รู้หรือไม่? เสริมสร้าง ภูมิคุ้มกัน ตั้งแต่วันแรกให้ลูกน้อยได้ด้วยนมแม่

event

วินาทีที่ลูกน้อยลืมตาดูโลก ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของคุณแม่ที่จะต้องปกป้องและให้การดูแลลูกน้อยอย่างสุดความสามารถ การให้ลูกได้รับนมแม่ตั้งแต่วันแรก จะทำให้ลูกได้รับประโยชน์จากสารอาหารที่อุดมสมบูรณ์ จำเป็นต่อการเจริญเติบโตตามวัย และที่สำคัญคือในนมแม่ยังมีสารอาหารที่ช่วยส่งเสริมระบบภูมิคุ้มกันให้กับลูกน้อย จึงช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดภูมิแพ้ของลูกน้อยได้อีกด้วย

สามารถเช็คความเสี่ยงภูมิแพ้ได้ที่ https://www.s-momclub.com/baby-allergies 

นมแม่คืออาหารที่ดีที่สุดสำหรับลูก ที่ลูกควรได้รับตั้งแต่วันแรกที่ลืมตาดูโลก เป็นอาหารที่สำคัญสำหรับทารกแรกเกิด เด็กควรได้กินนมแม่เพียงอย่างเดียวในช่วง 6 เดือนแรก หรือนานที่สุดเท่าที่ทำได้ เนื่องจากนมแม่มีคุณสมบัติ hypoallergenic (H.A.) ช่วยลดความเสี่ยงของโรคภูมิแพ้ นอกจากนี้ การที่คุณแม่ให้นมลูกน้อยตั้งแต่วันแรก ยังช่วยกระตุ้นการเผาผลาญ มีส่วนช่วยให้มดลูกเข้าอู่เร็ว ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคร้ายบางอย่าง เช่น มะเร็งเต้านม และยังช่วยให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนแห่งความสุขระหว่างการให้นม ช่วยเสริมสร้างสายใยแห่งความรัก ความผูกพันระหว่างแม่ลูกอีกด้วย

นมแม่อุดมไปด้วยสารอาหารหลากหลายมากกว่า 200 ชนิด รวมไปถึงการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ลูกแข็งแรง ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคภูมิแพ้ในเด็ก ซึ่งเป็นเด็กไทยเสี่ยงเป็นโรคภูมิแพ้กว่า 50% ทั้งจากการถ่ายทอดทางพันธุกรรม รวมถึงปัจจัยกระตุ้นให้โรครุนแรงขึ้นจากสิ่งแวดล้อม เช่น ฝุ่น PM 2.5 หรือฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน ที่สามารถแทรกซึมเข้าไปในถุงลมและดูดซึมสู่กระแสเลือด นำมาซึ่งอันตรายต่อระบบทางเดินหายใจ  ทั้งหมดนี้จึงเป็นองค์ประกอบของการเกิดโรคภูมิแพ้และปัจจัยที่กระตุ้นให้โรคภูมิแพ้มีอาการหนักขึ้น

การให้นมแม่อย่างน้อย 6 เดือน หรือนานที่สุดเท่าที่จะทำได้ จะช่วยให้คุณแม่สามารถป้องกันภูมิแพ้ในเด็กได้ด้วย เนื่องจากนมแม่มีคุณสมบัติ hypoallergenic (H.A.) ที่ช่วยลดความเสี่ยงของโรคภูมิแพ้ ซึ่งโปรตีนในนมแม่บางส่วน ถูกย่อยให้มีขนาดเล็กลงด้วยเอ็นไซม์ตามธรรมชาติ (PHP หรือ Partially Hydrolyzed Proteins) ซึ่งทำให้ย่อยง่ายและไม่ระคายเคืองต่อระบบย่อยอาหารของทารก รวมถึงมีพรีไบโอติกโอลิโกแซคคาไรด์ ใยอาหารจากนมแม่ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน และลดความเสี่ยงการติดเชื้อ โดยในนมแม่มีกลุ่มใยอาหารหลัก ซึ่งมีใยอาหาร 5 ชนิด (5 HMO) ที่พบมากในกลุ่มนี้ ได้แก่ 2′-FL, DFL, LNT, 6′-SL, และ 3′-SL โดยใยอาหารที่พบในนมแม่มีส่วนช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน อีกทั้งยังมีจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์มากมาย เช่น บีแล็กทิส (B. lactis) หนึ่งในโพรไบโอติกที่มีส่วนช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันและลดความเสี่ยงของการเกิดภูมิแพ้

คุณแม่เองก็สามารถลดความเสี่ยงของภูมิแพ้ในเด็ก และสร้างภูมิคุ้มกันให้ลูกได้ตั้งแต่วันแรกด้วยนมแม่ที่อุดมไปด้วยสารอาหารสำคัญมากมาย เพื่อวางรากฐานอันมั่นคง ให้ลูกเติบโตอย่างแข็งแรง พร้อมก้าวไปสู่อนาคตได้อย่างสดใส

หากคุณพ่อคุณแม่สนใจข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ สารอาหารในนมแม่ที่มีประโยชน์และมีบทบาทต่อสุขภาพและพัฒนาการของลูกน้อย เข้าชมได้ที่ S-Mom Club ที่เว็บไซต์ https://www.s-momclub.com/ สามารถสมัครสมาชิกเพื่อปรึกษาทีมพยาบาลผู้เชี่ยวชาญได้ฟรีตลอด 24 ชั่วโมงเลยนะคะ หรือสามารถปรึกษา-พูดคุยเกี่ยวกับสุขภาพโภชนาการและพัฒนาการสำหรับคุณแม่และลูกน้อยตามช่วงวัย โดยทีมพยาบาลผู้เชี่ยวชาญ ตลอด 24 ชั่วโมง ได้ที่ Line: https://line.me/ti/g2/sTaGOaX-BDVbUWvjiMlyM6OHPMC5PNssEhw_Sw?utm_source=invitation&utm_medium=link_copy&utm_campaign=default 

Reference

  1. Bergmann RL, et al. Clin Exp Allergy 1997:27:752-760
  2. Chad Z. Paediatr Child Health 2001:6(8):555-566.
  3. Hill DA and Spergel JM. Ann Allergy Asthma Immunol 2018;120:131-137.
  4. เข้าใจโรคภูมิแพ้ – BNH HOSPITAL
  5. (ch9airport.com)
  6. Ngamphaiboon, Jarungchit & Tansupapol, Chanyarat & Chatchatee, Pantipa. (2009). Atopic risk score for allergy prevention. Asian biomedicine.

มหัศจรรย์นมแม่ ปกป้องลูกน้อยจาก ภูมิแพ้ ได้ตั้งแต่ขวบปีแรก

event

โรคภูมิแพ้ในเด็กถือเป็นโรคที่น่ากังวลในปัจจุบัน เพราะโรค ภูมิแพ้ ในเด็กเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นพันธุกรรม สภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยมลพิษ รวมไปถึงรูปแบบการใช้ชีวิต นั่นจึงทำให้เราสามารถพบเด็กไทยเสี่ยงเป็นโรคภูมิแพ้สูงถึงราวร้อยละ 50  การป้องกันไม่ให้ลูกเป็นภูมิแพ้ในช่วงขวบปีแรกจึงเป็นเรื่องที่คุณพ่อคุณแม่ควรให้ความสำคัญ และวิธีป้องกันภูมิแพ้ในทารกที่ดีที่สุดคือการให้นมแม่ที่มีคุณสมบัติ ‘H.A.’ (hypoallergenic) ช่วยลดความเสี่ยงของโรคภูมิแพ้ และมีสารอาหารหลากหลายมากกว่า 200 ชนิด

โรคภูมิแพ้ในเด็ก อาจสังเกตเบื้องต้นได้จากอาการผื่น, ลมพิษ, บวมแดง, คันตามผิวหนัง, คันหรือเคืองตา, หนังตาบวม,  หรือมีอาการแพ้อาหาร อาเจียน, และหอบหืด ซึ่งเป็นรูปแบบของ Allergic March หรือ ลูกโซ่ภูมิแพ้ได้

Allergic March หรือ ลูกโซ่ภูมิแพ้ คือ กระบวนการที่โรคภูมิแพ้ในเด็กพัฒนาต่อเนื่องจากภูมิแพ้ชนิดหนึ่งไปเป็นอีกชนิดหนึ่ง โดยอาจเริ่มจากการแพ้อาหารในเด็กเล็ก ซึ่งมักเกิดก่อนอายุ 1 ขวบ หรือโรคภูมิแพ้ผิวหนังอักเสบ ซึ่งอาจพบได้ตั้งแต่ช่วงเดือนแรกๆ ตามมาด้วยโรคภูมิแพ้ทางระบบทางเดินหายใจ ได้แก่ ภูมิแพ้จมูกและเยื่อบุตาอักเสบและโรคหอบหืด ซึ่งมักพบตั้งแต่อายุ 1-2 ปีขึ้นไป พบมากในช่วงวัยเข้าโรงเรียนจนถึงวัยผู้ใหญ่ ดังนั้น ควรให้ความสำคัญและ ป้องกันไม่ให้ลูกเป็นภูมิแพ้ในช่วงขวบปีแรก

คุณแม่สามารถป้องกันภูมิแพ้ในทารกได้ด้วยการให้นมแม่เพียงอย่างเดียวอย่างน้อย 6 เดือน หรือนานที่สุดเท่าที่จะสามารถทำได้ เพราะนมแม่มีคุณสมบัติ hypoallergenic (H.A.) ที่ช่วยลดความเสี่ยงของโรคภูมิแพ้และมีสารอาหารหลากหลายมากกว่า 200 ชนิด โดยโปรตีนในนมแม่บางส่วนจะถูกย่อยให้มีขนาดเล็กลง เรียกว่า Partially Hydrolyzed Proteins (PHP) ซึ่งง่ายต่อการดูดซึมและลดความเสี่ยงต่อเกิดอาการแพ้อีกด้วย และนมแม่ยังมีพรีไบโอติกโอลิโกแซคคาไรด์ ใยอาหารจากนมแม่ (human milk oligosaccharides) ที่ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน และลดความเสี่ยงการติดเชื้อ โดยใยอาหาร 5 ชนิด (5 HMO) ที่พบมากในกลุ่มนี้ ได้แก่ 2′-FL, DFL, LNT, 6′-SL, และ 3′-SL นอกจากนี้นมแม่ยังมีโพรไบโอติกหลากหลายชนิด เช่น B. lactis (บีแล็กทิส) ซึ่งเป็นหนึ่งในสายพันธุ์ที่มีส่วนช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันและลดความเสี่ยงของการเกิดภูมิแพ้

นมแม่จึงเรียกได้ว่าเป็นอาหารที่ดีที่สุดสำหรับลูก อุดมไปด้วยสารอาหารพร้อมคุณประโยชน์ที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโต และช่วยลดความเสี่ยงของโรค ภูมิแพ้ ในเด็กได้อีกด้วย เพราะการเริ่มต้นที่ดีคือรากฐานที่สำคัญไปสู่อนาคตของลูก เริ่มต้นดูแลสุขภาพของลูกตั้งแต่แรกเกิด เพื่อให้ลูกเติบโตไปอย่างแข็งแรงนะคะ

หากคุณพ่อคุณแม่สนใจข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ สารอาหารในนมแม่ที่มีประโยชน์และมีบทบาทต่อสุขภาพและพัฒนาการของลูกน้อย เข้าชมได้ที่ S-Mom Club ที่เว็บไซต์  https://www.s-momclub.com/
สามารถสมัครสมาชิกเพื่อปรึกษาทีมพยาบาลผู้เชี่ยวชาญได้ฟรีตลอด 24 ชั่วโมงเลยนะคะ หรือสามารถปรึกษา-พูดคุยเกี่ยวกับสุขภาพโภชนาการและพัฒนาการสำหรับคุณแม่และลูกน้อยตามช่วงวัย โดยทีมพยาบาลผู้เชี่ยวชาญ ตลอด 24 ชั่วโมง ได้ที่ 
Line : https://line.me/ti/g2/sTaGOaX-BDVbUWvjiMlyM6OHPMC5PNssEhw_Sw?utm_source=invitation&utm_medium=link_copy&utm_campaign=default  

สามารถเช็คความเสี่ยง ภูมิแพ้ ได้ที่ https://www.s-momclub.com/baby-allergies 

Reference

  1. Bergmann RL, et al. Clin Exp Allergy 1997:27:752-760
  2. Chad Z. Paediatr Child Health 2001:6(8):555-566.
  3. Hill DA and Spergel JM. Ann Allergy Asthma Immunol 2018;120:131-137.
  4. เข้าใจโรคภูมิแพ้ – BNH HOSPITAL
  5. (ch9airport.com)
  6. Ngamphaiboon, Jarungchit & Tansupapol, Chanyarat & Chatchatee, Pantipa. (2009). Atopic risk score for allergy prevention. Asian biomedicine.

โรงเรียนทอรัก

โรงเรียนทอรัก โรงเรียนที่ไม่เร่งเด็ก และเรียนรู้อย่างมีความสุข

event
โรงเรียนทอรัก
โรงเรียนทอรัก

School Visit วันนี้ จะพามาเยี่ยมชมโรงเรียนทางเลือกหนึ่งย่านสมุทรปราการ ที่มีชื่อว่า “โรงเรียนทอรัก” เป็นโรงเรียนที่เป็นบ้านหลังที่ 2 ของเด็ก ๆ เป็นโรงเรียนที่คุณพ่อคุณแม่หลาย ๆ คนใฝ่ฝันและอยากให้ลูกมาเรียน ถ้าอยากรู้ว่าโรงเรียนหลักสูตรเป็นอย่างไร วันนี้เราจะพาไปเจาะลึกทุกแง่ทุกมุมกันค่ะ

ประสบการ์ณยาวนานกว่า 27 ปี

โรงเรียนอนุบาลทอรัก เป็นโรงเรียนทางเลือก ที่เปิดทำการสอนมายาวนานกว่า 27 ปี  ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2540 บนเนื้อที่กว่า 2  ไร่  ย่านสมุทรปราการ  โดยช่วงแรกเปิดสอนเฉพาะระดับชั้นอนุบาล การเรียนการสอนในรูปแบบภาษาธรรมชาติ ( Whole Language Approach ) ที่ยึดเด็กเป็นศูนย์กลาง ( Child Centered ) ต่อมาได้ขยายหลักสูตรและชั้นเรียนในระดับประถมศึกษาเพิ่มขึ้นในปี พ.ศ. 2543  โดยใช้แนวการเรียนการสอนแบบโครงการ ( Project Approach ) และการเรียนการสอนเป็นธีม (Thematic Approach)  เป็นโรงเรียนที่ให้ความสำคัญด้านจิตใจของเด็ก ๆ  และเน้นการปลูกฝังมากกว่าการหวังผลลัพธ์ระยะสั้น การเรียนรู้ของเด็กต้องมาจากความรักและความเมตตาของครูผู้สอน ที่นี่เด็ก ๆ จะเรียนอย่างมีความสุข สนุก รู้สึกปลอดภัย และรักที่จะมาโรงเรียน

บรรยากาศด้านหน้าโรงเรียน ร่มรื่นมาก ๆ

แนวคิด “เด็กเก่งไม่ต้องเร่ง”

ผู้ปกครองส่วนใหญ่ในปัจจุบัน พยายามที่จะเร่งเรียนให้ลูก ๆ ตั้งแต่เล็ก เด็กบางคนต้องเรียนพิเศษทุกเย็น หรือทุกวันเสาร์-อาทิตย์  เพื่อให้เด็กสามารถสอบได้คะแนนสูง  แนวคิดนี้ส่งผลให้ระบบการศึกษาไทยทั้งระบบโดยพุ่งเป้าไปที่ “การสอบ” และมีความคิดว่าเด็กที่มีผลการเรียนดี  จะประสบความสำเร็จและเป็นเด็กเก่ง ซึ่งจริง ๆ แล้ว การสอบได้คะแนนสูง เป็นเพียงแค่องค์ประกอบเล็ก ๆ ในการดำเนินชีวิต และการเรียนเก่งก็ไม่ได้การันตีว่า เด็กคนนั้นจะประสบความสำเร็จในชีวิตเสมอไป

ที่ โรงเรียนทอรัก เน้นสร้างเด็กให้เก่งโดยไม่ต้องเร่งเรียน ให้เด็กเรียนรู้ตามธรรมชาติ เป็นแนวความคิดของ ครูเชฐ พิเชฐ​ โพธิ์ศรีประเสริฐ ( ผู้ก่อตั้งโรงเรียนทอรัก) เครือข่ายเด็กเก่งไม่ต้องเร่งนั้น มีจุดประสงค์ที่จะเปลี่ยนแปลงค่านิยมของ ผู้ปกครอง  จากเดิมที่มุ่งเน้นการประเมินผลเด็กจากคะแนนสอบเพียงอย่างเดียว  ให้มาเป็นการประเมินผลเด็กจากพัฒนาการทั้ง 4 ด้าน  คือ สังคม อารมณ์-จิตใจ สติปัญญา และร่างกาย  ด้วยแนวคิดที่ว่า เด็กจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ประสบความสำเร็จหรือเป็นคนเก่งต่อไปนั้น  จะต้องมาจากรากฐานการเรียนรู้อย่างมีความสุขซึ่งจะนำไปสู่  “ การเรียนรู้อย่างต่อเนื่องและตลอดชีวิต”

วัยอนุบาล กับ ภาษาธรรมชาติ ( Whole Language Approach )

โรงเรียนทอรักใช้หลักสูตร ภาษาธรรมชาติ หรือ Whole Language ในการจัดการเรียนการสอนสำหรับนักเรียนอนุบาล โดยสอนภาษาตามธรรมชาติของเด็กเพราะธรรมชาติของเด็กมักจะสนใจสิ่งรอบข้าง เด็ก ๆ ชั้นอนุบาลจะได้เรียนรู้ภาษาผ่านกิจกรรมต่าง ๆ มากมายทั้งการทำขนม ดนตรี  ศิลปะ งานเกษตร และอื่น ๆ เรียนรู้จากประสบการ์ณจริงและสิ่งรอบตัวหรือสิ่งที่คุ้นเคย ไม่ใช่การท่องจำ เช่น เมื่อฟังนิทานจบ เด็ก ๆ จะวาดภาพเพื่อถ่ายทอดสิ่งที่เรียนรู้ผ่านการบันทึกภาพ

บรรยากาศการเรียนภาษาในชั้นเรียนมีลักษณะเป็นการร่วมมือกันระหว่างครูและเด็ก ๆ ตั้งแต่การวางแผนคือคิดด้วยกัน เด็กจะไม่ถูกบังคับให้เขียนตัวพยัญชนะ คํา หรือประโยคตามที่ครูสั่ง แต่ในบรรยากาศการสอนแนวใหม่นี้ เด็กจะแสดงความต้องการให้ครูเห็นว่า เขาต้องการเขียนสิ่งที่มีความหมายสิ่งที่เขาอยากบอกให้ผู้อื่นเข้าใจ ในระยะแรกจึงเป็นการที่เด็กสร้างความคิด ซึ่งเกิดจากประสบการณ์ของเด็กและความต้องการสื่อความหมายให้ผู้อื่นทราบ อะไร ทําเมื่อไร ทําอย่างไร  เป็นการเรียนแบบนี้ทำให้เด็กได้เรียนรู้ครบองค์รวม

สำหรับการประเมินผล คุณครูจะประเมินพัฒนาการ 4 ด้าน ของเด็ก คือ ร่างกาย จิตใจ สังคมและสติปัญญา โดยวัดผลจากการบันทึก การเก็บร่องรอยทางภาษาของเด็ก ขณะทํากิจกรรมต่าง ๆ และการสะสมชิ้นงาน โดยประเมินการเรียนรู้ภาษาจากสภาพจริง ไม่มีการสอบวัดคะแนน

ฟังนิทานเสร็จ เด็ก ๆ บันทึกเรื่องราวที่ได้เรียนมาเป็นภาพวาด
กิจกรรมเสริมกล้ามเนื้อมัดใหญ่

Project Approach ( ระดับชั้นอนุบาล )

โรงเรียนทอรักในระดับอนุบาล เน้นให้เด็ก ๆ ได้เรียนรู้ “เป็นเรื่อง” ทุกเรื่องที่เด็ก ๆ สนใจเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมรอบตัว สิ่งที่เด็ก ๆ พบเจอในชีวิตประจำวัน กิจกรรมการเรียนการสอนเป็นเชิงปฏิบัติ ในรูปแบบ Project Approach จะช่วยกระตุ้นให้เด็กได้เรียนรู้ด้วยตนเอง มีส่วนร่วมวางแผนในสิ่งที่ตัวเองสนใจ เปิดโอกาสให้เด็ก ๆ ได้ออกแบบสิ่งที่ตัวเองอยากจะรู้และอยากจะทำร่วมกับแม่ครูและเพื่อน ๆ ทำให้เด็กมีมุมมองที่ดีต่อตนเองและผู้อื่น ช่วยให้เด็กได้เรียนรู้การมีส่วนร่วมในสังคมประชาธิปไตย

กิจกรรมร้อยมาลัย ได้เรียนรู้หลาย ๆ อย่าง ทั้งการช่วยเหลือตนเอง ทำสมาธิ การเแบ่งปัน และอีกมากมาย รวมไปถึงได้เรียนรู้เรื่องดอกไม้ต่าง ๆ อีกด้วย
กิจกรรมทำขนมมันม่วง ได้เรียนรู้ชนิดของมัน ลองชิมส่วนผสม ลงมือทำด้วยตนเอง ผสมผสานทั้งภาษาไทย คณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ไว้ด้วยกัน เรียนรู้ผ่านการลงมือทำ ทำให้จดจำได้ดีมากขึ้น
กิจกรรมเล่นสร้างสรรค์ เป็นกิจกรรมที่เด็ก ๆ รอคอย สามารถออกแบบการเล่นได้เอง โดยมีของเล่นจากธรรมชาติจัดวางไว้ ให้เด็กนำไปเล่นตามจินตนาการของตนเอง
ระบายสีเสริมสร้างจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์

วัยประถม เรียนแบบ Thematic approach และ การสอนแบบโครงการ (Project Approach)

  1. Thematic Approach

คุณครูผู้สอนจะสอดแทรกวิชาต่าง ๆ เข้ามาผสมผสานภายใต้หัวข้อเดียวกัน  ( Themetics ) เช่น สัตว์โลกน่ารัก โดยเด็กจะเรียนรู้ทุกวิชาพร้อมกัน ( วิทยาศาสตร์ สังคม สุขศึกษา ศิลปะและดนตรี ) ผ่านหัวข้อดังกล่าว แนวทางของ Thematic Approach มีข้อดีมากมาย เช่น

  • นักเรียนสามารถมองเห็นความสัมพันธ์ระหว่างองค์ความรู้ในแต่ละวิชา
  • นักเรียนสามารถเชื่อมโยงเนื้อหาที่เรียนกับการดำเนินชีวิต ( บทเรียนนอกห้องเรียน ) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • นักเรียนจะถูกกระตุ้นให้เสนอความคิดเห็นระหว่างกันและกัน ทำให้สามารถขยายองค์ความรู้ได้มากขึ้น
  • นักเรียนจะรู้สึกมีความรับผิดชอบในการเรียนรู้ของตนมากยิ่งขึ้น
  • คุณครูจะเป็น ‘ผู้ช่วย’ มากกว่า ‘ผู้สอน’
  • Project Approach ( ระดับชั้นประถม )

Project Approach ช่วยส่งเสริมให้เด็กได้เรียนรู้และค้นหาสิ่งที่ตัวเองสนใจผ่านการทำกิจกรรมเชิงปฏิบัติที่เน้นให้เด็กลงมือทำด้วยตัวเอง เป็นการเรียนรู้ที่หลอมรวมทักษะวิชาต่างๆ เข้าด้วยกันได้อย่างแนบเนียน เด็กได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริงแบบองค์รวม และยังมีข้อดีมากมาย เช่น

  • เด็กได้รู้จักการแก้ปัญหา เช่นเดียวกับในสถานการณ์จริง ( ปัญหาในโลกปัจจุบันไม่ได้แบ่งเป็นรายวิชา แต่มีมากกว่า 1 วิชา )
  • สมองทำงานได้ดี และรับรู้เร็วกว่า หากได้รับข้อมูลที่มีลักษณะเป็นภาพรวมไม่แยกส่วน ( Seek for Pattern of Meaning )
  • เด็กจะเรียนรู้ลึกและเข้าใจได้มากกว่า เป็นวิธีที่สร้างนิสัยการทำงานเป็นหมู่คณะ (Team Spirit ) และนิสัยการเรียนรู้และการทำงานที่ดี (เป็นความฉลาดของมนุษย์ในด้านความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล และความฉลาดทางอารมณ์ หรือ EQ)

นอกจากนี้พี่ ๆ ชั้นประถม มีวิชาเรียน มากกว่า 8 กลุ่มสาระ เช่น ภาษาชีวิต จินตปัญญา ถักทอ ซึ่งเป็นไฮไลท์ของโรงเรียน เด็ก ๆ จะได้เรียนทั้ง ถักโครเชต์ งานช่าง งานไม้  และอื่น ๆ อีกมากมาย เป็นทักษะพื้นฐานที่จะติดตัวเด็กไปตลอดชีวิต

พี่ประถมเรียนวิชาธรรมชาติศึกษา
ออกกำลังกายกันดีกว่า
เด็ก ๆ ชั้นประถม 4 จะได้สะสมดาว เมื่อทำความดี ถ้าลืมส่งการบ้านก็ต้องนำดาวออกเอง ช่วยหัดให้เด็กรู้จักปรับตัว เพื่อให้ดาวมากขึ้น

เรียนดนตรีแบบ Orff

เด็ก ๆ ทุกคนที่โรงเรียนทอรัก จะได้เรียนดนตรีและการเคลื่อนไหวแบบ Orff Schulwerk คือ การเรียนการสอนดนตรีที่สอดคล้องกับธรรมชาติของความเป็นมนุษย์ ผสมผสานดนตรี การพูด การเคลื่อนไหว และการแสดงละคร ขณะเดียวกันก็เลียนแบบวิธีการเล่นของเด็ก ช่วยพัฒนาปัญญาภายในของเด็ก ๆ เด็กจะซึมซับจังหวะหรือจังหวะที่ต้องการได้ ซึ่งยังนำไปสู่รูปแบบจังหวะของร่างกายและการเคลื่อนไหวตามดนตรีอีกด้วย นอกจากเรียนสนุก และไม่กดดันเด็กแล้วยังช่วยเสริมความคิดสร้างสรรค์พร้อมกับการฝึกวินัย ฝึกรอคอย ฝึกวิเคราะห์ อีกด้วย การเรียนแบบนี้ทำให้เด็กเรียนรู้การสังเกตุ  ส่วนคุณครูก็ได้เข้าใจความเป็นธรรมชาติของเด็ก  เข้าใจความเป็นธรรมชาติของมนุษย์มากขึ้น

เด็กๆ ใกล้ชิด ผูกพันธ์กับคุณครูทุกคน

Mommy Love This ! ถูกใจแม่

  1. ที่นี่เด็ก ๆ จะเรียนคุณครูว่าแม่ เพื่อให้เด็ก ๆ รู้สึกใกล้ชิด สร้างสัมพันธ์ที่ดีระหว่างเด็กและคุณครู เด็กจะรู้สึกผูกพันธ์เหมือนเป็นครอบครัวเดียวกัน
  2. ที่โรงเรียนทอรัก ใช้เพลง ใช้กลอน แทนการออกคำสั่ง แม่ครูจะร้องเพลงเพื่อให้เด็ก ๆ รู้ว่า ตอนนี้ถึงเวลาต้องทำอะไร เช่น เข้าแถวใช้ 1 เพลง เก็บของ ใช้ 1 เพลง โดยไม่จำเป็นต้องสั่งให้ทำ
  3. เรื่องการรับส่งเด็ก ๆ ในโรงเรียน มีความปลอดภัยสูงเลยค่ะ ผู้ปกครองที่มารับต้องมีบัตรรับเด็กเท่านั้น
  4. โรงเรียนจะคุยกับผู้ปกครอง แบบรายคน เทอมละ 1 ครั้ง ครั้งละ ประมาณ 30 นาที แต่หากมีเรื่องไม่ปกติ ครูจะรีบพูดคุยและหาทางแก้ไขร่ววมกับผู้ปกครองทันที
  5. โรงเรียนงดการใช้มือถือ 100% เพื่อพัฒนาการที่ดีของเด็ก ๆ
  6. เด็กที่โรงเรียนทอรัก กล้าถาม กล้าแสดงความคิดเห็น เพราะโรงเรียนจะไม่ตัดสินคำตอบ ไม่มีถูกไม่มีผิด เพื่อปลูกฝังให้เด็กเชื่อมั่นในตนเอง และมี Self Esteem
  7. โรงเรียนมีกิจกรรมพี่พบน้อง น้องพบพี่ เพื่อเชื่อมโยงรอยต่อน้องอนุบาล 3 ที่กำลังจะขึ้นชั้นประถม โดยให้เด็กอนุบาลลองนั่งเรียนกับพี่ ๆ เพื่อสร้างความคุ้นเคยและฝึกพี่ให้รักน้อง ฝึกน้องให้รักพี่
  8. มีโครงการเรียนพิเศษช่วงเย็น สำหรับพี่ประถม 5-6 ที่โรงเรียน เพื่อให้ทักษะแน่นยิ่งขึ้น  สำหรับชั้นเรียนอื่นจะไม่มีการเรียนพิเศษ เพื่อไม่ให้เด็กล้าจนเกินไป
  9. ภาษาต่างประเทศมีครบทั้งภาษาอังกฤษและภาษาจีน สำหรับภาษาอังกฤษจะสอนโดยคุณครูต่างชาติ  ( ครูฟิลิปปินส์ )
  10. ชั้นประถมมีเรียน Coding ทุกชั้นปี เรียกว่าได้ครบทุกอย่างทั้งทักษะชีวิตและเทคโนโลยี

อัตราค่าเล่าเรียน

ประมาณ 30,000 – 50,000  บาท ( มี 2 เทอม )

( อาจมีการปรับเปลี่ยนตามสภาพเศรษฐกิจและตามระเบียบการของแต่ละปีการศึกษาค่ะ )

** ผู้ปกครองจะทราบรายละเอียดค่าเทอม ต้องเข้าร่วมกิจกรรม Open House กับทางโรงเรียนก่อนค่ะ

ที่อยู่ โรงเรียนอนุบาลทอรัก

209 ( ซอยเทศบาลบางปู 70) โอเชียนวิลเลจ สุขุมวิท

ตำบลท้ายบ้าน อำเภอเมืองฯ จังหวัดสมุทรปราการ 10280

Email: [email protected]
https://taurakschool.com/
โทร: 089-679-2500

  • Editor : แม่เลม่อน
  • ภาพ :  ฤทธิรงค์ จันทองสุข

Young Nature Storyteller วาดรูปด้วยสีจากหินแม่น้ำ ให้ลูกเรียนรู้ผ่านธรรมชาติและงานศิลปะ

event

ทีมกองบรรณาธิการ ABK นำเอาภาพบรรยากาศการ Workshop จากงาน SX 2024 ที่ได้ชวนเด็กๆ มาสนุกกับกิจกรรมจุดประกายอาชีพในฝัน พร้อมกับฝึกทักษะการใช้ชีวิต เสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์ด้วยกิจกรรมการวาดรูปด้วยหินแม่น้ำจากป่าชุมชนทั่วประเทศไทย เพื่อให้ลูกได้ฝึกทักษะใหม่ พร้อมเรียนรู้และเข้าใจความเป็นธรรมชาติให้มากขึ้น ผ่านการใช้ สีธรรมชาติ

อุปกรณ์สำหรับทำกิจกรรมวาดรูปด้วยสีจากหินแม่น้ำ ประกอบด้วย เฟรมผ้าใบ พู่กัน และหิน ซึ่งหินที่นำมาใช้สร้างสรรค์งานศิลปะในวันนี้ เก็บมาจากป่าชุมชนที่มีความอุดมสมบูรณ์ มีแม่น้ำไหลผ่านหลายแหล่ง ทั้งป่าลึก ป่าชุ่มชิ้น แม่น้ำ ลำห้วย และทะเลจากทุกภูมิภาคในประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นหินจากแม่น้ำในป่าชุมชน หรือหินจากดอยอินทนนท์ บ้านตีนกก อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ เป็นต้น

ขั้นตอนแรก เริ่มจากการชวนให้เด็ก ๆ พิจารณาหินแต่ละก้อนว่ามีสีอะไรบ้าง ปล่อยให้เด็ก ๆ ได้เลือกหินก้อนที่ตัวเองชอบอย่างอิสระ ดูว่าหินก้อนไหนน่าสนใจ ด้วยสีสัน รูปร่าง ขนาด กลิ่น และการสัมผัส เปิดโอกาสให้เด็ก ๆ เล่าถึงก้อนหินของตัวเอง ว่าเลือกหินมาจำนวนกี่ก้อน ชอบหินก้อนนี้เพราะอะไร ให้เด็ก ๆ ได้เกิดการคิด วิเคราะห์ ได้สื่อสารความรู้สึกของตัวเองออกมา ฝึกความกล้าแสดงออก เกิดการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นร่วมกันเพื่อน ๆ

ขั้นตอนต่อมาคือการชวนให้เด็ก ๆ ชูก้อนหินแต่ละสีขึ้นมา เช่น สีน้ำตาล สีเหลือง สีชมพู สีเทา สีดำ เป็นการเรียนรู้เรื่องสี สอนให้เด็ก ๆ รู้จักการแยกแยะสีแต่ละสี หากพบว่าตนเองไม่มีหินสีนั้น ก็รู้จักการเอ่ยปากขอหยิบยืมจากเพื่อนโต๊ะข้าง ๆ เกิดการแบ่งปันของให้แก่กัน

ขั้นตอนที่สามคือวิธีการนำสีออกมาจากก้อนหิน ทำได้โดยการ “อาบน้ำ” ให้หินก้อนใหญ่ ด้วยการนำพู่กันจุ่มน้ำระบายลงบนก้อนหินจนชุ่ม แล้วจึงเลือกหินก้อนหินสีที่เราชอบ นำมาฝนบนหินก้อนใหญ่ ออกแรงเพื่อให้ก้อนหินกระเทาะออกมาเป็นสีสำหรับใช้วาดภาพ เป็นการฝึกการใช้มือ ได้ออกแรงขยับกล้ามเนื้อมัดเล็ก เพื่อให้ได้สีออกมา 

การที่เราสามารถขูดสีออกมาากก้อนหินได้ เป็นเพราะก้อนหินเหล่านี้คือหินตะกอนที่มีความอ่อนนุ่ม เพราะเพิ่งย่อยสลายมาจากหินก้อนใหญ่กว่า และเป็นหินที่แช่อยู่ในแม่น้ำ จึงมีความนุ่ม ขูดสีออกมาได้ง่าย ซึ่งขั้นตอนนี้เป็นกรรมวิธีที่เหมือนการทำสีฝุ่นนั่นเอง

ยิ่งมีสีในก้อนหินมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งสื่อถึงความเป็นธรรมชาติมากขึ้นเท่านั้น เป็นสีแห่งการเชื่อมโยง อยู่อาศัยร่วมกันระหว่างคนกับป่าไม้และธรรมชาติ สีที่ปรากฏบนก้อนหินแต่ละก้อนเกิดจากความแตกต่างของแร่ธาตุในหินก้อนนั้น เช่น ก้อนหินสีน้ำตาลอมแดง เป็นก้อนหินที่มีส่วนประกอบของธาตุเหล็ก ซึ่งเป็นธาตุที่เป็นองค์ประกอบในเลือดของเราเช่นกัน จึงทำให้หินก้อนนี้มีกลิ่นคล้ายเหล็กและคล้ายเลือด ดังนั้นจึงแสดงให้เห็นว่าเรากับธรรมชาตินั้นเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน มีความกลมกลืนกัน เราจึงควรช่วยกันดูแลอนุรักษ์ธรรมชาติให้คงความสวยงามอุดมสมบูรณ์ เพื่อให้ป่าต้นน้ำและก้อนหินเหล่านี้ยังคงมีความสมบูรณ์ต่อไป

เมื่อขูดหินจนได้สีที่ต้องการออกมาแล้ว เด็ก ๆ สามารถผสมให้ได้สีที่ต้องการ โดยการนำพู่กันแตะสีมาระบายได้เลย สามารถระบายได้หลากหลายวิธี ไม่ว่าจะเป็นการนำหินไปขูดบนผ้าใบโดยตรง การฝนหินแล้วนำพู่กันแตะสีไประบายลงบนผ้าใบ หรือจะนำสีที่ได้ไปผสมกับสีอื่นหรือผสมกับน้ำเปล่าก่อนระบายก็ได้เช่นกัน 

กิจกรรมนี้ส่งเสริมให้เด็กแต่ละคนได้โชว์ฝีมือ วาดลวดลายลงบนผ้าใบ เลือกสี เลือกลาย ละเลงได้ตามใจชอบ เสริมความคิดสร้างสรรค์ ปลดปล่อยจินตนาการออกมาอย่างเต็มที่ เสร็จแล้วให้เด็ก ๆ ตั้งชื่อภาพของตัวเอง เล่าว่าภาพของตัวเองนั้นเป็นภาพอะไร กระตุ้นให้เด็กรู้จักคิด รู้จักพูดคุย โต้ตอบ และเกิดความภาคภูมิใจกับผลงานของตนเอง ก่อนที่จะนำผลงานที่มีเพียงชิ้นเดียวในโลกของตนเองกลับบ้านไปเป็นที่ระลึก โดนควรระมัดระวังอย่าให้ภาพโดนแดดและน้ำ เพื่อรักษาให้ภาพคงสีสันที่สดใส ไม่ซีดจางเร็วจนเกินไป

สำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่กำลังมองหากิจกรรมสนุก ๆ เสริมการเรียนรู้มาทำร่วมกับลูกรัก ลองชวนลูกออกไปตามหาก้อนหินสีสวย ๆ กลับมาทำ สีจากธรรมชาติ ใช้สร้างสรรค์ผลงานศิลปะชิ้นมาสเตอร์พีซกันได้นะคะ

เรียนออนไลน์ภาษาอังกฤษ

เรียนภาษาอังกฤษตัวต่อตัว พัฒนาทักษะภาษาเพื่ออนาคตที่ดีขึ้น!

event
เรียนออนไลน์ภาษาอังกฤษ
เรียนออนไลน์ภาษาอังกฤษ

ภาษาอังกฤษ ยังคงเป็นภาษาที่ต้องให้ความสำคัญอยู่เสมอในปัจจุบัน เพราะนอกจากจะเรียนภาษาอังกฤษ เพื่อนำไปใช้สื่อสารหรือการสอบแล้ว ยังสามารถใช้ประโยชน์จากความสามารถทางด้านภาษาในการสมัครงาน หรือการเรียนต่อได้อีกด้วย

การเรียนภาษาอังกฤษก็มีรูปแบบการสอนที่หลากหลาย หากกำลังอยากเรียนภาษาอังกฤษเพื่อพัฒนาตัวเอง หรือเอาไปสอบเรียนต่อยื่นทำงาน มาดูกันว่ารูปแบบการเรียนแบบไหนที่เหมาะกับเรา

สารบัญบทความ
เรียนภาษาอังกฤษ คอร์สเรียนสดหรือออนไลน์ ไม่มีพื้นฐานก็เรียนได้
รูปแบบการเรียนภาษาอังกฤษตามจุดประสงค์แต่ละด้าน มีอะไรบ้าง?
เรียนภาษาอังกฤษแบบปูพื้นฐาน
เรียนภาษาอังกฤษเพื่อใช้สอบ
เรียนภาษาอังกฤษในการทำงาน
เรียนภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวัน
ไม่มีพื้นฐานเลย ควรวางแผนเริ่มเรียนภาษาอังกฤษยังไงดีให้เหมาะกับตัวเอง?
ทำไมถึงควรเริ่มเรียนภาษาอังกฤษตั้งแต่วันนี้?
เรียนภาษาอังกฤษตัวต่อตัว เพื่อพัฒนาทักษะอย่างก้าวกระโดดกับ Englishparks
สรุป เรียนภาษาอังกฤษ อัปสกิลปังทั้งเรียนและทำงาน

รูปแบบการเรียนภาษาอังกฤษตามจุดประสงค์แต่ละด้าน มีอะไรบ้าง?

เพื่อสอบหรือการปูพื้นฐาน ซึ่งแต่ละคอร์สก็จะมีเนื้อหาการเรียนการสอนภาษาอังกฤษที่แตกต่างกัน ในการเลือกคอร์สเรียนภาษาอังกฤษ จึงควรลองสำรวจตัวเองดูก่อนว่าต้องการเน้นทักษะไหน หรือมีจุดประสงค์ในการเรียนเพื่ออะไร

เรียนภาษาอังกฤษแบบปูพื้นฐาน

สำหรับคอร์สเรียนภาษาอังกฤษพื้นฐาน จะเป็นการปูความรู้ในการเรียนภาษาอังกฤษทั้งหมดโดยเริ่มตั้งแต่การปรับพื้นฐาน วางระบบและทำความเข้าใจไวยากรณ์เพื่อต่อยอดในการเรียนรูปแบบอื่น ๆ ที่สูงขึ้น

คอร์สเรียนภาษาอังกฤษแบบปูพื้นฐาน เหมาะสำหรับคนเริ่มเรียนภาษาอังกฤษแบบไม่มีพื้นฐานเลย หรือคนที่อยากปรับพื้นความเข้าใจในภาษาอังกฤษของตนเองให้แน่นขึ้น เพื่อให้สามารถปรับใช้ในการเรียนรูปแบบอื่น ๆ ได้

เรียนภาษาอังกฤษเพื่อใช้สอบ

คอร์สเรียนภาษาอังกฤษเพื่อใช้สอบ จะมีเนื้อหาการเรียนการสอนที่เน้นติวสอบโดยเฉพาะ ซึ่งก็จะแยกคอร์สตามประเภทของการสอบ ไม่ว่าจะเป็นคอร์สติว TOEIC, IELTS, TOEFL หรือการสอบเรียนต่อเข้ามหาวิทยาลัยที่เป็นรูปแบบภาษาอังกฤษอย่าง CU-TEP, TU-GET, TGAT และ A-Level

คอร์สเรียนติวเหมาะกับคนที่ต้องการเน้นการเรียนเพื่อนำไปสอบโดยเฉพาะ โดยเนื้อหาจะครอบคลุมทั้งการวิเคราะห์โจทย์ การเรียนทักษะแต่ละหัวข้อที่มีในการสอบ เช่น Reading, Writing, Grammar รวมถึงการทำข้อสอบจริง เพื่อจับเวลาและเรียนรู้ข้อผิดพลาดในการทำข้อสอบ

เรียนภาษาอังกฤษในการทำงาน

สำหรับใครที่ต้องการเรียนภาษาอังกฤษเพื่อนำไปใช้สำหรับการทำงาน   คอร์สเรียนภาษาอังกฤษตัวต่อตัวถือเป็นตัวเลือกที่ตอบโจทย์เป็นอย่างมาก เพราะเนื้อหาการสอนจะปรับให้เหมาะสมกับพื้นฐานและความต้องการของผู้เรียน เน้นพัฒนาทักษะที่ผู้เรียนต้องการอย่างเฉพาะเจาะจง ทั้งยังสามารถเลือกเวลาเรียนและสถานที่ได้เองตามสะดวก ไม่ว่าจะเรียนภาษาอังกฤษออนไลน์ หรือเรียนสดที่สาขา

อย่างคอร์สเรียนภาษาอังกฤษตัวต่อตัวของสถาบัน Englishparks ก็จะไม่ได้มีการกำหนดเนื้อหาการสอนที่ตายตัว แต่จะมีการจัดเนื้อหาการเรียนที่ครอบคลุมกับความต้องการของผู้เรียน เช่น เรียนเพื่อสื่อสารในการทำงาน หรือการเรียนการสอนอังกฤษเพื่อการสื่อสารในธุรกิจระดับสูง

ในคอร์สตัวต่อตัว ผู้เรียนสามารถแจ้งจุดประสงค์ของการเรียนได้เลย ทางสถาบันจะเตรียมเนื้อหาการสอนที่เหมาะสมกับความต้องการและระดับของผู้เรียน เรียกได้ว่าเหมาะมาก ๆ สำหรับใครที่อยากเน้นทักษะเฉพาะเพื่อนำไปใช้ในการทำงานอย่างเต็มที่ และทางสถาบันจะทำการจัดการสอนโดยครูต่างชาติโดยตรง หรือครูไทยให้ตรงกับความเหมาะสมกับผู้เรียนอีกด้วย

เรียนภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวัน

คอร์สเรียนภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวัน จะเป็นการเรียนเพื่อเน้นพัฒนาทักษะทั่วไปและการใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น การถามทาง การซื้อของ หรือการพูดคุยทั่วไป สามารถเลือกเรียนได้ทั้งทุกทักษะ ทั้งการฟัง การอ่าน การพูด การเขียน นอกจากนี้หากไม่มั่นใจในการออกเสียงพูดภาษาอังกฤษ คอร์สเรียนเสริมทักษะที่ Englishparks มีคอร์ส Pronunciation สำหรับเรียนภาษาอังกฤษเพื่อการพูด การออกเสียงภาษาอังกฤษที่ถูกต้อง สร้างความมั่นใจในการพูดเป็นประโยคให้มากขึ้น

นอกจากนี้ที่ Englishparks ยังมีคอร์ส Grammar ที่จะปูพื้นฐานความเข้าใจด้านไวยากรณ์ทั้งหมดเพื่อให้สามารถนำไปปรับใช้ในการพูด อ่าน และเขียนได้จริงอย่างมีประสิทธิภาพ

ไม่มีพื้นฐานเลย ควรวางแผนเริ่มเรียนภาษาอังกฤษยังไงดีให้เหมาะกับตัวเอง?

การเริ่มเรียนภาษาอังกฤษจาก 0 หรือไม่มีพื้นฐานเลยนั้นก็สามารถทำได้ โดยควรเริ่มต้นด้วยการประเมินทักษะภาษาอังกฤษของตนเองก่อน อาจลองทำข้อสอบวัดระดับภาษาฟรีออนไลน์ และลองเช็กดูว่าตัวเองมีจุดอ่อนหรือจุดแข็งด้านอะไรบ้าง จากนั้นจึงศึกษาวิธีเรียนในรูปแบบที่เหมาะสมกับตนเอง

แต่ถ้าหากต้องการทราบทักษะของตัวเองอย่างแม่นยำ การทดสอบวัดระดับภาษากับทางสถาบันสอนภาษาอังกฤษ ก็เป็นอีกหนึ่งตัวช่วยที่จะทำให้ผู้เรียนทราบว่าตัวเองควรพัฒนาทักษะไหนเป็นพิเศษ และมีโอกาสได้รับคำแนะนำในการวางแผนการเรียนภาษาอังกฤษที่เหมาะสมกับผู้เรียนได้โดยตรงอีกด้วย

ทำไมถึงควรเริ่มเรียนภาษาอังกฤษตั้งแต่วันนี้?

อย่างที่ได้กล่าวไปในข้างต้นว่า ภาษาอังกฤษยังคงเป็นสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญอยู่ในปัจจุบัน ดังนั้นแน่นอนว่าการเรียนภาษาอังกฤษจะสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการสอบเรียนต่อ การใช้ในชีวิตประจำวัน การทำงาน หรือแม้แต่การสอบเพื่อนำคะแนนไปใช้ยื่นโครงการต่างประเทศยอดฮิตอย่าง Work and Holiday

ที่สำคัญคือในยุคนี้ หากใครที่เพิ่งเรียนจบ วัยทำงาน หรือกำลังหางานอยู่ ถ้ามีคะแนนสอบวัดระดับภาษาอังกฤษ ก็มีโอกาสสูงที่จะได้รับเงินเดือนเพิ่มขึ้นอีกด้วย

เรียนภาษาอังกฤษตัวต่อตัว เพื่อพัฒนาทักษะอย่างก้าวกระโดดกับ Englishparks

เรียนภาษาอังกฤษ ที่ไหนดี

หากกำลังหาที่เรียนภาษาอังกฤษ ที่สถาบันสอนภาษา Englishparks มีคอร์สเรียนภาษาอังกฤษหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นคอร์สสำหรับการติวสอบ คอร์สเรียนภาษาเพื่อใช้ในชีวิตประจำวันทั่วไป คอร์สเน้นทักษะ จนไปถึงคอร์สเรียนภาษาแบบตัวต่อตัวที่จะครอบคลุมความต้องการของผู้เรียน

ทางสถาบันจะมีการเน้นการสอนที่พัฒนาตัวบุคคลด้วยการจัดเนื้อหาที่เหมาะสมกับผู้เรียนเพื่อไม่ให้เกิดความกดดัน เน้นบรรยากาศเป็นกันเองภายในห้องเรียน สามารถนำการเรียนการสอนไปพัฒนาประยุกต์ใช้ในการสอบจนสามารถใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน

สำหรับคอร์สติวสอบ ผู้เรียนก็จะมีโอกาสได้ตะลุยโจทย์แบบไม่อั้น พร้อมทั้งได้รับการชี้แนะถึงจุดอ่อนและจุดแข็งที่ควรพัฒนา ในการฝึกทักษะต่าง ๆ เช่น การเขียน ก็สามารถส่งให้ผู้สอนตรวจได้ตลอด เพื่อที่จะได้รับการแนะนำอย่างตรงจุดถูกต้อง เกิดการพัฒนาได้จริงแบบที่สามารถนำไปปรับใช้ได้ด้วยตนเอง

สรุป เรียนภาษาอังกฤษ อัปสกิลปังทั้งเรียนและทำงาน

คนที่ใช้ภาษาอังกฤษได้ดี ยังคงเป็นที่ต้องการของสังคมในยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะในเรื่องของการทำงานและเรียนต่อ ดังนั้นคอร์สเรียนภาษาอังกฤษจึงมีไว้เพื่อพัฒนาทักษะของผู้เรียนในแต่ละด้าน โดยมีตั้งแต่คอร์สเรียนภาษาอังกฤษสำหรับผู้ที่ไม่มีพื้นฐานเลย ไปจนถึงคอร์สเรียนที่เน้นการพัฒนาทักษะเฉพาะด้าน

สำหรับใครที่กำลังมองหาสถาบันสอนภาษาอังกฤษ สถาบัน Englishparks ก็เป็นหนึ่งในโรงเรียนสอนภาษาที่มีคอร์สเรียนหลากหลาย ครอบคลุมทุกความต้องการทั้งวัยนักเรียนและวัยทำงาน มีทีมครูไทยและต่างชาติเจ้าของภาษาที่มีประสบการณ์ด้านการสอนภาษาอย่างถูกต้อง ผู้เรียนสามารถเลือกเรียนได้ตามจุดประสงค์ที่ต้องการ เรียกได้ว่าเป็นสถาบันที่เหมาะจะเป็นที่เรียนภาษาอังกฤษของใครหลายคนอย่างแน่นอน

Young Zookeeper เรียนรู้กับพี่เลี้ยง หมูเด้ง ฮิปโปแคระที่กำลังครองหัวใจคนทั่วโลก

event

กระแสหมูเด้งยังคงมาแรงอย่างต่อเนื่อง ฮิปโปแคระน้อยที่ทุกคนทั่วโลกต่างหลงรัก และพี่เลี้ยงของ หมูเด้ง ก็มีบทบาทที่น่าสนใจไม่น้อย พี่เลี้ยงคอยมอบความรักและการดูแลเจ้าหมูเด้งน้อยอย่างเต็มที่ในทุก ๆ วัน ทั้งเตรียมอาหารที่เหมาะสมกับลูกฮิปโปแคระ นอกจากนี้พี่เลี้ยงยังต้องคอยตรวจสอบให้แน่ใจว่าหมูเด้งแข็งแรงปึ๋งปั๋ง คอยเล่นด้วยอย่างสนุกสนาน ทำให้หมูเด้งรู้สึกปลอดภัยและไม่เหงา จนได้เห็นหมูเด้งผ่านโซเชียลมากมาย และพ่อแม่อย่างเราก็ต้องพาลูกๆ ไปเยี่ยมชมหมูเด้งตัวเป็นๆ ให้ได้ แล้วจะเป็นอย่างไรหากเด็กๆ สนใจที่จะเป็นพี่เลี้ยงสัตว์ในสวนสัตว์ หรือ Zoo Keeper ทีมแม่ ABK ไปฟังเสวนาที่จัดโดย National Geographic Thailand ร่วมกับ ‘บ้านและสวน Explorers Club’ ในงาน SX 2024 ที่ผ่านมา โดยมี พี่เบนซ์ อรรถพล หนุนดี ผู้ดูแลหมูเด้ง และ คุณณรงวิทย์ ชดช้อย ผู้อำนวยการสวนสัตว์เขาเขียว มาให้ความรู้ในงานกันแบบตัวจริงเสียงจริง

มาทำความรู้จักกับ พี่เลี้ยง หรือ Zoo Keeper ผ่านการถ่ายทอดประสบการณ์ของพี่เบนซ์ และ ผู้อำนวยการสวนสัตว์เขาเขียว เพื่อให้คุณพ่อคุณแม่ได้ตระหนักว่า จะส่งเสริมแรงบันดาลใจให้กับน้องๆ ในเรื่องนี้ได้อย่างไรค่ะ

พี่เลี้ยง หมูเด้ง คือ Zookeeper 

Zookeeper แปลตรงตัวคือ ผู้ดูแลสัตว์ มีบทบาทสำคัญในการรักษาสมดุลระหว่างการให้ความรู้แก่ผู้คน และการดูแลสัตว์อย่างเอาใจใส่ นอกจากนี้ ผู้ประกอบอาชีพนี้ยังนับว่าเป็นนักการศึกษาผู้ชอบเรียนรู้ ผู้สนับสนุนกฎหมายที่หวังพิทักษ์และดูแลสวัสดิภาพของสัตว์ และเป็นผู้ประสานงานระหว่างสัตว์และมนุษย์ทำให้เกิดการอยู่ร่วมกันอย่างมีสันติสุข ทำให้สัตว์ต่าง ๆ มีความสุข ได้รับการอนุรักษ์หรือดูแลอย่างเหมาะสม

Zookeeper ต้องผ่านการฝึกฝน จนมีความเชี่ยวชาญ

หากต้องการเป็น Zookeeper เด็ก ๆ หรือผู้ใหญ่ที่สนใจ ไม่เพียงต้องมีความรักสัตว์และสนใจในธรรมชาติของสัตว์ต่าง ๆ เท่านั้น แต่ต้องมีความกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้ด้วยตัวเอง ศึกษาจากผู้เชี่ยวชาญ และเข้าฝึกอบรม เพื่อให้พร้อมสำหรับการดูแลสัตว์ที่ไม่ได้มีแค่ชนิดเดียว แต่มีมากมายหลายชนิด หลากหลายสายพันธุ์ 
ทักษะพิเศษของ Zookeeper ได้แก่

  1. ความอดทน เนื่องจากสัตว์ต่าง ๆ โดยธรรมชาติมักแสดงพฤติกรรมที่ยากต่อการควบคุม และไม่เข้าใจการสื่อสารของมนุษย์เหมือนกับสัตว์เลี้ยงตามบ้าน มีความระแวงมากกว่า ต้องใช้เวลาทำความรู้จักกัน และหมั่นวนเวียนดูแลอย่างใกล้ชิดเพื่อพัฒนาการสื่อสารระหว่างกัน 
  2. ทักษะการจัดที่อยู่ และสังเกตพฤติกรรมสัตว์ ทำให้สัตว์อยู่ในสภาพแวดล้อมและอุณหภูมิที่เหมาะสม ได้รับอาหารและน้ำอย่างพอเพียง ได้รับยาและการดูแลพิเศษหากไม่สบาย 
เครดิตภาพ : Facebook ขาหมู แอนด์เดอะแก๊ง

ประสบการณ์ประจำวัน ในการดูแลเจ้า หมูเด้ง ลูกฮิปโปแคระ

การเริ่มต้นวันใหม่ของพี่ Zookeeper ที่ดูแลหมูเด้ง มักเริ่มต้นด้วยการตรวจสอบสภาพและความสะอาดของพื้นที่อยู่ การเตรียมอาหารที่เหมาะสมกับฮิปโปแคระ มีการจัดเตรียมผักสดและผลไม้ที่ล้างทำความสะอาดอย่างดีเพื่อหลีกเลี่ยงสารพิษที่อาจปนเปื้อนมากับอาหาร ทางพี่เลี้ยงมักคอยสังเกตการณ์พฤติกรรมของหมูเด้งอย่างสม่ำเสมอ ทั้งการเคลื่อนไหว การกินอาหาร และการโต้ตอบกับสัตว์อื่น ๆ ในสวนสัตว์ เพื่อให้แน่ใจว่าหมูเด้งแข็งแรง ไม่เจ็บป่วยหรือเกิดความเครียด 
หากมีการพบว่าหมูเด้งไม่สบายหรือมีพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไป ทางพี่เลี้ยงจะรีบประสานงานกับสัตวแพทย์เพื่อให้เข้ามาตรวจสุขภาพและทำการรักษาให้เร็วที่สุด
การดูแลหมูเด้งทุก ๆ วัน พี่เลี้ยงแสดงทั้งความรับผิดชอบและทุ่มเท  หมั่นเล่นกับหมูเด้งด้วยความรักและเอาใจใส่ การดูแลสัตว์นั้นแท้ที่จริงผู้ดูแลต้องมีใจรักจึงเล่นด้วย ไม่ได้เป็นการเล่นที่เน้นสนุกเป็นสำคัญ แต่เล่นเพราะต้องการดูแลให้สัตว์มีความรู้สึกปลอดภัย และผ่อนคลายเมื่ออยู่ด้วย พวกสัตว์จึงใช้ชีวิตตามลักษณะธรรมชาติของพวกเขา แม้จะอยู่ในพื้นที่ซึ่งมนุษย์กำกับดูแลเพื่ออนุรักษ์พวกเขาก็ตาม

ความท้าทายในงานของ Zookeeper

หากสัตว์ป่วยหรือบาดเจ็บ จะต้องรีบติดต่อกับสัตวแพทย์ มีการจัดการตามขั้นตอนที่เหมาะสม เพื่อให้สัตว์ต่าง ๆ ได้รับการดูแลที่ดีที่สุด การที่สวนสัตว์จะตรวจพบอาการป่วยในสัตว์ตั้งแต่ระยะเริ่มแรก ผู้เป็นพี่เลี้ยงต้องสังเกตได้อย่างละเอียด รอบคอบ และรู้เกี่ยวกับพฤติกรรมของสัตว์ต่าง ๆ ในเวลาปกติเป็นอย่างดี
หากสัตว์มีความเครียด รวมถึงแสดงพฤติกรรมไม่พึงประสงค์ ทางผู้ดูแลก็ต้องตัดสินใจอย่างรวดเร็ว และลงมือแก้ไขปัญหา อาจจะปรับเปลี่ยนสภาพแวดล้อม หรือใช้เทคนิคใหม่ ๆ ในการเข้าหาหรือดูแลเพื่อลดความก้าวร้าว 
ทั้งนี้ การทำงานร่วมกับทีมสัตวแพทย์และผู้เชี่ยวชาญอื่น ๆ ในสวนสัตว์ ช่วยพี่เลี้ยงสัตว์รับมือกับเรื่องยาก ๆ ท้าทายได้สำเร็จด้วยดี

พี่เลี้ยง Zookeeper ผู้ประชาสัมพันธ์แทนธรรมชาติ

Zookeeper ในปัจจุบัน พวกเขามีช่องทางออนไลน์หลากหลายแพลตฟอร์มเพื่อสื่อสารความรู้ และเพิ่มความตระหนักรู้เกี่ยวกับการอนุรักษ์สัตว์ และการดูแลธรรมชาติ ทางพี่เลี้ยงของหมูเด้งเองได้นำทั้งภาพน่ารัก ๆ และเรื่องเล่ามากมายมาแฝงอยู่ในการสื่อสารกับสาธารณชน เพื่อจะทำให้คนมีความต้องการอยากจะดูแลและอนุรักษ์หมูเด้งและสัตว์อื่น ๆ เช่นเดียวกันกับพี่เขา 

เครดิตภาพ : Facebook ขาหมู แอนด์เดอะแก๊ง

หมูเด้งเป็นซอฟต์เพาเวอร์ที่ทำให้ต่างชาติพูดถึงประเทศไทยมากขึ้น หลายคนอยากมาดูตัวหมูเด้งถึงที่ มีผลิตภัณฑ์และภาพวาดของขวัญมากมายจากศิลปินมากหน้าหลายตาบนอินเตอร์เน็ต ขณะเดียวกันผู้คนทั่วโลกก็ได้สนทนาและตระหนักถึงฮิปโปแคระว่าเป็นสัตว์ที่มีจำนวนหลงเหลือเพียงหลักพันในธรรมชาติ 
สรุปแล้ว การทำงานของ Zookeeper นอกเหนือจากการใช้เวลาจัดการสภาพแวดล้อมและอาหารให้กับสัตว์ ยังส่งเสริมให้สวนสัตว์มีการบริหารจัดการที่ดี และยังช่วยสนับสนุนการอนุรักษ์สัตว์ป่าในวงกว้างได้อีกด้วยค่ะ หากเด็กๆ อยากเป็นพี่เลี้ยงหมูเด้ง ก็

เดอะศาลายาชวนตะลุยชุมชนตำบลศาลายา ชิมหมูกระทะถาดยักษ์นานาชาติ

event

เริ่มเข้าใกล้หน้าหนาว หากคุณพ่อคุณแม่กำลังหาสถานที่และกิจกรรมสำหรับทุกคนในครอบครัว ลองมาที่ เดอะศาลายา กลับทริปมนต์รักหมูกระทะ พาเด็กๆ นั่งตุ๊กๆ ไปชมนาบัว อุดหนุนผลิตภัณฑ์ของชุมชน ปิดท้ายด้วยหมูกระทะ และยังสามารถพาเด็กๆ เข้าชมการแสดงสุดน่ารักกับพี่ๆ ในมัจฉานุแลนด์ด้วย

เปิดประสบการณ์ตะลุยวิถีชุมชนตำบลศาลายากับเดอะศาลายา เลเชอร์ ปาร์ค ในทริปมนต์รักลูกทุ่ง เพื่อสนับสนุนศรษฐกิจชุมชนรอบบริเวณที่ตั้งของโครงการฯ

เริ่มต้นขบวนจากเดอะศาลายา เลเชอร์ ปาร์ค ด้วยรถตุ๊กตุ๊ก มุ่งหน้าสู่นาบัวลุงแจ่ม เพื่อเรียนรู้การทำนาบัว การพายเรือเก็บบัวกลางบึง และเรียนรู้การพับกลีบดอกบัวในรูปแบบต่างๆ หลังจากดื่มด่ำกับบรรยากาศริมนาบัวอันสดชื่น ก็นั่งตุ๊กตุ๊กไปชมสาธิตการทำข้าวตังสด ณ บ้านศาลาดิน ฟินเวอร์กับการลงมือทำและชิมกันสดๆ โดยเฉพาะทุกวันเสาร์-อาทิตย์ พลาดไม่ได้กับการ ชิม-ชอป-ชิลล์ ที่ตลาดน้ำบ้านศาลาดิน ถิ่นค้าขายสินค้าเกษตรและอาหารการกินจากชุมชนคนละแวกนั้น ซึ่งนำมาจำหน่ายในราคาถูก จนใครก็อดใจไม่ไหวซื้อกลับไปเต็มไม้เต็มมือแน่นอนค่ะ

หลังจากนั้น ตุ๊กๆ จะพาคณะทัวร์นำดอกบัวจากนาบัวที่พับเรียบร้อยแล้ว มาไหว้พระที่วัดสาลวัน รวมถึงสักการะเทพ ท้าวเวสสุวรรณ เพื่อเป็นสิริมงคล

ใกล้เที่ยง เดินทางกลับมากินหมูกระทะระดับโลกสูตรน้ำจิ้มแจ่วแบบไทยๆ ในบรรยากาศริมคลองมหาสวัสดิ์ ณ ร้านบังกะโล ริเวอร์ ภายในบริเวณเดอะศาลายา เลเชอร์ ปาร์ค ย่างไป จุ่มไป กินลมชมวิวกันไป สบายอารมณ์ เรียกได้ว่าวันเดย์ทริปครั้งนี้ ทั้งกินทั้งเที่ยวเฟี้ยวเงาะสุดๆ แพคเกจเพียงท่านละ 555 บาทเท่านั้น 

สำหรับใครที่อยากทานหมูกระทะโดยเฉพาะ ที่เดอะศาลายา เลเชอร์ ปาร์ค เป็นแลนด์มาร์คหมูกระทะนานาชาติระดับโลกในจังหวัดนครปฐม แหล่งฟาร์มหมูคุณภาพเกรดเอที่ขึ้นชื่อลือชามาแสนนานจวบจนปัจจุบัน แถมยังสามารถเลือกได้ตามใจว่าต้องการรสชาติของน้ำซุปและน้ำจิ้มแบบใดตามสไตล์ของแต่ละร้านได้เลย อาทิ

  • หมูกระทะญี่ปุ่นที่ร้านฮารุสุกี้นาเบะ
  • หมูกระทะเกาหลีที่ร้านฮาวอน
  • หมูกระทะฮ่องกงที่ร้านฮ่องกงเปี้ยนตัง
  • หมูกระทะบังกระโลที่ร้านบังกะโลริเวอร์

โดยในถาดยักษ์รูปทรงพระปฐมเจดีย์ที่ยกมา นอกจากประดาทุกชิ้นส่วนของหมูแล้ว ยังมีซีฟู๊ดเรียงร้อยมาแบบจัดเต็ม ทั้งปลาหมึกสด ปลาหมึกกรอบ แมงกระพรุน  หอยแมลงภู่ ชิกุวะ ปลาและกุ้ง เสริฟมาพร้อมผักสดประดามี เรียกได้ว่าหนึ่งชั่วโมงกว่าๆ ในราคาเพียง 999 บาท สำหรับ 4 ท่าน อิ่มอร่อยถูกใจใช่เลยแน่นอน นั่งเหยียดพุงกันสักเล็กน้อย ก็ถึงเวลาไปใช้บริการฟรี! 2 ฐานกิจกรรมตามแพคเกจนี้อีกต่างหาก อาทิ ซิปไลน์ในโซนแอดเวนเจอร์ไอแลนด์ พายเรือคายัคหรือนั่งเรือเป็ดไฟฟ้าชมวิวทิวทัศน์ในคลองมหาสวัสดิ์ สกรีนเสื้อลายยันต์หลากหลายมากมายรูปแบบในไทยโซน หรือแม้กระทั่งชวนกันไปร้องคาราโอเกะในระบบเธียเตอร์สุดอลังการไม่เหมือนใคร ฯลฯ

สำหรับน้องๆ หนูๆ ที่อยากชวนชมโชว์แฟนตาซีที่เล่าเรื่องราวของมัจฉานุกับการผจญภัยกล่องสมบัติในถ้ำหนุมานใช้เวลาประมาณ 45 นาที สามารถพาน้องๆ เข้าชมได้ โดยมีค่าเข้าชมท่านละ 800 บาท

นอกจากนี้ คุณพ่อคุณแม่ก็สามารถไปผ่อนคลายที่สถานีสปาสุมนไพรภายใน 30 นาที ราคาสถานีละ 1,000 บาทต่อท่าน สามารถเลือกได้ตามใจ ไม่ว่าจะเป็น Salt Sauna ห้องซาวน่าเกลือหิมาลายันสำหรับอบตัว Herb Sento ห้องแช่น้ำสมุนไพรในถังไม้โอ๊ค Clay Bath ห้องพอกตัวขัดตัวและแช่น้ำนมในอ่างโคลนขาว ก่อนกลับอย่าลืมแวะเติมพลังกับเครื่องดื่มเมนูโปรดที่ HUB Cafe และถ่ายรูปกับน้องหมีส้มซ่าส์ มาสคอตตัวล่าสุดของเดอะศาลายา เลเชอร์ ปาร์ค

เดอะศาลายา เลเชอร์ ปาร์ค นอกจากจะเดินทางมาได้ด้วยรถส่วนตัวแล้ว สามารถมาด้วยรถไฟ โดยแนะนำให้ไปเริ่มต้นที่ชุมทางตลิ่งชันแล้วมาลงที่สถานีศาลายา ทั้งนี้ หากจองแพคเกจหรือตั๋วเข้าชมใดๆ ล่วงหน้ามาก่อน ทางเดอะศาลายา เลเชอร์ ปาร์ค จะมีรถตุ๊กตุ๊กพร้อมเจ้าเงาะไปรับไปส่งถึงสถานีรถไฟกันเลยทีเดียว สามารถเชคเที่ยวเดินรถไฟล่วงหน้าได้ที่เวปไซด์การรถไฟแห่งประเทศไทย www.railway.co.th

เดอะศาลายา เลเชอร์ ปาร์ค ได้รับรางวัลประเภทการท่องเที่ยวคาร์บอนต่ำเพื่อความยั่งยืน (Low Carbon & Sustainability) ประจำปีพุทธศักราช 2566 นอกจากนี้ยังได้รับรางวัลอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย (Thailand Tourism Awards) หรือรางวัลกินรีที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยมอบให้แก่ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวทุกๆ 2 ปี เพื่อตอกย้ำเป้าหมายการยกระดับมาตรฐานอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย Sustainable Tourism Goals : STGs สู่การเติบโตอย่างยั่งยืน (High Value and Sustainability)

หากสนใจ สามารถสอบถามเพิ่มเติมที่ : เดอะศาลายา เลเชอร์ ปาร์ค  ตรงข้ามสถานีรถไฟศาลายา  เยื้องประตู 5 ม.มหิดล ศาลายา นครปฐม
โทรจองและสอบถามข้อมูล:  
081-257-6053,  090-197-6009,  02-429-8401 ต่อ 141

เกาะขอบรั้ว โรงเรียนอนุบาลบ้านหวาน บ้านหลังเล็กที่เต็มไปด้วยการเรียนรู้ยิ่งใหญ่มาก

event

ใครจะไปคิดว่าเราจะไปเจอโรงเรียนที่น่าสนใจให้ลูกเข้าเรียน จากเพจเฟซบุ๊กของแกลเลอรีศิลปะ !?

เริ่มจากทีมแม่ ABK บังเอิญไปเจอแกลเลอรีแห่งหนึ่ง แชร์ภาพเด็กน้อยในชุดยูนิฟอร์มอนุบาลกำลังวิ่งเล่นและดูผลงานศิลปะมูลค่าหลายหมื่นบาทอย่างสนุกสนานอิสระเสรี จนต้องตั้งคำถามว่าโรงเรียนแบบไหนที่จะพาลูกเราไปดูงานศิลปะ “ของจริง” ขนาดนี้ แล้วโรงเรียนจะทำอะไรต่อเมื่อกลับไปแล้ว พอเราตามไปดูก็พบโรงเรียนที่ให้เด็กอนุบาลวาดภาพลงบนเฟรมผ้าใบอย่างอิสระ และจัดแสดงนิทรรศการอย่างจริงจัง มีการซื้อขายจริงๆ ในโรงเรียนของตัวเอง เหมือนกับสิ่งที่เขาได้ไปเรียนรู้มา

บรรยากาศโรงเรียน

ที่นี่คือโรงเรียนอนุบาลบ้านหวาน โรงเรียนอนุบาลขนาดเล็ก ที่มีอาคารเรียนเพียง 1 อาคาร มีห้องเรียนระดับละ 1 ห้อง แต่มีกิจกรรมการเรียนรู้ที่ยิ่งใหญ่ไม่แพ้โรงเรียนไหนเลย

“พื้นที่ของเรา เราสามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างคุ้มค่า ถึงแม้มันจะดูไม่ได้ใหญ่โตมากมาย อย่างสนามหญ้าตรงนี้ บางคนอาจจะมองว่ามันเล็กแค่นี้เองหรอ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นที่นี่มันมากมายเหลือเกิน…” คือคำพูดของ “ครูขิม-ทศา เที่ยงธรรมเจริญ” ผู้อำนวยการโรงเรียน ที่สะท้อนความตั้งใจในการสร้างการเรียนรู้ให้กับเด็กๆ โดยไม่มีข้อจำกัดด้านพื้นที่

ครูขิม-ทศา เที่ยงธรรมเจริญ ผู้อำนวยการโรงเรียนอนุบาลบ้านหวาน

“บ้านหลังที่ 2 ของลูก”

ครูขิมเล่าว่าโรงเรียนอนุบาลบ้านหวานก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2548 โดยคุณพ่อได้สร้างอาคารเรียนขึ้นมาใหม่บนพื้นที่ใกล้เคียงกับโรงงานเฟอร์นิเจอร์ที่เป็นธุรกิจหลักในขณะนั้น ตัวอาคารจึงถูกออกแบบโดยบุคคลากรที่มีความรู้ด้านอินทีเรียดีไซน์ ให้ออกมาอบอุ่น เรียบง่าย กะทัดรัด แต่ใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ภายในโรงเรียนมีพื้นที่อำนวยความสะดวกครบครัน ทั้งอาคารเรียน เพลย์รูม หอประชุม สระว่ายน้ำ โรงอาหาร สนามหญ้ากลางแจ้ง บนพื้นที่เพียง 400 กว่าตารางวา บนย่านเศรษฐกิจในเขตพระโขนง ตั้งอยู่ไม่ไกลจากสถานีบีทีเอสอ่อนนุช

“เราอยากทำโรงเรียนให้เหมือนบ้านหลังที่ 2 แบบที่ใคร ๆ ก็พูดกันว่าโรงเรียนคือบ้านหลังที่ 2 ของเด็ก แต่เราอยากทำให้มันเป็นแบบนั้นจริง ๆ ทั้งบรรยากาศ ทั้งความรู้สึกของเด็ก ๆ ที่ได้มาอยู่ที่นี่” ครูขิมอธิบายให้เราฟัง

เด็กๆ กำลังเล่นสวมบทบาทสมมติด้วยอาหารจริง บริเวณสนามหญ้ากลางแจ้ง

“ที่บ้านหวาน เรื่องเล่นจริงจังมาก”

เมื่อตั้งใจให้โรงเรียนเป็นบ้านหลังที่ 2 โรงเรียนอนุบาลบ้านหวานที่ใช้หลักสูตรสามัญปกติ จึงเน้นกระบวนการเรียนรู้ผ่าน Play-Based Learning คือ การบูรณาการการเรียนรู้และทำกิจกรรมต่าง ๆ ผ่านการเล่น โดยมีการใช้ Project Approach ในการทำโครงงานนักเรียนช่วงปลายภาคเรียน โดยให้เด็ก ๆ เลือกโหวตหัวข้อที่ตนเองสนใจ แล้วก็ใช้เวลาเรียนรู้ศึกษาอย่างลุ่มลึก 4 สัปดาห์ ในวันสุดท้ายของภาคการศึกษาจะเป็นการนำเสนอผลงานผ่านนิทรรศการโครงงานนักเรียน เพื่อให้ผู้ปกครองได้มาชมร่องรอยการเรียนรู้และผลงานของลูก ๆ

และเมื่อเราถามว่าที่ให้เล่นนั้น คือ ให้เล่นขนาดไหน ครูขิมจึงพาเราเดินชมโรงเรียนที่เด็ก ๆ กำลังทำกิจกรรมอาหารดีมีประโยชน์ ในหน่วยการเรียนรู้ “อาหาร” ประจำภาคเรียน ซึ่งเด็ก ๆ ทุกห้องกำลังลงมือเล่นอาหารอย่างเอิกเกริกที่สุด

-ทั้งเสียงเจื้อยแจ้วจากสนามหญ้าที่เด็กลงมือสัมผัสเส้นสปาเก็ตตี้ ข้าวเหนียว ตักไอศกรีมที่ทำจากแป้งโดว์ แล้วสวมบทบาทสมมติอย่างอิสระ ทั้งเป็นแม่ค้า คนซื้อ คุณแม่ คุณลูก อย่างสนุกสนาน

-ทั้งเสียงร้องอี๋ เมื่อเด็ก ๆ ดมส่วนผสมจากห้องที่กำลังทำเกี๊ยว ทุกคนทั้งตัก หัน ผสม ทอด ด้วยตัวเอง โดยมีคุณครูคอยดูแลอยู่ใกล้ๆ และนำมาทานด้วยกัน

-ทั้งเสียงประหลาดใจ “สีมันเปลี่ยนแล้ว” จากห้องเรียนที่กำลังทดลองวาดภาพจากขมิ้น ที่เมื่อเจอน้ำด่างแล้วกลายเป็นลายเส้นสีแดง

ชั่วเวลาไม่นานเราได้เห็นการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นมากมายในโรงเรียน ทั้งการใช้ประสาทสัมผัสทั้ง 5, ทักษะทางวิทยาศาสตร์, การคำนวน, การสวมบทบาทสมมติ ฯลฯ เป็นการเรียนรู้ที่เด็กซึมซับโดยไม่รู้ตัว

กิจกรรมวาดภาพจากขมิ้น ที่บูรณาการการเรียนรู้ทั้งการสัมผัส วิทยาศาสตร์ ศิลปะ พืชพันธุ์ อาหาร ไว้ด้วยกัน

“เพราะเล็ก จึงทั่วถึง”

ทางโรงเรียนอนุบาลบ้านหวานตั้งใจเปิดแค่ในระดับอนุบาลเพราะต้องการดูแลโรงเรียนอย่างทั่วถึงในทุกมิติ ทั้งนักเรียนและคุณครู ครูขิมเชื่อว่าเมื่อโรงเรียนมีขนาดกะทัดรัดคล่องตัว จะเอื้อต่อการสร้างบรรยากาศในการเรียนรู้ การออกแบบกิจกรรมให้สอดคล้องกับพัฒนาการของเด็กจริง ๆ ให้เด็ก ๆ ได้เรียนรู้ตามวัยของเขาอย่างมีความหมาย เพื่อให้โรงเรียนกลายเป็น community เล็ก ๆ ที่สามารถสร้างเมล็ดพันธุ์ให้เด็กโตไปเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพได้ ที่โรงเรียนจึงไม่มีเด็กคนไหนถูกทิ้งไว้ข้างหลัง ทุกคนจะได้รับโอกาสให้เข้าร่วมกิจกรรม และกระตุ้นให้ปฏิบัติอย่างทั่วถึงกัน

กิจกรรมทำอาหารทานเอง เด็ก ๆ ได้เรียนรู้วิธีทำไข่เค็มและเกี๊ยวทอด โดยต้องนำวัตถุดิบมาเองและลงมือทำด้วยตัวเองทีละคนจนครบทุกคน

“การเรียนรู้ไม่หยุดนิ่ง”

นอกจากจะเล่นอย่างจริงจัง แต่การเรียนรู้ตามหลักสูตรเองทางโรงเรียนก็ไม่ทอดทิ้ง โรงเรียนอนุบาลบ้านหวานมีการปรับหน่วยการเรียนรู้ในแต่ละภาคเรียนให้ทันสมัยอยู่เสมอ เช่น หน่วยปลอดภัยไว้ก่อน มีการเพิ่มทักษะการเอาตัวรอดจากเหตุการณ์ถูกล็อคอยู่ในรถยนต์หรือเหตุการณ์กราดยิงตามห้างสรรพสินค้า การวางแผนกิจกรรมการเรียนรู้ต่างๆ มีการประชุมสรุปผลการเรียนรู้ทุกภาคเรียน เพื่อปรับให้มีประโยชน์สูงสุดต่อตัวเด็ก

มีการเรียนเขียนอ่านโดยไม่กดดัน ไม่บังคับให้ท่องจำ แต่หากใครชอบใครสนใจอยากเขียนอยากอ่านก็เปิดโอกาสให้ทำ เนื่องจากการเข้าชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 จึงต้องสอบเขียนอ่าน เด็ก อ. 3 โรงเรียนนี้จึงอ่านออกเขียนได้ บวกลบเลขได้ มีการใช้นิทานและเกมเข้ามาช่วยในการเรียนรู้ เพื่อให้เกิดความสนุกและเกิดความรู้สึกที่ดีเกี่ยวกับการเขียนอ่าน

เด็ก ๆ มีความสุขในบ้านหลังที่ 2

 

Mommy Love This! เรื่องนี้ถูกใจแม่

  1. การประเมินนักเรียนของที่นี่ไม่มีการสอบ ไม่มีการวัดเกรด แต่มีการประเมินพัฒนาการทั้ง 4 ด้าน (ร่างกาย อารมณ์ สังคมและสติปัญญา) โดยการใช้การปฏิบัติและการสังเกตของคุณครู
  2. มีเรียนว่ายน้ำภายในโรงเรียน เรียนสัปดาห์ละ 1 ครั้ง
  3. โรงเรียนพานักเรียนออกไปทัศนศึกษา One Day Trip เป็นประจำเพื่อส่งเสริมหน่วยการเรียนรู้ที่เรียนอยู่ โดยเลือกสถานที่และกิจกรรมที่เหมาะกับวัย และดูแลความปลอดภัยอย่างดี เช่น ห้องสมุด ศูนย์การเรียนรู้ หอภาพยนตร์ หอศิลป์ ฯลฯ
  4. โรงเรียนขนาดเล็กที่คุณครูรู้จักเด็กทุกคน จึงอบอุ่นและปลอดภัยมาก

5 สิ่งหวานๆ ที่ทำให้เด็กๆ อยากมาโรงเรียนอนุบาลบ้านหวานทุกวัน

1 ที่นี่เป็นโรงเรียนที่เปิดโอกาสให้เด็ก ๆ ได้เล่นแบบที่ได้เรียกว่าเล่นจริง ๆ บางสิ่งบางอย่างหาไม่ได้จากที่บ้าน หรืออาจจะไม่มีโอกาสได้หยิบจับที่บ้านเลย อย่างเช่น มีด ที่บดอาหาร หรืออุปกรณ์ที่ดูจะเป็นอันตราย แต่เขาจะได้เล่นที่โรงเรียนอย่างปลอดภัย

2 เด็กๆ จะได้เป็นตัวของตัวเองแบบที่ยังมีขอบเขตอยู่ เขาสามารถเป็นตัวของตัวเองได้ เขาบอกความต้องการของตัวเองได้ เขาสามารถค้นหาตัวเองได้ว่าเขาชอบทำอะไร โดยคุณครูให้อิสระกับเขาเต็มที่

3 เด็กๆ บอกว่าอาหารอร่อย จนกลับไปบอกที่บ้านว่าให้ทำเมนูแบบที่โรงเรียนได้ไหม ซึ่งทางโรงเรียนทำอาหารด้วยความตั้งใจ เพื่อให้เด็กๆ อิ่มท้องอิ่มใจกับการมาโรงเรียน

4 พื้นที่สีเขียว ที่ถึงแม้พื้นที่จะดูเล็กแต่ที่นี่มีต้นไม้มาก โรงเรียนเน้นให้เด็กๆ อยู่กับธรรมชาติ เรียนรู้ผ่านธรรมชาติ ก้อนหิน ต้นไม้ ดอกไม้ ที่เขาได้เห็น มันจะช่วยเรื่องสุนทรียศาสตร์ทางด้านอารมณ์ของเด็กๆ ด้วย

5 คุณครูใจดีที่รู้จักและเข้าใจเด็กทุกคน ผู้อำนวยการโรงเรียนจะเป็นผู้สัมภาษณ์คุณครูทุกคน เพื่อให้ได้คุณครูที่มีความเข้าใจในการพัฒนาเด็กปฐมวัย

ข้อมูลโรงเรียน

-หลักสูตรสามัญ บูรณาการการเรียนรู้ผ่านการเล่น

-มี 2 ภาคการศึกษา

-มีระดับชั้น เตรียมอนุบาล, อนุบาล 1-3

-ระดับชั้นละ 1 ห้อง เตรียมอนุบาลห้องละ 20 คน, อนุบาล1-3 ห้องละ 25 คน

-ครูปฐมวัยประจำชั้น 1 คน และครูคู่ชั้นประจำห้อง 1 คน

 

ค่าเทอม

เตรียมอนุบาล เทอม 1 = 34,000 บาท, เทอม 2 = 29,000 บาท

ชั้นอนุบาล 1-3 เทอม 1 = 36,000 บาท, เทอม 2 = 31,000 บาท

 

ติดต่อโรงเรียนอนุบาลบ้านหวาน

ที่ตั้ง : ซอยสุขุมวิท 54 เขตพระโขนง กรุงเทพฯ

โทร. 02 332 8021

Email: [email protected]

Facebook: https://www.facebook.com/baanwaan.kindergarten

LINE OA: @baanwaan.kdgt

 

Editor : แม่น้องอลินดา

ภาพ : ณัฐวุฒิ เพ็งคำภู

ชวนทุกคนมาช้อปสนุก ชาร์จพลังสุขภาพ ได้ที่งาน The Selection 2024 : Your Wellness Discovery

event
The Selection ในเครือโรงพยาบาล พญาไท- เปาโล แหล่งรวมเคล็ดลับการดูแลสุขภาพที่ครอบคลุมทุกประเด็น อาทิ เรื่องสุขภาพที่น่าสนใจ เทรนด์การออกกำลังกาย บทความอาหารเพื่อสุขภาพ หรือความรู้เรื่องโรคต่าง ๆ และวิธีป้องกันสำหรับคนทุกช่วงวัย ทั้งในวัยเด็กเล็ก วัยรุ่น วัยผู้ใหญ่ หรือผู้สูงอายุ เพื่อให้เข้าถึงข้อมูลสุขภาพที่ถูกต้องและน่าเชื่อถือ เพื่อเป็นแนวทางในการดูแลสุขภาพให้แข็งแรง สร้างภูมิคุ้มกันเพื่อการมีสุขภาวะที่ดี ห่างไกลโรคภัยไข้เจ็บ
ชวนทุกคนมาช้อปสนุก ชาร์จพลังสุขภาพ ได้ที่งาน The Selection 2024 : Your Wellness Discovery
วันที่ 11-17 พฤศจิกายน 2567
เวลา 10.00 – 20.00 น.
ณ ลานโปรโมชั่น ชั้น G สามย่านมิตรทาวน์
พบกับกิจกรรมมากมาย อาทิ ตลาดสินค้าสุขภาพกว่า 20 บูท, Workshop ศิลปะบำบัด, ลุ้นรับของรางวัลกับเกมวัดสุขภาพ พร้อมลุ้นรับของรางวัลพิเศษจาก 3 สปอนเซอร์
– BRAND’S : Match Challenge
– Pongyo Baby: Ready for Baby
– Goodmate : Puzzle Cube
ร่วมด้วยบูทสุขภาพดีจาก Phyathai Life, All You Can Check และ Fit Point
ติดตามความเคลื่อนไหวการจัดงานได้ทาง Facebook The Selection คลิก https://www.facebook.com/TheSelectionCommunity

โรงเรียนนานาชาติโชรส์เบอรี กรุงเทพ ซิตี้แคมปัส ขยายอาคารเรียนชั้นอนุบาล เน้นสร้างสภาพแวดล้อมที่เป็นเสมือนครูคนที่สาม ปูรากฐานการเรียนรู้ที่แข็งแรง สู่อนาคตที่ยั่งยืน

event

โรงเรียนนานาชาติโชรส์เบอรี กรุงเทพ (Shrewsbury International School Bangkok) หนึ่งในโรงเรียนนานาชาติชั้นนำของประเทศไทย ประกาศเปิดตัวอาคารเรียนส่วนต่อขยายสำหรับนักเรียนชั้นอนุบาล (Early Years) วัย 2-5 ปี อย่างเป็นทางการ ที่สาขา ซิตี้แคมปัส (City Campus) ตั้งอยู่ใจกลางเมืองย่านสุขุมวิท-พระราม 9 ภายใต้ธีม “Early Years Development: Setting Foundation, Shaping Future” เพื่อสร้างพื้นฐานการเรียนรู้ที่แข็งแรง และปูทางสู่อนาคตอย่างมั่นคง พร้อมยกสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ให้เป็นเสมือนครูคนที่สาม และส่งเสริมทักษะการเรียนรู้ตลอดชีวิต (Lifelong Learning Skills) ให้ตั้งแต่วัยเยาว์ พร้อมตอบรับความต้องการสมัครเรียนของเด็กวัยอนุบาลที่เพิ่มมากขึ้น ท่ามกลางการแข่งขันในธุรกิจโรงเรียนนานาชาติที่เติบโตอย่างรวดเร็ว โดยฝ่าย Early Years ของโรงเรียนตั้งเป้ารับนักเรียนวัยอนุบาลเพิ่มเป็น 232 คนต่อปี หรือเพิ่มขึ้น 33% จากแผนเดิม ทั้งนี้การเปิดตัวอย่างเป็นทางการได้รับเกียรติจาก นายชาลี โสภณพนิช ผู้ก่อตั้งโรงเรียนนานาชาติโชรส์เบอรี กรุงเทพ ร่วมเป็นเกียรติเปิดงานด้วย

อแมนดา เดนนิสัน ครูใหญ่และครูผู้บริหารรุ่นก่อตั้งโรงเรียนนานาชาติโชรส์เบอรี กรุงเทพ ซิตี้แคมปัส กล่าวว่า “โรงเรียนนานาชาติโชรส์เบอรี กรุงเทพ ซิตี้แคมปัส ให้ความสำคัญกับการสร้างรากฐานการเรียนรู้ที่แข็งแกร่งให้เด็กตั้งแต่ยังเล็ก ด้วยการออกแบบหลักสูตรที่ให้เด็กเป็นผู้นำในการเรียนรู้ และสร้างสภาพแวดล้อมการเรียนเชิงบวกที่ช่วยพัฒนาศักยภาพของเด็กให้ครบทุกด้าน การขยายอาคารใหม่ของสาขาซิตี้แคมปัสครั้งนี้จึงถือเป็นก้าวสำคัญที่สะท้อนว่าเรามุ่งมั่นมอบการศึกษาระดับพรีเมียมให้เด็กได้เติบโตอย่างมีคุณภาพ อีกทั้งยังเพื่อตอบรับกับความต้องการที่เพิ่มมากขึ้นทุกปีของผู้ปกครองที่ต้องการส่งบุตรหลานวัยอนุบาลเข้ามาเรียนที่ซิตี้แคมปัส ซึ่งปีนี้และปีต่อ ๆ ไป เราตั้งเป้าเปิดรับนักเรียนอนุบาลเพิ่มเป็น 232 คน หรือเพิ่มขึ้นราวๆ 33% จากแผนเดิมก่อนที่จะมีการขยายอาคาร”

“Environment as the Third Teacher” แนวคิดให้สภาพแวดล้อมเปรียบเสมือนครูคนที่สาม

อาคารเรียนส่วนต่อขยายสำหรับนักเรียนชั้นอนุบาล (Early Years) ของโรงเรียนนานาชาติโชรส์เบอรี กรุงเทพ ซิตี้แคมปัส ได้รับการออกแบบภายใต้แนวคิด “Environment as the Third Teacher” คือการสร้างสภาพแวดล้อมให้เป็น “ครูคนที่สาม” ที่ช่วยส่งเสริมการเรียนรู้และกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นตามธรรมชาติของเด็ก ผ่านการที่พวกเขาสามารถสำรวจทุกสิ่งรอบตัวมาเรียนรู้ ท่ามกลางบรรยากาศการเรียนที่ผ่อนคลาย มีความสุข และปลอดภัย ส่งผลให้เด็ก ๆ ได้พัฒนาทักษะพื้นฐานที่จำเป็นต่อการเรียนรู้ตลอดชีวิต (Lifelong Learning Skills)
อาทิ การคิดวิเคราะห์ การแก้ไขปัญหา ความคิดสร้างสรรค์ การพึ่งพาตนเอง และการปรับตัว เป็นต้น ซึ่งการที่จะทำให้สภาพแวดล้อมเป็นเสมือนครูคนที่สาม โรงเรียนจึงได้สร้างอาคารขึ้นมาอย่างเฉพาะเจาะจง (Purpose-built Facility) เพื่อให้เด็กเล็กใช้เท่านั้น คือ ห้องเรียน เฟอร์นิเจอร์ สิ่งของต่าง ๆ รวมถึงต้นไม้และสวนรอบอาคาร ได้รับการออกแบบและจัดวางให้เหมาะสมกับเด็ก นอกจากนี้ อีกหนึ่งความโดดเด่นคือโซน “Early Years Hub” ซึ่งเป็นพื้นที่ตรงกลางเชื่อมต่อห้องเรียนทุกห้องอย่างกลมกลืน ไม่มีระเบียงทางเดินกั้นระหว่างห้องเรียนเหมือนโรงเรียนทั่วไป เพื่อให้เด็กสามารถเคลื่อนไหวอย่างอิสระทั้งภายในและภายนอกห้องเรียน และมีโอกาสปฏิสัมพันธ์กับเด็กและคุณครูคนอื่น ๆ นอกชั้นเรียนของตน พื้นที่ตรงกลางนี้ยังออกแบบขึ้นมาเพื่อผู้ใหญ่ด้วย คือสามารถเป็นจุดพบปะและเชื่อมสัมพันธ์กันระหว่างผู้ปกครองและครูเมื่อมาส่งหรือรอรับบุตรหลาน เกิดเป็นคอมมิวนิตี้ครอบครัวโรงเรียนโชรส์เบอรีที่อบอุ่นและเป็นมิตร

แคธเทอรีน โอคิล ผู้ช่วยครูใหญ่ฝ่ายเด็กอนุบาลและประถมต้น กล่าวว่า “การเปิดตัวส่วนต่อขยายของอาคารใหม่ของฝ่ายอนุบาลคือความภาคภูมิใจของโรงเรียน เพราะการขยายพื้นที่เพื่อรองรับจำนวนเด็กเล็กที่มาสมัครเรียนเพิ่มขึ้นจากเสียงเรียกร้องจากผู้ปกครองรายใหม่ หมายความว่าเราได้รับความไว้วางใจและเสียงตอบรับที่ดีมากจากผู้ปกครองปัจจุบัน อีกทั้งเรายังมีทีมครูผู้เชี่ยวชาญด้านการสอนเด็กเล็กพร้อมด้วยวุฒิครูรับรองจากกระทรวงศึกษาของประเทศอังกฤษ (UK’s Qualified Teacher Status – QTS) ร่วมมือกันเพื่อนำหลักสูตรพัฒนาเด็กเล็กขั้นพื้นฐานของอังกฤษ Early Years Foundation Stage และแนวทางที่เน้นให้เด็กเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ Reggio Emilia Approach มาใช้กับการเรียนการสอนเด็กเล็กที่นี่ ซึ่งความเชี่ยวชาญในหลักสูตรจากครูของเรา ควบคู่กับอาคารสถานที่เรียนที่สร้างขึ้นอย่างใส่ใจทุกรายละเอียด ยิ่งส่งเสริมให้เด็ก ๆ เติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง และได้เริ่มต้นเส้นทางการเรียนรู้อย่างมีคุณภาพตั้งแต่ก้าวแรกที่พวกเขาเข้ามาเรียนในโรงเรียนนานาชาติโชรส์เบอรี กรุงเทพ ซิตี้แคมปัส”


เปิดตัวมาสคอตประจำชั้นอนุบาล “Starfish”

นอกจากนี้ ภายในงานเปิดตัวส่วนขยายอาคารใหม่ของโรงเรียนนานาชาติโชรส์เบอรี กรุงเทพ ซิตี้แคมปัส ได้มีการเปิดตัวมาสคอตสุดน่ารักสำหรับนักเรียนชั้นอนุบาล ชื่อ “Starfish” หรือ “ปลาดาว” สัตว์ทะเลซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งความสามารถในการปรับตัวและการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง สะท้อนเป้าหมายหลักของโรงเรียนที่ต้องการสร้างรากฐานการเรียนรู้และทักษะชีวิตที่มั่นคงให้กับเด็ก ๆ ตั้งแต่เยาว์วัย

ทั้งนี้การเปิดตัวอาคารเรียนส่วนต่อขยายสำหรับนักเรียนชั้นอนุบาล (Early Years) สำหรับเด็กเล็กวัย 2-5 ปี อย่างเป็นทางการของโรงเรียนนานาชาติโชรส์เบอรี กรุงเทพ ซิตี้แคมปัส ในครั้งนี้ ได้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของโรงเรียนนานาชาติโชรส์เบอรี กรุงเทพ ในการเป็นศูนย์กลางแห่งการเรียนรู้ของเด็กเล็ก ที่มุ่งส่งมอบประสบกาณ์การเรียนที่มีคุณภาพตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นชีวิตของเด็ก ๆ เพื่อสร้างรากฐานที่แข็งแกร่ง ปูทางสู่อนาคตที่ยั่งยืน

ข้อมูลเกี่ยวกับ โรงเรียนนานาชาติโชรส์เบอรี กรุงเทพ

โรงเรียนนานาชาติโชรส์เบอรี กรุงเทพ เป็นหนึ่งในโรงเรียนนานาชาติชั้นนำของประเทศไทยและของเอเชีย และยังเป็นสาขาแรกในเอเชียของโรงเรียนโชรส์เบอรี ประเทศอังกฤษ โดยโรงเรียนนานาชาติโชรส์เบอรี กรุงเทพ ริเวอร์ไซด์ ที่ถนนเจริญกรุง ได้เปิดทำการเรียนการสอนมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2546 รวมเวลากว่า 20 ปี ตามด้วยโรงเรียนนานาชาติโชรส์เบอรี กรุงเทพ ซิตี้แคมปัส ที่เปิดสอนในปี พ.ศ. 2561 ที่ย่านสุขุมวิท-พระราม 9 เพื่อตอบสนองต่อจำนวนนักเรียนที่เพิ่มมากขึ้น โรงเรียนนานาชาติโชรส์เบอรี กรุงเทพ ซิตี้แคมปัส เป็นโรงเรียนระดับปฐมวัยที่เชี่ยวชาญในการปูพื้นฐานที่แข็งแกร่งสำหรับการเรียนรู้และทักษะชีวิตต่าง ๆ เปิดรับนักเรียนอายุ 2 ถึง 11 ปี ตั้งแต่ระดับชั้นก่อนอนุบาล (Nursery) จนถึงประถมต้น Year 6 ตามหลักสูตรอังกฤษ ซึ่งนักเรียนที่จบการศึกษาจากชั้น Year 6 ที่ซิตี้แคมปัส จะสามารถเข้าศึกษาต่อในระดับชั้น Year 7 ได้ทันทีที่โรงเรียนนานาชาติโชรส์เบอรี กรุงเทพ ริเวอร์ไซด์ ไปจนถึงอายุ 18 ปี เพื่อเตรียมตัวก้าวเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัย ทั้งนี้ โรงเรียนนานาชาติโชรส์เบอรี กรุงเทพ มีประวัติผลการเรียนและการสอบของนักเรียนที่ยอดเยี่ยม โดยเป็นหนึ่งในโรงเรียนอันดับต้น ๆ ที่มีสถิตินักเรียนสอบเข้ามหาวิทยาลัยชั้นนำของโลกในประเทศอังกฤษ สหรัฐอเมริกา รวมถึงประเทศในภูมิภาคยุโรป เอเชีย และโอเชียเนีย สูงสุด

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโรงเรียนนานาชาติโชรส์เบอรี กรุงเทพ ซิตี้แคมปัส โปรดเยี่ยมชม

DADI International Kindergarten

DADI International Kindergarten โรงเรียนอนุบาลนานาชาติ 3 ภาษาแสนสุขของเด็กอารมณ์ดี

event
DADI International Kindergarten
DADI International Kindergarten

ใจกลางเมืองอันแสนวุ่นวาย มีดินแดนแห่งความสุข และความสนุกซ่อนอยู่ ณ ซอยนราธิวาสราชนครินทร์ 24 ที่มีชื่อว่า ณ บางช้าง “ DADI International Kindergarten ” หรือเป็นที่เรียกกันในชื่อ โรงเรียนอนุบาลนานาชาติต้าตี้ อีกหนึ่งสุดยอดโรงเรียนอนุบาล (นานาชาติ) ในฝันของเด็ก ๆ ที่มีกว่า 650 สาขาทั่วโลก  และทำไม DADI จึงเป็นโรงเรียนที่ทุกคนตกหลุมรัก  วันนี้เราจะพาทุกคนมาหาคำตอบกันค่ะ

ความรู้สึกส่งผ่านกันได้ ความสุขก็เช่นกัน ดูรอยยิ้มของ Teacher สิคะ
ชั่วโมง Chinese wording กำลังออกเสียงตามเหล่าซือกันค่ะ
classroom layout นี้เด็กๆเป็นผู้จัดและช่วยเก็บด้วยนะคะ
สนุกแค่ไหนนั้น? ให้ภาพเล่าเรื่อง

Happiness is the core

โรงเรียนแห่งแรกที่ทุกคนการตกหลุมรัก

  • First Impression โรงเรียนสร้างความประทับใจ ความสนุกสนาน ทำให้เด็ก ๆ รอคอยและอยากไปโรงเรียนทุก ๆ วัน
  • Regularity = ความสม่ำเสมอ เพราะธรรมชาติของเด็ก ๆ และ background ของแต่ละครอบครัวแตกต่างกัน สภาพอารมณ์ในแต่ละวัน ก็มีผลกับอารมณ์ของเด็ก ๆ คุณครูจึงเป็นหัวใจหลักในการดูแลทั้งร่างกายและจิตใจของเด็ก ๆ คุณครูต้องรักและเมตตาเด็ก ๆ โดยไม่มีเงื่อนไข ต้องทุ่มเท รับได้ และพร้อมช่วยเหลือทุกคนตลอดเวลาจึงจะทำให้เด็ก ๆ ไว้วางใจในสถานที่ใหม่ (โรงเรียน) ได้ค่ะ
  • โฟกัสที่การเตรียมความพร้อมของเด็ก ๆ เท่านั้น DADI จึงเป็น Play – Based และ Happy – Based Learning มาโรงเรียนต้องสนุก ( หัวใจหลักของ DADI เลยนะคะ ) เมื่อเด็ก ๆ มี Impression ที่ดีต่อการมาโรงเรียนขั้นต่อไปคือเด็ก ๆ จะพร้อมมากในการเรียนรู้ในโลกกว้างค่ะ แอบกระซิบค่ะ เด็ก ๆ หลายบ้าน อยากมาโรงเรียนในวันหยุดสุดสัปดาห์ !!

Language Readiness

เด็ก ๆ เรียนตั้ง 3 ภาษาหนักเกินไปไหม ?

ถ้าเปรียบเทียบสมองของเด็ก ๆ กับชิพตัวแรงในคอมพิวเตอร์ สมองของเด็ก ๆ ทรงพลังและยืดหยุ่นกว่ามาก ๆ เหมือน “ฟองน้ำ” ที่สามารถดูดซับ อุ้มน้ำได้มากและก็ใช้งานได้ดีเมื่อมีความชุ่มชื้น สมองของเด็ก ๆ ก็เช่นกันค่ะ สามารถเรียนรู้และมีความจุมาก..ความรู้จะเก็บเป็นคลัง รอคอยวันที่จะหยิบออกมาใช้ ดังนั้นการเรียนภาษาไทย ภาษาอังกฤษ และภาษาจีน ไปพร้อมกันเลยตั้งแต่เล็ก ๆ จะทำให้เด็ก ๆ จะคุ้นเคยกับบทสนทนาและมีคลังคำศัพท์ที่มากขึ้นเป็น 3 เท่าตัว และเป็นคำศัพท์ที่ทำให้เด็ก ๆ สามารถนำไปใช้ในชีวิตจริงในสถานการณ์ต่าง ๆ อีกด้วยค่ะ

ขณะเดียวกันถ้าเรามาเรียนภาษาที่ 2 หรือ ที่ 3 เมื่อเราโตไปแล้ว  จะพบได้ว่าจำยาก จำไม่ได้ ไม่ได้ใช้ก็ลืม…ใช่ไหมคะ

  • น้อง ๆ Nursery และ Pre K ใช้ภาษาจีน 50% ภาษาอังกฤษ 50%
  • K1 – K3 ภาษาจีนและอังกฤษ อย่างละ 45% ภาษาไทย 10% ดังนั้นนักเรียน DADI สามารถไปเรียนต่อโรงเรียนไทยได้

( DADI + Family จะร่วมหารือเตรียมความพร้อมเด็ก ๆ + วางแผนการเรียนต่อกันตั้งแต่ชั้น K2 กันเลยค่ะว่าทางครอบครัวอยากให้เด็กๆ “เข้า ป.1” ที่ไหน เพราะแต่ละโรงเรียนมีช่วงเวลาในการ admission ไม่เหมือนกัน ( โรงเรียนไทย vs. นานาชาติ )

คลาสนี้ใช้ภาษาอังกฤษกันค่ะ
คลาส Chinese wording ของ K3
ชั่วโมงศิลปะของน้องเล็ก มีทั้งคุณครูชาวจีน และคุณครูอังกฤษ combo เลย
Choo..choo..
Cooking Class กับเหล่าซือ

The Class

คลาสสนุก..ลูกชอบ ผู้ปกครองก็ร้องว้าว

Abacus Class การใช้ลูกคิด

  • เรียนกับเหล่าซือ Native Speaker
  • เด็ก ๆ จะฝึกอ่าน บวก – ลบ เลขก่อน เรียนร่วมกันเป็นกลุ่ม แต่ละคนมีอุปกรณ์เป็นของตัวเอง
  • Interaction ระหว่างเหล่าซือกับนักเรียน เหล่าซือจะคอยถามเพื่อให้เด็ก ๆ มีส่วนร่วมกันอย่างทั่วถึง
  • ข้อดีของ คลาสลูกคิด คือได้ภาษาในการสื่อสาร ฝึกสมอง ฝึกคิด ฝึกการใช้ตาและนิ้วมือให้สัมพันธ์กัน

STEAM – Engineering

  • นำไปต่อยอดไปสู่การเรียน Coding
  • เด็ก ๆ จะได้ใช้กันคนละ 1 ชุด
  • อุปกรณ์จะมีคู่มือ และ วัตถุประสงค์ในการเรียนรู้อย่างชัดเจน ( เป็นภาษาจีน ) ซึ่งคุณครูต้องนำไปเรียนรู้อย่างละเอียดก่อน แล้วนำมาสอนเป็นภาษาอังกฤษ

Art Class

  • เรียนทั้งภาษาจีนและภาษาอังกฤษ เด็ก ๆ จะเรียนรู้ทั้งคำศัพท์และบทสนทนา ในบริบทที่แตกต่างกันไป
  • กิจกรรมศิลปะและงานฝีมือสามารถช่วยให้เด็กๆ พัฒนาทักษะที่สำคัญหลายอย่างเลยนะคะ เช่น
  1. ความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการ
  2. แสดงออกถึงความเป็นตัวของตัวเอง
  3. สร้างความมั่นใจและความเป็นอิสระ
  4. แน่นอนที่สุดคือการพัฒนากล้ามเนื้อมัดเล็ก และทักษะด้านอื่น ๆ อีกมากมาย

Cooking Class

  • เรียนและทำกิจกรรมกันโดยใช้ภาษาจีน เหล่าซือจะไม่ปล่อยให้เด็ก ๆ เฝ้าดูแต่ฝ่ายเดียว มีการถามตอบ ชวนดู ชวนคิดกันไปด้วยตลอดเวลา
  • เด็ก ๆ จะรู้สึกสนุก เพลิดเพลิน มีสมาธิ เรียนรู้การทำงานเป็นลำดับขั้นตอนผ่านการสังเกต แถมได้ฝึกการอดทนรอคอยไปในคราวเดียวกัน

Chinese Wording

สิ่งแรกที่สังเกตได้คือ นักเรียน DADI ใช้ภาษาจีนได้คล่องแคล่วมาก โต้ตอบเหล่าซือได้อย่างเป็นธรรมชาติ กล้าและมั่นใจสุด ๆ บรรยากาศในห้องเรียนคึกครื้นมาก ล้วนเป็นผลมาจากความคุ้นเคยกับการใช้ภาษา + บทสนทนาตั้งแต่เล็ก ๆ

Jolly Phonics

  • Phonics คือเสียงของตัวอักษร เป็นเสียงภาษาอังกฤษของแต่ละตัวอักษร เพื่อนำไปสู่การประสมคำให้ง่ายขึ้น แทนการท่องจำตัวอักษร ABC ( เหมือนการเรียน กอ ขอ คอ สระอะ สระอา )
  • Jolly Phonics คือ การเรียนการสอนทักษะการสื่อสารแนวใหม่ ที่จะนำไปสู่ความพัฒนาก้าวหน้าในการฟังอย่างเป็นธรรมชาติ ตลอดไปจนถึงการพูดการอ่านและการเขียน
  • Jolly Phonics เน้นการสอนไปที่เสียงของตัวอักษรที่ตื่นเต้นและสนุกสนาน โดยทีเชอร์จะออกแบบกิจกรรมที่ให้เด็ก ๆ ได้ร้องเพลง เล่นเกมส์ ได้เคลื่อนไหว ความสนุกสนานนี้ทำให้เด็ก ๆ เก่งภาษาอังกฤษโดยไม่รู้ตัว

Show and Tell

  • ถ้า Phonics คือการเรียนรู้เรื่องเสียง Show and Tell คือการใช้งานจริง
  • ทุก ๆ วัน เด็ก ๆ จะสลับสับเปลี่ยนมาเล่าเรื่องหน้าชั้น (สัปดาห์ละ 1) เพราะ Public speaking skill จำเป็นต้องได้รับการฝึก เด็ก ๆ ต้อง คิดว่าจะเล่าเรื่องอะไร ฝึกเรียงลำดับการเล่า และหัดตอบคำถามคุณครูและเพื่อน ๆ
  • Show and Tell จะเรียนตาม Theme ที่หลากหลาย คราวนี้คลังคำศัพท์ของเด็ก ๆ จะขยายออกไปกว้างมาก ในสัปดาห์นี้เด็ก ๆเรียนเรื่อง Rainforest ค่ะ (เขตป่าฝน)
Abacus คลาสลูกคิด ฝึกทักษะการคิดและการทำงานประสานกันระหว่างตากับนิ้วได้ดีสุด ๆ
STEAM class K3
รู้คำตอบแล้วค่ะ!
มาเล่น maracas กัน
ฝึกการทรงตัวในน้ำแบบ private เลย

DADI and the best environment

นิเวศรอบลูก

สิ่งแวดล้อมรอบเด็ก ๆ เป็นอีกข้อหนึ่งที่คุณพ่อคุณแม่ต้องพิจารณาเพราะลูก ๆ ต้องใช้ชีวิตอยู่ที่โรงเรียนเป็นบ้านหลังที่สองเลยทีเดียว ขอยกตัวอย่างมาเพียง 10 ข้อเด่นนะคะ

  1. Morning : เมื่อเด็ก ๆ มาถึง DADI จะมีการ Check up point วัดอุณหภูมิ + คัดกรองโรค สำรวจแผลฟกช้ำดำเขียว
  2. Snack time : เด็ก ๆ จะดูแลตนเอง หยิบเอง ปอกเอง ช่วยเหลือตนเอง คุณครูจะช่วยกรณีที่เป็นของร้อน หรืออาหารร้อน
  3. Play Break : น้อง Nursery + Pre K จะเล่นพร้อมกัน | K1 K2 K3 จะเล่นด้วยกันต่อจากน้องเล็กค่ะ คุณครู ทีเชอร์ และเหล่าซือจะร่วมเล่นด้วยทุกครั้ง สนุกสนานจนบางครั้งแยกเสียงไม่ออกเลยว่าใครเป็นใคร
  4. Indoor playground : กรณีฝนตกก็จะใช้งานส่วนนี้แทน เพราะการเล่นคือ อิสระของเด็ก ๆ
  5. Teaching material : สื่อการสอนเหมาะสมเน้นการพัฒนา Sensorial Skills และในทุกห้องมี Interactive Whiteboard หรือ กระดานอัจฉริยะที่สัมผัสได้ เขียนได้ ทำให้การเขียนน่าสนใจและน่าติดตาม
  6. Safety indoor interior : ทุกบริเวณที่นักเรียนใช้ชีวิตจะมีการเสริม ป้องกันการบาดเจ็บอย่างดี
  7. Hygienic Habits : ล้างมือวันละ 8 ครั้ง และต้องล้างอย่างถูกวิธี
  8. Food Allergy : ทางโรงเรียนคอยเช็คและอัพเดทอาการแพ้อาหารของเด็ก ๆ อย่างสม่ำเสมอ และจะมีตารางแจ้งการแพ้อาหารของเด็ก ๆ ติดไว้บริเวณห้องอาหารอย่างชัดเจน ทุกคนต้องใส่ใจอย่างเคร่งครัด
  9. Teacher training : จัดอบรมคุณครูเรื่องการดูแลเด็กๆ เช่น การ CPR หรือช่วยเหลือเด็กสำลักอาหาร โดยทีมงานจากโรงพยาบาล
  10. Happy staffs : บุคลากรที่ DADI ทุกคนอารมณ์ดีและมีเมตตา เพราะถ้าผู้ดูแลอารมณ์ดีก็จะส่งผลให้เด็ก ๆ สบายใจ ไว้ใจ ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในโรงเรียน
เล่นเสร็จต้อง line up เข้าแถวเพื่อกลับห้อง – ฝึกระเบียบวินัย อดทน รอคอย = EF
คุณครู standby ในทุก ๆ ที่นักเรียนอยู่
safety interior มีการหุ้มทุกอย่างที่มีเหลี่ยม มุม
ถ้าฝนตกเด็ก ๆ จะมาใช้งาน indoor playground แห่งนี้ค่ะ
เมื่อเด็ก ๆ ล้างมือเสร็จและเข้าห้องเรียน พี่ ๆจะมาทำความสะอาดทันที

The Teachers and their energy

ทีมคุณครูผู้ทุ่มเท

  • คุณครู DADI ( เหล่าซือ และ Teacher ) มีคุณภาพ ทั้งคุณครูไทย จีน ฝรั่ง ล้วนต้องจบปริญญาตรีหรือโท ศึกษาศาสตร์โดยตรง
  • คุณครู DADI ทำหน้าที่ในการสอนอย่างเดียว (15 ชั่วโมงต่อสัปดาห์) เพื่อโฟกัส การเรียนรู้ของเด็ก ๆ + ทุ่มเทพลังสูงมากในการ entertain class ให้สนุกสนาน (สมกับเป็น Happy first school!) รวมไปถึงสังเกตความคืบหน้า พัฒนาการของนักเรียนรายบุคคล
  • คุณครูทำแผนการสอนรายปีทั้งภาษาไทยและภาษาจีน มีเป้าหมายในการเรียนรู้ชัดเจน มี Timeline อย่างละเอียด คุณพ่อคุณแม่จะทราบว่าเด็ก ๆ เรียนรู้เรื่องอะไรไปบ้างแล้ว
  • การดีไซน์สื่อการสอนก็สำคัญ ต้องว้าวและทำให้เด็ก ๆ มีส่วนร่วมในคลาส ที่ DADI เด็ก ๆ จะกล้าการยกมือตอบคำถาม ประสานเสียงตอบ ( เสียงดังฟังชัด ) ความสนุกสนานที่อยากให้คุณพ่อคุณแม่มาเห็นด้วยตาตัวเองเลยค่ะ
  • คลาสที่เรียนเป็นภาษาอังกฤษกับคุณครู Native 1. Jolly Phonics 2. Show and Tell 3. STEAM – Engineering 4. Arts and Crafts เป็นต้น
  • คลาสที่เรียนเป็นภาษาจีนกับคุณครู Native ทั้ง คลาส Word คลาส ABACUS ( วิชาการใช้ลูกคิด *คลาส Hi-light เลยนะคะ ) คลาสทำอาหาร คลาสศิลปะ คลาสดนตรี คลาสคณิตศาสตร์
  • ทั้งอังกฤษและจีนจะเป็น THEME เดียวกัน – ล้อกันไป ทำให้การเรียนรู้ของเด็ก ๆ ลึกซึ้งและเข้าใจอย่างทะลุปรุโปร่ง

โรงเรียนคือส่วนหนึ่งในชีวิตของเด็ก ๆ การมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดจะทำให้เด็ก ๆ มี mindset ที่ดีต่อการเรียนในอนาคต

Mommy Love This!

  1. ความสัมพันธ์ระหว่างบ้านและโรงเรียนอันเหนียวแน่น เพราะความสุข การดูแลที่ถูกต้อง และพัฒนาการของเด็ก ๆ คือเรื่องสำคัญที่สุด โรงเรียนมี Parent Meeting จัดการประชุมผู้ปกครองก่อนเปิดภาคเรียนเสมอ และหารือร่วมกันกับผู้ปกครองในช่วง K2 เรื่องการเรียนต่อในชั้นประถมศึกษา เป็นรายครอบครัว ผู้ปกครองจะได้รับ Report แจ้งการเรียนรู้และพัฒนาการของเด็ก ๆ อย่างสม่ำเสมอ ทุกกิจกรรม การอัพเดท แจ้งข่าวสาร ฉับไว ครบถ้วน ถ้าหากเด็ก ๆ มีประเด็นอะไรที่ต้องดูแลเป็นพิเศษ หรือผู้ปกครองมีข้อสงสัย สามารถนัดหมายหารือกันเป็นรายครอบครัว กรณีเด็ก ๆ ต้องได้รับความช่วยเหลือ DADI จะนำเสนอ Action Plan ให้ผู้ปกครอง
  2. เด็ก ๆ ไว้ใจและรู้สึกปลอดภัยที่โรงเรียน เป็นตัวแปรสำคัญในการเรียนรู้เลยนะคะ เพราะถ้าเด็ก ๆ รู้สึกปลอดภัยแล้ว ก็จะกล้าเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ เป็นลำดับต่อไป เด็ก ๆ จะอยากมาโรงเรียนแม้เป็นวันหยุดค่ะ
  3. After school activities มีหลายแนวให้เลือกในกรณีที่คุณแม่สนใจอยากเสริมทักษะให้ลูกๆ หรือไม่สามารถรับกลับบ้านได้ทันทีตอนเลิกเรียน กิจกรรมได้แก่ Chinese, English ,Thai, Taekwondo, Balance Bike, Click Robot
  4. คลาสเสริมทักษะหลังเลิกเรียนและในวันเสาร์ บุคคลภายนอกที่สนใจสามารถติดต่อทางโรงเรียนเพื่อขอเข้าร่วมชั้นเรียนได้ด้วยนะคะ
  5. พัฒนาการทางร่างกายและอารมณ์เติบโตเข้มแข็ง มีความสุข มั่นใจ กล้าแสดงออก
  6. ทักษะด้านภาษาโดยเฉพาะภาษาจีนและภาษาอังกฤษโดดเด่นมาก

อนุบาลแสนสนุกของเด็กอารมณ์ดี

โรงเรียนอนุบาลนานาชาติต้าตี้ (Dadi International Kindergarten)
รับนักเรียนอายุตั้งแต่: Nursery 1 จนถึง Kindergarten 3 (อายุ 2-6 ปี)

อัตราค่าเล่าเรียน
1 ปีการศึกษา มี 3 ภาคเรียน
ปีการศึกษาละ 270,000 – 298,500 บาท

DADI International Kindergarten (Naradhiwas Soi 24 / Sathupradit Soi 19)

  • 369/3 ซอยนราธิวาสราชนครินทร์ 24 แขวงช่องนนทรี เขตยานนาวา กรุงเทพมหานคร 10120
  • โทร 02 674 3190, 02 674 3191
  • email : [email protected]
  • www.dadithailand.com

Editor : แม่พลอยผิง
ภาพ : ฤทธิรงค์ จันทองสุข , ภูมิปกรณ์ ณ บางช้าง

Babybotte x Abigail แฟชั่นเซ็ทสุดสดใสกับรองเท้าคู่โปรดของ “แอบิเกล”

event

Babybotte x Abigail แฟชั่นเซ็ทสุดสดใสกับรองเท้าคู่โปรดของ “แอบิเกล” พร้อมเปิดตัวคอลเล็กชันใหม่จากลวดลายของศิลปินระดับโลก “นาตาลี เลเต้”

เบบี้บอท (Babybotte) รองเท้าเพื่อสุขภาพสัญชาติฝรั่งเศสที่ช่วยส่งเสริมพัฒนาการทางด้านการเดินสำหรับเด็กตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 15 ขวบที่มีมายาวนานกว่า 80 ปี ด้วยกระบวนการผลิตที่มากกว่า 120 ขั้นตอนตามหลักสรีระศาสตร์อย่างถูกต้องเพื่อให้ได้รองเท้าที่ดีที่สุดสำหรับเด็กจนได้รับโอกาสให้ผลิตรองเท้าถวายแด่ราชวงศ์โมนาโกอย่างเจ้าหญิง Grace Kelly (เกรซ เคลลี) สไตล์ไอคอนแห่งยุคที่เธอเองก็เลือกเบบี้บอทให้เป็นรองเท้าคู่โปรดสำหรับลูกน้อยของเธอ ซึ่งนอกจากจะเป็นรองเท้าเด็กที่แพทย์แนะนำแล้ว ความพิถีพิถันใส่ใจในเรื่องการออกแบบให้เหมาะกับเทรนด์ในแต่ละยุค ไปจนถึงการร่วมมือศิลปินเพื่อลวดลายที่แสดงออกถึงความน่ารักสดใสของเด็กๆ ยามเมื่อสวมใส่ได้อย่างสมบูรณ์แบบแล้ว ในครั้งนี้เบบี้บอทก็ยังคงนำเสนอความน่ารักแบบไร้ขีดจำกัดของเด็กๆ ผ่านตัวแทนความสดใสที่เรียกรอยยิ้มได้ตลอดเวลาอย่าง “น้องเกล แอบิเกล รังษีสิงห์พิพัฒน์”

โดยในแฟชั่นเซ็ทสุดน่ารักครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความสดใสของน้องเกลผ่านอิริยาบทสนุกๆ ในฐานะเจ้าของตำแหน่ง “เจ้าแม่กิจกรรมรุ่นเล็ก” ที่สามารถเอนจอยได้กับทุกแอคทิวิตี้ ถ่ายทอดออกมาผ่านแฟชั่นเซ็ท Babybotte x Abigail ซึ่งนอกจากความสดใสสุดเปล่งประกายแบบโนลิมิตแม้จะเป็นการถ่ายแบบครั้งแรกก็ตาม แต่ความสนุกจากการได้กระโดดโลดเต้นตามวัย ไปจนถึงความพร้อมที่จะลุยไปกับทุกกิจกรรมของน้องเกลกับรองเท้าคู่โปรดก็นับว่าเป็นความน่ารักน่าเอ็นดูที่ทุกคนต่างก็ต้องตกหลุมรัก โดยเบบี้บอทเชื่อว่าทุกการเคลื่อนไหวของเด็กๆ ในแต่ละช่วงวัยด้วยรองเท้าคู่ที่เหมาะสม คือสิ่งสำคัญที่ช่วยสนับสนุนให้เด็กๆ ได้เรียนรู้โลกภายนอกและได้รู้จักตัวเองมากขึ้น

และอีกหนึ่งในความพิเศษของคอลเล็กชันนี้ คือการร่วมมือครั้งสำคัญกับศิลปินนักวาดระดับโลก นาตาลี เลเต้ (Nathalie Lété) ศิลปินนักวาดแถวหน้าอันดับต้นๆ ของฝรั่งเศสที่มีลายเส้นอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ซึ่งได้รับการยอมรับจากแบรนด์ชั้นนำระดับโลกมากมาย เช่นเดียวกับแบรนด์ กุชชี่ (Gucci)

Photo by Delphine Chanet

คอลเล็กชันนี้จึงนับว่าเป็นอีกหนึ่งปรากฎการณ์การร่วมมือครั้งยิ่งใหญ่ ของ “เบบี้บอท” รองเท้าเพื่อสุขภาพเด็กจากฝรั่งเศส และศิลปินชื่อดัง นาตาลี เลเต้ โดยนาตาลีเลือกภาพเขียนของกระต่ายน้อยมากกว่า 10 ลวดลาย ที่สามารถจับคู่ได้ทั้งเด็กผู้หญิงและเด็กผู้ชาย อีกทั้งยังแสดงถึงความน่ารัก แสนซน แต่เต็มไปด้วยความอบอุ่นของช่วงวัยเด็ก

 

นอกจากนี้ “เบบี้บอท” ยังมีดีไซน์ที่หลากหลายสำหรับแฟชั่นนิสต้ารุ่นจิ๋ว ด้วยวัสดุที่คัดสรรมาอย่างพิถีพิถันและมีคุณภาพ ส่งเสริมพัฒนาการด้านการเดินสำหรับเด็กโดยเฉพาะ เพื่อก้าวที่สำคัญสำหรับ 5 ขวบปีแรกของหนูน้อย โดย “เบบี้บอท” ได้ออกแบบรองเท้าสำหรับเด็กมากถึง 4 รุ่น สำหรับ 4 ช่วงวัย อันได้แก่ รุ่นออล โฟร์ (All Fours) และรุ่นมูแลง โรตี้ (Moulin Roty) รองเท้าสำหรับเด็กแรกเกิดถึงช่วงเริ่มคลาน, รุ่นท็อดเลอร์ (Toddler) สำหรับน้องๆ อายุประมาณ 10 เดือน ที่เริ่มเกาะยืนและเริ่มหัดเดิน, รุ่นเฟิร์ส เสต็ป (First steps) รองเท้าสำหรับเด็กเริ่มเดินอายุตั้งแต่อายุ 1-4 ขวบ และรุ่นสุดท้าย อินเตอร์พิต (Intrepides) รองเท้าสำหรับน้องๆ ในช่วงวัย 4 ขวบขึ้นไป ภายใต้ราคาที่จับต้องได้ตั้งแต่ 2,000 บาท ถึง 4,500 บาทเท่านั้น

 

พบกับคอลเล็กชันใหม่ของ “เบบี้บอท” (Babybotte) รองเท้าที่ช่วยส่งเสริมพัฒนาการด้านการเดินที่ดีที่สุดสำหรับเด็ก ได้ที่ babybotte shop ชั้น 2 (ฝั่งลิฟต์แก้ว) ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์, ไอคอนสยาม ชั้น 5, Kid’s Planet ชั้น 3 พารากอน ดีพาร์ทเม้นท์ สโตร์, Central และ babybotte shop Central Village Luxury Outlet สอบถามและดูข้อมูลสินค้าเพิ่มเติมได้ที่ www.babybotte-th.com, IG : babybotte_thailand และ Line : @babybotte_thailand

 

The Movement Playground ฝึกลูกเป็นนินจา กับ กีฬาปากัวร์

event

คุณพ่อคุณแม่หลาย ๆ คนอาจจะเคยเห็นคลิปของชาวต่างชาติที่สามารถกระโดดข้ามผ่านสิ่งกีดขวาง หรือปีนป่ายขึ้นไปยืนบนตึกสูง ๆ อย่างคล่องแคล่ว โดยใช้แค่เพียงร่างกายของตนเองไม่มีอุปกรณ์ใด ๆ ช่วยเหลือ ผู้ใหญ่หลายคนก็สนใจอยากลองทำดูบ้าง ส่วนเด็ก ๆ เห็นคลิปแล้ว น่าจะอยากเลียนแบบเช่นกัน เคยสงสัยว่ากันไหมคะว่าพวกเขาทำได้อย่างไร ดูอันตรายแบบนี้ เด็ก ๆ สามารถเรียนได้หรือเปล่า ? วันนี้ทีมแม่ ABK จะมาช่วยคลายความสงสัยและพาทุกคนมาทำความรู้จักกีฬา “Parkour” กีฬาที่ใช้เพียงร่างกายและจิตใจ แถมยังมีประโยชน์มากมายกับเด็ก ๆ ใครอยากให้ลูกเป็นนินจาตัวน้อย ต้องมาที่นี่เลยค่ะ ที่ The Movement Playground

 

จุดเริ่มต้น

The Movement Playground หรือ MPG ก่อตั้งเมื่อปี ค.ศ. 2017 โดยคุณ Julien Vigroux , คุณฟาน ศรีไตรรัตน์ , คุณสุวิโรจน์ ลีลาประชานุกูล และคุณชาตรี ซาบาโด ศรีวิจิตร ที่นี่เป็นยิมฝึกสอนกีฬา Parkour (ปากัวร์) และ Body Movement & Dynamic ที่แรกและที่เดียวในประเทศไทยเลยก็ว่าได้

จุดเริ่มต้นมาจากประสบการณ์ในการเล่นกีฬาปากัวร์มาเนิ่นนาน กว่า 25 ปี ของคุณ Julien ผู้ร่วมก่อตั้ง หลังจากมาเที่ยวประเทศไทยกับครอบครัว ก็รู้สึกชอบประเทศไทยมากและอยากเปิดยิม เพื่อเผยแพร่ Body Movement & Body Dynamic ผ่านกีฬา Parkour (ปากัวร์) ที่เน้นการฝึกความแข็งแรง การเคลื่อนไหว และการหลบหลีกของร่างกายอย่างคล่องแคล่วว่องไว รวมถึงเผยแพร่กีฬาชนิดนี้ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในต่างประเทศให้เป็นที่รู้จักมากขึ้นในประเทศไทย โดยเริ่มต้นจากการสอนในสตูดิโอเล็ก ๆ และกลายเป็น The Movement Playground บนพื้นที่กว่า 600 ตร.ม.ในปัจจุบัน

โซนต้อนรับ

 

Parkour (ปากัวร์) ไม่น่ากลัวอย่างที่คิด

Parkour (ปากัวร์) เป็นภาษาฝรั่งเศส แปลว่า “ วิ่งทุกที่” คิดค้นโดย เดวิล เบลล์ ( David Belle) เป็นกีฬาที่ว่าด้วยการกระโดดข้ามสิ่งกีดขวางต่างๆ เช่น กำแพง บนหลังคา ตึก หรือที่ต่างๆ ทั่วเมือง โดยกีฬาชนิดนี้เป็นพื้นฐานในการเล่นกีฬา Freerunning ในเวลาต่อมา

กีฬานี้เป็นกีฬาที่เซฟมาก ๆ สอนให้คนรู้จักเคลื่อนไหวด้วยความคล่องตัวให้เร็วที่สุดและเซฟตัวเองมากที่สุด

แต่หากใครที่ไม่ได้รับการฝึกฝนอย่างถูกต้องก็อาจเกิดอันตรายหรือบาดเจ็บได้ ผู้เรียนควรฝึกฝนร่างกายอยู่เป็นประจำ และรู้จักลิมิตของตนเอง ไม่ว่าจะเรื่องการกระโดดได้ไกล กระโดดสูง และยังต้องเรียนรู้การ Soft Landing หรือการลงบนพื้นอย่างไรให้เบาที่สุดและปลอดภัยที่สุด

มายืดกล้ามเนื้อกันก่อน

 

เด็ก ๆ เล่นได้ ผู้ใหญ่เล่นดี

กีฬาปากัวร์มีประโยชน์ทั้งกับจิตใจ และร่างกาย ไม่ต่างจากกีฬาอื่น ๆ ผู้เรียนต้องมีความมั่นใจ สามารถควบคุมร่างกายและการเอาชนะความกลัวของตนเอง เมื่อเห็นบางอย่างที่ดูอันตรายจะกล้าที่จะฝ่าฟันไปได้หรือไม่ ถ้าผ่านไปได้ร่างกายก็จะพัฒนาขึ้น ที่นี่จะสอนให้รู้ว่าจะทำอย่างไรถึงจะปลอดภัย แถมยังเป็นกีฬาที่มีประโยชน์กับร่างกายครบทุกด้าน เหมาะทั้งกับเด็ก ๆ และผู้ใหญ่ ทักษะทางร่างกาย คุณพ่อคุณแม่จะได้เห็นความเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ของเด็ก ๆ อย่างชัดเจน เมื่อฝึกกีฬานี้ เด็ก ๆ จะได้ กระโดด คลาน ปีน ป่าย ทรงตัว เคลื่อนไหวอย่างคล่องแคล่ว ได้ฝึกควบคุมร่างกาย ฝึกสมาธิและพัฒนา Skill ต่าง ๆ ส่วนทางด้านจิตใจ เด็กจะมีความมั่นใจมากขึ้น มีสมาธิ และที่สำคัญมีทักษะการเอาตัวรอดสูง หากเกิดเหตุร้ายขึ้น สำหรับฐานต่าง ๆ สำหรับเด็ก จะใช้เทคนิคการฝึกแบบนินจาเพื่อทำให้เด็กรู้สึกสนุกยิ่งขึ้น ตามธาตุต่าง ๆ ดังนี้

Fire Element เรียนรู้พื้นฐานและเทคนิคในการกระโดดและการเปลี่ยนทิศทาง = ได้ความกล้าหาญ

Wood Element เรียนรู้พื้นฐานการปีนป่ายขึ้นและลง อย่างมีประสิทธิภาพ = ได้ความพยายาม

Metal Element เรียนรู้พื้นฐานของการทรงตัว = ได้สมาธิ

Water Element เรียนรู้เทคนิคพื้นฐานการกระโดดข้ามสิ่งกีดความและอุปสรรคต่าง ๆ = ได้ความคิดสร้างสรรค์

Earth Element และทักษะที่สำคัญที่สุดของการเป็นนินจาคือ การลงบนพื้นอย่างไรให้ปลอดภัยที่สุด = ได้ความปลอดภัย

โค้ชสอนทุกอย่าง ปีนอย่างไร กระโดดอย่างไรจึงจะปลอดภัย

ฝึกการทรงตัว มีประโยชน์กับชีวิตประจำวันมาก ๆ

อุปกรณ์ครบครัน ได้มาตรฐาน

 

ทีมโค้ชมืออาชีพ

ที่ The Movement Playground มีโค้ชนักกีฬาที่มีประสบการณ์และผ่านแข่งขันเวทีนานาชาติ และผ่าน Certified หนึ่งในนั้นคือคุณ Julien Vigroux ซึ่งเป็นนักกีฬาปากัวร์ ที่มีประสบการณ์เล่นปาร์กัวร์ตั้งแต่อายุ 17 ปี และมีประสบการณ์เรื่องกีฬาปาร์กัวมากว่า 25 ปี มีความรู้ มีประสบการณ์มีความหลงใหลและรักกีฬานี้มาก จากในเมือง Lisses ประเทศฝรั่งเศส เมืองซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของกีฬาปากัวร์และผู้ให้กำเนิดอย่าง David Belle ก็อยู่ที่นั่นด้วย ! คุณจูเลียนมองว่ากีฬาปากัวร์เป็นอะไรมากกว่ากีฬา แต่มันคือสิ่งที่ช่วยขัดเกลาจิตวิญญาณจนแข็งแกร่งพอที่จะให้เราก้าวผ่านความกลัวของชีวิตไปได้ นอกจากนี้ยังมีโค้ชที่ผ่าน Certified รวมถึงเป็นนักกีฬาที่มีประสบการณ์และผ่านการแข่งขันในเวทีนานาชาติมาหลายรายการ มาสอนให้กับทุกคนที่นี่ด้วย

ห้องน้ำสะอาดสะอ้าน

คลาสเรียน หลากหลาย

ปัจจุบัน The Movement Playground เปิดสอนทั้งคลาสผู้ใหญ่และเด็กตั้งแต่อายุ 4 ปีขึ้นไป

LITTLE KIDS CLASSES ( อายุ 4-5 ปี )

จะเป็นโปรแกรม Pre-Parkour ที่เน้นการฝึกการเคลื่อนไหวและการโฟกัสให้กับเด็กเล็ก โดยใช้พื้นฐานจากกีฬา Parkour

KIDS CLASS ( อายุ 6 -11 ปี )

The Movement Playground ได้ออกแบบโปรแกรมการสอนกีฬา Parkour สำหรับเด็กขึ้นมาโดยเฉพาะ ผ่าน 5 Core Elements (FIRE, WATER, WOOD, EARTH, METAL) และนำถ่วงท่าการเคลื่อนไหวแบบนินจาเข้ามาช่วยทำให้เด็กเข้าใจง่ายขึ้น รวมไปถึงทักษะที่ต่อยอดในการเล่นกีฬาอื่นๆ และการเอาตัวรอดในสถานการณ์ที่คับขัน ปัจจุบันเปิดสอน 2 รูปแบบ คือ

Academy: มี 6 ระดับ เรียนตามโปรแกรมและการสอบวัดระดับทักษะ

Non-Academy: เน้นสำหรับเด็กที่ต้องการออกกำลังกายแบบฟรีสไตล์

TEENS CLASS (อายุ 12-17 ปี)

เป็นคลาส Parkour ที่สอนทักษะการเคลื่อนไหวร่างกายอย่างอิสระ ผ่านรูปแบบการกระโดด การคลาน การทรงตัว การปีน เป็นต้น โดยออกแบบมาให้เหมาะกับกลุ่มวัยรุ่น รวมไปถึงเทคนิคท่าทางที่ผสมผสานความคิดสร้างสรรค์เข้าไปด้วย

 

ADULTS CLASSES มี 2 คลาส

Parkour: เป็นคลาสที่สอนทักษะการเคลื่อนไหวร่างกายอย่างอิสระ ผ่านรูปแบบการกระโดด การคลาน การทรงตัว การปีน เป็นต้น โดยเน้นการเคลื่อนไหวและเคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ยังเป็นการฝึกการโฟกัสและสมาธิของผู้เรียนไปด้วย

Obstacle Course Racing (OCR): เป็นคลาสที่เน้นการฝึกความแข็งแรงของกล้ามเนื้อและร่างกายด้วยด่านอุปสรรคที่หลากหลายรูปแบบ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการไปลงแข่งขัน Obstacle Race โดยนำพื้นฐานการเคลื่อนไหวร่างกายแบบกีฬา Parkour (ปากัวร์) ออกแบบมาเป็นโปรแกรมฝึกสอนโดยเฉพาะ

 

Mommy Love This ! ถูกใจแม่

มีมุมนั่งพักคอย สบายๆ สำหรับผู้ปกครองและมีห้องน้ำ ขนาดใหญ่ ไว้รองรับไม่ต่างจากยิม

เด็ก ๆ ได้ฝึกทักษะการเอาตัวรอด ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญสำหรับยุคนี้

Studio ใกล้รถไฟฟ้า เดินทางง่าย

เด็ก ๆ ได้ออกกำลังกายและปล่อยพลังเต็มที่ ห่างไกลจากจอมือถือ

ทีมโค้ชมืออาชีพ คอยดูแลเด็กอย่างใกล้ชิด

 

 

ติดต่อ

The Movement Playground

36/4 สุขุมวิท 69 แขวงพระขโนงเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพมหานคร 10110

Tel: 02-012-1557

LINE: @mvmpg

Email: [email protected]

Facebook : https://www.facebook.com/TheMovementPlayground

 

Editor : แม่เลม่อน

ภาพ : เนาวพจน์ โพธิเกษม

ขายได้ให้จริง! โอกาสรับเงิน 1,000,000 บาท* ง่ายๆ สิทธิพิเศษเฉพาะลูกค้า LPN เพียงแนะนำเพื่อนจองซื้อโครงการฯ

event

 บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์โครงการคุณภาพที่ครอบคลุมบริการหลังการขายอย่างครบวงจรที่สุด เพื่อส่งมอบประสบการณ์การอยู่อาศัย Livable Living Experience’ ให้กับลูกค้า ภายใต้แนวคิด “น่าอยู่” ล่าสุดเปิดตัวโปรแกรม #MembersGetNeighbors ที่มอบสิทธิพิเศษเฉพาะลูกค้า LPN เพียงชวนเพื่อนมาจองซื้อโครงการคุณภาพจาก LPN ที่ครอบคลุมโครงการบ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์โฮม และคอนโด พร้อมอยู่และโครงการใหม่ ทั้งในกรุงเทพและต่างจังหวัด รับเลย! ค่าแนะนำมูลค่าสูงสุดถึง 1,000,000 บาท* (เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯกำหนด)

นายสมบัติ ชาญยุทธกร กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (LPN)

นายสมบัติ ชาญยุทธกร กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (LPN) กล่าวว่า
“สำหรับ LPN ด้วยคุณภาพและความน่าเชื่อถือของการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย และบริการหลังการขายที่ทำให้ได้รับการยอมรับจากลูกค้ามากว่า 35 ปี ปัจจุบันเรามีสมาชิกครอบครัว LPN กว่า 125,000 ครอบครัว ซึ่งได้รับการดูแลเป็นอย่างดีมาตลอด นอกเหนือจากนั้นเรายังให้ความสำคัญกับการบริหารความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าในระยะยาวด้วย ล่าสุด เราจึงเปิดตัวโปรแกรม #MembersGetNeighbors โปรแกรมพิเศษที่เปิดโอกาสให้ลูกค้า LPN สามารถสร้างรายได้เพิ่มขึ้นง่ายๆ ทันที เพียงแค่ชวนเพื่อนมาเป็นครอบครัว LPN ด้วยกัน ผ่านระบบที่ได้รับการพัฒนาให้มีขั้นตอนที่ง่าย ชัดเจน สามารถติดตามและตรวจสอบสถานะได้ด้วยตัวเอง ซึ่งถือเป็นการสร้างประสบการณ์ใหม่ร่วมกับลูกค้าอีกรูปแบบหนึ่ง โดยในอนาคตเรายังวางแผนที่จะสร้างประสบการณ์ใหม่ให้กับลูกค้าและสมาชิกครอบครัว LPN ผ่านกิจกรรมดีดี พร้อมสิทธิประโยชน์อีกมากมาย อยากให้รอติดตามกันครับ”

สำหรับลูกค้า LPN ที่สนใจเข้าร่วมโปรแกรม #MembersGetNeighbors สามารถอ่านรายละเอียดโปรแกรม และลงทะเบียนผ่านเว็ปไซต์ www.lpn.co.th  โดยทำตามขั้นตอนสมัครง่ายๆ ก็มีสิทธิ์ได้รับค่าแนะนำไปเลย  รายละเอียดเพิ่มเติม ติดต่อ LPN Call Center 02-689-6888

#LPN #MembersGetNeighbors #LivableCommunity #LPNสังคมคุณภาพ #บ้านและคอนโดLPN #สารภาพว่าติดบ้าน
#ลูกค้าLPN #ลูกบ้านLPN #LPNprivilege

ใหม่! แปรงสีฟันไฟฟ้า คอลเกต อ๊อพติค ไวท์ ช่วยให้ฟันดูขาวขึ้นตั้งแต่วันแรกที่ใช้*

event

หากคุณพ่อคุณแม่กำลังมองหาแปรงสีฟันใหม่ที่ช่วยให้การแปรงฟันมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
แปรงสีฟันไฟฟ้า คอลเกต อ๊อพติค ไวท์ ช่วยให้ฟันดูขาวขึ้นตั้งแต่วันแรกที่ใช้*
ด้วยเทคโนโลยีโซนิค พร้อม 2 โหมดให้เลือก: อ่อนโยนและปกติ
ขนแปรงบิดเกลียว พร้อมยางทรงกลมช่วยขจัดคราบบนผิวฟัน
ระบบจับเวลา 2 นาที ช่วยให้แปรงฟันได้อย่างทั่วถึง
มาพร้อมที่แปรงลิ้น เพื่อขจัดแบคทีเรียและเศษอาหาร

*ช่วยขจัดคราบบนผิวฟัน ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมและสั่งซื้อได้ที่
https://shopee.co.th/colgatepalmolive_official

“Viu Scream Dates” ประกาศเอเชียทัวร์ “ จองแฮอิน ” ปักหมุดไทยที่แรก! 2 พฤศจิกายน 2567 นี้

event

เตรียมพบกับพระเอกหนุ่มสุดฮอต “จองแฮอิน” (Jung Hae In) ที่กำลังจะกลับมาหาแฟนๆ ชาวไทยอีกครั้งตามสัญญาในงานแฟนมีตติ้งที่ทุกคนรอคอย “JUNG HAE IN FAN MEETING ‘OUR TIME’ IN BANGKOK 2024” ในวันเสาร์ที่ 2 พฤศจิกายน 2567 นี้ ณ BHIRAJ Hall, BITEC บางนา

รายละเอียดงาน:

  • วันที่จัดงาน: วันเสาร์ที่ 2 พฤศจิกายน 2567
  • สถานที่: BHIRAJ Hall, BITEC บางนา
  • ราคาบัตร: 6,500, 5,500, 4,500, 3,500 และ 2,500 บาท
  • ช่องทางจำหน่ายบัตร: เว็บไซต์ thaiticketmajor.com และ ThaiTicketMajor ทุกสาขา

‘จองแฮอิน’ พระเอกเบอร์ต้นแห่งวงการบันเทิงเกาหลีใต้ที่นาทีนี้ความฮอตฟุ้งไปทั่วเอเชีย กลับมาครั้งนี้พร้อมมอบความประทับใจให้กับแฟนๆ ชาวไทยแบบใกล้ชิดและเป็นกันเองที่สุด ภายใต้ชื่อทัวร์ “JUNG HAE IN FAN MEETING ‘OUR TIME’ IN BANGKOK 2024” ที่จะจัดขึ้นเพียง 1 รอบการแสดงเท่านั้น แฟนๆ เตรียมพบกับเซอร์ไพรส์พิเศษมากมายและความอบอุ่นจากจองแฮอินอย่างเต็มที่

ด้วยความสำเร็จจากงานแฟนมีตติ้งปีที่ผ่านมา ‘Viu Scream Dates’ presents “JUNG HAE-IN ‘THE 10TH SEASON’ FAN MEETING IN BANGKOK 2023” ที่เฉลิมฉลองครบรอบ 10 ปีในวงการบันเทิง จองแฮอินสร้างความทรงจำที่งดงามและอบอุ่นใจให้กับแฟนๆ ชาวไทยอย่างมากมาย การกลับมาครั้งนี้ จึงเป็นโอกาสที่ไม่ควรพลาดที่จะได้สัมผัสประสบการณ์ใหม่และความใกล้ชิดกับเขาอีกครั้ง!

ล่าสุด จองแฮอิน กำลังแสดงในซีรีส์เรื่องใหม่ “Love Next Door รักอยู่ประตูถัดไป” ในบทบาท “ชเวซึงฮโย” สถาปนิกหนุ่มที่มีทั้งความสามารถและเสน่ห์ตกแฟนๆเข้าด้อมอีกล็อตใหญ่ การมีส่วนร่วมในซีรีส์ใหม่นี้ตอกย้ำความสำเร็จอย่างต่อเนื่องและทำให้เขาเป็นหนึ่งในนักแสดงที่มีแฟนคลับเหนียวแน่นที่สุดในวงการบันเทิงเกาหลี พร้อมยังได้ประกาศแฮชแท็ก #정해인 #JungHaeIn #OUR_TIME ให้แฟนๆ ชาวไทยเตรียมพร้อมหวีดล่วงหน้า เรียกว่าสมมงฉายา “ไทยแลนด์แดนเมียหลวง” จริงๆ…

จองแฮอินไม่เพียงแต่เป็นที่รู้จักในฐานะนักแสดงที่มีเสน่ห์และฝีมือการแสดงยอดเยี่ยมเท่านั้น แต่ยังได้รับการยอมรับในฐานะหนึ่งในศิลปินที่ฮอตที่สุดของเกาหลี โดยผลงานซีรีส์อย่าง ‘Something in the Rain’, ‘One Spring Night’, ‘Snowdrop’ และ ‘D.P.’ รวมถึงภาพยนตร์ ‘Tune in for Love’ ต่างได้รับคำชมจากผู้ชมทั้งในและนอกประเทศ ความสามารถที่ไม่ธรรมดาของเขาทำให้แฟนๆ ต่างหลงรักและรอติดตามผลงานใหม่ๆ อย่างตื่นเต้น

อย่าพลาดโอกาสพิเศษนี้! เตรียมล็อกวันในปฏิทินและเตรียมตัวกดบัตรให้พร้อม แล้วมาร่วมสร้างความทรงจำสุดพิเศษกับจองแฮอินได้ที่งาน “JUNG HAE IN FAN MEETING ‘OUR TIME’ IN BANGKOK 2024” รีบจองบัตรก่อนที่จะเต็ม เพราะนี่จะเป็นโอกาสเดียวที่จะได้พบกับจองแฮอินอย่างใกล้ชิดที่สุด!

 

เปิดจำหน่ายบัตรแล้วทาง www.thaiticketmajor.com และ Thaiticketmajor ทุกสาขา บัตรราคาเริ่มต้นที่ 2,500 บาท พร้อมสิทธิพิเศษมากมายสำหรับแฟนๆ ของจองแฮอินโดยเฉพาะ! ติดตามข่าวสารได้ทาง Facebook และ X :ViuScreamDatesTH หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับงานได้ที่ http://m.me/viuscreamdatesth/

เผยโฉม! สุดยอดแบรนด์สินค้าและไลฟ์สไตล์ขวัญใจแม่-ลูก จากงานประกาศรางวัล AMARIN BABY & KIDS AWARDS 2024

event

กลับมาอีกครั้งอย่างยิ่งใหญ่ กับงานประกาศรางวัล “ AMARIN BABY & KIDS AWARDS 2024 ” รางวัลสุดยอดแบรนด์สินค้าและไลฟ์สไตล์แม่ลูกอันดับ 1 ในใจคนไทย โดยกองบรรณาธิการเว็บไซต์ AMARIN BABY & KIDS ภายใต้ เอเอ็มอี อิมเมจิเนทีฟ ในเครืออมรินทร์กรุ๊ป โดยจัดขึ้นต่อเนื่องเป็น ปีที่ 6 ในคอนเซ็ปต์  FAMILY WELL- BEING – การสร้างความเป็นอยู่ที่ดีของครอบครัว” เฟ้นหาสุดยอดแบรนด์สินค้าเพื่อการเลี้ยงดูลูกรักอย่างมีคุณภาพและสร้างสรรค์ และร่วมปลูกฝังพื้นฐานความเป็นอยู่ที่ดีของครอบครัว และสายสัมพันธ์ที่ดีระหว่างพ่อแม่และลูก โดยในปีนี้มอบรางวัลให้แก่แบรนด์สินค้าและบริการที่ครอบคลุมไลฟ์สไตล์ รวมทั้งสิ้น 96 รางวัล โดยแบ่งออกเป็น 4 ประเภท ได้แก่ MOMMY’S CHOICES AWARDS, EDITOR’S CHOICES AWARDS, RISING STAR CHOICES AWARDS และรางวัลใหม่ล่าสุดอย่างรางวัล HEALTHY LIVING AND ECO-FRIENDLY PRODUCT ซึ่งมอบให้กับผลิตภัณฑ์ที่สร้างครอบครัวมีสุขภาพใจกายที่ดี ณ  AUBE ราชพฤกษ์

 

ภายในงานคับคั่งไปด้วยแขกผู้มีเกียรติ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ อาทิ ดร.ปนัดดา ธนเศรษฐกร จากสถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล, โบ – ธนากร ชินกูล พิธีกรชื่อดังและคุณพ่อลูกหนึ่ง และ โค้ชเลิศพร เพจสอนแม่และเด็ก รวมถึงครอบครัวศิลปินดารา โย่ง – อนุสรณ์ หรือ โย่ง อาร์มแชร์ ที่ควงภรรยาสุดสวย ก้อย – วลัยลักษณ์ และน้องอบเชย และเหล่าผู้บริหารตัวแทนจากแบรนด์ต่างๆ ที่เข้ารับรางวัล

ประภัสสร มั่งศิริ บรรณาธิการอำนวยการ AMARIN BABY & KIDS บริษัท เอเอ็มอี อิมเมจิเนทีฟ จำกัด ในเครืออมรินทร์กรุ๊ป กล่าวว่า “AMARIN BABY & KIDS AWARDS 2024 จัดต่อเนื่องเป็นปีที่ 6 โดยในปีนี้มาพร้อมกับคอนเซ็ปต์ “FAMILY WELL- BEING” ที่มุ่งสร้างความเป็นอยู่ที่ดีให้กับครอบครัว ดังปณิธานของ AMARIN BABY & KIDS ซึ่งพร้อมเป็นสื่อกลางที่อยู่ร่วมกับทุกช่วงเวลาของคุณ “แม่” ตั้งแต่การเตรียมความพร้อม การตั้งครรภ์ การคลอด ตลอดจนการเลี้ยงดูเด็กตั้งแต่แรกเกิดจนถึง ประถมวัย ร่วมสร้างองค์ความรู้จากแม่สู่แม่ แชร์เทคนิคการดูแลลูกน้อย แนะนำผลิตภัณฑ์ใช้ดี มีประโยชน์จริง พร้อมกับสร้างประสบการณ์การเลี้ยงลูกรูปแบบใหม่ ตามแบบฉบับคุณแม่ยุคใหม่ และเป็นส่วนหนึ่งในการเฟ้นหาผลิตภัณฑ์ที่ได้คุณภาพ ที่ช่วยให้คุณแม่สะดวกสบาย และมีคุณภาพชีวิตที่ดีกว่า ผ่านกิจกรรม AMARIN BABY & KIDS AWARDS ที่จัดขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุกปี”

“และในปี 2568 ที่ AMARIN BABY & KIDS ก้าวสู่ปีที่ 9 ได้เตรียมแผนงานสำคัญเอาไว้ โดยจะมีการเพิ่มสัดส่วนเนื้อหาด้านการศึกษา และการเรียนรู้ เพื่อกลุ่มเป้าหมายวัย 5 – 12 ขวบ ซึ่งเป็นช่วงวัยสำคัญที่จะมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนอนาคต ผ่านช่องทางออนไลน์ ทั้งเว็บไซต์ www.amarinbabyandkids.com และโซเชียลมีเดีย ซึ่งปัจจุบันเฟซบุ๊กของ AMARIN BABY&KIDS มีผู้ติดตามกว่า 1 ล้านคน และเพิ่มเติมช่องทางใหม่อย่างช่องทางโทรทัศน์ที่ช่วงต้นปีหน้า เราจะได้พบกับรายการเพื่อแม่และลูก ในอมรินทร์ทีวี ช่อง 34 ให้ได้เต็มอิ่มกับคอนเทนต์ที่อัดแน่นเพื่อแม่และลูกอย่างแน่นอน”

อัจฉรา จีนคร้าม บรรณาธิการบริหาร AMARIN BABY & KIDS บริษัท เอเอ็มอี อิมเมจิเนที จำกัด ในเครืออมรินทร์กรุ๊ป กล่าวว่า “ปีนี้ AMARIN BABY & KIDS AWARDS ยังคงเลือกสรรแบรนด์สินค้าแม่ลูกกันอย่างเข้มข้น ซึ่งในการเลือกสรรสินค้าในใจแม่ในรอบแรกเป็นการเสนอชื่อสินค้าที่คุณแม่ถูกใจ ใช้จริงมาใช้ในการคัดกรองแบรนด์สินค้าแม่ลูก ก่อนนำให้คุณแม่ตัวจริงทั่วประเทศได้ร่วมลงคะแนนโหวตแบรนด์สินค้าและบริการโดนใจมากที่สุด นอกจากนี้ยังมีรางวัลพิเศษที่คัดสรรโดยการคัดเลือกของกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ร่วมกับการคัดเลือกจากทีมบรรณาธิการ AMARIN BABY & KIDS โดยมีแบรนด์สินค้าเข้ารับรางวัลมากถึง 96 รางวัล แบ่งเป็นสาขาต่างๆ ได้แก่ รางวัล MOMMY’S CHOICE ที่ได้รับคะแนนโหวตสูงสุดจากคุณแม่ทีใช้สินค้าจริงทั่วประเทศ จากสินค้า 7 หมวด ได้แก่  BEST FOR BATH & CARE, BEST FOR CLEANSER, BEST FOR FEEDING, BEST FOR PREGNANCY & NEW MOM, BEST FOR TRAVEL & SAFETY, BEST FOR LEARNING และ POPULAR VOTE จำนวน 43 รางวัล, รางวัล EDITOR’S CHOICE ได้รับการคัดเลือกจากกองบรรณาธิการเว็บไซต์ AMARIN BABY & KIDS ว่าเป็นสินค้าใช้ดี มีประโยชน์จริง จำนวน 34 รางวัล, รางวัล RISING STAR มอบให้กับผลิตภัณฑ์แม่ลูกน้องใหม่น่าจับตามอง จำนวน 8 รางวัล และรางวัล HEALTHY LIVING AND ECO-FRIENDLY PRODUCT รางวัลใหม่ล่าสุด ที่มอบให้แก่ผลิตภัณฑ์ที่สร้างครอบครัวให้มีสุขภาพใจกายที่ดี จำนวน 11 รางวัล ตลอดจนรางวัลพิเศษอื่นๆ ที่เพิ่มประสบการณ์การเลี้ยงดูลูกในช่วงวัยที่โตขึ้น และการสร้างความสัมพันธ์ให้ครอบครัวแข็งแรง”

สามารถติดตามภาพบรรยากาศการมอบรางวัลในหมวดต่างๆ และบทความดีๆ ได้ทาง เว็บไซต์ www.amarinbabyandkids.com , Facebook : Amarin Baby & Kids , Tiktok : Amarin Baby & Kids , Line : @amarinbabyandkids

กระทรวงการต่างประเทศร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จัดงานเปิดตัวแผนปฏิบัติการร่วมภายใต้ยุทธศาสตร์ฟ้าใส และงานสัมมนาแนวทางการแก้ไขปัญหาหมอกควันข้ามแดนในภูมิภาคอาเซียน

Alternative Textaccount_circle
event

กรมอาเซียน กระทรวงการต่างประเทศ จะร่วมกับกรมควบคุมมลพิษ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จัดงานเปิดตัวแผนปฏิบัติการร่วมเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาหมอกควันข้ามแดนภายใต้ยุทธศาสตร์ ฟ้าใส (Joint Plan of Action – CLEAR Sky Strategy) (2567-2573) และงานสัมมนาแนวทางการแก้ไขปัญหาหมอกควันข้ามแดนในภูมิภาคอาเซียน ในวันอังคารที่ 29 ตุลาคม 2567 เวลา 13.00-16.30 น. ที่ห้องวิเทศสโมสร กระทรวงการต่างประเทศ โดยจะมีนายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ   เป็นประธานในพิธีเปิด ร่วมกับนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

การจัดงานเปิดตัว “แผนปฏิบัติการร่วมเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาหมอกควันข้ามแดนภายใต้ยุทธศาสตร์ฟ้าใส (2567-2573)” มีวัตถุประสงค์เพื่อเปิดตัวแผนปฏิบัติการร่วมฯ ซึ่งดำเนินการตามผลการประชุมระดับผู้นำสามฝ่ายระหว่าง สปป.ลาว เมียนมา และไทย ผ่านระบบการประชุมทางไกล เมื่อวันที่ 7 เมษายน 2566 เพื่อหารือแนวทางแก้ไขปัญหามลพิษจากหมอกควันข้ามแดน ทั้งนี้ แผนปฏิบัติการร่วมฯ กำหนดแผนงานและแนวทาง  ความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาหมอกควันข้ามแดนระหว่างไทย สปป.ลาว และเมียนมาอย่างเป็นรูปธรรม โดยในงานเปิดตัวแผนปฏิบัติการร่วมฯ กระทรวงการต่างประเทศได้เชิญรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของ สปป.ลาว และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมเมียนมา เข้าร่วมด้วย

ในส่วนของงานสัมมนาแนวทางการแก้ไขปัญหาหมอกควันข้ามแดนในภูมิภาคอาเซียน มีวัตถุประสงค์ เพื่อหารือแนวทางแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยเฉพาะการนำแผนปฏิบัติการร่วมฯ มาปฏิบัติใช้ให้เกิดผลที่เป็นรูปธรรม โดยกระทรวงการต่างประเทศได้เชิญวิทยากรที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญจาก 8 หน่วยงาน ได้แก่

  1. กระทรวงสิ่งแวดล้อมและป่าไม้อินโดนีเซีย (Ministry of Environment and Forestry of Indonesia)
  2. กระทรวงความยั่งยืนและสิ่งแวดล้อมสิงคโปร์ (Ministry of Sustainability and the Environment of Singapore)
  3. กระทรวงนิเวศวิทยาและสิ่งแวดล้อมจีน (Ministry of Ecology and Environment of China)
  4. กรมควบคุมมลพิษ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
  5. องค์การอนามัยโลก ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (World Health Organization South-East Asia Region: WHO SEARO)
  6. องค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของเยอรมนี (Deutsche Gesellschaft für Internationale Zusammenarbeit: GIZ)
  7. ศูนย์เตรียมความพร้อมป้องกันภัยพิบัติแห่งเอเชีย (Asian Disaster Preparedness Center: ADPC) และ
  8. ธนาคารโลก (World Bank) มาร่วมแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นและประสบการณ์ในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว

นอกจากนี้ ยังมีการจัดนิทรรศการความร่วมมือด้านการแก้ไขปัญหาหมอกควันข้ามแดนโดยหน่วยงานและองค์กรต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง อาทิ กรมอาเซียน กรมความร่วมมือระหว่างประเทศ กรมควบคุมมลพิษ ADPC และ GIZ

ขอเชิญผู้สนใจเข้าร่วมงานตามวันและเวลาดังที่ระบุข้างต้น โดยสามารถลงทะเบียนผ่าน QR Code ที่ปรากฏด้านล่างนี้

keyboard_arrow_up