อินทผลัม สุดยอดผลไม้! สำหรับคุณแม่ท้อง

อินทผลัม สุดยอดผลไม้ …ชาวมุสลิมถือว่าอินทผลัมนั้นเป็นผลไม้ที่พระผู้เป็นเจ้าประทานให้ เนื่องจากในคัมภีร์อัลกุรอานได้มีการบันทึกเกี่ยวกับอินทผลัมอยู่หลายครั้ง ซึ่งชาวมุสลิมจะเก็บอินทผลัมสดไว้รับประทานในช่วงเดือนถือศีลอด (เดือนรอมฎอน) เนื่องจากในคัมภีร์อัลกุรอานได้บัญญัติไว้ว่าสามารถละศีลอดด้วยการกินอินทผาลัมแทนการดื่มน้ำได้ Continue reading “อินทผลัม สุดยอดผลไม้! สำหรับคุณแม่ท้อง”

    สถานที่ท่องเที่ยวสำหรับเด็ก

    สถานที่ท่องเที่ยวสำหรับเด็ก ช่วงหน้าฝนในกรุงเทพฯ

    หน้าฝนแบบนี้ พาลูกเที่ยวไหนดี เรามี สถานที่ท่องเที่ยวสำหรับเด็ก ช่วงหน้าฝน ให้ครอบครัวได้ทำกิจกรรมในร่มร่วมกัน เพื่อให้ลูกน้อยได้เปิดโลกกว้าง และเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ที่ยังไม่เคยได้สัมผัส ช่วยพัฒนาสมองและความคิดลูก แบบไม่ต้องกลัวเปียกฝนมาฝากค่ะ

    Continue reading “สถานที่ท่องเที่ยวสำหรับเด็ก ช่วงหน้าฝนในกรุงเทพฯ”

      วิธีเพิ่มความฉลาดให้ลูกน้อย

      วิธีเพิ่มความฉลาดให้ลูกน้อย เพียง 11 ข้อ

      คุณพ่อ คุณแม่หลายคนอยากให้ลูกฉลาด เรียนรู้ได้เร็ว สามารถปรับตัวเข้ากับสังคมได้ง่าย Amarin Baby & Kids มี 11 วิธีเพิ่มความฉลาดให้ลูกน้อย มาฝากกันค่ะ

      1.บำรุงปัญญาลูกน้อย

      สติปัญญาเป็นสิ่งที่มาจากพันธุกรรม แต่คุณพ่อ คุณแม่ก็สามารถเพิ่มพูนทักษะของลูกน้อยได้ สอนให้ลูกได้รู้จักเรียนรู้ และพัฒนาจิตใจให้ดีควบคู่กันด้วย

      2.เล่นเกมลับสมอง

      เกมลับสมอง เช่น หมากรุก หมากฮอส อักษรไขว้ เกมถอดรหัส ปัญหาเชาว์ เป็นสิ่งที่ช่วยฝึกฝนสมอง บริหารความคิดให้แข็งแรง ทำให้ลูกรู้จักวางแผน คิดแก้ปัญหา และเกิดการตัดสินใจที่ซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ

      3.เล่นดนตรี

      การเรียนดนตรี จะช่วยพัฒนาสมองซีกขวา ให้ความสนุกสนาน มีประโยชน์ต่อการพัฒนาไอคิว และทักษะทางวิชาการ ส่งผลให้ลูกน้อยเรียนดีเมื่อเข้าช่วงมัธยมปลาย และมีไอคิวสูงเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่

      4.เลี้ยงลูกด้วยนมแม่

      นมแม่เป็นอาหารสมองที่จำเป็นอย่างยิ่ง ช่วยป้องกันโรคติดต่อ และมีอาหารที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโต นมแม่ทำให้ลูกฉลาดขึ้น และสุขภาพดี

      วิธีเพิ่มความฉลาดให้ลูกน้อย

       

      5.เล่นวิดีโอเกม

      วิดีโอเกมอาจเป็นสิ่งที่ไม่ดีสำหรับลูก แต่คุณพ่อ คุณแม่ก็สามารถเลือกเกมดีๆ พัฒนาสมองลูกได้ อาจเป็นเกมที่ต้องใช้การเคลื่อนไหว เพื่อไม่ให้ลูกน้อยนั่งอยู่กับที่ ช่วยฝึกความจำ และการเคลื่อนไหวได้ดี

      6.ออกกำลังกาย

      การเล่นกีฬาร่วมกันทำให้ลูกมั่นใจ ทำงานร่วมกันเป็นทีม และมีความเป็นผู้นำ ดีกว่าการนั่งดูทีวี ลองเปลี่ยนมาเป็นการเล่นลูกบอล หรือพาลูกน้อยออกไปเดินเล่นบ้าง

        ลูกน้อยตกเตียง

        ลูกน้อยตกเตียง ช่วยเหลืออย่างไรไม่ให้เสียชีวิต?

        ข่าวสะเทือนใจที่เคยเกิดขึ้น เรื่อง ลูกน้อยตกเตียง จนเสียชีวิต พ่อแม่ร้องไห้ใจแทบขาด ปรากฏให้เห็นกันอยู่บ่อยๆ เหตุเพราะอันตรายที่คาดไม่ถึงคือที่นอน ที่เป็นสาเหตุทำให้ลูกน้อยเสียชีวิต ปกติเด็กทารกจะนอนบนที่นอนหลากหลายรูปแบบ เช่น เบาะเด็ก และเบาะที่นอนรวมกับผู้ใหญ่

        Continue reading “ลูกน้อยตกเตียง ช่วยเหลืออย่างไรไม่ให้เสียชีวิต?”

          วิธีอาบน้ำเด็กแรกเกิด

          ขั้นตอน วิธีอาบน้ำเด็กแรกเกิด ถูกต้อง ปลอดภัย (มีคลิป)

          สำหรับคุณพ่อ-คุณแม่มือใหม่ที่ยังไม่กล้าอาบน้ำให้ลูกน้อย โดยเฉพาะในทารกแรกเกิดที่ยังตัวเล็ก Amarin Baby & Kids มีขั้นตอน+เทคนิค และคลิปวีดีโอสาธิตการอาบน้ำทารก ซึ่งเป็น วิธีอาบน้ำเด็กแรกเกิด ที่ถูกต้องและปลอดภัย จากพยาบาลวิชาชีพมาแนะนำค่ะ

          สำหรับร่างกายของทารกแรกเกิดนั้นไม่ได้สกปรกมาก  คุณแม่อาบน้ำให้วันละหนึ่งครั้งก็เพียงพอแล้ว  ในแต่ละครั้งควรใช้เวลาไม่เกิน 5-7 นาที  และผสมน้ำให้อุ่นพอดีกับอุณหภูมิของร่างกาย  เพื่อไม่ให้ลูกเบบี๋หนาวสั่น เมื่อรู้เคล็ดลับดีๆ อย่างนี้แล้ว  มาเริ่มอาบน้ำให้เบบี๋กันเลยค่ะ

          ⇒ Must read : การ อาบน้ำทารกแรกเกิด ไม่จำเป็นต้องทำทุกวัน

          ขั้นตอนการอาบน้ำทารก และ เทคนิคการอาบน้ำทารกแรกเกิด อย่างถูกวิธี

          ก่อน อาบน้ำให้ทารก คุณพ่อคุณแม่ควรทราบก่อนว่า สิ่งที่ควรและไม่ควรทำ คือ

          √ Do ช่วงเวลาต้องอาบ

          เลือกเวลาที่หนูอารมณ์ดี หาจังหวะเหมาะๆ ตอนที่ลูกผ่อนคลาย สงบ

          ⊗ Don’t ช่วงเวลาต้องห้าม

          ไม่ควรอาบน้ำให้ลูกน้อยทันทีหลังจากให้นม  เพราะจะทำให้ลูกเบบี๋อาเจียนออกมาได้  ระยะเวลาที่เหมาะสมคือ  อาบน้ำหลังให้นมประมาณ 1 ชั่วโมง

          จากนั้นมาเตรียมอุปกรณ์ไว้ให้พร้อม ได้แก่ ผ้าขนหนูผืนเล็ก 2 ผืน น้ำสบู่ (นำสบู่เหลวมาเจือจางกับน้ำ) และน้ำอุ่นสะอาดอย่างละถ้วย ผ้าเช็ดตัว ทั้งหมดนี้ควรวางไว้ใกล้ๆ มือ สามารถหยิบใช้ได้สะดวก

          วิธีอาบน้ำเด็กแรกเกิด ที่ถูกต้อง

          สำหรับทารกแรกเกิด การอาบน้ำใน 3-5 วันแรก ในเรื่องของการเตรียมน้ำทดสอบอุณหภูมิน้ำไม่ให้เย็นหรือร้อนเกินไป จากนั้นห้คุณแม่ใช้วิธีห่อตัวลูกด้วยผ้าขนหนู และไล่เปิดเฉพาะส่วนที่จะทำความสะอาดเท่านั้น ใช้ผ้าชุบน้ำสบู่ที่เตรียมไว้ลูบเบาๆ แล้วล้างด้วยผ้าที่ชุบน้ำเปล่าบิดหมาดจนแน่ใจว่าสะอาดหมดจด จึงเช็ดตัวให้แห้ง แล้วห่อลูกด้วยผ้าขนหนูอีกครั้ง

           

          อ่านต่อ “วิธีอาบน้ำทารกแรกเกิด อย่างถูกต้องและปลอดภัย” คลิกหน้า 2

            [รีวิวร้านอาหาร] Jaiyen Cafe (ใจเย็น คาเฟ่)

            Jaiyen Cafe ( ใจเย็นคาเฟ่ )

            Civic Park ซอยทองหล่อ 13 สุขุมวิท 55 เปิดบริการทุกวัน 11.00-22.00 น. โทร. 098 251 6485
            ดีกรีความร้อนพุ่งสูงปรี๊ดขนาดนี้ ต้องหาไอศกรีมมาดับร้อนกันซะแล้ว กับร้านนี้ที่แค่ได้ยินชื่อก็แฮปปี้ทันตาเห็น  “ ใจเย็นคาเฟ่ “ เสิร์ฟไอศกรีมโฮมเมดหลากหลายรส ขนมอร่อยๆให้เลือกชิม  เครื่องดื่มสีสวย และกาแฟรสเข้ม ภายใต้บรรยากาศน่ารัก อบอุ่น แต่ละมุมน่าถ่ายรูปอัพลงโซเชียลไปเสียหมด สำหรับมุมที่ดูเหมาะกับครอบครัว อยู่ด้านนอกอาจจะร้อนหน่อย แต่โต๊ะกว้างกว่า และมีพื้นที่ให้เด็กๆได้เดินไปเดินมา

            ใจเย็นคาเฟ่

            เอาล่ะ ได้ที่นั่งแล้ว สั่งกันเลยเถอะ เมนูที่เราอยากบอก มาถึงต้องสั่งเพราะพรีเซนต์ดีงาม น่ารักขั้นสุด คือ Summer beach ice-cream  (155 บาท) ยกมาเป็นถังกันเลย ด้านบนตกแต่งเป็นหาดทราย น้ำทะเล เป็ดน้อย และร่ม ด้านล่างเป็นไอศกรีม 2 รสให้เลือก (ลองเลือกรสยาคูลปีโป้ รสนี้เด็กๆกรี๊ดมาก) จานต่อมาแม้ไม่น่ารักเท่า แต่รับประกันว่าอิ่ม มีประโยชน์ และสนุก กับ Jaiyen dip & mixed waffle ขนาดใหญ่เบิ้ม (270 บาท) ต่อจากนั้นปิดท้ายด้วยเครื่องดื่มสวยๆอย่าง น้ำลิ้นจี่ 95 บาท และ Matcha Affogato 155 บาท ถ้วยนี้ของคุณพ่อ คุณแม่นะจ๊ะเด็กๆ

            ใจเย็นคาเฟ่

            ร้าน ใจเย็น คาเฟ่

            Save

              ปฐมวัยเปลี่ยนโลก

              School Visit “ปฐมวัย” เปลี่ยนโลก

              คุณภาพชีวิตที่ดีในอนาคตสามารถเริ่มได้ตั้งแต่ปฐมวัย การดูแลเด็กในช่วงวัยนี้อย่างเหมาะสมจะเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันและถือเป็นการลงทุนด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์อย่างคุ้มค่าที่สุด ฉบับนี้เราจะพาไปรู้จักโครงการ RIECE Thailand อีกหนึ่งโครงการดีๆ ที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา ซึ่งทีมงานมีโอกาสได้ไปเยี่ยมชมถึงที่ จึงขอเก็นภาพและเรื่องราวมาฝากคุณพ่อคุณแม่กันค่ะ

               

              โครงการ RIECE Thailand

                          หรือโครงการลดความเหลื่อมล้ำด้วยการศึกษาปฐมวัยที่มีคุณภาพ ริเริ่มโดยสถาบันวิจัยเพื่อการประเมินและออกแบบนโยบาย มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ด้วยเงินทุนสนับสนุนหลักจากนักธุรกิจผู้ไม่ประสงค์ออกนาม ร่วมกับมหาวิทยาลัยมหาสารคาม สำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน (สสค.) และองค์การบริหารส่วนตำบลทั้ง 24 แห่ง ในเขตจังหวัดมหาสารคามและจังหวัดกาฬสินธุ์ เป็นภาพสะท้อนที่ดีที่สุดของชนบทในประเทศไทย

              เนื่องจากจังหวัดมหาสารคามไม่ใช่เมืองใหญ่หรือจังหวัดห่างไกล แต่จากการเก็บข้อมูลพบว่า เด็กจำนวนมากถึง 42.17% ไม่ได้อาศัยอยู่กับพ่อแม่ หรือเรียกว่า “ภาวะพ่อแม่ห่างลูก” ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศไทยอยู่ที่ 30% ภาวะพ่อแม่ห่างลูกนี้ ส่งผลกระทบต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตของเด็ก โครงการฯจึงเข้ามาเพื่อร่วมกันพัฒนาศูนย์พัฒนาเด็กเล็กจำนวน 49 แห่ง ครอบคลุมเด็กปฐมวัยอายุระหว่าง 2-4 ปี จำนวนประมาณ 2,000 คน ตลอดจนการจัดทำฐานข้อมูลเด็กแลเยาวชนในช่วงปฐมวัยอย่างต่อเนื่อง โดยเริ่มสนับสนุนให้ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กที่เข้าร่วมโครงการใช้หลักสูตรไฮสโคป (HighScope) ตั้งแต่เดือน พ.ค. 2558

               

                          ทำไมต้อง “ไฮสโคป”

              จากงานวิจัยของ เจมส์ เฮ็กแมน (James J. Heckman) นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบล ที่ทำการติดตามเด็กปฐมวัย 2 กลุ่มเป็นเวลา 27 ปี พบว่าเด็กที่ได้รับการส่งเสริมพัฒนาการสมวัยด้วยกระบวนการเรียนรู้แบบไฮสโคปมีผลกระทบเชิงบวก เช่นเรียนจบการศึกษาระดับชั้นมัธยมศึกษาหรือการศึกษาสายอาชีพหรือระดับมหาวิทยาลัยมีงานทำมากกว่า และมีโอกาสได้รับผลกระทบเชิงลบ เช่น ถูกจับกุมเป็นอาชญากรและภาระสังคมน้อยกว่ากลุ่มเด็กที่ไม่ได้รับการกระตุ้นพัฒนาการให้สมวัย เป็นต้น เมื่อพิจารณาความคุ้มค่าในเชิงของการลงทุน ผลของงานวิจัยชี้ให้เห็นว่า การลงทุนใน 1 บาทจะได้ผลประโยชน์คืนกลับต่อผู้เข้าร่วมโครงการฯ และสังคมประมาณ 7-12 บาท

              “ทำไมถึงเลือกไฮสโคป เพราะผมเลือกจากประสิทธิผลสูงสุดเมื่อเทียบกับต้นทุนการลงทุน ผมจะไม่บอกว่าไฮสโคปคือวิ่งที่ดีที่สุด ไฮสโคปเด่นเรื่องทักษะการเข้าสังคม  ซึ่งเฮ็กแมนพบว่า ไอคิวไม่ได้ต่างกันมาก แต่ทักษะทางสังคมเป็นสิ่งที่สร้างยาก และในเมื่อการจัดการเรียนการสอนแบบไฮสโคปลงทุนน้อยแต่ให้ตอบแทนสูงสุด ผศ.ดร.วีระชาติ กิเลนทอง หัวหน้าโครงการฯ กล่าว

               

                          การเรียนรู้แบบไฮสโคป

              หัวใจของไฮสโคปเน้น 3 ขั้นตอนสำคัญ คือ วางแผน (Plan) โดยการเปิดโอกาสให้เด็กไว้วางแผนและเลือกทำในกิจกรรมที่ตัวเองสนใจ ซึ่งทักษะที่เด็กได้จากการวางแผนคือ เด็กได้รู้จักกำหนดเป้าหมายที่แน่ชัด ทำงานอย่างเป็นระบบ ฝึกการตัดสินใจ และถูกกระตุ้นให้คิดและตอบคำถาม ลงมือปฏิบัติ (Do) ในห้องเรียนไฮสโคป เด็กจะทำกิจกรรมในมุมที่เลือกไว้เป็นเวลา 30-45 นาที การเล่นและลงมือปฏิบัติจะฝึกให้เด็กได้สำรวจ ทดลอง ประดิษฐ์ สร้างสรรค์ เลียนแบบ รู้จักเข้าสังคมและทำงานเป็นกลุ่ม และสุดท้าย การทบทวน (Review) หลังจากจบกิจกรรม เด็กๆกลับเข้ากลุ่มในตำแหน่งของตัวเอง เพื่อเข้าสู่ขั้นตอนการทบทวน โดยการนำเสนอหน้าชั้นเรียน ครูจะเปิดโอกาสให้เพื่อนตั้งคำถาม และผู้นำเสนอจะตอบคำถามเพื่อน ซึ่งเป็นการฝึกการสื่อสารด้วยการเล่าประสบการณ์ของตัวเองต่อหน้าผู้อื่น เด็กจะกล้าแสดงออก รู้จักคิดตั้งคำถาม และเป็นผู้ฟังที่ดี

               

              ครู” กุญแจสำคัญต่อความสำเร็จ

              การสอนแบบไฮสโคปหัวใจสำคัญอีกหนึ่งอย่างก็คือ “ครู” เพราะครูคือผู้ฝึกทักษะการเรียนรู้และเอาใจใส่ต่อพัฒนาการและความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับเด็ก ครูในโครงการฯ จึงต้องจบการศึกษาด้านปฐมวัยโดยตรง และผ่านการอบรมเชิงปฏิบัติการในสถานที่จริง เพื่อให้ครูได้เรียนรู้และเข้าใจทักษะกระบวนการจัดการเรียนการสอนอย่างแท้จริง จนสามารถนำไปปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง พร้อมกับมีระบบนิเทศ โดยทีมวิชาการจากคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม เพื่อเป็น “ที่ปรึกษา (coaching)” แก่ครูที่เข้าร่วมโครงการอย่างต่อเนื่องและใกล้ชิด

               

              กิจกรรม “พานิทานกลับบ้าน”

              โดยโครงการฯ จะจัดหาหนังสือเด็ก ที่คัดเลือกโดยนักวิชาการด้านปฐมวัย เพื่อมอบให้แก่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กที่เข้าร่วมโครงการฯ และส่งเสริมให้เด็กๆ ขอยืมหนังสือกลับบ้าน เพื่อให้คุณพ่อคุณแม่อ่านให้ฟัง ซึ่งเป็นการปลูกฝังนิสัยรักการอ่านให้แก่เด็กๆ และส่งเสริมความสัมพันธ์ในครอบครัว โดยผู้ปกครองจะบันทึกพฤติกรรมและพัฒนาการของเด็กขณะอยู่ที่บ้าน เพื่อให้ครูและโครงการฯ ได้ติดตามผลการเปลี่ยนแปลงของเด็กๆ

               

              กิจกรรมเยี่ยมบ้าน เก็บข้อมูลเชิงลึก

              ทีมนักวิจัยในโครงการยังได้ลงพื้นที่เยี่ยมบ้านของเด็กที่อยู่ในศูนย์พัฒนาเด็กเล็กในโครงการ โดยเก็บข้อมูลเด็กในทุกปี จำนวน 3 รุ่น เพื่อเปรียบเทียบและศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการพัฒนาชีวิตที่มีคุณภาพในอนาคต ทั้งปัจจัยในครอบครัว เช่น การใช้เวลาของผู้ปกครอง ตลอดจนรูปแบบการจัดการเรียนการสอนของศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก คุณภาพการสอนของครู รวมถึงการพัฒนาครู เพื่อนำมาต่อยอดและปรับปรุงหลักสูตรต่อไป

               

              สุดท้าย ผศ.ดร.วีระชาติ ทิ้งท้ายไว้ว่า “ผลของการทำงานพอจะพิสูจน์ให้เห็นได้ว่า แม้แต่พื้นที่ที่ใครๆ คิดว่าไม่พร้อมและยากต่อการพัฒนาอย่างศูนย์เด็กเล็กในต่างจังหวัดก็สามารถพัฒนาเด็กให้ดีขึ้น หากใช้กระบวนการสอนที่มีประสิทธิภาพ เราเชื่อว่าการลงทุนในเด็กปฐมวัยเป็นการลงทุนที่สำคัญและคุ้มค่า ช่วยให้เด็กและเยาวชนที่ด้อยโอกาสสามารถเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพได้ เพราะไม่มีอะไรจะสำคัญไปกว่าการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์”

               

              Teacher’s Voices

              “ตอนแรกกังวลว่าเด็กอายุเท่านี้จะทำได้หรอ แต่ผลที่ได้เกินกว่าคาด เด็กเล่นแล้วสามารถเก็บของเข้าที่เดิมได้ รู้จักรอคอย รู้จักตั้งคำถามต่อยอดไปเรื่อยๆ เช่น รถพ่วง เพื่อนก็จะถามว่า “เติมน้ำมันที่ไหน” คนต่อไปก็ถามว่า “เติมกี่บาท” “ไปไหน” เมื่อเพื่อนตอบว่าไปส่งของ ก็จะมีคำถามตามมาว่า “ไปส่งอะไร” “ได้เงินกี่บาท” และมีอีกตัวอย่างคือน้องทับทิม จากเดิมที่ไม่พูด ไม่สบตา ไม่เล่นกับเพื่อน เวลาครูถามจะเดินหนี แต่เมื่อปรับกิจกรรมโดยใช้หลักไฮสโคปแล้ว ปรากฎว่าน้องกล้าเล่นกับเพื่อน กล้าตั้งคำถามมากขึ้น นี่คือตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเลยค่ะ” ยุภาพร วิเศษชู ครูประจำศูนย์พัฒนาเด็กเล็กหนองตอกแป้น จ.กาฬสินธุ์

               

              Information

              สำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน (สสค.) ตู้ปณ. 34 ปณฝ.สนามเป้า กรุงเทพฯ 10406

              ติดตามรายละเอียดโครงการฯเพิ่มเติมได้ที่ www.riece.org Facebook: RIECE Thailand

               

                อุทาหรณ์เตือนใจ! ประสบการณ์จากคุณแม่ ให้ลูกกินข้าวเหนียวมากเกิน ทำให้ลำไส้อุดตัน

                เพียงเรื่องของเด็กน้อยกับข้าวเหนียว ก็กลายเป็นอุทาหรณ์ที่ถูกแชร์กันมากในโลกออนไลน์ตอนนี้ กับข้อความของสมาชิกเฟสบุ๊ค Plyfah Mckenzie Parke หรือคุณแม่ปลายฟ้า ที่ได้เล่าถึงประสบการณ์คุณแม่ต้องเจอเมื่อลูกชายสุดที่รักต้องเข้าโรงพยาบาล เนื่องจากลำไส้อุดตัน เพียงเพราะน้องชอบกินข้าวเหนียว….

                โดยคุณแม่ปลายฟ้าได้เล่าประสบการณ์ของลูกชายว่า  “แวะมาฝากเตือนคุณแม่ๆพ่อคะ!!! ในภาพน้องคาเมรอน ได้แอดมิทเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลเนื่องจากมีอาการ ปวดท้องเป็นระยะๆ ปวดทีน้องจะจับท้องตัวเองแล้วขยุ้มท้องตัวเองเพราะปวดมาก มีอาการอาเจียน แต่ไม่มีไข้ คุณหมอรีบพาไปตรวจเลือด อัลตร้าซาวน์ช่องท้อง เอ็กซเรย์ช่องท้อง ตรวจเลือด ให้งดอาหารเตรียมพร้อมหากมีบางอย่างแตกในท้องจะได้เข้าผ่าตัดได้เลย คุณแม่ก็กลัวจะเป็นเรื่องไส้ติ่ง ผลคือ **น้องมีการอุดตันของลำไส้ทั้งหมด กระเพาะอาหารติดเชื้อ** สาเหตุเพราะ น้องคาเมรอนชอบทานข้าวเหนียวมากๆ ยิ่งลูกทานข้าวเหนียวอร่อยคุณแม่ก็ยิ่งหามาให้กิน ไม่คิดว่าลูกจะเป็นแบบนี้ น้องทานแป้งเยอะไป ตั้งแต่วันนั้นคุณแม่เลยต้องเปลี่ยนอาหารของน้องทั้งหมด มาเป็นต้มซุป ผัดผัก ต่างๆ เน้นผลไม้มากขึ้น ดื่มน้ำให้มากๆ ผลคือ น้องถ่ายดีขึ้น อุดจ้านิ่มขึ้นกว่าเดิม เลยมาฝากแชร์เรื่องราว สำหรับลูกบ้านไหนที่ชอบทานข้าวเหนียวเหมือนน้องคาเมรอน ให้เบาๆลงบ้างก็ดีนะคะ #เด็กแต่ละคนมีการย่อยไม่เหมือนกันคุณหมอกล่าวไว้ #สามารถกดแชร์ต่อได้เลยนะคะจะได้ระมัดระวังเรื่องนี้กันเยอะๆ”

                13565461_1601538230177013_323466856_n

                โดยคุณแม่ปลายฟ้า ได้อธิบายเพิ่มเติมว่า “น้องคาเมรอน อายุ 2.6 ขวบ ชอบทานข้าวเหนียวมาก แม่จึงให้น้องทานเป็นประจำ จนมันเกิดการสะสมของแป้งในรูปของอุจจาระที่มากเกินไป น้องเลยถ่ายยาก พอเบ่งถ่ายหนักเข้า น้องก็จะกลัวการเบ่งอุจจาระ ทำให้อุจจาระออกมาไม่หมดคะค้างในลำไส้ จนมีเชื้อแบคทีเรียในกระเพาะอาหารและลำไส้ อยากให้ระวังเรื่องการป้อนอาหาร ขนม พวกแป้งให้กับลูกโดยไม่จำเป็น เด็กบางคนอาจจะไม่มีอาการอย่างที่คุณแม่พูด แต่กับเด็กบางคนไม่โชคดีแบบนั้นคะ ซึ่งจากเหตุการณ์ดังกล่าวก็ทำให้มีการปรับอาหารให้เหมาะสมและครบหมู่ขึ้นด้วย ระมัดระวังเรื่องอาหารลูกให้ดีเพราะมันจะไปเกี่ยวข้องกับระบบการขับถ่ายของลูกได้ เน้นผัก ผลไม้ ดื่มน้ำให้มาก จะมีประโยชน์กว่าทานพวกแป้งเยอะๆคะ ^^ มีการแชร์ต่อๆกันไปเยอะมาก อันนี้ต้องขอขอบคุณคะ ปลายฟ้าดีใจเพราะอย่างน้อยๆโพสต์นี้ก็สามารถเป็นตัวอย่างหลักๆในเรื่องของการป้อนข้าวลูกด้วยข้าวเหนียวแบบผิดๆ”

                13608258_1601538233510346_1748685399_n

                ซึ่งคุณแม่ยังได้กล่าวเสริมขึ้นมา..เพื่อเตือนใจแม่ๆท่านอื่นอีกว่า เด็กแต่ละคนมีระบบขับถ่ายไม่เหมือนกัน บางคนขับถ่ายง่าย บางคนขับถ่ายยาก เรื่องของน้องคาเมรอนก็เป็นหนึ่งตัวอย่างที่คุณแม่ๆ ต้องใส่ใจเรื่องอาหารการกินมากขึ้น การทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ก็เป็นเรื่องสำคัญทางรักลูกก็ขอให้น้องคาเมรอนหายไวไวด้วยนะคะ

                อ่านต่อ >> ไปทำความรู้จักกับ “อาการลำไส้อุดตัน” คลิกหน้า 2

                  กิจกรรม PA

                  มาทำกิจกรรม PA (Physical Activities) ฉบับครอบครัวกันเถอะ

                  กิจกรรม PA คืออะไร

                  กิจกรรม PA หรือกิจกรรมทางกาย คือกิจกรรมอะไรก็ตามที่ทำให้เด็กๆ ได้ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว เคลื่อนที่มากพอจนทำให้เกิดการหายใจที่ถี่ขึ้น หายใจเร็วขึ้น (ในเด็กที่มีสุขภาพร่างกายปกติ) และอัตราการเต้นของหัวใจเร็วขึ้น ซึ่งเด็กๆสามารถทำกิจกรรม PA ได้ในหลากหลายรูปแบบ ในช่วงเวลาใดก็ได้ในแต่ละวัน โดยอาจจะเป็นกิจกรรมแบบทางการ อย่างเช่น การเล่นกีฬา หรือกิจกรรมไม่เป็นทางการ อย่างเช่น การให้เด็กได้เล่นสนุก หรือแม้กระทั่งการทำงานบ้านที่ได้ออกแรงอย่างการขุดดินปลูกต้นไม้ การกวาดถูบ้าน รวมไปถึงการเดินทางในชีวิตประจำวันที่ต้องออกแรง เช่น การเดิน การขี่จักรยาน เป็นต้น

                  Physical Activities
                  Physical Activities For Kids

                  การทำกิจกรรม PA ในครอบครัวให้เป็น Active Family ดีอย่างไร

                  • ทำให้คนในครอบครัวได้ใช้เวลาสนุกร่วมกันมากขึ้น เป็นช่วงเวลาคุณภาพ
                  • ช่วยให้ผ่อนคลายจากการเรียนหรือการทำงานได้
                  • ช่วยลดภาวะน้ำหนักที่ไม่เหมาะสมสำหรับทุกคนในครอบครัว
                  • ลดความเสี่ยงจากการเป็นโรคหัวใจและเบาหวานประเภท 2 ได้
                  • ลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งบางประเภทได้
                  • ช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้กระดูก ข้อต่อและกล้ามเนื้อ

                  แหล่งอ้างอิงAustralian Government , Department of Health Brochure PA Guideline for Family

                   

                  วิธีง่ายๆ มาเป็น Active Family กัน

                  • มีกิจกรรม PA ทำร่วมกันทุกๆวัน
                  • ทำให้สนุก ทำให้เกิดการเคลื่อนไหวให้มากที่สุดในทุกช่วงวัน
                  • เป็นแบบอย่างที่ดี เพราะการกระทำสำคัญกว่าคำพูด พ่อแม่ต้องเป็นแบบอย่างให้ลูกเห็น
                  • ให้ของขวัญลูกเป็นอุปกรณ์กีฬา หรืออื่นๆ ที่ส่งเสริมกิจกรรม PA เช่น รองเท้าสเก็ต ลูกบอล ฮูลาฮูป ไดร์ฟกอล์ฟเล็กๆ เป็นต้น
                  • ออกไปทำกิจกรรม PA กันทั้งครอบครัว ให้กลายเป็นช่วงเวลาดีๆของทุกคน
                  • สร้างหรือดัดแปลงกิจกรรม PA ในบ้านให้ได้สนุกกัน เช่น ห้อยลูกบอลร้อยยางเป็นสนามมวย หรือตุ๊กตาล้มลุก
                  • พากันไปเดินนอกบ้าน เพิ่มความสนุกด้วยการ นับก้าวไปด้วย นับรถ หรือนับสิ่งของรอบตัวไปด้วยระหว่างเดิน
                  • เล่นกีฬาที่ลูกชอบกับลูก
                  • เพิ่มการเดินขึ้นลงบันได
                  • ให้มีช่วงเวลาหยุดพักจากการอ่านหนังสือ หรือทำการบ้านของลูกโดยให้มีกิจกรรมยืดเหยียด หรือชู้ตบอลสั้นๆ หรือจะเป็นเตะบอลสั้นๆ ก่อนจะกลับไปทำการบ้านต่อ
                  • ปิดจอต่างๆ ทั้งจอคอมพิวเตอร์ จอมือถือ และจอโทรทัศน์

                  แหล่งข้อมูลอ้างอิง Family tip sheet : 2005 CIGNA & Healthy Kids Challenge

                   

                   

                  Q : ทำอย่างไรให้ลูกเป็นเด็ก Active และรักษาระดับนั้นไว้ได้?

                  สำหรับเด็กการกระตุ้นเขาตั้งแต่อายุยังน้อยถือว่าเป็นเรื่องที่ดี เพราะจะกลายเป็นนิสัยติดตัวตลอดไป อาจจะเริ่มต้นจากวันละ 1 ชั่วโมงกับกิจกรรม PAที่ไม่เป็นทางการ การเล่นอย่างสนุกสนานได้เคลื่อนไหวร่างกายอย่างต่อเนื่อง ไปจนถึงการเล่นกีฬาที่มีรูปแบบชัดเจน ลองมาดูคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญกันค่ะ

                   

                  • ทำให้กิจกรรม PAเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตครอบครัว เช่น การเดินเล่นกับครอบครัว หรือการเล่นเกมที่มีความ Active
                  • พาเด็กๆ ไปสถานที่ต่างๆ ที่สามารถมีกิจกรรมที่ Active ได้ เช่น สวนสาธารณะ สนามกีฬา หรือสถานที่เล่นกีฬาต่างๆ
                  • พ่อแม่ต้องมีความรู้สึกแง่บวกเกี่ยวกับกิจกรรม PA ที่เด็กๆ เข้าไปมีส่วนร่วม และกระตุ้นให้พวกเขามีความสนใจกับกิจกรรมใหม่ๆ
                  • ทำให้กิจกรรมมีความสนุกสนาน อะไรก็ได้ที่เด็กรู้สึกชื่นชอบ ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมที่มีรูปแบบหรือไม่มีรูปแบบก็ตาม กิจกรรมต่างๆ สามารถเป็นได้ตั้งแต่การเล่นกีฬาเป็นทีม การเล่นกีฬาคนเดียว หรือกิจกรรมนันทนาการต่างๆ อาทิ เดิน วิ่ง ขี่จักรยาน ว่ายน้ำ กิจกรรมในสนามเด็กเล่น หรือการเล่นในเวลาว่าง
                  • แทนที่จะนั่งดูโทรทัศน์หลังจากรับประทานอาหารเย็น ไปกระตุ้นให้เด็กๆ หากิจกรรมที่สนุกๆ ทำด้วยตัวเอง หรือกับครอบครัวและเพื่อนๆ เช่น การเดินเล่น หรือการขี่จักรยาน
                  • ขอให้คำนึงถึงความปลอดภัย ขอให้มีการใช้เครื่องมือเพื่อความปลอดภัยเสมอ เช่น หมวกกันน็อค ปลอกกันศอกและเข่ากระแทก และให้แน่ใจว่าเป็นกิจกรรมที่เหมาะสมกับช่วงวัย

                   

                  เห็นไหมคะว่ากิจกรรม PA นั้นสามารถแทรกซึมอยู่ในทุกกิจกรรมของครอบครัวแบบสบายๆ และถ้าอยากได้เคล็ดลับดีๆแบบนี้เพิ่ม แนะนำให้เข้าไปอ่านข้อมูลเพิ่มเติมกันได้ที่เวบไซต์ www.kidactiveplay.com ค่ะ

                    สร้างพัฒนาการลูกน้อย

                    2 Steps สร้างพัฒนาการที่ดีให้ลูกแบบอีซี่ๆ

                    ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีวิธีในการปฏิบัติส่วนจะเป็นอย่างไรนั้นก็แล้วแต่เรื่องและเมื่อมีวิธีปฏิบัติก็ย่อมมีขั้นตอนเพื่อให้สะดวกในการปฏิบัติ  ขั้นตอนง่ายๆ ในการ สร้างพัฒนาการลูกน้อย เมื่ออ่านบทความนี้จบจะรู้เลยว่าเป็นขั้นตอนที่ง่ายจริงๆ Continue reading “2 Steps สร้างพัฒนาการที่ดีให้ลูกแบบอีซี่ๆ”

                      ความกังวลของแม่ท้อง

                      แม่ท้องดูแลตัวเองง่ายๆ ยามเจ็บป่วย

                      เมื่อตั้งครรภ์ ภูมิต้านทานในร่างกายของคุณแม่จะลดลงเป็นปกติอยู่แล้ว ทำให้มีโอกาสติดเชื้อได้ง่าย เมื่อติดแล้วก็มักจะหายช้ากว่าปกติ ยารักษาต่างๆ ก็ต้องใช้ยาที่อ่อนลงเพราะอาจกระทบกับลูกในครรภ์ได้ นอกจากนี้ การเป็นไข้สูงนานๆ หัวใจของลูกจะเต้นเร็วมากขึ้น ส่งผลให้ลูกน้อยเจริญเติบโตช้าได้ด้วย

                       

                      1. เป็นไข้

                       

                      โดยปกติอาการไข้มักเกิดจาก 3 สาเหตุด้วยกัน ได้แก่

                      1.ไข้หวัด ซึ่งพบได้บ่อย มักมีอาการร่วมคือ เจ็บคอ ไอ มีน้ำมูก

                      2.ไข้จากการติดเชื้อบริเวณทางเดินปัสสาวะ อาการร่วมคือ ปัสสาวะขัดหรือผิดปกติ มีอาการหนาวสั่น

                      3.ไข้จากระบบทางเดินอาหาร อาการร่วมที่เจอบ่อยๆ คือท้องเสีย คลื่นไส้ อาเจียน

                      ดังนั้น ในเบื้องต้นต้องรู้ว่าเราเป็นไข้จากสาเหตุอะไร จึงจะรักษาตามอาการได้ถูกต้อง

                       

                      ลดไข้ด้วยวิธีง่ายๆ หลักการของการลดไข้คือ การระบายความร้อนออกไปให้ได้มากที่สุด ดังนั้นวิธีไม่มีอะไรมาก ง่ายๆ ก็คือการเช็ดตัว เพราะการเช็ดตัวที่ถูกต้องและมีประสิทธิภาพจะช่วยบรรเทาอาการได้อย่างดี

                      วิธีเช็ดตัวที่ถูกต้อง เช็ดตัวด้วยน้ำเปล่าอุณหภูมิปกติเท่านั้น เวลาเช็ดให้เช็ดย้อนรูขุมขน และเช็ดเข้าหากลางลำตัวเป็นหลัก นอกจากนี้ควรใช้ผ้าซับบริเวณจุดระบายอุณหภูมิต่างๆ ได้แก่ ซอกคอ รักแร้ขาหนีบ หรือข้อพับต่างๆ และควรเช็ดตัวบ่อยๆ จนอุณหภูมิลดลงนอกจากเช็ดตัวแล้ว ควรดื่มน้ำมากๆ วันละ 6-8 แก้ว เพราะการดื่มน้ำมาก ปัสสาวะก็จะมากตามไปด้วย ซึ่งจะช่วยระบายความร้อนออกได้ดียิ่งขึ้น

                      รักษาตามอาการ

                      หากเจ็บคอ ดื่มน้ำผึ้งและน้ำมะนาวผสมน้ำอุ่นได้ หากคัดจมูก ควรล้างจมูกด้วยน้ำเกลือ จะช่วยลดการอักเสบหรือบวมบริเวณเยื่อบุโพรงจมูกได้ นอกจากนี้พยายามรับประทานผลไม้ที่มีวิตามินซีมากขึ้นอย่างส้ม ก็จะช่วยได้ค่ะ

                       

                      Q&A

                      Q หากแม่ท้องจำเป็นต้องดูแลคนเป็นไข้ ทำอย่างไรดี

                      A คุณแม่ควรสวมหน้ากากอนามัย ล้างมือทุกครั้งที่สัมผัสผู้ป่วย ไม่ควรดื่มน้ำแก้วเดียวกัน ควรใช้ช้อนกลางเวลารับประทานอาหาร และอาหารต้องร้อนและปรุงสุกเสมอ

                      Q ไอมากๆ มดลูกบีบตัวได้ไหม

                      A ได้ เพราะการไอมากๆ จะไปเพิ่มแรงดันในช่องท้องทำให้มดลูกบีบตัวได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอายุครรภ์น้อยๆ ในช่วง 12 สัปดาห์แรก อาจแท้งได้ หรืออายุครรภ์มาก 32 สัปดาห์ขึ้นไป ก็ทำให้คลอดก่อนกำหนดได้เช่นกัน ดังนั้นหากมีอาการไอหนักมากๆ ควรไปพบแพทย์ เพราะจะมียาช่วยลดอาการไอได้ แต่หากต้องซื้อยาทานเอง ควรหลีกเลี่ยงยาที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์

                       

                      โรคหวัด เป็นหวัด ไอ เจ็บคอ

                      ท้องเสีย

                      ท้องเสียแบบไหนอาการท้องเสีย แบ่งได้ 2 กลุ่ม ได้แก่

                      ท้องเสียแบบติดเชื้อ ลักษณะอุจจาระจะมีมูก เลือด หรือฟองปน ร่วมกับมีไข้ ครั่นเนื้อครั่นตัว พะอืดพะอม คลื่นไส้ ต้องไปโรงพยาบาลเท่านั้นและรักษาได้ด้วยการให้ยาฆ่าเชื้อ

                      ท้องเสียแบบไม่ติดเชื้อจะมีอาการแค่ถ่ายเหลว ถ่ายบ่อย 3-4 ครั้งขึ้นไป อาจมีอาการคลื่นไส้ร่วมด้วย แต่จะไม่มีไข้ ซึ่งท้องเสียแบบนี้จะหายไปได้เองโดยคุณแม่สามารถดูแลตัวเองได้วิธีการรักษา คือ เราเสียน้ำเสียเกลือแร่ไปเท่าไร ก็ให้ทดแทนให้ได้มากเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นการดื่มน้ำเกลือแร่หรือน้ำเปล่า ก็สามารถชดเชยการเสียน้ำและเกลือแร่ได้ทั้งสิ้น

                      หลังท้องเสีย ดูแลตัวเองอย่างไร

                      หลังท้องเสีย ลำไส้จะบวม ทำให้ไม่สามารถรับอาหารที่ย่อยยากๆ ได้ เช่น ข้าวเป็นเม็ด ผักใบเขียวต่างๆ เนื้อสัตว์ นม เป็นต้น หากยิ่งรับประทานจะยิ่งไม่ย่อย และท้องเสียมากขึ้น ดังนั้นจึงควรรับประทานอาหารที่ดูดซึมง่าย เช่น โจ๊กบดละเอียด เพื่อให้ร่างกายดูดซึมและมีแรงฟื้นตัว สรุปคือ ควรงดอาหารที่ย่อยยากนาน 24-48 ชั่วโมง หากท้องเสีย 1-2 วันแล้วอาการยังไม่ดีขึ้นควรไปพบแพทย์สำหรับยารักษาอาการท้องเสีย ควรหลีกเลี่ยงยาที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ ส่วนยาคาร์บอนคุณแม่ท้องสามารถรับประทานได้ค่ะ

                       

                      ท้องผูกและริดสีดวง

                      เมื่อตั้งครรภ์ ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนจะทำให้ลำไส้เคลื่อนตัวช้าลง ส่งผลให้คุณแม่ท้องอืดและผูกได้ง่าย นอกจากนี้เมื่อขนาดท้องโตขึ้นก็จะยิ่งไปกดบริเวณลำไส้ ทำให้การผ่านของอุจจาระยากขึ้นไปอีก จึงมีโอกาสเป็นริดสีดวงมากขึ้นเช่นกัน

                      วิธีป้องกันและรักษาง่ายๆ คือ หนึ่งต้องรับประทานผักผลไม้มากๆ เคี้ยวอาการให้ละเอียดสอง ดื่มน้ำเยอะๆ แต่หากท้องผูกรุนแรง ควรมาพบแพทย์เพื่อใช้ยาช่วย

                       

                      Q&A

                      Q ซื้อยาถ่ายมารับประทานเองได้หรือไม่

                      A ไม่ควรซื้อยามารับประทานเอง ต้องดูอายุครรภ์ก่อนจึงจะกำหนดปริมาณยาที่ถูกต้องได้ เพราะยาถ่ายมีผลต่อลูกน้อย ดังนั้นหากมีอาการท้องผูกมากควรมาปรึกษาแพทย์ แต่หากมีอาการไม่รุนแรง อาจดื่มน้ำลูกพรุนหรือมะขามช่วยระบายได้ ส่วนยารักษาริดสีดวง สามารถใช้ยาแบบเหน็บได้ ซึ่งสามารถหาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไป

                       

                       

                      ฮีทสโตรค

                      คุณแม่ท้องสามารถเป็นฮีทสโตรคได้ เพราะเมื่อตั้งครรภ์ เลือดจะถูกดึงไปเลี้ยงมดลูกหมด อวัยวะอื่นๆ จึงได้เลือดน้อยกว่าปกติ จึงมีแนวโน้มเป็นลมได้ง่าย หากยิ่งวันไหนนอนน้อย กินน้อย ออกแดดช่วงเวลาร้อนจัดนาน ยิ่งทำให้เกิดภาวะนี้ได้มากขึ้น

                      ฮีทสโตรคแตกต่างจากการเป็นลมธรรมดา โดยสังเกตอาการง่ายๆ ได้ 3 ข้อ ดังนี้

                      1. อุณหภูมิร่างกายสูง 40.5 องศาเซลเซียส ขึ้นไป และมีไข้
                      2. ร่างกายไม่สามารถระบายความร้อนออกไปได้
                      3. ระบบประสาทส่วนกลางทำงานผิดปกติ เช่น เป็นลม

                      หากคุณแม่ท้องมีอาการดังกล่าวข้างต้น ก็สันนิษฐานได้ว่าอาจเป็นฮีทสโตรค

                      ปฐมพยาบาลเมื่อเป็นฮีทสโตรค

                      1. เคลื่อนย้ายไปที่ที่อากาศถ่ายเท
                      2. ปลดหรือคลายเสื้อผ้าให้หลวมสบายที่สุด
                      3. เช็ดตัว วิธีการเช็ดเช่นเดียวกับเช็ดตัวตอนเป็นไข้
                      4. ดื่มน้ำให้มากเพื่อระบายความร้อนออกทางปัสสาวะ
                      5. หากไม่ดีขึ้นให้รีบส่งโรงพยาบาล โดยแพทย์จะช่วยให้น้ำเกลือ เพราะน้ำเกลือคือสารน้ำที่ช่วยระบายความร้อนได้ดีและรวดเร็ว

                       

                      ตะคริว

                      ตะคริวคืออาการยอดฮิตของคุณแม่ที่ตั้งครรภ์ เพราะต้องใช้กล้ามเนื้อในการแบกน้ำหนักอย่างมากนานถึง 9 เดือน ทำให้เกิดการหดรัดเกร็งของกล้ามเนื้อกว่าปกติ นอกจากนี้ กล้ามเนื้อของคนเราต้องใช้แคลเซียมในการหดเกร็ง คลายตัว แต่เมื่อตั้งครรภ์คุณแม่ต้องแบ่งแคลเซียมไปให้ลูกน้อยใช้ค่อนข้างมาก เมื่อแคลเซียมน้อยก็ทำให้เกิดตะคริวได้

                      ตะคริวป้องกันได้ บริเวณที่แม่ท้องเป็นตะคริวได้บ่อยคือ น่อง วิธีป้องกันก็คือ หนึ่ง แช่ขาส่วนน่องในน้ำอุ่นและบีบนวดให้กล้ามเนื้อคลายตัวสอง รับประทานแคลเซียมให้เพียงพอ ซึ่งคุณแม่ท้องต้องการแคลเซียมประมาณ 1,500 มิลลิกรัมต่อวัน

                      เป็นตะคริวแล้ว ทำอย่างไรดี

                      ขอความช่วยเหลือจากคนอื่นให้ช่วยยืดขาให้ จากนั้นให้เขาจับฝ่าเท้าข้างที่เป็นตะคริวขึ้นมา มือข้างหนึ่งดันฝ่าเท้าเข้าหาตัวคุณแม่ มืออีกข้างให้รูดขึ้นลงตรงบริเวณเอ็นร้อยหวาย ไม่นานก็หายเป็นปกติ

                       

                      คุณแม่ท้องควรดูแลตัวเองให้มาก หากมีอาการที่ไม่ฉุกเฉินเร่งด่วน และสามารถดูแลตัวเองได้ในเบื้องต้น ก็ควรดูแลตัวเองก่อนไปพบแพทย์ เพื่อช่วยผ่อนหนักให้เป็นเบา เหนืออื่นใด วิธีทีป้องกันได้ดีที่สุดคือการรับประทานอาหารที่ดีมีประโยชน์และออกกำลังกาย ก็จะช่วยลดอาการเจ็บป่วยลงได้มากค่ะ

                        ลำไส้

                        ลำไส้ กับ 4 ภารกิจที่คุณแม่อาจไม่เคยรู้มาก่อน?

                        มีคุณแม่หลายคนที่อาจไม่เคยรู้มาก่อน?… ว่า ลำไส้ ของลูกสามารถทำหน้าที่มากกว่าแค่การย่อยอาหาร แต่ยังถือได้ว่าเป็นศูนย์กลางของพัฒนาการรอบด้านของลูกน้อยเลยทีเดียว … เพราะลำไส้จะส่งผลต่อการเติบโตของร่างกาย ทั้งยังพัฒนาการด้านอารมณ์และสมอง ผ่านการดูดซึมสารอาหารต่างๆ และส่งผลต่อภูมิต้านทานตามธรรมชาติอีกด้วย!

                        และเพื่อพัฒนาการรอบด้านของลูกที่ดี คุณแม่สามารถเริ่มที่การดูแลลำไส้ให้แข็งแรง ดังนั้นเราไปทำความรู้จักกับภารกิจสำคัญของลำไส้ ที่ทำงานควบคู่ไปกับสมองของลูกรัก กับ 4 ภารกิจ กันค่ะ

                        ลำไส้ กับ 4 ภารกิจ

                        ภารกิจที่ 1: ลำไส้ส่งผลต่อการเติบโตของร่างกาย

                        การทำให้ลำไส้ของลูกน้อยแข็งแรงคือความสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด เพราะลำไส้ทำหน้าที่ย่อยอาหารหลากหลายประเภทและช่วยให้สารอาหารแต่ละอย่างถูกดูดซึมพร้อมนำไปใช้งาน สารอาหารบางอย่างมีความซับซ้อนและไม่สามารถย่อยได้ด้วยเอนไซม์ที่ร่างกายผลิต จุลินทรีย์สุขภาพในลำไส้จึงทำหน้าที่เป็นตัวช่วยในกระบวนการย่อยสลายนี้ และมีส่วนช่วยในกระบวนการดูดซึมแคลเซียมและธาตุเหล็ก ซึ่งจะถูกนำไปเป็นส่วนประกอบของกระดูก สมองและเม็ดเลือด นอกจากนั้นจุลินทรีย์สุขภาพจะผลิตสารอาหารที่สำคัญอย่างแข็งขันด้วย เช่น วิตามินบี12 ,วิตามินเค, โฟเลต ซึ่งสารอาหารส่วนใหญ่ไม่สามารถได้รับจากอาหารที่รับประทานเข้าไป วิตามินเหล่านี้จำเป็นสำหรับการเจริญเติบโต พัฒนาการ และการทำงานที่เหมาะสมของอวัยวะต่างๆ ภายในร่างกาย เพราะฉะนั้นคุณแม่จึงควรดูแลลำไส้ของลูกน้อยให้ดี เพราะมันจะคอยดูแลลูกน้อยของคุณเช่นกันค่ะ

                        ภารกิจที 2: ลำไส้ต่อสู้โรคภัยไข้เจ็บและช่วยป้องกันอาการแพ้ต่างๆ

                        ธรรมชาติในการเจริญเติบโต และพัฒนาการของลูก คือการได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ ทั้งการหยิบจับขึ้นมาชิม มีโอกาสที่ลูกน้อยของคุณจะเจอกับเชื้อโรคที่ไม่เป็นอันตราย หรือบางครั้งก็อาจพบเชื้อโรคและสารก่อโรคอื่นๆเข้าก็ได้ >> แต่เพราะมีลำไส้ที่เป็นแหล่งสร้างภูมิต้านทานที่ใหญ่ที่สุดในร่างกาย รวมเซลล์ภูมิต้านทานถึง 70% ในร่างกายของลูกน้อยจะมีกองทัพจิ๋วเป็นของตัวเอง สำหรับต่อสู่กับเชื้อโรคต่างๆ ซึ่งเซลล์ภูมิต้านทานสามารถตัดสินได้ด้วยว่าสารใดเป็นอันตรายและสารใดปลอดภัย ทำให้ร่างกายยอมรับสารบางอย่างจึงไม่มีอาการแพ้ หรือป้องกันโรคภูมิแพ้ต่างๆนั่นเอง ฉะนั้นการมีลำไส้ที่แข็งแรงก็เท่ากับการมีแหล่งสร้างภูมิต้านทานที่แข็งแรงด้วยเช่นกัน ซึ่งจะช่วยต่อสู้โรคภัยไข้เจ็บและช่วยป้องกันอาการแพ้ต่างๆ ให้กับลูกรักได้

                        ภารกิจที่ 3: ลำไส้ส่งผลต่อพัฒนาการทางสมอง

                        พัฒนาการด้านต่างๆ ของลูกน้อยจะดีได้หรือไม่นั้น ก็ขึ้นอยู่กับลำไส้ด้วย! เพราะลำไส้เป็นผู้จัดการส่งรับสารอาหารที่ดีให้กับสมองและร่างกายของลูกน้อย ลำไส้จำเป็นต้องย่อยสลายอาหารหลากหลายประเภทและทำให้มั่นใจว่าสารอาหารแต่ละชนิดได้รับการดูดซึมและพร้อมสำหรับการนำไปใช้ นี่คือเหตุผลว่าทำไมลำไส้ที่สุขภาพดีจึงสำคัญต่อการเจริญเติบโตที่สมบูรณ์

                        หรือเรียกได้ว่าเป็น สมองที่สอง ของร่างกาย เพราะลำไส้มีเซลล์ประสาทอยู่กว่า 100 ล้านเซลล์ ที่เชื่อมโยงกับสมองโดยตรง ยิ่งไปกว่านั้นลำไส้มีเส้นประสาทมากกว่าทุกอวัยวะในร่างกาย จึงมีอิทธิพลต่อสมอง ซึ่งลำไส้กับสมองจะทำงานร่วมกันใน 2 รูปแบบ ได้แก่

                        – บนลงล่าง (จากสมองมาที่ลำไส้) อารมณ์มีอิทธิพลต่อการทำงานของลำไส้

                        หลายต่อหลายครั้งที่แม้แต่ตัวเราเองจะรู้สึกไม่สบายท้อง เมื่อต้องอยู่ในภาวะเครียด นั่นคืออิทธิพลของอารมณ์ต่อการทำงานของลำไส้ ลูกน้อยก็เช่นกัน เพียงแต่เค้าอาจจะไม่สามารถสื่อสารให้คุณแม่รับรู้ได้

                        – ล่างขึ้นบน (จากลำไส้ไปที่สมอง) ลำไส้ส่งสัญญาณไปหาสมองส่งผลต่อสภาวะของร่างกายและจิตใจ

                        คุณแม่ลองสังเกตดูได้ว่าลูกน้อยดูจะหลับสบายขึ้น ไม่งอแง โยเยหลังการให้นม นี่ีคือตัวอย่างของการที่ีลำไส้ส่งผลกระทบต่ออารมณ์ ซึ่งยิ่งลำไส้ทำงานได้เป็นปกติ ก็ช่วยส่งเสริมพัฒนาการของลูกน้อยได้อย่างดีเยี่ยม

                        ภารกิจที่ 4: ลำไส้ควบคุมดูแลอารมณ์สำหรับความเป็นอยู่ที่ดีในแต่ละวัน

                        การที่ลูกน้อยหลับสบายขึ้นหลังให้นม คือผลจากการที่ลำไส้ส่งผลกระทบต่ออารมณ์ได้เป็นอย่างดี จะผลิตเซโรโทนิน ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่รู้จักกันในชื่อ ฮอร์โมนความรู้สึกดี โดยร้อยละ 95 ของเซโรโทนินผลิตขึ้นในลำไส้ จะทำหน้าที่ควบคุมดูแลเรื่องอารมณ์ พฤติกรรม การนอนหลับ และความอยากอาหารในร่างกาย

                        ฉะนั้นการมีลำไส้ที่ดีและสมดุล สมองก็จะได้รับสัญญาณที่บอกว่าทุกอย่างเรียบร้อยดีทำให้ลูกรักของคุณ เด็กบางคนอารมณ์ดี หลับง่าย คุณแม่จึงควรดูแลลำไส้ของลูกน้อยให้ดี เพราะมันจะคอยดูแลลูกน้อยของคุณเช่นกันค่ะ

                        หน้าที่ของลําไส้

                        เคล็ดลับการเตรียมพร้อมสุขภาพลำไส้ของลูกน้อยให้แข็งแรง

                        การเตรียมความพร้อมเพื่อดูแลสุขภาพลำไส้ของลูกจึงเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งคุณแม่สามารถเตรียมพร้อมได้ ด้วยการ เลือกใยอาหารกอส แอลซีฟอส”  ใยอาหารกอส แอลซีฟอส เป็นอาหารของจุลินทรีย์สุขภาพในลำไส้ ทำให้จุลินทรีย์สุขภาพเติบโตและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพเกิดสมดุลในลำไส้ อีกทั้งการที่มีใยอาหารหลากชนิด ยังช่วยส่งเสริมการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์สุขภาพให้ดียิ่งขึ้น ช่วยลดเชื้อก่อโรค จึงช่วยส่งเสริมสุขภาพลำไส้ที่ดี ซึ่งสุขภาพลำไส้ที่ดี ก็เป็นองค์ประกอบต่อการการเติบโตของร่างกาย พัฒนาการของสมอง ส่งผลต่อภูมิต้านทานตามธรรมชาติ ตลอดจนทางด้านอารมณ์ด้วย ช่วยลดอาการร้องกวนโยเยในเด็ก และช่วยให้อุจจาระอ่อนนิ่มขับถ่ายง่ายขึ้น…เพื่อพัฒนาการต่างๆที่ดีรอบด้านคุณแม่อย่าลืมดูแลสุขภาพลำไส้ของลูกรักให้ดียิ่งขึ้นนะคะ ^^

                        Save

                          สร้างภูมิคุ้มกันทางใจให้ลูก

                          สร้างภูมิคุ้มกันทางใจให้ลูก ตอน อบรมและจัดการพฤติกรรมเด็ก

                          1. อย่าลืมว่าความสัมพันธ์ที่ดีต้องมาก่อน ไม่ว่าการอบรมหรือจัดการพฤติกรรมของลูก คุณพ่อคุณแม่ต้องมีมุมที่อบอุ่นและเป็นมิตรกับลูก แต่ในบางครั้งที่จำเป็นคุณพ่อคุณแม่ต้องมีอำนาจสั่งการลูกและแสดงออกอย่างหนักแน่นและสม่ำเสมอ
                          1. การฝึกวินัยในเด็กเล็ก คือ การทำอะไรสม่ำเสมอ เป็นตารางเวลาที่คาดการณ์ได้ โดยเริ่มได้ตั้งแต่ลูกอายุ 4 เดือน ควรจัดเวลากิน เวลานอน ให้เป็นที่เป็นเวลา เช่น เด็กทารกจะดูดนมแม่ ต้องมีผ้าคลุมก่อนจึงจะดูดได้ หรือเด็กที่เริ่มกินอาหารเสริม ควรนั่งกินที่โต๊ะอาหารเท่านั้น หรือเด็กอายุ 1 ขวบที่เริ่มเดินได้ หากเขาจะดูดนม หรือถือขนมไว้ในมือ ควรจับเขานั่งก่อนทุกครั้ง เด็กที่โตขึ้น ฝึกให้เก็บของเล่นทุกครั้งที่เล่นเสร็จ
                          1. เข้าใจพัฒนาการทางสังคมอารมณ์ของลูก เมื่อเขาเริ่มเป็นตัวของตัวเอง (เด็กอายุ 18 เดือน – 2 ขวบครึ่ง) และช่วงทดสอบ-ท้าทาย (อำนาจ) ของผู้ใหญ่ (เด็กอายุ 3 – 4 ขวบ) พ่อแม่ต้องฝึกฝนเทคนิคในการพูดกับลูก เช่น ให้ทางเลือกแทนการออกคำสั่งหรือบอกให้เขาทำ และควรบอกให้ลูกได้รู้ตัวก่อนเปลี่ยนกิจกรรม เช่น หยุดเล่นก่อน ถึงเวลาอาบน้ำแล้ว แทนการสั่งให้เขาหยุดทันที
                          1. เข้าใจและยอมรับว่าทุกคนมีอารมณ์ลบได้ เช่น อารมณ์โกรธ หงุดหงิด เสียใจ ซึ่งเด็กจะแสดงสีหน้าท่าทางให้เห็นก่อนพูดได้เสียอีก ซึ่งคุณพ่อคุณแม่ควรรู้ว่าขณะที่ลูกมีอารมณ์เชิงลบ คือ โอกาสที่จะได้ใกล้ชิดและสอนลูก อย่าเบี่ยงเบนทั้งตัวลูกและตัวเรา อย่ากลัวหรือกังวลที่ต้องเผชิญกับช่วงเวลาดังกล่าว
                          1. รับฟังลูกอย่างเห็นอกเห็นใจ แทนการคิดว่า “แค่นี้เองทำไมต้องโกรธ” “เรื่องนิดเดียวไม่เห็นต้องเสียใจเลย”  และคุณพ่อคุณแม่ควรบอกให้ลูกรู้ว่าตอนนี้เขากำลังรู้สึกอย่างไร หากลูกพูดได้ ควรช่วยลูกหาคำพูดบรรยายความรู้สึกของตัวเอง
                          1. แสดงให้ลูกเข้าใจว่า เป็นไปได้ที่ลูกจะรู้สึก (ไม่ดี) แบบนี้ แต่ขณะเดียวกันก็หยุดพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม เช่น ตี ดิ้น หรือแย่ง  อาจจับมือเขาไว้แล้วบอกด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ ว่า ตีไม่ได้ แล้วช่วยลูกคิดหาวิธีทีจะทำให้เขารู้สึกดีขึ้น
                          1. ฝึกน้ำเสียงทรงอำนาจ และนำมาใช้ในเวลาที่จำเป็นจริงๆ เพื่อสื่อให้ลูกรู้ว่า ตอนนี้เป็นช่วงจริงจัง ซึ่งน้ำเสียงนี้มักมีโทนเสียงต่ำ การพูดราบเรียบ สั้นๆ ไม่เยิ่นเย้อ รวมถึงสีหน้าเรียบเฉยขณะพูด
                          1. พูดสื่อให้ลูกรู้ว่าเราต้องการให้เขาควบคุมตนเองให้ได้ ขณะที่ลูกอาละวาดโวยวาย พ่อแม่ควรบอกเขาว่า “คุมตัวเองลูก” แทนการพร่ำบ่นต่อว่า หรือถามว่าลูกทำแบบนี้ทำไม และเมื่อฝึกเขาไปได้สักพัก ก็อาจถามเขาว่า หนูจะคุมตัวเอง หรืออยากให้พ่อแม่ช่วย
                          1. ฝึกลูกให้รับผิดชอบตนเอง รับผิดชอบผลของการกระทำของตนเอง เด็กสามารถทำสิ่งต่างๆ ได้ด้วยตนเองตั้งแต่ยังเล็ก หากผู้ใหญ่ให้โอกาสและฝึกฝน และไม่คอยปกป้องเขามากจนเกินควร
                          1. ปรับเปลี่ยนกฎกติกาเมื่อลูกเติบใหญ่ขึ้น แต่คงไว้ซึ่งแนวคิดว่า หน้าที่ต้องมาก่อน เช่น หนูจะเล่นได้ต้องทำงานบ้าน หรือการบ้านให้เสร็จก่อน และอิสรภาพมาพร้อมความรับผิดชอบ เช่น ถ้าหนูอยากให้แม่อนุญาตให้ไปเล่นที่บ้านเพื่อน หนูต้องแสดงให้เห็นว่าหนูรับผิดชอบที่จะโทรมาหาในเวลาที่กำหนด

                           

                          เด็กที่เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีวินัย แสดงพฤติกรรมที่เหมาะสมและจัดการกับอารมณ์ของตนเองได้ เป็นเด็กที่คุณพ่อคุณแม่มอบของขวัญที่ล้ำค่าให้ลูก เพราะจะเป็นภูมิคุ้มกันทางใจที่จะช่วยนำพาให้ลูกผ่านพ้นความท้าทาย อันตราย อุปสรรคต่างๆ และความไม่แน่นอนของชีวิตค่ะ

                           

                          สร้างภูมิคุ้มกันทางใจให้ลูก
                          สร้างภูมิคุ้มกันทางใจให้ลู

                          การอบรมและจัดการพฤติกรรมเด็ก

                                      เป็นการสอนผ่านการเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับลูก บางครั้งสามารถสอนผ่านการเล่านิทาน  ฝึกรับมือกับพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมกับลูก และปลูกฝังให้ลูกควบคุมตนเอง สอนให้ลูกรู้ว่า “อะไรควร อะไรไม่ควรทำ” ซึ่งเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบของคุณพ่อคุณแม่ที่มากกว่าแค่กล่อมเกลี้ยงเลี้ยงดู

                           

                          การปลูกฝังวินัยและทักษะสังคม

                          เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับเด็กทุกคน และควรได้รับการปลูกฝังวินัยตั้งแต่ทารก และค่อยๆ พัฒนาจนกลายเป็นวินัยในตนเอง

                           

                          เรื่องโดย : พญ.นลินี  เชื้อวณิชชากร
                          ภาพ : ShutterStock

                            ไอในเด็กอันตราย

                            ไอในเด็กอันตราย เรื่องใกล้ตัวลูกน้อยที่พ่อแม่ต้องระวัง

                            ไอ คัดจมูก เป็นหวัด เจ็บคอ น้ำมูกไหล เป็นอาการป่วยที่พบบ่อยในเด็ก ส่วนใหญ่ไม่รุนแรง แต่รู้หรือไม่? ไอในเด็กอันตราย อาจเป็นสัญญาณเตือนว่าลูกป่วยรุนแรงมากกว่าหวัดธรรมดา เช่น ปอดบวม ติดเชื้อในกระแสเลือด ไข้หวัดใหญ่ วัณโรค ฯลฯ ซึ่งเป็นสาเหตุการตายของเด็ก 1 ใน 5

                            Continue reading “ไอในเด็กอันตราย เรื่องใกล้ตัวลูกน้อยที่พ่อแม่ต้องระวัง”

                              มองคนจากภายนอก

                              มองคนจากภายนอก เมื่อการปฏิบัติต่อเด็ก “รวย” “จน” แตกต่างกัน

                              ดูการทดสอบนี้แล้วคุณจะน้ำตาไหล เมื่อเด็กน้อยคนเดียวกัน แต่แต่งตัวแตกต่างกัน ระหว่างเด็กสะอาดใส่เสื่อผ้าราคาแพง กับเด็กสกปรกใส่เสื้อราคาถูก ลองถามใจตัวเองดูว่าถ้าเป็นคุณ คุณจะเลือกช่วยเหลือใคร? คลิปวิดีโอนี้ สะท้อนสังคมได้อย่างหนึ่งคือ คนเรามัก มองคนจากภายนอก

                              Continue reading “มองคนจากภายนอก เมื่อการปฏิบัติต่อเด็ก “รวย” “จน” แตกต่างกัน”

                                โรคต่อมน้ำเหลืองในเด็ก

                                โรคต่อมน้ำเหลืองในเด็ก อันตรายแค่ไหน?

                                จากเรื่องราวที่แชร์กันในกลุ่มสาธารณะบน Facebook แหล่งรวบรวมคุณแม่ตั้งครรภ์เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้(mom) เกี่ยวกับเด็กทารกชายแรกเกิดที่พึ่งผ่าคลอดเมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2559 ที่ผ่านมา น้องป่วยเป็น โรคต่อมน้ำเหลืองในเด็ก จนต้องทำคีโม ซึ่งมีค่าใช้จ่ายสูง

                                Continue reading “โรคต่อมน้ำเหลืองในเด็ก อันตรายแค่ไหน?”

                                  15 วิธี ดูแลลูกน้อยในฤดูฝน

                                  ในช่วงที่ฤดูฝนมาเยือน อยู่ที่ไหนก็ต้องมีฝนตกแทบทุกพื้นที่ … และหากคุณพ่อคุณแม่กำลังหาวิธีดูแลลูกน้อย ทั้งเด็กเล็กเด็กโต วันนี้ Amarin Baby & Kids ได้รวบรวมความคิดเห็นของคุณพ่อคุณแม่มืออาชีพมาไว้ที่นี่ จะมีวิธีอย่างไรบ้าง ไปดูกันเลยค่ะ…

                                  1.       สวมหมวกเวลาออกจากบ้าน   วิธีนี้ใช้ได้กับเด็กทารก เด็กเล็ก และเด็กโต นอกจากจะป้องกันฝนแล้ว ยังให้ความอบอุ่นแก่เด็กด้วย

                                  2.       ให้ลูกพกร่ม และอุปกรณ์กันฝน     สำหรับเด็กในช่วงเข้าโรงเรียน คุณพ่อคุณแม่อย่าลืมตรวจกระเป๋าของลูกว่าวันนี้พกร่มไปหรือยัง?

                                  3.       สวมเสื้อผ้าที่ไม่อับชื้น  เสื้อผ้าอับชื้น นอกจากทำให้เด็กไม่สบายตัวแล้ว ยังเป็นแหล่งสะสมของเชื้อรา อาจทำให้ลูกระคายเคืองที่ผิวหนัง คุณพ่อคุณแม่ต้องดูแลเอาใส่ใจเรื่องกลิ่นเหม็นอับเป็นพิเศษ รวมถึงผลิตภัณฑ์ที่ใช้ซักทำความสะอาด และตากในช่วงเวลาที่มีแดด หรือตากในที่ที่อากาศระบาย

                                  4.       ให้ความอบอุ่นทั้งร่างกายและจิตใจ  เคยได้ยินมาว่าในช่วงรอยต่อการเปลี่ยนฤดู ส่งผลต่อจิตใจของมนุษย์ อาจมาจากความไม่คุ้นเคยของสภาพร่างกาย ดังนั้นหากครอบครัวใช้เวลานี้ในการพูดคุยกันบ่อยๆ หรือกอดกันมากขึ้น ก็จะช่วยเสริมสร้างกำลังใจให้แก่กัน และทำให้เข้าใจกันมากขึ้น (เอ๊ะ? เกี่ยวกับฝนตกตรงไหน?)

                                  5.       ให้ลูกทานนมแม่  ในนมแม่ไม่ได้มีเพียงสารอาหารแก่ลูก ยังมีฮอร์โมนจากแม่ที่ส่งมาเป็นภูมิคุ้มกันแก่ลูก ดังนั้นคุณแม่ควรดูแลสุขภาพให้ดีเพื่อให้มีน้ำนมเพียงพอกับความต้องการของลูก

                                  6.       ออกกำลังกาย   เป็นการสร้างความแข็งแรงให้กับระบบกล้ามเนื้อของลูก ทำให้ลูกพร้อมที่จะต่อสู้กับเชื้อโรคในหน้าฝนนี้

                                  7.       ทานผลไม้ที่มีวิตามินซี   วิตามินซีมีคุณสมบัติในการป้องกันสารก่อภูมิแพ้ เช่น ฝุ่นละออง ได้ด้วย ใครว่าวิตามินซีจะช่วยเพียงโรคเลือดออกตามไรฟันอย่างเดียวก็ไม่ถูกค่ะ วิตามินซีนี่แทบจะเป็นวิตามินครอบจักรวาลป้องกันได้สารพัดโรค แต่การได้รับวิตามินซีมากเกินไปก็อาจส่งผลเสีย ทานผัก ผลไม้ ก็เพียงพอกับร่างกายเด็กแล้วค่ะ ไม่จำเป็นต้องทานยา หรืออาหารเสริม

                                  อ่านต่อ >> “วิธีดูแลลูกน้อยในฤดูฝน” ข้อ 8-15 คลิกหน้า 2

                                    ตรวจพัฒนาการฟรี

                                    ตรวจพัฒนาการฟรี 4-8 กรกฎาคม 2559

                                    สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณะสุข ชวนคุณพ่อ คุณแม่พาลูกน้อยมา ตรวจพัฒนาการฟรี โดยลูกน้อยจะต้องมีอายุ 9 เดือน / 1 ขวบครึ่ง / 2 ขวบครึ่ง / 3 ขวบครึ่ง ตามโครงการส่งเสริมพัฒนาการเด็กเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี

                                    Continue reading “ตรวจพัฒนาการฟรี 4-8 กรกฎาคม 2559”