พบเด็กในเขตพื้นที่หัวหมากติดเชื้อ “โรคแท้งติดต่อ” จากแพะ

นายสัตวแพทย์อยุทธ์ อธิบดีกรมปศุสัตว์ เผยว่ามีรายงานพบเด็กชาย อายุ 12 ปี อาศัยอยู่ในแขวงหัวหมาก เขตบางกะปิ กรุงเทพมหานคร ป่วยด้วยโรคแท้งติดต่อ หรือ โรคบรูเซลโลซีส (Brucellosis) ซึ่งเป็นโรคติดต่อจากสัตว์สู่คน โดยมีโค,กระบือ,แพะ,แกะ เป็นพาหะนำโรคนั้น

เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ปศุสัตว์ ได้สอบสวนโรคแท้งติดต่อหรือโรคบรูเซลโลซิส ที่บ้านผู้ป่วยและสันนิษฐานว่าเด็กน่าจะติดเชื้อจากการสัมผัสแพะในพื้นที่ดังกล่าวซึ่งมีฟาร์มเลี้ยงแพะหลายแห่งหรือเด็กอาจจะดื่มนมแพะที่ไม่ผ่านการต้มฆ่าเชื้อ อธิบดีกรมปศุสัตว์ จึงได้ระดมเจ้าหน้าที่เข้าพื้นที่ เจาะเลือดแพะทุกตัว ทุกฟาร์มในพื้นที่แขวงหัวหมาก เพื่อค้นหาแพะที่เป็นพาหะนำโรคแท้งติดต่อ หรือ บรูเซลโลซีส ในพื้นที่ต่อไป

711585-02

โรคบรูเซลโลซิส (Brucellosis) หรือ “โรคแท้ง” “โรคแท้งติดต่อ” เป็นโรคติดต่อเรื้อรังที่สำคัญของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม เช่น โค กระบือ สุกร แพะ ม้า สุนัข เป็นต้น และติดต่อสู่คนได้ ลักษณะที่ควรสังเกตของโรคนี้ คือ สัตว์จะแท้งลูกในช่วงท้ายของการตั้งท้องและอัตราการผสมติดในฝูงจะต่ำ และเนื่องจากโรคนี้สามารถติดต่อถึงคนได้ โดยทำให้คนมีไข้สูงหรือมีการติดเชื้อเฉพาะที่เช่น กระดูก เนื้อเยื่อ และอวัยวะในระบบต่างๆ เมื่อสัตว์เป็นโรคนี้แล้ว ไม่แนะนำให้รักษาเนื่องจากไม่ให้ผลดีเท่าที่ควร

ดังนั้น วิธีที่ดีที่สุดคือ การควบคุมและป้องกัน โดยที่เจ้าของสัตว์เลี้ยงควรตรวจโรคทุกๆ 6 เดือน ในฝูงโคและแพะที่ยังไม่ปลอดโรค และทุกปีในฝูงโคและแพะที่ปลอดโรค ในกรณีที่มีสัตว์ที่ตรวจพบว่าเป็นโรคควรจะแยกออกจากฝูง คอกสัตว์ป่วยด้วยโรคนี้ ต้องใช้น้ำยาฆ่าเชื้อทำความสะอาดแล้วทิ้งร้างไว้อย่างน้อย 1 เดือน ก่อนนำสัตว์ใหม่เข้าคอก ทำลายลูกที่แท้ง รก น้ำคร่ำ โดยการฝังหรือเผา แล้วทำความสะอาดพื้นที่นั้นด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ กำจัด นก หนู แมลง สุนัข แมว และสัตว์เลี้ยงอื่นซึ่งเป็นตัวแพร่โรคออกไป สัตว์ที่นำมาเลี้ยงใหม่ ต้องปลอดจากโรคนี้ก่อนนำเข้าคอก

อธิบดีกรมปศุสัตว์ ยังได้กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ โคและแพะพ่อพันธุ์ที่ใช้ในฟาร์มต้องไม่เป็นโรคนี้และควรฉีดวัคซีนป้องกันโรคนี้ในโค กระบือ เพศเมีย อายุ 3 – 8 เดือน ซึ่งจะทำให้มีภูมิคุ้มกันโรคได้นานถึง 6 ปี…

อ่านต่อ >> ทำความรู้จัก “โรคแท้งติดต่อ”(บรูเซลโลซิส) โรคติดเชื้อจากสัตว์เลี้ยง” คลิกหน้า 2

    ฟันน้ำนมหลุดช้า เป็นเพราะอะไร

    มีการศึกษาพบว่า การที่ฟันน้ำนมหลุดช้าหรือเร็ว สัมพันธ์กับการเจริญเติบโตและความสมบูรณ์ของร่างกาย เด็กที่โตช้า ฟันน้ำนมมักจะหลุดช้า ส่วนเด็กที่โตเร็ว ฟันน้ำนมจะหลุดเร็วและเป็นหนุ่มสาวเร็ว ทั้งนี้การที่ฟันน้ำนมหลุดช้าหรือเร็วเกินไปไม่ได้มีผลเสียต่อสุขภาพฟันแต่อย่างใด

    หากฟันแท้ขึ้นเร็ว คุณพ่อคุณแม่อาจต้องช่วยลูกในการดูแลสุขภาพฟันมากขึ้น เนื่องจากฟันแท้ที่ขึ้นมาโดยเฉพาะฟันกรามมักจะมีร่องฟันลึก เสี่ยงต่อการเกิดฟันผุได้ง่าย แต่สามารถป้องกันได้โดยการเคลือบหลุมร่องฟัน เพียงพาลูกไปพบทันตแพทย์อย่างสม่ำเสมอทุก 6 เดือน ทันตแพทย์จะแนะนำเรื่องทันตกรรมป้องกัน ทำให้ลูกมีสุขภาพฟันที่ดีต่อไปค่ะ

    baby-teeth-1402482_960_720

    หาก 7 ขวบแล้ว แต่ฟันน้ำนมยังไม่หลุดเลยสักซี่ ถือว่าผิดปกติหรือไม่ 

    ไม่ผิดปกติค่ะ อันที่จริงต้องชื่นชมความสามารถในการดูแลฟันเป็นอย่างดี จนไม่ทำให้ฟันน้ำนมต้องจากไปก่อนวัยอันควร มีการทำความสะอาดโดยการแปรงฟัน ไม่มีฟันผุจากการกินของหวาน ติดดูดนมขวดคาปากจนหลับ หรือตื่นขึ้นมาดูดนมตอนกลางดึก ไม่มีอุบัติเหตุที่ทำให้ฟันหลุดก่อนกำหนด

    ฟันแท้จะมาเร็วหรือช้าเป็นความหลากหลายของแต่ละบุคคล หากถึงเวลาที่ฟันแท้ใกล้ขึ้น ฟันน้ำนมจะเริ่มโยกและหลุดออกเองเนื่องจากแรงเบียดจากฟันแท้ที่อยู่ข้างเคียง โดยทั่วไปแล้ว ฟันน้ำนมจะหลุดออกไปเองภายใน 2-3 เดือนหลังจากเห็นฟันแท้ (แต่บางรายอาจนานถึง 6 เดือน) จึงไม่จำเป็นต้องรีบถอนฟันน้ำนมออกไป

    คุณแม่อาจกังวลว่าเป็นเพราะฟันน้ำนมไม่หลุดออกไป ฟันแท้จึงขึ้นซ้อนอยู่ด้านหลัง แทนที่จะขึ้นตรงตำแหน่งเดิมของฟันน้ำนม แต่ความเป็นจริงคือ แนวฟันแท้เป็นคนละแนวกับฟันน้ำนม คือจะอยู่ด้านหลังกว่าค่ะ และการที่ฟันน้ำนมหลุดช้าก็ไม่ได้ทำให้ฟันเก แต่ตรงกันข้าม คือถ้าหลุดเร็วเกินไป จะทำให้มีช่องว่างที่เหงือกโล่งๆ ฟันแท้ที่ขึ้นมาก็จะไม่มีแผงกั้น ทำให้เรียงตัวไม่เป็นระเบียบ เกิดปัญหาฟันล้ม ฟันเกได้ จึงควรเก็บรักษาฟันน้ำนมไว้ให้นานที่สุด

    Weisheitszähne-1

    ฟันกรามซี่แรกของลูกเพิ่งหลุดตอนอายุ 10 ขวบนี่เอง อย่างนี้ถือว่าช้าไปไหมนะ

    พ่อแม่ส่วนใหญ่มักงุนงงกับปัญหาข้อนี้ ฟันน้ำนมซึ่งเป็นฟันชุดแรกของเด็กๆ นั้นมีประมาณ 20 ซี่ พอเด็กอายุครบเกณฑ์ ฟันหน้าจะเริ่มหลุดไปก่อนตั้งแต่ตอน 6 ขวบ ขณะที่ฟันข้าง (ตั้งแต่ตำแหน่งของเขี้ยวไปทางด้านหลัง) จะเริ่มหลุดหลังจากนั้นคือราว 6 – 7 ขวบ และสุดท้ายคือฟันกราม จะหลุดออกไปตอนอายุ 10 ขวบ – 12 ปีแต่ค่าเฉลี่ยนี้ก็ไม่ได้ตายตัวสำหรับเด็กทุกคน

    มีข้อมูลเพิ่มเติมสำหรับข้อสงสัยของคุณพ่อคุณแม่ท่านอื่นๆ ที่ว่า ฟันน้ำนมหลุดแล้ว เมื่อไรฟันแท้จะขึ้น ในกรณีที่ฟันน้ำนมหลุดตามธรรมชาติ ไม่ได้ถูกถอนหรือหลุดไปก่อนกำหนด ฟันแท้จะขึ้นหลังจากฟันน้ำนมหลุดไปแล้วไม่เกิน 3 – 6 เดือน ถ้าฟันแท้ไม่ขึ้นนานเกิน 6 เดือน ควรพาลูกไปปรึกษาทันตแพทย์เพื่อวินิจฉัยอาการทันที

    คลิกอ่านบทความที่เกี่ยวข้อง เรื่อง : 

    ใช้ผลไม้ช่วยลูกโยกฟันน้ำนม อย่างปลอดภัย

    ที่มา: กองบรรณาธิการ
    ภาพ : shutterstock

      เข้าโรงเรียน อายุเท่าไหร่

      ลูกเราควรไปโรงเรียนตอนอายุเท่าไหร่?

      ควรส่งลูกไปจากเราเมื่อไร?

      มีคำถามเสมอว่าควรส่งลูกไปโรงเรียนเมื่อไร น่าจะถามใหม่ว่า ควรส่งลูกไปจากเราเมื่อไร? คำตอบที่ตรงไปตรงมาและไม่เกรงใจกระแสสังคมคืออย่างเร็วที่สุดก็ 6 ขวบ  และควรมีข้อห้ามห้ามส่งลูกไปจากเราก่อนอายุ 3 ขวบ

      เป็นที่เข้าใจได้ว่าเราต้านกระแสสังคมได้ยาก  ได้ยินมาว่าคุณพ่อคุณแม่จำนวนมากส่งลูกไปสถานรับเลี้ยงเด็กเร็วมาก บ้างส่งลูกไปโรงเรียนอนุบาลเร็วมาก อีกทั้งได้ยินเรื่องการกวดวิชาเพื่อเข้าเรียนชั้นอนุบาลและการสร้างห้องอัจฉริยะสำหรับเด็กอนุบาล   จะเป็นอย่างไรก็ตาม   หากคุณพ่อคุณแม่เข้าใจพัฒนาการของเด็กเล็กไว้บ้างก็สามารถผ่อนหนักเป็นเบาหรือช่วยทุเลาความเสียหายได้บ้าง

      เข้าโรงเรียน อายุเท่าไหร่

      สำหรับคนที่ไม่ชอบวิชาการ  ก็ไม่จำเป็นต้องรู้อะไรมาก  เกิดเป็นพ่อแม่  ให้เวลาเขามากที่สุด  เล่นกับเขามากที่สุด  และอ่านหนังสือให้เขาฟังก่อนเข้านอนตั้งแต่แรกเกิด   ทำเท่านี้ทุกอย่างจะดีเอง

      เหตุผลที่เราไม่อยากให้ลูกไปจากเราก่อน 3 ขวบเพราะ 3 ขวบปีแรกเขามีภารกิจที่ต้องทำหลายข้อ  แต่ละข้อนั้นอาศัยคุณแม่และ/หรือคุณพ่อ หรือผู้ใหญ่ที่อุทิศตนหนึ่งคนทำหน้าที่ช่วยเหลือเขา   ภารกิจเหล่านี้เขาทำเองไม่ได้และคุณครูที่โรงเรียนก็ช่วยไม่ได้

      อ่านต่อ “ภารกิจ 3 ข้อที่ต้องทำก่อนส่งลูกเข้าโรงเรียน” คลิกหน้า 2

      banner300x250-1

        ทักษะใหม่ที่มีติดตัว

        10 ทักษะใหม่ ที่เด็กไทยควรมีติดตัว เพื่อการอยู่รอดในอนาคต

        ทักษะใหม่ มีเพื่อรองรับในอนาคตอันใกล้เทคโนโลยีจะมีบทบาทกับชีวิตมากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่นี้ นวัตกรรมสมัยใหม่ทั้งหมดจะเข้ามามีบทบาทกับระบบงาน ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเรียนรู้ทักษะใหม่ ให้กับเด็กรุ่นปัจจุบันเพื่อจะได้ปรับตัวเข้ากับงานใหม่ๆ ที่จะรองรับพวกเขาในอนาคต

        อีก 5 ปีข้างหน้า โลกของการทำงานจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้  มาดูกันว่ามี 10 ทักษะ ใดบ้างที่จำเป็นจะต้องปลูกฝังลูกตั้งแต่วันนี้

        1 ทักษะ สำคัญสอนความ “มั่นคงทางอารมณ์” กับเด็ก

        เนื่องจากเทคโนโลยีจะไปเร็วมาก  เมื่อวันนี้เราได้รับข่าวแบบหนึ่ง  วันต่อมาอาจจะได้รับข่าวอีกแบบหนึ่ง  ซึ่งความเป็นจริงพื้นฐานนั้นควรจะอยู่ในวิจารณญาณของผู้อ่าน  ซึ่งหากเราเชื่อไปตามกระแสที่เปลี่ยนแปลงไปทุกวัน จะทำให้ตัดสินใจผิดพลาด เพราะฉะนั้นจึงต้องปลูกฝังให้ลูกมีพื้นฐานองค์ความรู้ให้มากที่สุด  เพื่อเป็นฐานให้กับสมองสำหรับใช้ประเมินข้อมูลจำนวนมากที่เขาจะได้รับ

        2 เตรียมพร้อม “ภาษาที่สองและสาม”

        ข้อมูลข่าวสารจะไม่มาเป็นภาษาไทยเพียงอย่างเดียวแล้ว  โดยสากลแม้จะใช้ภาษาอังกฤษ แต่ภาษาอื่นๆ ก็น่าสนใจไม่เหมือนกัน เช่น ภาษาจีน  ภาษาฝรั่งเศส  ภาษาละติน  ซึ่งต้องยอมรับว่าจะให้ลูกเรียนภาษาเดียวต่อไปนั้นไม่ได้แล้ว  อย่างน้อยก็ควรจะเรียนภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สองและมีภาษาอื่นๆ เป็นภาษาที่สามหากเป็นไปได้

        3 สอนให้ลูก “ขวนขวายหาความรู้” ด้วยตัวเอง

        เมื่อลูกโตขึ้นพอจะรู้ความแล้วมีคำถามว่า “พ่อคะ  สิ่งนี้มันเกิดขึ้นได้อย่างไรคะ?”  แทนที่จะเฉลยบอกไปตรงๆ  คุณอาจจะต้องลับสมองให้ลูกลองหาคำตอบได้ด้วยตัวเอง “แล้วลูกคิดว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไรล่ะ”  … “หนูคิดว่า…”  เด็กๆ ก็จะมีกระบวนการคิด  และตั้งสมมติฐานเพื่อหาคำตอบ   โดยแรกๆ เขาอาจจะยังไม่รู้ว่าจะไปหาข้อมูลเหล่านี้มาได้จากไหน  แต่ยุคของการเซิร์ส (Search) อย่างปัจจุบันนั้นไม่ยากเลย  เพียงแต่จะต้องเลือกคีย์เวิร์ด (Keyword) ที่ใกล้เคียงที่สุดเป็น

        4 ไม่คิดแทนลูก “ให้ลูกคิดเอง”

                  ไม่ทึกทักเอาคำตอบมาบอกลูกในทันที เพราะจะทำให้เด็กไม่สามารถวิเคราะห์เองได้เป็น  เด็กจะเข้าใจว่าหากเขาไม่เข้าใจหรือมีคำถาม  เดี๋ยวคุณพ่อคุณแม่ก็จะมาบอกเขาเอง  ซึ่งในอนาคตหากลูกจะต้องทำงานและอยู่ร่วมสังคมกับคนอื่น ก็จะทำให้ลูกไม่สามารถแก้ปัญหาได้ด้วยตัวเอง

        5 “รู้จักเทคโนโลยีใหม่ๆ”

        พ่อแม่ต้องเลือกใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ ให้เป็น  และก่อนจะหยิบยื่นเทคโนโลยีให้กับลูกนั้นจะต้องควบคุมได้  เลือกเทคโนโลยีที่เหมาะกับช่วงวัยของลูก และสอนถึงปัญหาและวิธีการแก้ปัญหาด้วย  เพราะหากปิดกั้นทั้งหมด  อนาคตเด็กก็จะปรับตัวไม่ทันกับการเลือกใช้อุปกรณ์ต่างๆ แต่หากลูกยังไม่พร้อมทั้งทักษะทางร่างกายและการตัดสินใจพ่อแม่ยังไม่ควรหยิบยื่นให้

        อ่านเรื่อง “10 ทักษะใหม่ ที่เด็กไทยควรมีติดตัว  เพื่อการอยู่รอดในอนาคต” คลิกหน้า 2

          ข้อคิดจากใจพ่อ 60 ข้อ ที่ควรกระทำ

          อาจารย์มงคล กริชติทายาวุธ ได้รวบรวม ข้อคิดจากใจพ่อ เอาไว้ ซึ่งเป็นพระราชดำรัสบางส่วน ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช พ่อของแผ่นดิน เพื่อเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตของลูกๆ ชาวไทยทุกคน อ่านแล้วลองปฏิบัติตาม และนำไปสอนลูกหลานกันค่ะ

          Continue reading “ข้อคิดจากใจพ่อ 60 ข้อ ที่ควรกระทำ”

            โรคยอดฮิต โรคในเด็ก ลูกไม่สบาย

            5 อันดับโรคยอดฮิตของเด็กไทย

            โรคยอดฮิตในเด็กไทย ที่เด็กทุกคนต้องเป็นกันสักครึ่งหนึ่งในชีวิตกว่าจะโตเป็นผู้ใหญ่ มีอะไรบ้าง Amarin Baby & Kids มีข้อมูลมาฝาก 5 โรคด้วยกันค่ะ

            1. โรคหวัด

            หวัดมีหลายชนิดแต่พ่อแม่ไม่ต้องตกใจเพราะระบาดไปตามฤดู บางสายพันธุ์บางชนิดจะดุหน่อย เช่น เชื้อไวรัส RSV (Respiratory Syncytial Virus) ที่หลายคนค่อนข้างจะตกใจกลัวกัน แต่ที่จริงแล้วสำหรับเด็กที่มีอาการหอบหืดอยู่แล้วหรือมีพื้นฐานหลอดลมไม่แข็งแรงพอ เมื่อเป็น RSV ก็จะมีเสมหะมาก หายใจลำบาก บางครั้งจะลุกลามกลายเป็นโรคปอดบวม ซึ่งสิ่งสำคัญที่สุดคือ พ่อแม่ต้องสังเกตอาการลูก

            พ่อแม่หลายคนจะมีคำถามว่าเมื่อไหร่จะพามาหาหมอได้ ไข้จะต้อง 39 องศาเซลเซียสไหม หรือ 38.9 องศาเซลเซียสจะต้องมาไหม คำถามพวกนี้ไม่ได้ช่วยการดูแลคนไข้ เราก็จะบอกให้ดูอาการของลูกเป็นหลัก ใช้ความรู้สึกของความเป็นพ่อแม่ ลูกอาการผิดไปจากเดิมไหม เช่น ไข้สูง หนาวสั่น หรือไอจนอาเจียน แบบนี้ก็ต้องพามาทันที ไม่ต้องรอดูอาการถึง 3 วัน

            ส่วนเรื่องการฉีดวัคซีนหลายคนคงสงสัยว่าฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่แล้วแต่ทำไมยังเป็นหวัดอยู่ นั่นเป็นเพราะว่าเชื้อหวัดมีหลายชนิด การฉีดวัคซีนในทางการแพทย์สามารถลดอัตราเสี่ยงได้ 60-70% ก็ถือว่าป้องกันได้ดีเยี่ยมแล้ว แต่ถ้าต้องการผลลัพธ์ถึง 100% อาจเป็นไปไม่ได้

            อ่านเพิ่มเติม “โรคหวัด“ โรคฮิตติดชาร์ตทุกฤดู

            โรคยอดฮิต โรคในเด็ก ลูกไม่สบาย

            2. โรคท้องเสีย

            โรคที่นอกจากจะเกี่ยวพันกับเรื่องของสุขอนามัยแล้ว ยังมีไวรัสบางตัวที่แพร่กระจายตามฤดูกาลอย่างโนโรไวรัสและโรต้าไวรัสด้วย ซึ่งปัจจุบันมีวัคซีนสำหรับโรต้าไวรัสแล้ว ช่วยลดอัตราการเจ็บป่วยได้พอสมควร แต่วัคซีนสำหรับโนโรไวรัสยังไม่มี ทั้งนี้ถ้าลูกมีอาการท้องเสียอย่างหนัก ในเบื้องต้นต้องเช็กเสียก่อนว่ามีอาเจียนร่วมด้วยหรือท้องเสียเพียงอย่างเดียว จากนั้นมาดูกันต่อว่าลูกมีอาการอย่างไรบ้าง ถ้ายังเล่นได้ร่าเริงกินได้เป็นปกติมีถ่ายเหลวๆบ้างแบบนี้ไม่น่าห่วง รอดูอาการไปก่อนแล้วปรับเปลี่ยนให้ดื่มนมหรือน้ำผลไม้น้อยลงแล้วให้กินอาหารที่ย่อยง่ายปรุงสุกสะอาดอย่างข้าวต้ม หรือใช้เกลือซองโออาร์เอสเข้ามาเสริมน้ำที่ลูกเสียไป ซึ่งสามารถใช้ได้ทั้งเด็กเล็กและเด็กโตด้วยการชง 1 ซองผสมน้ำเปล่า 5 ออนซ์ ไม่ควรให้ดื่มน้ำเปล่าอย่างเดียว อาการอาจแย่ลงกว่าเดิมได้

            แต่ถ้าเราหาเกลือโออาร์เอสไม่ได้ ลองใช้น้ำมะพร้าวอ่อนแทน หรือเครื่องดื่มเช่น สไปรท์ เพราะเวลาที่เราอาเจียนหรือท้องเสียถ่ายเหลวเป็นน้ำร่างกายจะสูญเสียทั้งเกลือแร่และพลังงานเราจึงควรให้น้ำตาลและเกลือควบคู่กันเพื่อช่วยการดูดซึมของน้ำที่สูญเสียระดับโซเดียมของเกลือไปเยอะ

            อ่านต่อ “5 โรคยอดฮิตของเด็กไทย” คลิกหน้า 2

            banner300x250-1

              เลือกเครื่องฟอกอากาศให้ปลอดภัยกับลูกรักและทุกคนในครอบครัว

              ปัจจุบันนี้นี้มลพิษไม่ได้มีแค่ข้างนอกบ้านเท่านั้น เพราะแม้แต่ในบ้านของเราเองที่เราคิดว่าเป็นที่ที่ปลอดภัยที่สุด ก็ยังมีฝุ่นละอองมลพิษอยู่ทั่วทุกอณู ซึ่งมลพิษด้านอากาศภายในบ้านนั้น สามารถจะเลวร้ายกว่านอกบ้านได้ถึง 5 เท่า ผู้คนส่วนใหญ่ จึงเริ่มเป็นภูมิแพ้ ชนิด แพ้อากาศ กันมากขึ้น นับเป็นปัญหามลภาวะทางอากาศแบบหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งสารที่ทำให้เกิดกลุ่มอาการผู้ป่วยอันเนื่องมาจากมลพิษในอากาศภายในอาคารบ้านเรือน ได้แก่

              1. แร่ใยหิน (แอสเบสทอส) จากการบุฉนวนตึก ทำให้เกิดอาการทางปอดหลายอย่างและเหนื่อยง่าย

              2. เรดอนเป็นก๊าซที่มีอยู่ทั่วไปในพื้นดิน ซึ่งอาจสะสมรวมอยู่ในมลพิษในอากาศภายในอาคาร ตึกที่ทำงานหรือในบ้านที่มีอากาศถ่ายเทไม่ดีพอ เรดอนเป็นก๊าซที่เกิดจากสลายตัวของเรเดียม ซึ่งถ้าสะสมอยู่มากจะทำอันตรายต่อร่างกายได้ เรดอน ยังเป็นสาเหตุปัจจัยที่สำคัญรองลงมาจากการสูบบุหรี่ในการที่ทำให้เป็นมะเร็งปอด

              3. สารประกอบอินทรีย์ระเหยและกึ่งระเหย หลายอย่างจากการเผาไหม้ของไม้ ควันบุหรี่ น้ำ สีทาบ้าน ฯลฯ เป็นอันตรายต่อปอด

              4. ฝุ่นละออง เชื้อโรคต่างๆ ก๊าซชนิดต่างๆ รวมทั้งฟอร์มัลดีฮัยด์ จากฟองฉนวน (foam insu­lator) ไม้อัด ทำให้เกิดปฏิกิริยาภูมิแพ้

              Dyson pure cool link

              วิธีกำจัดฝุ่นภัยร้ายในบ้าน ฝุ่น แม้จะเป็นเพียงเศษผงเล็ก ๆ ที่มองด้วยตาเปล่าแทบไม่เห็น  แต่มีพิษสงที่ไม่ได้เล็กตามตัวเลย สามารถก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพตามมามากมาย เพื่อป้องกันลูกรักและทุกคนในบ้านให้ปลอดภัยจากเจ้าฝุ่นร้าย Amarin Baby & Kids ขอแนะนำวิธีที่จะทำให้บ้านของคุณสะอาดปลอดจากฝุ่นละองมากขึ้น…

              1.จำกัดทางเข้าของฝุ่น ฝุ่นส่วนใหญ่จะเข้ามาทางหน้าต่าง หรือประตู ซึ่งบริเวณหน้าต่างนั้นก็มีผ้าม่านกั้นไว้อยู่แล้ว แต่ส่วนประตูให้นำเสื่อ หรือพรมเช็ดเท้ามาวางไว้บริเวณหน้าประตู เพื่อช่วยดักจับฝุ่น ก่อนปลิวเข้ามาในบ้านของเราได้

              2.ใช้ผ้าสำหรับทำความสะอาดโดยเฉพาะ การใช้ผ้าที่นุ่มหรือแห้งมากเกินไปนอกจากจะทำให้เราต้องออกแรงมากขึ้นแล้ว และผ้าทั่วไปยังมีคุณสมบัติในการเก็บฝุ่นอีก   แนะนำให้ใช้ผ้าสำหรับทำความสะอาดโดยเฉพาเช่น ผ้าไมโครไฟเบอร์ หรือฟองน้ำดีกว่า เพราะนอกจากจะสะดวกต่อการทำความสะอาดแล้ว ยังไม่ทิ้งริ้วรอยบนพื้นผิวอีกด้วย

              3.ทำความสะอาดของใช้ต่าง ๆ อย่างสม่ำเสมอ และกำจัดไรฝุ่น ตามจุดต่างๆ ภายในบ้าน เพราะฝุ่นมักจะไปสะสมตามบริเวณขอบตู้ ขอบเตียง ขอบหน้าต่าง หมั่นนำปลอกหมอน ผ้าปูที่นอนไปซัก ส่วนหมอนต่าง ๆ ทั้งหมอนอิง หมอนหนุน หมอนข้างก็ควรนำไปตากแดด และหากคุณพ่อคุณแม่สังเกตเห็นว่าลูกน้อยมีอาการจาม ทุก ๆ เช้าหลังตื่นนอน นั่นไม่ใช่สัญญาณของไข้หวัดแต่มันคืออาการของภูมิแพ้ ซึ่งมีสาเหตุมาจาก ไรฝุ่นบนที่นอนของคุณนั่นเองหากอยากให้อาการนี้หายไป คุณพ่อคุณแม่ต้องลดปริมาณ ไรฝุ่น ในทุกๆห้องอย่างสม่ำเสมอโดยเฉพาะห้องที่สมาชิกในครอบครัวอาศัยอยู่รวมกันเป็นประจำ ไม่ว่าจะเป็นห้องนั่งเล่น หรือห้องนอน และการสร้างบรรยากาศให้สดชื่นด้วยการติดตั้งเครื่องฟอกอากาศที่มีมาตรฐานในการกำจัดฝุ่นก็สามารถช่วยฟอกอากาศกำจัดไรฝุ่นได้เป็นอย่างดี

              การเลือกเครื่องฟอกอากาศที่ดี

              เครื่องฟอกอากาศที่ดีจะต้องเป็นเครื่องที่มีขนาดใหญ่เพียงพอกับขนาดของห้องและได้มาตรฐาน เครื่องฟอกอากาศที่ไม่ได้มาตรฐานในการกำจัดฝุ่น นอกจากจะไม่ช่วยลดจำนวนฝุ่นที่มีอยู่ในอากาศแล้ว อาจจะเป็นตัวที่ทำให้ฝุ่นฟุ้งกระจายไปทั่วห้องได้อีก ทำให้ผู้ป่วยมีอาการมากขึ้นไปอีก ด้วยเหตุนี้เอง  จึงมีผู้คิดค้นเครื่องฟอกอากาศภายในบ้านเพื่อให้อากาศในบ้านนั้นน่าหายใจกว่าอากาศภายนอก

              Dyson03

              เพราะอากาศที่ดี เราสร้างได้ ซึ่งเครื่องฟอกอากาศ ปราบเชื้อโรค รุ่นใหม่ Dyson Pure Cool Link (Dyson pure cool N475) มีคุณสมบัติและความสามารถที่แตกต่างจากเครื่องฟอกอากาศทั่วไป สามารถลดสารที่ก่อให้เกิดการแพ้ในอากาศได้ถึงร้อยละ 99.95 โดยอัตโนมัติ และขจัดอนุภาคที่อาจก่ออันตรายกับลูกน้อยและทุกคนในบ้าน ซึ่งมีขนาดละเอียดเพียง 0.1 ไมครอน (PM 0.1) ทั้งยังมีดีไซน์ที่ล้ำยุค ทรงสูง เป็นเสมือนพัดลมตั้งพื้นและเครื่องฟอกอากาศในตัวเดียวกัน ตัวเครื่องถูกแบ่งเป็น 2 ส่วนคือ ส่วนกรอง (อยู่ทางด้านล่าง) และส่วนของการกระจายลม (อยู่ทางด้านบน) ขนาดกะทัดรัดเคลื่อนย้ายได้สะดวก ดูด
              อากาศเข้าได้ตลอด 360 องศา ทำให้สามมารถวางไว้ที่ใดก็ได้ภายในบ้านDyson02

               

              ด้วยเทคโนโลยี Air multiplier ทำให้หมดปัญหาเรื่องฝุ่นบนพัดลม และป้องกันลูกน้อยเอามือเข้าไปในพัดลมและยังได้รับการรับรอง (Certificate) จาก allergy standards limitedว่าเป็นมิตรกับโรคหอบหืดและภูมิแพ้ หมุนเวียนอากาศ

              Dyson pure cool link

               

               

               

               

               

               

               

              หลักการทำงานของเจ้าเครื่องฟอกอากาศตัวนี้ จะใช้มอเตอร์ความเร็วสูง ดูดอากาศภายในห้องเข้าไปในตัวเครื่องผ่านกรองชนิดพิเศษที่สามารถดักจับฝุ่นละออง, เกสรดอกไม้,  เชื้อแบคทีเรีย, ขนสัตว์,กลิ่นไม่พึงประสงค์ และสารก่อภูมิแพ้ต่าง ๆ ที่อยู่ทางส่วนล่างของเครื่อง จากนั้นจะส่งอากาศที่สะอาดออกทางช่องด้านบน ในแนวยาว กินพื้นที่ในแนวตั้ง

              Dyson pure cool link

              อีกทั้งยังสามารถฟอกอากาศให้บ้านของคุณได้ตลอดทั้งปี เช่น เมื่ออากาศภายนอกบ้านเย็น ก็เลือกใช้ค่าระดับ 1-3 อากาศที่ฟอกแล้วจะหมุนเวียนอยู่ภายในห้อง และเป็นพัดลมฟอกอากาศในฤดูร้อน เมื่อต้องการความเย็นไปพร้อมกับอากาศที่สะอาดทั่วห้อง ให้เลือกใช้ค่าระดับ 4-10 จะทำให้กระแสลมที่นุ่มนวลรัศมีไกล ขณะที่หมุนเวียนอากาศที่ฟอกแล้วไปทั่วห้องด้วยในเวลาเดียวกัน สามารถใช้พัดลมเครื่องฟอกอากาศ Dyson รุ่นใหม่นี้ร่วมกับเครื่องปรับอากาศภายในบ้านของคุณ เพื่อให้กระแสลมเย็นหมุนเวียนได้ไกลและรวดเร็วยิ่งขึ้น

              คุณพ่อคุณแม่ยังสามารถเลือกปรับเปลี่ยนโหมดการทำงานได้หลายรูปแบบอีกด้วย ทั้งโหมดการทำงานแบบปกติ หรือ โหมดกลางคืน (เสียงเงียบ) ไม่รบกวนการนอนของลูกน้อย และสำหรับความพิเศษของพัดลมฟอกอากาศ Dyson ในโหมดกลางคืนนี้นอกจากจะมีเสียงเงียบแล้ว ตัวเครื่องจะคอยตรวจตราคุณภาพอากาศและตอบสนองขณะที่ลุกของคุณและทุกคนในห้องนอนหลับอยู่แสงจากหลอด LED จะแสดงสถานะหรี่ลงเพื่อไม่ให้รบกวนการนอน

              Dyson pure cool link

              นอกจากนั้นเรายังสามารถควบคุมการทำงานของเครื่องผ่านทางสมาร์ทโฟน โดยมีแอพสำหรับควบคุมเครื่อง ให้คุณพ่อคุณแม่ใช้ดูสถิติ และตรวจสอบสภาพอากาศในบ้านของเราได้ตลอดเวลาแม้ว่าไม่ได้อยู่ในบ้าน การปรับความแรงของลม, การตั้งเวลาการทำงาน หรือแม้กระทั่งการเลือกควบคุมการส่ายของส่วนจ่ายลมก็สามารถทำได้เช่นกัน … อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ >> www.dyson.co.th


              Tip special

              บทสัมภาษณ์พิเศษเกี่ยวกับโรคภูมิแพ้อากาศ จาก พญ.จรุงจิตร์ งามไพบูลย์

              catsตำแหน่ง

              >> อาจารย์พิเศษ หน่วยโรคภูมิแพ้และอิมมูนวิทยา ฝ่ายกุมารเวชศาสตร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์

              >> หัวหน้าศูนย์สุขภาพเด็ก โรงพยาบาลพญาไท 2

              ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

              โรคภูมิแพ้อากาศ (เกิดจากสารก่อภูมิแพ้ในอากาศ ส่วนพวกอากาศเปลี่ยนแปลง เป็นแค่ตัวกระตุ้นที่ทำให้เกิดอาการเนื่องจากคนกลุ่มนี้จะไหวต่ออากาศที่มีการเปลี่ยนแปลง)
              1. โรคหอบหืด
              2. โรคภูมิแพ้จมูกอากาศ (พบบ่อยที่สุด ในเด็กร้อย ละ 50 / ผู้ใหญ่ร้อยละ 50)

              ความรุนแรงจะแตกต่างกัน ในเด็กสองในสามที่เป็นมีอาการเรื้อรังที่ต้องใช้ยาควบคุมอาการ

              1. โรคภูมิแพ้ออกตา

              สาเหตุ

              1. ไรฝุ่น 80-90% แพ้ไรฝุ่น , 2. แมลงสาป , 3. สัตว์เลี้ยงที่มีขน เช่น สุนัข แมว , 4. เชื้อรา ดอกหญ้า

              แพ้อากาศในกลุ่มหอบหืด กับจมูกจะมาคู่กัน จะแพ้คล้ายๆกัน แต่กลุ่มภูมิแพ้ออกตาจะเกี่ยวข้องกับละอองเกสรดอกไม้

              *สรุป คนที่แพ้อากาศต้องการการอาศัยอยู่ในห้องแอร์ เพื่อป้องกันไม่ให้สถานการณ์ไม่ดีเข้ามาในห้อง และสามารถควบคุมสภาพแวดล้อมได้ดีกว่า เช่นกันทำความสะอาดห้อง เช็ดฝุ่น จัดห้องให้เป็นระเบียบ

              • ไรฝุ่น

              หากแพ้ตัวไรฝุ่นเครื่องฟอกอากาศไม่สามารถช่วยได้ เพราะตัวไรอาศัยอยู่ในที่นอน ปัจจุบันการป้องกันตัวไรฝุ่นคือการใช้ปลอกหมอน ผ้าปูที่นอนถักทอกันไรฝุ่น แต่ไม่สามารถป้องกันได้ 100 % เนื่องจากตัวไรยังมาทางอากาศ  แต่ในกรณีที่เด็กเล่นกันบนที่นอนเช่นกระโดด หรือนำหมอนมาตีกัน ทำให้ตัวไรฝุ่นฟุ้งกระจายออกมาสู่อากาศ เครื่องฟอกอากาศอาจมีส่วนช่วยกรองไรที่ฟุ้งกระจายได้เท่านั้น แต่ไม่สามารถช่วยตัวไรที่อยู่ในที่นอนได้

              • แมลงสาบ

              ซากแมลงสาปเครื่องฟอกอากาศสามารถกรองได้ โดยส่วนใหญ่ถ้าเราไม่มีขนม ไม่ทานอาหารในห้องนอนก็จะไม่มีแมลงสาปอยู่แล้ว แต่เมื่อมีแมลงสาบอยู่ในห้องเมื่อมันตาย มันจะสลายกลายเป็นฝุ่น ตรงนี้เครื่องฟอกอากาศช่วยได้ เครื่องฟอกอากาศช่วยในทุกขั้นตอนของสารก่อภูมิแพ้ในอากาศ ยกเว้นตัวไร

              คำแนะนำสำหรับคนไข้กลุ่มภูมิแพ้

              1. ต้องนอนห้องแอร์
              2. ใส่ปลอกหมอนกันไรฝุ่น
              3. ติดเครื่องฟอกอากาศ

              เครื่องฟองอากาศช่วยในเรื่อง…

              • ดูดสารก่อภูมิแพ้ในอากาศ
              • กำจัดกลิ่น เช่น แป้ง น้ำหอม สเปรย์ (เด็กกลุ่มที่เป็นภูมิแพ้จะมีความไวกับกลิ่น)
              • แต่เครื่องฟอกอากาศไม่สามารถช่วยในกลุ่มคนที่แพ้เกสรดอกไม้ ดอกหญ้าได้ หากอาศัยอยู่ในห้องแอร์สามารถป้องกันได้ แต่ถ้าอยู่ข้างนอกช่วยไม่ได้

              ประโยชน์เครื่องฟอก

              • สามารถกรองเชื้อไวรัส แบคทีเรียได้ เช่น หากคนในบ้านป่วย คนอื่นก็ลดโอกาสที่จะป่วยตาม
              • เครื่องฟอกอากาศไม่สามารถรักษาโรคภูมิแพ้ได้ แต่สามารถใช้ควบคู่กับไปยารักษาโรคได้ เพื่อเป็นการป้องกันการเกิดโรค
              • เครื่องฟอกอากาศสามารถป้องกันการเกิดโรคได้
              ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
                ติดเชื้อเพราะถูกหอม

                ติดเชื้อเพราะถูกหอม อันตรายใกล้ตัวทารกและเด็กเล็ก

                ลูกชายของคุณแม่แอดมินเพจ เภสัชจิก อายุ 5 เดือน ติดเชื้อเพราะถูกหอม เนื่องจากเชื้อ RSV คุณแม่หมดเงินค่ารักษาพยาบาลไปหลายแสน เกิดจากการที่ถูกคนที่ไม่รู้จักมาขโมยหอมแก้ม ถึงแม้จะรีบเช็ดแก้ม เช็ดมือออกแล้วก็ตาม เชื้อไวรัสนี้ เป็นเชื้อยอดฮิตในหน้าฝน และน่ากลัว

                 

                พ่อแม่ระวัง!! ติดเชื้อเพราะถูกหอม อันตรายใกล้ตัวทารกและเด็กเล็ก

                ติดเชื้อเพราะถูกหอม

                เครดิตภาพ: เพจ เภสัชจิก

                 

                ไวรัส RSV คืออะไร?

                ไวรัส RSV (Respiratory Syncytial Virus) เป็นไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคระบบทางเดินหายใจ เป็นได้ทั้งเด็กเล็ก เด็กโต และผู้ใหญ่

                โดยเฉพาะเด็กอายุต่ำกว่า 3 ขวบ เชื้อจะเกิดขึ้นในทางเดินกายใจส่วนล่าง คือถุงลมในปอด หลอดลมในปอด โดยมีเสมหะคั่งมากในปอด และหลอดลม มีอาการหลอดลมบวม ทางเดินหายใจตีบแคบ เด็กจะหายใจครืดคราดในลำคอ น้ำมูกไหล หรือคั่งในจมูก ไม่ยืดออกมา ทำให้เสมหะเหนียว เด็กเล็กๆ มักจะไอเอาเสมหะออกมาไม่ได้ จึงทำให้หายใจลำบาก

                เด็กอายุมากกว่า 3 ขวบ ไปจนถึงผู้ใหญ่ เมื่อได้รับเชื้อมักอยู่แค่ทางเดินหายใจส่วนบน ไม่ลงปอด อาการจะไม่รุนแรง คล้ายหวัดธรรมดา อาจมีน้ำมูก ไอโขลกๆ มีเสมหะ ไม่มีไข้ ไม่ทันคิด และระมัดระวัง เผลอแพร่เชื้อให้เด็กเล็กโดยไม่รู้ตัว

                 

                อาการที่พ่อแม่ควรสังเกต

                1.หายใจครืดคราด มีลักษณะเหมือนมีเสมหะคั่งในคอ และจมูก หรือหายใจมีเสียงวี๊ด

                2.ไอโขลกๆ เด็กเล็กๆ จะกระแอมไม่เป็น ทำให้ร้องไห้งอแง

                3.หายใจถี่ หายใจเร็ว หอบเหนื่อย บางรายอาจขาดออกซิเจน ปากเขียว ตัวเขียว

                 

                การรักษา

                เนื่องจากโรคนี้เกิดจากเชื้อไวรัส จึงไม่มียารักษาเฉพาะ จึงทำได้แค่รักษาไปตามอาการ จนกว่าจะหายเอง โดยการให้น้ำเกลือ ดมท่อออกซิเจนตลอดเวลา พ่นยาขยายหลอดลม เป็นระยะตามที่คุณหมอเห็นสมควร เคาะปอด ดูดเสมหะ ซึ่งเป็นความทรมานใจมากของคนเป็นพ่อแม่ วัดค่าออกซิเจนวันละหลายครั้ง เพื่อป้องกันออกซิเจนในเลือดต่ำ ร่างกายจะขาดออกซิเจน รักษาแบบนี้จนกว่าจะหายดี

                ถ้าโชคดี ไม่มีไข้ ไม่นอนซม ดูดนมได้ปกติ และไม่มีการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน ก็จะหายเร็วกว่า ถ้าโชคร้าย ระบบหายใจแย่ หายใจเองไม่ได้ จำเป็นต้องใส่ท่อช่วยหายใจ และรักษาในห้องผู้ป่วยวิกฤติ (ICU) และมีโอกาสเสียชีวิตได้อย่างรวดเร็ว

                ฝากเตือนทุกคนทั้งที่มีลูก และไม่มีลูก ถ้าเห็นเด็กน่ารักน่าเอ็นดู ไม่ควรไปสัมผัส ลูบคลำ แตะต้อง กอด หอม ใดๆ ทั้งสิ้น เพราะเราอาจจะมีเชื้อโรคที่ไม่ก่อให้เกิดโรคกับเรา แต่ก่อให้เกิดโรคกับเด็กเล็กก็เป็นได้

                ติดเชื้อเพราะถูกหอม

                เครดิตภาพ: โรงพยาบาลลานนา

                อ่านเพิ่มเติม คลิก!!

                Save

                  คุมกำเนิด

                  คุมกำเนิดถาวร อีกทางเลือกที่ดีถ้ามีลูกพอแล้ว…

                  สำหรับคุณพ่อคุณแม่คนไหนที่สมหวังกับการมีลูก หรือมีลูกเพียงพอแล้วฉบับนี้เราจะมาแนะนำและให้คำปรึกษาเกี่ยวกับวิธีการ คุมกำเนิด หรือการทำหมันถาวรแบบปลอดภัย จากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยากันค่ะ

                  การทำหมันแบบ “คุมกำเนิดถาวร” คืออะไร                       

                  การทำหมันเป็นวิธีหนึ่งของการคุมกำเนิดที่มีประสิทธิภาพสูงมีอัตราการล้มเหลวต่ำซึ่งการทำหมันถือเป็นการ คุมกำเนิด แบบถาวรที่ดีกว่าการคุมกำเนิดแบบอื่นๆทั่วไปซึ่งเป็นการคุมกำเนิดแบบชั่วคราวเช่น การกินยาคุมกำเนิดหรือการใส่ถุงยางอนามัยโดยการทำหมันสามารถทำได้ทั้งผู้หญิงและผู้ชายค่ะ มาดูกันว่าการทำหมันมีกี่วิธี

                  1. การทำหมันผู้หญิง คือการไปผูกท่อนำไข่ที่เป็นสะพานเชื่อมระหว่างไข่กับสเปิร์มที่จะมาพบกันบริเวณปีกมดลูกซึ่งโดยปกติเมื่อไข่ตกจะมารอสเปิร์มที่ปีกมดลูก (ท่อนำไข่) เมื่อมีเพศสัมพันธ์สเปิร์มที่แข็งแรง ก็จะว่ายขึ้นมาพบเจอกับไข่ที่ปีกมดลูก ซึ่งการทำหมันสำหรับผู้หญิงจะเป็นการป้องกันไม่ให้สเปิร์มของคุณพ่อได้มาผสมกับไข่ของคุณแม่ โดยมีวิธีการทำหมันหลายวิธี นั่นคือ

                  การทำหมันแบบผูก  คือวิธีการผูกบริเวณท่อนำไข่ ทำให้ท่อตัน ซึ่งจะทำให้ไข่กับสเปิร์มไม่สามารถมาพบกันได้ แต่ในบางครั้งการทำหมันแบบผูกก็สามารถหลุดได้ หรือที่เรียกว่าหมันหลุด จึงทำให้มีมีโอกาสตั้งครรภ์ได้ แต่มักจะเป็นส่วนน้อย

                  – การตัดให้ท่อนำไข่ส่วนต้นและส่วนปลายแยกออกจากกัน เพื่อตัดทางเดินของไข่ไม่ให้พบเจอสเปิร์ม

                  การตัดท่อนำไข่ออกไปเลย เป็นวิธีการผ่าตัดเอาท่อนำไข่ทิ้ง แต่ยังคงมีรังไข่และมดลูกอยู่ปกติ ซึ่งคุณผู้หญิงก็จะยังคงมีประจำเดือนและรังไข่ก็ยังสามารถผลิตไข่ได้เหมือนปกติ ไม่ได้ส่งผลต่อฮอร์โมนหรือสุขภาพแต่อย่างใด เพราะท่อนำไข่ไม่ได้มีหน้าที่ผลิตไข่ แต่เป็นเพียงทางเดินหรือตัวเชื่อมให้ไข่จากรังไข่กับสเปิร์มที่วิ่งมาจากมดลูกได้ผสมกันเท่านั้น แต่หากใช้วิธีนี้จะไม่สามารถแก้หมันได้หากในอนาคตข้างหน้าอยากจะมีลูกขึ้นมาอีกครั้ง

                  คุมกำเนิด

                  1. การทำหมันผู้ชาย จะคล้ายกับการทำหมันในผู้หญิง แต่การทำหมันในผู้ชายจะมีแค่วิธีเดียวคือการทำหมันแบบผูก  ซึ่งโดยปกติคุณผู้ชายจะมีลูกอัณฑะสองลูกทำหน้าที่ผลิตสเปิร์ม  เมื่อผลิตสเปิร์มแล้ว สเปิร์มเหล่านั้นจะต้องผ่านท่อนำสเปิร์ม (บริเวณตั้งแต่ลูกอัณฑะจนถึงปลายอวัยวะเพศ) เมื่อมีการหลั่ง  ก็จะหลั่งออกมาทั้งสปิร์มและน้ำเลี้ยงสเปิร์ม วิธีการทำหมันผู้ชายก็คือ การไปผูกท่อที่ออกมาจากลูกอัณฑะ ซึ่งเป็นส่วนที่นำสเปิร์มออกมา และเมื่อสเปิร์มออกจากลูกอัณฑะไม่ได้หรือเดินทางไปถึงท่อพักสเปิร์มไม่ได้ เวลาที่คุณผู้ชายมีการหลั่งก็จะหลั่งแต่น้ำเลี้ยงสเปิร์มออกมาแต่ไม่มีตัวสเปิร์มออกมาด้วยนั่นเอง

                  พอจะทราบกันแล้วใช้ไหมค่ะว่าการคุมกำเนิดแบบถาวรมีกี่วิธีและมีวิธีการทำอย่างไร ดังนั้นสำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่กำลังวางแผนการคุมกำเนิดถาวรด้วยวิธีทำหมันก็ควรที่จะศึกษาข้อดีหรือข้อเสีย    ของการทำหมันให้ดีก่อน พร้อมปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในด้านนี้โดยเฉพาะเพื่อความปลอดภัยของสุขภาพร่างกายค่ะ

                  ในฉบับนี้เราได้คำแนะนำจากคุณหมอเรื่องการทำหมันกันอย่างละเอียดไปแล้ว  แต่ฉบับหน้า        คุณหมอจะมาพูดถึงเรื่องฮิตที่คุณพ่อคุณแม่สงสัยและกังวลใจนั่นคือเรื่องทำหมันแล้วแต่อยากมีลูกตัวน้อยเพิ่ม จะสามารถทำได้หรือไม่ และจะมีวิธีการทำอย่างไร คอยติดตามอ่านกันได้ในฉบับหน้าค่ะ

                  banner300x250

                  เรื่องโดย : นพ. พูลศักดิ์ ไวความดี  แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้าน สูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา โรงพยาบาลบำรุงราษฏร์
                  ภาพ : ShutterStock

                    “โรคเอ๋อ” จากภาวะพร่องไทรอยด์ฮอร์โมนแต่กำเนิด

                    มิใช่เพียงผู้ใหญ่ที่จะเป็นโรคเกี่ยวกับต่อมไทรอยด์ ทารกแรกเกิดก็มีความผิดปกติที่ต่อมไทรอยด์ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ภาวะพร่องไทรอยด์ฮอร์โมนแต่กำเนิดนี้ เป็นภาวะที่ต้องรักษาอย่างเร่งด่วน เพราะเป็นสาเหตุสำคัญสาเหตุหนึ่งของภาวะปัญญาอ่อน หรือที่สมัยก่อนเรียกกันติดปากว่า “โรคเอ๋อ” นั่นเอง เรามาเริ่มเรียนรู้ไปด้วยกันดีกว่าค่ะ กับ พญ. อนุตรา โพธิกำจรกุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคระบบต่อมไร้ท่อและเมตาบอลิสม์ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์มาเริ่มกันที่ฮอร์โมนไทรอยด์นั้นสำคัญต่อเบบี๋แรกเกิดขนาดไหน?

                    charli1207

                    ภาวะพร่องไทรอยด์ฮอร์โมนแต่กำเนิด หรือ “โรคเอ๋อ” รักษาทัน..ป้องกันปัญญาอ่อน

                    ฮอร์โมนไทรอยด์: กุญแจสำคัญของพัฒนาการเด็ก

                    ต่อมไทรอยด์ที่อยู่บริเวณลำคอของเราเป็นผู้ผลิตฮอร์โมนไทรอยด์ ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ช่วยในการเจริญเติบโตของร่างกาย ช่วยให้สมองพัฒนาการได้ดี ทำให้กระดูกแข็งแรง หัวใจเต้นได้ปกติ เป็นฮอร์โมนที่สำคัญต่อการทำงานของทุกระบบภายในร่างกาย เรียกได้ว่าสำคัญต่อพัฒนาการของทารกทุกด้าน ทั้งทางร่างกายและสติปัญญาเลยทีเดียว

                     

                    “ภาวะพร่องไทรอยด์ฮอร์โมนแต่กำเนิด” เกิดจากสาเหตุใด

                    ภาวะพร่องไทรอยด์ฮอร์โมนแต่กำเนิด (Congenital Hypothyroidism: CHT) ส่วนใหญ่เกิดจากต่อมไทรอยด์ของทารกมีขนาดเล็กผิดปกติ หรือไม่มีต่อมไทรอยด์ มีส่วนน้อยที่ต่อมไทรอยด์ปกติ แต่กลับผลิตฮอร์โมนได้ไม่เพียงพอ ในบางกรณีก็เกิดจากการที่ต่อมไทรอยด์อยู่ผิดที่

                    เมื่อต่อมไทรอยด์มีลักษณะผิดปกติ ทั้งเรื่องขนาดหรือตำแหน่งที่อยู่ หรือมีกระบวนการทำงานผิดปกติ จะส่งผลกระทบให้ระดับฮอร์โมนไทรอยด์ต่ำ ส่งผลต่อพัฒนาการของทารกทั้งทางด้านร่างกายและสติปัญญา

                     

                    อ่านเรื่อง ” “โรคเอ๋อ” จากภาวะพร่องไทรอยด์ฮอร์โมนแต่กำเนิด” คลิกหน้า 2

                      เลี้ยงลูกให้เป็นคนดี

                      เลี้ยงลูกให้เป็นคนดี อารมณ์ดี และมีความสุข เพียง 4 ข้อ

                      เด็กๆ ทุกคนต้องการความรักและการเลี้ยงดูจากพ่อแม่ จนกว่าจะเติบโตและสามารถพึ่งพาตัวเองได้ ถ้าคุณพ่อ คุณแม่ไม่ดูแลลูก ก็คงเป็นเรื่องยากที่ลูกจะอยู่รอดปลอดภัย และเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดีได้ พ่อแม่ไม่ควรทอดทิ้งลูก การ เลี้ยงลูกให้เป็นคนดี และอารมณ์ดี ก็เป็นสิ่งสำคัญ

                      Continue reading “เลี้ยงลูกให้เป็นคนดี อารมณ์ดี และมีความสุข เพียง 4 ข้อ”

                        เป็นเบาหวานแล้วตั้งครรภ์ อันตรายแค่ไหน?

                        คุณผู้หญิงหลายท่านอาจกำลังกังวลหากตนเองมีโรคประจำตัวอย่างเบาหวาน เมื่อตั้งครรภ์จะมีความเสี่ยงหรืออันตรายมากเพียงใด มาดูคำตอบจากสูตินรีแพทย์กันค่ะ

                        Q: ตอนนี้อายุ 33 ปีเป็นเบาหวานแบบที่ต้องฉีดอินซูลินค่ะ แต่อยากมีลูกมากๆ ไม่ทราบว่าจะมีโอกาสไหมคะ และจะเสี่ยงมากกว่าคนปกติขนาดไหน ลูกจะเป็นเบาหวานด้วยหรือเปล่า รวมถึงตอนคลอดด้วยค่ะ จะสามารถคลอดธรรมชาติได้หรือเปล่า

                        คุณแม่ที่เป็นเบาหวานก่อนตั้งครรภ์ สามารถตั้งครรภ์ได้ค่ะ แต่หากเป็นเบาหวานที่ควบคุมระดับน้ำตาลด้วยการรับประทานยาลดน้ำตาล จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนวิธีการควบคุมระดับน้ำตาล จากยารับประทานเป็นยาฉีดอินซูลินก่อน ถึงจะปล่อยให้ตั้งครรภ์

                        เป็นเบาหวานแล้วตั้งครรภ์ เป็นเบาหวานแล้วท้อง

                        สำหรับคุณแม่รายนี้ เป็นคุณแม่ที่รักษาด้วยการฉีดยาอินซูลินอยู่แล้ว จึงไม่ต้องปรับเรื่องยาแต่อย่างใด แต่ที่สำคัญคือ ค่าระดับน้ำตาลในเลือดและค่าน้ำตาลสะสมควรอยู่ในเกณฑ์ปกติก่อนอย่างน้อย 3-6 เดือน จึงอนุญาตให้มีการตั้งครรภ์ได้ เพราะถ้าคุมระดับน้ำตาลได้ไม่ดี แล้วปล่อยให้เกิดการตั้งครรภ์ อาจจะเกิดภาวะแทรกซ้อนขณะตั้งครรภ์ได้หลายอย่าง

                        โอกาสเสี่ยงภาวะแทรกซ้อนขณะตั้งครรภ์

                        1. การแท้งบุตรใน 3 เดือนแรก จะมากขึ้น
                        2. ความพิการของลูก โดยเฉพาะเรื่องความผิดปกติของอวัยวะต่างๆ ที่พบบ่อยคือ ระบบหัวใจและหลอดเลือด
                        3. การคลอดก่อนกำหนด
                        4. ภาวะแฝดน้ำ คือมีน้ำคร่ำมากกว่าปกติ ทำให้คุณแม่เหนื่อยง่าย หายใจลำบาก
                        5. ภาวะที่ลูกตัวใหญ่หรืออ้วนผิดปกติตั้งแต่อยู่ในท้องของมารดา ทำให้อัตราการผ่าตัดคลอดเพิ่มสูงขึ้น
                        6. การที่เด็กคลอดออกมาแล้วมีภาวะการหายใจผิดปกติ ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ ระดับแคลเซียมในเลือดผิดปกติ ภาวะเลือดข้นมากเกินไป ภาวะตัวเหลืองจากสารบิริลูบินเพิ่มผิดปกติ
                        7. ภาวะแทรกซ้อนจากครรภ์เป็นพิษ

                        อ่านต่อ “คำแนะนำหากอยากตั้งครรภ์แต่ป่วยด้วยโรคเบาหวาน” คลิกหน้า 2

                        banner300x250-1

                          พูดกันดีๆ สร้างลูก EQ ดี เพื่อชีวิตเป็นสุขและพบความสำเร็จในแบบตัวเอง

                          ทำไมเราจึงควรพูดกันดีๆ? คนมี EQ ดี = มีทักษะการสื่อสารดี (เข้าใจตัวเองและควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ + มีทักษะแก้ไขปัญหา)

                          เคยเห็นใช่ไหม? คน IQ ดี แต่ EQ ไม่ดี เรียนดี จบสูง มีเงินทองแต่เอาชีวิตไม่รอด มีให้เห็นมากมาย

                          คนมีทักษะสื่อสารดี จะเป็นพื้นฐานให้พัฒนาทักษะอื่นๆ ที่จำเป็นในชีวิตได้ เช่น ทักษะการเรียนรู้ คือคิดเป็น ตั้งคำถามได้ ถ่ายทอดได้ ทำงานเป็นทีม และรู้จักสร้างสรรค์สิ่งใหม่ได้  มีทักษะชีวิตคือรู้จักจัดการอารมณ์ของตัวเองและผู้อื่นได้ สร้างมิตรเป็น  รู้จักแก้ปัญหาและยืดหยุ่น เป็นต้น  ลูกจึงพึ่งพาตัวเองและอยู่ร่วมกับสังคมได้อย่างที่พ่อแม่ไม่ต้องกังวล

                          พูดกับลูกดีๆ คุยกันดีๆ

                          เป็นความจริงที่ว่า หลัง 10 ขวบไปแล้ว ลูกไม่ค่อยฟังพ่อแม่แล้ว เพราะเขามีความคิดเป็นของตัวเองมากขึ้น จะบอกจะสอนอะไรตอนนั้นลูกก็ไม่ค่อยเชื่อ ไม่ค่อยฟังแล้ว  ถ้าจะสอนให้ลูกมีทักษะการสื่อสารที่ดี มีเวลาสอนตั้งแต่เขายังเล็ก

                          รู้ไหม

                          1. ทักษะสื่อสารดี เริ่มจากมีทักษะการพูดที่ดี ทักษะการพูด หมายถึงมีความสามารถในการพูดและเข้าใจความหมาย เด็กจะเข้าใจความหมายก่อนพูดได้  จำได้ใช่ไหมตั้งแต่เขายังพูดไม่ได้สักคำ เวลาคุณพูดหรือบอกให้ทำอะไร ลูกก็ทำตามที่บอกได้
                          2. พ่อแม่ฝึกลูกให้มีทักษะการพูดที่ดีได้ตั้งแต่เขายังเล็กๆ
                          3. พูดคุยกับลูกทารกระหว่างทำกิจวัตรประจำวัน จะทำให้เขามีพัฒนาการดี เติบโต เรียนรู้ได้เร็ว เพราะสมองได้ทำงาน
                          4. กับลูกเล็ก พูดคุยด้วยเหมือนเดิม แต่พูดให้ช้าและออกเสียงให้ชัด เพราะเด็กพูดได้จากการเลียนเสียงและรูปปาก
                          5. กับลูกที่เริ่มพูดได้ ต้องเข้าใจพัฒนาการและใช้เทคนิคคุยกันดีๆ ควบคู่ไป เพราะเด็กเล็กยังรู้คำศัพท์ไม่มากพอ ไม่สามารถพูดหรือบอกความต้องการ หรือความรู้สึกได้ จึงแสดงออกด้วยการหงุดหงิด โวยวาย ร้องไห้ ที่พ่อแม่หรือผู้ใหญ่ เรียกอาการอย่างนี้ว่า “พูดไม่รู้เรื่อง”

                          อ่านต่อ “เคล็ดลับการ พูดกันดีๆ ทำอย่างไร” คลิกหน้า 2

                          banner300x250-1

                            ฝึก “วินัย” ลูก ให้ความสามารถนำทางชีวิตด้วยตัวเอง

                            ทำไมพ่อแม่จึงต้อง “ฝึกวินัยให้ลูก”? เพราะวินัยเป็นพื้นฐานของการทำอะไรได้สำเร็จอย่างที่คิดหวัง วินัยสร้างไม่ได้ชั่วข้ามคืน ต้องฝึกฝน ทำซ้ำๆ จนเป็นนิสัย

                            รู้ไหม….

                            การสร้างวินัยหรือการปลูกฝังนิสัยดีอื่นๆ เป็นการเรียนรู้เกี่ยวข้องกับการทำงานของสมอง โดยเฉพาะการปลูกฝังวินัย ต้องทำซ้ำๆ เพื่อให้สมองจดจำและสั่งการทำในสิ่งที่ต้องทำแม้ไม่อยากทำ และไม่ทำในสิ่งที่ไม่ควรทำ แม้จะอยากทำ

                            ถ้าไม่ฝึกฝน ทำซ้ำๆ จนเซลล์สมองสร้างเครือข่ายได้หนาแน่น เมื่อถึงเวลาสมองจัดระเบียบตอนลูก 10 ขวบ สมองส่วนนี้ก็จะถูกตัดทิ้งไป ถ้ารู้ตัวช้า กลับใจมาสร้างหรือปลูกฝังหลัง 10 ขวบไปแล้ว จะกลายเป็นงานยากถึงยากมากสุดๆ  

                            shutterstock_374647894

                            วินัยเป็นพื้นฐานการทำอะไรได้สำเร็จ เพราะ…

                            1. คนมีวินัย คือ คนที่ควบคุมตัวเองได้จากภายใน รู้ว่าตอนไหนควรทำอะไร ไม่ควรทำอะไร แม้จะอยากทำหรือไม่อยากทำ เพราะรู้และเข้าใจเหตุผล
                            2. เมื่อควบคุมตัวเองได้ จึงมีความรับผิดชอบทำหน้าที่ของตัวเองได้สำเร็จลุล่วง แม้จะไม่อยากทำ หรือเป็นเรื่องไม่สนุก เช่น ทำการบ้าน เรียนหนังสือ งานบ้าน เป็นต้น
                            3. เมื่อความรับผิดชอบสำเร็จไปเรื่อยๆ จะเกิดความภาคภูมิใจในตัวเอง และมั่นใจว่าตัวเองมีความสามารถทำอะไรให้สำเร็จได้ เป็นแรงผลักดันให้มีความพยายามทำอะไรให้สำเร็จอย่างที่หวังมากขึ้น

                            อ่านต่อ “ฝึกวินัยลูก ฝึกอะไร เมื่อไหร่ ตั้งแต่ทารกถึงวัยประถม 10 ขวบปีแรก” คลิกหน้า 2

                            banner300x250-1

                              เรามีเวลาอยู่กับลูก

                              รู้หรือไม่? แท้จริงแล้ว เรามีเวลาอยู่กับลูก ได้แค่ 10 ปีแรกเท่านั้น!

                              รู้หรือไม่? แท้จริงแล้ว เรามีเวลาอยู่กับลูก ได้แค่ 10 ปีแรกเท่านั้น!! นั่นหมายความว่า “การให้เวลากับลูก” แค่ 10 ปีแรก จะส่งผลไปตลอดชีวิต

                              รู้หรือไม่? แท้จริงแล้ว เรามีเวลาอยู่กับลูก
                              ได้แค่ 10 ปีแรกเท่านั้น!!

                              “ไม่มีเวลา…กรุณาอย่ามีลูก”  ประโยคเตือนใจ (แทงใจดำ) จาก นพ.ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ที่กล่าวไว้กับทางทีมงาน Amarin Baby & Kids ซึ่งการเลี้ยงดู … สัมผัส … เล่น … อ่านหนังสือ … ฝึกวินัย … ปลูกฝังนิสัยดี … สอนให้คิดเป็น … เท่าทันโลกยุคใหม่ … ไม่ทำให้ตัวเองและคนอื่นเดือดร้อน … เป็นตัวอย่างที่ดีและไม่ดีให้เขาเห็น … ทั้งหมดที่กล่าวมานั้น ถ้าพ่อแม่ “ไม่ให้เวลา” ลูกจะได้สิ่งเหล่านี้หรือไม่??

                              เพราะแท้จริงแล้ว เรามีเวลาอยู่กับลูก ได้แค่ 10 ปีแรกเท่านั้น ซึ่ง 10 ปีนี้ หากพ่อแม่ “ให้เวลากับลูก” และ “ใช้เวลาอยู่กับลูกด้วยกัน” ให้ได้มากที่สุด ก็จะส่งผลดีต่อลูกไปตลอดชีวิต ดังนี้

                               

                              1. ลูกจะรับรู้และรู้สึกว่าเขาเป็นที่รัก

                              สร้างสายใยที่แข็งแรงมั่นคง เพราะมีพ่อแม่เป็นที่พึ่งทั้งทางกายและทางใจเมื่อเขาต้องการ ซึ่งความรู้สึกตัวเองเป็นที่รักจะสร้างความภาคภูมิใจในตัวเอง ทำให้เห็นคุณค่าและความสำคัญของตัวเอง ส่งเสริมให้กล้าเรียนรู้ และลองทำสิ่งใหม่ๆ เมื่อโตขึ้น เขาจะไม่ทำร้ายตัวเองเมื่อต้องเผชิญหน้ากับความผิดหวัง

                              2. คุณจะเห็นจุดเด่นของลูกชัดกว่าใคร

                              ยิ่งใช้เวลาด้วยกันมาก คุณจะได้เห็นข้อดีและจุดเด่นต่างๆ ของลูกชัดขึ้น แม้แต่จุดเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งพ่อแม่มักจะมองข้ามไป ยามเหนื่อย หงุดหงิดจากเรื่องต่างๆ ในชีวิตประจำวัน ช่วยให้เข้าไปส่งเสริมจุดแข็งของลูกได้ถูกจุด เมื่อนั้นโอกาสที่จะปล่อยให้ศักยภาพอันสุดวิเศษของลูกหลุดลอยไปก็น้อยลง เพราะความสามารถของเด็กๆ มิใช่เพียง เรียนเก่ง เล่นดนตรี กีฬา วาดรูป ได้เท่านั้น แต่ความสามารถของเด็กๆ มาจากสิ่งที่เขาทำและพ่อแม่สังเกตเห็นและชื่นชมบ่อยๆ สะสมเป็นความเชื่อมั่นและมองเห็นความสามารถของตัวเอง เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่พร้อมจะเรียนรู้และพัฒนาศักยภาพที่ตัวเองมี

                              เรามีเวลาอยู่กับลูก

                              3. คุณจะเป็นเสียงปลอบประโลมในใจลูกเสมอ

                              เพราะความจริงมีอยู่ว่า เมื่อถึงวัยหนึ่งลูกไม่บอกพ่อแม่ทุกเรื่องแน่ แต่ถ้าให้เวลาลูกตั้งแต่เล็ก และใช้เวลาด้วยกันกับเขา คุณจะได้โอกาสรับฟังที่สิ่งเขาอยากเล่า อยากบอก อยากเพ้อ อยากระบาย อยากขอความช่วยเหลือ อยากขอความเห็น อยากทะเลาะด้วยแบบไม่โกรธกัน และเมื่อถึงเวลาที่เขามีเรื่องทุกข์ สุขในชีวิตและอยากได้คำปรึกษาจากใครสักคน  เวลาที่คุณมีให้เขาเสมอตั้งแต่เล็ก จะทำให้คุณได้สิทธิ์เป็นคนๆ นั้นของลูกโดยอัตโนมัติ

                              4. ลูกรู้ว่ามีคนร่วมทุกข์ ร่วมสุขไปด้วยกัน

                              เพราะการใช้เวลาร่วมกัน ทำได้ทุกกิจกรรมทั้งสนุก เช่น เดินเล่น ช้อปปิ้ง เลี้ยงหมา ปลูกต้นไม้ เที่ยว ฯลฯ และไม่สนุก เช่น ทำกิจวัตรประจำวัน ทำงานบ้าน ทำการบ้าน อยู่ในสถานการณ์อึดอัด ยากลำบาก ฯลฯ การร่วมทุกข์ร่วมสุขจะสร้างความทรงจำที่ดี สร้างความไว้วางใจ ความผูกพันทั้งลูกและตัวคุณเองเมื่อเจอปัญหาอุปสรรค เขาจะอดทนและพยายามฝ่าฟันไปให้ได้

                               

                              อ่านต่อ >> “พ่อแม่ทำงาน จะให้เวลาลูกอย่างไร?” คลิกหน้า 2

                                มรดกของแม่ …แค่อยากแบ่งปันเรื่องราวดีๆ

                                Amarin Baby & Kids มีเรื่องราวดีๆ มาให้อ่านกันค่ะ เป็นเรื่องราวของครอบครัวหนึ่งมีคุณแม่ และลูกๆ อีก 6 คน เมื่อถึงวันที่คุณแม่สิ้นใจ ลูกๆ ทุกคนต่างพากันมาเปิดดู มรดกของแม่ ซึ่งมีค่ามากกว่าเงินทอง นั่นก็คือความรักที่ยิ่งใหญ่ที่แม่มีให้ลูก อ่านแล้วอย่าลืมรักแม่ให้มากๆ นะคะ

                                Continue reading “มรดกของแม่ …แค่อยากแบ่งปันเรื่องราวดีๆ”

                                  งานวิจัยชี้! ดูดนิ้ว-กัดเล็บ ทำให้มีโอกาสเป็น “โรคภูมิแพ้” น้อยลง

                                  คุณพ่อคุณแม่รู้หรือไม่ว่า เด็กที่มีนิสัยในการชอบดูดนิ้ว หรือ กัดเล็บมือ มีโอกาสเติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ที่มีความเสี่ยงเป็นโรคภูมิแพ้น้อยกว่าเด็กทั่วไป อันเป็นสาเหตุมาจากร่างกายได้รับเชื้อเป็นครั้งคราว ซึ่งเป็นเชื้อจุลินทรีย์ที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับเด็กในวัยเจริญเติบโตนั่นเอง Continue reading “งานวิจัยชี้! ดูดนิ้ว-กัดเล็บ ทำให้มีโอกาสเป็น “โรคภูมิแพ้” น้อยลง”

                                    ฮารุ ท้องที่ 3 แล้วจ้า

                                    ฮารุ ยามากูชิ ภรรยาของดาราดัง กาย รัชชานนท์ เผยว่าท้องที่ 3 แล้ว โดยโชว์ภาพที่ตรวจตั้งครรภ์ แต่ยังไม่ทราบอายุครรภ์ต้องรอพบแพทย์อีกทีโดยยืนยันว่าเลี้ยงไหวแน่นอนเพราะมีคนช่วยเลี้ยงเยอะ และมีแพลนว่าจะมี 3 คนอยู่แล้ว โดยหลังจากนี้คงจะปิดอู่ ซึ่งตอนนี้ร่างกายของคุณแม่ก็พร้อมแล้วแต่มีกังวลเรื่องแผลผ่าคลอดน้องไนร่า ลูกสาวคนที่ 2 ที่เพิ่งคลอดไปเมื่อ 6 เดือนที่แล้ว

                                    และพี่ชายคนโต น้องคีริน ก็เข้าโรงเรียนแล้ว ทำให้เบาแรงคุณแม่ลงเยอะ

                                    haru (3)

                                    haru (2)

                                    haru (5)

                                    แต่เพื่อความแม่นยำ ฮารุเตรียมฝากครรภ์และอยู่ในการดูแลของแพทย์อีกครั้ง เพื่อทราบอายุครรภ์ที่ชัดเจนด้วย ซึ่งตอนนี้ก็ยังบอกไม่ได้ว่าอายุครรภ์กี่สัปดาห์

                                    และสำหรับว่าที่คุณแม่คนใดที่กำลังสงสัยว่าลูกในท้องของเรานั้นมีขนาดเท่าไหร่แล้ว ..เรามีบทความที่เปรียบเทียบขนาดง่ายๆ กับผลไม้น่ารักๆ คลิกอ่านต่อได้ที่บทความ

                                    ขนาดของทารกในครรภ์แต่ละสัปดาห์

                                    https://www.amarinbabyandkids.com/pregnancy/pregnant-mom/size-of-infant-week-by-week-fruit-comparison/

                                    ที่มาจาก : @haruyamaguchi