โรค ขาโก่ง ในเด็ก

อย่าเพิ่งดัดขาลูก!โรค ขาโก่ง ในเด็กต้องรักษาห้ามดัด

Alternative Textaccount_circle
event
โรค ขาโก่ง ในเด็ก
โรค ขาโก่ง ในเด็ก

ขาโก่ง ในเด็กตามธรรมชาติเป็นเรื่องที่ไม่แปลกนักสามารถหายเองได้ แต่สำหรับเด็กที่เกิน 2ขวบแล้วยังคงมีอาการต้องเฝ้าระวังโรคเบร้าท์ ที่การดัดขาลูกไม่ได้ช่วยอะไร

อย่าเพิ่งดัดขาลูก!โรค ขาโก่ง ในเด็กต้องรักษาห้ามดัด

ลูกขาโก่ง อาจเป็นอาการที่พ่อแม่สามารถสังเกตเห็นได้ในเด็กทารก และกำลังเป็นกังวลกันอยู่ใช่ไหม ขาโก่งเป็นเรื่องปกติในเด็กอายุต่ำกว่า 2 ปี และโดยทั่วไปจะดีขึ้นเมื่ออายุ 18 ถึง 24 เดือน

ภาวะขาโก่ง (Bowed leg)

ขาโก่ง เป็นภาวะหนึ่งที่เราพบกันได้บ่อยในเด็กเล็ก โดยเด็กจะมีขา และเข่าในลักษณะที่โค้งออกด้านนอกลำตัว อาจร่วมกับเห็นเด็กเดินในลักษณะปลายเท้าชี้เข้าด้านในลำตัวมาก ๆ โดยมากมักสังเกตเห็นลักษณะขาโก่งแบบนี้ได้ชัดเจนในช่วงที่เด็กเริ่มเดิน ภาวะขาโก่งในเด็กที่พบส่วนใหญ่จะเป็นขาโก่งตามธรรมชาติ ซึ่งทางการแพทย์เรียกว่า Physiologic bowed leg ซึ่งเป็นภาวะที่สามารถหายได้เอง

ขาโก่งในเด็ก
ขาโก่งในเด็ก

Blount’s Disease (โรคขาโก่ง)

โรคขาโก่ง หรือที่เรียกว่า tibia vara เป็นโรคที่เกิดจากการเจริญเติบโตที่ส่งผลต่อแผ่นการเจริญเติบโตของกระดูกหน้าแข้ง (tibia) โรคขาโก่ง ทำให้ขาส่วนล่างของเด็กหันเข้าด้านใน และโค้งงอคล้ายกับส่วนโค้งในตัวอักษร C

ทารกและเด็กวัยหัดเดินมักจะงอขา (โค้งไปที่ขา) แต่ขาจะงอเมื่อเด็กเริ่มเดิน เด็กที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรค Blount จะมีส่วนโค้งที่ขาอย่างชัดเจนซึ่งไม่สามารถแก้ไขได้เมื่ออายุมากขึ้น และอาการแย่ลงเมื่อกระดูกโตขึ้น

ลูกเป็นขาโก่งแบบไหนกันนะ!!

วิธีการสังเกตเบื้องต้นว่าเด็กที่มีภาวะขาโก่งนั้นเป็นขาโก่งตามธรรมชาติ หรือขาโก่งที่เป็นโรคได้จาก
  1. ช่วงอายุ โดยปกติแล้วเด็กทุกคนเกิดมาจะมีภาวะขาโก่งตามธรรมชาติอยู่แล้ว แต่เมื่อโตขึ้นขาก็จะค่อย ๆ โก่งลดลงเอง และควรมีขาที่ตรงเมื่ออายุประมาณ 2 ขวบ ดังนั้นถ้าเด็กมีอายุเกิน 2 ปีแล้ว แต่ยังคงมีขาที่โก่งอยู่ควรปรึกษาแพทย์เพราะอาจมีโอกาสที่จะเป็นขาโก่งแบบที่เป็นโรคสูง
  2. ขาที่โก่งนั้นเป็นทั้ง 2 ข้างหรือไม่ ภาวะขาโก่งตามธรรมชาติ ขาควรจะโก่งทั้ง 2 ข้าง หากเด็กมีภาวะขาโก่งข้างเดียวหรือความโก่งของขาทั้ง 2 ข้างต่างกันมากอย่างชัดเจนน่าจะเป็นขาโก่งแบบที่เป็นโรคมากกว่า
  3. ความอ้วน ความอ้วนของเด็กนั้นเป็นความเสี่ยงที่สำคัญที่ทำให้เป็นโรคขาโก่ง ดังนั้นหากพบว่าเด็กมีภาวะขาโก่งร่วมกับมีน้ำหนักตัวมากกว่าเกณฑ์จะมีความเสี่ยงสูงขึ้นที่จะเป็นโรคขาโก่งได้
  4. เด็กที่เริ่มเดินได้เร็ว (ก่อน 12 เดือน) จากรายงานทางการแพทย์พบว่าการที่เด็กเริ่มเดินได้เร็วกว่าปกติเป็นความเสี่ยงอย่างหนึ่งของการเกิดภาวะขาโก่ง

แม้ว่า ขาโก่ง ส่วนมากจะเป็นขาโก่งแบบธรรมชาติ เป็นแบบที่หายได้เอง แต่หากคุณพ่อคุณแม่สังเกตอาการข้างต้นแล้ว เช่น  เด็กอายุเกิน 2 ปีแล้วยังมีภาวะดังกล่าวอยู่ หรือไม่ก็เป็นหนักกว่าเดิม ให้พ่อแม่ตั้งข้อสันนิษฐานได้เลยถึง โรคขาโก่ง ในความเป็นจริงแล้ว หากพบว่าเป็นโรคขาโก่งนั้นอันตรายกว่าที่คิด เพราะถ้าหากปล่อยทิ้งไว้นาน และไม่ทำการรักษา อาจส่งผลเสียต่อร่างกาย และบุคลิกภาพของเจ้าตัวเล็กได้

โรค ขาโก่ง ดัดขาลูกไปก็ไม่ได้ผล แถมอันตราย
โรค ขาโก่ง ดัดขาลูกไปก็ไม่ได้ผล แถมอันตราย

อย่าเพิ่งดัดขา เมื่อพบว่าลูกขาโก่ง!!

คำแนะนำเมื่อพบว่าลูกขาโก่ง หากคุณพ่อคุณแม่สังเกตแล้วพบว่าลูกมีความเสี่ยงที่จะมีภาวะขาโก่งแบบที่เป็นโรค แม้ข้อใดข้อหนึ่งควรไปพบแพทย์ เพื่อตรวจให้แน่ใจ ไม่ควรพยายามไปดัดขาเด็กให้ตรง เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ เพราะนอกจากจะไม่ช่วยอะไรแล้ว การดัดขาลูกไม่ถูกวิธียังเสี่ยงต่อการทำให้ลูกบาดเจ็บ อาจถึงขั้นกระดูกหักได้

การวินิจฉัยโรคขาโก่งทำอย่างไร?

หมอจะทำการวินิจฉัยโรค Blount หลังจากทำการตรวจร่างกายรวมทั้งสั่งเอ็กซ์เรย์ที่ขาของเด็ก (ข้อเท้าถึงสะโพก) รังสีเอกซ์ช่วยให้ผู้ให้บริการของคุณเห็นว่ากระดูกของลูกคุณเติบโตอย่างไร และสามารถช่วยให้พวกเขาระบุสิ่งที่ทำให้ขาของเด็กโค้งเข้าด้านในได้ แต่การ x – ray ในเด็กที่เล็กเกินไปจะแยกกับภาวะขาโก่งตามธรรมชาติ กับโรคขาโก่งไม่ได้ จึงนิยมทำเมื่ออายุเกิน 2 ขวบแล้ว

โรคขาโก่งส่งผลต่อลูกอย่างไร?

โรคขาโก่ง ส่งผลต่อการเติบโตของกระดูกหน้าแข้งของเด็ก ซึ่งอาจทำให้ขางอเข้าด้านในได้ ดังนั้นนิ้วเท้าจะหันเข้าหาแทนที่จะตั้งตรง และขาจะโค้ง หากไม่ได้รับการรักษา อาการนี้อาจแย่ลงได้ และการโค้งงออาจทำให้เด็กเดินหรือทำกิจกรรมที่ใช้ขาไม่ได้ นอกจากนี้ยังสามารถทำให้เกิดความเสียหายต่อเส้นประสาทที่ขา และข้ออักเสบของเด็กซึ่งอาจเจ็บปวดได้
อาการของโรคขาโก่ง
  • งอขาที่ดูเหมือนส่วนโค้งในตัวอักษร C
  • ขาโก่งอาจเป็นต่อขาข้างหนึ่งหรือทั้งสองข้าง
  • นิ้วเท้า และเท้าชี้เข้าด้านในแทนการตั้งตรง

ขาโก่ง ไม่ทำให้เกิดอาการปวดในเด็กวัยหัดเดิน แต่วัยรุ่นอาจรู้สึกปวดเข่า และมีอาการมากขึ้น เมื่อออกกำลังกาย

อาการรุนแรงของโรคขาโก่ง ที่อาจเกิดขึ้นได้ ได้แก่

  • โรคข้อเข่าเสื่อม
  • เดินลำบาก
  • ความเสียหายของข้อต่อ และเส้นประสาท
ขาโก่ง ตามธรรมชาติสามารถหายได้เอง
ขาโก่ง ตามธรรมชาติสามารถหายได้เอง

โรคขาโก่งสามารถรักษาได้หรือไม่

โรคขาโก่ง สามารถเกิดขึ้นได้ในภายหลังในช่วงวัยรุ่น และในผู้ใหญ่ (เริ่มมีอาการช้า) อาการนี้พบได้บ่อยในผู้ที่มีน้ำหนักเกิน คนที่น้ำหนักขึ้นเร็ว หรือเด็กที่เริ่มเดินเร็ว (ก่อน 12 เดือน) สำหรับคุณพ่อหรือคุณแม่ที่สงสัยว่าขาโก่งรักษาได้ไหม หรือมีวิธีการป้องกันอย่างไรได้บ้างนั้น เนื่องจากโรคขาโก่งจะทำให้แผ่นกระดูกด้านในถูกกดทับ ผลที่ตามมานอกจากขาโก่ง คือ การเสียบุคลิกภาพได้ อย่างไรก็ตาม ด้วยเทคโนโลยีการแพทย์ในปัจจุบันที่มีความก้าวหน้ามากขึ้น ช่วยให้เกิดวิธีการรักษาที่หลากหลายและให้ประสิทธิภาพในการฟื้นฟูได้เป็นอย่างดี ดังนี้

  • การบริหารกล้ามเนื้อส่วนขา

สำหรับใครที่เป็นโรคขาโก่ง หรือ Bowed Leg แล้วมีอาการไม่มากนัก การบริหารกล้ามเนื้อส่วนขานับเป็นหนึ่งในทางเลือกในการรักษาที่ง่าย และสามารถทำได้ด้วยตนเอง ซึ่งมีจุดประสงค์เพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อให้แข็งแรง และจัดกระดูกให้กลับมาเข้ารูปดังเดิม โดยเริ่มจากการแยกปลายเท้าออกจากกันประมาณ 45 องศา ในขณะที่ส้นเท้ายังยืนชิดติดกันอยู่ จากนั้นพยายามดันตัวให้ตรงที่สุดเป็นเวลา 5 นาที ซึ่งจะต้องทำอย่างต่อเนื่องเฉลี่ยวันละ 3 ครั้ง เพื่อให้การบริหารกล้ามเนื้อนี้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

  • ปรับท่าทางการเดิน

การปรับท่าทางการเดินมีส่วนช่วยในการรักษาลูกขาโก่งได้เช่นกัน โดยให้ลูกน้อยนั้นเดินให้ปลายเท้าชี้ไปด้านหน้า รวมถึง ในขณะที่ยืนนั้น ให้พยายามหลีกเลี่ยงการยืนขาโก่ง ซึ่งวิธีดังกล่าว อาจจะต้องอาศัยระยะเวลาในการทำทีละขั้นตอน เพื่อให้กระดูกสามารถปรับรูปใหม่ให้เหมาะสมกับสภาพร่างกายมากที่สุด

  • ใส่อุปกรณ์ดัดขาโดยแพทย์

จะใช้ในรายที่เป็นน้อย หรืออายุน้อยกว่า 3 ขวบ โดยแพทย์จะแนะนำให้สวมเหล็กดัดที่ยื่นจากต้นขาถึงเท้า มักจะใส่ตอนกลางคืนเป็นเวลาหนึ่งปี

  • การผ่าตัด

ในกรณีที่อาการ ขาโก่ง ในเด็กค่อนข้างจะเห็นได้อย่างชัดเจน การผ่าตัดถือเป็นอีกตัวเลือกหนึ่งที่สามารถแก้ไขปัญหาโรคขาโก่งได้ เพื่อให้กระดูกบริเวณใต้เข่ากลับมาตรง ซึ่งการผ่าตัดมักต้องทำก่อนอายุ 4 ขวบ เพราะถ้าทำช้ากว่านั้นผลสำเร็จของการรักษาจะแย่ลงจะมีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำได้สูง และอาจต้องผ่าตัดหลายครั้ง ดังนั้น จึงนิยมใช้วิธีการผ่าตัดโดยการตัดแต่งกระดูกให้เข้ารูปแล้วจึงปล่อยให้กระดูกค่อย ๆ กลับมาอยู่ในตำแหน่งเดิม ซึ่งการผ่าตัดนั้น ทางแพทย์จะให้ผู้ป่วยได้พักฟื้น และใช้ไม้เท้าช่วยพยุงตัวภายในครึ่งเดือนแรก ก่อนที่จะเริ่มทำกายภาพบำบัดเพื่อฟื้นฟูร่างกายให้กลับมาสมบูรณ์ที่สุด

ใส่ใจท่าเดิน ท่านั่งของลูก เพื่อป้องกัน ลูกขาโก่ง
ใส่ใจท่าเดิน ท่านั่งของลูก เพื่อป้องกัน ลูกขาโก่ง

ดูแลลูกหลังผ่าตัดอย่างไร?

หลังการผ่าตัดเพื่อรักษาโรคขาโก่ง สิ่งสำคัญคือต้องหมั่นรักษาความสะอาดแผลผ่าตัดของลูก เพื่อไม่ให้เกิดการติดเชื้อ และพยายามไม่ให้ลูกของคุณลงน้ำหนักที่ขาที่ได้รับการผ่าตัดเป็นเวลาหกถึงแปดสัปดาห์ การกดทับบริเวณที่ผ่าตัดมากเกินไปอาจทำให้กระดูกเคลื่อนตัว และไม่หายเป็นปกติ

เคล็ดลับการดูแลร่างกาย ช่วยป้องกันไม่ให้เกิดโรคขาโก่ง

ในปัจจุบันยังไม่สามารถรู้วิธีป้องกันโรคขาโก่งได้ แต่คุณสามารถทำตามขั้นตอนเพื่อช่วยให้กระดูกของลูกแข็งแรง และแข็งแรงพอที่จะทำให้แน่ใจว่า จะป้องกันไม่ให้ลูกน้อยขาโก่ง การดูแลรักษาสุขภาพจึงเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งทุกคนสามารถทำได้ด้วยการปฎิบัติตน ดังต่อไปนี้

  • เสริมสุขภาพด้วยโภชนาการ

การเสริมสุขภาพด้วยโภชนาการที่ดีอย่างการรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ นอกจากจะทำให้สุขภาพแข็งแรงแล้ว ยังช่วยในเรื่องต่าง ๆ เช่น การให้พลังงาน หรือเสริมสร้างระบบร่างกายได้เป็นอย่างดี ดังนั้นจึงควรใส่ใจในเรื่องอาหารการกินของลูกให้มีสารอาหารครบ 5 หมู่

  • ออกกำลังกายเพื่อสุขภาพที่แข็งแรง

พยายามระวังอย่าให้เด็กอ้วนเพราะความอ้วนเป็นความเสี่ยงสำคัญทีสุดของโรคขาโก่ง สำหรับเคล็ดลับการดูแลร่างกายนั้น การออกกำลังกายก็เป็นสิ่งควรให้ความสำคัญเช่นกัน เพราะเมื่อร่างกายได้มีการเคลื่อนไหว จะทำให้อวัยวะต่าง ๆ เช่น กระดูก กล้ามเนื้อ และส่วนอื่น ๆ ได้มีการขยับเขยื้อน ทำให้สุขภาพแข็งแรง ไม่ทำให้เกิดโรคอ้วน และช่วยป้องกันไม่ให้เกิดโรคขาโก่งได้ด้วย

  • บำรุงร่างกายด้วยแคลเซียม และวิตามิน

สาเหตุหลักที่ทำให้เด็กขาโก่ง คือ การมีกระดูกที่เปราะบางและแตกหักง่าย จึงทำให้ไม่สามารถรองรับน้ำหนักได้  ดังนั้น การบำรุงร่างกายด้วยแคลเซียมและวิตามินจะช่วยให้กระดูกกลับมาแข็งแรงและป้องกันไม่ให้ลูกขาโก่งหรือมีภาวะเจ็บป่วยอื่น ๆ ตามมา

ไม่เร่งลูกหัดเดินเร็วเกินไป
ไม่เร่งลูกหัดเดินเร็วเกินไป
  • ไม่บังคับให้เด็กฝึกหัดเดินเร็วเกินไป

ไม่กระตุ้นให้เด็กเดินเร็วเกินไป เช่น การใช้รถเข็นหัดเดินในเด็กเล็กเพราะนอกจากจะเสี่ยงเกิดขาโก่งแล้วเด็กอาจจะติดเดินเขย่งปลายเท้า และยังง่ายต่อการพลัดตกหกล้มอีกด้วย

ขาโก่งเกิดขึ้นตามธรรมชาติในทารก และจะหายไปเมื่อลูกของคุณเริ่มเดินหรือเมื่ออายุครบ 2 ขวบ หากคุณสังเกตเห็นว่าขาของลูกไม่ยืดออกหรือขายังคงโก่ง แบบมีความชัดเจนมากขึ้นเมื่ออายุมากขึ้น ให้ไปพบแพทย์เพื่อรับการประเมิน การวินิจฉัยและการรักษาตั้งแต่เนิ่น ๆ มีประสิทธิภาพสูงสุดในการหยุดไม่ให้แย่ลง และป้องกันภาวะแทรกซ้อน เช่น โรคข้ออักเสบและความเสียหายของเส้นประสาทที่เกิดขึ้น

ข้อมูลอ้างอิงจาก นพ.ปวริศร สุขวนิช เพจ กระดูกเด็ก ๆ /my.clevelandclinic.org/รพ.สินแพทย์

อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

ขาโก่งเข้า (Knock knee) อันตรายแค่ไหน

อันตรายหากลูกมีอาการ ภูมิแพ้เฉียบพลันรุนแรงในเด็ก

เด็กไทย เตี้ยแคระแกร็น โลหิตจาง แคลเซียมวิตามินดีต่ำ

ลูกกล้ามเนื้อกระตุกไม่มีเหตุผล ระวังเป็น ลมชักในเด็ก

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

เรื่องที่คนอ่านมากสุด

keyboard_arrow_up