่า 3 ครั้งต่อวัน หรือทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ อาจเป็นอาการบ่งบอกถึงความผิดปกติทางด้านร่างกาย จิตใจ หรืออารมณ์ของเด็ก และย่อมถือว่าไม่ใช่ลักษณะการร้องอาละวาดแบบปกติ ดังนั้นเด็กจึงจำเป็นต้องได้รับการดูแลรักษาจากแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญ ควบคู่ไปกับความร่วมมือระหว่างผู้ ปกครองและโรงเรียน ซึ่งอาการที่มักพบในการอาละวาดลักษณะนี้ ได้แก่

  • เตะ ตี กัด ข่วน ดึงผม หรือหยิกผู้อื่น
  • ขว้างหรือทำลายข้าวของ
  • โขกศีรษะหรือทำร้ายร่างกายตนเอง

 

ลูกร้อง อาละวาด

สาเหตุที่อาจทำให้เด็กมีพฤติกรรมเช่นนั้น ได้แก่

  • ข้อจำกัดเรื่องภาษา คือ ไม่เข้าใจสิ่งที่พ่อแม่พูดหรือถามได้ทั้งหมด เด็กจึงสับสน เครียดเมื่อใคร ๆ ก็ไม่สามารถเข้าใจสิ่งที่ตนเองต้องการ ไม่รู้จะบอกความรู้สึกของตนเองอย่างไร (หลังอายุ 3 ปีเด็กส่วนใหญ่สามารถบอกความรู้สึกได้ การร้องอาละวาดจึงค่อยๆลดลง ส่วนเด็กที่มีพัฒนาการทางภาษาช้า การร้องอาละวาดจึงอาจจะยังคงอยู่นานกว่า)
  • ข้อจำกัดเรื่องพัฒนาการด้านอื่นๆ คือ ยังไม่สามารถแก้ปัญหาได้ด้วยตนเองทำให้หมดกำลังใจได้ง่าย ไม่สามารถทำในสิ่งที่ตนเองจินตนาการได้ เช่น เดิน วิ่ง ปีนป่าย วาดรูปหรือเล่นของเล่นที่ยากกว่าวัย
  • ข้อจำกัดเรื่องสังคม เป็นการแสดงปฎิกิริยาต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในบ้าน อิจฉาเพื่อนหรือพี่น้อง หรือต้องการได้ในสิ่งที่เด็กคนอื่นมี หรือเรียกร้องความสนใจ
  • ข้อจำกัดเรื่องทางกายภาพ เด็กที่มีอาการเจ็บป่วยอยู่ หิว / เหนื่อยหรือนอนไม่พอ / กังวลหรือไม่สบายตัว

ลูกร้องอาละวาด

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

อ่านต่อ >> “วิธีป้องกันลูกร้องอาละวาด” คลิกหน้า 2

keyboard_arrow_up