วิจัยชี้ 9 สัญญาณ บ่งบอก ลูกของคุณฉลาดเกินเกณฑ์ พัฒนาการเกินวัย!
หากลูกของคุณนั้นมีวุฒิภาวะดีกว่าเด็กอื่นๆในวัยเดียวกัน นั่นอาจเป็นสัญญาณว่าลูกเป็นเด็กที่ฉลาดเกินเกณฑ์ มี พัฒนาการเกินวัย หรือใกล้เคียงกับการเป็นอัจฉริยะเลยก็ว่าได้
เชื่อว่ามีคุณพ่อคุณแม่หลายคนที่มีลูกเป็นเด็กฉลาด มีพัฒนาการเก่งเกินวัย ทำให้แอบหวังอยู่ว่า ลูกของเราอาจจะเป็นเด็กที่มีพรสวรรค์พิเศษ..หรือเป็นเด็กอัจฉริยะ หรือเปล่าน๊า….ซึ่งเรื่องของการเรียนรู้พ่อแม่สามารถช่วยส่งเสริมลูกได้ เพราะพัฒนาการด้านสมองและการเรียนรู้เป็นผลโดยตรงจากการเลี้ยงดู แต่จะดีกว่าหรือไม่ ถ้าเราเช็กได้ว่า ลูกเรามีสัญญาณบ่งบอกว่า เค้าเป็น “เด็กฉลาด” หรือไม่ ทั้งนี้เพื่อเราจะได้ส่งเสริมลูกได้ถูกทางยิ่งขึ้น เนื่องจากช่วงเวลาสำคัญของการเรียนรู้และการพัฒนาสมองที่ได้ผลไวที่สุด คือในช่วง 3 ปีแรกของชีวิต
9 สัญญาณ บ่งบอกว่า ลูกเป็นเด็กฉลาดเกินเกณฑ์ พัฒนาการเกินวัย
และเพราะความฉลาดทางเชาวน์ปัญญา หรือ IQ นั้น ไม่ใช่เกณฑ์วัดความรู้ที่มีอยู่ แต่เป็นสิ่งที่วัดความสามารถในการรับข้อมูลใหม่ๆ ของคุณต่างหาก ทั้งวิธีการคิด การใช้เหตุผล การคำนวณ และการเชื่อมโยงต่างๆ การวิจัยพบว่า IQ ของคนเราถูกกำหนดมาตั้งแต่วัยเด็กแล้ว คุณไม่สามารถไปเพิ่มมันได้ แต่ IQ ก็ไม่ใช่ตัววัดว่าใครจะประสบความสำเร็จมากกว่าใคร และถึงอย่างไรพ่อแม่หลายๆ คนก็คิดที่ว่า การที่ลูกฉลาด มีพัฒนาการเกินวัย หรือมี IQ สูงกว่าใคร ก็ย่อมดีกว่านั่นเอง
![]()
ซึ่งก็มีเด็กหลายคนที่คุณพ่อคุณแม่ไม่เคยรู้ด้วยซ้ำว่าลูกของคุณนั่นฉลาดมากแค่ไหน ซึ่ง IQ เป็นสิ่งที่วัดยากมาก เพราะต้องใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านสมองมาช่วย จึงมีคนจำนวนมากที่ไม่รู้ว่า IQ หรือความฉลาดเกินเกณฑ์ พัฒนาการเกินวัย ของลูกน้อยกันซะเท่าไหร่ แต่ก็ได้มีการวิจัยออกมาเผยว่า ถ้าลูกน้อยของคุณมีสัญญาณ นิสัย พฤติกรรม หรืออื่น ๆ ในตัวลูก ที่ตรงกับข้อใดข้อหนึ่งหรือทั้ง 9 ข้อข้างด้านล่างนี้ ลูกของคุณก็มีโอกาสสูงที่จะมีไอคิวสูงกว่าคนปกติ หรือฉลาดกว่าคนปกตินั่นเอง
1. มีแม่ฉลาดอยู่แล้ว!
มีงานวิจัยออกมาว่า “ความฉลาดของลูก มาจากสมองแม่” โดยมหาวิทยาลัย Ulm ในเยอรมันทำงานวิจัยนี้มาในปี 2016 ว่ายีนที่สัมพันธ์กันกับความสามารถในการรับรู้ของเด็ก มาจากโครโมโซมเอ็กซ์ คือโครโมโซมที่มาจากแม่นี่ล่ะ และยังมีงานวิจัยอีกอันทำโดย เมดิคัล รีเสิร์ช คาวน์ซิล เมื่อปี 1994 วัดผลจากเด็ก 12,000 คน พบว่า ไอคิวของแม่เป็นตัวบอกความฉลาดของลูกได้ดีที่สุด
⇒ Must read : จริงหรือไม่? แม่แพ้ท้องหนักมากจะทำให้ลูกฉลาด IQ สูง
⇒ Must read : นักวิจัยพิสูจน์แล้ว! ลูกจะสืบทอดสติปัญญาจากแม่ได้มากกว่าพ่อ
2. ลูกคุณมีขนาดศีรษะที่ใหญ่
มีงานวิจัยจากเจอร์นัล Molecular Psychiatry ออกมาบอกว่าเด็กที่เกิดมามีหัวโตกว่าหัวเด็กคนอื่นๆ โดยเฉลี่ย จะเป็นเด็กที่ฉลาดเกินมาตรฐานได้ ลองวัดหัวลูกดูนะว่า ถ้าลูกหัวเส้นรอบวง 13 ถึง 14 นิ้ว หรือ 34 ถึง 35 เซนติเมตร จะมีแนวโน้มที่เรียนจบด้วยคะแนนสูงเกินเพื่อนๆ ได้เมื่อตอนเขาโตขึ้นมา
3. ลูกเริ่มหัดอ่านหนังสือก่อนเด็กคนอื่น
การศึกษาของประเทศอังกฤษได้ทำการทดลองจากคู่แฝดทั้งหมด 2,000 คู่ เด็กคนที่เริ่มหัดอ่านหนังสือก่อนจะมีไอคิวสูงกว่าคู่แฝดที่เริ่มทีหลัง นักวิจัยได้กล่าวว่า เหตุผลที่เด็กที่หัดเริ่มอ่านหนังสือก่อนมีไอคิวที่สูงกว่า ก็เพราะว่าการอ่านเป็นส่วนในการช่วยพัฒนาสมองที่สำคัญ ทำให้เด็กที่เริ่มอ่านก่อนฉลาดกว่า แต่นี้ไม่ได้หมายความว่า เพราะเด็กคนนี้ฉลาดก็เลยเริ่มอ่านหนังสือได้เร็ว แต่จริงๆก็คือการเริ่มอ่านหนังสือเร็วช่วยให้เด็กฉลาดนั้นเอง
⇒ Must read : พ่อแม่ฉลาดเลือก ลูกรักฉลาดอ่าน!⇒ Must read : พัฒนาการช้า เรื่องสำคัญที่พ่อแม่ต้องสังเกตลูก4. ลูกถนัดซ้าย
กลับกลายเป็นว่าที่คุณคูรสมัยก่อน ชอบบังคับให้เด็กที่ถนัดซ้ายฝึกเขียนหนังสือมือขวากลายเป็นเรื่องตรงกันข้ามกับสิ่งที่ควรทำ มีการศึกษาหนึ่งได้แสดงให้เห็นว่า คนที่ถนัดมือซ้ายจะมีความเกี่ยวข้างกับวิธีการคิดแบบอเนกนัย (Divergent Thinking) ซึ่งหมายความว่า คนเหล่านี้สามารถเชื่อมโยงสองสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกันในเชิงที่มีความหมายได้ และนี้ก็เป็นสัญลักษณ์แห่งความฉลาด
5. เป็นเด็กขี้กังวล
มันยากที่จะเชื่อว่าความวิตกกังวลเป็นสิ่งที่ดี แต่มันมีหลักฐานที่พิสูจน์ได้ว่าความวิตกกังวลไม่ใช่สิ่งที่แย่ซะทีเดียว จิตแพทย์นามว่า Jeremy Coplan ได้ทำการศึกเกี่ยวกับโรควิตกกังวลของมนุษย์ และเขาพบว่ายิ่งคนที่มีระดับความกังวลสูงยิ่งมีไอคิวที่สูงตามไปด้วย นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยจาก Interdisciplinary Center Herzliya ที่ประเทศอิสราเอล นักวิจัยพบว่าผู้เข้าร่วมที่มีความวิตกกังวลมากที่สุด เป็นผู้ที่โฟกัสไปที่งานและมีความกระตือรือร้นมากที่สุดเช่นกัน
![]()
6. ชอบเล่นดนตรี
มีการวิจัยหลายงานที่แสดงให้เห็นว่า ดนตรีเป็นส่วนช่วยในเรื่องการพัฒนาสมองและความฉลาด นอกจากนี้ยังช่วยในเรื่องของการโฟกัสและการควบคุมตัวเองอีกด้วย จากการวิจัยของนักจิตวิทยานาม Sylvain Moreno เขาได้นำเด็กอายุระหว่าง 4-6 ขวบ มาทั้งหมด 48 คน และได้แบ่งเป็นสองกลุ่ม กลุ่มละ 24 คน กลุ่มแรกให้เข้าห้องเรียนดนตรี ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งให้เข้าห้องเรียนทัศนศิลป์ เด็กทั้งสองกลุ่มต้องเรียนวันละ 1 ชม.ต่อวัน ทั้งหมด 5 วันต่อสัปดาห์ เวลาผ่านไป 1 เดือน ผลสรุปออกมาว่า เด็กกลุ่มแรกที่เรียนดนตรีมีการพัฒนาทางไอคิวมากกว่าเด็กอีกกลุ่มนึง ดังนั้นการลงเรียนดนตรีตอนยังเป็นเด็กจึงมีส่วนช่วยให้เราฉลาดขึ้นนั่นเอง
7. เป็นพี่ชายคนโตสุดของตระกูล
ผลการวิจัยพบว่าพี่ชายคนโตสุดของบ้านนั้นมักจะเป็นคนที่มีทักษะกระบวนการด้านความคิด และ IQ ที่ค่อนข้างจะสูงพอสมควรเลยทีเดียวเมื่อเทียบกับเด็กๆ ภายในบ้านที่อายุลดหลั่นกันไป ด้วยเหตุนี้เองเราจึงมักที่จะเห็นพี่คนโตสุดของตระกูลประสบความสำเร็จมากกว่าน้องๆ ที่เด็กกว่าในตระกูล
⇒ Must read : 10 เรื่องที่ พ่อแม่ต้องเจอ เมื่อมีลูกชาย
⇒ Must read : 5 ข้อดีและข้อเสียของการ มีลูกคนเดียว8. เป็นเด็กช่างสงสัย
หากลูกของคุณ กลายเป็นเจ้าหนูจำไม ช่างสงสัยในสิ่งต่างๆ รอบๆ ตัวไม่ว่าจะเป็น ทำไมท้องฟ้าถึงมีสีฟ้า ไอ้นั้นมีไว้ทำอะไร ไอ้นี้มีไว้ทำอะไร แล้วล่ะก็คุณก็เป็นอีกคนหนึ่งที่มีโอกาสสูงทีเดียวล่ะครับที่จะมีเชาว์ปัญญาสูงกว่าคนปกติทั่วๆ ไป โดยนักวิจัยทางด้านจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัยในกรุงลอนดอนนั้นพบว่า ผู้ที่มีลักษณะเป็นคนขี้สงสัยมากเป็นพิเศษนั้นเกิดมาจากการที่พวกเขานั้นมีความสนุกที่จะได้ค้นพบสิ่งแปลกใหม่รอบๆ ตัว ซึ่งจากสิ่งนี้นี่เองที่นำไปสู่กระบวนการทางด้านการพัฒนากระบวนการความคิดให้กับคนที่อยู่ในกลุ่มนี้
⇒ Must read : รับมือเจ้าหนูจำไมจอมดื้อ วัย 3-5 ขวบ⇒ Must read : เทคนิคตอบคำถามลูกแบบได้ประโยชน์สูงสุด9. เป็นเด็กตลก
ถ้าเห็นข้อนี้พวกตัวตลกทั้งหลายคงดีใจไม่น้อย นักวิจัยได้แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมโยงระหว่างการเป็นคนตลก กับ การเป็นคนฉลาด มุขหรือการล้อเล่นต่างๆที่ถูกผลิตออกมาจากความคิดอันเฉียบแหลมของคุณ มันไม่ใช่ว่าใครๆนึกจะเป็นคนตลกก็จะเป็นคนตลกได้
แน่นอนว่าหากนำ ทั้งหมดมารวมกัน 9 ข้อข้างต้น ก็สามารถแสดงให้เห็นว่าลูกน้อยของคุณเป็นเด็กที่ฉลาดกว่าเด็กทั่วไปและถ้าลูกของคุณพ่อคุณแม่ มีลักษณะดังกล่าวข้างต้นนี้อยู่หลายข้อก็ควรปรึกษากับคุณครูและกุมารแพทย์ เพื่อจะได้ช่วยกันดูว่าจะช่วยให้ลูกได้พัฒนาความสามารถพิเศษของลูกได้อย่างเต็มที่ได้อย่างไร เช่น การอ่านหนังสือด้วยกัน และการให้เขาได้สัมผัสและเรียนรู้เกี่ยวกับกับศิลปะ ดนตรี ธรรมชาติ และกีฬา ที่เขาชอบและสนใจ เพื่อเปิดโอกาสในการค้นพบความเป็นอัจฉริยะในตัวเขา
ที่สำคัญคือเด็กแต่ละคนมีความสามารถพิเศษที่แตกต่างกัน ซึ่งผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการเด็ก ได้จัดแบ่งกลุ่มของความฉลาดของเด็ก ออกเป็นหลายประเภท ดังนี้คือ
- อัจฉริยะด้านการใช้ภาษา เด็กที่มีความสามารถพิเศษด้านนี้ มักจะแสดงความรู้ด้านการใช้ภาษาและคำศัพท์ ต่างๆได้ดี และสามารถแสดงความคิดเห็นของตนเองได้ดีและชอบที่จะใช้ภาษา เช่น ชอบอ่าน ชอบเขียน และเล่าเรื่อง ชอบเล่นเกมทายคำ ท่องอาขยานหรือคำศัพท์ต่างๆ เขาจะใช้คำศัพท์ต่างๆในการช่วยจำและจัดการเรื่องต่างๆ เช่น “ผู้ใหญ่หาผ้าใหม่ ให้สะใภ้ใช้คล้องคอ ……….”
- อัจฉริยะด้านการคิดเป็นเหตุเป็นผลและคณิตศาสตร์ เด็กที่มีความสามารถพิเศษด้านนี้จะทำสิ่งต่างๆอย่างเป็นระบบระเบียบ จะชอบหาความสัมพันธ์ของสิ่งต่างๆ ชอบจัดสิ่งต่างๆให้เป็นระเบียบแยกเป็นกลุ่มๆ มักจะหาวิธีทำการทดลองเพื่อทดสอบข้อสังเกตและความคิดของตน เขาจะมีความสามารถในการคิดคำนวณในใจได้อย่างรวดเร็ว ชอบที่จะเล่นเกมที่ต้องใช้กฎเกณฑ์และเหตุผล รวมถึงการคิดวางแผนต่างๆ เช่น การเล่นเกมหมากรุก เกมยิงเรือ เกมรูบิค ฯลฯ
- อัจฉริยะด้านมิติสัมพันธ์ รูปทรงและโครงสร้าง เด็กกลุ่มนี้จะสามารถรู้ได้ว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงในห้องได้ เมื่อคุณทำการจัดห้องใหม่แม้แต่เพียงเล็กน้อย เพราะเขาจะสามารถรับรู้ถึงความสัมพันธ์ของความเป็นอยู่ของสิ่งของต่างๆและ ความเป็นอยู่ร่วมกันของสิ่งต่างๆได้ดี เขาจะคิดและจินตนาการเป็นรูปภาพ และจะชอบศิลปะและการสร้างสิ่งต่างๆ ซึ่งเขาอาจจะวาดภาพและจินตนาการอยู่ในใจและนำสิ่งของใกล้ตัวมาสร้างสิ่งนั้นๆขึ้นมาได้อย่างง่ายดาย แต่ถ้าต้องเรียนอะไรที่มีเนื้อหาคำพูดคำศัพท์ต่างๆมากๆแล้วจะรู้สึกเบื่อ ขึ้นมาง่ายๆเช่นกัน
- อัจฉริยะด้านดนตรี เด็กมักจะสามารถแสดงความพิเศษด้านดนตรีได้ตั้งแต่อายุยังน้อย เขาจะมีความไวต่อเสียงต่างๆ และสามารถจดจำเสียงเพลงหรือทำนองต่างๆได้อย่างรวดเร็ว และมักจะสนใจที่จะเล่นเครื่องดนตรีต่างๆ ถ้าเขาได้มีโอกาสเล่นมัน แต่บางคนอาจจะชอบที่จะฟังดนตรีจากแผ่นซีดีหรือเทป และเด็กโตบางคนอาจจะต้องเปิดเพลงฟังตลอดเวลา ในช่วงอ่านหนังสือโดยพบว่าตนเองจะไม่มีสมาธิดีพอถ้าไม่ได้ฟังเพลง
- อัจฉริยะด้านการกีฬาและการเคลื่อนไหว เขาจะมีความสามารถด้านการเคลื่อนไหวส่วนต่างๆของร่างกายได้เป็นอย่างดี ซึ่งจะแสดงออกในเชิงกีฬาที่เขาถนัด หรือเป็นนักเต้น นักกายกรรม และนักแสดง ฯลฯ เด็กเหล่านี้มักจะไม่นั่งอยู่นิ่ง แต่จะขยับเท้าหรือทำท่าเต้นไปตามจังหวะต่างๆได้ดี เขาชอบที่จะออกกำลังกาย เช่น ว่ายน้ำ เล่นสเกตช์ ฯลฯ
- อัจฉริยะด้านการเข้าสังคมและการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น เด็กที่มีพรสวรรค์พิเศษด้านการเข้าสังคม ดูจะเป็นคนที่มีทักษะในการพูดคุยต้อนรับ คนอื่นๆได้อย่างเป็นธรรมชาติ เขาดูเหมือนจะรู้ว่าคนอื่นๆมีความคิดและความรู้สึกอย่างไร เขามักจะได้รับเลือกให้เป็นผู้นำของกลุ่ม และช่วยในการเจรจาติดต่อกับคนอื่นๆ เขาชอบที่จะได้ทำอะไรให้กับคนอื่นๆ และชอบที่อยู่ในกลุ่มคนเพื่อพูดคุยและรับฟังปัญหาต่างๆ
- อัจฉริยะด้านความเชื่อมั่นตนเองและความเป็นตัวของตัวเอง เด็กที่มีความสามารถพิเศษนี้จะดูเหมือนมีพลังพิเศษในตัวเอง เขาจะรู้จักตนเองว่าเขาคือใครและต้องการอะไรในชีวิต ดูจะมีความมุ่งมั่นที่จะทำอะไรต่างๆ ตามเป้าหมายของตนอย่างไม่ย่อท้อง่ายๆ เขาอาจจะไม่ค่อยกังวลกับความรู้สึกของคนอื่นๆ หรือไม่สนใจว่าคนอื่นจะคิดอย่างไรกับตัวเขานัก ชอบที่จะใช้เวลาอยู่คนเดียวและทำในสิ่งที่ตนเองตั้งใจไว้ แม้เขาเองอาจจะไม่ได้เป็นขวัญใจที่เพื่อนๆทุกคนรู้จักและรักใคร่มาก แต่สำหรับเพื่อนๆที่รู้จักเขาดีจะชื่นชมในความตั้งใจและมุ่งมั่นที่จะทำตาม สิ่งที่เขาต้องการ โดยไม่ยอมแพ้ง่ายๆ
การจัดกิจกรรมที่หลากหลายให้ลูกได้สัมผัสและได้เลือกทำในสิ่งที่ตนชอบจะช่วยให้คุณพ่อคุณแม่ได้ค้นพบว่า ลูกมีความสามารถพิเศษด้านใด และหาทางสนับสนุนให้ได้เต็มที่สูงสุดตามศักยภาพของเขา และใน ขณะเดียวกันต้องไม่ลืมที่จะให้ลูกได้มีความฉลาดทางอารมณ์หรือมีวุฒิภาวะทาง อารมณ์ (Emotional Intelligence)ร่วมไปด้วย ซึ่งจะเป็นตัวบ่งชี้ถึงความสำเร็จทางด้านการงานในอนาคต ได้ค่อนข้างมาก
ความสามารถในการเข้าใจ เห็นอกเห็นใจผู้อื่น รู้จักอดทนอดกลั้น มีความหวังมองโลกในแง่ดี มีความสุขในชีวิต ฯลฯ ขึ้นอยู่กับการเลี้ยงดูตั้งแต่วัยเด็กเป็นสำคัญ และต่อเนื่องไปจนถึงช่วงวัย รุ่น ซึ่งคุณจะสามารถช่วยได้โดย
- ให้ความรัก ความเอาใจใส่ ความอบอุ่นและความรู้สึกที่มั่นคงแก่ลูก
- พูดคุยและยิ้มกับลูกบ่อยๆ
- ให้การตอบสนองในเชิงบวกต่อพฤติกรรมที่ดีของเด็ก
- อธิบายอย่างง่ายๆให้ลูกเข้าใจว่า ทำไมคุณถึงห้ามไม่ให้เขาทำอะไรบางอย่าง
- ให้โอกาสลูกได้ช่วยคุณทำสิ่งต่างๆในบ้านบ้าง เพื่อให้ได้มีส่วนร่วม
- พยายามเข้าใจลูกและปลอบประโลมเขาเมื่อเขาร้องไห้หรือเสียใจ
- อธิบายให้ลูกรู้ว่าการกระทำอะไรมีผลอย่างไรกับผู้อื่นบ้าง ให้เอาใจเขามาใส่ใจเรา
อย่างไรก็ดี เมื่อคุณพ่อคุณแม่สังเกตเห็นและรู้แล้วว่าลูกของเราเป็นเด็กฉลาดเกินเกณฑ์ มีพัฒนาการเกินวัย ก็หวังว่าจะช่วยให้มองเห็นถึงความเป็นอัจฉริยะในด้านใดด้านหนึ่ง หรือหลายๆด้านของลูกได้ และจัดกิจกรรมให้เขาได้แสดงออกถึงศักยภาพที่มีอย่างเต็มที่ พร้อมๆกับเลี้ยงดูให้ลูก มีวุฒิภาวะทางอารมณ์ที่เหมาะสมได้นะคะ
อ่านต่อ “บทความดี ๆ น่าสนใจ” คลิก!
- สอนลูกเรียนเก่ง ด้วยวิธีการที่ถูกต้อง
- สร้างลูกอัจฉริยะ ด้วยวิธีง่ายๆ เพียง 5 ข้อ พ่อแม่ทำได้ด้วยตัวเอง
- 7 เคล็ดลับง่ายๆ ส่งเสริมลูกให้ฉลาดสมวัยด้วยวิธีธรรมชาติ พ่อแม่สร้างได้!!!
- 12 ทางลัด ช่วยลูกฉลาด-อารมณ์ดีพ่อแม่ทำได้
ขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก : บทความวิชาการ..โดย พญ.จันท์ฑิตา พฤกษานานนท์ Child Research & Development Project www.taiknowledgebase.org , www.entrepreneur.com, daily.rabbit.co.th , mcpswis.mcp.ac.th