ช่วยลูกเรียนรู้ เล่นกับลูก ลูกฉลาด ได้เรียนรู้

เล่นกับลูก ช่วยให้ทารกเรียนรู้ พ่อแม่ไม่ต้องเก่งก็ทำได้!

Alternative Textaccount_circle
event
ช่วยลูกเรียนรู้ เล่นกับลูก ลูกฉลาด ได้เรียนรู้
ช่วยลูกเรียนรู้ เล่นกับลูก ลูกฉลาด ได้เรียนรู้

Q. เป็นพ่อแม่มือใหม่ค่ะ ลูกอายุได้ 4-5 เดือน เราตกลงกันให้แม่เลี้ยงลูกเป็นหลัก ปัญหาคือ เวลาอยู่กับลูกเล็กๆ ทั้งวัน ไม่รู้จะทำอะไรกับลูกค่ะ มีแต่คุยด้วยและอุ้มไปเดินเล่นแถวบ้านบ้าง เด็กทารกอยู่แต่ในบ้านจะดีกับเขาหรือเปล่าคะ อยากมีส่วนช่วยให้ลูกเรียนรู้ เด็กเล็กขนาดนี้เขาจะเรียนรู้อะไรได้บ้าง

ตั้งใจฟังนะครับ  ทารกเรียนรู้อยู่ตลอดเวลาตราบเท่าที่คุณแม่ยังอยู่ในสายตา

เมื่อไรที่คุณพ้นสายตา  การเรียนรู้ก็จะลดลงตามส่วน

ช่วยลูกเรียนรู้ เล่นกับลูก ลูกฉลาด ได้เรียนรู้

ทารก 1 ขวบปีแรก เด็กเล็ก 2 ปีต่อมา เขามีหน้าที่และภารกิจสำคัญที่สุดที่จะต้องทำให้สำเร็จคือ

  1. เรียนรู้ว่าโลกและสิ่งแวดล้อมรอบตัวเขาปลอดภัยและไว้ใจได้
  2. เรียนรู้ว่าคุณแม่และคุณพ่อมีอยู่จริงๆ ในโลกใบนี้และจะไม่มีวันหายไปไหนตลอดกาล
  3. เรียนรู้ว่าตัวตนของตนเองเป็นตัวอะไรหรือเป็นใคร

การเรียนรู้ทั้งสามอย่างนี้สำคัญที่สุด ถ้าทำได้เขาไปต่อได้อย่างดี ถ้าทำไม่ได้เขาไปต่อได้ยาก

อ่านต่อ “เลี้ยงลูกเล็กให้ฉลาด ต้องใช้ของเล่นหรือสื่อเสริมทักษะหรือเปล่า” คลิกหน้า 2

banner300x250-1

เด็กฆ่าตัวตาย

เด็กฆ่าตัวตาย เพราะถูกเพื่อนแกล้ง สังคมที่ต้องได้รับการเยียวยา

Alternative Textaccount_circle
event
เด็กฆ่าตัวตาย
เด็กฆ่าตัวตาย

จากข่าวที่มี เด็กฆ่าตัวตาย Daniel Fitzpatrick เด็กชายวัย 13 ปี จากสหรัฐอเมริกา ตัดสินใจฆ่าตัวตาย หลังจากโดนอันธพาลที่โรงเรียนแกล้งมาตลอดปี เด็กชายผู้น่าสงสารทิ้งจดหมายเอาไว้ก่อนตายว่า ตัวเองถูกรังแก แต่ครูกลับไม่แก้ไขปัญหา เพื่อนที่โรงเรียนก็ไม่ชอบเขา และไม่พูดคุยกับเขา

(more…)

“แสงแฟลช” ทำลายดวงตาเด็กจริงหรือ?

Alternative Textaccount_circle
event

มีหลายคนพูดกันไปว่าแสงแฟลชทำให้ตาของเด็กเสียหรือเกิดโรคของจอตา  แต่จริงๆ แล้วยังไม่เคยมีเด็กที่เป็นโรคตาเพราะแสงแฟลช  และยังไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์อย่างชัดเจนด้วย  เพราะเด็กมีกลไกตามธรรมชาติที่ช่วยปกป้องดวงตาจากแสงต่างๆ รวมถึงแสงแฟลชอยู่แล้วค่ะ เพราะว่า

 

  • เด็กมีรูม่านตาเล็กกว่าผู้ใหญ่มาก รูเล็กนิดเดียว  แสงก็จะผ่านได้น้อย  อันตรายจากแสงก็จะลดน้อยลง
  • เมื่อมีแสงส่องม่านตาจะหด ซึ่งเป็นปฏิกิริยาตามธรรมชาติของร่างกายม่านตาจะหดเมื่อมีแสงส่องเข้ามา ก็ยิ่งทำให้แสงที่จะผ่านเข้าไปลดลงอีก
  • สัญชาตญาณการหลบหลีกแสง มนุษย์มีปฏิกิริยาตามสัญชาตญาณในการหลบหลีกจากแสงอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นการเบือนหนี  หลับตา  หรือหยีตา  ปฏิกิริยาเหล่านี้เป็นกลไกซึ่งช่วยปกป้องอันตรายจากแสงจ้าได้เช่นกัน

 

“นอกจากนี้การใช้แสงแฟลชยังเป็นการยิงแสงให้กระจายออก  แสงไม่ได้รวมเป็นจุดเดียว  ความเข้มข้นของแสงจึงถูกกระจายออกไป  และการถ่ายรูปในแต่ละครั้งยังใช้เวลาไม่นาน  ไม่ได้ถ่ายทั้งวัน  แสงแฟลชจึงไม่อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อดวงตาของลูกได้  แม้จะเป็นลูกเบบี๋แรกคลอดก็ถ่ายรูปได้  คุณพ่อคุณแม่ไม่ต้องกังวลนะคะ”

shutterstock_383392120

 

Q : ทำอย่างไรเมื่อหลังจากถ่ายรูปแล้วลูกมีอาการระคายเคืองหรือมีน้ำตาซึม

A : ถ้าเป็นเพียงระยะสั้นๆ และหายได้เอง สัญนิฐานลูกอาจเป็นภูมิแพ้บางชนิดซึ่งทำให้สายตาไวต่อแสงไปด้วย  กรณีนี้ไม่เป็นอันตรายค่ะ แต่ในกรณีที่ดวงตาของลูกเกิดอาการแพ้มากกว่าปกติ  อาจเป็นสัญญาณบอกถึงโรคตาอื่นๆ ที่ลูกเป็นอยู่ก่อนแล้ว คุณพ่อคุณแม่ควรพาลูกไปพบแพทย์เฉพาะทางเพื่อวินิจฉัยหาสาเหตุและทำการรักษาต่อไป”

 

อ่านเรื่อง ““แสงแฟลช” ทำลายดวงตาเด็กจริงหรือ?” คลิกหน้า 2

เด็กทำความผิด ใครมีหน้าที่รับผิดชอบ?

Alternative Textaccount_circle
event

เด็กทำผิดกฎหมาย ใครมีหน้าที่รับผิดชอบ? 

หลายท่านคงเคยอ่านข่าวเด็กนักเรียนยกพวกตีกันมาบ้างนะครับ ซึ่งในที่เกิดเหตุจะมีเด็กนักเรียนได้รับบาดเจ็บทั้งสองฝ่าย หรือในเหตุการณ์ที่เด็กนำรถของบิดามารดาไปขับชนรถของผู้อื่นจนเกิดความเสียหายแก่ทรัพย์สิน ร่างกาย และชีวิต ผมจึงขอกล่าวถึงหน้าที่ของบิดามารดาโดยชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งนอกจากบิดามารดาจะมีหน้าที่อุปการะเลี้ยงดู และให้การศึกษาแก่บุตรแล้ว หาก เด็กทำผิดกฎหมาย บิดามารดาโดยชอบด้วยกฎหมาย ยังต้องมีหน้าที่รับผิดชอบในความเสียหายทางละเมิดหรือค่าเสียหาย ที่เด็กได้กระทำต่อผู้อื่นด้วย

Bruised-and-battered-boy-1000x750-600x420

 

เมื่อ เด็กทำผิดกฎหมาย กระทำความผิดทางอาญา เด็กจะต้องถูกดำเนินคดีในศาลเยาวชนและครอบครัวต่อไป โดยบิดามารดา ไม่ต้องร่วมรับผิดในทางอาญาด้วย ส่วนความรับผิดต่อค่าเสียหายในทางแพ่งนั้น กฎหมายกำหนดให้บิดามารดาโดยชอบด้วยกฎหมายจะต้องรับผิดชอบแทนเด็ก เนื่องจากเด็กไม่มีรายได้ที่จะสามารถนำมาชำระค่าเสียหายให้แก่ผู้เสียหายได้ และกฎหมายต้องการให้บิดามารดา คอยควบคุม ดูแล อบรมเด็ก ให้เป็นคนดี ไม่ให้เป็นภาระของสังคม กฎหมายจึงกำหนดให้บิดามารดาโดยชอบด้วยกฎหมายต้องรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เด็กก่อให้เกิดขึ้น กล่าวคือ

ตามประมวลกฎหมาย แพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๔๒๐ ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ทำต่อบุคคลอื่น โดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหายถึงแก่ชีวิตก็ดี แก่ร่างกายก็ดี อนามัยก็ดี เสรีภาพก็ดี ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี ท่านว่า ผู้นั้นทำละเมิด จำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น

มาตรา ๔๒๙ บุคคลใดแม้ไร้ความสามารถเพราะเหตุเป็นผู้เยาว์ หรือวิกลจริต ก็ยังต้องรับผิดในผลที่ตนทำละเมิด บิดามารดาหรือผู้อนุบาลของบุคคลเช่นว่านี้ย่อมต้องรับผิดร่วมกับเขาด้วย เว้นแต่ จะพิสูจน์ได้ว่าตนได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแก่หน้าที่ดูแล ซึ่งทำอยู่นั้น

เด็กทำผิดกฎหมาย

แต่ในส่วนของบิดา เมื่อมิได้จดทะเบียนสมรสกับมารดา บิดาย่อมเป็นบิดาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายของบุตร ดังนั้น จึงไม่สามารถนำบทบังคับตามมาตรา ๔๒๙ มาใช้บังคับให้บิดาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้นร่วมรับผิดกับเด็กได้ เนื่องจาก คำว่า บิดา ตามมาตรา ๔๒๙ ดังกล่าว จะต้องเป็นเป็นบิดาโดยชอบด้วยกฎหมายเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม เมื่อกฎหมายมีช่องว่างเกิดขึ้น ทำให้เกิดความไม่ยุติธรรมระหว่างบิดามารดาดังกล่าวข้างต้น และยังมีผลต่อค่าเสียหายของผู้อื่นด้วย  หากเกิดเหตุการณ์เหล่านี้ขึ้นมาจริงๆ  อาจจะต้องยื่นให้ศาลฎีกาวินิจฉัย และปรึกษาทนายผู้เชี่ยวชาญครับ

 banner300x250

อ่านต่อ บทความน่าสนใจ

แบ่งทรัพย์สินอย่างไร หากไม่ได้จดทะเบียนสมรส

คุณแม่ควรรู้ไว้!! ประโยชน์ของทะเบียนสมรสที่คุณอาจไม่เคยรู้


เรื่อง คุณนิติธร แก้วโต ทนายความที่ปรึกษาทางกฎหมาย และคุณพ่อลูกสอง

เคล็ดลับวิธีเด็ด 14 ข้อ กับการสอนลูกสาวให้ได้ดี

Alternative Textaccount_circle
event

หลายคนมักบอกว่า ชีวิตของผู้หญิงส่วนใหญ่มักจะเปลี่ยนไป เมื่อย่างเข้าสู่ความเป็นแม่ เพราะการมีลูกจะทำให้ผู้หญิงคนหนึ่งมีความรับผิดชอบมากขึ้น และเลี้ยงดูลูกให้เติบโตมาอย่างมีคุณภาพที่สุด “การเลี้ยงดูลูกสาว” จึงถือเป็นเรื่องที่ท้าทาย (more…)

จัดกระเป๋าพกพาของใช้ลูกเล็ก ฉบับประหยัดเงินในกระเป๋าพ่อแม่

Alternative Textaccount_circle
event

วันหยุดหลายครอบครัวคงมีแพลนเดินทางไปท่องเที่ยวเป็นส่วนใหญ่  แต่หากคุณเพิ่งจะมีลูกน้อยเป็นคนแรก คุณพ่อคุณแม่มือใหม่หลายท่านคงจะกังวลว่าจะเอาอะไรใส่กระเป๋าดี!  ฉบับนี้ผมขอแบ่งปันประสบการณ์ในฐานะพ่อมือใหม่เช่นกันเอาละครับ…เมื่อทุกอย่างพร้อม เรามาจัดสัมภาระ และอุปกรณ์ที่สำคัญสำหรับลูกน้อยกันครับ

03

หมวดที่ 1 อุปกรณ์ให้นม

สมัยนี้การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่เป็นสิ่งสำคัญมากครับ เครื่องปั้มนมจะเป็นอุปกรณ์ที่สำคัญ ซึ่งในปัจจุบัน คุณแม่สามารถพกพาได้สะดวกด้วยเครื่องปั้มที่สามารถใช้ถ่านไฟฉายหรือแบตเตอรี่ครับ และต้องมาคู่กับผ้าคลุมให้นมสำหรับคุณแม่นะครับ อีกประการที่จำเป็นครับ คุณแม่ที่รู้ตัวเองว่ามีปริมาณน้ำนมมาก ควรนำถุงเก็บน้ำนมไปด้วยนะครับ อันนี้เพื่อความสบายของคุณแม่เอง แต่ผมไม่แนะนำให้เก็บเยอะในระหว่างการเดินทางนะครับ นมแม่สามารถอยู่ในอุณหภูมิห้องได้ดี 4-6 ชั่วโมง วันนี้เรามาเดินทางควรให้น้อยดื่มแต่พอควรนะครับ ไม่จำเป็นต้องนำกลับหรือหากล่องต่างๆมาแช่ไว้

            และสำหรับคุณแม่ที่ลูกน้อยดื่มนมผสมครับ ผมขอแนะนำให้คุณแม่เตรียมขวดนม และขวดน้ำ แต่พอดีครับ พกกระติกเก็บน้ำร้อนขนาดเล็ก 1 ใบจะเป็นการดี คุณแม่ต้องขยันล้างหน่อยครับ และลวกน้ำร้อนพอประมาณเพื่อเป็นการฆ่าเชื้อโรคครับ สิ่งสำคัญครับอย่าลืมน้ำยาล้างขวดนมนะครับ อันนี้ขาดไม่ได้ทีเดียวอย่าใช้ปนกับน้ำยาล้างจานของผู้ใหญ่นะครับ และสำหรับคุณพ่อ คุณแม่มือใหม่ที่ต้องการความสะดวก ผมแนะนำเป็น ถุงนึ่งขวดนมสำเร็จรูปครับ แวะจุดบริการหรือปั้มน้ำมัน นำเข้าไมโครเวฟก็สามารถใช้ได้ครับ ส่วนที่เหลือก็คือนมผงของลูกน้อยและแหละครับ คุณแม่ต้องกะประมาณให้เพียงพอแก่การเดินทางนะครับ

 

หมวดที่ 2 ชุดเสื้อผ้า

สำหรับสิ่งนี้ผมเชื่อครับว่าคุณพ่อ คุณแม่มือใหม่จะจัดเต็มสำหรับลูกน้อยเป็นแน่ ผมแนะแนะนำอย่างนี้ครับ ให้คุณพ่อคุณแม่คำนึงถึงกิจกรรมที่จะใช้ในการเดินทาง เลือกเสื้อผ้าให้เหมาะสมและเผื่อจำนวนไว้สักนิดนะครับ.

หมวดที่ 3 ผ้าอ้อมและอุปกรณ์สำหรับทำความสะอาด

หมวดนี้จะขาดไม่ได้นะครับ ผ้าอ้อมแผ่นยางรองเปลี่ยน หากคุณแม่จะต้องการความสะดวกและความสะอาด ผมขอแนะนำแผ่นรองซับสำหรับผู้ใหญ่ครับ มีหลายแบรนด์ในท้องตลาด ราคาไม่แพงครับ ใช้ในการรองเปลี่ยนผ้าอ้อมของลูกน้อยให้สถานที่สาธารณะได้เลยครับ สะดวก สะอาดแน่นอน ยังซึมซับได้ดีอีกด้วยครับ กระดาษทิชชู่เปียก สำหรับคุณแม่และคุณลูกนะครับ การเลือกนำผ้าอ้อมสำเร็จรูปก็เป็นสิ่งสำคัญครับ คุณแม่ต้องเลือกให้เหมาะกับกิจกรรมและช่วงเวลานะครับ

 

อ่านเรื่อง “จัดกระเป๋าพกพาของใช้ลูกเล็ก ฉบับประหยัดเงินในกระเป๋าพ่อแม่” คลิกหน้า 2

 

“ท้อง” แล้วยังออกกำลังกายได้หรือไม่ ?

Alternative Textaccount_circle
event

คุณหมอได้รับคำถามว่า “ก่อนท้องติดการออกกำลังกายมาก แต่พอท้องแล้วต้องหยุดไหมคะ” จากการทบทวนข้อมูลของคุณแม่ตั้งครรภ์ที่มีการออกกำลังกายต่อเนื่อง พบว่าการออกกำลังกายช่วยในเรื่องเหล่านี้ได้ดีมากคือ

  1. ช่วยลดอาการปวดหลังที่พบบ่อยมากขณะตั้งครรภ์ได้ชัดเจน เพราะกล้ามเนื้อมีความฟิตและยืดหยุ่นมากกว่าคุณแม่ที่ไม่เคยออกกำลังกายเลย
  2. ช่วยในการควบคุมน้ำหนักขณะตั้งครรภ์ ลดภาวะแทรกซ้อนของเบาหวานขณะตั้งครรภ์ได้ อีกทั้งยังทำให้ลูกในท้องไม่มีภาวะตัวโตเกินขนาดจนกลายเป็นเด็กอ้วน ที่สำคัญการออกกำลังกายในคุณแม่ตั้งครรภ์ปกติ ไม่ได้ทำให้ลูกตัวเล็กหรือเกิดการคลอดก่อนกำหนดแต่อย่างใด
ภาพ : Asian Science
ภาพ : Asian Science

ถึงแม้ว่าการออกกำลังกายจะมีประโยชน์ แต่ก็มีข้อควรระวังเช่นกัน นอกจากคุณแม่จะต้องระมัดระวังตัวขณะออกกำลังกายไม่ให้เกิดอุบัติเหตุหรือไม่ทำให้ท้องถูกกระแทกจนเกิดรกลอกตัวเป็นอันตรายกับชีวิตลูกได้แล้วหากคุณแม่มีภาวะดังต่อไปนี้ ก็ห้ามออกกำลังกายโดยเด็ดขาด

  1. ภาวะครรภ์เป็นพิษ เพราะขณะออกกำลังกาย คุณแม่จะมีความดันโลหิตสูงขึ้นซึ่งทำให้ครรภ์เป็นพิษแย่ลง จนอาจเกิดอาการชักได้
  2. เคยมีประวัติการคลอดบุตรก่อนกำหนดหรือตั้งครรภ์แฝด โดยเฉพาะช่วงไตรมาสที่สองและสาม
  3. คุณแม่ตั้งครรภ์ที่มีภาวะรกเกาะต่ำ ซึ่งการออกกำลังกายอาจจะทำให้เกิดเลือดออกทางช่องคลอด หากเลือดออกมากอาจจะทำให้ต้องยุติการตั้งครรภ์จนทำให้เด็กมีอันตรายถึงชีวิตได้
  4. คุณแม่ตั้งครรภ์ที่ลูกในท้องมีการเจริญเติบโตช้ากว่าปกติ มีน้ำหนักตัวน้อยกว่าเกณฑ์ ก็เข้าข่ายห้ามออกกำลังกาย เพราะขณะคุณแม่ออกกำลังกาย จะทำให้ออกซิเจนที่ส่งไปหาลูกลดลงชั่วขณะ จะยิ่งทำให้เด็กตัวเล็กลงไปอีก

ดังนั้นหากคุณแม่ที่ตั้งครรภ์แล้วมีความประสงค์จะออกกำลังกายต่อเนื่อง เพราะก่อนตั้งครรภ์เคยออกกำลังกายอยู่แล้ว ควรปรึกษาสูติแพทย์ให้ทำการตรวจคัดกรองให้แน่ใจว่าคุณแม่แข็งแรงพอจะออกกำลังกายได้อย่างปลอดภัย ด้วยการตรวจร่างกายอย่างละเอียด ซักประวัติถึงชนิดของการออกกำลังกาย ระยะเวลาที่ใช้ ความถี่ความหนักของชนิดของการออกกำลังกาย ประวัติในครอบครัวว่าเคยมีสมาชิกที่เป็นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบไหม ประวัติเกี่ยวกับกระดูกและกล้ามเนื้อว่าเคยมีการบาดเจ็บมาก่อนหรือไม่ ประวัติการใช้ยาชนิดต่างๆ  และประวัติด้านโรคปอดที่อาจจะทำให้เกิดการเหนื่อยง่ายกว่าปกติ เป็นต้น

     อ่านเรื่อง  ”  “ท้อง” แล้วยังออกกำลังกายได้หรือไม่ ?” คลิกหน้า 2

อาหารและภาชนะที่ห้ามนำเข้าไมโครเวฟ!

Alternative Textaccount_circle
event

เชื่อว่าคงมีคุณพ่อคุณแม่หลายคนที่ใช้ไมโครเวฟในการอุ่นอาหารให้ลูกน้อยหรืออาหารที่ตนเองทานแทบจะทุกชนิด สาเหตุก็เพราะว่ามันสะดวกกว่าการที่จะนำไปอุ่นบนเตาแก๊ส แถมยังใช้เวลาน้อย แค่เพียงเอาออกมาจากตู้เย็นหรือแกะจากถุงใส่ภาชนะเอาเข้าไมโครเวฟ ไม่กี่นาทีก็ได้อาหารร้อน ๆ มารับประทาน (more…)

ทำการบ้านแทนลูก

ทำการบ้านแทนลูก เตือน! ส่งผลกระทบต่อลูก

Alternative Textaccount_circle
event
ทำการบ้านแทนลูก
ทำการบ้านแทนลูก

จูดิธ ล็อค นักจิตวิทยาคลินิก จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีควีนส์แลนด์ รัฐควีนส์แลนด์ ประเทศออสเตรเลีย เผยแพร่งานวิจัยที่แสดงผลกระทบจากการที่พ่อแม่ ทำการบ้านแทนลูก พ่อแม่ที่รักลูกมากเกินไปจนยุ่งเกี่ยวกับการบ้านของลูก ชี้ว่าในที่สุดส่งผลกระทบต่อลูกน้อยเต็มๆ

(more…)

อยากให้ลูกฉลาด ต้องให้ลูก “เล่น”!

Alternative Textaccount_circle
event

ทราบไหมคะว่า…..การเล่นก็เป็นอีกกิจกรรมหนี่งที่ทำให้เด็กฉลาด?

หมอเคยถามคำถามนี้กับคุณพ่อคุณแม่หลายท่าน สิ่งที่ได้รับกลับมาคือ คิ้วที่ขมวดเข้าหากัน และแววตาเต็มไปด้วยความสงสัย  เลยอยากนำประโยชน์ของการเล่นที่ส่งผลต่อความฉลาดมาเล่าสู่กันฟังค่ะ

1. การเล่นช่วยฝึกการเรียนรู้

การเล่นทำให้เด็กๆ สนุกและมีความสุข คุณพ่อคุณแม่คงเคยได้ยินบ่อยๆ ว่า ในภาวะที่สมองผ่อนคลาย มีความสุข คนเราจะเรียนรู้ได้ดี จึงไม่ต้องแปลกใจค่ะที่คุณจะเห็นได้เลยว่า เด็กๆ นั้นมักจะจำคำศัพท์ใหม่ๆ จากการร้องเพลง เต้นรำ ได้ดีกว่าการมานั่งท่องศัพท์ หรือคัดลายมือ

อยากให้ลูกฉลาด ข้อดีของการเล่น ให้ลูกเล่น

2. การเล่นช่วยฝึกการแก้ปัญหา

การเล่นเป็นการเปิดโอกาสให้เด็กๆ เจอปัญหาต่างๆ เช่น เปิดกระปุกแป้งโดว์ไม่ออก พยายามจะวางบล็อคไม้ซ้อนๆ กันแต่ทำได้ไม่กี่อันก็หล่นทุกที  ซึ่งปัญหาเหล่านี้แหละค่ะ ที่เป็นวัตถุดิบสำคัญในการฝึกสมองของเด็ก ว่าเมื่อเจอปัญหานั้นๆ ในขณะที่เขายังอยากจะเล่นต่อไป เขาก็จำเป็นต้องแก้ไขและฟันฝ่าอุปสรรคเหล่านั้นให้ได้

หากผู้ใหญ่ไม่รีบกระโดดเข้าไปช่วย แต่คอยให้คำแนะนำและเฝ้าดูอยู่ใกล้ๆ (เหมือนพี่เลี้ยงนักมวยที่ยืนอยู่ตรงมุมเวที) เราอาจจะได้พบว่าลูกๆ ของเรานั้นมีศักยภาพในการแก้ปัญหาด้วยตัวเองมากกว่าที่เราเคยเข้าใจค่ะ

อ่านต่อ “ประโยชน์ข้อสุดท้ายของการเล่น” คลิกหน้า 2

banner300x250-1

ลูกดื้อมาก

ลูกวัยเตาะแตะเริ่มออกลาย เพราะกำลังท้าทายหรือแย่จริง?

event
ลูกดื้อมาก
ลูกดื้อมาก

จะให้พ่อแม่เข้าใจว่าอย่างไร เมื่ออยู่ดีๆ ลูกตัวน้อยแสนน่ารักที่เราดูแลกันมาใกล้ชิดกลับกลายเป็นเด็กที่มีพฤติกรรมแย่ๆ พอเข้าวัยเตาะแตะ ลูกดื้อมาก เดี๋ยวก็บงการคนนั้นคนนี้ จะมีวิธีการปราบเจ้าตัวร้ายอย่างไร ติดตามอ่านได้ที่บทความนี้ค่ะ

(more…)

สอนลูกให้รู้จักรอ ทำผิดแล้วแก้ สิ่งที่ต้องสอนลูก

อดทนรอคอย & ผิดแล้วรู้จักแก้ไข ต้องฝึกตั้งแต่ลูกยังเล็ก

Alternative Textaccount_circle
event
สอนลูกให้รู้จักรอ ทำผิดแล้วแก้ สิ่งที่ต้องสอนลูก
สอนลูกให้รู้จักรอ ทำผิดแล้วแก้ สิ่งที่ต้องสอนลูก

“เด็กเล็กๆ เขายังไม่รู้อะไรเป็นอะไร แต่ถ้าเราบอกผลของการกระทำ ถ้าอดทน รอคอย จะเกิดผลอะไร เมื่อทำผิดไม่ใช่เรื่องใหญ่ เขาหาวิธีแก้ไขได้ โดยหาสาเหตุความผิดพลาด ไม่ใช่หาคนทำผิด 

“การใช้ชีวิตประจำวัน อะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ พ่อแม่มักเข้าใจว่า เด็กจะรู้ได้เอง เมื่อโตขึ้น และมักจะดุลูกว่า ‘โตแล้วทำไมไม่รู้’ แต่ความจริงคือ เรื่องมารยาท สิ่งควรทำไม่ควรทำในชีวิตประจำวัน ถ้าเราไม่สอน ไม่ฝึก ไม่เน้น เด็กจะไม่มีเลย เพราะสมองไม่เคยเรียนรู้จดจำ หรือเราสอนเพียงเล็กๆ น้อยๆ แล้วคิดหวังว่า เด็กจะรู้ไปจนชั่วชีวิตก็ไม่ถูก และเป็นไปไม่ได้

สอนลูกให้รู้จักรอ ทำผิดแล้วแก้ สิ่งที่ต้องสอนลูก

ถ้าคุณพ่อคุณแม่เห็นด้วยกับ ดร.วสุนันท์ ชุ่มเชื้อ อาจารย์ประจำและผู้เชี่ยวชาญการส่งเสริมการพัฒนาสมองและกระบวนการรู้คิดในเด็ก สถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล คุณน่าจะสนใจวิธีบริหารสมองลูกด้านล่างนี้ค่ะ

2 เรื่องสำคัญ สมองต้องฝึกคิดแต่เล็กแต่น้อย

1. อดทน รอคอย ถ้าทำได้ ผลดีรออยู่

หลายบ้านมีปัญหาเสมอ เมื่อพาลูกไปกินอาหารนอกบ้าน เขาจะวิ่งรอบโต๊ะ เอาช้อนเคาะโต๊ะ เคาะแก้ว หรืออยู่ไม่นิ่ง

ฝึกสมองรู้คิดอย่างไรดี? แสดงให้ลูกเห็นว่าถ้าลูกรอได้ จะเกิดผลอะไร เช่น ได้อาหารที่เขาชอบมากขึ้นอีก 1-2 ชิ้น การได้รู้ผลที่เกิดขึ้นจะทำให้เขาชั่งใจว่าเขาจะทำหรือไม่ หรือระหว่างที่รอ การมอบหน้าที่จะทำให้รู้ว่าเขาควรจะทำอะไร เช่น ช่วยแจกช้อน เช็ดจาน หยิบกระดาษทิชชูหรือเทน้ำให้คนบนโต๊ะ

อ่านต่อ “วิธีฝึกทักษะ “ผิดแล้วรู้จักแก้ไข” ให้ลูก” คลิกหน้า 2

banner300x250-1

ของเล่นเสริมทักษะ หรืออุปกรณ์ไอทีต่างๆ จำเป็นสำหรับลูกแค่ไหน? อะไรคุ้มค่าเงินจริงๆ?

Alternative Textaccount_circle
event

อุปกรณ์ไอทีสำคัญต่อชีวิตและอนาคตของเด็กไทยแน่ๆ คำถามคือมีปัญญาจะใช้หรือเปล่า

คำว่า “มีปัญญา” หรือ “ไม่มีปัญญา” ไม่ได้หมายถึงความฉลาด  แต่ขึ้นกับทักษะ 2 ประการ คือ ทักษะเรียนรู้ (learning skills) และทักษะชีวิต (life skills)

ทักษะเรียนรู้ หมายถึง ความสามารถที่จะเรียนรู้ด้วยตนเอง  ก่อนหน้าจะเรียนรู้ด้วยตนเองยังมีเรื่องความอยากรู้ ความใฝ่รู้ ความกระตือรือร้นที่จะค้นหาคำตอบ ไปจนถึงได้คำตอบมาแล้วยังขี้สงสัยไม่เชื่อในทันที  ตามหาคำตอบที่สองต่อ

shutterstock_176364533

ซึ่งความอยากรู้และใฝ่รู้จะยากที่สุด  เด็กส่วนใหญ่ไม่ได้อยากรู้อะไรมากนักนอกจากเรื่องที่ต้องสอบ  ไม่ใฝ่รู้มากไปกว่าเรื่องที่ครูติว  หลายครั้งที่สงสัยอะไรบางอย่างวาบขึ้นมาในใจก็ไม่กระตือรือร้นมากพอที่จะลุกไปเปิดหนังสือหรือเปิดคอมพิวเตอร์หาคำตอบ  อ่านข่าวหรือฟังข่าวอะไรก็เชื่อตามกันไปหมดโดยไม่มีแม้กระทั่งความคิดที่จะ “ไม่เชื่อ” การศึกษาแบบของบ้านเราทำลายทั้งหมดนี้มาเรื่อยๆ ตั้งแต่เตรียมอนุบาล  ดังนั้นยื่นสมาร์ทโฟนที่ดีที่สุดให้เขาก็ไม่ได้อยากเรียนรู้อะไร

อ่านต่อ “ทักษะชีวิต หมายถึงอะไร” คลิกหน้า 2

banner300x250-1

เคล็ดลับดูแลผิวที่บอบบางของลูกน้อย ไร้ผดผื่นห่างไกลภูมิแพ้

Alternative Textaccount_circle
event

คุณพ่อคุณแม่ทราบหรือไม่ว่า…ธรรมชาติผิวของลูกน้อยบอบบางกว่าผิวของผู้ใหญ่ถึง 5 เท่า เพราะโครงสร้างชั้นผิวของเด็กยังพัฒนาไม่เต็มที่ ยังขาดไขมันที่จำเป็น แถมผิวของลูกน้อยยังมีต่อมเหงื่อและต่อมไขมันน้อยกว่าผู้ใหญ่ด้วย จึงไม่น่าแปลกใจที่ลูกน้อยจะมีผิวที่แห้งง่าย

  • สิ่งสำคัญที่คุณพ่อคุณแม่ควรใส่ใจมากที่สุดในการดูแลและปกป้องผิวของลูกน้อยคือ การดูแลผิวที่บอบบางและรับมือกับผดผื่นคันต่างๆ รวมถึงปกป้องผิวของลูกน้อยที่อาจจะแพ้และระคายเคืองได้ง่าย

การดูแลผิวพรรณเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน คุณพ่อคุณแม่จึงควรตระหนัก และทำความเข้าใจ และเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ทุกอย่างที่ต้องสัมผัสกับผิวลูกอย่างพิถีพิถัน เพราะผิวที่สุขภาพดีเป็นอีกหนึ่งปัจจัยในการส่งเสริมพัฒนาการที่ดี ช่วยให้ลูกอารมณ์ดี และสมาธิดี และพร้อมในการเรียนรู้ สิ่งใหม่ ๆ และมีพัฒนาการที่ดีสมวัย

ผดผื่นคัน ของผิวลูกน้อยถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา เป็นเรื่องที่คุณพ่อคุณแม่ต้องพบเจออยู่เสมอกับผดผื่นคันบนผิวของลูกน้อยดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ต้องหาวิธีป้องกันผดผื่นคันเพื่อไม่ให้ผิวลูกน้อยระคายเคืองไปมากกว่า…

shutterstock_98703734

การดูแลผิวลูก ไร้ผดผื่นและปกป้องผิวลูกจากอาการแพ้ ระคายเคือง

  • ทำความสะอาดของใช้ของลูกสม่ำเสมอ เช่น นำหมอน ผ้าห่มตากแดด หรือล้างภาชนะ ของใช้ให้สะอาด
  • ทำความสะอาดร่างกายลูกให้หมดจด เช่น ล้างสบู่ แชมพูออกให้หมด และเช็ดตัวให้แห้ง ไม่ควรปล่อยให้น้ำเกาะตัวลูกนาน ๆ หรือปล่อยให้ลูกผิวแห้ง
  • หลีกเลี่ยงการให้ลูกสัมผัสหรืออยู่ในสภาพแวดล้อมที่ทำให้ผิวเกิดอาการแพ้ ระคายเคือง เช่น ในที่มีฝุ่นควันเยอะ ๆ หรือไม่ให้ทานอาหารที่ทำให้เกิดอาการแพ้
  • ควรเลือกใช้เสื้อผ้าและผ้าอ้อมที่ระบายอากาศได้ดี เช่น ผ้าที่ทำจากผ้าฝ้าย และเมื่อลูกปัสสาวะก็ควรรีบเปลี่ยนผ้าอ้อมทันที ถ้าใช้ผ้าอ้อมสำเร็จรูป ควรเลือกซื้อชนิดที่ซึมซับได้มากเป็นพิเศษ และหมั่นเปลี่ยนผ้าอ้อมบ่อยๆ อย่าใส่ผ้าอ้อมให้รัดแน่นเกินไป เพราะจะทำให้อากาศไม่ถ่ายเทและกดทับผิวลูกจนเกิดการระคายเคือง
  • เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวลูกที่ช่วยลดอาการคัน ระคายเคือง และให้ความชุ่มชื้นสูง ซึ่งควรเป็นผลิตภัณฑ์ที่ผลิตจากสารสกัดจากธรรมชาติ ไม่มีส่วนผสมของน้ำหอมที่ทำให้เกิดอาการแพ้ อ่อนโยนต่อผิว และแม้ผิวลูกจะหายจากอาการแพ้ต่าง ๆ แล้วก็ควรทาผลิตภัณฑ์ดูแลผิวอย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยให้ผิวชุ่มชื่นและแข็งแรงขึ้น มีสุขภาพผิวดี ซึ่งจะช่วยลดโอกาสการเกิดผื่นภูมิแพ้ในอนาคตได้
  • การใช้แป้งช่วยให้ผิวลูกแห้งสบายมากขึ้น การใช้แป้งจะช่วยให้ผิวลูกแห้งสบาย และช่วยผดผื่นที่เกิดจากความเปียกชื้นหรือเหงื่อ
  • การทาแป้งอย่างถูกวิธีไม่ควรทาแป้งโดยตรงที่ตัวลูก แต่ควรเทใส่ฝ่ามือแล้วลูบเบาๆ ไปบนตัวลูกจะช่วยลดการกระจายของฝุ่นได้ ก็ไม่ต้องกลัวลูกจะระคายเคือง ให้ผิวนุ่ม สบายตัวค่ะ

13600

(พื้นที่นี้สำหรับการโฆษณาและประชาสัมพันธ์)

เทคนิคเลือกแป้งเด็ก เพื่อดูแลผิวแห้งสบาย ไร้ผดผื่น ไม่ต้องกลัว (ภูมิ) แพ้

  • เลือกใช้แป้งเด็กที่ไม่ก่อให้เกิดการแพ้ คุณแม่ควรเลือกแป้งเด็กที่ผ่านการทดสอบทางการแพทย์ หรือ*ไฮโป-อัลเลอร์เจนิก ที่ปลอดภัยอ่อนโยนต่อผิวลูก สามารถใช้กับเด็กแรกเกิดได้โดยไม่ก่อให้เกิดการแพ้ หรือระคายเคืองกับผิว  
  • เลือกใช้แป้งเด็กมีคุณสมบัติช่วยลดผดผื่น อย่างแคร์ฮาย-ขมิ้น ที่จะช่วยลดผดผื่น ที่เกิดจากความเปียกชื้น โดยทาแป้งบางๆ ให้ทั่วตัวลูก เพื่อช่วยให้ผิวลูกแห้งสบายยิ่งขึ้น เพราะผดผื่นของเด็กเล็กๆ มักจะเกิดจากความเปียกชื้น หรือเหงื่อที่ออกมาตามผิวหนังเป็นส่วนใหญ่…แป้งที่ดีและปลอดภัยจะมีคุณสมบัติที่ช่วยให้ผิวลูกแห้ง และสามารถป้องกันความเปียกชื้นที่ผิวลูกได้ เพื่อลูกน้อยสบายตัวได้ตลอดวัน แต่ไม่ควรทาแป้งบริเวณข้อพับ บริเวณสะดือ จุดซ่อนเร้น และระมัดระวังไม่ให้แป้งเข้าปาก หรือจมูกของลูก
  • เลือกใช้แป้งที่ไม่มีกลิ่นน้ำหอมฉุน แต่ควรมีกลิ่นที่อ่อนโยนสำหรับเด็ก เพื่อให้ลูกรู้สึกสดชื่น ตื่นตัว อารมณ์ดี กระตุ้นประสาทสัมผัสลูกให้ทำงานได้อย่างเต็มที่
  • เลือกใช้แป้งที่มีส่วนผสมจากจากธรรมชาติ ผ่านการทดสอบจากสถาบันที่น่าเชื่อถือแล้วว่าปลอดภัย สามารถใช้ได้ในเด็กและทารก

เพียงแค่นี้กับเคล็ดลับง่ายๆ ในการดูแลผิวที่บอบบางของลูกน้อยให้แห้งสบายห่างไกลจากผดผื่น ให้คุณแม่วางใจและไม่ต้องกังวลกับผดผื่นและความอับชื้นของลูกน้อยอีกต่อไปค่ะ

*ช่วยป้องกันและลดผดผื่นที่เกิดจากความเปียกชื้น เพิ่มสารสกัดธรรมชาติจากขมิ้น ผ่านการทดสอบไฮโป-อัลเลอร์เจนิก ทางการแพทย์ผิวหนังประเทศสหรัฐอเมริกาแล้วว่าเป็นสูตรที่อ่อนโยน กลิ่นหอมอ่อนโยน ไม่มีน้ำหอมฉุน

AW_Care FloorWarp_C_Final

ขอบคุณข้อมูลจาก: ผลิตภัณฑ์ Care

ลูกถูกลักพาตัวในที่ทำงาน

ลูกถูกลักพาตัวในที่ทำงาน พ่อแม่ควรระวังสถานที่คุ้นเคย และคนใกล้ตัว

Alternative Textaccount_circle
event
ลูกถูกลักพาตัวในที่ทำงาน
ลูกถูกลักพาตัวในที่ทำงาน

ข้อมูลจาก Facebook Fanpage มูลนิธิกระจกเงา แจ้งว่า ข้อมูลเด็กหายรายล่าสุด พบคนร้ายในที่ทำงานของคุณแม่ ซึ่งคุณแม่ทำงานในห้างสรรพสินค้า ด้วยความเคยชิน จึงปล่อยให้ลูกน้อยวิ่งเล่นไปทั่วห้างสรรพสินค้าแต่เพียงลำพัง เพราะความคุ้นชินทำให้ ลูกถูกลักพาตัวในที่ทำงาน ได้ง่ายๆ

(more…)

ตู้ยาสามัญประจำบ้านสำหรับลูกน้อยต้องมีอะไรบ้าง?

Alternative Textaccount_circle
event

สำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่มีลูกเล็ก ๆ เวลาที่ลูกเจ็บไข้ได้ป่วย ไม่สบาย คนเป็นพ่อเป็นแม่แทบอยากจะป่วยแทนลูก ยิ่งเป็นลูกคนแรกด้วยแล้ว คุณพ่อคุณแม่บางคนถึงกับทำอะไรไม่ถูก ซึ่งหากรู้ว่าลูกเริ่มมีอาการเจ็บป่วย ไม่สบายตัว หากพ่อแม่ได้เลี้ยงลูกเองจะเป็นผู้สังเกตอาการได้ดีที่สุด และอาจให้ยาเพื่อรักษาอาการเบื้องต้นของลูกได้ ก่อนที่จำเป็นจะต้องไปพบแพทย์ (more…)

แพทย์ชี้..’ออทิสติก’ เกิดขึ้นเอง ไม่ได้มาจากทีวี แท็บเล็ต หรือการเลี้ยงดู

Alternative Textaccount_circle
event

หากคุณกังวลว่าลูกจะเป็นออทิสติกเพราะ “ทีวี” หรือ “แท็บเล็ต” นั้นก็วางใจได้เลยค่ะว่าไม่ใช่แน่นอน  การแพทย์ปัจจุบันทราบเพียงว่าออทิสติกมีอาการอย่างไร  แต่ระบุสาเหตุไม่ได้อยู่ดีว่ามาจากกรรมพันธุ์หรือการเลี้ยงดู  แต่ทางหลักจิตวิทยา “ออทิสติก” เป็นอาการที่เกิดขึ้นเอง

แต่ก็ไม่ใช่วา “ทีวี” และ “แท็บเล็ต” จะปลอดภัยหายห่วง 100%  เพราะพัฒนาการจากสิ่งรอบตัวมากกว่า 2 อย่างนี้ย่อมให้ผลที่ดีกว่าสำหรับลูกเสมอ  มาฟังแง่คิดดีๆ จากคุณหมอประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์กันค่ะ

adhd-diagnoses-jump-43-percent-raising-concern-about-screen-habits-and-drug-therapy-1449873580

ทำความเข้าใจ “ออทิสติก” กับ “อุปกรณ์หน้าจอ”

  • “ออทิสติก” ไม่ได้เกิดจากการเลี้ยงดู ไม่ได้เกิดจากการดูทีวีและไม่ได้เกิดจากการเล่นแท็บเล็ต
  • “ออทิสติก” เกิดเอง ไม่รู้สาเหตุ
  • การดูทีวีก่อน 2 ขวบ ถือเป็นข้อห้าม อาจจะนำโรคที่เกี่ยวข้องกับพัฒนาการบางชนิดมาให้ แม้จะไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจนแต่คำเตือนนี้ชัดเจน
  • การดูจอทุกชนิดก่อน 2 ขวบ แม้ว่าจะยังไม่มีคำเตือนที่ชัดเจนเท่าทีวี แต่ไม่ควรเช่นกัน
  • การดูทีวีและจอทุกชนิดหลัง 2 ขวบ ควรดูน้อยที่สุด จนกว่าพัฒนาการส่วนบุคคลจะพร้อมทุกด้าน นั่นคือประมาณ 6 – 7 ขวบ  เครื่องมือเสริมพัฒนาการที่ดีที่สุดคือการเล่นอย่างเสรีในสนาม
  • แม้ว่าจะไม่มีข้อมูลพิสูจน์ว่า “โรคสมาธิสั้น (ADHD)  เกิดจากการดูทีวีหรือหน้าจอต่างๆ มากเกินไป แต่ “สภาวะ” เหม่อลอย อยู่ไม่นิ่ง ใช้ภาษาเพื่อการสื่อสารไม่ได้ (แต่ท่องศัพท์  พูดโฆษณา หรือร้องเพลงได้) เหล่านี้มีความสัมพันธืกับการดูทีวีหรือหน้าจออื่นมากเกินไป
    • เกิดจากการเปลี่ยนภาพที่รวดเร็วในทีวีหรือหน้าจอมีการตอบสนองตลอดเวลาในแท็บเล็ต ระบบประสาทฟอร์มตัวไม่ปกติ
    • เกิดจากการขาดปฏิสัมพันธ์กับพ่อแม่หรือคนจริงๆ อื่นๆ
  • อะไรที่เห็นว่าดูเหมือนฉลาดจากทีวีหรือแท็บเล็ต ดูดีเท่านั้น แต่ไม่มีประโยชน์อะไร พัฒนาการอื่นๆ สำคัญกว่ามาก อะไรที่เราเห็นว่าเด็กดูคล้ายจะเร็วในตอนแรก เดกคนอื่นๆ ที่เล่นในสนาม ระบายสี ทำงานบ้านกับพ่อแม่ และฟังพ่อแม่อ่านหนังสือนิทานก่อนนอน จะรู้เท่ากัน มากกว่า และนำไปใช้ประโยชน์เพื่อชีวิตตนเองได้ดีกว่าในวันหน้าเสมอ

วันหนึ่ง คือประมาณ  6 – 7 ขวบ เมื่อเด็กเป็นคนจริงๆ แล้ว ฝึกห้เขามีวินัยในตนเองเขาจะมีทักษะไอทีที่ดีและควบคุมและใช้ไอทีเป็น

banner300x250

 

 

ที่มาจาก : นพ.ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ จิตแพทย์แผนกจิตเวช โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์
ภาพ : asianscientist

[Baby&Kids Easy Steps] แมลงเข้าหู

Alternative Textaccount_circle
event

หูเป็นอวัยวะที่บอบบาง  หากมีสิ่งแปลกปลอมเข้าไปในหูลูกน้อย  ไม่ควรใช้ไม้หรือที่คีบเขี่ยออกแม้จะมองเห็น  เพราะอาจทำให้แมลงหนีเข้าไปลึกขึ้นหรือทำให้เกิดบาดแผลได้  นอกจากนี้เมื่อแมลงเข้าหู  ลูกมักมีอาการปวด  คุณพ่อคุณแม่ควรปลอบและอธิบายวิธีการช่วยเหลือก่อน  เพื่อให้เขาให้ความร่วมมือ  ก่อนเริ่มปฐมพยาบาลตามขั้นตอนต่อไปนี้

ant

วิธีปฐมพยาบาลเมื่อแมลงเข้าหูเด็ก

  • ให้ลูกนั่งเอียงคอด้านที่แมลงเข้าหูขึ้น
  • จากนั้นคุณแม่ค่อยๆ หยอดน้ำสะอาดอุณหภูมิห้องลงไปทีละน้อยอย่างช้าๆ ประมาณ 2 cc. จนแมลงลอยและไหลออกมา
  • ถ้าไม่พบว่ามแมลงไหลออกมากับน้ำ ให้พาลูกน้อยมาพบแพทย์

ant2

 

Don’t !หลายคนอาจแนะนำให้คุณแม่ใช้น้ำมันมะกอกหยอดหูลูกน้อย  แต่เด็กบางคนอาจมีปัญหาในแก้วหูอยู่แล้ว  การใช้น้ำมันจึงมีความเสี่ยงที่อาจทำให้เกิดการติดเชื้อตามมา

ที่มาจาก : กองบรรณาธิการ

 

เรื่องที่เกี่ยวข้อง :

https://www.amarinbabyandkids.com/baby-toddler/baby-ages-0-1/ear-2/

https://www.amarinbabyandkids.com/abk-fair/care/ear-danger/

keyboard_arrow_up