ให้ของขวัญลูกอย่างไร แบบใส่ใจ…คลายกังวล

ในยุคสมัยที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา นอกจากความรัก ความอบอุ่น และเวลาจากคุณพ่อคุณแม่ซึ่งถือเป็นสิ่งสำคัญขั้นพื้นฐานสำหรับเด็กทุกคนแล้ว ยังมีเด็กหลายคนอาจต้องการของขวัญสักชิ้นจากคุณพ่อคุณแม่ การซื้ออะไรให้ลูกนั้น อาจกลายเป็นการบ้านข้อใหญ่ว่าจะให้อะไรกับลูกดีที่เหมาะสมและคุ้มค่า

แนวคิดดีๆ จาก ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น นายแพทย์ชาตรี วิฑูรชาติ ได้ให้ 4 หลักคิด ที่ควรคำนึงก่อนซื้อของขวัญให้ลูกรัก ไว้ดังนี้

4 หลักคิด ก่อนการซื้อของขวัญ

  1. เลือกของที่ใช้ประโยชน์ได้ เป็นของที่ใช้ประโยชน์ได้จริงจะทำให้ผู้รับมีความสุขและรู้สึกว่าของขวัญนั้นมีคุณค่า
  2. ให้ของขวัญที่สื่อถึงความรัก เป็นของที่แสดงถึงความห่วงใย ให้ความสำคัญ และมีความหมาย
  3. ไม่เน้นมูลค่าหรือราคา ให้เน้นความใส่ใจ และประโยชน์ใช้สอยมากกว่าราคาของสินค้า
  4. เป็นกิจกรรมสร้างสรรค์ที่ทำร่วมกัน เพราะการให้ของขวัญกับเด็กอาจไม่จำเป็นต้องเป็นสิ่งของเสมอไป การพาลูกไปเข้าร่วมกิจกรรมที่หลากหลาย ช่วยให้ลูกมีโอกาสค้นหาตัวตน และส่งเสริมเพื่อพัฒนาได้

อีกหนึ่งตัวเลือกหากจะหาของขวัญสักชิ้นที่สื่อถึงความรัก ความใส่ใจของคุณพ่อคุณแม่ และช่วยปกป้อง ดูแลอนาคตลูกรักของเรา แนะนำแบบประกัน กรุงเทพ แฮปปี้ คิดส์ ประกันสะสมทรัพย์ที่มีระยะเวลาคุ้มครอง 99 ปี มีระยะเวลาการออม 20 ปี ซึ่งถือเป็นของขวัญล้ำค่าคุ้มครองรอบด้าน

  • รับเงินคืนการันตีตลอดสัญญา ถึงอายุ 98 ปี ปีละ 1% ของจำนวนเงินเอาประกันภัย
  • รับเงินก้อน 20% เพื่อเป็นของขวัญให้ลูกน้อย ในปีกรมธรรม์ที่ 20
  • ครบกำหนดสัญญารับเงินผลประโยชน์พร้อมเงินคืนพิเศษ 220% ของจำนวนเงินเอาประกันภัย
  • อุ่นใจกับหลักประกันที่เป็นมรดกตกทอดสู่ลูกหลานในอนาคตได้
  • รับผลประโยชน์เงินก้อน 50% ของจำนวนเงินเอาประกันภัย หากผู้ชำระเบี้ยประกันภัยเสียชีวิตหรือทุพพลภาพสิ้นเชิงถาวร

ผู้ที่สนใจสามารถสมัครทำประกันได้ผ่านตัวแทนประกันชีวิตและที่ปรึกษาการเงิน กรุงเทพประกันชีวิต และดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์กรุงเทพประกันชีวิต https://bla.bangkoklife.com/BK_HappyKids_ABK

หรือติดต่อ Call Center โทร. 02-777-8888

ผู้เขียน: คุณสิริธนภักสร มิ่งสมรธนินธร, AFPT

ผู้บริหารส่วนสนับสนุนและวิชาการ บมจ. กรุงเทพประกันชีวิต

    อนุบาลกุ๊กไก่ เรียนรู้จากการเล่นและประสบการณ์จริง พัฒนาเด็กรอบด้านแบบองค์รวม

    โรงเรียนอนุบาลเล็ก ๆ ที่เราจะมาแนะนำในวันนี้ เป็นโรงเรียนที่มีความเชี่ยวชาญเรื่องเด็กปฐมวัยมาก ๆ ค่ะ แถมรูปแบบหลักสูตรและการเรียนการสอนก็ทันสมัยอยู่ตลอด แม้ว่าจะเปิดสอนมาแล้วกว่า 48 ปีก็ตาม ที่สำคัญยังเป็นโรงเรียนที่มุ่งมั่นในการพัฒนาครูอย่างสม่ำเสมอ พัฒนาเด็กอย่างรอบด้าน ทั้งทางร่างกาย อารมณ์ สังคม และสติปัญญา อย่างเป็นองค์รวม ทั้งหมดที่กล่าวมานี้รวมอยู่ที่นี่ค่ะ

    โรงเรียนอนุบาลกุ๊กไก่ โรงเรียนอนุบาลกุ๊กไก่ ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2520 และเปิดสอนในระดับชั้นเตรียมอนุบาล – อนุบาล 3 สำหรับเด็กวัย 2-6 ปี ตั้งอยู่ย่านพระราม 4 เขตคลองเตย บนเนื้อที่ประมาณ 2 ไร่ ที่นี่เน้นสอนให้เด็กเตรียมความพร้อม และเรียนรู้จากการลงมือทำ เด็กต้องได้คิด ได้พูด ตั้งแต่เริ่มแรก และนอกจากได้การลงมือทำแล้ว ยังได้เรียนรู้เรื่องการวิเคราะห์ วินัย เพื่อให้รู้จักการกรองข้อมูลต่าง ๆ ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญในการสร้างทักษะการเรียนรู้ เพราะโรงเรียนเชื่อมั่นว่า เด็กจะเรียนรู้ได้ดีก็เมื่อได้ลงมือทำกิจกรรมและได้รับประสบการณ์ตรง

    หลอมรวมทฤษฎีต่างๆ มาไว้ในหลักสูตร

    โรงเรียนอนุบาลกุ๊กไก่ได้นำทฤษฎีต่าง ๆ ทั่วโลกและวิธีการสอนมาปรับใช้ในหลักการจัดการศึกษา เช่นBrain Based Learning (การเรียนรู้ตาม ผลวิจัยต่าง ๆ เกี่ยวกับสมอง) Multiple Intelligence (พหุปัญญา หรือ ความฉลาดที่มีหลายด้าน ซึ่งทุกคนมีทุกด้านมากน้อยในแต่ละด้านต่างกันไป) Constructivism และ Constructionism (ทฤษฎีการสร้างความรู้ด้วยตนเอง Learning by Doing) EF หรือ Executive Functions การพัฒนาทักษะของสมองส่วนหน้า 3 ด้าน เป็นต้น

    ซึ่งทฤษฎีต่างๆ จะถูกนำมาใช้ในการจัดสิ่งแวดล้อมและการเรียนรู้ให้เด็ก ๆ นอกจากนี้ยังมีนวัตกรรมต่าง ๆ ที่น่าสนใจ ที่เด็ก ๆ จะได้เรียนดังต่อไปนี้

    • Thematic Learning หรือการเรียนรู้ตามหน่วยการเรียนรู้เกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ รอบตัวเด็ก โดยเรียนรู้จากสิ่งที่ใกล้ตัวเด็กมากที่สุดออกไปสู่โลกกว้างขึ้น
    • Project Approach (โปรเจคแอพโพรช) เป็นการเรียนรู้อย่างลุ่มลึกเกี่ยวกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่เด็กสนใจและเลือกที่จะเรียนรู้กันเอง ได้ลงมือสำรวจ สัมผัส ทดลอง สืบค้น คิดหาคำตอบ และแก้ปัญหา โดยมีครูเป็นผู้สนับสนุน การเรียนรู้เปรียบเสมือนการเสริมสร้างทักษะวิจัยแบบง่าย ๆ ที่เด็กได้ใช้ทักษะต่าง ๆ ลงมือเรียนรู้ด้วยตนเองต่อไปได้จนเป็นผู้ใหญ่
    • Creative Curriculum เป็นวิธีการเรียนรู้ผ่านการเล่นเสรี โดยจัดสิ่งแวดล้อมภายในและภายนอกห้องเรียนให้เด็กเลือกที่จะเล่นและเรียนรู้อย่างเสรีผ่านการเล่น
    • Montessori เป็นวิธีการเรียนรู้ที่เด็กเลือกการเรียนรู้จากกิจกรรมหลากหลายด้วยตนเอง มีอุปกรณ์เฉพาะในการฝึกทักษะเด็กในด้านต่างๆ ซึ่งโรงเรียนอนุบาลกุ๊กไก่เลือกนำอุปกรณ์บางอย่างของ Montessori มาให้เด็กได้ใช้ฝึกทักษะ
    • STEAM เป็นการฟูมฟักความรู้ความเข้าใจในโลกรอบตัว โดยเด็กได้เรียนรู้ทักษะของวิชาต่าง ๆ ไปด้วยอย่างแยบยล และลงมือเรียนรู้ด้วยตัวเด็กเอง ทักษะวิชาคือ Science หรือ วิทยาศาสตร์ Technology หรือ เทคโนโลยี Engineering หรือวิศวกรรมศาสตร์ Mathematics หรือ คณิตศาสตร์ เด็กเรียนรู้ STEM ผ่านการเล่น การทดลอง และ Arts (ศิลปะรูปแบบต่างๆ)

    เด็ก ๆ ได้เรียนรู้ที่จะทำงานร่วมกัน
    สำรวจธรรมชาติรอบ ๆ โรงเรียน

    ศิลปะรูปแบบ Process Art จุดเด่นที่ไม่เหมือนใคร

    ที่โรงเรียนอนุบาลกุ๊กไก่ ให้เด็ก ๆ ได้เรียนรู้ศิลปะ Process Art คือ ศิลปะที่เน้นกระบวนการเป็นสิ่งสำคัญมากกว่าผลลัพท์ ป็นการเรียนรู้ที่มีประโยชน์กับเด็กมาก ๆ ทั้งได้ทดลอง สร้างสรรค์ เสริมสร้างทักษะการคิดและตัดสินใจ ช่วยให้เกิดความเข้าใจในสิ่งต่าง ๆ รอบตัวเด็ก และศิลปะจะกลายเป็นสิ่งที่สนุกสำหรับเด็ก

    เด็ก ๆ จะได้ลงมือวาดเองหรือทำงานศิลปะด้วยตนเอง โดยที่ไม่มีแบบให้ดูค่ะ เป็นศิลปะแบบปลายเปิด หมายถึงจะทำอย่างไรก็ได้ตามที่เด็กจะคิดทดลอง ไม่มีความคาดหวังในผลงานว่าต้องออกมาเป็นอย่างนู้นอย่างนี้ ไม่มีข้อจำกัดเรื่องเวลา จะทำนานแค่ใดก็ได้ ทำตอนไหนก็ได้ ไม่อยากทำก็พักไว้ก่อน เด็ก ๆ จะได้ทดลองทำด้วยวิธีต่าง ๆ ใช้อุปกรณ์และสื่อหลาย ๆ อย่าง ตามแต่ใจเด็ก เช่น ทดลองใช้กาว หรือกระดาษแบบต่าง ๆ ได้ค้นพบวิธีใหม่ วัสดุใหม่ ด้วยตนเอง เช่น เรียนรู้เองว่ากาวแบบไหนจะใช้กับวัสดุแบบไหน กระดาษแบบใดโดนกาวมาก ๆ จะเป็นอย่างไร

    การเรียนรูปแบบนี้ จะไม่มีการบอกกล่าวตัดสินผลงานของเด็ก แต่ยอมรับและเคารพผลงานของเด็ก ๆ ทุกคนทุกชิ้นผู้ใหญ่จะต้องเชื่อมั่นในตัวเด็ก ว่าเขาสามารถทำได้ แม้ว่าหลายครั้งเด็กอาจจะไม่สามารถทำตามแผนได้ เขาก็จะสามารถยืดหยุ่นความคิดและแก้ปัญหาได้ด้วยตนเอง

    Process Art ช่วยเรื่อง หรือ EF อย่างไร

    กระบวนการในการทำศิลปะรูปแบบนี้ เด็กจะมีอิสระในการทำผลงาน ไม่มีถูกไม่มีผิด จึงทำให้เด็ก ๆ มีความมั่นใจในการทำ และสามารถจดจ่อทำกิจกรรมได้ระยะเวลานาน ซึ่งเป็นทักษะกำกับตนเองที่ดี สามารถที่จะเรียนรู้ที่จะใช้สื่อต่าง ๆ และวางแผนในการเลือกใช้สื่ออุปกรณ์ ด้วยตนเอง ช่วยพัฒนาและใช้ทักษะการคิดแก้ปัญหาได้ดี และมีทักษะในการทำงานกับเพื่อน มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ การคิดวางแผน การมีเป้าหมาย รวมถึงเมื่อลงมือกระทำ เมื่อทำ Process Art ที่เน้นกระบวนการไปเรื่อย ๆ แล้ว เด็กจะสามารถควบคุมอารมณ์และมีความพยายามทำให้สำเร็จได้ดีขึ้นเรื่อย ๆ

    ด้านภาษาและการอ่านเขียน

    การอ่านเขียน โรงเรียนจะเน้นเรียนรู้ผ่านการเล่น และให้เรียนรู้จากสิ่งรอบตัวเด็ก หรือสิ่งที่เด็กสนใจ ให้เด็ก ๆ ได้ซึมซับ อาจจะเลือกพูดคุยเกี่ยวกับผลงานของตน และเพิ่มตัวหนังสือให้กับผลงานของตนเอง (เขียนเอง หรือ บอกให้ครูเขียนให้)

    ที่โรงเรียนอนุบาลกุ๊กไก่เชื่อว่า การใช้ภาษาไทยเป็นภาษาหลักในโรงเรียนมีความสำคัญยิ่งต่อการเรียนรู้ของเด็กที่เติบโตในประเทศไทยและอยู่ในบริบทสิ่งแวดล้อมที่ใช้ภาษาไทย เด็กจะสามารถ คิด พูด อธิบาย ได้อย่างมีประสิทธิภาพ บอกเล่าสิ่งต่าง ๆ ที่ตนเองคิด ต้องการสื่อสารได้ดีมากขึ้น ส่วนวิชาภาษาอังกฤษ โรงเรียนจัดให้มีครูเจ้าของภาษา (native English speaking teachers) เข้าไปเล่นกับเด็กในช่วงเช้า ครั้งละ 2 ชั่วโมง สัปดาห์ละ 2-3 วัน และสอนภาษาอังกฤษคาบละ 20-30 นาทีตามความเหมาะสมกับอายุ เพื่อให้เด็ก ๆ สามารถซึมซับภาษาตามธรรมชาติ นอกจากนี้โรงเรียนยังมีหลักสูตรเสริมภาษาอังกฤษ (Extra English Program) ที่ผู้ปกครองสามารถเลือกให้เด็กได้ ซึ่งสอนโดยครูต่างชาติที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลักเช่นกัน

    Teacher นั่งเล่นกับเด็ก ๆ เพื่อสร้างความคุ้นเคย
    เรียนดนตรี ในรูปแบบ ยูริธึมมิก (Eurhythmic) ใช้ความรู้สึกกับเสียงเพลง
    “ครูไก่” วิวรรณ สารกิจปรีชา ผู้อำนวยการและเจ้าของโรงเรียนอนุบาลกุ๊กไก่ และบุตรสาว คุณ “แวว” วรมน สารกิจปรีชา ที่เข้ามาช่วยบริหารโรงเรียนอนุบาลกุ๊กไก่ในปัจจุบัน

    Mommy Love This! ถูกใจแม่

    1. ที่นี่มีหลักสูตรการเรียนการสอนที่ทันสมัยและเป็นที่ยอมรับของชาวต่างชาตินะคะ จะเห็นว่ามีเด็กต่างชาติมาเรียนกันค่อนข้างเยอะเลยค่ะ เพราะหลักสูตรที่น่าสนใจและได้เรียนภาษาไทยด้วย
    2. สัดส่วนการครูต่อเด็ก ๆ ค่อนข้างเยอะ ครู 3-4 คนต่อเด็ก 20-24 คน เพราะที่นี่เน้นให้ครูฟังเด็ก และยังเป็นครูที่จบปฐมวัยทั้งหมด ดูแลเด็กทั่วถึงแน่นอนค่ะ
    3. มี Native Teacher มาพูดคุยกับเด็ก ๆ ทั้งช่วงเวลาเรียน สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง และ ทุก ๆ เช้า เพื่อทำความคุ้นเคย รวมถึงมี Extra English หลังเลิกเรียนให้ผู้ปกครองเลือกตามความสนใจด้วย
    4. โรงเรียนไม่เร่งเรียน ให้เด็กเรียนอย่างมีความสุข ตามช่วงวัย
    5. โรงเรียนฝึกให้เด็กช่วยเหลือตัวเองตั้งแต่เล็ก ๆ ทั้งทานอาหาร แปรงฟัง แต่งตัว เลิกแพมเพิส ฝึกวินัยกันตั้งแต่เด็กก็ช่วยแบ่งเบาภาระผู้ปกครองไปได้เยอะเลยค่ะ
    6. โรงเรียนไม่มีการสอบ คุณครูจะประเมินเด็กทุก ๆ วัน จะคอยสังเกตโดยรวมและรายบุคคล ข้อนี้แม่ชอบมากค่ะ
    7. ที่นี่เรียนดนตรี ในรูปแบบ ยูริธึมมิก (Eurhythmic) ใช้ความรู้สึกกับเสียงเพลง ฟังเพลงนี้แล้วอยากออกท่าทางอย่างไร ตามจินตนากรเกี่ยวข้องกับการตั้งใจฟังเสียงอย่างมีสมาธิและตอบสนองต่อองค์ประกอบของดนตรีง่าย ๆ ในเรื่อง จังหวะ ระดับเสียง ความดังเบา ความยาวสั้น เรียนรู้เรื่องจังหวะและโน้ตเพลง เมื่อเด็กสามารถแยกเสียงออกได้ก็จะมีประโยชน์กับการเรียนภาษาและสอดแทรก Classical Music เข้ามาผสมผสาน
    8. โรงเรียนสอนให้เด็ก ๆ ฝึกคิดตลอดเวลา คือ เด็กจะมีความรู้เดิมของตัวเอง หัดคาดคะเน เมื่อได้เรียนรู้เพิ่มเติม ได้ออกไปเจอสิ่งนั้นจริง ๆ ก็กลับมาพูดคุยกันว่าสิ่งที่เราคาดคะเนไว้มันถูกหรือผิดหรือได้ความรู้ใหม่อะไรมาเพิ่มเติมบ้าง

    อัตราเค่าเล่าเรียน

    ค่าแรกเข้า 6,000 บาท

    ค่าธรรมเนียมการศึกษาและค่าอาหาร 58,300 บาท (*หมายเหตุ ราคานี้ยังไม่รวมค่าอุกรณ์การเรียน ค่าเครื่องแบบและอื่น ๆ )

    ที่อยู่ อนุบาลกุ๊กไก่

    3810 ถนนพระราม 4 แขวงคลองตัน เขตคลองเตย กทม.10110 โทร.02-249-0081-3

    Facebook : https://www.facebook.com/kukaikindergarten

    Website : www.kukai.ac.th

      รวม 10 โรงเรียนทางเลือก ที่คัดมาแล้วว่าดีและใช่ พร้อมค่าเทอม ประจำปี 2025

      School Visit วันนี้ทีมแม่ ABK รวบรวม โรงเรียนทางเลือก ดี ๆ ย่านกรุงเทพฯและปริมณฑลมาฝากกันค่ะ บ้านไหนกำลังมองหาโรงเรียนทางเลือกอยู่ ตามไปดูหลักสูตรของแต่ละที่และส่องค่าเทอมกันได้เลย

      1. โรงเรียนเพลินพัฒนา
      โรงเรียนทางเลือก ที่แรก เพลินพัฒนา เป็นโรงเรียนเล็กในโรงเรียนใหญ่ เปิดสอนตั้งแต่ระดับ อนุบาล – มัธยม ให้ความสำคัญกับความเป็นมนุษย์ หัวใจของโรงเรียนคือการสร้างคนให้เป็นคน สร้างคนให้มีคาแรคเตอร์ เพราะรู้ว่าเด็กแต่ละคนต่างกัน ความเก่งเป็นเรื่องสำคัญแต่ไม่ได้สำคัญที่สุด  คุณครูจะช่วยมองทุกมุมทุกด้าน แล้วประกอบกันขึ้น หลอมรวมกันจนเป็นคาแรคเตอร์ของเด็กออกมาที่ชัดเจน สอนให้เด็กรู้จักการแก้ปัญหา และมองปัญหาเป็นเรื่องปกติของชีวิต สำเร็จก็ได้ไม่สำเร็จก็ได้ ทำให้เด็กมีภูมิคุ้มกันที่ดีในโลกอนาคต ชั้นอนุบาลและประถมศึกษา เป็นการปูพื้นฐาน เรียนแบบลงมือทำ Active Learning โดยใช้การบูณาการวิชาทักษะชีวิต กับวิชาการให้เป็นหนึ่งเดียวกัน เด็กมัธยมต้นที่โรงเรียนเพลินพัมนาจะเน้นการค้นหาตัวตน สามารถเลือกวิชาเรียนเพิ่มเติมได้ด้วยตนเอง เรียนให้หลากหลายเพื่อให้หาตนเองให้เจอ พอเป็นมัธยมปลายเป็นเรื่องการต่อยอด มุ่งมั่นไปตามเส้นทาง   และเพราะเด็กทุกคนไม่ได้เพียบพร้อมสมบูรณ์แบบ อาจมีเด็กบางคนที่มีความพร่อง โรงเรียนจึงเกิดโครงการ No one left behind เราจะไม่ทอดทิ้งใครไว้ข้างหลัง  เด็กเหล่านี้จะได้รับการประคับประคอง ช่วยเหลือ แก้ไข เพื่อให้เด็กดำเนินชีวิตต่อได้ และพร้อมจะช่วยเหลือกัน เพื่อให้เด็กได้ไปต่อ

      อัตราค่าเล่าเรียน : ประมาณ 185,000 – 195,000 บาท / ต่อปี
      ( ราคาปรับเปลี่ยนตามสภาพเศรษฐกิจและตามระเบียบการของแต่ละปีการศึกษาค่ะ )
      อ่านต่อได้ที่นี่

      2. โรงเรียนทอรัก

      โรงเรียนทางเลือกย่านสมุทรปราการ เปิดสอนระดับชั้นอนุบาล- ประถม 6 และเปิดทำการสอนมายาวนานกว่า 27 ปี  เน้นสร้างเด็กให้เก่งโดยไม่ต้องเร่งเรียน ให้เด็กเรียนรู้ตามธรรมชาติ การเรียนการสอนในรูปแบบภาษาธรรมชาติ ( Whole Language Approach ) ที่ยึดเด็กเป็นศูนย์กลาง ( Child Centered ) โดยใช้แนวการเรียนการสอนแบบโครงการ ( Project Approach ) และการเรียนการสอนเป็นธีม (Thematic Approach)  เป็นโรงเรียนที่ให้ความสำคัญด้านจิตใจของเด็ก ๆ  และเน้นการปลูกฝังมากกว่าการหวังผลลัพธ์ระยะสั้น การเรียนรู้ของเด็กต้องมาจากความรักและความเมตตาของครูผู้สอน ที่นี่เด็ก ๆ จะเรียนอย่างมีความสุข สนุก รู้สึกปลอดภัย และรักที่จะมาโรงเรียน โรงเรียนไม่ประเมินผลเด็กจากคะแนนสอบเพียงอย่างเดียว  แต่จะประเมินจากพัฒนาการทั้ง 4 ด้าน  คือ สังคม อารมณ์-จิตใจ สติปัญญา และร่างกาย  ด้วยแนวคิดที่ว่า เด็กจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ประสบความสำเร็จหรือเป็นคนเก่งต่อไปนั้น  จะต้องมาจากรากฐานการเรียนรู้อย่างมีความสุขซึ่งจะนำไปสู่  “ การเรียนรู้อย่างต่อเนื่องและตลอดชีวิต”

      อัตราค่าเล่าเรียน : ประมาณ 30,000 – 50,000  บาท / เทอม

      ( ราคาปรับเปลี่ยนตามสภาพเศรษฐกิจและตามระเบียบการของแต่ละปีการศึกษาค่ะ )

      อ่านต่อได้ที่นี่

      3. โรงเรียนอนุบาลบ้านพลอยภูมิ

      โรงเรียนทางเลือกขนาดย่อม ที่เปิดโอกาสให้เด็กเรียนรู้และพัฒนาตนเองอย่างเต็มที่ตามศักยภาพของแต่ละคน  โรงเรียนที่สร้างเด็กให้สุขง่าย ทุกข์ยาก และมีสมดุลในการใช้ชีวิต หลักสูตรของโรงเรียนเป็นการเรียนรู้แบบองค์รวม คือเข้าถึงความจริงของธรรมชาติ ที่สอดคล้องกับ มนุษย์ สังคม ธรรมชาติและเทคโนโลยี เรียนรู้ผ่านกาย ใจ ผ่านการลงมือทำ ผ่านการสร้างเรื่องของกระบวนการคิดให้สัมพันธ์กัน พัฒนาชีวิตให้สามารถตัดสินใจได้ถูกต้อง เด็กๆจะกำกับตัวเองได้ และรู้ว่าอะไรควรหรือไม่ควรทำ  กินเป็นอยู่เป็น ไม่เบียดเบียนผู้อื่น  คือเป้าหมายหลักของโรงเรียน  เด็กที่นี่จะได้เรียนรู้หลากหลาย ทั้งดนตรี ศิลปะ เพราะการพัฒนาเด็กควรพัฒนาสมองทั้งสองซีก เพื่อให้เกิดความสมดุล ไม่ใช่เก่งแต่วิชาการ แต่ต้องสามารถเชื่อมโยงมนุษย์ และธรรมชาติ ได้ด้วย ไม่สุดโต่งไปด้านใดด้านหนึ่ง โรงเรียนพยายามสร้างประสบการณ์ที่หลากหลาย   เปิดโอกาสให้ทดลองเล่น จนเจอสิ่งที่เด็กถนัด แม้จะเจอสิ่งที่ไม่ถนัดก็ไม่หยุดพัฒนา

      อัตราค่าเล่าเรียน : 78,000 บาท / เทอม

      ( ราคานี้ยังไม่รวมค่าแรกเข้า และราคาปรับเปลี่ยนตามสภาพเศรษฐกิจและตามระเบียบการของแต่ละปีการศึกษาค่ะ
      อ่านต่อได้ที่นี่

      4. โรงเรียนไตรพัฒน์

      โรงเรียนไตรพัฒน์ จัดการเรียนการสอนแนววอลดอร์ฟ เปิดสอนตั้งแต่ระดับชั้นอนุบาล 1 – มัธยมศึกษาปีที่ 6 การสอนของที่นี่เน้นให้เด็ก ๆ เรียนรู้จากการลงมือทำ ทำให้เขาสามารถปรับใช้กับชีวิตจริงได้ เช่น ในระดับชั้น ป.3 วัยเด็กที่ทุกคนอยากสร้างบ้านของตัวเอง เราอาจเอาผ้ามาคลุมทำบ้าน แต่ที่โรงเรียนไตรพัฒน์จะให้เด็กลงมือสร้างบ้านจริงๆ จากความรู้การวัดการคำนวนที่เขาเรียนมา เขาจะได้เลื่อย ได้ตอกไม้ ปีนขึ้นหลังคา ทำให้เด็กเห็นความจริงที่จับต้องได้ เด็กจะได้ลงมือทำอย่างจริงจังเวลาเขามาโรงเรียน ทุกสิ่งทุกอย่างจึงเป็นจริงสำหรับเขา หลักสูตรที่นี่เน้นเด็กเป็นศูนย์กลางอย่างแท้จริง มีการศึกษาอย่างลึกซึ้งว่าเด็ก ๆ แต่ละช่วงวัยต้องการอะไร เขาเรียนรู้ด้วยวิธีไหน เขากำลังพัฒนาอะไร และตอบสนองเขาอย่างเต็มที่ทุกด้าน
      อัตราค่าเล่าเรียน : 46,200-55,900 บาท / เทอม

      (ราคาปรับเปลี่ยนตามสภาพเศรษฐกิจและตามระเบียบการของแต่ละปีการศึกษาค่ะ )

      อ่านต่อได้ที่นี่

      5. โรงเรียนจิตเมตต์

      โรงเรียนที่มุ่งมั่นพัฒนาเด็กสู่ความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์และเน้นพัฒนาทักษะชีวิต ให้เด็กเติบโตอย่างเป็นธรรมชาติท่ามกลางธรรมชาติ และมองเห็นคุณค่าในตนเอง เปิดสอนตั้งแต่ระดับชั้นเตรียมอนุบาล – อนุบาล 3หลักสูตรของโรงเรียนจะถูกออกแบบขึ้นมาจากพื้นฐานทักษะชีวิตและธรรมชาติของเด็กในแต่ละช่วงวัย โดยคำนึงถึง พัฒนาการ 4 ด้าน  EF (Executive Function) และ SELF เพื่อให้เด็กเติบโตไปด้วยความพร้อมทั้งกายและใจ ได้ใช้ศักยภาพของเขาอย่างเต็มที่ที่สุด เด็กจะรู้หน้าที่ มีความรับผิดชอบของตนเองและผู้อื่น สามารถช่วยเหลือตนเองและอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้ โรงเรียนจิตตเมตต์ ไม่ประเมินหรือวัดผลแบบให้คะแนน ให้เกรดในกิจกรรมใด ๆ เด็ก ๆ มีศักยภาพในการประเมินตัวเองอยู่ตลอดเวลาทั้งในขณะที่เล่นหรือทำกิจกรรม เช่น การเล่นปีนป่ายเค้าประเมินตัวเองว่าร่างกายและใจของเขาพร้อมหรือไม่พร้อมแค่ไหน ทำได้ ไม่ได้ วันนี้ไม่ได้พรุ่งนี้ลองทำใหม่จนสำเร็จ, เด็กจะได้ประเมินตัวเองว่าเขาสามารถทำตามแผนต่าง ๆ ได้หรือไม่ ถ้าทำไม่ได้เด็กก็จะรู้ด้วยตัวเอง แล้วเริ่มคิดเองได้ว่า ครั้งหน้าควรจะเข้าฐานให้เร็วขึ้นหรือจบอันนี้เพื่อที่จะไปทำอย่างอื่นได้ตามเป้าหมาย การที่เด็กได้โอกาสในการประเมินตัวเองจะนำไปสู่พัฒนาการที่ดี มีทักษะ EF และ SELF ให้แข็งแรง

      อัตราค่าเล่าเรียน 83,230 บาท / เทอม
      ( ราคานี้ยังไม่รวมค่าแรกเข้า และราคาปรับเปลี่ยนตามสภาพเศรษฐกิจและตามระเบียบการของแต่ละปีการศึกษาค่ะ

      อ่านต่อได้ที่นี่

      6. ศูนย์การเรียนปฐมภูมิธรรม

      เปิดสอนตั้งแต่ระดับชั้น ประถม 1 – 6  มีทุกอย่างครบครันเหมือนโรงเรียนทั่วไปตามนโยบายเรื่องการศึกษา สอนทั้งรายวิชาพื้นฐานทั่วไปและรายวิชาเพิ่มเติม ซึ่งเป็นหลักสูตรที่โรงเรียนออกแบบขึ้นเอง มีความยืดหยุ่นและเน้นกระบวนการมากกว่าเนื้อหา ที่สำคัญคือเป็นหลักสูตรที่ทำให้เด็กมีความสุขในการเรียน  จุดเด่นของโรงเรียน คือ การสร้างเด็ก ให้เป็นเด็กธรรมดา ที่มีความสุขได้ ซึ่งเป็นแก่นแท้ของชีวิต เรียนรู้ความจริงของความเป็นธรรมดาบนพื้นฐานของธรรมชาติ  เด็ก ๆ จะได้ฝึกดูแลตนเองและดูแลผู้อื่น รู้จักตนเอง ชอบ รัก หวัง และอยากเป็นสิ่งใด รู้ศักยภาพและเป้าหมายของตนเอง มีความมุ่งมั่นที่จะทำสิ่งนั้น ๆ ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญที่จะทำให้เด็กรักตัวเอง และมีความพยายามที่จะพัฒนาตนเอง  ไม่เพียงแค่เรียนรู้ที่จะผ่านการทดสอบเท่านั้น แต่ยังเรียนรู้ที่จะเข้าใจความหมายที่แท้จริงของทุกอย่าง ทำงานอย่างไรและทำไม เพื่อทำความเข้าใจในสิ่งที่พวกเขาสัมผัส เพื่อนำความเข้าใจนี้ไปใช้ในสถานการณ์จริง  

      อัตราค่าเล่าเรียน: 85,000 บาท / เทอม

      (ราคาดังกล่าวยังไม่รวมค่าแรกเข้า ค่าใช้จ่ายอื่นๆ และค่าธรรมเนียมการเรียนการสอนจะปรับขึ้นประมาณ 5 -10 % ต่อปีการศึกษา )

      อ่านต่อได้ที่นี่

      7. โรงเรียนทอสี

      โรงเรียนทอสีเปิดสอนตั้งแต่ระดับเตรียมอนุบาล – ประถมศึกษาปีที่ 6 ย่านสุขุมวิท การจัดการเรียนการสอนใช้วิธีบูรณาการคุณธรรมและจริยธรรมเข้าไปในบทเรียน ให้เด็กๆ ได้ซึมซับวิถีพุทธในชีวิตประจำวันอย่างเป็นธรรมชาติและเรียนรู้รอบด้านทั้งการเรียนและการใช้ชีวิต สอนให้รู้จักความสุขแบบง่ายๆ ไม่ต้องไปแก่งแย่งหรือแข่งขันกับใคร แต่ให้แบ่งปันกับตัวเองในวันนี้  เด็ก ๆ จะพร้อมเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดีมีความสุขพร้อมเผื่อแผ่ให้คนรอบข้างและสังคม เป็นโรงเรียนที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว โรงเรียนทอสีจะทำงานร่วมกันกับพ่อแม่ผู้ปกครอง เพราะเชื่อมั่นว่า การเรียนรู้ที่ดีต้องไม่ใช่อยู่แค่เพียงในห้องเรียนหรือโรงเรียนเท่านั้น บ้านก็เป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยทำให้เด็กได้เรียนรู้และมีพัฒนาการที่ดีขึ้น ถ้าคุณอยากให้ลูกเรียนดี มีความสุขและมีคุณธรรมไปพร้อม ๆ กัน รับรองว่าโรงเรียนนี้ตอบโจทย์แน่นอน

      อัตราค่าเล่าเรียน :  68,550- 82,450 บาท / เทอม

      (ราคาดังกล่าวยังไม่รวมค่าแรกเข้าและราคาปรับเปลี่ยนตามสภาพเศรษฐกิจและตามระเบียบการของแต่ละปีการศึกษาค่ะ )

      อ่านต่อได้ที่นี่

      8. ศูนย์การเรียนศิริ์รัถยา

      โรงเรียนเรียบง่ายสไตล์วอลดอร์ฟ ที่เชื่อมโยงการเรียนรู้ระหว่างชีวิตธรรมดา ธรรมชาติ และมนุษย์ เปิดสอนตั้งแต่ระดับชั้นอนุบาล – ประถมศึกษาปีที่ 6  ที่เน้นให้เด็ก ๆ ได้ใช้พลังทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นสติปัญญา ด้านศิลปะ และด้านการปฏิบัติตามศักยภาพของตนเองโดยผ่านกิจกรรม 3 อย่างคือ กิจกรรมทางกาย ผ่านอารมณ์ -ความรู้สึกและผ่านการคิด พัฒนาตามวัยและไม่เร่งเรียน แต่เรียนในสิ่งที่ต้องรู้ ซึ่งทุกอย่างคือทักษะชีวิต ใช้ชีวิตใกล้ชิดธรรมชาติตามพื้นฐานปัจจัยสี่ของมนุษย์ อาหาร ยา เครื่องนุ่งห่ม ที่พักอาศัย วัตถุยิ่งน้อยเด็ก ๆ ยิ่งเรียนรู้มาก ลง-ลึก-ซึ้ง-ตั้งใจ-อดทน อันเป็นคุณสมบัติที่ดีของ “Long Life Learner” เป็นโรงเรียนที่ไม่มีประโยคคำสั่ง ใช้วิธีการการเชิญชวนแนวบวก ใช้สัญญาณในการยุติและเริ่มกิจกรรมต่าง ๆ ใช้การร้องเพลงแทนการบอกให้ทำ การออกคำสั่ง วิธีนี้เองที่ทำให้เด็ก ๆ รู้สึกไม่กลัวโลก ไว้ใจ สร้างความอบอุ่น อ่อนโยน

      อัตราค่าเล่าเรียน :  31,500 – 34,500 บาท / เทอม

      (ราคาดังกล่าวยังไม่รวมค่าแรกเข้า และราคาปรับเปลี่ยนตามสภาพเศรษฐกิจและตามระเบียบการของแต่ละปีการศึกษาค่ะ )

      อ่านต่อได้ที่นี่

      9. โรงเรียนวรรณสว่างจิต

      โรงเรียนวรรณสว่างจิตเป็นโรงเรียนทางเลือกอันดับต้น ๆ เปิดสอนระดับชั้นเตรียมอนุบาล-ประถม 6 บนพื้นที่กว้างขวางกว่า 10 ไร่ ริมถนนพระราม 2 ที่นี่ใช้หลักสูตรผสมผสานจากหลาย ๆ แนวทางมาทดลองใช้ให้เหมาะสมกับเด็ก ๆ ทั้ง Montessori, Waldorf, Whole Language, Project Approach  จนกลายเป็นหลักสูตรเฉพาะของโรงเรียนวรรณว่างจิต ที่โรงเรียนจะยึดหลักของวอลดอร์ฟ (Waldorf) ในการดูแลบ้านเด็กเล็ก (2-3 ปี) การปรับใช้ Whole Language และ Project Approach ในระดับชั้นอนุบาล และ การใช้หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานของกระทรวงศึกษาธิการ ผ่านการเรียนรู้แบบบูรณาการแบบโครงการ (Project Approach) ในระดับชั้นประถม แต่ยังคงได้กลิ่นอายของ Montessori ในกิจกรรมต่าง ๆ ของเด็ก ๆ  และยังเป็นโรงเรียนที่มีสภาพแวดล้อมที่ดีที่สุดแห่งหนึ่ง ที่นอกจากจะร่มรื่นเต็มไปด้วยต้นไม้หลากหลายพันธุ์ที่แค่ได้เดินสำรวจก็เรียนรู้ได้มากมายแล้ว ห้องเรียนที่นี่ยังเปิดกว้างรับอากาศธรรมชาติอีกด้วย

      อัตราค่าเล่าเรียน : 30,000-40,000 บาท / เทอม

      (ราคาปรับเปลี่ยนตามสภาพเศรษฐกิจและตามระเบียบการของแต่ละปีการศึกษาค่ะ )

      อ่านต่อได้ที่นี่

      10. โรงเรียนปัญโญทัย

      อีกหนึ่งสุดยอดโรงเรียนทางเลือกหลักสูตรวอลดอร์ฟ ที่ยึดมั่นในหลักการของรูดอล์ฟ สไตเนอร์ โดยปรับให้สอดคล้องกับบริบทของสังคมและเยาวชนไทย มุ่งหมายให้เด็ก ๆ ได้เรียนรู้รอบด้าน balance ทั้งร่างกาย จิตใจ สติปัญญา เพื่อให้เด็ก ๆ เติบโตและพรั่งพร้อมไปด้วยคุณสมบัติที่ดีของมนุษย์ตามแบบฉบับของแต่ละคน

      เด็ก ๆ เติบโตอย่างเรียบง่าย ตามพัฒนาการที่สมวัย ได้เล่น ได้เรียน ได้ลงมือทำ รู้จักผิดพลาดและเรียนรู้ที่จะแก้ไข ท่ามกลางบรรยากาศ – ธรรมชาติที่ “ปรุงแต่ง” น้อย เมื่อรากแก้วแข็งแรงแล้ว การต่อยอดเข้าไปในโลกยุคใหม่จะทำให้เด็ก ๆ ไม่สั่นคลอนหรือแกว่งไปตามกระแส และสามารถคงไว้ซึ่งคุณค่าและความงดงามของ “ การเป็นมนุษย์ ” เรียนรู้ผ่านการลงมือปฏิบัติให้เป็นทักษะชีวิตอย่างแท้จริง โดยที่เด็ก ๆ จะไม่รู้เลยว่าแต่ละงานที่ทำอยู่นั้นคือ ทักษะของแต่ละรายวิชานอกจากนี้โรงเรียนยังปลูกฝังด้านอารมณ์และความรู้สึกให้แก่เด็ก ๆ ผ่านจริยธรรม ศีลธรรม อีกด้วย

      อัตราค่าเล่าเรียน :  32,000-36,000 บาท / เทอม

      (ราคาปรับเปลี่ยนตามสภาพเศรษฐกิจและตามระเบียบการของแต่ละปีการศึกษาค่ะ )

      อ่านต่อได้ที่นี่

        ผงสมุนไพร Mamoon เพื่อลูกน้อยผิวใส ไกลผื่น สมุนไพรดูแลผิว สำหรับทุกคนในครอบครัว

        ผิวของลูกน้อย ย่อมต้องการการดูแลเป็นพิเศษ เพราะผิวที่บอบบางเสี่ยงต่ออาการแพ้ได้ง่าย หนึ่งในปัญหาผิวที่มักจะรบกวนเด็กทารก ให้พวกเขาไม่สบายตัวและงอแง ได้แก่ ผื่นผ้าอ้อม หรือ ผื่นเด็ก นั่นเอง เรามีเคล็ดลับให้คุณแม่หมดกังวลกับปัญหาดังกล่าว ด้วยการอาบน้ำพร้อมกับผลิตภัณฑ์ที่จะเป็นตัวช่วยดูแลผิวให้ลูกน้อย ห่างไกลผดผื่น ผิวเนียนนุ่ม แข็งแรง มาฝากกันค่ะ

        ส่วนผสมจากสมุนไพรและธรรมชาติ

        ผงสมุนไพรมามูน มีส่วนผสมจากสมุนไพร 2 ชนิดคือ ขมิ้นชันและไพล ซึ่งสมุนไพรไทยทั้ง 2 ชนิดนี้ มีสรรพคุณช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับผิว ลดผด ผื่นคัน ลดการอักเสบต่าง ๆ ช่วยต้านเชื้อรา เชื้อจุลินทรีย์ และแบคทีเรีย รวมทั้งมีสารต่อต้านอนุมูลอิระ ช่วยชะลอการเกิดริ้วรอย ให้ผิวเนียนนุ่ม กระจ่างใส สุขภาพดีอีกด้วย และที่สำคัญคือ ปลอดภัย ไม่มีสารเคมี

        ผดผื่นในเด็กเล็กตั้งแต่แรกเกิดเป็นเรื่องที่มาควบคู่กัน ไม่ว่าจะผื่นคัน ผดร้อน ผื่นผ้าอ้อม ทั้งยังช่วยดูแลผิวจากรอยยุงกัด รอยดำหรือรอยอักเสบได้อีกด้วย รวมไปถึงสรรพคุณของขมิ้นที่ช่วยให้ผิวกระจ่างใส และดูสุขภาพดี

        ใครที่ยังไม่เคยใช้ผงสมุนไพรอาบน้ำหรือพอกผิว ไม่ต้องกังวลไป เพราะผงสมุนไพรเนื้อละเอียดที่มีความเข้มข้น เวลาใช้งานจึงใช้ในปริมาณน้อย กระปุกเดียวใช้ได้ยาวนานและผิวเนียนกันได้ทั้งบ้าน ในเด็กเล็กก็ช่วยปลอบประโลมผิว ในวัยผู้ใหญ่ คุณแม่หรือคุณพ่อก็ใช้ดี เพราะจะช่วยเรื่องผิวเรียบเนียบ กระจ่างใส ลดการอักเสบจากยุงและแมลงกัดได้ ลดสิวและชะลอริ้วรอยก่อนวัย

        สะดวกใช้ ปรับได้ตามสะดวก

        ผงสมุนไพรมามูน มีการทดสอบการระคายเคืองจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ดังนั้นจึงสามารถปรับการใช้งานได้ตามความชอบใจของแต่ละคน เช่น ในเด็กเล็กสามารถผสมน้ำอาบ พอกผิว หรือพอกตัว ในวัยผู้ใหญ่สามารถใช้ขัดตัวพอกตัว เพื่อช่วยให้ผิวดีขึ้นได้ หรือวัยผู้ใหญ่ที่มีปัญหาเรื่องผื่นแพ้ กลากเกลื้อน เป็นสิวที่ใบหน้าที่ร่างกาย หลัง สามารถใช้ผงสมุนไพรผสมอาบน้ำได้ หรือนำมาขัดผิว พอกตัว เข้าตาเข้าปากไม่อันตราย

        วิธีใช้ผงสมุนไพรมามูน

        • ผสมน้ำอาบในอ่างหรือตักอาบ: ผสมผงสมุนไพรปริมาณครึ่งช้อนชาต่อน้ำ 1 อ่างอาบน้ำสำหรับเด็ก หรือผสม 1 ช้อนชา ต่อน้ำปริมาณ 1 อ่างอาบน้ำสำหรับผู้ใหญ่ ใช้น้ำสมุนไพรที่ผสมไว้แทนน้ำอาบ โดยฟอกสบู่ ล้างหน้า สระผมได้ปกติ
        • ผสมสบู่หรือเจลอาบน้ำ: ผสมผงสมุนไพรปริมาณเท่าเมล็ดถั่วเขียว ต่อสบู่ที่อาบใน 1 ครั้ง หรือจะแบ่งผสมสบู่สำหรับอาบไว้ 1 สัปดาห์ ต่อผงสมุนไพร1/4 ช้อนชา แล้วฟอกตัวอาบน้ำปกติ แล้วผสมใหม่ต่อไป
        • สำหรับครอบครัวพอกหน้า ใช้ผงสมุนไพรปริมาณ 1/4 ช้อนชา สามารถผสมกับโยเกิร์ต หรือนม หรือน้ำผึ้ง หรือมะขาม หรือน น้ำเปล่า พอกทิ้งไว้ 5-10 นาทีแล้วล้างออก

        วิธีเก็บรักษาผงสมุนไพรมามูน

        หลังจากเปิดใช้งานแล้ว ปิดฝาให้สนิททุกครั้ง เพราะเป็นสมุนไพรสดไม่มีสารกันเสีย หากโดนความชื้นจะมีโอกาสในการขึ้นราได้

        หากกังวลเรื่องการระคายเคือง สามารถผสมผงสมุนไพรกับน้ำแล้วล้างบริเวณช่วงขา เพื่อทดสอบในเบื้องต้นได้จากเหตุผลทั้งหมดนี้ จึงทำให้ ผงสมุนไพรมามูน ได้รับการโหวตจากแม่ผู้ซึ่งใช้จริงกว่า 30,000 คน กับผลิตภัณฑ์สมุนไพรสำหรับเด็ก MOMMY’S CHOICE : BEST HERB PRODUCT FOR KIDS จาก Amarin Baby & Kids Awards 2024

        ช่องทางการติดต่อ

        – เฟสบุ้คเพจ: https://www.facebook.com/mamoonbrand

        – TikTok: https://www.tiktok.com/@mamoonbrand?_t=ZS-8tGo0RRhIS0&_r=1

        – Shopee: shopee.co.th/mamoon_official

        – Lazada: https://s.lazada.co.th/s.G4EEF

        – Line official account: https://lin.ee/U1g7sXj

        – Instagram: https://www.instagram.com/mamoonbrand.official?igsh=MXJ4b2M4c2Z0ZzJxdg==

          ชวนลูกสร้างนิสัยรักการแปรงฟัน ด้วยแปรงและยาสีฟันที่ออกแบบพิเศษ สำหรับเด็กแต่ละช่วงวัย

          หนึ่งในภารกิจสำหรับคุณแม่มือใหม่ การแปรงฟันให้ลูกในวัยที่ลูกยังแปรงฟันเองไม่ได้เป็นสิ่งสำคัญ และในบางบ้านเกิดความกังวล กล้าๆกลัวๆในการจับลูกนอนแปรงฟัน แต่หากเราเลือกผลิตภัณฑ์ที่ใช่ ก็เหมือนมีตัวช่วยที่ดี และทำให้การสอนลูกแปรงฟันด้วยตัวเอง จะกลายเป็นเรื่องท้าทายที่แสนสนุกสำหรับทุกคนในครอบครัว

          เรื่องช่องปากของเด็กๆ ไม่ใช่เรื่องเล็กๆและพ่อแม่ควรดูแลช่องปากของพวกเขาในทุกช่วงวัย วัยแรกเกิดที่ฟันยังไม่ขึ้น สามารถทำความสะอาดได้ด้วยผ้านุ่มๆเช็ดเหงือกเบาๆหลังลูกดูดนมเสร็จ พอขยับเข้ามาช่วงวัยฟันเริ่มขึ้นตั้งแต่ 6 เดือนเป็นต้นไป ก็ถึงเวลาที่คุณพ่อคุณแม่ต้องจริงจังในการเลือกผลิตภัณฑ์ ทั้งแปรงสีฟันและยาสีฟันที่ดีและอ่อนโยนเหมาะสมกับพวกเขา

          ด้วยเหตุนี้การเลือกแปรงสีฟันและยาสีฟันให้ลูกจึงเป็นสิ่งที่ควรคำนึงถึง เพื่อทำให้ช่วงเวลาของการแปรงฟันเป็นช่วงเวลาสุขใจทั้งแม่และลูก ดังนั้นควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่ใช่ ปลอดภัย และออกแบบมาอย่างดี หรือการให้พวกเขาได้มีส่วนร่วมในการเลือกเพื่อกระตุ้นและสร้างการเรียนรู้ให้การแปรงฟันกลายเป็นเรื่องธรรมดาของสุขภาวะที่ดีภายในบ้าน สร้างภาพจำให้รู้สึกว่าการแปรงฟันคือเรื่องสนุก ปัจจัยในการเลือกแปรงสีฟันและยาสีฟันให้ลูกมีหลายเหตุผล เช่น ขนาดของแปรงสีฟันที่เหมาะกับแต่ละช่วงวัย ขนาดของปากและฟันเด็ก ขนแปรงที่อ่อนนุ่มแต่ซอกซอนได้ดี แปรงที่ออกแบบมาให้จับถนัดกระชับมือ รวมถึงการเลือกยาสีฟันและแปรงสีฟันที่มีกลิ่นและรสชาตที่เด็กๆชอบ คุณสมบัติของยาสีฟันที่ดี มีไซลิทอลสารความหวานธรรมชาติที่ไม่ทำให้ฟันผุ เป็นต้น

          ทีมแม่ ABK ขอแนะนำแปรงสีฟันและยาสีฟัน Jordan ให้เป็นแปรงสีฟันและยาสีฟันที่คุณพ่อคุณแม่ควรมีติดบ้าน

          Amarin Baby & Kids ยกให้ Jordan เป็นแปรงสีฟันและยาสีฟันสำหรับเด็กที่ได้รับรางวัล Editor’s Choice สาขา BEST ORAL CARE PRODUCT FOR KIDS จาก Amarin Baby & Kids Awards 2024

          แค่แกะแปรงสีฟันสำหรับเด็ก Jordan ออกมาดู ก็รู้สึกตื่นเต้นแล้ว เพราะแปรงสีฟันหน้าตาน่ารักมาก ดีไซน์เก๋ สีสันสดใส ขนาดคุณแม่เห็นแล้วชอบชนาดนี้ ลูกเห็นแล้วต้องชอบแน่นอนค่ะ แปรงสีฟันแต่ละอันมีดีไซน์ที่โดดเด่นมาก เพราะได้รับการออกแบบอย่างใส่ใจทุกขั้นตอนเพื่อเด็กในแต่ละช่วงวัย โดยแบ่งออกเป็นออกเป็น 3 ช่วงวัย ได้แก่

          เด็กอายุ 0-2 ปี

          เลือกใช้ขนแปรงนุ่มเป็นพิเศษ มีขอบแปรงสำหรับให้ลูกฝึกกัดได้ด้วย มีคอแปรงสั้น เพื่อป้องกันไม่ให้เผลอแปรงเข้าคอของเด็กลึกเกินไปจนเป็นอันตราย ด้ามจับออกแบบเป็นทรงรี มีรู ช่วยคุณพ่อคุณแม่และลูกน้อยจับถนัดมือ

          เด็กอายุ 3-5 ปี

          เด็กในช่วงวัยนี้ เป็นช่วงเวลาทองของการฝึกกิจวัตรประจำวัน คุณพ่อคุณแม่สามารถฝึกให้พวกเขาแปรงฟันเองได้ เพื่อสร้างความมั่นใจและรู้จักรับผิดชอบต่อร่างกายของเขาเอง แต่พ่อแม่ยังต้องเป็นฝ่ายสนับสนุน แปรงซ้ำให้หลังจากพวกเขาแปรงเสร็จแล้ว ดังนั้นแปรงของเด็กช่วงวัยนี้ จึงออกแบบด้ามจับแบบมีรู เพื่อให้จับถนัดมือทั้งผู้ใหญ่และลูกน้อย รวมถึงมีขนแปรงที่นุ่มและแน่นขึ้นเป็น 2 เท่า ปลายมนเพื่อความปลอดภัย เข้าถึงซอกฟันได้เป็นอย่างดี

          เด็กอายุ 6-9 ปี

          ช่วงวัยของการโบกมือลากับฟันชุดแรก จึงต้องเลือกแปรงที่มีขนแปรง2 แบบ และมี Magic Tip ที่ทำหน้าที่ในการซอกซอน ทำความสะอาดในส่วนเข้าถึงยาก เหมาะสำหรับการทำความสะอาดทั้งฟันแท้และฟันน้ำนมที่ยังอยู่ ออกแบบด้ามจับทรงสามเหลี่ยม เพื่อให้สามารถหมุนทำความสะอาดฟันได้รอบด้าน

          จุดเด่นอีกอย่างหนึ่งของแปรงสีฟัน Jordan คือการออกแบบจุดแต้มสีฟ้าบนขนแปรง เพื่อใช้ดูปริมาณยาสีฟันที่ตามที่ทันตแพทย์แนะนำ จึงช่วยให้คุณพ่อคุณแม่สามารถกะปริมาณยาสีฟันได้เหมาะสมกับวัยของลูก ไม่ใช้มากเกินไปหรือน้อยเกินไป

          สำหรับเด็กๆที่ยังไม่ค่อยเอ็นจอยกับการแปรงฟัน ยาสีฟัน Jordan ก็คิดมาแล้วให้มีความน่ารักตั้งแต่แพ็คเกจภายนอก หลอดสีขาวดูสะอาดตา ตกแต่งด้วยตัวการ์ตูนรูปสัตว์ต่าง ๆ ให้ลูกเพลิดเพลินระหว่างแปรงฟัน ชวนกันแปรงฟันไปด้วย ดูตัวการตูนไปด้วย เป็นช่วงเวลาในการแปรงฟันที่มีความสุขมากขึ้นด้วย

          ยาสีฟัน เนื้อเจลที่ผลิตจากสารสกัดจากธรรมชาติถึง 97% จึงมั่นใจได้ว่าอ่อนโยนสำหรับเด็กๆ นอกจากนี้ยังเป็น ยาสีฟันเป็นสูตร Low RDA อ่อนโยนและดีต่อการเคลือบฟันของลูกน้อย ทั้งยังหอมกลิ่นผลไม้ รสชาติอร่อย ยิ่งชวนให้ลูกอยากแปรงฟันมากขึ้น Jordan คิดค้นและออกแบบยาสีฟันให้มีปริมาณฟลูออไรด์ที่เหมาะสมสำหรับเด็ก เพราะถึงแม้ว่าฟลูออไรด์จะเป็นสารสำคัญที่ช่วยป้องกันฟันผุ แต่ถ้าลูกได้รับฟลูออไรด์มากจนเกินไปก็อาจทำให้เกิดฟันตกกระ และกลายเป็นสารตกค้างในร่างกายของลูกได้ เด็กอายุ 1 – 5 ปี เป็นวัยที่มีโอกาสกลืนยาสีฟันเข้าไป Jordan จึงออกแบบยาสีฟันให้มีปริมาณฟลูออไรด์ที่ไม่มากเกินไป แต่ใส่ในปริมาณที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพเพียงพอในการป้องกันฟันผุตามที่ทันตแพทย์แนะนำ นอกจากนี้ยังไม่มีสาร SLS ที่ทำให้เกิดฟอง ปราศจากน้ำตาล และสารเคมีอันตราย คุณพ่อคุณแม่จึงมั่นใจว่าฟันของลูกจะได้รับการปกป้องอย่างดีที่สุด สะอาด ปลอดภัยหายห่วงค่ะ

          ด้วยเหตุผลทั้งหมดนี้ ทีมบรรณาธิการ Amarin Baby & Kids จึงคัดเลือกให้แปรงสีฟันและยาสีฟันสำหรับเด็ก Jordan ได้รับรางวัล Editor’s Choice สาขา BEST ORAL CARE PRODUCT FOR KIDS จาก Amarin Baby & Kids Awards 2024

            Tags

            โรงเรียนราชินีบน โรงเรียนที่บ่มเพาะความเป็นกุลสตรีในทุกมิติ

            School Visit วันนี้จะพาคุณพ่อคุณแม่มาเยี่ยมโรงเรียนดี ๆ ที่มีประวัติยาวนาน ถึง 96 ปี อย่างโรงเรียนราชินีบน เป็นโรงเรียนที่ปลูกฝังเด็ก ๆ ให้มีกิริยามารยาทที่เรียบร้อยและมีความเป็นกุลสตรีที่งามพร้อม และมีคุณภาพของระบบการเรียนการสอนไม่แพ้ใคร ที่สำคัญโรงเรียนราชินีไม่เคยหยุดพัฒนาไม่ว่าจะผ่านมากี่ยุคกี่สมัย ถ้าอยากรู้ว่าหลักสูตรการเรียนการสอนเป็นอย่างไร ตามทีมแม่ ABK มาได้เลยค่ะ

            จากอดีตสู่ปัจจุบัน

            จุดเริ่มต้นของโรงเรียนราชินีบน เริ่มในปีพุทธศักราช 2472 โดยสมเด็จพระราชปิตุจฉา เจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์กรมหลวงเพ็ชรบุรีราชสิรินธรทรงบริจาคทุนทรัพย์ส่วนพระองค์ โปรดให้จัดซื้อที่ของพระยามหิบาล และขอพระราชทานที่ของสมเด็จพระศรีสวรินทราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ริมถนนเขียวไข่กา ทั้งสองฝั่งมาสมทบ รวมมีเนื้อที่ 14 ไร่ 43 ตารางวา เพื่อโปรดให้สร้างอาคารที่ทันสมัยที่สุดในสมัยนั้น โดยมีพระราชประสงค์เพื่อเฉลิมพระเกียรติและแสดงความกตัญญูกตเวทีแด่สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถพระบรมราชชนนีพันปีหลวง ด้วยทรงพระราชดำริจะส่งเสริมการศึกษาแก่สตรีให้เท่าเทียบทัดเทียมกับบุรุษในทุกๆ ด้าน

            ตลอดระยะเวลา 96 ปี ที่ผ่านมาจากอดีตจนถึงปัจุบัน เอกลักษณ์ที่โรงเรียนราชินีบนยังคงยึดถือและดำรงอยู่ คือ “การเป็นกุลสตรีราชินีบน” โดย ดร. พิรุณ ศิริศักดิ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิชาการ ได้ให้ข้อมูล ถึงการส่งต่อความเป็น กุลสตรีราชินีบนว่าได้ผนวกเข้าไปในหลักสูตรการสอน ตั้งแต่ชั้นอนุบาลปีที่ 1 ถึง มัธยมศึกษาปีที่ 6 โดยกุลสตรีราชินีบน จะประกอบไปด้วย

            • กุลสตรีที่งามพร้อม หมายถึง พฤติกรรมการปฏิบัติที่สะท้อนให้เห็นภาพลักษณ์ที่งดงามทั้งร่างกายวาจาและจิตใจ
            • กุลสตรีแม่ศรีเรือน หมายถึง พฤติกรรมการปฏิบัติที่สะท้อนให้เห็นถึงความจงรักภักดีต่อสถาบันชาติ
            • ศาสนาและพระมหากษัตริย์ น้อมนำปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในการดำเนินชีวิต และอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมและประเพณีไทย
            • กุลสตรีที่ฉลาดรู้สากล หมายถึง พฤติกรรมการปฏิบัติที่สะท้อนการมีทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 อันเป็นสากล
            • กุลสตรีที่เป็นพลเมืองโลก หมายถึงพฤติกรรมการปฏิบัติตนอย่างรับผิดชอบในฐานะพลเมืองไทยและพลเมืองโลกรู้เคารพสิทธิเสรีภาพของตนเองและผู้อื่น เคารพในกฎกติกาและกฎหมาย มีส่วนร่วมทางสังคมอย่างมีวิจารณญาณ อยู่ร่วมกับผู้อื่นท่ามกลางความหลากหลาย เห็นคุณค่าของศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์มีบทบาทในการตัดสินใจและสร้างการเปลี่ยนแปลงทางสังคม โดยยึดมั่นในความเท่าเทียมเป็นธรรม ค่านิยมประชาธิปไตย และสันติวิธี
            พระรูปสมเด็จพระราชปิตุจฉา เจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์กรมหลวงเพ็ชรบุรีราชสิรินธร ที่ชาวราชินีบน เคารพบูชา
            แผ่นโลหะจารึกพระดำรัสของสมเด็จพระราชปิตุจฉา เจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์กรมหลวงเพ็ชรบุรีราชสิรินธร ที่ถือเป็นเอกลักษณ์เฉพาะที่โรงเรียน

            นอกจากนี้แล้วทางโรงเรียนราชินีบน ได้มีการปรับตัว เพื่อให้เข้ากับยุคสมัยในปัจจุบัน โดยได้พัฒนาเป็นหลักสูตร ให้เหมาะกับ เด็กในแต่ละช่วงวัย โดยในช่วงปฐมวัย ทางโรงเรียนราชินีบนได้พัฒนาหลักสูตร โดยได้ให้ชื่อว่า K STEM กับ 4 สาระ โดยสาระทั้ง4 ที่ทางโรงเรียนจะสอนนั้นจะเริ่มจากเรื่องใกล้ตัว แล้วค่อยๆ ขยายวงกว้างขึ้นออกไป 4 สาระการเรียนรู้ของเด็ก ได้แก่

            1. การเรียนรู้เกี่ยวกับตัวเด็ก การดูแลและรักษาความสะอาดร่างกายของตัวเอง
            2. บุคคลและสถานที่แวดล้อมเด็ก โรงเรียนจัดให้เด็ก ๆ ได้เรียนรู้เกี่ยวกับสังคมและมารยาทสังคม
            3. ธรรมชาติรอบตัว โรงเรียนมีแปลงปลูกผักสวนครัว มีการจำลองการทำนาให้เด็ก ๆ ได้เรียนรู้วิถีชาวนาและโดมบ้านผีเสื้อ ให้เด็ก ๆ เข้าไปใกล้ชิดกับผีเสื้อ และเรียนรู้การเปลี่ยนแปลงในธรรมชาติ
            4. สิ่งต่าง ๆ รอบตัวเด็ก โรงเรียนได้มีห้องสมุดเพื่อให้เด็ก ๆ ได้ต่อยอดทางความคิดและเล่นได้อย่างอย่างอิสระ
            โดมผีเสื้อ แหล่งเรียนรู้ธรรมชาติของเด็กๆ

            เรียนรู้ผ่าน STEM

            โดยทั้ง 4 สาระ เด็ก ๆ จะได้เรียนรู้ผ่าน STEM ( Science ,Technology, Engineering ,Mathematics ) ได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริงในการค้นหาคำตอบด้วยตัวเอง พร้อมกับสรุปความรู้ที่ได้มาเป็นโครงการและนำเสนอ กับเพื่อน ๆ คุณครู และผู้ปกครอง เพื่อส่งเสริมให้เด็กเกิดความกล้าแสดงออก และความมั่นใจในตัวเอง

            การส่งเสริมพัฒนาทางด้านร่างกาย

            ทางโรงเรียนได้มีพื้นที่ให้เด็ก ๆ ได้ออกกำลังกายเพื่อเสริมสร้างและพัฒนา กล้ามเนื้อมัดใหญ่ และ กล้ามเนื้อมัดเล็ก โดย มีทั้ง สนามเด็กเล่น ให้เด็กๆ ได้วิ่งเล่น ปีนป่าย อย่างอิสระ นอกจากนี้ทางโรงเรียนยังมีสระว่ายน้ำขนาดมาตรฐาน ให้เด็ก ๆ ได้ลงเล่นน้ำและเรียนกันตั้งแต่วัยอนุบาล – มัธยมปลาย โดยทางโรงเรียนได้กำหนดให้เฉพาะคุณครูที่สอนว่ายน้ำ ต้องเป็นผู้หญิงเท่านั้น

            ดร. พิรุณ ศิริศักดิ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิชาการ

            Mommy’s Love This! ถูกใจแม่

            1. ทางโรงเรียนได้สอดแทรกเรื่อง กริยา มารยาท การเข้าสังคม รวมถึงขนบธรรมเนียมประเพณีของไทย ให้กับเด็ก ๆ ได้เป็นอย่างดี เด็ก ๆ มีกิริยามารยาทที่อ่อนน้อม
            2. โรงเรียนมีความใส่ใจด้านความปลอดภัย เนื่องจากเป็นโรงเรียนหญิงล้วน มี รปภ. ด้านหน้า และคุณครูที่สอนในวิชาว่ายน้ำ ที่เจาะจงเป็นคุณครูผู้หญิงเท่านั้น และมีผ้าใบไว้กันแดด
            3. คุณครูมีความเข้าใจในธรรมชาติของเด็ก และ กระตุ้นการเรียนรู้เพื่อให้เด็กๆ ได้ค้นหาคำตอบด้วยตัวเอง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในตัวเอง รวมถึงการที่เด็กๆ มีโครงงาน เพื่อให้เด็กๆได้กล้าแสดงออก
            4. โรงเรียนมีวันสำคัญต่างๆ นอกเหนือจากในปฎิทิน เช่นวันทูลกระหม่อน วันพิจิตรจิราภา วันวงศ์ทิพย์สุดา วันสมรศรีโสภา ซึ่งเป็นวันที่ความสำคัญต่อโรงเรียน โดยโรงเรียนจะจัดกิจกรรมเพื่อรำลึกถึง และแสดงความกตัญญูกตเวทิตาต่อพระองค์ท่าน
            5. เด็ก ๆ จะผูกโบว์ที่ผมต่างสีกัน เพื่อให้ทราบว่าเด็กอยู่ห้องไหน ช่วยให้คุณครูทุกคนในโรงเรียนสามารถสังเกตและจดจำนักเรียนแต่ละห้องได้ง่ายขึ้น
            6. ที่โรงเรียนราชินีบน รับนักเรียนชายด้วย ตั้งแต่ระดับชั้นอนุบาลจนถึงประถม 6

            คุณสมบัติผู้สมัคร

            • ระดับชั้นอนุบาล อายุ 3 ปีบริบูรณ์
            • ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 อายุ 6 ปีบริบูรณ์

            เกณฑ์การพิจารณา

            โรงเรียน มีการทดสอบพัฒนาการ 5 ด้าน ร่างกาย สติปัญญา ภาษาและการสื่อสาร อารมณ์และจิตใจ สังคมและคุณธรรม

            ที่อยู่ : โรงเรียนราชินีบน เลขที่ 885 ถนนสามเสน แขวงถนนนครไชยศรี เขตดุสิต กทม. 10300

            ติดต่อ : 02-241-5925

            เว็บไซต์ : http://www.rajinibon.ac.th

            Facebook : https://www.facebook.com/rajinibonofficial

              ยิ่งใหญ่กับ การแข่งขันจักรยานขาไถ ยิ่งใหญ่ระดับเอเชีย

              “น้องใหญ่-พงษ์พัฒน์”
              คว้าแชมป์ THE MALL LIFESTORE PRESENTS STRIDER CUP ASIAN CHAMPIONSHIP 2025

              เปิดสนามการแข่งขันจักรยานขาไถสุดยิ่งใหญ่แห่งปี THE MALL LIFESTORE PRESENTS STRIDER CUP ASIAN CHAMPIONSHIP 2025 โดยความร่วมมือระหว่าง เดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์ และ บริษัท บีเคเค สไตรเดอร์ จำกัด จัดขึ้นเพื่อเฟ้นหาสุดยอดนักแข่งสไตรเดอร์ระดับเอเชีย สนามประจำประเทศไทย พร้อมชิงทุนการศึกษาและถ้วยรางวัลมากมาย

              การแข่งขันครั้งนี้จัดต่อเนื่องเป็นปีที่ 10 ถือเป็นหนึ่งกิจกรรมดีๆ ที่เดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์ให้ความสำคัญ  ซึ่งการแข่งขันจักรยานขาไถไม่ใช่เพียงแค่กิจกรรมกีฬาเท่านั้น ยังเปิดโอกาสให้เด็กๆ ได้แสดงศักยภาพในการแข่งขัน เสริมสร้างวินัย ความกล้าแสดงออก  รวมทั้งฝึกให้เด็กๆ รู้จักความมุ่งมั่นพยายาม ความอดทน การมีน้ำใจนักกีฬาไปพร้อมกัน และที่สำคัญที่สุด คือ เด็กๆ ได้ค้นพบความสามารถของตนเอง  พัฒนาทักษะและก้าวสู่การเป็นนักกีฬาในเวทีระดับโลกต่อไป

              การแข่งขัน THE MALL LIFESTORE PRESENTS STRIDER CUP ASIAN CHAMPIONSHIP 2025  ถือเป็นสนามมาตรฐานในร่มที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประเทศไทย  โดยได้จัดแข่งขันเมื่อวันที่ 26 – 27 เมษายนที่ผ่านมา ที่ MCC HALL ชั้น 3  เดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์ บางแค  ซึ่งการแข่งขันแบ่งออกเป็น 13 รุ่น ตามช่วงอายุของผู้เข้าแข่งขัน ได้แก่ รุ่น The Best 12” Strider Rider of Asia 2025 , 12″ Racing  2,3,4 ขวบ, 14X Balance Bike 3 ,4,5,6-7 ขวบ, 12″ Enjoy 2,3 ขวบ รวมถึงประเภททีมอย่าง  12″ Team Relay 3,4 ขวบ , 14X Team Relay 5 – 7 ขวบ  นอกจากประสบการณ์ในการแข่งขัน  ความสนุกสนานและความตื่นเต้นบนสนามแข่งขันแล้ว เด็กๆ ยังได้ฝึกฝนทักษะด้านกีฬา การควบคุมร่างกาย เสริมสร้างความสมดุลผ่านจักรยานขาไถ รวมถึงการเรียนรู้กฎกติกา มารยาทในการแข่งขันและการมีน้ำใจนักกีฬา  งานนี้ ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี มีเด็กและเยาวชนจากทั่วประเทศและต่างชาติ อาทิ จีน, มาเลเชีย, สิงคโปร์, ญี่ปุ่น, เยอรมัน, อินโดนีเชีย ร่วมแข่งขัน  บรรยากาศภายในงาน เต็มไปด้วยความสนุกสนานและเสียงเชียร์จากครอบครัว ผู้ปกครอง และแฟนกีฬาจักรยานขาไถ ที่พร้อมใจกันมาให้กำลังใจนักแข่งตัวน้อยกันอย่างอบอุ่น 

              น้องใหญ่-พงษ์พัฒน์ เงางาม อายุ 4 ขวบ แชมป์การแข่งขัน THE MALL LIFESTORE PRESENTS STRIDER CUP ASIAN CHAMPIONSHIP 2025  รุ่น 12” The Best Rider of Asia ซึ่ง   คุณพ่อ-พิเชษฐ์ บอกว่า “น้องใหญ่เริ่มเล่นจักรยานขาไถ Strider มาตั้งแต่อายุ 2 ขวบ และร่วมงานแข่งขันของ Strider มาโดยตลอด ครอบครัวได้เห็นถึงพัฒนาการทางด้านร่างกายที่แข็งแรง คล่องแคล่วว่องไว รวมถึงพัฒนาการด้านอื่นๆที่ดีขึ้น ด้วยความชื่นชอบของน้องใหญ่และตั้งใจฝึกซ้อม ทำให้น้องสามารถคว้าแชมป์ของ Strider มาได้หลายสนามอย่างต่อเนื่อง จนมาคว้าแชมป์สนามนี้ซึ่งเป็นสนามที่ใหญ่ที่สุดในการแข่งขัน Strider ได้สำเร็จ”

              ภายในงาน ยังมีสนาม Adventure ให้เด็กๆได้ฝึกซ้อมทักษะก่อนลงสนามจริง และเปิดโอกาสให้เด็กๆที่สนใจทดลองขี่จักรยานขาไถ โดยมีทีมผู้เชี่ยวชาญด้านจักรยานทรงตัวเด็ก คอยดูแลให้คำแนะนำอย่างใกล้ชิด   รวมทั้งบูธจำหน่ายสินค้าและอุปกรณ์กีฬาราคาพิเศษเฉพาะในงาน  เรียกได้ว่าการแข่งขันครั้งนี้ เป็นก้าวสำคัญในการปลุกปั้นนักกีฬาเยาวชนไทยสู่เวทีระดับโลกในอนาคต  ติดตามกิจกรรมดีๆได้ต่อเนื่องตลอดทั้งปีได้ที่ Facebook: The Mall Lifestore Bangkae

              #StriderCupAsianChampionship2025

                หมอเผย! ทักษะสมองเพื่อความสำเร็จ EF ปั้นเด็กยุคใหม่มีความสุข เพื่อความสำเร็จที่เหนือกว่า

                รู้หรือไม่  IQ ดีอย่างเดียวอาจไม่พอ การเลี้ยงลูกเจนเบต้า อัลฟ่า ต้องมีทักษะสมองเพื่อความสำเร็จ EF ด้วย คุณแม่เตรียมพร้อมหรือยัง

                เพราะการเลี้ยงลูกไม่เคยหยุดนิ่ง คุณแม่ต้องหมั่นหาความรู้อยู่เสมอเพื่อให้สามารถดูแล และส่งเสริมพัฒนาการของลูกได้อย่างเหมาะสม โดยเฉพาะเด็กยุคใหม่สองเจนเนอเรชั่น คือ เด็กเจนอัลฟ่า วัย 1 – 5 ปี และเด็กเจนเบตา ที่เกิดระหว่างปี 2568 – 2582 ซึ่งจะเป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ของโลกใบนี้ พวกเขากำลังเติบโตในโลกที่แตกต่างจากสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่คุ้นเคย

                เด็ก ๆ เติบโตมาพร้อมกับเทคโนโลยีขั้นสูงอย่าง AI ซึ่งสัมพันธ์กับการใช้ชีวิตในแต่ละวันตั้งแต่ลืมตาจนเข้านอน พวกเขาจึงฉลาด คิดเร็ว คล่องแคล่ว กล้าคิดกล้าแสดงออก เชื่อในความเท่าเทียม ยอมรับความแตกต่าง และมีความสามารถในการปรับตัวเข้ากับสิ่งต่างๆได้ง่ายขึ้น ขณะเดียวกันการใช้ชีวิตของลูกเจนอัลฟาและเบตากลับยากขึ้น ทั้งจากการแข่งขันสูง สภาพแวดล้อมและโรคภัยที่ต้องเผชิญและแก้ไขอยู่ตลอดเวลา

                ดังนั้นการเตรียมพร้อมให้ลูก IQ ดี ฉลาดเป็นเลิศ คงไม่เพียงพอที่ช่วยให้ลูก ๆ ก้าวสู่ความสำเร็จและใช้ชีวิตอย่างมีความสุข แต่ต้องมีทักษะสมองเพื่อความสำเร็จ EF ควบคู่กันด้วย แล้ว EF คืออะไร และช่วยให้สร้างทักษะความสำเร็จในอนาคตให้ลูกได้อย่างไร ชวนคุณแม่ๆมารู้จัก EF ไปพร้อมกันค่ะ  

                Amarin Baby & Kids มีโอกาสพูดคุยกับคุณหมอเด็ก พญ. ปัญญ์ชลี จงไพบูลย์พัฒนะ อนุสาขากุมารเวชศาสตร์พัฒนาการและพฤติกรรม โรงพยาบาลพญาไท 2 เกี่ยวกับข้อมูลและความสำคัญของทักษะสมองเพื่อความสำเร็จ EF ว่ามีส่วนพัฒนาลูก ๆ ได้อย่างไร พร้อมแนะนำวิธีเสริมสร้าง EF ตั้งแต่วันแรกของลูกน้อยที่คุณแม่ทุกคนทำตามได้ไม่ยากเลย

                Q: ทักษะสมองเพื่อความสำเร็จ EF ที่เด็กเจนอัลฟาและเบต้าต้องมีคืออะไร และมีประโยชน์อย่างไร

                 A: EF เป็นทักษะที่ต้องมีในคนทุกเจนเนอเรชัน แต่ได้รับการพูดถึงบ่อยว่าเป็นทักษะของคนยุคใหม่ เพราะเด็กๆเติบโตในสังคมที่มีการแข่งขันสูง มีเทคโนโลยีใหม่ๆ และต้องเผชิญกับความท้าทายมากมายที่พวกเขาต้องก้าวผ่านไปให้ได้ เด็กๆ ต้องใช้ทักษะเยอะมากกว่าสมัยก่อน สิ่งเหล่านี้ต้องอาศัยความสามารถที่สำคัญอีกอย่างของสมองคือ EF นั่นเอง

                ทักษะสมองเพื่อความสำเร็จ EF หรือ Executive Function คือความสามารถของสมองส่วนหน้า ทำหน้าที่คล้ายผู้บริหารคอยบริหารจัดการ ควบคุมความคิด อารมณ์ และพฤติกรรมของตัวเองเพื่อทำสิ่งต่าง ๆ ให้บรรลุเป้าหมายได้ โดยพัฒนาตั้งแต่เด็กจนโต หน้าที่หลัก ๆ ของทักษะสมองเพื่อความสำเร็จ EF มี 3 เรื่อง ได้แก่

                1. สมองจำดี (Working Memory) ความสามารถของสมองในการจดจำใช้งาน เชื่อมโยงและคิดวิเคราะห์ความรู้ใหม่ ๆ เข้าด้วยกัน ซึ่งมีความสำคัญอย่างมาต่อการเรียนรู้ของเด็กทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นการอ่าน เขียน คิดเลข งานศิลปะ และวางแผนการทำงานด้วย

                2. ความคิดยืดหยุ่น (Cognitive Flexibility) ความสามารถในการคิดจากมุมมองของผู้อื่น มีความเห็นอกเห็นใจ ซึ่งช่วยให้ปรับตัวเข้ากับสังคมและทำงานเป็นทีมได้ ขณะเดียวกันมีความคิดยืดหยุ่น พลิกแพลงวิธีการเก่ง หรือทำงานหลายอย่างได้พร้อมๆ กัน

                3. ยั้งคิดไตร่ตรอง (Inhibitory Control) ความสามารถในการยับยั้งและควบคุมตัวเองให้ทำสิ่งต่าง ๆ ให้สำเร็จ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องง่าย ๆ อย่างการกินข้าว ทำการบ้าน หรืออ่านหนังสือสอบ เพราะแม้ลูกมีไอคิวดีแต่ถ้าขาดทักษะนี้ วอกแวก หรือขาดความยับยั้งชั่งใจ อาจทำให้เด็กไม่สามารถใช้ศักยภาพที่มีได้เต็มความสามารถ

                การที่เด็ก ๆ มีทักษะสมองเพื่อความสำเร็จ EF ดีควบคู่กับทั้ง IQ จะเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยผลักดันให้เด็กมีโอกาสประสบความสำเร็จในชีวิตได้ในแบบที่พวกเขาตั้งใจ

                Q: คุณแม่ส่งเสริมการพัฒนาทักษะสมอง EF ให้ลูกได้ตั้งแต่แรกเกิดได้อย่างไร

                A: เพราะทักษะสมองเพื่อความสำเร็จ EF เริ่มต้นที่สมอง คุณแม่ควรให้ลูกได้รับสารอาหารมีประโยชน์และพัฒนาสมอง ทั้งจากสารอาหารสำคัญในนมแม่ในช่วง 6 เดือนแรก และรับประทานอาหารครบ 5 หมู่อาหารตั้งแต่มื้อแรกที่เริ่มอาหารตามวัย โดยยังดื่มนมเสริมโภชนาการเพื่อให้ร่างกายและสมองของลูกน้อยได้รับสารอาหารครบถ้วน ควบคู่ไปกับการเลี้ยงลูกเชิงบวก มีการตอบสนองความต้องการของลูกอย่างเหมาะสม ทำให้ลูกรู้สึกว่าได้รับการยอมรับและความรักจากคุณพ่อคุณแม่ ก็สามารถส่งเสริมทักษะสมองเพื่อความสำเร็จ EF ได้

                Q: MFGM สารอาหารสำคัญต่อการพัฒนาสมองลูกคืออะไร

                A: MFGM (Milk Fat Globule Membrane) คือ เปลือกหุ้มไขมันที่พบในนมแม่ ทำหน้าที่ห่อหุ้มและขนส่งสารอาหาร ตัว MFGM เอง ประกอบไปด้วย 2 สารอาหารสำคัญ คือ ไขมัน เช่น Phospholipid, Sphingomyelin และ Ganglioside ที่มีความสำคัญต่อการเจริญเติบโตและพัฒนาของเซลล์ประสาท ส่งผลดีต่อพัฒนาการทั้งทางด้านร่างกาย พฤติกรรมและอารมณ์ของเด็ก และโปรตีน ที่เสริมการทำงานของระบบทางเดินอาหาร และระบบภูมิคุ้มกันให้ทำงานดีขึ้น แม้จะไม่ได้รับประทานนมแม่แล้ว คุณแม่สามารถเลือกโภชนาการที่ใช่เสริมให้ลูกน้อยได้เช่นกัน

                Q: การส่งเสริมให้ลูกมีทักษะความสำเร็จอีกขั้นอย่างทักษะเพื่อความสำเร็จ EF จะส่งผลต่ออนาคตของลูกอย่างไร

                A: งานวิจัยต่าง ๆ ยืนยันว่าเด็กที่มีทักษะสมองเพื่อความสำเร็จ EF ดีจะส่งผลในระยะยาว ไม่ว่าจะเป็นปัญหาสุขภาพกายและสุขภาพใจน้อยกว่า ประสบความสำเร็จในเรื่องการเรียนและการทำงานมากกว่า รวมถึงการใช้ชีวิตในสังคม การมีเพื่อน หรือการมีคู่ชีวิตเกิดปัญหาน้อย ซึ่งล้วนเป็นผลมาจากการมีพัฒนาการทางสมองที่ดี รู้จักควบคุมตัวเอง เข้าใจความคิดของผู้อื่น ปรับตัวได้ดี จึงเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข

                สำหรับคุณแม่ที่มองหาทางเลือกทางโภชนาการเพื่อเสริมสร้างสมอง และ ทักษะสมองเพื่อความสำเร็จ EF ทั้งการมีสมองจำดี ความคิดยืนหยุ่น และยั้งคิดไตร่ตรอง ของลูกให้พัฒนาได้เต็มศักยภาพ MFGM เป็นอีกหนึ่งสารอาหารที่สำคัญ มีงานวิจัยพิสูจน์แล้วว่า เด็กที่ได้รับนมแม่มีความเร็วในการประมวลผลของสมองเร็วขึ้นถึง 7 จุด* 


                เรียบเรียงและตรวจสอบความถูกต้องโดย
                พญ. ปัญญ์ชลี จงไพบูลย์พัฒนะ
                กุมารแพทย์ ร.พ.พญาไท 2

                *Ref. (1) Vargas-Pérez, S., Hernández-Martínez, C., Voltas, N. et al. Effects of Breastfeeding on Cognitive Abilities at 4 Years Old: Cohort Study. IJEC (2024). https://doi.org/10.1007/s13158-024-00396-z

                  Tags

                  Philips Avent Natural Response ให้ลูกน้อยกินนมได้ในจังหวะธรรมชาติ เสมือนดูดจากเต้าแม่จริง

                  เมื่อพูดถึงแบรนด์ที่คุณแม่ทั่วโลกไว้วางใจในเรื่องการเลี้ยงลูก Philips Avent คือหนึ่งในตัวเลือกอันดับต้นๆ ที่ไม่เคยทำให้ผิดหวัง ด้วยประสบการณ์และความเชี่ยวชาญกว่า 40 ปีในผลิตภัณฑ์สำหรับแม่และเด็ก แบรนด์นี้ถูกพัฒนามาเพื่อสนับสนุนธรรมชาติของการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ และตอบโจทย์ทุกความต้องการของคุณแม่ยุคใหม่

                  ผลิตภัณฑ์ของ Philips Avent ผ่านการทดสอบทั้งในแง่ของความปลอดภัยและการใช้งานจริง จึงไม่น่าแปลกใจที่คุณแม่หลายคนเลือกไว้ใจ ผลิตภัณฑ์ที่ออกแบบภายใต้แนวคิด “Inspired by Nature” และพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของทั้งคุณแม่และลูกน้อย โดยเฉพาะรุ่นล่าสุดที่จะมาพูดถึงคือ Philips Avent Natural Response ขวดนมและจุกนมที่ตอบรับธรรมชาติของการกินนมของลูก ด้วยการออกแบบที่เข้าใจจังหวะการดูดนมของลูกน้อยได้ดีที่สุด

                  Philips Avent Natural Response มาพร้อมกับดีไซน์จุกนมแบบ ไม่ดูด-ไม่ไหล (No-Drip Design) ขวดนมรุ่นนี้ออกแบบให้ทำงานเสมือนเต้านมแม่ ให้ลูกสามารถดูดนมได้ในจังหวะของตัวเอง โดยน้ำนมจะไหลเฉพาะเวลาที่ลูกออกแรงดูดเท่านั้น และด้วยรูปทรงกว้างของจุกนม ที่ให้ความรู้สึกใกล้เคียงการดูดนมจากเต้าจริงๆ ทำจากซิลิโคนที่นุ่มและยืดหยุ่นได้ดี ช่วยให้ลูกดูดได้อย่างเป็นธรรมชาติ รู้สึกผ่อนคลาย ทำให้การเข้าเต้ากับขวดนมได้อย่างง่ายดาย ทำให้ลูกน้อยไม่สับสน ถือว่าออกแบบมาเพื่อช่วยแก้ปัญหาได้ตรงจุดสำหรับแม่ยุคใหม่ที่ต้องทำงานไปด้วย เลี้ยงลูกไปด้วยได้เป็นอย่างดีค่ะ

                  สิ่งสำคัญที่ทำให้จุกนมของ Philips Avent Natural Response มีความพิเศษคือ จุกนมแบบ ไม่ดูด-ไม่ไหล มีความเป็นธรรมชาติ ลูกสามารถดูด กลืน หายใจได้ในจังหวะที่เหมาะสม ช่วยให้คุณแม่มั่นใจได้เลยว่า ลูกจะไม่สำลักน้ำนม

                  ป้องกันน้ำนมหกเลอะเทอะ ใช้งานสะดวก

                  จุดเด่นอีกอย่างของดีไซน์จุกนมแบบไม่ดูดไม่ไหล คือทำให้หมดปัญหาเวลาต้องพกออกไปใช้นอกบ้าน คุณแม่ไม่ต้องกังวล เพราะนมจะไม่หกเลอะเทอะ แถมยังช่วยให้ป้อนนมได้สะดวกในทุกสถานการณ์

                  ลดปัญหาโคลิค อันเนื่องมาจากความไม่สบายตัว

                  สำหรับคุณแม่ที่กังวลเรื่องอาการโคลิค ขวดนมรุ่นนี้ก็มาพร้อมกับ วาล์วป้องกันโคลิค ออกแบบมาเพื่อลดการดูดเอาอากาศเข้าไป ป้องกันอาการท้องอืดและลดความเสี่ยงของความไม่สบายตัวหลังป้อนนม คุณแม่ก็ไม่ต้องมานั่งกังวลว่าลูกจะร้องหรือไม่สบายตัว

                  คุณสมบัติทนความร้อน

                  ขวดนมฟิลิปส์เอเวนท์สามารถใช้งานร่วมกับเครื่องนึ่งและอุ่นขวดนมได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขวดนม Philips Avent Natural Response รุ่น PPSU ที่เป็นวัสดุเกรดพรีเมียมนำเข้าจากยุโรป สามารถทนความร้อนได้มากขึ้น ถึง 180 องศา สะดวกต่อการใช้งานของคุณแม่

                  ใส่ใจทุกรายละเอียด เพื่อชีวิตที่ลงตัว

                  Philips Avent Natural Response ออกแบบขวดให้มีคอขนาดกว้างเพื่อช่วยในการบรรจุนมและล้างทำความสะอาดได้ง่ายทุกซอกมุม นอกจากนี้ยังถอดประกอบได้อย่างรวดเร็ว ใช้งานร่วมกับอุปกรณ์ Philips Avent รุ่นอื่นๆ ได้สบาย และที่สำคัญ ผลิตด้วยวัสดุปลอดสาร BPA* มั่นใจว่าปลอดภัยสำหรับลูกน้อย

                  จากทั้งหมดที่กล่าวมา ขวดนม Philips Avent Natural Response ออกแบบมาเพื่อช่วยให้คุณแม่ทุกคนมั่นใจได้ว่า ในทุกๆ ครั้งที่ให้นมจะเป็นขวดนมและจุกนมที่เข้าใจความเป็นธรรมชาติของลูกอย่างแท้จริง และยังสะดวกในทุกการใช้งานไม่ว่าจะอยู่บ้านหรือนอกบ้าน ให้ชีวิตของคนเป็นแม่ง่ายขึ้น แล้วมีความสุขมากขึ้น

                  และด้วยคุณสมบัติที่ครบครันนี้กองบรรณาธิการจึงให้ Philips Avent Natural Response ได้รับรางวัล Editor’s Choice สาขา BEST BABY BOTTLE & NIPPLE PRODUCT จาก Amarin Baby & Kids Awards 2024 ไปครองเลยค่ะ

                  สอบถามรายละเอียด หรือติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
                  Facebook – https://www.facebook.com/Philips.AVENT.Thailand

                    ตอกย้ำคุณภาพ Saker แบรนด์ชั้นนำ เครื่องอบยูวี ฆ่าเชื้อขวดนม ครองรางวัล 4 ปีซ้อน

                    หมดห่วงเรื่องความสะอาด ปลอดภัยของขวดนม ของใช้ และของเล่น เมื่อคุณแม่เลือกใช้ เครื่องอบยูวี มาเป็นตัวช่วยให้การฆ่าเชื้อโรค และกำจัดกลิ่นนมตกค้างก่อนจะนำไปใช้กับลูกน้อย ซึ่ง Saker คือหนึ่งในแบรนด์ที่ได้รับความนิยมจากคุณแม่ทั่วประเทศ และได้รับรางวัลจาก Amarin baby & Kids Award มาต่อเนื่องถึง 4 ปีนอกจากคุณสมบัติในการฆ่าเชื้อได้ลึกถึงระดับโมเลกุลแล้ว Saker ยังพัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างไม่หยุดยั้งให้ตอบโจทย์การใช้งานของคุณแม่ยุคใหม่แบบ 360 องศาด้วยเครื่องฆ่าเชื้อขวดนม UVC Saker 7 in 1 XXL Plasma Ion ที่เพิ่มขนาดให้ใหญ่ขึ้น ใส่ขวดนม ของใช้ต่างๆได้จุใจกว่าเดิมพร้อมกันนี้ยังเพิ่มประสิทธิภาพให้มากขึ้นด้วยการผสานพลัง UVC LED และ Nano Plasma เข้าด้วยกัน จึงสามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส รวมถึงเชื้อโควิด-19 ที่อาจตกค้างบนของใช้ และภาชนะต่างๆ ได้มากถึง 99.999 % และกำจัดกลิ่นคราบน้ำนมได้ดีเยี่ยม

                    สิ่งที่ทีมแม่ ABK ประทับใจสุด ๆเลยคือขนาดของเครื่องที่ใหญ่ถึง 23 ลิตร จึงใส่ของได้เยอะขึ้น หากเป็นขวดนมอย่างเดียวสามารถใส่ได้มากถึง 32 ขวดเลยทีเดียว ผนังใน เครื่องอบยูวี ได้รับการออกแบบไดมอนด์คล้ายหน้าตัดของเพชร จึงสะท้อนยูวีและนาโนพลาสม่าได้ทั่วทั้งตู้ จึงเข้าถึงชิ้นส่วนหรือร่องรอยเล็ก ๆ ทั้งหมดอย่างง่ายดาย

                    Amarin Baby & Kids Awards 2024 ยกให้ เครื่องอบยูวี จากแบรนด์ Saker ได้รับรางวัล Editor’s Choice สาขา Best Baby Bottle Sterillizer

                    UVC Saker 7 in 1 XXL Plasma Ion เครื่องนี้ยังมีเซอร์ไพร์สให้ที่คุณแม่อาจคาดไม่ถึง ด้วย 7 โหมดทำงานอัจฉริยะ และนวัตกรรมล้ำสมัย ที่จะเปลี่ยนชีวิตให้ปลอดภัยขึ้นเพียงปลายนิ้วสัมผัส

                    7 โหมดทำงานอัจฉริยะ มากกว่าแค่ฆ่าเชื้อขวดนม

                    ความตั้งใจของแบรนด์ Saker ที่ต้องการให้เครื่อง UVC Saker 7 in 1 XXL Plasma เป็นตัวช่วยอัจฉริยะที่ช่วยให้การใช้ชีวิตของทุกคนในครอบครัวง่ายขึ้น จึงเพิ่มฟังก์ชั่นให้ใช้งานครอบคลุมมากขึ้น ด้วย 7 โหมดการทำงาน ดังต่อไปนี้

                    • โหมดออโต้ ทำงานอัตโนมัติ ฆ่าเชื้อและอบแห้ง
                    • โหมดการฆ่าเชื้อด้วย UVC และ ION สำหรับภาชนะ ของเล่น ของใช้ของทุกคนในครอบครัว
                    • โหมดอบแห้ง (Dry Function) ซึ่งเป็นระบบอบแห้งที่ดีที่สุด ทำให้สิ่งของแห้งเร็วขึ้น 50 % ใช้ความร้อนต่ำ จึงไม่ทำลายสิ่งของ ยืดอายุการใช้งานได้นานขึ้น
                    • โหมดการทำโยเกิร์ต (Yogurt Function) ด้วยการกำหนดอุณหภูมิเริ่มต้นที่ 45 องศาเซลเซียส
                    • โหมดอบแห้งผลไม้ เลือกการทำงานได้ถึง 7 ระดับ
                    • โหมดเก็บรักษา
                    • โหมดล็อคหน้าจอ เพื่อเพิ่มความปลอดภัยจากการกดของเด็ก ๆ

                    ฆ่าเชื้อ 2 ระบบที่แรกในไทย!

                    • แบรนด์เดียวที่ฆ่าเชื้อพร้อมกำจัดกลิ่นระดับโมเลกุล
                    • โรงพยาบาลชั้นนำเลือกใช้
                    • เจ้าเดียวในไทยที่ใช้ UVC แบบ LED ที่ดีที่สุด ที่ฆ่าเชื้อโรคได้จริง เป็นที่ยอมรับในระดับสากล มีใบรับรองยืนยัน
                    • Airflow 360 องศา ลมร้อนแบบอ่อนโยน ถนอมสิ่งของ
                    • การันตีด้วยยอดขายกว่า 30,000 เครื่องจากคุณแม่ทั่วไทย

                    ผลิตภัณฑ์ผ่านการรับรองมาตรฐานจากหน่วยงานชั้นนำ ทั้ง สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.), ROHS, TÜV Rheinland และมาตราฐาน CE ปลอดสารก่อมะเร็ง (BPA Free) ไร้สารพิเศษและสารอันตรายทุกชนิด และใช้วัสดุเกรดสัมผัสอาหารได้

                    ตัวเครื่องออกแบบให้กะทัดรัด ประหยัดพื้นที่ใช้งาน ดีไซน์สวยหรู มีให้เลือกทั้งสีขาวและสีดำ หน้าจอแบบทัชสกรีนใช้งานง่าย เรียบหรู นอกจากนี้ยังเพิ่มความมั่นใจ

                    ด้วยการรับประกันศูนย์ไทย 3 ปีเต็ม ดูแลหลังงานขายตลอดอายุการใช้งาน พร้อมบริการหลังการขายตลอด 24 ชั่วโมง

                    ด้วยคุณสมบัติและคุณภาพของ UVC Saker 7 in 1 XXL Plasma Ion Amarin Baby & Kids จึงคัดเลือกให้ เครื่องอบยูวี Saker ได้รับรางวัล BEST BABY BOTTLE STERILIZER สาขา Editor’s Choice จาก “Amarin Baby & Kids Awards 2024”

                    สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม และโปรโมชั่นดีๆ ของผลิตภัณฑ์ Saker สามารถติดตามได้ที่ https://www.facebook.com/sakermall

                    ช่องทางการติดต่อร้าน Pumpnom :

                    🌐pumpnom: https://shorturl.asia/fOLdD

                    ✅Line: https://page.line.me/kow0648r?openQrModal=true

                    🧡Shopee: https://shorturl.asia/aK6ti

                    💙Lazada : https://shorturl.asia/OUNMs

                    💜Tiktok : https://vt.tiktok.com/ZSrvcTU1v/

                    ❤️Youtube : https://www.youtube.com/@PUMPNOM

                    #Säker #เครื่องอบ #เครื่องอบUV #UVC #7in1UVCNanoPlasmaXXL #UVCXXL #ฆ่าเชื้อ2ระบบรายแรกในไทย #NanoPlasma #เครื่องฆ่าเชื้อโควิด #โควิด19 #เครื่องฆ่าเชื้อ #ฆ่าเชื้อ99.999% #ปลอดสารพิษ #แม่และเด็ก #สินค้าแม่และเด็ก #ร้านแม่และเด็กอันดับ1 #Pumpnom #ร้านปั๊มนม #ปั๊มนม

                      Masterrabbit Khingkhing Ginger Herb Gel เจลสมุนไพรตัวช่วยแม่

                      ไม่ว่าจะแม่มือใหม่ หรือมือเก๋า โมเม้นต์ที่ทุกบ้านที่มีลูกเล็กต้องพบเจอ คือ อุ้มเจ้าตัวน้อยเดินพาดบ่า อุ้มเรอวนไป และของใช้จำเป็นที่ทุกบ้านขาดไม่ได้ นั่นคือ เจลสมุนไพรที่เป็นตัวช่วยสำหรับเด็กๆยามท้องอืด และมีคุณสมบัติที่เหมาะกับความเป็นผู้ช่วยแม่ มีดีอย่างไรบ้าง มาดูกันค่ะ

                      Masterrabbit Khingkhing Ginger Herb Gel (มาสเตอร์แรบบิท ขิงขิงจิงเจอร์เฮิร์บเจล) เจลทาบำรุงผิวสำหรับเด็กสูตรอ่อนโยน ที่มีส่วนผสมจากสารสกัดธรรมชาติ หรือสมุนไพรออร์แกนิกหลากหลายชนิด ทั้งมหาหิงค์ ขิง ว่านหางจระเข้ เปปเปอร์มิ้นต์ ฯลฯ เรียกได้ว่าเป็นการรวมตัวของส่วนผสม ที่ช่วยสร้างความรู้สึกสบายตัว สบายใจให้ลูกน้อย

                      ส่วนผสมและสารสกัดจากธรรมชาติ

                      คุณสมบัติของตัวช่วยที่ดี นอกจากที่จะช่วยให้เด็กๆสบายท้อง สบายพุงแล้ว ยังทำให้แม่ๆสบายใจ สบายจมูกไปด้วย เพราะเจลสมุนไพรให้ความรู้สึกสดชื่น ไม่เหนียวเหนอะหนะและสบายผิว นั่นก็เพราะมีส่วนผสมของน้ำมันสกัดจากส้มและตะไคร้ ที่ช่วยทำให้รู้สึกผิวของลูกน้อยสดชื่นผ่อนคลาย สามารถทาได้บ่อยครั้ง หรือทาหลังจากลูกรับประทานนมเสร็จแล้ว ก่อนจะจับพาดบ่าเพื่อเรอ จะเป็นตัวช่วยที่ดีในการให้เด็กๆขับลมในท้อง รวมถึงให้พวกเขาหลับสบายหากทาก่อนนอน ด้วยความหอมของสมุนไพรที่อัดแน่น จะให้จมูกของพวกเขาโล่ง หลับสบายอีกด้วย

                      และมั่นใจได้เพราะเจลสมุนไพร Masterrabbit Khingkhing Ginger Herb Gel มีส่วนประกอบที่ทำมาจากธรรมชาติล้วนๆ ไม่ใส่สีเติมแต่ง ปลอดพาราเบน และไม่มีน้ำหอม ดังนั้นกลิ่นที่ได้จึงมาจากสมุนไพรแท้ๆ ซึ่งประกอบไปด้วยมหาหิงค์ (Ferula Asafoetida Root) น้ำมันสกัดจากขิง (Ginger oil) ดอกคาโมมายล์ออร์แกนิก (Chamomile organic) ตะไคร้ (Lemongrass) ดอกดาวเรืองออร์แกนิก (Calendula organic) ส้ม (Orange) เปปเปอร์มินต์ (Peppermint oil) และว่านหางจระเข้ออร์แกนิก (Aloe Vera organic) ส่วนประกอบธรรมชาติแบบนี้ จึงเป็นตัวช่วยที่ดีในการบรรเทาอาการท้องอืด ช่วยย่อยอาหาร ช่วยให้พุงน้อยๆเย็นสบาย และเด็กๆก็สบายตัว

                      ใช้งานง่าย ใช้ได้บ่อย

                      วิธีใช้ที่ปรับให้เข้ากับการใช้งานได้ดี เพราะออกแบบบรรจุภัณฑ์แบบขวดพร้อมลูกกลิ้ง จึงใช้ได้ง่าย กลิ่นไม่ฉุน เจลใสไม่ต้องกังวลเรื่องติดเสื้อผ้า ด้วยวิธีทาลงบนผิวลูกน้อยแบบบางๆหลังอาบน้ำ เรียกได้ว่าสบายตัว ทั้งกลิ่นหอมจากสมุนไพร กับความสบายบนพุง เด็กน้อยหลับปุ๋ยแน่นอน ด้วยความเป็นเจลสมุนไพรธรรมชาติ ปราศจากสารเคมี จึงสามารถใช้ได้บ่อยครั้งแบบไม่ต้องกังวลใจ

                      **หมายเหตุ: หากใช้แล้วเกิดการระคายเคือง หรือมีอาการแพ้ ให้หยุดใช้ทันที หากยังมีอาการแนะนำให้พบแพทย์

                      สามารถเข้าไปดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่

                      Website : https://masterrabbitthailand.com

                      Shopee : https://shope.ee/7zoA6xPzQW

                      Lazada : https://www.lazada.co.th/shop/master-rabbit Facebook : MasterRabbit thailand

                      Instagram : masterrabbit_th

                      Youtube : Master Rabbit

                        บอกลาผมขาดหลุดร่วงหลังคลอด บำรุงผมลงลึกถึงโครงสร้างด้วยสเปรย์ บำรุงเส้น Jessie Hair Tonic

                        ปัญหาผมร่วงหลังคลอด เป็นปัญหาน่าหนักใจที่คุณแม่ส่วนใหญ่ต้องเคยเจอกับตัวเอง เพราะจากการวิจัยพบว่า คุณแม่ประมาณร้อยละ 47.6 มีปัญหาผมร่วงหลังคลอด จนทำให้คุณแม่หลายคนรู้สึกไม่มั่นใจ และอาจก่อให้เกิดปัญหาทางสภาพจิตใจตามมาในภายหลังได้ เพราะไม่ว่าจะเป็นสาวๆ คนไหนก็อยากสวยและดูดีอยู่เสมอด้วยกันทั้งนั้น วันนี้ทีมแม่ ABK จึงคัดเลือกผลิตภัณฑ์สเปรย์บำรุงเส้นผม Jessie Hair Tonic มาบำรุงเส้นผมของคุณแม่กันค่ะ

                        Amarin Baby & Kids ยกให้ “Jessie Hair Tonic” เป็นผลิตภัณฑ์บำรุงเส้นผมสำหรับคุณแม่ ที่ได้รับรางวัล Editor’s Choice BEST HAIR CARE FOR MOM จาก Amarin Baby & Kids Awards 2024

                        ผมร่วงหลังคลอด เกิดจากการที่ผู้หญิงหลังคลอดมีฮอร์โมนเอสโตรเจนที่ลดลงจนส่งผลต่อการสร้างคอลลาเจนในผิวหนัง และทำให้หนังศีรษะสร้างไขมันลดลง หนังศีรษะจึงแห้ง และส่งผลให้เส้นผมหยุดการเจริญเติบโตและหลุดร่วงในที่สุด การแก้ปัญหาผมร่วงหลังคลอดจึงต้องเป็นการแก้ปัญที่ต้นเหตุ จึงจะสามารถชะลอและยับยั้งปัญหานี้ได้

                        สเปรย์บำรุงเส้นผม Jessie Hair Tonic มาในรูปแบบของขวดสเปรย์ปริมาณ 50 มิลลิลิตร ซึ่งเป็นขนาดที่กำลังดี พกพาสะดวก หัวสเปรย์นุ่มมือ ใช้งานง่าย ให้ละอองที่กระจายกำลังดี ไม่จับตัวเป็นก้อน เนื้อผลิตภัณฑ์ใส ไม่ทำให้รู้สึกเหนียวเหนอะหนะ ไม่เพิ่มความมันบนเส้นผมและหนังศีรษะ ซึมง่าย ซึมเร็ว ไม่ทำให้ผมลีบแบน เหมาะสำหรับทุกสภาพเส้นผม คุณแม่ทุกคนจึงสามารถเลือกใช้ได้อย่างสบายใจ

                        อุดมไปด้วย 7 ส่วนประกอบจากธรรมชาติ ประกอบด้วย

                        1. สารสกัดจากใบโลควอท ที่มีคุณสมบัติในการลดปัญหาผมร่วง ผมบาง เพิ่มความหนาและความแข็งแรงให้เส้นผม เพิ่มการไหลเวียนของเส้นเลือด ช่วยให้เลือดเลี้ยงหนังศีรษะหรือรูขุมขนมากขึ้น
                        2. สารสกัดจากญี่ปุ่นที่อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่สำคัญ เช่น วิตามิน B2 B6 B12 ที่มีส่วนช่วยในการพัฒนาเซลล์ในร่างกาย เพิ่มการเผาผลาญสารอาหารประเภทไขมันเปลี่ยนเป็นพลังงานเพื่อป้องกันเส้นผมขาด
                        3. สารสกัดจากพืชตระกูลสน ช่วยกระตุ้นเซลล์ต้นกำเนิดของรากผม เพิ่มจำนวนการงอกของเส้นผม ทำให้ผมดูหนาขึ้น
                        4. บิวทิลลีน ไกลคอล เพิ่มความชุ่มชื้นให้หนังศีรษะ จึงช่วยลดปัญหาคัน มีรังแค หนังศีรษะอักเสบเนื่องจากหนังศีรษะแห้ง
                        5. ซิงค์ ที่มีส่วนช่วยในการสร้างโปรตีนและคอลลาเจน จึงช่วยเสริมการเจริญเติบโตของเส้นผมและเล็บ ช่วยซ่อมแซมผมและเล็บให้แข็งแรง
                        6. สารสกัดจากหอมแดง ทำหน้าที่ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนโลหิต มีสารต้านอนุมูลอิสระ เพิ่มการดูดซึมของวิตามินเอ ลดแบคทีเรีย บำรุงหนังศีรษะให้แข็งแรง
                        7. สารสกัดจากชาเขียว ลดการเกิดออกซิเดชันบริเวณรากผมและรูขุมขน จึงช่วยให้เส้นผมแข็งแรง ไม่หลุดร่วงง่าย

                        รวมไปถึงมีไบโอติน ที่ช่วยลดการขาดหลุดร่วงของเส้นผม จึงป้องกันไม่ให้หนังศีรษะล้าน บำรุงโครงสร้างเส้นผมให้แข็งแรง และชะลอผมหงอกก่อนวัยอีกด้วยค่ะ

                        ด้วยสารสกัดที่มีประโยชน์เหล่านี้จึงทำให้สเปรย์บำรุงเส้นผม Jessie Hair Tonic มีคุณสมบัติในการบำรุงหนังศีรษะ ช่วยให้รากผมแข็งแรง ลดการขาด หลุดร่วงของเส้นผม ผมร่วงผมบาง กระตุ้นให้มีผมงอกใหม่เกิดขึ้นค่ะ

                        ด้วยเหตุผลทั้งหมดนี้ ทีมบรรณาธิการ Amarin Baby & Kids จึงคัดเลือกให้ Jessie Hair Tonic ได้รับรางวัล Editor’s Choice สาขา BEST HAIR CARE FOR MOM จาก Amarin Baby & Kids Awards 2024

                          Infolife Fiber ตัวช่วยแก้ปัญหา ลูกท้องผูก เพิ่มความสุขให้ทุกมื้ออาหารของลูก

                          สำหรับคุณพ่อคุณแม่ ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าการที่ลูกน้อยมีสุขภาพแข็งแรงสดใส พร้อมเรียนรู้และเล่นซนได้เต็มที่ แต่ปัญหาหนึ่งที่สร้างความกังวลใจไม่น้อยคือ ภาวะท้องผูกในเด็ก ซึ่งส่งผลกระทบมากกว่าที่คุณพ่อคุณแม่คิด ทีมแม่ ABK ขอแนะนำ Infolife Fiber ไฟเบอร์จากธรรมชาติที่ถูกคิดค้นมาเพื่อแก้ไขปัญหา ลูกท้องผูก โดยเฉพาะค่ะ

                          ภาวะท้องผูกในเด็ก ผลกระทบที่มากกว่าการถ่ายยาก

                          ภาวะท้องผูกในเด็ก (Constipation in Children) ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ อย่างที่หลายคนอาจเข้าใจ งานวิจัยแสดงให้เห็นว่าเด็ก 3 ใน 10 คนมีปัญหาท้องผูกตั้งแต่ช่วงวัยทารกจนถึง 5 ขวบ โดยหนึ่งในสาเหตุนั้นเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมการกิน เช่น การไม่ชอบกินผัก หรือดื่มน้ำไม่เพียงพอ รวมถึงการขาดใยอาหาร *

                          ผลกระทบจากท้องผูกเรื้อรังที่อาจเกิดขึ้น

                          • ส่งผลต่ออารมณ์: เมื่อเด็กถ่ายไม่คล่อง มักเกิดความรู้สึกอึดอัด แน่นท้อง ไม่สบายตัว ทำให้เด็กมีอารมณ์หงุดหงิดง่าย และลดประสิทธิภาพในการเรียนรู้
                          • สร้างพฤติกรรมหลีกเลี่ยงการขับถ่าย: หากการถ่ายเจ็บหรือใช้เวลานาน เด็กอาจพัฒนาพฤติกรรมการกลั้นอุจจาระ ซึ่งจะทำให้ขับถ่ายยากยิ่งขึ้นในอนาคต
                          • ปัญหาระบบทางเดินอาหาร: อุจจาระตกค้างในลำไส้ อาจทำให้เกิดแก๊ส แน่นท้อง หรือการอักเสบของลำไส้ ส่งผลต่อสุขภาพโดยรวม
                          • ด้อยประสิทธิภาพในการดูดซึมสารอาหาร: การมีอุจจาระค้างในลำไส้อาจลดประสิทธิภาพในการดูดซึมสารอาหาร ซึ่งสำคัญต่อการเจริญเติบโตของเด็กงานวิจัยจาก American Academy of Pediatrics ยังชี้ว่า การเสริมใยอาหารให้เพียงพอ ในอาหารประจำวัน คือวิธีป้องกันและแก้ปัญหาท้องผูกในเด็กที่ได้ผลโดยไม่ต้องพึ่งพายาระบาย

                          ด้วยความเชี่ยวชาญทางโภชนาการและนวัตกรรมที่ล้ำหน้าของ Infolife Fiber ได้ถูกออกแบบมาเพื่อลูกน้อยที่กำลังเผชิญกับปัญหาท้องผูก หรือไม่ยอมกินผักผลไม้ ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญของปัญหาการขับถ่าย ระบบไฟเบอร์นี้ทำงานด้วย พรีไบโอติกส์ (Prebiotic) และ โพสไบโอติกส์ (Postbiotic) ที่ช่วยเพิ่มจุลินทรีย์ดีในลำไส้ พร้อมปรับสมดุลการทำงานของระบบทางเดินอาหาร ช่วยให้ลูกขับถ่ายได้สบายโดยไม่ปวดมวนหรือบิดเหมือนการใช้ยาระบาย

                          คุณสมบัติรอบด้าน คิดค้นมาเพื่อสุขภาพลำไส้ที่ดีของลูกน้อย

                          • เพิ่มกากใยในระบบลำไส้ เพื่อให้อุจจาระนุ่มฟู ถ่ายง่าย ไม่เจ็บก้น
                          • ช่วยขับถ่ายได้เป็นจังหวะด้วยความนุ่มนวล ไม่มีอาการปวดบิดหรือมวนท้อง
                          • ละลายง่าย ไม่มีกลิ่น ไม่มีสี ไม่มีรสชาติ ผสมได้ทั้งในนมหรืออาหารเมนูโปรดของลูก
                          • เทียบเท่ากับการทานผักปริมาณมาก ช่วยเพิ่มใยอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ
                          • ปลอดภัยต่อสุขภาพเด็ก ผ่านการตรวจมาตรฐานระดับสากล และได้รับการรับรอง TOP 8
                          • นอกจากส่วนผสมระดับพรีเมียมแล้ว Infolife Fiber ยังใช้ Totripo Postbiotic นวัตกรรมล้ำหน้าที่ได้จากการหมักจุลินทรีย์ 4 สายพันธุ์ ซึ่งไม่เพียงเสริมจุลินทรีย์ดีในลำไส้ แต่ยังช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้อย่างสมดุล
                          • ผสมในอาหารร้อนหรือเย็นได้ โดยจุลินทรีย์ดีไม่ถูกทำลาย

                          ดื่มง่ายเพียงวันละ 1 ซอง

                          เพียงแค่ 1 ซอง (5 กรัม) ผสมกับนมหรืออาหาร ไม่ว่าจะเมนูร้อนหรือเย็น Infolife Fiber จะช่วยเสริมใยอาหารและบำรุงลำไส้ของลูกน้อยได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลูกจึงขับถ่ายได้ง่ายและสบายตัวโดยไม่ต้องกลัวหรือรู้สึกเจ็บ

                          สุขภาพดีของลูก เท่ากับความสบายใจของคุณพ่อคุณแม่ ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้ Infolife Fiber ได้รับรางวัล Editor’s Choice สาขา BEST KIDS FIBER DIETARY SUPPLEMENT จาก Amarin Baby And Kids เป็นเครื่องยืนยันถึงคุณภาพ และความใส่ใจผลิตภัณฑ์ที่ถูกคิดค้นมาเพื่อสุขภาพของลูกน้อย และทุกคนในครอบครัวค่ะ

                          ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://www.infolifefiber.com

                          ข้อมูลอ้างอิง

                          • สมาคมแพทย์กุมารเวชศาสตร์แห่งประเทศไทย (www.thaipediatrics.org)
                          • Mayo Clinic (https://www.mayoclinic.org)

                            OPENSCHOOL FOR CREATIVES & DESIGNโรงเรียนนานาชาติ ด้านศิลปะ สร้างสรรค์อาร์ทติสให้เป็นนักคิดมืออาชีพ

                            วันนี้ ABK ขอพาทุก ๆ คน ไปเปิดโลกแห่งความสร้างสรรค์กับโรงเรียนในฝันของเด็กสายศิลป์ที่OPENSCHOOL FOR CREATIVES & DESIGN โรงเรียนนานาชาติด้านศิลปะแห่งแรกในประเทศไทย ในเครือ Newton Group กับ Mission ยิ่งใหญ่ สร้างนัก Creative รุ่นใหม่ให้ไปไกลระดับโลก! ที่ ๆ นักเรียนจะได้ฝึกฝน ลงมือทำและสร้างงานฝีมือ อย่างสม่ำเสมอ สอนโดยครูและผู้เชี่ยวชาญที่มีชื่อเสียงและคร่ำหวอดในแต่ละวงการมาร่วมสอนและถ่ายทอดประสบการณ์ และที่สำคัญที่สุดเด็ก ๆ จะได้เติบโตอย่างดี มีระเบียบ มีน้ำใจ เป็นผู้ให้ และเป็นที่รักของทุกคน

                            Creative Drama Workshop ละครเวทียิ่งใหญ่ประจำปีของนักเรียน บูรณาการทุกสาขาเลยค่ะ
                            Competency-based learning หรือ learning by doing
                            Studio ต่าง ๆ ในโรงเรียน
                            The Band
                            ได้ฝึกฝนและลงมือทำ

                            Road of Artists

                            ที่นี่สอนโดยครูผู้เชี่ยวชาญ และสถานที่ถูกใช้สอยอย่างคุ้มค่าทุกตารางนิ้ว เด็ก ๆ จะได้เห็นและอยู่กับศิลปะในทุกๆวัน ได้ ทำชิ้นงานทุกวัน จนกลายเป็นตัวตนในที่สุด

                            • เด็ก ๆ มี Skill ความรู้ มีทักษะงานฝีมือ Craftsmanship และได้สร้าง Portfolio ในเวลา อย่างเต็มรูปแบบ โดยเรียนวิชาพื้นฐานควบคู่กันไปด้วย
                            • Feedback ทำให้เด็ก ๆ เรียนรู้การฟังความคิดเห็นของผู้อื่น รู้จักคิดเพื่อต่อยอดหรือเพื่อปรับปรุง ให้งานสมบูรณ์ยิ่งขึ้น เจนสนาม และมีชั่วโมงบินในสายงานมากขึ้นไปอีก
                            • นักเรียนได้รับการ Feedback จากงานอย่างสม่ำเสมอ จากผู้มีประสบการณ์ทั้งนอกและใน OpenSchool คนในวงการจริง ตามสภาพจริง (คอมเม้นต์จริง เจ็บจริง แต่ก็เพื่อการปรับปรุงนะคะ)
                            • เด็ก ๆ มีโอกาสฝึกฝนและส่งงานประกวด เหมือนได้ฝึกงานไปในตัว นอกจากที่นักเรียนจะได้ลองสนามแล้ว ยังเพิ่มความหลงใหลและแรงจูงใจยิ่ง ๆ ขึ้นไปอีกด้วยค่ะ
                            • นักเรียนที่เรียน Fashion Design จะได้เดินทางไปประเทศฝรั่งเศส (ในความร่วมมือกับ RICE) Kadokawa Manga ครบวงจร ( Kadokawa Academy เป็น Partner กับ OpenSchool)
                            • Portfolio ของเด็ก ๆ ได้เปรียบในด้านเนื้องาน ที่ได้รับคอมเมนต์ต่าง ๆ จากผู้เชี่ยวชาญมาแล้ว รวมไปถึงวิธีคิด เพราะเป็นการคิดอย่างมีวัตถุประสงค์

                            มีเวลา ได้ใช้เวลา

                            นักเรียนที่นี่ค้นพบตัวเองได้ไว ทั้งด้านความสามารถ / ชอบในสิ่งที่เลือก / ถนัดในสิ่งที่ทำ ยิ่งเร็วก็ 1. สามารถศึกษาลงลึกได้ก่อน จนเกิดความชำนาญ

                            • วิชาบังคับ ( Academic Subjects ) ที่เพียงพอ – เหมาะสม เอื้อให้เด็ก ๆ มีเวลาฝึกฝนทักษะงานฝีมือได้อย่างเต็มที่
                            • โลเคชั่นโรงเรียน – เดินทางสะดวก และล้อมรอบด้วยความหลากหลายทาง Visual + Culture + Activity ที่สามารถสร้างแรงบันดาลใจให้สร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ได้ในทุก ๆ วัน
                            นักเรียนมีความสุข ที่ได้มาเรียนในสิ่งที่ตัวเองชอบ

                            Academic ระดับ Worldclass

                            OpenSchool ที่หลาย ๆ คนเข้าใจและเรียกติดปากว่าเป็นโรงเรียน “ม.ปลายสายศิลป์” เป็นความเข้าใจถูกเพียงครึ่งเดียวค่ะ ที่จริงแล้วที่นี่เป็น “โรงเรียนนานาชาติ” ใช้ระบบ British Curriculum ภายใต้หลักสูตร Business and Technology Education Council ( หรือ BTEC ) ซึ่ง BTEC เป็นหลักสูตรสายอาชีพที่สามารถเรียนได้ตั้งแต่ระดับก่อน GCSE จนไปถึงระดับมหาวิทยาลัยเลยทีเดียว นักเรียนสามารถเลือกเรียนตามความเชี่ยวชาญ และ ได้รับวุฒิ Higher National ของ สหราชอาณาจักร ทางด้าน Creatives , Design, Arts UK Higher National Certificate (HNC UK Level 4) | UK Higher National Diploma ( HND UK Level 5) รวมถึงวุฒิจบมัธยมศึกษาปีที่ 6 ของประเทศไทยด้วยค่ะ ดังนั้นเมื่อจบ Year 13 เด็ก ๆ จะมีวุฒิเพื่อเข้ามหาวิทยาลัยได้ทั้งที่ไทยและอังกฤษ มี Portfolio และเกรดครบ จบที่ OpenSchool โดยมี Academic Subjects หรือ วิชาบังคับ ได้แก่

                            • English for IELTS
                            • Math
                            • Sport Opportunities
                            • Portfolio and Creative Process (สำคัญต่อการเข้ามหาวิทยาลัยมาก)
                            • Creative Drama Workshop (ละครใหญ่ประจำปี – บูรณาการทุกสาขา / ศาสตร์ everybody gets involved!)
                            • Portfolio for Communication Arts

                            Fun Fact – ที่นี่ไม่ได้ดีเด่นด้าน ART + CREATIVE อย่างเดียว ความสามารถทางวิชาการก็แน่นปึ้กด้วยเช่นกัน เด็ก ๆ ประสบความสำเร็จจริงเห็นได้จาก IELTS SCORE และ SAT ที่สูงมาก

                            เรื่องวิชาการก็เข้มข้นไม่เบานะ
                            การแสดงความคิดเห็น การรับฟังความคิดเห็น feedback มีส่วนสำคัญในการพัฒนา
                            ฝีมือดีแล้ว ก็ต้องขายผลงานได้ด้วยนะ เด็กๆได้ฝึกซ้อม (การขายผลงาน) กันเป็นประจำเลยค่ะ

                            OpenSchool มี 4 หลักสูตรหลัก ได้แก่

                            1. Art & Design – สายอาชีพ Architect & Designer
                            2. Creative Media – สายอาชีพ Media Creator & Influencer
                            3. Performing Arts – สายอาชีพ Actor & Idol
                            4. Music – สายอาชีพ Singer & Music Entrepreneur

                            Mommy Love This! ถูกใจแม่

                            1. ที่นี่เป็นโรงเรียนนานาชาติใช้หลักสูตรระดับเวิลด์คลาส (BTEC) ในขณะที่ค่าเล่าเรียนอยู่ในระดับที่หลายครอบครัวสามารถซัพพอร์ตได้ หากนักเรียนจบการศึกษาได้ตามเกณฑ์ – นอกจากจะได้วุฒิ ม. 6 ก็ยังพ่วงวุฒิ Higher National ของ สหราชอาณาจักร อีกด้วยค่ะ
                            2. เด็กๆ ไม่จำเป็นต้องมาจากโรงเรียนนานาชาติ และการพิจารณารับนักเรียนเข้าก็ไม่ได้ประเมินจากผลงานหรือผลการเรียน แต่ประเมินจาก commitment ที่เด็ก ๆ มีต่อ “ผู้ปกครองของตัวเอง” ค่ะ มี Trial class ทดลองเรียน 1 วัน / 7 วัน (แล้วแต่นักเรียน และ คุณครูประเมิน) เพื่อดูว่า “ใช่ หรือ ไม่ใช่”
                            3. นอกเหนือจากความสามารถทางด้านศิลปะ Character หรือลักษณะนิสัยที่ดี – ที่น่ารัก เป็นอีกสิ่งที่โรงเรียนเน้นย้ำเหมือนกันค่ะ
                            4. นักเรียนที่นี่มีความชัดเจนในเส้นทางของตัวเองตั้งแต่ต้น ได้ใช้เวลาเต็มที่ มีครูที่ดี โอกาสที่พร้อม ก็เหมือนเป็นการจุดไฟสร้างสรรค์ในทุกๆวัน การตื่นนอนเพื่อเตรียมตัวมาโรงเรียนจึงไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไปค่ะ

                            ค่าเล่าเรียน

                            ต่อภาคเรียนประมาณ 250,000 บาท (1 ปีการศึกษา มี 2 ภาคเรียน) กรุณาสอบถามโรงเรียนโดยตรง

                            ข้อมูลอัพเดท ณ เดือนพฤษภาคม ปีการศึกษา 2568

                            OpenSchool for Creatives and DesignSiam

                            Square Soi 6410/7-8, Pathum Wan, Pathum Wan District, Bangkok 10330

                            Hours Monday – Saturday 09.00 – 18.00 น.

                            Contact โทรศัพท์ 065-9986484 -5

                            Line @OpenSchool

                            www.OpenSchool.ac.th