“ขู่ลูก” ให้กลัว เด็กได้อะไร พ่อแม่ได้อะไร!!

ขู่ลูกให้กลัว “เดี๋ยวตุ๊กแกจะมากินตับ”“เดี๋ยวผีมาเอาไปนะ”“เดี๋ยวให้หมอจับฉีดยาเลย”เป็นหนึ่งในหลายประโยคคลาสสิค ที่หมอเชื่อว่าคุณพ่อคุณเคยได้ยินหรือเคยใช้มาบ้าง บางคนก็อาจมีประสบการณ์โดนขู่มาเหมือนกัน Continue reading ““ขู่ลูก” ให้กลัว เด็กได้อะไร พ่อแม่ได้อะไร!!”

    แม่ท้องถูกรถชนเพราะมัวแต่เล่นเกม…หมอจึงรีบผ่าคลอดเพื่อรักษาชีวิตลูก

    ตอนนี้กระแส โปเกมอน โก (Pokemon Go) กำลังเป็นที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก โปเกมอน โก เป็นเกมที่เล่นได้บนสมาร์ทโฟนซึ่งใช้คุณสมบัติการจับตำแหน่ง GPS เป็นตัวหลัก ผู้เล่นต้องใช้มือถือสมาร์ทโฟนเพื่อใช้ในการออกค้นหาโปเกมอนจากสถานที่ในโลกจริง! จน แม่ท้องเล่นเกม แล้วถูกรถชน Continue reading “แม่ท้องถูกรถชนเพราะมัวแต่เล่นเกม…หมอจึงรีบผ่าคลอดเพื่อรักษาชีวิตลูก”

      ลูกนอนกรน ..อันตรายแค่ไหน

      เวลาที่ ลูกนอนกรน เราอาจคิดว่าลูกนอนหลับสบาย แต่การกรนที่ผิดปกติ จะส่งผลเสียจนถึงขั้นทำให้ลูกหยุดหายใจขณะนอนหลับได้เลยทีเดียวค่ะ มีการศึกษาพบว่าเด็กไทยในวัยเรียนนอนกรนร้อยละ 6 แต่มีการกรนที่มีปัญหาอยู่ร้อยละ 0.5-1ถ้าลูกเราอยู่ในกลุ่มที่มีปัญหาคงไม่ดีแน่ เรามาไขปัญหา ลูกนอนกรน กันเลยดีกว่าค่ะ

       

      เสียง “กรน” เกิดขึ้นได้อย่างไร

      เสียงกรนเกิดจากการสั่นสะเทือนของเนื้อเยื่อบริเวณทางเดินหายใจส่วนบน เวลาเรานอนแล้วสูดหายใจเข้า ทางเดินหายใจส่วนบนจะแคบลงและมีการสั่นมาก จึงทำให้เกิดเสียงกรนขึ้น ยิ่งทางเดินหายใจตีบแคบมากเท่าไรเรายิ่งต้องสูดหายใจแรงขึ้น เสียงกรนก็จะยิ่งดังขึ้นตามไปด้วย

       

      สาเหตุของการตีบแคบของทางเดินหายใจส่วนบนในเด็ก

      1. ต่อมอะดีนอยด์และต่อมทอนซิลโต เป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุด ทั้งสองต่อมนี้มีหน้าที่ฆ่าเชื้อโรคเมื่อทำงานจะมีขนาดใหญ่ขึ้น หากเด็กเป็นหวัดหรือเป็นโรคติดเชื้อบ่อยๆ ลูกก็จะมีโอกาสนอนกรนมากขึ้น เมื่อสองต่อมนี้โตขึ้นจะเป็นเหมือนก้อนหินมาบังทางผ่านของอากาศ ทางเดินหายใจแคบลง เด็กจึงกรน
      2. ความอ้วนเป็นสาเหตุที่ปัจจุบันพบมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเด็กมีน้ำหนักตัวมาก ไขมันจะพอกที่ต่อมทอนซิลและต่อมอะดีนอยด์รวมถึงเนื้อเยื่อบริเวณด้านหลังทางเดินหายใจส่วนบนทั้งหมด ทำให้ทางเดินหายใจตีบแคบลง เด็กที่อ้วนจึงนอนกรนมากกว่าเด็กที่น้ำหนักอยู่ในเกณฑ์ปกติส่วนสาเหตุอื่นๆ อาจเกิดจากโครงหน้าผิดรูป เช่น คางร่นไปด้านหลัง กระดูกใบหน้าค่อนข้างเล็ก ทำให้ทางเดินหายใจแคบลง ในกรณีแบบนี้พบได้น้อย

       ลูกนอนกรน

      ลูกนอนกรน แบบไหนที่ถือว่า “ผิดปกติ”

      หากทางเดินหายใจส่วนบนตีบแคบมากจะทำให้เด็กหายใจไม่พอ เกิดภาวะหายใจลำบาก นอนหายใจสะดุด เช่น หากนอนหงายแล้วเด็กนอนกรน เมื่อหายใจไม่ได้เขาก็ต้องเปลี่ยนท่าไปมา หากเราสังเกตได้ว่าเมื่อลูกนอนกรน เดี๋ยวนอนตะแคงซ้าย เดี๋ยวนอนตะแคงขวา นอนหลับไม่สบาย ก็แปลว่าอาจมีปัญหา ถ้ามีปัญหามากขึ้น เด็กจะหยุดหายใจ

      ร่างกายเราหากยิ่งหลับลึก กล้ามเนื้อบริเวณทางเดินหายใจส่วนบนจะยิ่งหย่อนตัวลง ถ้าหย่อนลงจนปิดกั้นทางเดินหายใจทั้งหมด เขาจะหายใจไม่ออก นอนอยู่ดีๆ จะสะดุ้งเฮือกขึ้นมา เพราะเมื่อเราหายใจไม่ออกเราจะรู้สึกตัวตื่น ลักษณะนี้จะเรียกว่า “หายใจเฮือก” คือ นอนแล้วอยู่ๆ หายใจสะดุด ทารกนอนกรนอยู่แล้วเสียงเงียบไปเพราะหายใจไม่เข้า พอเงียบไปสักระยะหนึ่ง เขาจะเริ่มรู้สึกตัวตื่นแล้วหายใจเฮือกขึ้นมา ถ้าแบบนี้คือแปลว่าผิดปกติ แต่หาก ลูกนอนกรนปกติแบบที่ไม่มีอันตรายอะไร เขาจะกรนเบาๆ แต่หลับสบายดีตลอดทั้งคืน

       

      อ่านเรื่อง “ลูกกรน..อันตรายแค่ไหน” คลิกหน้า 2

        ถามใจคุณสามี พร้อมหรือยังหากจะให้บัตรเสริมแก่ภรรยา?

         

        ก่อนอื่นต้องบอกว่าบัตรเครดิตนั้นเป็นนวัตกรรมที่ยิ่งใหญ่มากของมนุษย์  ประโยชน์ด้านบวกคือสามารถนำทรัพยากรในอนาคตมาใช้ให้เกิดความมั่นคงในชีวิตได้  ส่วนด้านลบคือยอดวงเงินช่างเร้าใจให้จับจ่าย เพราะเราไม่เห็นเงินออกจากมือ  ตรงนี้เป็นหลักตามจิตวิทยาอย่างหนึ่ง

        วัฒนธรรมการใช้บัตรเครดิตของคนทั่วโลกนั้นแตกต่างกัน  อย่างอเมริกาถือเป็นเรื่องธรรมดา  แต่หากเป็นประเทศผู้เคยแพ้สงครามอย่างเยอรมัน ใครมีบัตรเครดิตถือเป็นเรื่องน่าอับอาย  (เพราะต้องใช้จ่ายเงินกันอย่างประหยัด)  ส่วนคนไทยนั้นอยู่ในยุคที่การตลาดสมัยใหม่ก้าวหน้ากว่าการพัฒนาด้านจิตใจ  โปรโมชั่นต่างๆ ที่แฝงอยู่นั้นยกให้คนที่มีบัตรเครดิตเป็นคนมีระดับ  มีที่จอดรถวีไอพี  มีโครงการร่วมกับบริษัทต่างๆ  หรือแม้กระทั่งซื้อของได้โดยไม่เสียภาษีในสนามบิน  ซึ่งเรายังตามไม่ทัน

        หากคุณเป็นสามีที่หารายได้หลักแก่ครอบครัว  และกำลังคิดว่าจะมอบหน้าที่ค่าใช้จ่ายของครอบครัวให้ภรรยาเป็นผู้ดูแล โดยใช้ บัตรเสริม เป็นตัวกลางใช้จ่ายแทนเงินสด  ต้องพึงระวังในเรื่องต่อไปนี้


        บัตรเสริม

        ระวังข้อมูลสำคัญ

        หากภรรยาไม่เคยมีบัตรเครดิตมาก่อน  ให้ระวังเรื่องการให้ข้อมูลบัตรเครดิตทางโทรศัพท์  ซึ่งตามหลักแล้วหากมีใครโทรเข้ามาสอบถามเลขบัตรเครดิต และตัวเลข 3 หลักด้านหลังบัตร  คุณไม่ควรจะแจ้งกลับไป  แต่หากเป็นทางธนาคารโทรมาทวงยอดค้างชำระหรืออื่นๆ เขาจะมีข้อมูลของเราอยู่แล้ว  ทางปลายสายจะเป็นผู้แจ้งข้อมูลนี้แก่เราก่อน ดังนั้นอย่าเอ่ยข้อมูลของคุณเองให้กับเบอร์แปลกๆ (ถ้าเผลอไปบอกแล้วล่ะก็รีบไปอายัดบัตร)

         บัตรเสริม

        กลัวใช้จ่ายเกินยอดวงเงิน

        หากกลัวว่าผู้ถือบัตรจะไม่สามารถควบคุมการใช้จ่ายได้หรือกลัวว่าจะไปทำบัตรหล่นจนมีคนเอาไปรูดเกินวงเงิน  วิธีง่ายๆ คือ เปิดบัญชีใหม่สำหรับ ค่าใช้จ่ายครอบครัว และเปิด “บัตรเดบิต” เป็นตัวช่วย โดยฝากใส่เงินสดไว้ในบัญชี  ถือเป็นการใช้เงินที่มีอยู่ในกระเป๋า ณ ปัจจุบัน โดยไม่พึ่งพาวงเงินในอนาคต

        หากเกิดสถานการณ์ที่ใช้เงินเกินวงเงินบัตรเครดิตไปแล้ว และเมื่อครบระยะเวลาไม่สามารถชำระหนี้ได้ครบตามจำนวน จะต้องรู้เงื่อนไขในการผ่อนปรน   เช่น  การรีไฟแนนซ์  หากมีบัตรเครดิตหลายใบให้รีบใช้หนี้บัตรที่เรียกเก็บดอกเบี้ยสูงก่อน

        ให้สิทธิ์ บัตรเสริม แก่ภรรยาอย่างไร?

        หากเพิ่งเริ่มต้นชีวิตคู่ และวางแผนให้คุณภรรยารับหน้าที่ดูแลค่าใช้จ่ายจิปาถะภายในบ้าน  ภายใต้เงื่อนไขบัตรเสริมในความรับผิดชอบของคุณสามี  มีคำแนะนำดังนี้บัตรเสริม

                    ๑  ตกลงค่าใช้จ่ายกันตั้งแต่ต้น   ตกลงกับภรรยาอย่างชัดเจนว่าบัตรเสริมนี้เธอสามารถนำไปใช้จ่ายอะไรได้บ้าง เช่น  ค่าน้ำ  ค่าไฟ  ค่าโทรศัพท์  ค่าการศึกษาแก่บุตร  นอกจากนี้บางครอบครัวมอบหมายให้ภรรยาดูแลด้านการลงทุน หรืออื่นๆ ซึ่งคุณจะต้องตกลงกันเรื่องขอบเขตการจ่ายและชำระหนี้อย่างชัดเจน

                    ๒  จ่ายบัตรเครดิตให้เต็มยอดที่ใช้ไป  จดไว้ทุกครั้งว่านำไปใช้จ่ายอะไร และจะครบรอบวันชำระหนี้เมื่อไหร่ เพื่อไม่ให้เสียดอกเบี้ย และถือเป็นการฝึกวินัยด้านการใช้จ่ายอีกด้วย

        บัตรเครดิตนั้นมีประโยชน์ให้คุณชำระค่าสินค้าราคาสูงได้โดยไม่ต้องใช้เงินสดที่มีอยู่ ณ ปัจจุบัน และอย่าลืมว่าทุกครั้งที่มีการรูดบัตรเครดิต  ต้องจำได้ว่ารูดใช้ไปเมื่อไหร่ และต้องรีบจ่ายคืนให้ครบจำนวน  ไม่เช่นนั้นแล้วคุณก็จะตกอยู่ในกับดักดอกเบี้ยของบัตรเครดิตในที่สุด

        อ่านบทความดีๆ เพิ่มเติม :

        https://www.amarinbabyandkids.com/family/online-shopping-cons/

         

        บทความโดย :รศ.ดร.วรากรณ์  สามโกเศศ   อธิการบดีกิตติคุณ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์  ผู้รู้เท่าทันเงินทองและคุณปู่ของหลานสองคน

          ไปโรงเรียนวันแรก ไม่ยอมไปโรงเรียน เข้าโรงเรียน

          5 ขั้นตอนฝึกสมอง ให้ลูกพร้อมแยกจากแม่เมื่อไปโรงเรียนวันแรก

          ฝึกสมองคิดได้ เพื่อลูกจากอกแม่ไปโรงเรียนวันแรกอย่างนุ่มนวล “เด็ก 3-5 ขวบ จะเริ่มเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อีกครั้ง เพราะเริ่มเข้าโรงเรียน เมื่อไปโรงเรียนวันแรกๆ เป็นช่วงที่เขาต้องแยกจากแม่ ต้องปรับตัวกับคนแปลกหน้า ซึ่งเราสามารถฝึกให้สมองส่วนบริหารขั้นสูง ของเด็กทำงาน เพื่อปรับตัวได้เร็ว ถ้าจะร้องไห้ก็ร้องอยู่ 2-3 วัน แต่หากไม่เตรียมฝึกไว้ก่อน เด็กๆ สามารถร้องไห้เมื่อต้องไปโรงเรียนได้นาน 2-3 สัปดาห์ก็มี”

          สถานการณ์นี้ไม่ต้องพูดยาว พ่อแม่ล้วนไม่อยากให้เป็นเรื่องยาก ดร.วสุนันท์ ชุ่มเชื้อ อาจารย์ประจำและผู้เชี่ยวชาญการส่งเสริมการพัฒนาสมองและกระบวนการรู้คิดในเด็ก สถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล แนะนำวิธีการฝึกสมองเด็กน้อยให้รู้คิด เรียนรู้การแยกจากอย่างละมุนละม่อม ให้คุณพ่อคุณแม่นำไปปรับใช้ให้เหมาะกับลูกๆ และสถานการณ์ของบ้านคุณกันค่ะ

          ไปโรงเรียนวันแรก ไม่ยอมไปโรงเรียน เข้าโรงเรียน

          5 ขั้นตอน บริหารสมองรู้คิด ให้ลูกปรับตัวพร้อมแยกจากแม่

          1. ก่อนไปโรงเรียนจริงๆ

          1 สัปดาห์ ควรพาลูกไปโรงเรียนกับคุณ ให้เขาไปเห็นว่าเขาจะเจอใคร เจอสถานที่แบบไหน ควรให้มีผู้ใหญ่ที่ลูกคุ้นเคยไปอีกคนหนึ่ง ให้เขานั่งอยู่ในโรงเรียนกับผู้ใหญ่ที่มาด้วย และบอกว่า “ลูกนั่งตรงนี้กับคุณน้านะ แล้วอีก 10 นาทีแม่จะกลับมา” โดยให้ลูกเห็นหรือไม่เห็นคุณอยู่ในโรงเรียนก็ได้ สำคัญที่สุดคือ เมื่อครบเวลาแม่กลับมาจริงๆ จากนั้นค่อยๆ เพิ่มเวลาเป็น 15 นาที 30 นาที 1 ชั่วโมง 2 ชั่วโมง ลูกจะเรียนรู้ว่า ทุกครั้งที่มาอยู่ตรงนี้ แม่กลับมาทุกครั้ง เขาจะปลอดภัย

          2. พาไปโรงเรียนเช้า-เย็น

          ให้เขาได้เห็นเด็กคนอื่น เดินเข้า-เดินออกจากโรงเรียน เห็นพ่อแม่มาส่ง-มารับ

          อ่านต่อ “ขั้นตอนที่ 3-5 ฝึกลูกแยกจากแม่อย่างนุ่มนวล เมื่อไปโรงเรียนวันแรก” คลิกหน้า 2

            อยากท้อง แต่เลี้ยงน้องสุนัขได้ไหม?

            อยากมีลูก เลี้ยงสุนัขได้ไหม?

                      คุณผู้อ่านเคยได้ยินความเชื่อนี้ไหมคะว่า “ถ้าอยากมีลูก  อย่าเลี้ยงสุนัขเหมือนลูก  แล้วลูกจะไม่มาเกิด”   ในส่วนนี้เป็นความเชื่อที่เล่ากันต่อๆ มา  บ้างก็ว่าจริง  บ้างก็ว่าไม่เกี่ยวข้องกัน  และในประเด็นที่ว่า “อยากมีลูก เลี้ยงสุนัขได้ไหม?”  เป็นคำถามปลายเปิดที่ว่าที่คุณพ่อคุณแม่สามารถเลี้ยงก็ได้ หรืออย่าเพิ่งนำมาเลี้ยงเลย  หรือควรแยกกันอยู่สักพัก  เพราะขึ้นอยู่กับความสะดวก  และการจัดการพื้นที่ในบ้านของคุณด้วย

            shutterstock_219227374

            ระวังโรค “บาดทะยัก”  และ  “พิษสุนัขบ้า”

            เมื่อมีสัตว์เลี้ยงอยู่ในบ้าน  กลุ่มของโรคที่มีความเสี่ยงต่อผู้เลี้ยงส่วนมากคือ โรคพิษสุนัขบ้า และ บาดทะยัก ซึ่งป้องกันได้ด้วยวัคซีนที่คุณหมอมักจะฉีดให้กับคุณแม่ตั้งครรภ์ที่มีประวัติว่าไม่ได้ฉีดมานานแล้ว  (การฉีดวัคซีนอยู่ในดุลยพินิจของสูติแพทย์)

            tetanusstrichnine-toxicity-rabies-3-638
            อันตรายจากโรคบาดทะยัก

            วางแผนอยากมีลูก อย่าเพิ่งนำสุนัขมาเลี้ยง จริงหรือ?

            ปัจจุบันทางการแพทย์ยังไม่พบเชื้อโรคที่อาจทำให้แม่ท้องแท้งโดยมีสุนัขเป็นพาหะ  แต่ในอุจจาระแมวจะมีเชื้อปรสิตที่อาจทำให้หญิงตั้งครรภ์แท้งได้จริง  แต่อย่าลืมว่า “โรคพิษสุนัขบ้า”  เป็นโรคที่ติดต่อสู่คนได้  ซึ่งหากแม่ท้องถูกสุนัขกัด  สามารถฉีดวัคซีนกันพิษสุนัขบ้าได้  โดยไม่เกี่ยวข้องกับการแท้ง

             

            อ่านเรื่อง “อยากท้อง แต่เลี้ยงน้องสุนัขได้ไหม?” คลิกหน้า 2 

              [Kid Safety] เด็กถูกลืมไว้ในรถจนตาย…เรื่องน่าสลดของสังคมไทย !

              เด็กถูกลืมไว้ในรถ จนตาย…เรื่องน่าสลดของสังคมไทย !

              นี่คือพาดหัวข่าวทำให้พวกเราถึงกับอึ้งแต่คงต้องก้มหน้ายอมรับความจริง เหตุเพราะมันเกิดขึ้นบ่อยเหลือเกิน บ่อยจนสังคมควรต้องตั้งคำถามแล้วช่วยกันหาคำตอบเพื่อแก้ไขป้องกันอย่างจริงจังมิฉะนั้นมันจะกลายเป็นเพียงสายลมที่พัดผ่าน เพื่อรอให้เหตุร้ายเกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า เช่นเดียวกับ “น้องอ.”รายล่าสุด จากความ “หลงลืม”ของผู้ใหญ่ ที่ใครๆ ก็ภาวนาขอให้เป็นรายสุดท้าย ของกรณี เด็กถูกลืมไว้ในรถ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ก็มีการภาวนาเช่นนี้มาแล้วทุกครั้ง !

              น้องอ. ถูกลืมไว้ในรถ ขณะที่คนขับรถและคนดูแลเด็กลำเลียงเหล่าเด็กน้อยลงจากรถตู้คันที่แอร์เสียเพื่อไปขึ้นรถอีกคันหนึ่ง โดยไม่ตรวจตราให้รอบคอบว่า…ยังมีเด็กน้อยวัย 3 ขวบอยู่ในรถคันที่แอร์เสียนั้น และแล้วเธอก็เสียชีวิต หลังจากถูกทิ้งอยู่ในรถตู้ถึงกว่า 8 ชั่วโมง ( 11 พ.ค. 2559 จ.สมุทรปราการ)

              เด็กถูกลืมไว้ในรถ

              กรณีก่อนหน้านี้ ( 21 ก.ค. 2557) เป็นรถกระบะตอนครึ่ง ที่ใช้เป็นรถรับส่งเด็กนักเรียนราว 6-7 คนทุกเช้าจะตระเวนรับ-ส่งเด็กๆ ตามโรงเรียนต่างๆ ในละแวกนั้น แต่เช้าวันนั้นคนขับกลับลืมไปว่ายังไม่ได้ไปส่ง “น้องป.”(4 ขวบ) ซึ่งคงหลับอยู่บริเวณที่นั่งแค็ปด้านหลัง จึงขับรถไปจอดไว้ที่ลานจอดรถของ สภ.ชะอวด (อ.ชะอวด จ.นครศรีธรรมราช) จากนั้นก็ขี่มอเตอร์ไซค์ที่จอดไว้เพื่อไปขายของชำที่หน้าบ้านตน เมื่อผ่านไปราว 4 ชั่วโมงก็เกิดรู้สึกไม่แน่ใจว่าตนเองได้ไปส่ง “น้องป.”รึยัง? จึงรีบขี่รถไปที่ลานจอดรถ เมื่อเปิดประตูรถก็พบร่างของน้องป.นอนเสียชีวิตคาเบาะหลังนั่นเอง

              เด็กถูกลืมไว้ในรถ

              และสิ่งที่น่าตกใจที่สุดก็คือ … กรณี ลืมเด็กไว้ในรถ จนตายนั้นเคยเกิดขึ้นติดๆ กันมาแล้วถึง 4 ราย!!!เด็กทั้งหมดนี้สิ้นใจตายเพราะ อาการ “ความร้อนสูงเกินขนาด”  (Heat stroke)

              เพราะแท้จริงแล้วเด็กส่วนใหญ่ที่ติดอยู่ในรถไม่ได้เสียชีวิตเพราะขาดอากาศหายใจ แต่เป็นเพราะความร้อนภายในรถที่สูงขึ้นเรื่อยๆ หากเด็กเข้าไป อยู่ในรถที่จอดอยู่กลางแดดเพียงแค่ 5 นาที อุณหภูมิภายในรถก็จะสูงขึ้นจนไม่สามารถทนอยู่ได้แล้ว หากติดนานเกิน 10 นาที ร่างกายก็จะยิ่งแย่ และถ้าอยู่นานถึง 30 นาที ก็จะยิ่งย่ำแย่และอาจเสียชีวิตได้ (ทุกๆ 30นาที อุณหภูมิในรถจะสูงขึ้น 5องศาเซลเซียส)

              ดังนั้น… จึงห้ามทิ้งลูกไว้ในรถที่จอดกลางแจ้งเป็นอันขาด (ไม่ว่าจะลืมหรือไม่) แม้จะอยากจะลงไปธุระนอกรถเร็วหรือช้าก็ห้ามเด็ดขาดครับ หากพ่อแม่หรือผู้ใหญ่ที่มากับเด็กต้องลงจากรถต้องนำเด็กลงไปด้วยทุกครั้ง….. แม้แต่ จะขอเปิดหน้าต่าง เหลือช่องไว้แล้วให้เด็กอยู่ภายใน ด้วยเข้าใจเองว่า การกระทำเช่นนี้เด็กจะปลอดภัย จากการขาดอากาศหายใจ แต่อย่างที่บอกไว้ข้างต้นละครับว่า …อย่าได้แต่ห่วงอย่างเดียวว่า เด็กจะขาดอากาศหายใจ แต่จะต้องห่วงใยให้มากๆ กับกรณีที่เด็กเสียชีวิตจากความร้อนสูง

              ….. การเปิดแง้มหน้าต่างรถทิ้งไว้ก็ไม่ได้เป็นการรับประกันว่า ความร้อนภายในรถจะไม่สูงขึ้นและช่วยให้เด็กปลอดภัยได้ หรือ แม้แต่การรถจอดในที่ร่มในเวลากลางวันเป็นเวลานานมีความเสี่ยงได้เช่นกัน

              “ความประมาทเป็นหนทางแห่งความตาย”  ยิ่งท่านที่ต้องดูแลเด็กๆ ก็ยิ่งจะประมาทมิได้เลย การบาดเจ็บและการเสียชีวิตเป็นสิ่งที่ป้องกันได้ครับ

               

              อ่านต่อ “[Kid Safety] เด็กถูกลืมไว้ในรถ จนตาย…เรื่องน่าสลดของสังคมไทย!” คลิกหน้า 2

                “กระดูกสันหลังคด” ผู้ร้ายทำลายบุคลิกลูกโต

                “กระดูกสันหลังคด” จะพบได้มากในช่วงที่ลูกเข้าสู่วัยรุ่น เนื่องจากเป็นช่วงที่กระดูกเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว นอกจากจะส่งผลต่ออวัยวะภายในหากมีอาการรุนแรงแล้ว ในเด็กที่เป็นไม่มากก็ทำให้เสียบุคลิกได้ โดยเฉพาะลูกสาวที่มีโอกาสเป็นได้มากกว่า

                 

                “กระดูกสันหลังคด” เป็นอย่างไร

                กระดูกสันหลังคด(Scoliosis) คือความพิการของกระดูกสันหลัง ซึ่งคดไปทางด้านข้างด้านใดด้านหนึ่ง หากมองภาพเป็น 3 มิติ กระดูกสันหลังจะโค้งไปด้านข้างและนูนมาด้านหลังด้วย เรียกได้ว่าเป็นลักษณะหลังค่อมร่วมกับหลังคดด้วย

                บริเวณที่หลังคดส่วนใหญ่มักเกิดกับกระดูกสันหลังส่วนบน และสำหรับชนิดที่ไม่ทราบสาเหตุมักจะโค้งไปทางด้านขวาประมาณ 70-80% หากหลังคดในตำแหน่งต่ำลงมา อัตราการคดไปทางด้านซ้ายหรือขวาจะใกล้เคียงกัน แต่หากเป็นในตำแหน่งต่ำลงมาอีกจะพบว่าคดไปทางซ้ายมากกว่า

                ความรุนแรงของกระดูกสันหลังคดจะวัดได้จากมุมความคดซึ่งวัดเป็นองศา หากวัดแล้วได้มุมไม่เกิน 10 องศา ในทางการแพทย์ถือว่าปกติ ไม่จำเป็นต้องรักษา ความเป็นจริงแล้วมีผู้ที่เป็นกระดูกสันหลังคดรุนแรงจนต้องผ่าตัดในจำนวนน้อยมาก ส่วนใหญ่พบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย และอาการก็จะดำเนินไปเร็วกว่าผู้ชายด้วย

                 

                สาเหตุของกระดูกสันหลังคด

                1. ไม่ทราบสาเหตุผู้ป่วยราวร้อยละ 80 จัดอยู่ในกลุ่มนี้ ซึ่งอาจมีสาเหตุจากพันธุกรรม หรือฮอร์โมนเมลาโทนินแบ่งออกเป็น 3 ช่วงอายุ ได้แก่

                1) แรกเกิด – 1 ขวบ (Infantile Scoliosis)อาจหลังคดมาก แต่กระดูกสันหลังส่วนบนมักคดไปทางด้านซ้ายและหายได้เองภายในอายุ 1-3 ปี

                2) อายุ 3-10 ปี (Juvenile Scoliosis)

                3)อายุ 13-18 ปี(Adolescent Scoliosis)

                1. กระดูกสันหลังคดแต่กำเนิด เพราะกระดูกสันหลังโตไม่เท่ากัน หรือกระดูกติดกัน ไม่แบ่งเป็นช่วงตามปกติ
                2. เกิดจากโรคของกล้ามเนื้อ เช่น อัมพาตจากโปลิโอ แต่ปัจจุบันประเทศไทยแทบไม่มีผู้ป่วยโปลิโอแล้ว หรือเกิดจากโรคของกล้ามเนื้อโรคอื่นๆ
                3. เป็นผู้ป่วยโรคท้าวแสนปม 30% ของผู้ป่วยโรคนี้จะมีอาการกระดูกสันหลังคดด้วย

                กระดูกสันหลังคดอาจเกิดจากการชดเชยอันเนื่องมาจากโรคบางอย่าง (Compensatory Scoliosis) เช่น หมอนรองกระดูกสันหลังเลื่อนไปกดทับเส้นประสาท หรือขายาวสั้นไม่เท่ากันซึ่งแก้ได้ด้วยการเสริมส้นรองเท้าให้พอดีกัน แต่กรณีนี้พบได้ไม่มาก ส่วนการนั่งผิดท่าหรือการนั่งหลังค่อมนั้นยังไม่มีการพิสูจน์แน่นอนว่าจะทำให้เกิดกระดูกสันหลังคดหรือไม่ แต่อาจทำให้ปวดหลังได้

                 

                อ่านเรื่อง ““กระดูกสันหลังคด” ผู้ร้ายทำลายบุคลิกลูกโต” คลิกหน้า 2

                  ติดจอ

                  ติดจอ เล่นสมาร์ทโฟนหนัก เสี่ยงภัยทางสายตา

                  ในยุคของโลกดิจิตอล ทุกๆ คนต่างก้มหน้าก้มตาจ้องอยู่แต่กับสมาร์ทโฟน แท็บเลต และทีวีดิจิตอล หลายคนเอาแต่ก้มหน้าไม่พูดคุยกับคนรอบข้าง โดยเฉพาะเด็กๆ ในยุคปัจจุบันที่เป็นโรค ติดจอ จนบางครั้งก็ทำให้เกิดปัญหา ปวดคอ และส่งผลต่อปัญหาสายตา ทำให้สายตาล้าเรื้อรัง

                  Continue reading “ติดจอ เล่นสมาร์ทโฟนหนัก เสี่ยงภัยทางสายตา”

                    พ่อแม่ควรทำอย่างไรเมื่อลูกเจอ “ฉากโป๊ในทีวี”

                    คุยกับลูกเรื่องเพศ อย่างไรดี เมื่อลูกเจอ “ฉากโป๊ในทีวี”

                    Q :แอบได้ยินลูกคุยกับเพื่อนเรื่องเพศ เรื่องเซ็กส์ ตกใจมากๆ เลยค่ะ เพราะเรามองว่าเขายังเด็กมาก เราควรห้ามเขาหรือสอนเขาดีคะ คือที่บ้านไม่เคยพูดเรื่องพวกนี้มาก่อน จะเริ่ม คุยกับลูกเรื่องเพศ อย่างไรดีคะ

                    มี 2 เรื่องที่ควรทราบ หนึ่ง ไม่ช้าก็เร็วเขาก็จะสนใจและพูดคุยกันเองเรื่องนี้ ทั้งนี้ยังไม่นับว่าอีกไม่นานนักเขาก็จะเข้าไปดูเว็ปโป๊ระดับ XXXX ได้ด้วยตนเอง หรือดูเป็นหมู่คณะกับเพื่อนๆ ที่โรงเรียน

                    เมื่อเราทราบความจริงเช่นนี้แล้ว ก็ไม่ต้องตกใจที่ได้ยินลูกพูดกัน เป็นส่วนหนึ่งของพัฒนาการตามวัยของเด็กวัยรุ่น ไม่ควรห้าม เพราะจะไม่มีวันสำเร็จ และเขาจะหลบไปพูดกันที่อื่นไม่ควรสั่งสอนตรงๆ เพราะที่จริงแล้ว พ่อแม่ส่วนมากก็ไม่ค่อยแน่ใจว่าเราจะสอนอะไร เมื่อพูดอะไรออกไปก็มาจากทัศนคติของตนเองเสียมากกว่า ไม่มีประโยชน์ที่จะสอน

                    สอง คือไม่ช้าก็เร็วเขาก็จะมีเพศสัมพันธ์ในวันหนึ่ง ไม่ก่อนแต่งก็หลังแต่ง ถึงตอนนั้นเราห่วงอะไร ห่วงเรื่องรักนวลสงวนตัว ห่วงเรื่องติดเชื้อ ห่วงเรื่องตั้งครรภ์ ห่วงเรื่องลุ่มหลงมัวเมาไม่เป็นอันเรียนหนังสือให้จบ คุณพ่อคุณแม่ควรตอบข้อนี้ให้ได้ว่าห่วงอะไรกันแน่

                    คุยกับลูกเรื่องเพศ

                     

                    เวลาเลี้ยงลูก ห่วงเฉพาะที่คอขาดบาดตายจริงๆ ก็พอ

                    ถ้าเรื่องนี้คุยกันรู้เรื่อง เรื่องอื่นๆ มักจะเป็นเรื่องขี้ผงที่เขาคืนกำไรให้เราเองโดยไม่ต้องบอก เมื่อแน่ใจแล้วว่าเราจะสอนอะไร ก็หาเวลาที่เนียนๆ เวลาที่เนียนๆ คือเวลาที่มีเหตุการณ์บางอย่างบนหน้าหนังสือพิมพ์ ในทีวี หรือดราม่าในโซเชียลมีเดียที่เขาคุยๆ กัน

                    เวลามีฉากโป๊ปรากฏขึ้นบนทีวีต่อหน้าต่อตา มีข่าวคาวในวงการบันเทิง พาดหัวข่าวระทึกใจบนหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์ คือเวลาที่พ่อแม่ชวนคุยได้ มิใช่ตั้งหน้าตั้งตาสอน แต่สามารถพูดได้ว่าเราห่วงอะไร ควรพูดให้ตลกขบขัน ไม่ซีเรียส พุ่งเป้าไปที่ฉากวาบหวามในทีวีหรือข่าวคาวโลกีย์บนหน้าหนังสือพิมพ์ อย่าด่าใคร ลูกๆ โดยเฉพาะวัยรุ่นจะไม่ชอบ

                    พูดว่าระวังติดเชื้อนะ ระวังลืมถุงยางอนามัยนะ ระวังลืมกินยาคุมกำเนิดด้วยนะ ระวังตั้งท้องนะ อะไรประมาณนี้ เตือนคนในข่าวให้ระวัง “บอกแล้วไม่เชื่อ” อะไรทำนองนี้ แล้วแต่พ่อแม่จะทำให้สนุก

                    ทำซ้ำๆ ของแบบนี้ไม่มีใครเข้าหูในครั้งเดียว

                    banner300x250

                    อ่านต่อ บทความน่าสนใจ คลิก

                    Kid safety พ่อแม่หรือคุณครูสอนเพศศึกษาแก่เด็กอย่างไรจึงเหมาะสม?

                    ลูกอยากรู้เรื่องเพศ พ่อแม่ต้องพร้อมคุย


                    เรื่องโดย :  นพ.ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ จิตแพทย์แผนกจิตเวช โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์

                      วิธีกำจัดยุง

                      วิธีกำจัดยุง ป้องกันไข้เลือดออก และไวรัสซิกา

                      ไข้เลือดออก และไวรัสซิกา เป็นโรคที่เกิดจากยุงลาย ซึ่งเป็นได้ทั้งครอบครัว และเป็นอันตรายต่อคุณแม่ตั้งครรภ์เป็นอย่างมาก Amarin Baby and Kids จึงมีวิธีในการป้องกัน และ วิธีกำจัดยุง ให้ได้ผล ป้องกันทุกคนในครอบครัว จากความเสี่ยงของโรคติดต่อให้ปลอดภัยกันค่ะ

                      Continue reading “วิธีกำจัดยุง ป้องกันไข้เลือดออก และไวรัสซิกา”

                        ควบคุมลูกมากเกินไป คุณเป็นพ่อแม่แบบนี้บ้างหรือเปล่า?

                        พ่อแม่มีหน้าที่ในการอบรมสั่งสอน และเลี้ยงดูให้ลูกน้อยเติบโตแข็งแรงทั้งร่างกาย และจิตใจ แต่ก็ยังมีพ่อแม่บางคนที่ ควบคุมลูกมากเกินไป จนทำให้เกิดผลเสียตามมา สิ่งแวดล้อม การอบรมเลี้ยงดู และทัศนคติของพ่อแม่จึงเป็นสิ่งสำคัญ เพราะนั่นคือสิ่งบ่งบอกว่าลูกโตมาเป็นคนเช่นไร

                        Continue reading “ควบคุมลูกมากเกินไป คุณเป็นพ่อแม่แบบนี้บ้างหรือเปล่า?”

                          พ่อแม่คือคนสำคัญที่ส่งเสริมการเล่นให้ลูก

                          ”การเล่นคือเครื่องมือการเรียนรู้ชิ้นแรกของมนุษย์ เด็กได้เล่นหมายถึงเขาได้สำรวจโลก เมื่อโตขึ้นโลกกว้างมากขึ้น เด็กได้เรียนรู้ไปเรื่อยๆ ไม่มีที่สิ้นสุด” ดร. เกษม นครเขตต์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยกิจกรรมทางกายเพื่อสุขภาพ จะพาคุณพ่อคุณแม่มาทำความเข้าใจเรื่องการเล่นและประโยชน์ที่เด็กๆจะได้รับ แถมยังมีตัวอย่างกิจกรรมง่ายๆ ที่พ่อแม่ก็ทำร่วมกับลูกได้ด้วยค่ะ

                           

                           ประโยชน์ของการเล่น ไม่ใช่ร่างกายแข็งแรงเท่านั้น

                          พ่อแม่หลายคนยังคงมองว่าการเล่นของเด็กๆ เป็นเรื่องไร้สาระ หรือใช้เวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ แต่ที่จริงแล้วการเล่นนั้นให้ประโยชน์ทางตรงกับเด็กๆ มากมายโดยเฉพาะ

                          1. พัฒนาการทางด้านสติปัญญา ในขณะที่เด็กเล่น เขาจะสัมผัสสิ่งที่เขาเล่น สัมผัสสิ่งแวดล้อม เกิดการเรียนรู้ว่ามันคืออะไร รู้ว่าร้อน เย็น ใกล้ ไกล สูงหรือต่ำ ฯลฯ และเด็กก็จะสังเคราะห์และวิเคราะห์ว่าตัวเองทำได้แค่ไหน อะไรยากง่าย นั่นคือการเรียนรู้ด้านปัญญา สมองของเด็กจะได้รับการกระตุ้นให้ทำหน้าที่ในการเรียนรู้ วิเคราะห์ สังเคราะห์ จดจำเข้าใจ ถ้าเด็กขาดโอกาสที่จะได้เรียนรู้หรือได้เล่น สมองก็จะไม่พัฒนา
                          2. พัฒนาการทางด้านคุณธรรมจริยธรรม เด็กจะได้เรียนรู้เรื่องการให้และการรับไปโดยธรรมชาติ เพราะเมื่อเด็กเล่นเขาจะได้รับสิ่งที่คนอื่นให้กับเขา เช่น ให้ของเล่น ให้โอกาสเล่น ให้พื้นที่ ให้เวลา แม้กระทั่งให้อภัยในขณะที่เล่นรุนแรงหรือทำให้เพื่อนเจ็บโดยไม่ได้ตั้งใจ และเมื่อเด็กได้รับสิ่งเหล่านี้เขาก็จะตอบสนองกลับ เพราะฉะนั้นคุณธรรมจริยธรรมเด็กจะเรียนรู้จากการเล่น ไม่ใช่การเรียนในห้องเรียน ถึงวิชาพุทธศาสนาสอนคุณธรรมจริยธรรมเด็กได้ แต่ความซื่อสัตย์ ความเอื้ออาทร มันเกิดขึ้นจากโอกาสที่เขาได้เล่นและสัมผัสด้วยตัวเอง
                          3. พัฒนาทักษะทางกาย ข้อนี้เป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่เข้าใจ ซึ่งถ้าเด็กได้เล่นเขาจะได้รับประโยชน์ทางร่างกายแน่นอน การเล่นทำให้เด็กได้ออกกำลังกาย ร่างกายแข็งแรง สำหรับเด็กเล็กจะได้พัฒนาเรื่องการเดิน การวิ่ง กล้ามเนื้อแข็งแรง ระบบไหลเวียนโลหิตทำงานได้ดี

                          อ่านเรื่อง “พ่อแม่คือคนสำคัญที่ส่งเสริมการเล่นให้ลูก” คลิกหน้า 2

                            Q&A “พ่อแม่ทะเลาะกัน” ลูกจะฝังใจจากเหตุการณ์นี้ไหม?

                            Q วันนั้นทะเลาะกับสามี มีการเถียงกันค่อนข้างรุนแรง และขว้างปาของใส่กัน แต่ไม่รุนแรงถึงขั้นเลือดตกยางออก แล้วลูกมาเห็นพอดี ลูกดูตกใจมาก ตั้งแต่วันนั้นเราทั้งคู่รู้สึกผิดมาก ไม่รู้จะแก้ไขอย่างไรดีค่ะ เขาจะฝังใจจนมีปัญหาอะไรไหม

                            มีแน่นอน ไม่มากก็น้อย ต่อไปก็ไม่ทำอีก

                            ขึ้นกับว่าลูกอายุเท่าไร หากเป็นลูกเล็กก่อน 3 ขวบ จะกระทบความสามารถในการไว้วางใจโลกและผู้คน (trust) พัฒนาการอาจจะช้าลงชั่วคราว หรือถดถอยกลับไปบ้าง เช่น เคยไม่ฉี่รดที่นอนก็ฉี่รดที่นอน เคยไม่พูดโกหกก็เริ่มพูดโกหก

                            หากอายุ 4-5 ขวบ จะกระทบพัฒนาการทางเพศ (psychosexual development)

                            เขาไม่มั่นใจว่าอยากเป็นเพศอะไรดี ดุร้ายกันจัง

                            หากอายุ 6-10ขวบ เขาจะโทษตนเอง จับเรื่องหนึ่งผูกเข้ากับเรื่องพ่อแม่ทะเลาะกัน

                            แล้วสรุปว่าเขาเป็นต้นเหตุ จะรู้สึกผิด (guilty feeling) เริ่มมีพฤติกรรมระงับความรู้สึกผิดที่ก่อตัว เช่น ขโมยของ หนีโรงเรียน ลองเสพยา เมื่อพฤติกรรมเหล่านี้ไม่ได้ผล ขโมยของตามห้างก็แล้ว ปีนรั้วโรงเรียนก็แล้ว สูบบุหรี่ก็แล้ว ยังไม่หายรู้สึกผิด ก็จะเข้าสู่อารมณ์เศร้าเต็มรูปแบบ อาจจะแสดงออกว่าเศร้าหรือปรารถนาที่จะตาย หรือแสดงออกด้วยพฤติกรรมเกเรมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม

                            Sad child from this father and mother arguing family negative concept.

                             

                            หากคุณพ่อคุณแม่เผลอไปครั้งเดียวไม่ได้เกิดเรื่องทั้งหมดนี้หรอกครับ ไม่ต้องห่วง แต่จะให้ผมพูดว่าไม่เป็นไรพวกเราก็ทำซ้ำอีก ครั้นเขียนออกไปให้หมดความก็จะหวั่นวิตกว่าแย่แล้ว อันที่จริงหวั่นวิตกก็ดีจะได้ไม่ทำอีก

                            สามีภรรยาไม่มีปากเสียงกันบ้างเป็นเรื่องแปลก แต่จะเห็นว่าการมีปากเสียงเป็นเรื่องธรรมดาและเด็กๆ ควรยอมรับได้นั้น วิธีคิดแบบนี้ผิด พ่อแม่ทะเลาะกันอย่างไรในที่สุดเด็กทุกคนในโลกก็จะยอมรับได้จริงๆ แต่เขาต้องจ่ายอะไรบางอย่างออกไปด้วย การทะเลาะกันของพ่อแม่ ขว้างปาข้าวของ ตบตีลงไม้ลงมือ ทำร้ายร่างกายสาหัส เหล่านี้มีต้นทุนมากน้อยต่างๆ กัน แต่มีต้นทุน และคนจ่ายคือลูกของพวกคุณ

                            คำว่ายอมรับ ภาษาอังกฤษว่า accept คำนี้มีต้นทุน ไม่ฟรี

                            บอกลูกสั้นๆ ได้ว่าพ่อแม่มีความคิดเห็นไม่ตรงกัน จึงโกรธ จึงเผลอทะเลาะกัน และจึงเผลอขว้างปาข้าวของใส่กัน    บอกเขาว่าคนเราคิดเห็นไม่ตรงกันเป็นเรื่องธรรมดา ไม่ผิดอะไร คนเราโกรธได้ไม่ผิดอะไร แต่คนเราเวลาโกรธแล้วจะทะเลาะกันหรือเปล่าควรคิดให้ดีๆ ว่าควรทำหรือเปล่า เรื่องขว้างปาข้าวของใส่กันผิดแน่ๆ ไม่มีใครควรทำทั้งนั้น ครั้งนี้พ่อแม่ทำผิด ลูกอย่าทำตาม พูดประมาณเท่านี้ได้

                            1

                            อย่าสัญญาว่าจะไม่ทำอีก เพราะคุณจะทำไม่ได้ ยุ่งมากยิ่งขึ้นเปล่าๆ

                            อย่าสั่งสอนซ้ำไปซ้ำมา เพราะคุณเสียสิทธิสั่งสอนไปแล้ว ทำให้เขาดูและให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์

                            เวลาสามีภรรยามีปากเสียงกัน อย่าใช้เหตุผล ใช้อารมณ์ล้วนๆ  คือรัก และให้อภัย ให้ดอกกุหลาบสักช่อหนึ่ง

                            banner300x250

                            นพ.ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์  จิตแพทย์แผนกจิตเวช โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์

                              “พีช สิตมน ผลดี” กับบทบาทภรรยา แม่ และเวิร์กกิ้งมัมคนเก่ง

                              ถ้าเอ่ยชื่อ “พีช สิตมน ผลดี” หลายคนคงเกิดอาการอิจฉาเล็กๆ เพราะเธอคือนางเอกในชีวิตจริงของพระเอกสุดฮอตตลอดกาลอย่าง “พี่ติ๊ก เจษฎาภรณ์ ผลดี” เธอคนนี้จัดว่าครบเครื่องทั้งสวยและเก่ง ทุกวันนี้นอกจากรับหน้าที่แม่และภรรยาแล้ว เธอยังขอหวนคืนวงการด้านดีไซน์ที่เธอชื่นชอบ ด้วยการเปิดแบรนด์เสื้อผ้าเด็กในชื่อ LittleFox และเป็นความโชคดีของ Amarin Baby&Kids สุดๆ ที่เราได้บุกมาถึงโชว์รูมเสื้อผ้าของเธอ และยังได้พูดคุยกับเธอแบบเจาะลึกทุกเรื่องอีกด้วยค่ะ

                              sitamon-6

                              • จุดเริ่มต้นความรักของคุณพีชกับพี่ติ๊กเกิดขึ้นได้อย่างไรคะ

                              พีชกับพี่ติ๊กมีโอกาสได้รู้จักกันค่ะ พอได้คุยกัน มันค่อนข้างคลิก เพราะเรามีแนวคิดอะไรบางอย่างที่ไปในทิศทางเดียวกัน ก็เป็นเพื่อนกันก่อน แล้วคบกันมาเรื่อยๆ 6-7 ปีได้ค่ะ เลยตัดสินใจแต่งงานกัน

                              • ดูไลฟ์สไตล์ของทั้งคู่ค่อนข้างแตกต่างกัน เราหาจุดลงตัวที่จะใช้ชีวิตร่วมกันอย่างไรบ้างคะ

                              พีชคิดว่าทุกคนต้องมีพื้นที่ส่วนตัวของตัวเอง และเราควรจะรักษาพื้นที่ตรงนี้ไว้ แต่เราก็ต้องมีพื้นที่ส่วนหนึ่งที่ใช้ร่วมกันได้ พีชคิดว่าอย่างนี้มันจะทำให้ชีวิตคู่มีความสุข เป็นวงจรที่แข็งแรงกว่า คือถ้าเราต้องดึงเขามาอยู่กับเราตลอดหรือเขาดึงเราไปอยู่กับเขาตลอด ในสิ่งที่เขาหรือเราไม่ได้เป็นมันจะอึดอัด เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราทำให้กันได้ คือสนับสนุนกันไปมา เท่าที่เราจะทำได้ พีชว่าแค่นี้ก็แฮปปี้แล้ว

                              • รวมเวลาที่คุณพีชกับพี่ติ๊กคบกันและแต่งงานกันก็เกินสิบปีแล้ว แต่ทุกวันนี้ก็ยังหวานกันเหมือนเดิม มีเคล็ดลับการใช้ชีวิตคู่อย่างไรคะ

                              ความเข้าใจกันเป็นสิ่งสำคัญมากที่สุดค่ะ เราต้องเข้าใจในตัวเขา และเข้าใจตัวเองด้วย ส่วนเรื่องความรู้สึกก็สำคัญเหมือนกัน พอเราอยู่ด้วยกันมานานเราจะรู้แล้วว่าเขาชอบหรือไม่ชอบอะไร เพราะฉะนั้นอะไรที่มันเกินขอบเขต เป็นสิ่งที่เขาไม่ชอบเราก็จะไม่ทำ และพีชไม่ชอบการปะทะ ไม่ชอบความเครียด เลี่ยงได้ก็จะไม่ทะเลาะกับใครเลย อะไรยอมได้เราจะยอม และพีชก็คิดว่าพี่ติ๊กก็คงคิดเหมือนกัน เพราะเราถึงได้อยู่กันมาได้ เขาก็ยอม เราเลยไม่ค่อยทะเลาะกัน อาจจะมีความคิดเห็นที่แตกต่างกันบ้างเราก็จะคุยกันมากกว่า

                              • หลังจากใช้ชีวิตสามีภรรยาแค่ 2 คน แล้วพอมีสมาชิกตัวน้อยคนที่ 3 ชีวิตเปลี่ยนไปขนาดไหน

                              ย้อนกลับไปหลังจากแต่งงานประมาณ 3 ปี ก็ท้อง ตอนนั้นตื่นเต้นและดีใจมากเพราะว่า ทีแรกเรายังไม่ตัดสินใจจะมีลูก แต่พอตัดสินใจว่าจะมีลูก น้องเต็นท์ก็มาเลย ชีวิตเปลี่ยนไปต้องระวังไปทุกอย่าง ดูแลตัวเองมากขึ้น ทั้งเรื่องจิตใจและร่างกาย พยายามไม่เครียดและทำอะไรที่ตัวเองชอบ โชคดีว่าเป็นช่วงนั้นเป็นช่วงที่ตั้งใจท้องจริงๆ ไม่ได้ทำงาน เลยมีเวลาดูแลตัวเองเต็มที่ ได้ออกกำลังกายบ้าง ทั้งเดินรอบบ้าน เล่นโยคะ พิลาทิส และออกกำลังกายในน้ำ

                               sitamon-3

                               

                              • แต่เห็นว่าเรื่องอาหารการกินนี่ต้องปรับตัวมากใช่ไหมคะ

                              ใช่ค่ะ ปกติพีชเป็นคนกินตามใจตัวเองมาก อยากกินอะไรก็กิน ขนมชอบมาก (ลากเสียงยาว) ตอนท้องก็ยังกินทุกอย่างเหมือนเดิม แต่ต้องเพิ่มอะไรที่เราไม่ชอบเข้าไป เช่น ตับ เพราะพีชไม่กินเครื่องใน แต่คุณหมอบอกว่าต้องกินบ้างเพราะมันมีธาตุเหล็ก ก็พยายามลองหลายแบบกว่าจะกินได้ บังคับตัวเองสุดๆ

                              • ช่วงนั้นพี่ติ๊กได้ดูแลคุณพีชเป็นพิเศษไหมคะ

                              ปกติเพราะพี่ติ๊กเขาเป็นคนใส่ใจเรื่องเล็กๆน้อยๆอยู่แล้ว อย่างเวลาเราเดินออกกำลังกาย เขาก็จะมาเดินเป็นเพื่อน หรือเราอยากทำอะไรเขาไม่เคยห้ามแต่ขอให้ระวังตัวเองนิดหนึ่ง พีชเลยค่อนข้างจะโชคดีได้ทำอะไรที่ตัวเองอยากทำ อยากจะออกไปข้างนอก ไปเดินเล่น หรือช้อปปิ้งก็ไป พีชพยายามทำตัวเป็นปกติที่สุด ไม่ปล่อยตัวเองให้โทรม ยังทาปากแดงออกจากบ้านทุกวัน

                              • แล้วตอนที่พี่ติ๊กออกไปทำงานนอกบ้านเคยมีอารมณ์น้อยใจไหม

                              ก็มีช่วงที่ฮอร์โมนพลุ่งพล่าน อารมณ์ขึ้นๆลงๆแปรปรวนบ้าง แต่ไม่ใช่อารมณ์น้อยใจ เพราะปกติเขาก็ไปทำงานทุกวัน แต่บางวันเราจะรู้สึกเหงา พี่ติ๊กเขาก็พยายามเอาใจ โทรหาระหว่างวัน เพราะเขาออกไปทำงานตอนเช้า ตอนเย็นก็เจอกันแล้ว ส่วนพีชก็พยายามเข้าใจอารมณ์ตัวเองและปรับที่ตัวเองก่อน

                              • จนถึงวันที่น้องเต็นท์คลอด เห็นหน้าลูกครั้งแรกรู้สึกอย่างไรบ้าง

                              พีชผ่าคลอดนะคะ เพราะมีปัญหาเรื่องความดันต่ำคลอดธรรมชาติไม่ได้ ตอนนั้นก็มึนๆ ยานิดหนึ่งแต่ก็ยังจำโมเมนต์ที่เห็นหน้าเขาได้ มันมีหลายๆความรู้สึกเลย ทั้งดีใจ โล่งใจ ตื้นตัน แต่สิ่งที่เราเป็นห่วงเขามากกว่าก็คืออยากรู้ว่าเขาแข็งแรงสมบูรณ์ไหม พอเราถามไปแล้วพี่ติ๊กตอบว่าโอเค เราก็สบายใจแล้ว

                              • ตอนกลับบ้านคุณพีชและพี่ติ๊กเลี้ยงลูกกันเองด้วย พ่อแม่มือใหม่ชุลมุนขนาดไหนคะ

                              เราตั้งใจว่าจะเลี้ยงกันเอง วันแรกก็โกลาหลมาก ทั้งๆที่พยายามฝึกตอนที่อยู่โรงพยาบาลแล้ว แต่เละเลยค่ะ (หัวเราะ) เปลี่ยนผ้าอ้อมก็เลอะเทอะไปหมด ตอนอาบน้ำก็กลัว เพราะเขาตัวเล็กมาก ไหนจะร้องไหนดิ้น วุ่นวายมาก ช่วง 3-4 เดือนแรกพีชไม่ได้นอนเตียงเลย อุ้มลูกนั่งให้นมบนเก้าอี้ก็หลับไปด้วยกัน เป็นช่วงเวลาที่เหนื่อยมาก แต่พอตอนนี้เรามองย้อนกลับไป อืม…เราก็ผ่านมาได้นะ

                              • พี่ติ๊กมีหน้าที่ช่วยเลี้ยงลูกอย่างไรบ้างคะ

                              พี่ติ๊กเขาก็พยายามมาช่วยทุกอย่าง ทั้งอาบน้ำ เปลี่ยนผ้าอ้อม ป้อนนม เพราะฉะนั้นก็มีบางวันที่เขาให้เราพัก ให้เราออกไปเที่ยว เขาก็จะดูลูกให้เอง เขาทำได้

                              • ตอนที่ให้พ่อลูกอยู่ด้วยกันมีแอบห่วงบ้างไหม

                              ไม่ค่อยนะ เพราะรู้ว่าพี่ติ๊กเขาเลี้ยงเป็นเราก็จะสบายใจ แต่ถ้าเป็นคนอื่นสิ น่าห่วงกว่า ในตอนแรกพีชถึงไม่เอาพี่เลี้ยงเลย พีชรู้สึกไม่ไว้ใจใคร กลัวคนอื่นดูแลลูกเราไม่ดีเท่าที่เราดู จนลูกเริ่มเดินได้ ถึงให้มีคนเข้ามาช่วยบ้าง

                              • อัพเดทพัฒนาการของน้องเต็นท์ให้ฟังหน่อยค่ะ ตอนนี้กี่ขวบแล้วคะ

                              สองขวบครึ่งแล้วค่ะ ซนตามธรรมชาติเด็กผู้ชายทั่วไป พูดเก่ง ชอบสำรวจ ติดพ่อติดแม่ ขี้อ้อน พีชว่าเป็นช่วงอายุที่กำลังน่ารัก แล้วเราก็พยายามเลี้ยงเขาอย่างธรรมชาติที่สุด อะไรที่เขาอยากทำอยากสำรวจถ้ามันไม่อันตรายต่อตัวเขา เราจะให้เขาทำทั้งหมด ความเลอะเทอะไม่ใช่สิ่งที่เรากลัว เพราะฉะนั้นเขาจะได้เล่นเต็มที่เลย พ่อแม่ก็จะคอยดูอยู่ข้างๆมากกว่า

                               

                               sitamon-5

                               

                              • มีวิธีรับมือกับวัย Terrible Twos อย่างไรบ้างคะ

                              ถ้าเรื่องไหนที่ไม่ได้จริงๆ พีชใช้วิธีพูดกับเขาค่ะ เน้นน้ำเสียงจริงจังหนักแน่น เพราะพีชสังเกตดู คือถ้าสมมติเราเสียงเข้มกับเขา เขาก็จะรู้สึกว่าแม่กำลังโกรธ แม่ไม่พอใจแล้วนะ เขาก็จะเข้ามาหาเข้ามาอ้อน เขาอาจจะไม่ได้เข้าใจประโยคที่เราอธิบายทั้งหมด แต่เขาเข้าใจจากน้ำเสียง

                              • เริ่มวางแผนอนาคตให้น้องเต็นท์หรือยังคะ

                              ยังไม่ได้คิดไปไกลมากค่ะ เริ่มคิดเรื่องโรงเรียนก่อน ตอนนี้ก็ให้เขาไปเตรียมความพร้อมโรงเรียนใกล้ๆบ้าน ไปแค่ 3 ชั่วโมงไปเล่น ไปฝึกเจอเพื่อน เจอคนแปลกหน้า ส่วนโรงเรียนอนุบาลก็ค่อยๆดู ช่วงนี้เป็นช่วงหาข้อมูล เก็บข้อมูลค่ะ สิ่งที่พีชคำนึงมากที่สุดคืออยากให้เขามีความสุข ดังนั้นจะเลี้ยงอย่างไงก็ได้ขอให้ลูกมีความสุข โดยยังเป็นคนที่มีระเบียบวินัย และมีขอบเขตในการประพฤติตัวที่ไม่สุดโต่งจนเกินไปค่ะ

                              • มีเรื่องน่ารักของลูกชายที่คุณแม่ปลื้มสุดๆไหมคะ

                              เรานอนด้วยกันตลอด เขาก็จะกอดเรา พีชว่าการที่เราได้กอดกันทุกวัน มันเป็นสิ่งที่ดีที่สุด เพราะรู้ว่าอีกไม่นานเขาคงไม่กอดเราแล้ว

                              • แล้วโมเมนต์น่ารักๆของพ่อลูกที่คุณพีชประทับใจล่ะคะ

                              พี่ติ๊กเป็นคนที่อยู่กับเด็กแล้วน่ารัก เขาเป็นคนที่เล่นกับเด็กเก่งอยู่แล้ว แล้วเวลาที่เขาเล่นกับลูกเราจะแอบเห็นเขาทำเสียงเล็กเสียงน้อย หาอะไรมาเล่นกันเยอะมาก เวลาเล่นกันก็จะสนุกเต็มที่มอมแมมไปทั้งคู่เลย เหมือนเด็กโตกับเด็กเล็กเล่นกัน (หัวเราะ) นอกจากเรื่องเล่นแล้วก็จะมีเรื่องที่เขาดูแลลูก อาบน้ำให้ลูกทุกวัน แล้วพี่ติ๊กเขาทำคล่อง ทำคนเดียวได้ เพราะถ้าพีชอาบให้ลูกจะต้องมีคนช่วย เพราะถ้าหันหลังปุ๊บเต็นท์วิ่งไปแล้ว มันจะวุ่นวายมาก

                              • วางแผนมีน้องให้น้องเต็นท์อีกคนไหมคะ

                              อยากมีนะคะ ตอนนี้ก็พยายามดูแลสุขภาพตัวเองไปเรื่อยๆ เพราะพีชกับพี่ติ๊กเราเห็นตรงกันว่าการมีพี่น้องมันสนุก เราทั้งคู่ต่างคนก็มีพี่น้อง สมมติในอนาคตที่เราไม่อยู่แล้ว เขาจะได้ไม่ต้องอยู่คนเดียว เขาจะได้มีคู่หูมีคู่คิดค่ะ

                              sitamon-4

                              • ตอนนี้น้องเต็นท์เริ่มโตแล้วคุณพีชกลับมาทำธุรกิจอีกครั้ง ทำไมถึงเลือกธุรกิจเสื้อผ้าเด็กล่ะคะ

                              พีชชอบเรื่องแฟชั่นและดีไซน์อยู่แล้ว ก่อนแต่งงานเคยทำร้าน Q Concept ซึ่งเป็น Concept Store ที่รวบรวมเฟอร์นิเจอร์ ของแต่งบ้านจากหลากหลายแบรนด์ ได้ไปเลือกของเอง ทำมาตลอดแต่เลิกทำก็เพราะตั้งใจจะมีลูก พอมีลูกก็อยากทำเสื้อผ้าให้ลูกแหละ เพราะพีชชอบเสื้อผ้าแนวเท่ๆ แฟชั่นๆ แต่บ้านเรายังไม่มีเสื้อผ้าเด็กแนวนี้ออกมา หรือถ้ามีก็เป็นแบรนด์ต่างประเทศที่ราคาค่อนข้างสูงมาก พีชก็เริ่มพัฒนาความคิดไอเดียต่อไปเรื่อยๆ จนอยากทำจริงจัง พี่ติ๊กก็เชียร์ให้ทำแบรนด์ตัวเองเราจะได้ปล่อยไอเดียได้เต็มที่ เจ้าจิ้งจอกแสนซนหรือ LittleFox จึงเกิดขึ้นมาค่ะ

                              • แบบนี้คุณพีชได้ลงมือทำเองทุกขั้นตอนเลยหรือเปล่าคะทั้งเรื่องดีไซน์และอื่นๆ

                              พีชเป็นคนคิดคอนเซ็ปต์ทั้งหมด เป็นคนวางโครงหลัก และมีน้องอีกคนมาช่วยเพราะเราก็ยังต้องเลี้ยงลูก คือไม่มีเวลาอยู่ออฟฟิศตลอด เมื่อได้ธีมของแต่ละคอลเลคชั่นแล้วก็คิดไว้เลยว่าสีจะเป็นโทนไหน เราจะใช้ผ้าอะไร แล้วก็พัฒนาสิ่งที่เราคิดให้ไปด้วยกัน

                              • ส่วนใหญ่การออกแบบแต่ละคอลเลคชั่นได้แรงบันดาลใจมาจากไหนคะ

                              แรงบันดาลใจมาจากทุกที่เลยค่ะ ทั้งตอนไปเที่ยว ดูหนัง หรืออ่านหนังสือ อะไรที่เราว่ามันน่าสนใจก็จะดึงมันออกมา

                              ซึ่ง LittleFox เราเป็นบูทีค คอลเลคชั่นหลักๆของเราคือ Spring และ Summer สองคอลเลคชั่นนี้เสื้อผ้าจะแนวแฟชั่น มีดีเทล มีลูกเล่นเยอะนิดหนึ่ง ไว้ใส่ออกนอกบ้าน และคอลเลคชั่น Basic ซึ่งเป็นชุดลำลองน่ารัก สำหรับใส่อยู่บ้าน เน้นเสื้อยืดใส่สบายที่เราออกแบบลายผ้าเอง ทำเป็นทรงต่างๆ จริงๆใส่เที่ยวได้ด้วย เป็นวันสบายๆ

                              • ตอนนี้มีหน้าร้านไหมคะหรือเน้นออนไลน์อย่างเดียวคะ

                              เราขายออนไลน์เป็นหลักค่ะ เพราะแม่ๆส่วนใหญ่ต้องอยู่กับลูกก็จะไม่มีเวลาออกมาช้อปปิ้ง ถ้าสั่งซื้อออนไลน์มันก็ง่าย เพราะพีชเองพอมีลูกก็เน้นช้อปปิ้งออนไลน์เหมือนกัน แต่ก็จะมีไป Pop upตามห้างบ้างแบบชั่วคราว แต่ถ้าใครสนใจอยากเข้ามาดูแบบพาลูกมาลองชุด โทรเข้ามานัดที่โชว์รูมได้เลยค่ะ

                              อนาคตมีแผนทำเสื้อผ้าผู้ใหญ่ด้วยไหมคะ เห็นมีแฟนคลับเรียกร้องอยากให้ทำเสื้อผ้าผู้ใหญ่บ้าง

                              ที่จริงรายละเอียดของเสื้อผ้าผู้ใหญ่กับเด็กมันต่างกัน ตอนนี้เราอยากทำเสื้อผ้าเด็กให้ดีที่สุดก่อน แต่ไม่แน่ค่ะอาจจะมีคอลเลคชั่นพิเศษสำหรับแม่ลูกออกมาบ้างต้องติดตามนะคะ

                               

                              สัมภาษณ์และเรียบเรียง นันทวรรณ์ ภู่ศรี ช่างภาพ กัญชนิกา เมืองวงษ์ ผู้ช่วยช่างภาพ จักรพงษ์ นุตาลัย วรรณรดา เต่าบำรุง Acting Coach มัลลิกา ชัยทวีพร

                                สารอาหารเพื่อสุขภาพแม่ท้อง ดีต่อทารกและคุณแม่ตลอดการตั้งครรภ์

                                อาหารการกินเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่คุณแม่หลายคนสนใจและเอาใจใส่ คุณแม่มักจะเริ่มคิดว่าเราควรจะกินอะไรดีที่จะมีประโยชน์ต่อลูกน้อยในครรภ์ กินอะไรที่ลูกออกมาแล้วจะฉลาด แข็งแรง และมีร่างกายสมบูรณ์ Continue reading “สารอาหารเพื่อสุขภาพแม่ท้อง ดีต่อทารกและคุณแม่ตลอดการตั้งครรภ์”

                                  อยากได้ลูกแฝดต้องทำอย่างไร?

                                  การมีลูกแฝด ถือเป็นความต้องการยอดฮิตของคู่สมรสหรือครอบครัวที่มีความพร้อมมากพอ ด้วยความที่ท้องครั้งเดียวแต่ได้เด็กน่ารักพร้อมกันถึง 2 คน (หรือมากกว่า) จึงทำให้คุณพ่อคุณแม่หลาย ๆ คนสงสัยว่าถ้าอยากได้ลูกแฝดต้องทำอย่างไร ? Continue reading “อยากได้ลูกแฝดต้องทำอย่างไร?”

                                    “ลูกควบคุมตัวเอง” ได้ ต้องฝึกให้สมองได้ “คิด”

                                    เมื่อสมองได้คิด ลูกก็ควบคุมตัวเองได้ “วัยเตาะแตะ 1-3 ขวบ เริ่มมีพัฒนาการหลายอย่างที่ดูจะเอาแต่ใจตัวเอง “ไม่” ตลอดเวลา บอกให้ไปซ้ายจะไปขวา บอกให้หยุดจะยิ่งทำ เดี๋ยวก็ปาข้าวของ เล่นเลอะเทอะ หรือพอพูดกันไม่รู้เรื่องก็กรี๊ด ก็กัด ซึ่งหลายครั้งพ่อแม่ผู้ปกครองจะคิดว่าเด็กทำไปเพราะไม่รู้เรื่อง แต่จริงๆ แล้วเราสามารถฝึกให้ลูกน้อยใช้สมองส่วนบริหารขั้นสูง เรียนรู้วิธีควบคุมตัวเองได้” จากประสบการณ์ฝึกเด็กๆ ในการศึกษาวิจัย ดร.วสุนันท์ ชุ่มเชื้อ อาจารย์ประจำและผู้เชี่ยวชาญการส่งเสริมการพัฒนาสมองและกระบวนการรู้คิดในเด็ก สถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล จะมีวิธีฝึกสมองเด็กเล็กๆ ได้อย่างไรบ้าง มาดูกันค่ะ

                                    ลูกควบคุมตัวเอง ฝึกลูก มีวินัย รับผิดชอบ

                                    ธรรมชาติลูกเตาะแตะยั้งตัวเองไม่เป็น แต่ฝึกสมองเรียนรู้จัดการตัวเองได้

                                    “พัฒนาการของวัย 1-3 ขวบ ที่พ่อแม่ผู้ปกครองส่วนใหญ่คิดว่าเด็กทำไปเพราะไม่รู้เรื่อง พูดหรือบอกเขาก็ไม่ฟัง และอาจจะปล่อยให้ลูกทำไป หรือถ้าพูดไม่ฟังมากๆ ก็อาจมีการดุ หรือตีกันบ้าง แต่จริงๆ แล้วสามารถใช้การฝึกสมองส่วนบริหารขั้นสูงมาช่วยให้ลูกน้อยจัดการตัวเองได้ค่ะ

                                    “ถ้ายิ่งบอกว่า “อย่าวิ่ง” “อย่าปา” “อย่ากรี๊ด” เด็กจะยิ่งทำ เพราะธรรมชาติของเด็กเล็กวัยนี้จะได้ยินคำสุดท้าย และสิ่งสำคัญคือ เขาไม่รู้ว่าเขาจะควบคุมตัวเองอย่างไร สิ่งที่ผู้ปกครองควรทำคือ บอกวิธีหยุดด้วยตัวเอง ลูกจะจดจำ (Working Memory) ยับยั้งตัวเอง (Inhibit) มีความคิดยืดหยุ่น ตัดสินใจใหม่ (Shifting) และเกิดการเรียนรู้ (Learning) ว่าครั้งต่อไป ถ้าได้ยินคำนี้และท่าทางแบบนี้ เขาควรจะทำตัวอย่างไร

                                    อ่านต่อ “วิธีฝึกสมองลูกกับพัฒนาการชวนปวดหัว” คลิกหน้า 2

                                    banner300x250-1