


อุทาหรณ์! ลูกติดเชื้อจากรถเข็นในห้าง

รวมฮิต ติดชาร์ต ผักผลไม้วิตามินซีสูงเพื่อลูก

ไขข้อสงสัย! ทารกแรกเกิดควรมีน้ำหนักเท่าไหร่?
เกณฑ์ น้ำหนักของทารกแรกเกิด ปกติของเด็กที่ครบกำหนด จะมีน้ำหนักตัวอยู่ที่ประมาณ 2,500-4,000 กรัม ดังนั้น เด็กแรกเกิดที่มีน้ำหนักตัวน้อย คือน้อยกว่า 2,500 กรัม สาเหตุเกิดได้จากทั้งตัวคุณแม่และตัวเด็กขณะที่ตั้งครรภ์
“น้ำหนัก” เป็นค่าโดยรวมส่วนต่างๆ ของร่างกาย ใช้ในการประเมินผลการเจริญเติบโตของเด็กแรกเกิดทุกคนน้ำหนักตัวมีความสำคัญอย่างมากที่พ่อแม่ต้องติดตามและให้ความสนใจอย่างต่อเนื่อง เพื่อทราบว่า ลูกของเรามีการเจริญเติบโตที่ปกติหรือไม่
น้ำหนักของทารกแรกเกิด ควรหนักเท่าไหร่?
โดยปกติเด็กวัยแรกเกิดที่คลอดตามปกติ (ไม่ได้คลอดก่อนกำหนด) จะมีน้ำหนักตัวเฉลี่ยประมาณ 2.5- 4 กิโลกรัม ซึ่งก็ถือว่าเป็นน้ำหนักจามปกติสำหรับเด็กแรกเกิด แต่ถ้าหากน้ำหนักตัวแรกเกิดน้อยกว่า 2,500 กรัม ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้กับทารกที่ครบกำหนดหรือทารกที่คลอดก่อนกำหนด ให้ถือว่าอยู่ต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐาน (low birth weight) แต่ไม่ต้องห่วงค่ะ เมื่อเขาเติบโตขึ้นน้ำหนักตัวของเขาก็จะเพิ่มไวกว่าเด็กทั่วไปเช่นกันค่ะ
แต่หากเด็กที่คลอดก่อนกำหนดแล้วมีน้ำหนักตัวน้อยกว่า 2,500 กรัม ซึ่งส่วนใหญ่ทารกจะตัวเล็ก อวัยวะต่าง ๆ ยังทำงานได้ไม่สมบูรณ์ เช่น ปอดไม่เติบโตพอที่จะหายใจได้ตามปกติ ตับยังทำหน้าที่ไม่สมบูรณ์ ทำให้ตัวเหลือง จึงจำเป็นต้องเข้ารับการดูแลจากแพทย์อย่างใกล้ชิด โดยเข้าตู้อบ ซึ่งมีกลไกลที่ทำหน้าที่ควบคุมรักษาระดับอุณหภูมิ ความชื้น รวมถึงออกซิเจนภายในร่างกายของทารกให้มีอุณหภูมิในระดับเดียวกันกับตอนที่อยู่ในท้องของแม่ เพื่อรอจนกว่า ทารกจะสามารถควบคุมอุณหภูมิได้ดีขึ้น และน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นตามเกณฑ์ปกติ
เมื่อกลับมาอยู่บ้าน เด็กยังสามารถกินนมแม่ได้ตามปกติ ซึ่งลูกอาจตัวเล็กแต่ก็มีความแข็งแรงกว่าเด็กที่กินนมผสม เพราะได้ภูมิคุ้มที่ดีจากน้ำนมแม่ แต่หากมีอุปสรรคในการรับนมแม่ เด็กอาจต้องได้รับนมสูตรพิเศษที่มีความเข้มข้นกว่านมผสมทั่วไป
ตารางเทียบน้ำหนักของทารกแรกเกิด
อ่านต่อ >> “น้ำหนักตัวโดยเฉลี่ยของทารกวัยแรกเกิด – 1 ขวบ” คลิกหน้า 2
เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

ปวดหลัง หลังคลอด ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย ปล่อยไว้เสี่ยงอัมพาต
การตั้งครรภ์ทำให้โครงสร้างร่างกายคุณแม่เกิดการเปลี่ยนแปลง เพื่อแบกรับน้ำหนักของทารกที่เพิ่มขึ้นตามอายุครรภ์ จึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดอาการปวดหลังระหว่างตั้งครรภ์ แต่หากในช่วงหลังคลอด คุณแม่ไม่ดูแลตัวเองอย่างถูกวิธี อาจทำให้คุณแม่ฟื้นตัวช้าและ ปวดหลัง หลังคลอด รุนแรงมากขึ้น จนโครงสร้างกระดูกผิดปกติ ข้อกระดูกเสื่อม หมอนรองกระดูกมีปัญหา กล้ามเนื้ออ่อนแรง หรือถึงขั้นอัมพฤกษ์หรืออัมพาตได้ (more…)

คลิปที่ห้ามพลาด! พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา ทรงขับร้องเพลง “ชะตาชีวิต” ขณะทรงศึกษาระดับอนุบาล!
นับเป็นคลิปที่หาชมได้ยากยิ่ง และเชื่อว่าหลายคนยังไม่เคยเห็นมาก่อน โดยเป็นพระปรีชาสามารถของ พระองค์ภา ทรงขับร้องเพลง ชะตาชีวิต เมื่อครั้งทรงพระเยาว์ ถวายพระพร เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่
และนี่คงนับเป็นอีกหนึ่งพระอิริยาบถน่ารักสดใสที่หลายคนอาจยังไม่เคยเห็น ของพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา พระราชธิดาองค์ใหญ่ในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร กับพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ และเป็นพระราชนัดดาพระองค์แรกของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ
ซึ่งเป็นการบันทึกภาพการแสดงเนื่องในวโรกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙ ตอนพระองค์ภาฯ ทรงพระเยาว์ และเป็นผู้แทนนักเรียนโรงเรียนราชินี ณ ขณะนั้น ซึ่งได้ทรงขับร้องเพลงพระราชนิพนธ์ “ชะตาชีวิต” และรำถวายพระพรได้อย่างสวยงาม
พระองค์ภา ทรงขับร้องเพลง ชะตาชีวิต
จะทรงพระปรีชาสามารถและมีพระอิริยาบถน่ารักสดใส อย่างไรไปชมภาพที่เป็นคลิปสุดประทับใจของคนไทยหลายคนที่มีต่อพระองค์ภา กันเลยค่ะ
ชมคลิป >> “พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา
ทรงขับร้องเพลงพระราชนิพนธ์ชะตาชีวิต”
คลิกหน้า 2

เตือนใจพ่อแม่! เลี้ยงลูกแบบเทพเจ้า เลี้ยงด้วยรักหรือทำลายกันแน่?

6 ข้อ ห้ามทำกับสะดือทารกแรกเกิด
หลังจากคุณแม่คลอดลูกน้อยออกมาแล้ว คุณหมอจะทำการตัดสายสะดือและหนีบด้วยคลิปพลาสติกเอาไว้ ซึ่งโดยทั่วไปสะดือทารกแรกเกิดจะหลุดได้เองประมาณ 7-14 วันหลังคลอด โดยระหว่างนี้คุณแม่ต้องทำความสะอาดสะดือลูกน้อยทุกครั้งหลังอาบน้ำอย่างถูกวิธีและ ห้ามทำกับสะดือทารกแรกเกิด แบบนี้เพราะจะทำให้ลูกน้อยมีโอกาสติดเชื้อจากสายสะดือได้ง่าย (more…)

ท้องแข็งขณะตั้งครรภ์ เรื่องที่แม่ท้องต้องระวัง !!
ว่าที่คุณแม่มือใหม่ที่อายุครรภ์ล่วงเข้าต้นไตรมาส 3 มักจะมีอาการแข็งๆ นูนๆ ปรากฏขึ้นมาที่หน้าท้อง ซึ่งลักษณะท้องที่แข็งขึ้นมานี้เรียกว่า “อาการท้องแข็ง” ซึ่งเกิดจากมดลูกแข็งตัวเป็นก้อนขึ้นมานั่นเองค่ะ อยากรู้กันไหมว่า อาการ ท้องแข็งขณะตั้งครรภ์ นั้นกำลังบอกอะไร ? แล้วจะเป็นอันตรายกับลูกหรือเปล่า ? เอ๊ะ..หรือว่าจะคลอดก่อนกำหนด !!! (more…)

9 สมุนไพรอันตรายที่แม่ท้องต้องระวัง !!
ช่วงนี้อากาศเปลี่ยนเข้าปลายฝนต้นหนาว อากาศเย็นๆ แบบนี้ คุณแม่ท้องมักมีอาการครั่นเนื้อครั่นตัวเหมือนจะเป็นไข้ ซึ่งถ้าได้ดื่มเครื่องสมุนไพรบำรุงร่างกายจิบอุ่นๆ สักแก้วก็น่าจะดีไม่น้อย…แต่เดี๋ยวก่อนค่ะ !! ขึ้นชื่อว่าสมุนไพรใช่ว่าจะปลอดภัยเสมอไป เพราะก็มีสมุนไพรบางชนิดที่อันตรายกับแม่ท้อง ทีมงาน Amarin Baby & Kids มี 9 สมุนไพรอันตราย ที่คุณแม่ท้องต้องระวังไม่ควรนำมาใช้บำรุงสุขภาพขณะตั้งครรภ์มาฝากกันค่ะ
สมุนไพรต่างๆ เหล่านี้ ความจริงแล้วมีสรรพคุณเป็นยาอย่างดี สมุนไพรต่างชนิดก็มีสรรพคุณต่างกัน หากนำมาใช้บำรุงร่างกายผิดจังหวะผิดการใช้งานก็สามารถส่งผลอันตรายต่อสุขภาพได้เหมือนกันค่ะ ยิ่งโดยเฉพาะกับคุณแม่ตั้งครรภ์หากต้องการใช้สมุนไพรเพื่อบำรุงร่างกาย แนะนำว่าควรอยู่ในความดูแลของแพทย์เท่านั้น ไม่ควรไปซื้อสมุนไพรมาต้มดื่มเพื่อบำรุงสุขภาพกันเองโดยไม่มีใบแพทย์สั่ง ทั้งนี้ก็เพื่อความปลอดภัยต่อตัวคุณแม่ท้องและก็ลูกน้อยในครรภ์ด้วยค่ะ
9 สมุนไพรอันตราย ที่ไม่ควรใช้ระหว่างตั้งครรภ์
1. ตังกุย (Dong quai) สรรพคุณคือ เป็นยาร้อนเล็กน้อย ออกฤทธิ์ต่อหัวใจ ตับ และม้าม ใช้เป็นยาบำรุงโลหิต ฟอกเลือด รักษาโรคโลหิตจาง การนำตังกุยมาเป็นเครื่องดื่มสมุนไพรบำรุงร่างกาย หากใช้ในกรณีหลังคลอดลูก ฤทธิ์ยาช่วยให้ประจำเดือนมาเป็นปกติ ซึ่งหากนำตังกุยมาทานบำรุงร่างกายระหว่างตั้งครรภ์สามารถกลายเป็นสมุนไพรอันตรายได้เลยค่ะ เพราะอาจส่งผลกระทบทำให้แท้งลูก !
2. โรมัน คาโมมายล์ (Chamomile Roman) สรรพคุณคือ ช่วยทำให้สงบ ผ่อนคลายจากความกังกล ช่วยให้หลับ ลดอาการระคายเคืองทางเดินอาหาร ขับลม ลดอาการปวดเกร็งท้อง ลดการปวดประจำเดือน ต้านการอักเสบในช่องปาก คอ ผิวหนัง และช่วยสมานแผลได้ดี เป็นต้น แต่สำหรับคนที่มีผลข้างเคียงจากการทานคาโมมายล์ หรือแพ้คาโมมายล์ โดยเฉพาะคุณแม่ท้อง ก็อาจจะเสี่ยงต่อการแท้งลูกได้ สำหรับกรณีนี้ถึงจะเกิดขึ้นได้น้อยมาก แต่ก็ควรต้องระวังก่อนนำโรมัน คาโมมายล์มาใช้โดยเฉพาะการนำมาบริโภค คุณแม่ควรปรึกษาคุณหมอก่อนนะคะ ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นสมุนไพรอันตรายที่ส่งผลต่อสุขภาพได้ทั้งคุณแม่และทารกในครรภ์ค่ะ
3. โกลเด้นซีล (Goldenseal) สรรพคุณช่วยบรรเทาอาการหวัด ต้านแบคทีเรียช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบภูมิด้านทาน แต่สำหรับในคุณแม่ตั้งครรภ์ไม่ควรทานโกลเด้นซีล ซึ่งส่วนใหญ่มักจะเป็นในรูปแบบสมุนไพรเพื่อบำรุงสุขภาพ เนื่องจากการทานตอนท้องฤทธิ์ยาอาจจะกระทบต่อการพัฒนาสมองของลูกน้อยในครรภ์ได้
4. อีเฟรดา (Ephedra) หรือหลายคนเรียกว่ามาฮวงหรือมั่วอึ๊ง สรรพคุณช่วยรักษาอาการหอบหืด และโรคทางเดินหายใจ แต่การใช้สมุนไพรชนิดนี้ขณะตั้งครรภ์ ก็อาจกลายเป็นสมุนไพรอันตรายขึ้นมาได้ค่ะ นั่นเพราะอีเฟรดามีฤทธิ์กระตุ้นประสาทเช่นเดียวกับยาบ้า
5. ดอกกระทกรก (Passion Flower) สรรพคุณเป็นยาบำรุงร่างกายที่ดีมาก ทั้งช่วยขับพยาธิ แก้ปวด บรรเทาอาการไอ แต่ไม่เหมาะสำหรับคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ เพราะต้นสดของกระทกรกมีรสเบื่อเมาและเป็นพิษ หากนำมากินอาจทำให้เสียชีวิตได้ ส่วนผลอ่อนมีพิษ เพราะมีสารไซยาโนจีนิก ไกลโคไซด์ (Cyanogenetic glucoside) เปลือกผล เมล็ด และใบมีสารที่ไม่คงตัว เมื่อสารดังกล่าวสลายตัวจะทำให้ Acetone และ Hydrocyanic acid (สารชนิดหลังเป็นพิษ) ทำให้เม็ดเลือดแดงขาดออกซิเจน ทำให้เกิดอาการเจียน กระทกรกประโยชน์มากมายแต่ก็จัดเป็นสมุนไพรอันตรายได้ หากไม่ปรึกษาแพทย์ก่อนนำมาบริโภคค่ะ
อ่านต่อ >> “9 สมุนไพรอันตรายที่แม่ท้องต้องระวัง !!” คลิกหน้า 2
เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

ลูกชอบพูดโกหก เอง หรือเพราะพ่อแม่ทำหยุดพฤติกรรมแบบนี้กันเถอะ!!
ลูกชอบพูดโกหก เด็กเกิดมามีนิสัยไม่เหมือนกัน การโกหกเป็นเพราะนิสัย หรือการเลี้ยงดูกันนะ มาสังเกตพฤติกรรมเราดูว่าเป็นพ่อแม่ที่ทำให้ลูกต้องโกหกหรือเปล่ากันนะ
ลูกชอบพูดโกหกเองหรือเพราะพ่อแม่ทำ หยุดพฤติกรรมแบบนี้กันเถอะ!!
โกหก พฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ของสังคม ทำให้พ่อแม่หลาย ๆ คน เกิดความกังวลขึ้นในใจอย่างมาก เมื่อพบว่าลูกน้อยเริ่มโกหก หรือพูดไม่จริง แต่แท้จริงแล้ว ลูกกำลังพูดโกหกอยู่จริงหรือเปล่านะ
พฤติกรรมแบบไหนเรียกว่า “เด็กโกหก”
พฤติกรรมการโกหกของเด็กนั้น ย่อมมีความสลับซับซ้อนกว่าในผู้ใหญ่ ในด้านของการตีความ พฤติกรรมแบบไหนที่เราสามารถระบุได้ว่าเป็นพฤติกรรมของการโกหกของลูก หรือแบบไหนเป็นเพียงการพูดโกหกตามวัย ถ้าพฤติกรรมนั้นเกิดในเด็กเล็ก ๆ ที่เพิ่งพูดได้ไม่นาน หรือเด็กอายุ 2-3ขวบ ซึ่งเป็นวัยที่เด็กอาจจะยังไม่เข้าใจ หรือแยกแยะความจริงกับจินตนาการออกจากกันได้อย่างไม่ชัดเจน เด็กอาจจะพูดในสิ่งที่นึกขึ้นมาโดยไม่ได้ตรวจสอบกับโลกความเป็นจริง ก็ถือเป็นเรื่องปกติตามพัฒนาการ และควรหลีกเลี่ยงการใช้คำว่า “เด็กโกหก” กับเด็ก ดังอย่างที่ดร. กัลลาเกอร์ นักจิตวิทยาคลินิก (Richard Gallagher, PhD) กล่าวว่า “พัฒนาการของพวกเขายังไม่โตพอที่จะตระหนักว่าบางสิ่งไม่เป็นความจริงเพียงเพราะพวกเขาต้องการให้มันเป็น” นั่นเป็นเหตุผลที่เด็กก่อนวัยเรียนของคุณสามารถนั่งโดยถือแก้วเปล่าในมือ ทำน้ำนมหยดลงบนตัก และบอกคุณว่ามีสัตว์ประหลาดทำน้ำหก สิ่งที่พวกเขาหมายความจริงๆ ก็คือ พวกเขาต้องการให้พวกเขาไม่ได้เป็นคนทำนมหกเพราะพวกเขาเห็นว่าคุณโกรธ
แต่ถ้าพฤติกรรมเหล่านั้น เกิดขึ้นในเด็กโต อายุประมาณ 7 ขวบขึ้นไป ซึ่งสามารถเข้าใจโลกแห่งความเป็นจริงได้ดีแล้ว ก็ถือว่าเป็นพฤติกรรมโกหก แต่ก็เป็นแค่พฤติกรรมหนึ่งที่เด็กแสดงออกมา ความเข้าใจว่าเพราะอะไรเด็กจึงไม่สื่อสารให้ตรงกับความจริงเป็นเรื่องจำเป็นมากกว่าจะตัดสินว่าเป็นเด็กดี หรือเด็กไม่ดี

เฉลี่ยเด็กโกหกทุก ๆ 2 ชั่วโมง!!
งานวิจัยบางชิ้นแสดงให้เห็นว่าเด็กวัย 4 ขวบโดยเฉลี่ยโกหกทุก ๆ สองชั่วโมง! นักจิตวิทยาคลินิก Richard Gallagher, PhD, ผู้อำนวยการสถาบันการเลี้ยงดูบุตรแห่ง New York University Child Study Center กล่าวว่า “เด็กทุกคนโกหกเป็นครั้งคราว “อันที่จริง มันเป็นเรื่องปกติของพัฒนาการของพวกเขา”
- เด็กบางคนโกหกเพื่อเอาตัวรอด หรือเพื่อหลบเลี่ยงการถูกลงโทษเมื่อตนเองทำอะไรผิดพลาด เช่น ไม่ได้ทำการบ้าน หรือทำของเสียหาย เป็นต้น
- เด็กบางคนต้องการได้รับความสนใจจากพ่อแม่ หรือคนอื่นๆ ก็อาจเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เด็กสร้างเรื่องเล่าให้เหนือคนอื่น ทั้งที่จริงๆ แล้วไม่ได้เป็นเช่นนั้น
- เด็กบางคนโกหกเพื่อหวังผลประโยชน์อะไรบางอย่าง หรือเพื่อกลั่นแกล้งผู้อื่น ซึ่งถือว่ามีความรุนแรงกว่ากรณีอื่นๆ พ่อแม่จะต้องประเมินว่าเด็กมีพฤติกรรมเกเรอื่นๆ ร่วมด้วยหรือไม่ เช่น การลักขโมย พฤติกรรมก้าวร้าว ทำร้ายผู้อื่น หรือละเมิดกฎเกณฑ์ของสังคมในรูปแบบอื่นๆ ซึ่งบ่งชี้ว่าเด็กอาจมีโรคทางจิตเวชอย่างอื่นร่วมด้วย
พฤติกรรมของพ่อแม่แบบไหนที่ทำให้ ลูกชอบพูดโกหก !!
จากคำตอบที่ว่าเหตุใดเด็กถึงโกหก จะเห็นได้ว่าพ่อแม่มีส่วนสำคัญต่อพฤติกรรมของลูก ไม่ว่าจะเป็นการโกหกเพราะกลัวถูกทำโทษ การโกหกเพราะต้องการได้รับความสนใจจากพ่อแม่ ก็ล้วนแล้วแต่แสดงให้เห็นว่าพ่อแม่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการแสดงออกของลูกทั้งสิ้น ดังนั้นเรามาดูกันว่า พฤติกรรมของพ่อแม่แบบไหนกันนะที่ทำให้ลูกมีพฤติกรรมโกหก
พ่อแม่ที่เข้มงวดมากเกินไป
มีนักวิชาการค้นพบว่า พ่อแม่ผู้ปกครองที่เข้มงวดกับเด็กมากเกินไป จะทำให้เด็กชอบโกหก ชอบหาข้ออ้างจนติดเป็นนิสัย และสามารถกุเรื่องแต่งขึ้นมาได้อย่างสบาย ๆ โดยฟิลิปปา เพอร์รี่ นักจิตอายุรเวท กล่าวว่า ผู้ปกครองที่เคร่งครัดในกฎระเบียบ มักจะสร้างความรู้สึกไม่ปลอดภัยให้กับเด็ก และนั่นทำให้เหล่าหนูน้อยไม่กล้าบอกเล่าความจริง เพราะรู้สึกวิตกกังวลว่าหากบอกความจริงไปแล้วจะถูกทำโทษหรือไม่ เด็ก ๆ จึงเลือกที่จะปกปิดเพื่อไม่ให้ตนเองถูกดุ
งานวิจัยรองรับ ลูกชอบพูดโกหก เพราะพ่อแม่เข้มงวดมากเกินไป
ทฤษฎีนี้มีงานวิจัยรับรองจากนักจิตวิทยาชาวแคนาดาชื่อ วิคตอเรีย ทัลวอร์ ในการทดลองนั้น ดร.ทัลวอร์ ได้เลือกเด็ก ๆ จากสองโรงเรียนในแอฟริกา โดยโรงเรียนแห่งแรกไม่เคร่งในกฎระเบียบมากนัก มีความยืดหยุ่นและให้อิสระ ส่วนอีกแห่งนั้นเข้มงวดในกฎระเบียบ เธอนำเด็ก ๆ มาทดสอบโดยการเล่นเกมที่มีชื่อว่า Peeping Game

แบบทดสอบเริ่มขึ้นด้วยการให้เด็กเดาว่าเสียงที่ได้ยินข้างหลังนั้นเกิดจากอะไร คำเฉลยคือลูกบอลของเล่น เพียงแต่ว่าเสียงนั้นไม่เหมือนกับเสียงของลูกฟุตบอลเลย จากนั้นเธอจึงให้ผู้ใหญ่ออกจากห้องไป และเมื่อกลับมาพวกผู้ใหญ่ถามเด็กอีกครั้งว่ามันคือวัตถุอะไรและเหล่าเด็ก ๆ ได้แอบมองหรือไม่ ผลการทดสอบคือเด็กที่มาจากโรงเรียนไม่เคร่งในกฎระเบียบมีทั้งโกหกและพูดความจริง ในขณะที่เด็กซึ่งมาจากโรงเรียนที่เข้มงวดนั้นเลือกที่จะพูดโกหกว่าไม่ได้แอบมอง
โดย เพอร์รี่ พูดถึงประเด็นนี้ว่า ถ้าพ่อแม่เข้มงวดกับเด็ก เด็กก็จะรู้สึกกดดันและกลัว ไม่กล้าพูดความจริง โกหกเพื่อหนีปัญหา ยิ่งถ้าคำโกหกนั้นไม่ถูกต่อว่าอะไร เด็กก็จะสร้างคำโกหกไปตลอดโดยไม่รู้ตัว ในทางตรงกันข้าม ผู้ปกครองสามารถทำให้เด็ก ๆ ผ่อนคลายได้ โดยการไม่ตามไปจับผิดทุกย่างก้าว พวกคุณจะเข้าหาพวกเด็ก ๆ ได้อย่างสบายใจ แต่ถ้าหากพวกคุณยังเลือกที่จะเข้มงวดและโหดร้ายกับเด็ก ๆ มันก็ไม่ทำให้สถานการณ์ดีขึ้นเลย มีแต่แย่ลงด้วยซ้ำ
สัญญาณเตือนว่าคุณเป็นพ่อแม่ที่เข้มงวดเกินไป อาจทำให้ ลูกชอบพูดโกหก
- มีกฎเกณฑ์มากเกินไปจนกระทั่งบางทีเราก็ไม่สามารถจดจำกฎเหล่านั้นได้ นั่นอาจเป็นสัญญาณแล้วว่าเราเป็นคนที่เข้มงวดเกินไป แทนที่จะตั้งกฎเกณฑ์อะไรมากมายนั้น ก็ให้มีกฎน้อยข้อแต่สามารถปฏิบัติได้จริงจะดีกว่า โดยให้ฝึกทำเป็นประจำและสม่ำเสมอกับกฎเหล่านั้น จะเป็นการสบายใจด้วยกันทั้ง 2 ฝ่าย
- คำพูดของคุณพ่อคุณแม่เกินความจริง เช่น ถ้าดื้ออย่างนี้เดี๋ยวจับโยนออกนอกหน้าต่าง หรือเดี๋ยวแม่จะทิ้งของเล่นของหนูให้หมดเลย และถ้าลูกพูดว่าเอาเลยแม่ จะยิ่งยุ่งกันใหญ่ เพราะเราไม่สามารถทำได้จริง ซึ่งยิ่งทำให้คำพูดของเราไม่มีความหมายและยากต่อการลงวินัยในคราวต่อไป ดังนั้น ให้เราคิดให้ดีก่อนพูด
- กฎของคุณพ่อคุณแม่เกินขอบเขตของการเป็นพ่อแม่คุณพ่อคุณแม่สามารถมีกฎเกณฑ์เกี่ยวกับโรงเรียน การปฏิบัติตัวต่อเพื่อน หรือกฎของความปลอดภัยได้ แต่ไม่ควรจำกัดกฎส่วนตัวบางอย่างของลูก เช่น ให้ลูกเลิกฟังเพลงที่ลูกชอบ สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องรสนิยมส่วนตัวที่ไม่ควรก้าวก่ายกัน เราควรเคารพในกติกาของทุกคน แต่ใช้วิธีคุยเพื่อหาทางออกร่วมกัน
- มีความรักที่มีเงื่อนไขกับลูกแม่อาจใช้คำพูดว่า “แม่รักลูกนะ แต่แม่ไม่อยากให้ลูกมีความประพฤติอย่างนี้” หรือพูดว่า “พ่อเชื่อว่าลูกทำได้ดีกว่านี้” อย่าพูดว่า “ลูกเป็นเด็กเหลือขอจริงๆ ถ้าลูกทำสิ่งนี้ไม่ได้” ถ้าเราทำอย่างนั้นเรากำลังทำให้ใจลูกแตกสลาย
- ให้ลูกเอาแต่เรียนเรียน เรียนไม่มีเล่นเลย เด็กๆ จำเป็นต้องมีทุกอย่างๆที่สมดุล ทั้งเล่นทั้งเรียน สมองจะทำงานได้ดีถ้ามีทั้งอย่างเข้าด้วยกันอย่างกลมกลืน
- กฎคือกฎห้ามถามเราควรมีกฎที่ชัดเจน สม่ำเสมอ ปฏิบัติได้เพราะจะช่วยให้ลูกรู้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นได้หากไม่ทำตาม แต่กฎต่างๆ ควรยึดหยุ่นได้ ไม่ใช่กฎคือกฎห้ามถาม เพราะเมื่อไหร่ที่มีปัญหาลูกสามารถขอความช่วยเหลือได้
- เย็นชาเหมือนน้ำแข็งการเป็นพ่อแม่ที่ดีควรมีความอบอุ่น แต่มั่นคง ไม่ใช่เยือกเย็น ใจร้าย
อ่านต่อ >> “พฤติกรรมพ่อแม่แบบไหนทำให้ลูกพูดโกหก” คลิกหน้า 2
เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

แพทย์เตือนไข้หวัดใหญ่ระบาดช่วงหน้าหนาว

การเช็ดตัวลดไข้ให้ลูกอย่างถูกวิธี
เมื่อลูกป่วย การ เช็ดตัวลดไข้ ให้ลูก ถือเป็นวิธีปฐมพยาบาลเบื้องต้นที่คุณพ่อคุณแม่สามารถทำเองได้ และหาก เช็ดตัวลดไข้ ได้อย่างถูกวิธีก็จะช่วยลดไข้ให้ลูกได้อย่างรวดเร็ว ลดโอกาสเกิดอาการชักจากไข้สูง และลดการใช้ยาลดไข้ ซึ่งถ้าทานมากเกินไปจะเกิดอันตรายต่อตับได้
วิธีการ เช็ดตัวลดไข้ ให้ลูก
การ เช็ดตัวลดไข้ เป็นวิธีที่ปฏิบัติกันมาแต่โบราณ โดยอาศัยหลักของการนำความร้อนออกจากร่างกายด้วยน้ำ เป็นวิธีที่ทำได้สะดวก มีอุปกรณ์ที่สามารถหาได้ใกล้ตัว และสามารถให้ผลลัพธ์ในการช่วยลดไข้ได้ดี โดยเฉพาะในเด็กทารกและเด็กเล็กที่มีสัดส่วนของพื้นที่ผิวกายมาก เมื่อเทียบกับน้ำหนักตัว ซึ่งจะได้ผลในการลดอุณหภูมิร่างกายได้อย่างรวดเร็ว
แต่ผลในการเช็ดตัวจะอยู่ได้ไม่นาน คุณพ่อคุณแม่อาจต้องให้ยาลดไข้แก่เด็กร่วมด้วย ซึ่งชนิดและขนาดของยาที่ให้ ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ ซึ่งต้องมีความระมัดระวังเป็นอย่างมาก และต้องไม่รับประทานยาลดไข้นานติดต่อกันเกิน 5 วันโดยไม่ทราบสาเหตุของไข้ และใน 1 วันควรรับประทานยาลดไข้ห่างกัน 4-6 ชั่วโมง โดยใน 1 วันไม่ควรรับประทานติดต่อกันเกิน 5 ครั้ง
ทั้งนี้ การเช็ดตัวลดไข้ ที่ถูกต้อง จะมีประโยชน์มากหากคุณพ่อคุณแม่ไม่ต้องการให้เด็กรับประทานยาติดต่อ กันหลายครั้งมาก นอกจากนั้น ยาลดไข้จะใช้เวลาในการออกฤทธิ์ประมาณ 30 นาที คุณพ่อคุณแม่สามารถทำการเช็ดตัวลดไข้ให้ลูกได้ทันทีก่อนยาออกฤทธิ์ และเมื่อลูกมีไข้ โดยเฉพาะช่วงอายุ 6 เดือน ถึง 3 ปี ที่มีประวัติชักเมื่อมีไข้สูง (ไข้ชัก) วิธีนี้เป็นวิธีที่ใช้เบื้องต้นได้ดีทีเดียว
ผลของการเช็ดตัวลดไข้
การเช็ดตัวลดไข้ นอกจากจะทำให้ความร้อนในร่างกายลดลง โดยการถ่ายเทความร้อน ซึ่งใช้น้ำเป็นตัวช่วยพาความร้อนออกจากร่างกาย จากการใช้ผ้าชุบน้ำ บิดหมาดๆ แล้วเช็ดตัวเด็กอย่างนุ่มนวล นอกจากนี้ การเช็ดตัว ยังช่วยให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น และช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อ จึงช่วยเพิ่มการระบายความร้อน และช่วยให้เด็กรู้สึกสบายตัว
อุปกรณ์สำหรับ เช็ดตัวลดไข้ ให้ลูก
อีกหนึ่งข้อสำคัญเมื่อลูกตัวร้อน คุณพ่อคุณแม่ควรเตรียมอุปกรณ์ในการเช็ดตัวไว้ใกล้มือ เพื่อสะดวกในการหยิบ ซึ่งอุปกรณ์ต่างๆได้แก่
- ปรอทวัดไข้ ในปัจจุบัน มี 2 แบบ คือ
- ปรอทแบบที่วัดทาง ผิวหนัง/รักแร้ เนื่องจากปัจจุบันจะใช้ปรอทวัดทางก้น/ทางทวารหนักเฉพาะในทารกแรกคลอดเท่านั้น อายุต่อจากนั้นใช้วัดทางรักแร้ทั้งหมด
- แบบดิจิตอล (Digital) ซึ่งปัจจุบัน มีทั้งแบบวัดทางหูและทางหน้าผาก
หากเป็นปรอทแบบธรรมดา (วัดทางรักแร้) ใช้เวลาในการวางปรอทให้สัมผัสกับผิวหนังประมาณ 5 นาที หากเป็นดิจิตอล รอให้มีเสียงดังขึ้นที่แสดงว่าเครื่องฯได้อ่านอุณหภูมิเรียบร้อยแล้ว (เมื่อไปพบแพทย์ควรให้ประวัติด้วยว่า อุณหภูมิที่วัดที่บ้านนั้นใช้ปรอทแบบใดวัด วัดวิธีทางใด)
เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่
- นาฬิกา สำหรับไว้จับเวลาว่า เริ่มเช็ดตัวเมื่อไหร่ เช็ดตัวไปนานกี่นาทีแล้ว และเอา ไว้จับเวลา ที่จะวัดอุณหภูมิซ้ำหลังจากเช็ดตัว 30 นาทีในรายที่มีไข้สูงมากกว่า 8 องศาเซลเซียส แต่ในรายที่มีประวัติชักจากไข้สูง (ไข้ชัก) ต้องวัดอุณหภูมิซ้ำทุก 10-15 นาที
- ผ้าเช็ดตัว/ผ้าขนหนูสำหรับรองใต้ตัวเด็กเวลาที่เช็ดตัว เพื่อป้องกันที่นอนหรือบริเวณที่ทำการเช็ดตัวเปียกชื้น และเอาไว้ซับที่ผิวเด็กเมื่อเช็ดตัวเสร็จเรียบร้อย ทั้งนี้ ผ้าเช็ดตัว ควรมีขนาดใหญ่กว่าตัวเด็กเล็กน้อย
- ผ้าขนหนูที่อ่อนนุ่มขนาดที่สามารถพันรอบมือของผู้เช็ด ขนาดประมาณ กว้าง 20 x 30 cm. ความหนาของผ้าให้พอเหมาะกับการใช้เช็ดตัวเด็ก (ขึ้นกับความถนัดของแต่ละผู้ดู แลเด็ก) เวลาใช้คือพันรอบมือทั้ง 4 นิ้วเหลือนิ้วโป้งไว้ และพับส่วนปลายตลบมาสอดไว้ที่ฐานของผ้าและวางนิ้วโป้งกดไว้เวลาเช็ดตัว
- กะละมังหรืออ่างน้ำขนาดความจุประมาณ 5 ลิตร
- เสื้อผ้าที่ทำจากผ้าฝ้ายบางๆ สำหรับสวมใส่หลังเช็ดตัว
- น้ำที่จะใช้เช็ดตัว อุณหภูมิน้ำประมาณ 4 – 35 องศาเซลเซียส เทน้ำธรรมดาใส่กะละมัง (ขนาด 5 ลิตร) ผสมน้ำร้อนประมาณ 200 ซีซี. หรือ 1 แก้ว เพื่อน้ำจะไม่ร้อนมากเกิน ไป หากครั้งแรกไม่แน่ใจ สามารถใช้ปรอทวัดอุณหภูมิห้อง จุ่มลงไปวัดได้ เมื่อเราจำระดับความร้อนได้ ครั้งต่อไปไม่ต้องวัดด้วยปรอทแล้ว ใช้ข้อศอกหรือหลังมือแตะทดสอบ เพื่อไม่ให้น้ำที่ใช้อุ่นเกินไป ไม่ควรใช้น้ำแข็งหรือแอลกอฮอล์ในการเช็ดตัว จะทำให้เด็กหนาวสั่นได้ง่าย
>> ดูแผ่นพับพร้อมภาพประกอบ วิธี “การ เช็ดตัวลดไข้ ให้ลูก ที่ถูกต้อง” คลิกหน้า 2

ลูกท้องผูก ถ่ายยาก ทำไงดี?
ลูกท้องผูก เป็นอาการ ไม่ใช่โรค แต่เป็นอาการที่เด็กไม่ถ่ายอุจจาระตามปกติ โดยคำนิยามทางการแพทย์ ท้องผูก หมายถึงความผิดปกติทั้งจำนวนครั้งของการถ่ายอุจจาระ ซึ่งต้องน้อยกว่า 3 ครั้งต่อสัปดาห์ ลักษณะของอุจจาระต้องแห้ง แข็ง การขับถ่ายต้องใช้แรงเบ่งหรือใช้มือช่วยล้วง และภายหลังอุจจาระแล้วยังมีความรู้สึกว่าอุจจาระไม่สุด
สำหรับบ้านไหนที่มีเด็กทารกอายุแรกเกิด – 3 เดือน มักมีปัญหามาปรึกษาอยู่เสมอว่าทำไม ลูกท้องผูก จะป้องกันและแก้ไขอย่างไร หรือใช้สบู่สวนทวารหนักลูกบ่อย ๆ ดีหรือไม่อย่างไร
อาการท้องผูก ที่จริงแล้วความหมายของคำว่า ท้องผูก คือ การถ่ายอุจจาระแข็งกว่าปกติมาก ซึ่งอาจจะหลาย ๆ วันถ่ายครั้ง หรือถ่ายอุจจาระทุกวัน แต่อุจจาระแข็งมาก ก็ถือว่าเป็นอาการท้องผูก นิยามของ ท้องผูก จากคุณหมอ หมายถึง ถ่าย
ลักษณะอาการ ลูกท้องผูก
ซึ่งทารกแรกเกิดไปจนถึงอายุ 2 – 3 เดือนที่ดูดนมแม่มักจะไม่มีปัญหาเรื่องท้องผูก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงแรกเกิดใหม่ 2 – 3 วันแรกเด็กทารกที่ดูดนมแม่จะขับถ่ายขี้เทาได้ดี และอาจถ่ายอุจจาระเป็นสีเหลืองเหลว ๆ ได้ในปริมาณครั้งละเล็ก ๆ น้อย ๆ ถึงวันละ 6 – 8 ครั้ง เนื่องจากว่าน้ำนมแม่มีคุณสมบัติเป็นยาระบายอ่อน ๆ ช่วยขับขี้เทาได้ดี เด็กบางคนที่ดูดนมแม่อาจจะถ่ายอุจจาระเพียง 1 ครั้งในเวลา 3 – 4 วัน โดยมีลักษณะอุจจาระนิ่ม ๆ ไม่แข็งและปริมาณไม่มากนัก ทั้งนี้เนื่องจากว่าน้ำนมแม่มีสารอาหารที่มีประโยชน์ครบถ้วน มีกากอาหารน้อยลำไส้เด็กสามารถย่อยและดูดซึมสารอาหารจากนมแม่ไปใช้ได้หมด ทำให้มีจำนวนอุจจาระน้อย ไม่ถ่ายอุจจาระทุกวัน *จากรูปประกอบด้านบน ท้องผูก คือ รูปที่ 1-3 ท้องเสีย คือ รูปที่ 5-7
ฉะนั้นจะเห็นได้ว่า เด็กที่ดูดนมแม่ส่วนใหญ่จะไม่มีปัญหาเรื่องท้องผูกเลย ส่วนเด็กที่ดูดนมผสม จากสูตรนมผงต่าง ๆ กันนั้นอาจจะมีปัญหาท้องผูกได้จากส่วนประกอบของนมผงแต่ละชนิดซึ่งไม่เหมือนกัน เด็กที่ท้องผูกอาจเกิดจากได้รับนมที่มีไขมัน หรือโปรตีนสูงเกินไปได้รับนมหรือน้ำน้อยไปทำให้ระบบขับถ่ายไม่สมดุลเกิดการท้องผูกขึ้น
เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่
สาเหตุอื่นๆ ของอาการ ลูกท้องผูกอาจเกิดจาก
- กินอาหารที่มีเส้นใยอาหารไม่เพียงพอ เช่นผัก ผลไม้ แก้ไขโดย การพยายามให้กินเพิ่มขึ้น ผลไม้ที่ช่วยระบายได้แก่ ธัญพืช ข้าวไม่ขัดสี ส้มมะละกอ ลูกพรุน แก้วมังกรองุ่น เชอร์รี่ ไม่แนะนำให้กินโยเกิร์ต เนื่องจากโปรตีนนมวัวอาจทำให้เป็นโรคภูมิแพ้
- กินน้ำน้อย แก้ไขโดย การพยายามให้กินน้ำเพิ่มขึ้น เด็กบางคนชอบกินน้ำเย็น น้ำแข็ง ก็อนุโลมได้ค่ะ แต่ควรเป็นน้ำแข็งทำเองจะได้ไม่เสี่ยงกับภาวะท้องเสีย แต่ไม่ควรให้กินน้ำหวานหรือน้ำผึ้ง เพราะจะทำให้ติดรสหวาน ฟันผุ เป็นโรคอ้วน
- ไม่ค่อยได้เคลื่อนไหวเท่าที่ควร เช่น คนอุ้มเยอะ นั่งดูทีวีทั้งวัน วิธีแก้คือ พยายามกระตุ้นให้ลูกได้ออกกำลังกาย
- ห่วงเล่น ไม่อยากขับถ่ายในที่ไม่คุ้นเคย กลัวห้องน้ำสกปรกจึงอั้นไว้ก่อน พอเก็บไว้นานก็ทำให้อุจจาระแข็งวิธีแก้คือ ฝึกให้ลูกถ่ายเป็นเวลาทุกวันเช่น ตอนเช้า หรือตอนเย็นเวลาออกนอกบ้านจะได้ไม่ต้องอั้น
- ต่อต้านการขับถ่าย เนื่องจากเคยมีประสบการณ์ถ่ายแข็งจนบาดรูทวาร เป็นแผลเจ็บมาก แก้ไขโดยทายารักษาแผลจนหายดี ทำให้อุจจาระนิ่มโดยใช้ยาช่วยระบาย จนกว่าลูกจะมั่นใจว่าอุจจาระที่ออกมาไม่ทำให้เจ็บ จึงหยุดยาระบายได้ และพยายามอย่าให้มีปัญหาอุจจาระแข็งอีก
- เคยถูกบังคับให้ฝึกนั่งกระโถน ทำให้มีความฝังใจไม่อยากขับถ่าย วิธีแก้คือ ปล่อยให้ลูกอุจจาระในรูปแบบที่ลูกชอบไปก่อน ขณะเดียวกัน พยายามแสดงให้ลูกดูว่าทุกคนเขาทำกันอย่างไร บางคนก็ไม่ยอมทำ จนกว่าจะเข้าโรงเรียนแล้วไปเห็นเพื่อนๆทำได้ หรือเห็นที่นั่งขับถ่ายที่โรงเรียนมีขนาดเล็กเหมาะสมกับตัวเอง จึงยอมทำได้ในที่สุด
- ไม่ถูกกับอาหารหรือนมที่กินอยู่ เช่น แพ้โปรตีนนมวัว หรือเป็นผลข้างเคียงของธาตุเหล็กที่ผสมอยู่ในนมผง วิธีแก้คือ เปลี่ยนเป็นนมถั่วเหลืองหรือนมสำหรับเด็กแพ้นมวัว หากเป็นเด็กที่อายุเกิน 1 ขวบไม่จำเป็นต้องกินนมผงอีกต่อไป ให้เปลี่ยนมาเป็นนมกล่องที่ไม่ได้เสริมธาตุเหล็ก
- โรคบางอย่าง เช่น โรคของต่อมไทรอยด์ ต่อมพาราไทรอยด์ โรคเบาจืด เด็กต้องมีอาการผิดปกติอื่นๆ ร่วมด้วย วิธีแก้คือ รักษาโรคที่เป็นอยู่
- ยาบางอย่าง เช่น ธาตุเหล็ก ยาลดไข้สูง ยาลดกรด ยากดการไอที่มีโคเดอีน วิธีแก้คือ ลองหยุดยาแล้วดูว่าดีขึ้นหรือไม่
- เป็นโรคขาดเนื้อเยื่อประสาทที่ควบคุมการทำงานของลำไส้ (Congenital Megacolon หรือ Hirschsprung’sDisease) วินิจฉัยโรคได้จากการสวนแป้งทางทวารและการผ่าตัดชิ้นเนื้อที่ลำไส้ไปตรวจ วิธีแก้คือ หากเป็นไม่มาก แก้ไขโดยการใช้ยาช่วยระบาย ถ้าเป็นมากแก้ไขโดยการผ่าตัด
อ่านต่อ >> “วิธีแก้ปัญหาเมื่อลูกท้องผูก” คลิกหน้า 2

แม่ระวัง! ยาแก้ไอผสม โคเดอีน อันตรายเสี่ยงลูกเสียชีวิต
สมาคมกุมารแพทย์อเมริกันเตือน ยาแก้ไออันตราย ได้แก่ ยาแก้ไอผสม โคเดอีน ไม่ปลอดภัยต่อเด็ก และไม่ควรใช้ระงับปวดหรือระงับอาการไอในเด็ก
โคเดอีน คืออะไร
โคเดอีนเป็นอนุพันธ์ของฝิ่น (Opium) ออกฤทธิ์ที่ระบบประสาทส่วนกลาง (Central Nervous System, CNS) มีคุณสมบัติทางเภสัชวิทยาคือ ระงับปวด และมีประสิทธิภาพในการะงับอาการไอได้ดีมาก โดยออกฤทธิ์กดศูนย์ควบคุมการไอในสมอง ด้วยคุณสมบัติดังกล่าว โคเดอีนจึงถูกนำมาผลิตเป็นยาแก้ไอ โดยโคเดอีนจัดเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 2 ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522
ในต่างประเทศ โคเดอีนถูกใช้มาเป็นเวลานานหลายสิบปี แม้จะมีหลักฐานยืนยันว่า มันไม่ได้มีประสิทธิภาพดีนัก และบางครั้งยังก่อให้เกิดผลข้างเคียงที่รุนแรงหรืออันตรายถึงชีวิต
อันตรายจากโคเดอีน
นายแพทย์ Joseph Tobias แห่งมหาวิทยาลัย Ohio State University และโรงพยาบาล Nationwide Children’s Hospital กล่าวว่า ไม่มีเหตุผลใดๆ ที่จะต้องใช้โคเดอีน เพราะโคเดอีนส่งผลต่อปัญหาระบบทางเดินหายใจในเด็กที่เป็นอันตรายถึงชีวิตมานานกว่าสิบปี
การตรวจสอบล่าสุดจากองค์การอาหารและยาสหรัฐฯ (FDA) ถึงผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายจากการใช้โคเดอีนในเด็ก พบ เด็ก 64 รายมีอัตราการหายใจช้าลงอย่างรุนแรง และ 24 รายเสียชีวิตเนื่องมาจากยา โดย 21 รายเป็นเด็กอายุน้อยกว่า 12 ปี
ปัญหาระบบทางเดินหายใจมักจะเกิดขึ้นหลังจากเด็กได้รับการผ่าตัดต่อมทอนซิลและต่อมอะดีนอยด์ เพื่อรักษาภาวะหายใจติดขัดระหว่างการนอนหลับหรือรักษาต่อมทอนซิลอักเสบเฉียบพลันหรือเรื้อรัง
โดยการเสียชีวิตของเด็กที่เกี่ยวเนื่องกับโคเดอีนพบว่าสัมพันธ์กับเด็กที่ได้รับยา อะเซตามิโนเฟน (acetaminophen) ร่วมกับ โคเดอีนหลังการผ่าตัด
เด็กบางรายที่ไม่ได้รับการวินิจฉัยปัญหาการหายใจระหว่างการนอนหลับตอนกลางคืน อาจมีปัญหาการหายใจหลังจากได้รับยาโคเดอีนเช่นกัน
มีหลักฐานเพียงเล็กน้อยเท่านั้นถึงประสิทธิภาพในการระงับอาการไอในเด็กของโคเดอีน และจากหลักฐานยังแสดงให้เห็นว่า เด็กบางคนอาจไม่ตอบสนองต่อการรักษาอาการปวด
ปัญหาคือ เมื่อโคเดอีนเข้าสู่ร่างกาย ตับจะเปลี่ยนโคเดอีนเป็นมอร์ฟีนที่มีคุณสมบัติบรรเทาอาการปวด แต่ความแตกต่างทางพันธุกรรมมีผลต่อความสามารถของตับในการสร้างมอร์ฟีน หากสร้างได้น้อยเกินไปก็จะไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ หากสร้างได้มากเกินไปก็อาจเป็นอันตราย หรือมีอัตราการหายใจช้าลงที่รุนแรงถึงชีวิต
เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่
องค์การอาหารและยาของสหรัฐเคยออกประกาศเตือนให้แพทย์ระมัดระวังการสั่งยาโคเดอีนในเด็กที่ได้รับการผ่าตัดต่อมทอนซิลและต่อมอะดีนอยด์แล้วตั้งแต่ปี 2013 และแพทย์ในโรงพยาบาลเด็กชั้นนำทั่วสหรัฐได้รับคำแนะนำให้หยุดการจ่ายยาโคเดอีนแล้ว
อย่างไรก็ตาม แม้จะมีความกังวลและข้อสงสัยมากมายว่าโคเดอีนใช้ได้ผลหรือไม่ การจ่ายยาโคเดอีน รวมถึงการจำหน่ายโดยไม่มีใบสั่งยาจากแพทย์ก็ยังเป็นที่แพร่หลายใน 28 รัฐและกรุงวอชิงตัน ดี.ซี.
สมาคมกุมารแพทย์อเมริกันจึงออกมาเตือนอีกครั้ง เพื่อให้กุมารแพทย์และกุมารแพทย์ผ่าตัดตระหนักถึงอันตรายของโคเดอีนและคำนึงถึงความปลอดภัยของผู้ป่วยเป็นสำคัญ
อ่านต่อ>> ข้อควรระวังของการใช้ยาโคเดอีน คลิกหน้า 2

ลูกกินอาหารเสริมแล้วท้องเสีย ทำยังไงดี?

เตรียมรับมือ 10 โรคใกล้ตัวของคุณแม่ยุคใหม่
