Page 6 – AMARIN Baby And Kids – เพื่อลูกฉลาดและมีความสุข

ลูกท้องเสีย ต้องทำอย่างไร มาหาคำตอบ พร้อมวิธีรักษาลำไส้ลูกน้อยให้แข็งแรงและสุขภาพดี

อาการท้องเสียในลูกน้อยเป็นเรื่องที่คุณพ่อคุณแม่คงกังวลอยู่ไม่น้อย ในงาน  Amarin Baby & Kids Fair ที่ผ่านมา พญ.ศิวพร ฌานโสภณกุล กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านทางเดินอาหาร หรือคุณหมอกิ๊ฟ รพ.ชลบุรี มาให้มาให้ความรู้และคำปรึกษาเกี่ยวกับอาการท้องเสีย และรักษาสมดุลลำไส้ในเด็ก ให้กับคุณพ่อคุณแม่ แบบเคลียร์ทุกประเด็นที่สงสัย กองบรรณาธิการ Amarin Baby & Kids จึงได้นำสาระความรู้ที่คุณหมอเล่าให้ฟังมาฝากกันค่ะ

พญ.ศิวพร ฌานโสภณกุล กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านทางเดินอาหาร หรือคุณหมอกิ๊ฟ รพ.ชลบุรี

อุจจาระที่ปกติในแต่ละช่วงอายุ

การสังเกตว่าลูกของเรามีอุจจาระที่ผิดปกติหรือไม่ ก่อนอื่นคุณพ่อคุณแม่ต้องรู้จักอุจจาระแบบปกติของลูกเสียก่อนว่ามีลักษณะเป็นอย่างไร ถ้าเห็นความเปลี่ยนแปลง หรือเห็นสิ่งที่ผิดปกติ คุณพ่อคุณแม่จะได้สามารถรักษาลูกได้อย่างทันท่วงที

อุจจาระของเด็กที่ปกติจะมีลักษณะนิ่มและเหลวกว่าอุจจาระของผู้ใหญ่ โดยเฉพาะเด็กเล็กที่ยังอยู่กินนมแม่เพียงอย่างเดียว อุจจาระจะนิ่มเหลว มีลักษณะเป็นครีม คล้ายเนยถั่ว ไม่ถ่ายเหลวเป็นน้ำ และก็ไม่เป็นก้อนแข็งเกินไป อาจมีกลิ่นเหม็นเปรี้ยวได้ เมื่อลูกมีอายุมากกว่า 6 เดือน ลูกเริ่มรับประทานอาหารอย่างอื่นนอกจากนมแม่ อุจจาระก็จะมีความแข็งและเหนียวมากขึ้น มีกลิ่นแรงมากขึ้น เป็นก้อนนิ่มตั้งแต่ต้นจนถึงปลาย ไม่มีมูกเลือดปนโดยอุจจาระที่ปกติอาจมีหลายสี ไม่ว่าจะเป็นสีเหลือง เหลืองเข้ม เหลืองฟักทอง หรือน้ำตาล เป็นต้น 

สาเหตุของอาการท้องเสียในเด็ก

ท้องเสียในเด็กเกิดได้จากหลายสาเหตุ โดยสาเหตุหลักที่พบได้บ่อยคือการติดเชื้อ เช่น เชื้อไวรัส แบคทีเรีย ผ่านทางปากของลูก ไม่ว่าจะมาจากอาหาร นม น้ำ ภาชนะ มือ หรือของเล่นที่นำเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายของลูก นอกจากนี้ยังอาจเกิดจากสาเหตุอื่น เช่น แพ้โปรตีนวัว แพ้อาหารบางอย่าง หรือเกิดจากอาการข้างเคียงจากยาที่กินอยู่ เป็นต้น

รู้ได้อย่างไรว่าลูกท้องเสีย

หากลูกมีจำนวนครั้งของการขับถ่ายมากกว่าสามครั้งต่อวัน อุจจาระของลูกมีลักษณะหน้าตาที่ผิดปกติ เช่น มีความเหลวมากขึ้นกว่าปกติ ในอุจจาระของลูกมีน้ำปริมาณมาก มีสีเขียว มีมูกเลือดปน มีกลิ่นเหม็นเน่า หรือเหม็นคาว อาการเช่นนี้ บ่งบอกถึงความผิดปกติที่คุณพ่อคุณแม่ควรต้องใส่ใจ จึงอาจทำให้ลูกมีอาการร่วมที่เกิดขึ้นพร้อมกับการขับถ่ายที่ไม่ปกติ เช่น มีไข้ ปวดท้อง อาเจียน ซึม เบื่ออาหาร กินอาหารไม่ลง คุณพ่อคุณแม่จึงควรสังเกตลูกอยู่เสมอ หากพบอาการผิดปกติ ควรรีบรักษาทันที

หากพบว่าลูกมีไข้สูง ไม่ว่าจะเช็ดตัวอย่างไรไข้ก็ไม่ลด ลูกอุจจาระมีมูกเลือดปน มีอาการขาดน้ำ เช่น อาเจียนมาก ถ่ายท้องมาก ซึม อ่อนเพลีย ไม่เล่นเหมือนเดิม ควรรีบพบแพทย์ทันทีเพื่อรับการรักษา 

ขาดสารน้ำปริมาณมาก เลือดไปเลี้ยงอวัยวะสำคัญไม่เต็มที่ ฉี่น้อยลง กินอาหารไม่ลง เบื่ออาหาร ซึม ความดันตกหรือช็อค น่ากลัวกว่าผู้ใหญ่เพราะเด็กยังสื่อสารไม่ได้ บอกอาการไม่ชัดเจน ควรสังเกตอาการ

วิธีรับมือและดูแลรักษาเบื้องต้น

หากคุณพ่อคุณแม่พบว่าลูกกำลังมีอาการท้องเสีย คุณพ่อคุณแม่สามารถรักษาเบื้องต้นที่บ้านได้หลายวิธีดังนี้

เติมเกลือแร่และสารน้ำ

เมื่อเด็กมีอาการท้องเสีย ขับถ่ายหลายครั้ง จะทำให้เด็กเริ่มมีการสูญเสียสารน้ำ และเกลือแร่ออกไปจากร่างกาย หัวใจหลักของการรักษาจึงควรเริ่มจากการทดแทนสารน้ำที่ลูกสูญเสียไปด้วยการให้ลูกดื่มสารละลายเกลือแร่ หรือ โออาร์เอส ซึ่งมีวางจำหน่ายทั่วไป คุณพ่อคุณแม่สามารถชงด้วยตัวเองได้ตามวิธีการข้างซอง ผสมน้ำต้มสุก โดยควรให้ลูกค่อย ๆ จิบทีละน้อย บ่อยครั้ง ไม่ควรชงใส่ขวดนมแล้วให้ลูกดื่มรวดเดียวหมด เนื่องจากในช่วงเวลาที่ลูกกำลังท้องเสีย ลำไส้ของลูกจะเริ่มมีปัญหาเรื่องการดูดซึม ลำไส้กำลังได้รับบาดเจ็บ ดูดซึมไม่ดี ถ้าให้ลูกดื่มสารละลายเกลือแร่ปริมารรมากรวดเดียวจนหมด อาจทำให้ลูกอาเจียนออกมาหมด หรือถ่ายออกหมดทันที จนทำให้ร่างกายของลูกไม่ทันได้ดูดซึมเกลือแร่เหล่านั้นเลย คุณพ่อคุณแม่จึงควรชงสารละลายเกลือแร่ใส่แก้ว แล้วใช้ช้อนหรือไซริงจ์ป้อนลูกทุก 3-5 นาที ตลอดทั้งวัน

ไม่ควรให้น้ำหวานหรือน้ำแดงแทนสารละลายเกลือแร่ เพราะน้ำหวานหรือน้ำแดงมีปริมาณน้ำตาลมากเกินกว่าที่ร่างกายของลูกต้องการ คุณพ่อคุณแม่จึงควรมีเกลือแร่ติดบ้านเอาไว้ในยามฉุกเฉินอยู่เสมอ และไม่ควรใช้คาร์บอนเพื่อรักษาอาการท้องเสีย ถ้ามีไข้ ควรให้ยาแก้ไข้ และเช็ดตัวลดไข้ 

อาการท้องเสียส่วนใหญ่มีสาเหตุมาจากการติดเชื้อ บางครั้งลูกจึงอาจมีอาการตัวร้อน มีไข้ ไม่สบาย ควบคู่ไปกับอาการถ่ายเหลว ถ้าลูกมีไข้ คุณพ่อคุณแม่ควรให้ยาลดไข้ในปริมาณที่เหมาะสมตามที่แพทย์แนะนำ และหมั่นเช็ดตัวเพื่อลดไข้ให้ลูก ไม่ควรปล่อยให้ลูกตัวร้อนสูงเป็นเวลานาน จนอาจเกิดภาวะช็อกตามมาได้

เสริมโพรไบโอติกส์ยีสต์เพื่อปรับสมดุลเชื้อจุลินทรีย์

คุณพ่อคุณแม่สามารถให้ลูกกินโพรไบโอติกส์ยีสต์ควบคู่ไปกับการกินอาหารตามวัยตามปกติที่ได้รับการปรุงสุกสะอาด และจิบสารละลายเกลือแร่ เพื่อเป็นตัวช่วยให้อาการท้องเสียหายเร็วขึ้น ปรับสมดุลของจุลินทรีย์ที่ดี ใช้ได้ตั้งแต่เด็กวัยสองเดือนขึ้นไปจนถึงวัยผู้ใหญ่ โดยมีให้เลือกทั้งรูปแบบผงและแคปซูล ให้เลือกรับประทานได้ตามที่สะดวก สำหรับเด็กที่ยังรับประทานยาเม็ดไม่ได้ สามารถเลือกใช้เป็นโพรไบโอติกส์ยีสต์รูปแบบผงละลายน้ำ สามารถใช้โรยในน้ำ ข้าว น้ำนม หรือเทใส่ปากรับประทานโดยตรงเลยก็ได้ ควรรับประทานหนึ่งซองหรือหนึ่งแคปซูลหลังอาหารเช้า และเย็น ต่อเนื่องเป็นประจำประมาณหนึ่งถึงสองสัปดาห์ เพื่อเพิ่มเชื้อจุลินทรีย์ตัวดี เพิ่มความแข็งแรงของผนังลำไส้ เพิ่มสารอาหารและวิตามิน ลดโอกาสเสี่ยงที่จะเจ็บป่วยจากการเสียสมดุลของเชื้อจุลินทรีย์ที่ดีและไม่ดี โดยไม่กระทบกับการกินยาชนิดอื่น เช่น ยาฆ่าเชื้อหรือยาปฏิชีวนะ ซึ่งทำหน้าที่ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย แต่โพรไบโอติกส์ยีสต์เป็นยีสต์จึงสามารถกินร่วมกันได้อย่างปลอดภัย คุณพ่อคุณแม่สามารถหาซื้อโพรไบโอติกส์ยีสต์ได้ที่ร้านขายยาใกล้บ้าน โดยควรปรึกษาเภสัชกรก่อนซื้อยาทุกครั้ง

รับประทานอาหารตามปกติ 

ควรให้ลูกรับประทานอาหารตามเดิมหรือตามปกติ ไม่ควรให้ลูกเปลี่ยนอาหารใหม่ในช่วงที่กำลังมีอาการท้องเสีย เพราะอาจยิ่งทำให้ถ่ายผิดปกติมากขึ้นอีก

วิธีป้องกันโรคท้องเสียในเด็ก

ความสะอาดสำคัญเป็นอันดับหนึ่ง

สาเหตุของท้องเสียในเด็กส่วนใหญ่เกิดจากการติดเชื้อ คุณพ่อคุณแม่จึงควรใส่ใจเรื่องความสะอาดเป็นพิเศษ ไม่ให้ลูกติดเชื้อจากมือของผู้เลี้ยงดู มือของเด็กเอง อาหาร ภาชนะ ขวดนม ขวดน้ำ และของเล่น เป็นต้น

ค้นหาสาเหตุที่ทำให้ลูกท้องเสีย

คุณพ่อคุณแม่ควรค้นหาสาเหตุที่ทำให้ลูกท้องเสีย เพื่อที่จะสามารถป้องกันและแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ เช่น ถ้าลูกแพ้นมวัว หรือไม่สามารถย่อยแลคโตสในนมได้ ควรให้ลูกกินนมที่ไม่มีแลคโตส หรือถ้าลูกยังอยู่ในวัยที่กินนมแม่อย่างเดียว ช่วงที่ลูกกำลังท้องเสีย ควรให้ลูกกินนมแม่ส่วนปลาย ประมาณสามถึงห้าวันจนกว่าลูกจะมีอาการที่ดีขึ้นหรือหายเป็นปกติ

ปรับสมดุลจุลินทรีย์ด้วยโพรไบโอติกส์

ดูแลสุขภาพของลูกจากภายในด้วยการให้ลูกกินโพรไบโอติกส์เพื่อเพิ่มปริมาณจุลินทรีย์ชนิดดีที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย

ท้องเสียในเด็กเป็นอาการที่เกิดขึ้นได้ในเด็กทุกเพศทุกวัย และสามารถเป็นได้ในทุกฤดูกาลตลอดทั้งปี คุณพ่อคุณแม่สามารถช่วยดูแลสุขอนามัย และป้องกันไม่ให้ลูกเจ็บป่วยจากการอาการท้องเสียได้ง่าย ๆ เพียงแค่ดูแลความสะอาด ดูแลสุขภาพของลูก รวมไปถึงการเลี้ยงดูลูกอย่างใส่ใจ หมั่นสังเกตลูกรักของเราอยู่เสมอ เพียงเท่านี้ลูกก็แข็งแรงปลอดภัยแล้วค่ะ


คุณหมอมาให้ความรู้ได้ครบถ้วนแบบนี้แล้ว คุณพ่อคุณแม่คงคลายกังวลเกี่ยวกับอาการท้องเสียของลูกน้อย และมีวิธีการรับมืออย่างถูกต้องแล้วใช่มั้ยคะ สำหรับโพรไบโอติกส์ยีสต์ที่ช่วยดูแลสมดุลลำไส้ ที่ลูกน้อยรับประทานได้อย่างปลอดภัยเป็นอย่างไร นั้น กองบรรณาธิการ Amarin Baby & Kids ได้นำเอา check list วิธีการเลือกโพรไบโอติกส์มาฝากค่ะ

  1. โพรไบโอติกส์ที่ให้ลูกน้อยรับประทาน ต้องมีงานวิจัยในเด็กที่น่าเชื่อถือ และมีการติดตามผลระยะยาว โดยโพรไบโอติกส์สูตรผสมส่วนมากที่ขายในตลาดจะไม่มีงานวิจัยของสูตรผสมนั้นโดยตรง แต่จะอ้างอิงงานวิจัยของโพรไบโอติกส์แต่ละชนิดมารวมกัน ซึ่งไม่สามารถมั่นใจได้ว่าผลิตภัณฑ์นั้นปลอดภัย และได้ประโยชน์ในเด็กจริง ดังนั้น จึงควรปรึกษาเภสัชกรให้ดีก่อนซื้อมาให้ลูกกินนะคะ
  2. โพรไบโอติกส์ที่น่าเชื่อถือ จะมีการแนะนำผ่านองค์กรทางแพทย์ที่น่าเชื่อถือระดับโลก เช่น World Gastroenterology Organization (WGO) หรือ ESPGHAN โดยโพรไบโอติกส์ที่มีงานวิจัยในเด็กมากมาย และเป็นที่ยอมรับในระดับสากลได้แก่ โพรไบโอติกยีสต์ Saccharomyces boulardii CNCM-I 745 หรือใช้ชื่อการค้าว่า Bioflor ในประเทศไทย
  3. โพรไบโอติกส์ที่จดทะเบียนเป็นยา จะมั่นใจถึงประสิทธิภาพได้มากกว่าผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร รวมถึงมั่นใจในความปลอดภัย และไม่เป็นอันตราย
  4. มีรูปแบบที่เด็กสามารถทานได้ง่าย เช่น แบบซอง ผสมน้ำ เพื่อให้ง่ายต่อการป้อน

ที่สำคัญ ก่อนที่จะซื้อโพรไบโอติกส์ให้ลูกทาน เพื่อรักษาอาการท้องเสีย ควรปรึกษาเภสัชกรก่อนทุกครั้ง และหากอาการไม่ดีขึ้น ควรพาไปพบแพทย์ให้เร็วที่สุดนะคะ

Tags

โรงเรียนเซนต์คาเบรียล

โรงเรียนเซนต์คาเบรียล มุ่งเน้นคุณภาพการศึกษา จริยธรรม ส่งเสริมทักษะและสร้างผู้นำที่พร้อมทุกด้าน

“จุดมุ่งหมายของชีวิต คือการรู้จักสัจธรรม ความจริง และการเข้าถึงธรรมอันสูงส่งอันเป็นบ่อเกิดของชีวิต มนุษย์ทุกคนต้องทำงาน ความวิริยะ อุตสาหะเป็นหนทางไปสู่ความสำเร็จ”

กว่า 100 ปี ที่โรงเรียนเอกชนชายล้วนแห่งนี้ได้บ่มเพาะเมล็ดพันธุ์ที่แข็งแรง หากเอ่ยชื่อไปเชื่อว่าหลายคนต้องรู้จักที่นี่อย่างแน่นอนค่ะ ด้วยชื่อเสียงและคุณภาพของการเรียนการสอนนั้น ย่อมเป็นสิ่งการันตีได้ว่าเป็นสถาบันการศึกษาชั้นนำของเมืองไทย และที่นี่คือ…โรงเรียนเซนต์คาเบรียล

School visit  วันนี้เรามีโอกาสได้ไปเยี่ยมชม หนึ่งในโรงเรียนที่ขึ้นชื่อเรื่องของหลักสูตรการเรียนการสอนที่บรรดาผู้ปกครองที่มีลูกชายอยากให้ลูกเข้าเรียนมากเป็นอันดับต้น ๆ เพราะนอกจากชื่อเสียงและผลลัพธ์ของนักเรียนที่จบไปแล้วนั้น ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่สัมผัสได้ว่าเป็นเอกลัษณ์และจุดเด่นของโรงเรียนนี้ คุณพ่อคุณแม่เคยได้ยินคำว่าสุภาพบุรุษเซนต์คาเบรียลไหมคะ ต้องบอกเลยนอกจากการเรียนการสอนแล้วที่นี่เขาให้ความสำคัญมากที่สุดอีกอย่างหนึ่งคือเรื่องของคุณธรรม จริยธรรมและความเป็นผู้นำด้วยค่ะ โรงเรียนเซนต์คาเบรียลเป็นสถานศึกษาที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในด้านของคุณภาพการเรียนการสอนและการพัฒนาคุณภาพของนักเรียน โรงเรียนแห่งนี้มีจุดเด่นในหลายด้าน เรามาทำความรู้จักกับจุดเด่นของที่นี่กันค่ะ

สนามฟุตบอลขนาดใหญ่แบบมาตรฐาน
ปรัชญาของโรงเรียน

การเรียนการสอนที่มุ่งเน้นคุณภาพ ครูผู้สอนที่มีความชำนาญ

โรงเรียนเซนต์คาเบรียล (St.Gabriel’s Collage) เป็นโรงเรียนเอกชนที่มีชื่อเสียงในประเทศไทย ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ.2424 เป็นโรงเรียนคาทอลิกที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้การศึกษาคุณภาพสูงแก่เด็กชายในสังคมไทยสมัยนั้น มีหลักสูตรที่ครอบคลุมทั้งด้านวิชาการและกิจกรรมเสริมทักษะต่างๆที่มุ่งเน้นให้ผู้เรียนได้พัฒนาตนเองครบทุกด้าน โรงเรียนมีหลักสูตรการเรียน 2 ระดับ คือ ระดับประถมศึกษาและระดับมัธยมศึกษา ซึ่งในปีการศึกษา 2567 นี้ ทางโรงเรียนได้เปิดหลักสูตรใหม่ที่เรียกว่า SG NEXT ซึ่งเป็นโปรแกรมหลักสูตรอินเตอร์ที่ใช้ภาษาอังกฤษในการเรียนการสอน โดยจะมีเพียงวิชาภาษาไทยและวิชาประวัติศาสตร์ที่เรียนเป็นภาษาไทย หลักสูตรออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ผู้ปกครองที่ต้องการความเข้มข้นของเนื้อหาวิชาการและภาษาอังกฤษด้วย เรียกได้ว่าเป็นมาตราฐานสากลในบริบทไทย

บรรยากาศห้องเรียน SG Next การเรียนการสอนภาคภาษาอังกฤษ
นักเรียนสนุกกับการเรียนวิชาภาษาจีน

และการเป็นโรงเรียนที่ก่อตั้งมายาวนาน เป็นเรื่องจำเป็นมากที่โรงเรียนต้องปรับตัว ปรับวิธีการเรียนการสอนให้เข้ากับยุคสมัย โดยเฉพาะคุณครูที่ต้องเรียนรู้ปรับตัวตามสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยของนักเรียน ครูที่ต้องมีจิตวิทยาพัฒนาการเด็ก เข้าใจเด็กตามพื้นฐานของแต่ละระดับชั้น ทางโรงเรียนเล่าว่าไม่ใช่เรื่องยากอะไรเพราะครูที่นี่นั้นอยู่กับนักเรียนมาเยอะ ยาวนาน มีความใกล้ชิด และครูก็พัฒนาเรียนรู้ตลอดเวลา จึงเมื่อสัมผัสกับเด็กก็จะมีความเข้าใจได้ไม่ยาก อย่างเช่น เด็กยุคนี้เข้าถึงโซเชียลมีเดียและชอบการทำคอนเทนต์ เพราะฉนั้นการเรียนการสอน จึงมีการใช้โซเชียลมีเดียให้นักเรียนนำเสนอผลงานผ่านสื่อโซเชียลมีเดีย ทำให้นักเรียนมีความสนใจและรู้สึกสนุกในการเรียน ก่อให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ มีการเรียนรู้นอกกรอบ

สภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมการเรียนรู้และการส่งเสริมกิจกรรมนอกห้องเรียน

โรงเรียนเซนต์คาเบรียลให้ความสำคัญกับสภาพแวดล้อมที่ต้องเหมาะสมต่อการเรียนรู้ อาคารสถานที่ ห้องเรียนที่ทันสมัย รวมถึงอุปกรณ์การเรียนที่ครบครัน เช่น สนามกีฬา ห้องเรียน รวมถึงการมีพิพิธภัณฑ์เพื่อให้นักเรียนได้ศึกษาหาความรู้ อย่างพิพิภัณฑ์ผีเสื้อเกิดขึ้นจากความชอบของ ภารดาหรือบราเดอร์ ดร.อำนวย ปิ่นรัตน์ อดีตอธิการโรงเรียนเซนต์คาเบรียล โดยบราเดอร์จะใช้เวลาที่ว่างจากการสอนหนังสือกับเพื่อน ออกตระเวนสู่ป่าเขาลำเนาไพรทั่วประเทศ เพื่อเสาะหาผีเสื้อพันธุ์ต่างๆจึงได้ศึกษาและก่อตั้งห้องนี้ขึ้นมา ท่านได้รวบรวมผีเสื้อกว่า 1000 สายพันธุ์ นอกจากนี้ยังมีพิธิภัณฑ์เรืออีกด้วย

และด้วยการมุ่งเน้นกิจกรรมนอกห้องเรียนนั้นเกิดจากการที่โรงเรียนต้องการให้นักเรียนได้เรียนรู้การเป็น SG Leader ที่ต้องการให้นักเรียนมีความเป็นผู้นำที่โดดเด่นและถูกต้อง ทางโรงเรียนเล่าให้ฟังถึงที่มาว่าเกิดจาก SG Connection คือศิษย์เก่าหรือรุ่นพี่ที่จบไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นบุคคคลมีชื่อเสียงในแวดวงต่างๆ ที่ประสบความความสำเร็จและอยากส่งต่อวิธีคิดและวิธีการเรียนรู้ ส่งต่อเส้นทางให้รุ่นน้องได้เดินเพื่อไปถึงเป้าหมาย จึงได้มีส่วนร่วมออกแบบการเรียนรู้เพื่อส่งเสริมการเป็นผู้นำของนักเรียน จึงทำให้เกิดการเรียนและการเป็น SG Leader ที่แข็งแกร่ง

SG Leader

หมายถึงชื่อโรงเรียนเซนต์คาเบรียลและลีดเดอร์ ที่หมายถึงผู้นำ เป็นแนวคิดที่มุ่งพัฒนานักเรียนให้กลายเป็นผู้นำที่มีคุณภาพในระดับสังคมไทยและระดับสากล โดยการเป็น SG Leader นั้นไม่ได้หมายถึงแค่การเป็นผู้นำทางด้านวิชาการเท่านั้น แต่หมายรวมถึงด้านคุณธรรม จริยธรรมด้วย เพราะทางโรงเรียนมองว่า คำว่าผู้นำนั้นมีหลายรูปแบบ จึงส่งเสริมให้นักเรียนได้เรียนรู้การเป็นผู้นำในแบบที่เหมาะสมและถูกต้อง ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการเติบโต เป็นผู้ที่มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ของตนเองและสังคม เป็นผู้เห็นคุณค่าในตัวเองและประสบความสำเร็จ

เด็กชายกับการเรียนดนตรีไทยเป็นภาพที่น่ารักมาก
ห้องสมุด ศูนย์รวมความรู้ของเซนต์คาเบรียล

ด้วยกิจกรรมทั้งในห้องเรียนและนอกห้องเรียนมากมายที่เป็นพื้นที่ให้เด็กๆ ได้กล้าคิด กล้าแสดงออก กล้าเป็นผู้นำ เช่น กิจกรรมกีฬาสี งานนิทรรศการ รวมถึงค่ายอาสา เป็นสนามจริงที่เด็ก ๆ ได้พัฒนาตรงนี้ สุภาพบุรุษเซนต์คาเบรียล จึงเป็นทั้งปรัชญาและสิ่งที่ปลูกฝังนักเรียนทุกคนให้ได้รับการอบรมให้มีความเป็นสุภาพบุรุษ อ่อนโยน มีคุณธรรมและมีเกียรติ ซึ่งสอดคล้องกับหลักการศึกษาของคาทอลิกที่ให้ความสำคัญกับพัฒนาด้านจิตใจ โดยมีคุณสมบัติดังนี้

  1. Leadership เป็นเรื่องของความเป็นผู้นำ การเสริมทักษะและบุคลิกภาพการเป็นผู้นำ
  2. Global Citizens เพื่อให้เด็กรู้สึกว่าเขาไม่ได้เป็นเพียงประชากรของประเทศเท่านั้น แต่เขายังเป็นประชากรของโลกใบนี้ด้วย
  3. Communication Skills การสื่อสารถือว่ามีความสำคัญ ผู้นำทุกคนจะต้องสื่อสารเป็น ไม่ว่าจะเป็นการฟัง พูด อ่าน เขียน แต่ต้องรวมไปถึงการมีบุคลิกภาพที่นำเสนอข้อมูลในที่สาธารณะ การ Presentation กล้าคิด กล้าแสดงออก
  4. Humanity การสอนความเป็นมนุษย์ มีความสุข รู้จักความสมดุลของชีวิต เป็นเหมือนปรัชญาในการดำเนินชีวิต เช่น เรื่องของศาสนา ความเชื่อ คุณธรรม จริยธรรม สิ่งนี้จะสอนให้เด็กเก่ง ดีและมีความสุข และจะต้องรู้จักการแบ่งปันความรักและความสุขให้กับผู้อื่น

ห้องเรียนวอร์ดอฟ

ห้องเรียนวอร์ดอฟ เป็นห้องเรียนที่เป็นเหมือนนักจิตวิทยาประจำโรงเรียนเซนต์คาเบรียล จัดให้มีการช่วยเหลือด้านจิตใจสำหรับนักเรียน โดยเป็นการให้ความรู้และการช่วยเหลือและพัฒนานักเรียน เป็นการดูร่วมกันระหว่างที่บ้านและโรงเรียน เพื่อให้นักเรียนได้พัฒนาตัวเองทั้งด้านร่างกาย จิตใจ และมีความพร้อมสำหรับการเรียนรู้ในด้านต่าง ๆ ต่อไป

Mommy’s Love This! ถูกใจแม่

ในฐานะที่มีลูกชายเหมือนกัน รู้สึกดีใจและประทับใจที่ได้เข้ามาเห็นสถานที่จริง ได้สัมผัสบรรยากาศของที่นี่ค่ะ สิ่งที่เห็นได้อย่างชัดเจนเลยคือบุคลิกความเป็นเซนต์คาเบรียลที่ออกมาจากนักเรียนด้วยรอยยิ้มที่สดใสทักทายทีมงานอย่างเป็นมิตร ความมีชีวิตชีวาที่เต็มไปด้วยความสุภาพ ไม่แปลกใจที่พอได้ฟังถึงแนวคิดของสุภาพบุรุษเซนต์คาเบรียลแล้วทำให้เข้าใจเลยว่านี่ไม่ใช่เพียงแค่เป็นหลักปรัชญา แต่โรงเรียนได้ปลูกฝังและสอนให้นักเรียนได้เป็นในสิ่งนั้นจริง ๆ

หากโรงเรียนคือบ้านหลังที่สองที่บ่มเพาะคุณภาพของลูก เซนต์คาเบรียลคือสถานที่ที่เราสามารถวางใจได้ว่า ลูกจะได้รับการสอน การดูแลที่ดีมีคุณภาพอย่างที่สุด เพราะในระดับชั้นประถมนั้น โรงเรียนให้ความสำคัญเป็นอย่างมากที่นักเรียนจะค้นหาตัวเองได้ไว ไม่ว่าจะเป็นความชอบ อาชีพหรือสิ่งที่อยากเรียนต่อ เพื่อให้เขาสามารถเดินไปยังเส้นทางในอนาคตได้ตามที่คาดหวัง เพราะเด็กได้เรียนรู้ ลองทำกิจกรรมต่าง ๆ ที่หลากหลาย เพื่อให้ต่อยอดไปยังมัธยมและมหาวิทยาลัยได้อย่างถูกต้อง นำไปสู่การเลือกแผนการเรียนของระดับมัธยมได้ตรงตามความชอบและความถนัด เช่น ห้องเรียนแพทย์ ห้องเรียนวิศวะ ห้องเรียนเน้นภาษา หรือห้องเรียนสำหรับคนชอบดนตรี และกีฬา การมีค่ายอาสา นิทรรศการศิลปะ ทำให้เด็กได้ปฏิบัติในสนามจริง หรือการมีพื่นที่ให้นักเรียนได้แสดงความสามารถ ยิ่งทำให้นักเรียนได้มองเห็นศักยภาพในตนเอง

การใส่ใจดูแลนักเรียนที่แพ้อาหาร

หากการเลือกโรงเรียนให้ลูกคือการลงทุน โรงเรียนเซนต์คาเบรียลคือการลงทุนสำหรับอนาคตที่คุ้มค่า โรงเรียนที่ให้ความสำคัญทุกมิติ ทั้งด้านการเรียน สุขภาพจิตที่ดี รวมถึงความสัมพันธ์ในครอบคครัว การมีห้องเรียนวอร์ดอร์ฟหรือการสื่อสาร ให้คำปรึกษา ระหว่างคุณครูและผู้ปกครองอย่างใกล้ชิด ทำให้เรามั่นใจได้ว่านักเรียนจะได้รับการดูและใส่ใจเป็นอย่างดี ดังนั้นการมีหลักสูตรการเรียนการสอนที่มีคุณภาพสูง การปลูกฝังคุณธรรมและการเป็นผู้นำที่มีคุณภาพ ทำให้ลูกของเราที่ได้รับการอบรมจากสถานศึกษาที่มุ่งเน้นทั้งทางด้านวิชาการและจริยธรรมนั้น เป็นสิ่งยืนยันได้ว่าลูก ๆ ของเราจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีความพร้อม มีความสามารถและมีความรับผิดชอบต่อตนเองและสังคม มีวิสัยทัศน์ รู้จักการแก้ปัญหา สมดังปรัชญาและบรรลุเป้าหมายของตนเองและโรงเรียน เห็นแล้วต้องบอกเลยว่าสุภาพบุรุษเซนต์คาเบรียลนั้นเท่ห์จริง ๆ นะคะ J

การรับสมัครและค่าเทอม

สมัครเข้าศึกษาโรงเรียนเซนต์คาเบรียล

เข้าเรียนระดับชั้น ป.1 เปิดรับสมัครต้นเดือน เมษายน ของทุกปี

ค่าเทอมระดับชั้น ป.1 โดยเฉลี่ยประมาณ 40,000-50,000 บาทต่อเทอม

ห้องเรียน SG ประมาณ 100,000 บาทต่อเทอม

(งาน Open House จัดในช่วงเดือน มิถุนายน ของทุกปี)

ที่อยู่

565 ถ. สามเสน แขวงวชิรพยาบาล เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร 10300

โทร. 02-243-0065 ต่อห้องธุรการ (1101 หรือ 1119)

Website : http://www.sg.ac.th

Editor : แม่กุ๊ก
ภาพ : ฤทธิรงค์ จันทองสุข

ครีมกันแดดสำหรับเด็กวัยซน ปกป้องผิวแน่น โดนใจลูก ถูกใจแม่

เพราะการเลี้ยงลูกวัยคิดส์โตไม่เหมือนวัยเบบี๋ คุณแม่ยังต้องดูแลอย่างใกล้ชิด ก่อนเล่นสนุกกลางแจ้ง เพียงเลือก ครีมกันแดดสำหรับเด็กเริ่มโต ที่เหมาะกับผิวอ่อนโยน และปล่อยให้ลูกได้เลือกเอง ก็ช่วยให้ทุกกิจกรรมเป็นเรื่องสุดสนุกแล้ว

ลูกอายุ 3-8 ปีอยู่ในช่วงของเด็กวัยเรียนที่มีพัฒนาการทั้งร่างกายและพฤติกรรมแตกต่างจากวัยเบบี๋โดยสิ้นเชิง พวกเขาทำสิ่งต่าง ๆ ด้วยตัวเองได้มากขึ้น สามารถแยกความแตกต่างของสิ่งของได้มากขึ้น รู้จักใช้เหตุผล และเริ่มตัดสินใจเลือกตามความต้องการของตัวเอง เช่น เลือกกินอาหารที่ชอบ เลือกเสื้อผ้าเอง สังเกตได้ว่า ลูกวัยนี้มักเริ่มปฏิเสธ หรือไม่ว่านอนสอนง่าย แม้จะขัดใจคุณแม่อยู่ไม่น้อย ขณะเดียวกันก็มีความอยากรู้อยากเห็น ชื่นชอบการได้ทำกิจกรรมใหม่ๆ โดยเฉพาะกิจกรรมนอกบ้าน เช่น เล่นกีฬา เที่ยวทะเล กิจกรรมกลางแจ้งต่าง ๆ

พบว่าเด็กหลายบ้านไม่ชอบทาครีมกันแดด เพราะรู้สึกทายาก ใช้เวลานาน เหนียวเหนอะหนะ แถมกลิ่นที่ไม่เชิญชวนให้ทา แม้คุณแม่จะพยายามบอกข้อดีแค่ไหน ดูเหมือนว่าลูกน้อยจะพูดต่อรองเอาตัวรอดได้ จนหลายครั้งกลายเป็นการเปิดศึกประจำบ้าน

3 เทคนิคชวนลูกเลือกของใช้ด้วยตัวเอง

แทนที่จะปล่อยให้เรื่องเล็กน้อยมาลดทอนความรักความผูกพันของแม่ลูก คุณแม่สามารถใช้จังหวะนี้ส่งเสริม Self-Esteem หรือความเชื่อมั่นในตัวลูก ด้วยการชวนให้ลูกเลือกของใช้ในชีวิตประจำวันด้วยตัวเอง ซึ่งเป็นพื้นฐานที่ช่วยให้ลูกเป็นคนกล้าตัดสินใจ มีความมั่นใจในตัวเอง มีภาวะผู้นำ เห็นคุณค่าในสิ่งของที่เลือกมา และเติมความสุขเล็กๆในทุกวัน คุณแม่เริ่มหัดให้ลูกเลือกของใช้ด้วยตัวเองได้ ด้วย 5 เทคนิคนี้

1. สอนสังเกตประโยชน์ของสินค้า
ฝึกให้ลูกคิดว่าสินค้าที่จะซื้อตรงกับเป้าหมายหรือความต้องการหรือไม่ อย่าซื้อเพียงเพาะรูปลักษณ์สวยงาม หรือตามความนิยมเพียงอย่างเดียว หากซื้อมาแล้วไม่ได้ใช้ก็เปล่าประโยชน์

2. หัดเปรียบเทียบราคาและคุณภาพ
สอนให้ลูกลองเปลี่ยนเทียบราคา กับส่วนผสมหรือขนาดว่าคุ้มค่าหรือไม่ เพราะสิ่งของหลายอย่างมีคุณภาพดีในราคาที่ไม่แพง เพื่อให้ลูกรู้จักซื้อสินค้าที่คุ้มค่า

3. อ่านฉลากสินค้า
สิ่งนี้จำเป็นสำหรับของใช้ในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นของกิน ของใช้ ควรชวนให้ลูกอ่านฉลากสินค้าด้วยกันเพื่อสังเกตข้อแตกต่างของสินค้าแต่ละชนิด ถ้าลูกยังอ่านไม่เข้าใจ คุณแม่อาจอธิบายด้วยภาษาง่ายๆ ก็จะช่วยได้มา
สำหรับการเลือกซื้อของใช้ส่วนตัว ส่วนใหญ่เด็ก ๆ มักมีรูปแบบแพ็คเก็จจิ้ง สีสัน กลิ่น หรือรสชาติที่ตัวเองชอบ คุณแม่ยังต้องช่วยเลือกให้เหมาะกับวัยของลูก จริงๆแล้วเด็กชอบเล่นกลางแจ้ง แถมไม่กลัวแดด จึงโดนแดดมากกว่าผู้ใหญ่ สกินแคร์อย่างแรกที่ควรใช้คือ ครีมกันแดดเพื่อปกป้องผิวไม่ให้คล้ำเสีย และระคายเคือง การเลือกครีมกันแดดสำหรับเด็กเริ่มโตควรมีคุณสมบัติดังนี้

  • เป็นครีมกันแดดที่ทำมาสำหรับเด็กโดยเฉพาะ มีการระบุค่า SPF และ PA โดยค่า SPF เป็นการป้องกัน UVB และ PA เป็นตัวบ่งชี้ระดับการป้องกัน UVA ถ้าทำกิจกรรมนอกบ้านควรเลือกผลิตภัณฑ์กันแดดที่มีค่า SPF ตั้งแต่ 30 ขึ้นไป ส่วนค่า PA 3-4 บวกถือว่ามีประสิทธิภาพการป้องกันค่อนข้างดี
  • ผลิตภัณฑ์ควรทาได้ทั้งใบหน้าและร่างกายอย่าลืมว่าเด็กๆ โดนแดดมากกว่าเรา กันแดดที่ใช้กับใบหน้าต้องไม่ทำให้แสบตา นอกจากหน้าแล้ว แขน ขา และหลังคอก็เป็นจุดที่ควรทากันแดดเพื่อป้องกันอาการผิวไหม้แดงจากแสงแดดเช่นกัน
  • เลือกประเภทครีมกันแดดให้เหมาะกับการใช้งานและความชอบของลูก ถ้าเป็นเนื้อครีมก็ควรจะซึมง่ายซึมไว เพราะเด็กมักไม่ชอบความเหนียวเหนอะหนะ หรือหาเนื้อแบบอื่นเช่นเนื้อโลชั่นน้ำ เป็นทางเลือกให้เด็กๆขี้รำคาญ บรรจุภัณฑ์ก็มีส่วนสำคัญ ถ้าพกพาไปนอกบ้าน ควรจะสะดวกใช้งาน ไม่หกเลอะเทอะง่าย และใช้งานได้รวดเร็ว
  • เป็นสูตรอ่อนโยนกับผิวของเด็ก แม้จะเป็นเด็กโตแต่ผิวหนังของลูกยังบอบบาง เสี่ยงต่อการแพ้ได้ง่าย ครีมกันแดดควรทำจากส่วนผสมจากธรรมชาติ ปราศจากสารเคมีอันตรายหรือ แอลกอฮอล์ หรือสารกันแดดแรงๆที่เป็นอันตรายต่อผิวลูก

PEPPODOPA ผลิตภัณฑ์กันแดด ถูกใจลูกไม่ขัดใจแม่

คุณแม่ที่กำลังมองหาผลิตภัณฑ์กันแดดหรือโลชั่นบำรุงผิวเมื่ออกแดดสำหรับลูกวัยเริ่มโต ขอแนะนำให้รู้จักผลิตภัณฑ์สำหรับเด็ก น้องใหม่แบรนด์  PEPPODOPA (เปปโป้โดป้า) ที่สร้างสรรค์มาเพื่อตอบโจทย์แอคทีฟไลฟ์สไตล์แม่ลูก ภายใต้คอนเซ็ปต์ Adventure for Kids, Comfort for Mom ถูกใจลูกไม่ขัดใจแม่ ด้วยการครีเอทผลิตภัณฑ์ให้มีจุดเด่นทั้ง ส่วนผสมอ่อนโยนถูกใจคุณแม่ รูปแบบสดใสน่าใช้ถูกใจเด็กๆ“  เด็กๆ ใช้งานได้สนุก และคุณแม่ไม่กังวลเรื่องความปลอดภัย  

ครีมกันแดดของ PEPPODOPA มีให้เลือก 2 รูปแบบเลือกได้ตามการใช้งาน ได้แก่

ตัวแรกคือ ครีมกันแดดเด็ก สูตร Physical 100% รุ่นฝาคลิ๊กล็อค ขวดสีฟ้าและดีไซน์ฝาคลิ๊กล็อคสีแดงปิดสนิท กดใช้ง่าย ไม่ห่วงเรื่องหกเลอะเทอะ คุณแม่ให้ลูกลองทางครีมเองได้เลย

ครีมกันแดดเด็ก สูตร Physical 100% รุ่นฝาคลิ๊กล็อค

ปกป้องผิวบอบบางด้วยสูตร Physical 100% มีคุณสมบัติเคลือบผิว และมีส่วนช่วยป้องกันฝุ่นพิษ PM 2.5 ซึมสู่ร่างกาย พร้อมเติมความชุ่มชื่นด้วยวิตามินอี และสารสกัดจากสาหร่ายสีเขียวในการกักเก็บน้ำในผิว พร้อมทั้งสารสกัดจากนมผึ้ง ช่วยป้องกันการระคายเคือง จัดเต็มการปกป้องด้วย SPF50 PA+++ ให้ลูกพร้อมสนุกสู้แดด เนื้อครีมบางเบา ซึมไว สบายผิว มีกลิ่นหอมอ่อน ๆ ไม่มีกลิ่นเหม็นรบกวน ใช้ได้ทั้งผิวหน้าและผิวกาย จุดที่เลิฟที่สุดคือทาแล้วไม่แสบตา เป็นครีมกันแดดที่ใช้ได้ตั้งแต่อายุ 1 ขวบขึ้นไป

สเปรย์กันแดดเด็ก สูตรออร์แกนิค (Organic Kids Sunscreen)

ต่อกันด้วยตัวที่สอง สเปรย์กันแดดเด็ก สูตรออร์แกนิค (Organic Kids Sunscreen) ขวดสีเหลือง เหมาะกับการใช้งานได้บ่อยๆ ด้วยการฉีดบนผิวแล้วลูบเบาๆ กันแดดเนื้อน้ำนมจะซึบเข้าผิวได้ทันที ไม่ขัดความสนุก มาพร้อมคุณสมับัติพิเศษในการป้องกันแบคทีเรียได้มากถึง 99% มี SPF40 PA+++ และสารสกัดธรรมชาติในการดูแลผิว ทั้ง สารสกัดน้ำผึ้งธรรมชาติจากฝรั่งเศส สารสกัด Allantoin และสารสกัดเมล็ดเสาวรสลิ้นงู ปราศจากสารเคมีอันตราย ใช้ได้ทั้งผิวหน้าและผิวกาย ไม่แสบตา ขนาดกะทัดรัด พกพาสะดวกให้เด็ก ๆ ใช้เองได้ทุกวัน ใช้ได้ตั้งแต่ 1 ขวบขึ้นไป

PEPPODOPA Moisturizing Gel

หลังออกแดด คุณแม่ควรดูแลอย่างต่อเนื่องเพื่อลดอาการแสบแดด และเพิ่มความชุ่มชื่นให้ผิวด้วย PEPPODOPA Moisturizing Gel ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวเนื้อเจลใส ที่ทาแล้วรู้สึกเย็นสบาย ซึมง่าย ไม่เหนียวเหนอะหนะ ในขวดสีน้ำเงินเหลือง สามารถทาได้ทั้งผิวหน้าและผิวกาย แถมยังใช้ได้ทุกฤดูกาล มีส่วนผสมของ NP-CERAPHILIC 1.5 เป็นเซราไมด์ในรูปแบบไลโปโซม ด้วยเทคโนโลยี Encapsulation ที่บรรจุเซราไมด์ 3 หรือ Ceramide NP และ PS-203R (synthetic ceramide) ช่วยให้ผิวนุ่มทันทีหลังทา ไม่ต้องรอนาน พร้อมปกป้องให้ผิว คงความชุ่มชื่นได้ยาวนานถึง 4 ชั่วโมงและลดการสูญเสียน้ำออกจากผิว ลดปัญหาอาการคันจากการขาดเซรามายด์ นอกจากนี้ยังมีส่วนผสมจากธรรมชาติถึง 6 ชนิด ในการลดอักเสบ การระคายเคือง และเสริมสมดุลให้กับผิว ลดการสะสมของเม็ดสีผิวหนึ่ง ในสาเหตุของปัญหาความหมองคล้ำไปพร้อมกันด้วย เรียกว่า รับจบ คุ้มสุดในขวดเดียวจริง ๆ

หากคุณแม่ต้องการศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม หรือสนใจสั่งซื้อสามารถติดต่อได้ที่

Tags

โรงเรียนนนทบุรีมอนเตสซอรี่

โรงเรียนนนทบุรีมอนเตสซอรี่ มอนเตสซอรี่แสนสุขที่ทุกการเรียนรู้โอบกอดด้วยธรรมชาติ

แม้พื้นที่สีเขียวในอำเภอบางใหญ่จะเริ่มหายไป แต่ในบางใหญ่ซิตี้นั้นยังคงมี ‘ศูนย์การเรียนรู้เชิงเกษตร’ ที่เปิดโอกาสให้เด็ก ๆ ได้มาเรียนรู้ธรรมชาติผ่านการลงมือทำ  จนในที่สุดก็พัฒนามาเป็น “โรงเรียนนนทบุรีมอนเทสซอรี” โรงเรียนเล็ก ๆ ที่เด็ก ๆ ได้เรียนรู้อย่างยิ่งใหญ่ด้วยสองมือ+หัวใจ อย่างปลอดภัย และใกล้ชิดกับธรรมชาติ

Get to know “Montessori” จริง ๆ แล้วคือเรื่องของวิชาการ

  1. หมวด Practical Life = ชีวิตประจำวันเหมือนที่บ้านเพื่อการพึ่งพาตนเอง
  2. หมวด Sensorial = ประสาทรับรู้ 5 ประเภท ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น สัมผัส เป็นหมวดงานที่เป็นพื้นฐาน ของสติปัญญา ที่จริงเป็นนามธรรมแต่ทำเป็นรูปธรรม – ให้เด็กๆสัมผัสได้ (เรียนรู้ได้) เป็นหมวดงานที่เป็นระบบระเบียบ ว่าด้วยเรื่องของลำดับและขั้นตอน ดังนั้นการจัดวางอุปกรณ์สำคัญนะคะ ต้องลำดับ บน – ลง – ล่าง และ ง่าย – ไป – ยาก
  3. หมวดภาษา (Language) ประกอบด้วย 3 หมวดงานคือ ภาษาพูด ภาษาเขียน ภาษาอ่าน โดยเด็กสามารถจำสัญลักษณ์และเสียงได้  โดยมีเทคนิค 3 ขั้นตอน  คือ 1. ขั้นแนะนำ 2.  ฝึกหัดปฏิบัติ  3.  ให้เด็กพูด

หมวดคณิตศาสตร์ สัญลักษณ 0-9 และปริมาณ 1-10 | การนับต่อเนื่อง 1-1000 รู้ปริมาณและคุณภาพ | การนับรูปร่างรูปทรง  การนับตู้โซ่ | การจำขึ้นใจ โดยจำผลขององค์ประกอบตัวเลขที่สำคัญของผลบวก  ผลลบ  ผลคูณ  ผลหาร | หนทางสู่นามธรรม

Practical Lif
Sensorial
  • กิจกรรมถือเป็นส่วนสำคัญ ที่เด็กเล็กจะเรียนด้วยร่างกายทั้งหมด โดยเน้นทางด้านการฝึกฝนทางประสาทสัมผัส กิจกรรม ทุกงานที่เด็กทำจะต้องมีความหมาย
  • เด็กจะได้เรียนรู้ด้วยตัวเอง จากการใช้สื่อและอุปกรณ์ต่างๆ ที่จับต้องได้ทำให้เด็กๆ เข้าใจ
  • เด็กจะรู้สึกมีอิสระในการหยิบจับอุปกรณ์ที่เขาสนใจมาทำ – หากทำไม่ได้ เด็กจะนำไปเก็บและหยิบอุปกรณ์ชิ้นอื่นมาแทน (เป็นไปตามพัฒนาการการเรียนรู้ของเด็ก)
  • FREEDOM WITHIN LIMIT อิสระภายใต้กฎเกณฑ์ เด็กๆสามารถเลือกกิจกรรมได้ตามใจ แต่ต้องไม่รบกวนผู้อื่นขณะทำงาน เล่นเสร็จแล้วต้องเก็บอย่างเรียบร้อย (พร้อมให้คนอื่นใช้งานต่อ) เป็นต้น
  • คุณครูต้องเข้าใจอุปกรณ์มอนเตสซอรี่อย่างทะลุปรุโปร่งจึงจะถ่ายทอดให้เด็กๆลงมือทำ (จนเกิดเป็นความรู้) เพราะของเล่น คือ “ความรู้” (พัฒนา concept จากรูปธรรม ไปสู่ นามธรรม) และ คุณครูจะต้องนำเสนอบทเรียนอย่างละเอียดก่อนทุกครั้ง
  • มอนเตสซอรี่ต้องสอนเป็นรายบุคคล (เป็นกลุ่มเฉพาะบางเรื่อง)
  • ชั้นเรียนคละอายุ ให้ช่วงอายุห่างกันประมาณ 3 ปี มีทั้งเด็กที่อายุมากกว่า เท่ากัน และน้อยกว่า เรียนอยู่ในกลุ่มเดียวกัน จุดประสงค์เพื่อให้เด็กๆช่วยเหลือกัน ไม่มีการแข่งขันกันในห้องเรียน
อุปกรณ์จะจัดวางให้นักเรียนเลือกทำงานได้สะดวกและปลอดภัย

Well Growing up เติบโตสมวัยอย่างมีความสุข + บรรลุศักยภาพ

หลังจากช่วงโควิด-19 จะเห็นได้ชัดว่าเด็กๆ เจเนอเรชั่นอัลฟ่า ขาดทักษะการเคลื่อนไหว + สัมผัส และภาษา

ช่วงเช้าก่อนเข้าเรียนเด็กๆ ส่วนใหญ่จะได้เล่นอิสระที่สนาม ซึ่งมีทั้งบ่อทราย ศาลาทรงสวย อุโมงค์ บ้านต้นไม้ให้เด็กๆปีนป่าย กล้ามเนื้อมัดใหญ่ได้ทำงานหนัก จัดเต็มแน่นอน!

  • ยิ่งของเล่นน้อยชิ้น / ไม่สำเร็จรูปมากเท่าไหร่ ยิ่งทำให้เด็ก ๆเกิดความคิด + จินตนาการ + พัฒนา sensorial ด้านต่างๆ และยังทำให้เด็กๆมีความอดทนมากขึ้นด้วยนะคะ (EF)
  • โรงเรียน นนทบุรี มอนเตสซอรี่ จัดการเรียนการสอนเป็นรูปแบบ “มอนเตสซอรี่ 100%”
  • คุณครูที่นี่ เรียนจบด้านหลักสูตร Montessori ทั้งหมด (สาขาเฉพาะทาง) และทางโรงเรียนจำกัดจำนวนนักเรียนเพราะ Montessori คือการดูแลนักเรียนเป็นรายบุคคลค่ะ
ดอกไม้เป็นของเล่นของเด็กๆเช่นกันค่ะ
ทุกอย่างสร้างได้ด้วยมือเรา
เรือนสัตว์ปีกค่ะ

3-hour work cycle ของเด็กๆ อายุระหว่าง 3 – 6 ปี

  • เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวัน ฝึกกำกับตัวเอง ควบคุมการเคลื่อนไหว การใช้งาน (มือ และ ตา ประสาน) เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อม
  • ทุกกิจกรรม จะได้รับการนำเสนองานอย่างละเอียดก่อนทุกครั้ง และเมื่อเด็กๆชำนาญแล้ว อุปกรณ์ / กิจกรรมเดิม  + จะเพิ่มขั้นตอนให้ซับซ้อนมากขึ้น เด็ก ๆ จะได้เรียนรู้ เรื่องใหม่ วิธีการใหม่ ๆ และคำศัพท์ใหม่ๆ
  • ทุกกิจกรรม “มีจุดมุ่งหมายในการเรียนรู้อย่างชัดเจน” ว่ากิจกรรม อุปกรณ์นี้ จะสอนเรื่องอะไร
  • กิจกรรมมีทั้งสิ้น 4 หมวด ได้แก่ 1. Sensorial + Cultural 2. Languages ( Eng / TH) 3. Practical Life + Arts 4. Math
  • น้องเล็ก มักจะเลือกกิจกรรมในหมวด Practical Life + Languages
  • เด็กโต มักจะเลือกกิจกรรมในหมวด Math + Languages ซึ่งสำหรับเด็กโต จะต้องเลือก 6 กิจกรรมที่ต้องทำให้สำเร็จ / แต่ถ้าทำไม่ได้ – จะมาหาสาเหตุ และ ปรับแก้กันไปค่ะ
  • เด็กๆ จะรู้จักคำศัพท์และอุปกรณ์ทุกชิ้นที่ใช้งาน
  • คุณครู และ นักเรียน จะใช้ภาษาอังกฤษในห้องเรียนเป็นหลัก + สอนภาษาไทยเสริมด้วยนะคะ ทั้งอ่าน และ เขียน ดังนั้นครอบครัวไหนอยากให้เด็กๆ เรียนต่อโรงเรียนไทยก็ไม่มีปัญหาค่ะ

ระหว่างนี้ เด็ก ๆ จะทราบดีว่าช่วงเวลา snack เริ่มตั้งแต่ 9.00 – 10.30 น. แต่ละคนจะดูแลตนเอง โดยมีข้อตกลงไว้ว่า

1. สลับกันไปทาน
2. เลือกได้เองตามใจชอบ
3. ทานเป็นที่เท่านั้น ห้ามเดิน
4. ทานเสร็จแยกเก็บอุปกรณ์ให้เป็นที่
5. เตรียมพื้นที่ให้พร้อมสำหรับเพื่อนคนต่อไป ..เชื่อไหมคะ เด็กๆ follow the rules กันเองอย่างเป็นธรรมชาติ

Morning เด็กเล็กฝึกการเคลื่อนไหว ทรงตัว movement control ทุกวัน
ของว่างต้องทานเป็นที่
ใกล้เวลาอาหารเที่ยงจะมีเวรจัดโต๊ะอาหาร (สลับกัน)

ชั้นประถมศึกษา

  • เมื่อขยับขึ้นมาเป็นชั้นประถมศึกษา นักเรียนจะเรียนรู้เป็นองค์รวม เป็น COSMIC EDUCATION
  • Cosmic Education หรือ การศึกษาจักรวาล เป็นการเรียนรู้เกี่ยวกับจักรวาลทั้งหมด โลก / สิ่งมีชีวิต / มนุษย์ / ภาษา / คณิตศาสตร์ เกิดมาได้อย่างไร?  เพื่อให้เด็กๆ ได้เห็นการเชื่อมโยงกันของทุกสิ่ง ไม่เรียนวิชาใดวิชาหนึ่งแยกจากกัน เพราะในชีวิตจริงเราไม่สามารถแยกได้ว่าเราจะนำวิชาอะไรไปใช้ในการดำเนินชีวิต แต่เป็นการใช้ความรู้ทั้งหมดที่มีมาบูรณาการร่วมกัน
  • เด็กๆ จะได้ทำ Project approach เพื่อศึกษาและเรียนรู้ด้วยตนเอง ซึ่งมักจะเป็นเรื่องที่เรียนมาแล้ว แต่ยังมีคำถาม – สงสัย คุณครูจะดึงสิ่งนั้นมาจุดประกาย และให้เด็กๆศึกษา เรียนรู้ และ หาคำตอบค่ะ
  • เด็กๆ จะเลือกทำกิจกรรมประมาณ 9 – 10 งาน ซึ่งทุกคนจะมีตารางเวลา + วางแผนการเรียนรู้ของตัวเองทุกวันจันทร์
  • และมาตรวจสอบกันในแต่ละวันด้วยว่า กิจกรรมนี้ เริ่มเวลา.. เสร็จเวลา.. ข้อมูลนี้คุณครูจะนำมา consult กับนักเรียนในวันศุกร์เป็นรายบุคคลค่ะ
  • สื่อสารกันเป็นภาษาอังกฤษ 100% (ถึงแม้จะคุยกันเองก็ตาม)

การพักเบรคช่วงเช้าของพี่ๆ จะแตกต่างจากน้องๆ นะคะ ของชั้นประถม – เด็กๆจะแบ่งหน้าที่กัน และ มีเวรจัดโต๊ะอาหาร รวมถึง ทานอาหารพร้อมกัน ลุกพร้อมกัน ฝึกมารยาทบนโต๊ะอาหาร การเคลื่อนไหว ควบคุมตนเอง และ ฝึกการอดทนรอคอยค่ะ

Biology
Robot พร้อมมาก

All day activities

ช่วงบ่ายของแต่ละวันก็ยังคงมีกิจกรรมเปิดประสบการณ์เด็กๆ

  • น้องอนุบาล – การนอนกลางวันเป็นเรื่องเฉพาะบุคคลค่ะ หากคนไหนง่วง / นักเรียนใหม่ต้องการนอนกลางวัน สามารถนอนที่โรงเรียนได้ แต่เด็กๆส่วนใหญ่จะไม่นอนกลางวัน
  • กิจกรรมช่วงบ่ายของน้องอนุบาล Monday – Physical / Tuesday – Cooking / Wednesday – Creative Art / Thursday – Farming / Friday – STEM
  • กิจกรรมช่วงบ่ายของพี่ประถม Monday – ดนตรี (ฝึกซ้อม Band) / Tuesday – ภาษาไทย / Wednesday – Creative Art / Thursday – Coding / Friday – Consult (ให้คำปรึกษารายบุคคล คุณครู – นักเรียน)

พิเศษ วันอังคาร หรือ วันพุธ ช่วงบ่าย หากพี่ๆอยู่ในช่วงทำโปรเจค – จะทำโปรเจค ค่ะ

เหล่านักเกษตรตัวน้อยในสมาร์ทฟาร์ม
Thursday afternoon พี่ ๆ เรียน Coding
ทุกคนมีศิลปะอยู่ในหัวใจ

Mommy Love This! ถูกใจแม่

แม้จะโรงเรียนจะเปิดมาเพียง 1 ปีครึ่ง แต่ก็เป็นที่ “บอกต่อ” กันปากต่อปากจนปัจจุบันมีครอบครัวมาลงทะเบียนต่อคิวเป็น waiting list จำนวนมาก เพราะอะไรหรอคะ?

เพราะการศึกษาที่ดีที่สุด – ไม่ใช่แค่หลักสูตร วิชาการ หรือ approach ต่างๆที่โรงเรียนใช้ – แต่คือ “สมดุลของทุกคน” พ่อแม่ต้อง happy + เด็กๆต้อง happy + โรงเรียนต้อง happy โรงเรียนนนทบุรีมอนเตสซอรี่จึงให้ความสำคัญกับครอบครัวไม่แพ้กับนักเรียนเลยค่ะ

  • Strong Community
    • กิจกรรม – ผู้ปกครอง run ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น งานกีฬาสี วันสงกรานต์ วันฮัลโลวีน International Day โดยโรงเรียนจะแจ้งกิจกรรมให้ผู้ปกครองได้ทราบ และกลุ่มผู้ปกครองจะหารือกันต่อค่ะ
    • Monthly market ตลาดนัดวันจันทร์ (เดือนละครั้ง) ที่ให้เด็กๆ + ผู้ปกครองได้แสดงฝีมือกัน เช่น ทำอาหารขาย / สินค้าแฮนด์เมดต่างๆ (บางครั้งก็มีธีมนะคะ – ทุกชิ้น 20 บาท) เพื่อฝึกการเป็นผู้ประกอบการ คิด วางแผน จัดการ และ แก้ไขปัญหาเฉพาะหน้ากัน และโรงเรียนก็ยังนำสินค้าเกษตรออร์แกนิค + ไข่เป็ด cage free มาจำหน่ายด้วยค่ะ

(ขอแอบบอกว่า ผักออร์แกนิคที่นี่สด สะอาด และไม่ขมเลยนะคะ!)

  • ห้องเรียนพ่อแม่ – โรงเรียนเชิญผู้เชี่ยวชาญจากสาขาต่างๆ มาเป็นวิทยากร เพื่อให้ความรู้หรือจัด workshop สุดสร้างสรรค์เพื่อผ่อนคลายและสานความสัมพันธ์บ้านและโรงเรียนร่วมกัน
  • เด็กๆเรียนรู้และเติบโตอย่างมีความสุข 100%
    • เด็กๆอยากมาโรงเรียนทุกวัน (แม้ในวันหยุด) และไม่อยากกลับบ้าน
    • พัฒนาการทุกด้านเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด
    • ระบบมอนเตสซอรี่จะทำให้เรารู้จักเด็กๆได้ดียิ่งขึ้น ทั้งในด้านความถนัด ความชอบ หรือสิ่งที่ต้องพัฒนาเพิ่มเติม เพราะมอนเตสซอรี่เป็น individual curriculum ค่ะ
  • After School ก็มีนะคะ – เป็นคุณครู outsource เพื่อรองรับผู้ปกครองที่ไม่สามารถมารับเด็กๆกลับบ้านหลังเลิกเรียนได้ทันที Monday – Taekwondo / Tuesday – Chinese / Wednesday – Thursday – Creative Art / Friday – Tennis
  • Nature embraced

เนื่องจากที่นี่เป็นพื้นที่ ศูนย์การเรียนรู้เชิงเกษตร มาก่อนจึงโอบล้อมไปด้วยแปลงผักออร์แกนิค สวนเกษตรผสมผสาน คูน้ำ และนาผืนย่อมๆ

  • เด็กๆ จะเติบโตท่ามกลาง “สีเขียว” อย่างแท้จริง หากเราจะปลูกฝังให้เด็กๆรักษาธรรมชาติ ธรรมชาติต้อง “อยู่” ในชีวิตเด็กๆก่อนค่ะ
    • เรื่องอาหาร.. แน่นอนที่สุดค่ะ อาหารของทางโรงเรียนเป็น “ออร์แกนิค” จากสวน 100%
    • เมนูอาหารของโรงเรียนเปลี่ยนทุกเดือนค่ะ เพราะ run ตามรอบปลูก และบางส่วนเด็กๆก็ปลูกกันเอง ดีเลยค่ะเห็นถึง process ว่าผักสีเขียวที่เราทานนั้น – มาได้อย่างไร
    • food ไม่มี waste ที่นี่ เพราะเด็กๆจะแยกเศษอาหาร – นำไปเป็นอาหารสัตว์ ขยะก็นำไปทิ้งเอง ทำความสะอาดห้องกันเอง
  • ระบบแอพพลิเคชั่น Montessori Compass (บันทึกการเรียนรู้ของลูกๆ ที่คุณพ่อคุณแม่สามารถคลิกเข้าไปดูได้)
    • ทุกวันศุกร์คุณครูจะสรุปว่าเด็กๆ เรียนอะไรไปบ้างแล้ว + comment
    • ตัวอย่างเช่น เด็กๆทำกิจกรรมนี้.. อุปกรณ์ชิ้นนี้มีจุดมุ่งหมายในการเรียนรู้เรื่องอะไร
    • รวมถึงรายงานความก้าวหน้า หรือ พัฒนาการใน ด้านพฤติกรรม / ปัญหา / สิ่งที่โดดเด่น / การทำงานในห้องเรียน / ทักษะสังคม / ความรับผิดชอบ เป็นต้นค่ะ
มุมพักผ่อนน่ารัก ๆ ในโรงเรียน
ฟังบรีฟกันอย่างตั้งใจ

รายละเอียดค่าธรรมเนียมการศึกษา (ปี 2567)
ค่าแรกเข้า One time Payment 30,000 บาท
ค่าเทอม เทอม ละ 56,000 บาท
(3 ภาคเรียน)
ค่าเทอมรายปี 168,000 บาท /ปี
รายละเอียดเพิ่มเติม – กรุณาติดต่อสอบถามโรงเรียนโดยตรงค่ะ

Westgate Montessori
(โรงเรียน นนทบุรี มอนเตสซอรี่)
79/9 Moo.6 Saothonghin
Bangyai Nonthaburi 11140
Tel : +66807737703
Email : [email protected]

Editor : แม่พลอยผิง

ภาพ : ฤทธิรงค์ จันทองสุข

BABABOO จัดงานเปิดตัวคอกกั้นเด็กที่ช่วยเสริมสร้างพัฒนาการสำหรับเด็ก 0-8 ปี

ร่วมสัมผัสงานดีไซน์ที่หลากหลาย ต่อยอดการเรียนรู้และเสริมสร้างพัฒนาการไม่รู้จบ ณ ใจกลางกรุงเทพมหานคร พร้อมพูดคุยกับ คุณก้อย ญาภัทร สรรพวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โฮโยยูไนท์กรุ๊ป จำกัด ถึงแนวคิดและการต่อยอดความสำเร็จในครั้งนี้

BABABOO ได้จัดงานเปิดตัวคอกกั้นเด็กที่ปรับเปลี่ยนได้พร้อมเคียงข้างทุกพัฒนาการของลูกน้อย             ด้วยคอนเซปต์​ “Limitless play space for every milestones” ในงาน BABABOO Grand Opening Event พร้อมนำเสนอแนวคิดของการออกแบบคอกกั้นที่ไม่ได้ตอบโจทย์เพียงแค่เรื่องของความปลอดภัยต่อลูกน้อยเท่านั้น แต่ยังช่วยเสริมสร้างพัฒนาการและเป็นพื้นที่การเรียนรู้ ที่เต็มไปด้วยความสนุกในทุกก้าวเดินของลูกน้อย กับฟังก์ชันที่ปรับเปลี่ยนได้และใช่สำหรับ “ทุกคนในครอบครัว” โดยงานเปิดตัวครั้งนี้จัดขึ้นในย่านธุรกิจภายใต้บรรยากาศสุดอบอุ่นสำหรับทุกคนในครอบครัว

สำหรับการเปิดตัว BABABOO ในครั้งนี้ เป็นการต่อยอดความสำเร็จจาก HOYO ซึ่งเป็นแบรนด์แม่ของ BABABOO ที่เคยครองใจคุณพ่อคุณแม่มือใหม่จากทั่วประเทศ ด้วยรางวัลการันตีมากกว่า 10 รางวัล และเป็นคอกกั้นเด็กอันดับ 1 ในใจของหลายๆคน จากความสำเร็จในแบรนด์แม่ ถ่ายทอดสู่แบรนด์ลูกคนใหม่ BABABOO แบรนด์ที่น่าจับตามองที่สุดด้วยรางวัล “Rising Star” จาก Amarin Baby & Kids Award 2024

ด้วยความตั้งใจอยากพัฒนาและยกระดับมาตรฐานอุตสาหกรรมสินค้าแม่และเด็กของคนไทย จึงมีแนวคิดอยากสร้างสรรค์สินค้าที่มีความแตกต่างทั้งทางดีไซน์ ฟังก์ชั่นการใช้งาน ความคุ้มค่า จึงเกิดการพัฒนาแบรนด์ BABABOO ขึ้น คอกกั้นเด็ก BABABOO ยังคงมีส่วนต่อการสร้างประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมที่ทั้งสนุกและเสริมสร้างจินตนาการได้ไม่รู้จบ ด้วยการปรับเปลี่ยนการใช้งานได้มากกว่า 10 แบบ รองรับการใช้งานได้ตั้งแต่เด็กแรกเกิดจนถึงอายุ 8 ปี คอกกั้นเด็ก BABABOO มาพร้อมจุดเด่นของคอนเซ็ปต์ Limitless Play Space ที่ปรับเปลี่ยนได้อย่างสร้างสรรค์ไร้ขีดจำกัด เสริมสร้างจินตนาการ พร้อม Support Every 1st Milestone ด้วยเบาะที่นุ่มพอดี ช่วยซัพพอร์ทในทุก พัฒนาการให้เด็กได้สนุกอย่างเต็มที่ ล้มได้ไม่ต้องกลัวเจ็บ

นอกจากนี้ทาง BABABOO ยังให้ความสำคัญกับการเลือกใช้วัสดุที่มีคุณภาพ ด้วย ผ้าหนัง PU เกรดที่ดีที่สุดนำเข้าจากประเทศเกาหลีที่ปลอดสารอันตรายต่อเด็ก พร้อมสัมผัสเนียนนุ่ม ไม่มีกลิ่น และคุณสมบัติกันน้ำที่ช่วยให้ทำความสะอาดได้ง่าย การันตีด้วยมาตรฐานการตรวจสอบจากยุโรปและอเมริกา EPE FOAM โฟมอัด อากาศที่มีความหนาแน่นสูง ยืนหยุ่น พร้อมชั้นดูดซับแรงกระแทกที่ให้ประสิทธิภาพที่เหนือกว่า ซิป Nylon ที่เชื่อมในแต่ละจุดมีความทนทาน ปลอดภัย ไม่คม รองรับน้ำหนักได้มากถึง 90 กิโลกรัม และ Velcro Patch วัสดุที่มีความแข็งแรง ทนทาน ผ่านการทดสอบด้วยวิธีดึงเข้า-ออกมากกว่า 5,000 ครั้ง ให้ความเหนียวเพื่อการใช้งานในระยะยาว และปลอดภัยตามมาตรฐานระดับโลก การันตีด้วยผลทดสอบจาก Standard 100 by Oeko-Tex : Product class 1

สำหรับงาน BABABOO : Grand Opening Event นอกจากผู้ร่วมงานจะทำความรู้จักและเห็นสินค้าจริงของคอกกั้นเด็กเสริมพัฒนาการของ BABABOO แล้ว ยังมีกิจกรรม Mommy Talk Session ที่ได้พูดคุยกับ คุณก้อย ญาภัทร สรรพวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โฮโยยูไนท์กรุ๊ป จำกัด และแขกรับเชิญพิเศษ คุณหมอจอย พญ. ลลิต ลีลาทิพย์กุล กุมารแพทย์เชี่ยวชาญฯ จากเพจ momjoychannel และ คุณน้ำหวาน วาวี จากเพจ Happy Mommy Diary รวมถึงการสาธิตวิธีการใช้งาน พร้อมให้ผู้เข้าร่วมได้สัมผัสและทดลองใช้สินค้าจริง โดยงานจัดขึ้นในวันอังคารที่ 26 พฤศจิกายน 2567 ที่ S31 Sukhumvit Hotel ตั้งแต่เวลา 14.00 – 17.30 น.

ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่

Facebook : Bababoo

Danone

ดานอน ประเทศไทย รวมพลังรณรงค์ต่อต้าน ภาวะโลหิตจาง จากการขาดธาตุเหล็ก ในงานแถลงข่าว “เด็กไทยฉลาด ต้องไม่ขาดธาตุเหล็ก”

เผยข้อมูลเชิงลึกระบุ เด็กไทยมากกว่า 1 ใน 3 เสี่ยงต่อภาวะโลหิตจาง
ย้ำเด็กไทยมีความเสี่ยงในทุกพื้นที่ ทั้งกรุงเทพและต่างจังหวัด

กรุงเทพมหานคร. 6 ธันวาคม 2567 – ดานอน ประเทศไทย ผู้นำระดับโลกด้านอาหารและเครื่องดื่มสุขภาพ จัดงานแถลงข่าวในวันรณรงค์ภาวะขาดธาตุเหล็กโลก และเปิดตัวงาน “เด็กไทยฉลาด ต้องไม่ขาดธาตุเหล็ก” เพื่อสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับภาวะโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็ก (IDA) และเน้นย้ำถึงความจำเป็นเร่งด่วนของการตรวจพบภาวะโลหิตจางตั้งแต่เนิ่นๆ รวมถึงการดูแลด้านโภชนาการในเชิงรุกเพื่อลดความเสี่ยงภาวะดังกล่าว ที่ผ่านมาดานอนได้ร่วมมือกับบุคลากรทางการแพทย์และชุมชน และยังคงเดินหน้าเพื่อพัฒนางานด้านสุขภาพและโภชนาการทั่วประเทศผ่านการส่งเสริมการตรวจคัดกรองความเสี่ยงภาวะดังกล่าวตั้งแต่เนิ่นๆ และการสนับสนุนโภชนาการเสริมอาหาร ซึ่งสะท้อนถึงพันธกิจของดานอนในการส่งมอบสุขภาพที่ดีด้วยอาหารให้กับผู้คนให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้  ดานอนสนับสนุนให้การตรวจคัดกรองภาวะโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็กเป็นการตรวจภาคบังคับเพื่อให้สามารถรักษาได้เร็วและได้ผลดียิ่งขึ้น โดยงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการรณรงค์ของดานอนเพื่อต่อสู้กับภาวะโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็กในเด็ก และได้รับเกียรติจาก แพทย์หญิงดวงพร ปิณจีเสคิกุล รองผู้อำนวยการสำนักอนามัย กรุงเทพมหานคร และ นางสาว ประพิมพ์พรรณ สุวรรณกูฏ ผู้อำนวยการกลุ่มการพัฒนาเด็กปฐมวัย กรมกิจการเด็กและเยาวชน กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นประธานเปิดงาน ภายในงานมีการเสวนาโดยกุมารแพทย์ นักโภชนาการจากดานอน ประเทศไทย และตัวแทนคุณแม่เซเลบริตี้ มาร่วมพูดคุยเกี่ยวกับผลการศึกษาล่าสุดเกี่ยวกับภาวะโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็ก ความสำคัญของการตรวจคัดกรองตั้งแต่เนิ่นๆ และการเสริมธาตุเหล็กผ่านอาหารที่รับประทานในแต่ละวัน

รศ. นพ. พงศ์ศักดิ์ น้อยพยัคฆ์ จากคณะแพทยศาสตร์ วชิรพยาบาล ย้ำว่า “ภาวะโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็กสามารถส่งผลกระทบต่อการเจริญเติบโต พัฒนาการทางร่างกาย และพัฒนาการทางสมอง รวมถึงการทำงานของร่างกายและสมองที่หากการขาดมีความรุนแรงหรือขาดอยู่ในระยะเวลานาน อาจะส่งผลเสียอย่างถาวรได้ ภาวะโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็ก อาจไม่สามารถสังเกตเห็นได้ด้วยตาเปล่า ดังนั้นการตรวจคัดกรองแต่เนิ่นๆ จึงมีความสำคัญอย่างมากในการตรวจพบและจัดการกับภาวะนี้ตั้งแต่ระยะแรกๆ”  นายธีรชัย ว่องเมทินี หัวหน้าฝ่ายออกแบบโภชนาการภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จากดานอน ประเทศไทย เสริมว่า “ในการต่อสู้กับภาวะโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็ก เราจำเป็นต้องเพิ่มอาหารที่มีธาตุเหล็กสูง เช่น เนื้อสัตว์ ตับ ไข่ ผักใบเขียว หรืออาหารเสริมธาตุเหล็ก เช่น นมเสริมธาตุเหล็กและธัญพืชเข้าไปในอาหารประจำวันของเด็กๆ และจับคู่อาหารเหล่านี้เข้ากับอาหารที่มีวิตามินซีสูงจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดูดซึมธาตุเหล็กของร่างกายได้อย่างมาก”

ดานอน ประเทศไทย ยืนยันความมุ่งมั่นในการดำเนินงานระยะยาวเพื่อแก้ไขปัญหาภาวะโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็ก โดยนอกจากการตรวจคัดกรองความเสี่ยงภาวะโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็กแบบไม่ต้องเจาะเลือดที่สถานสงเคราะห์เด็กอ่อนรังสิตภายใต้การดูแลของกรมกิจการเด็กและเยาวชนเมื่อเดือนกรกฎาคม 2567 และการมอบเครื่องมือสำหรับตรวจคัดกรองความเสี่ยงภาวะโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็กแบบไม่ต้องเจาะเลือดให้แก่สำนักอนามัย กรุงเทพมหานครเมื่อเดือนตุลาคม 2567 เพื่อใช้ตรวจเด็กๆ ที่ศูนย์บริการสาธารณสุข 6 แห่งในกรุงเทพมหานครด้วยเป้าหมาย 3,000 คนแล้ว

ดานอน ประเทศไทยยังมีแผนขยายโครงการสร้างความตระหนักรู้และการตรวจคัดกรองความเสี่ยงภาวะโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็กไปยังสถานสงเคราะห์อื่นๆ ภายใต้กรมกิจการเด็กและเยาวชน รวมทั้งศูนย์บริการสาธารณสุขของกรุงเทพมหานคร พร้อมผนึกกำลังกับพันธมิตรในกลุ่มค้าปลีก เช่น บิ๊กซี ซีเจ และ พี.วาย.กิจศิริ จำกัด เพื่อจัดบริการตรวจคัดกรองความเสี่ยงภาวะดังกล่าวด้วยเครื่องมือแบบไม่มีการเจาะเลือด เพื่อให้เด็กในจังหวัดหลักทั่วประเทศสามารถเข้าถึงบริการได้สะดวกยิ่งขึ้น ด้วยการสนับสนุนจากพันธมิตรเหล่านี้ ดานอนตั้งเป้าขยายการเข้าถึงการตรวจคัดกรองความเสี่ยงภาวะโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็กให้กว้างขวางยิ่งขึ้น โดยจะดำเนินการอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสุขภาพเด็กทั่วประเทศ

ภายในงาน แพทริเซีย รังสีสิงห์พิพัฒน์ เซเลบริตี้ชื่อดังที่กำลังตั้งครรภ์ลูกคนที่สอง กล่าวว่า “ความตั้งใจของคุณแม่ทุกคนคือดูแลเรื่องโภชนาการของลูกให้ดีที่สุด แต่บางครั้งเราก็ต้องการความรู้เพิ่มเติมค่ะ” นอกจากนี้ แพทริเซียยังได้แบ่งปันเคล็ดลับการเพิ่มอาหารที่มีธาตุเหล็กในมื้ออาหารของเด็ก เช่น เนื้อแดง ถั่ว ผักโขม และการรับประทานคู่กับอาหารที่มีวิตามินซีเพื่อช่วยการดูดซึมธาตุเหล็ก หรือการดื่มนมเสริมธาตุเหล็กเพื่อให้ได้รับธาตุเหล็กอย่างเพียงพอ “เด็กๆ บางครั้งเขาก็เลือกรับประทาน การรับประทานอาหารที่เสริมธาตุเหล็กอย่างการดื่มนมเสริมธาตุเหล็กเป็นอีกทางเลือกหนึ่งให้แน่ใจว่าเราได้รับโภชนาการที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายของเขาค่ะ”

เภสัชกรหญิง วิรัชดา สุทธยาคม  ผู้อำนวยการด้านโภชนาการเพื่อสุขภาพ ดานอน ประเทศไทย และสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว  กล่าวว่า “ดานอนได้สนับสนุนการสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับภาวะโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็ก โดยเริ่มจากการสนับสนุนการศึกษาวิจัยความชุกของภาวะความเสี่ยงต่อโรคโลหิตจางในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย ให้ความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับภาวะดังกล่าวกับบุคลากรทางการแพทย์นับจนวันนี้ได้รวมแล้วกว่า 9,000 คน และสนับสนุนการตรวจคัดกรองแต่เนิ่นๆ  นอกจากนี้ ยังเน้นย้ำถึงความทุ่มเทของดานอนในการปฏิบัติงานให้เป็นไปตามกรอบการทำงานเพื่อความยั่งยืนที่เรียกว่า Danone Impact Journey ซึ่งหัวข้อด้านสุขภาพเป็นหนึ่งในนั้น โดยมีใจความหลักคือโครงการ 1,000 วันแรกที่ดานอนสนับสนุนการให้ความสำคัญแก่โภชนาการของเด็กตั้งแต่อยู่ในท้องแม่จนถึงอายุครบ 2 ปีที่ลืมตาดูโลก เพื่อสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสุขภาพและพัฒนาการของเด็ก สอดคล้องกับพันธกิจในการสร้างอนาคตที่มีสุขภาพดียิ่งขึ้นให้กับครอบครัวไทย”

นอกจากนี้ ดานอน ยังได้ร่วมมือกับเครือข่ายโภชนาการช่วงแรกของชีวิต…ประเทศไทย (Early Life Nutrition Network) จัดงานประชุมวิชาการขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างองค์ความรู้เกี่ยวกับภาวะโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็ก (Iron Deficiency Anemia, IDA) ให้บุคลากรทางการแพทย์ผู้ที่เกี่ยวข้องในการดูแลหญิงตั้งครรภ์ ทารก และเด็กเล็ก ได้ตระหนักถึงความสำคัญของภาวะโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็ก ผลกระทบต่อสุขภาพ แนวทางการป้องกัน และการให้คำแนะนำการดูแลด้านโภชนาการที่เหมาะสมเพื่อลดความเสี่ยงจากการขาดธาตุเหล็ก การรวมตัวของผู้เชี่ยวชาญและผู้ปฏิบัติงานในครั้งนี้จะนำไปสู่ความร่วมมือ การแลกเปลี่ยนผลการวิจัยล่าสุด และการพัฒนากลยุทธ์ในการแก้ไขปัญหาภาวะโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็ก เพื่อยกระดับผลลัพธ์ทางสุขภาพของแม่และเด็ก โดยมีวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิ 4 ท่าน ได้แก่ ศาสตราจารย์คลินิกเกียรติคุณ นายแพทย์วิทยา ถิฐาพันธ์ ประธานเครือข่ายโภชนาการช่วงแรกของชีวิต…ประเทศไทย ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์ไกรสิทธิ์ ตันติศิรินทร์ ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์สมาคมโภชนาการแห่งประเทศไทย ในพระราชูปถัมภ์ กรมสมเด็จพระเทพรัตนสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี อดีตผู้อำนวยการฝ่ายอาหารและโภชนาการของ FAO แห่งองค์การสหประชาชาติ และอดีตสมาชิกวุฒิสภาประเทศไทย รศ.พญ.สุชาอร แสงนิพันธ์กูล สาขาวิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น และ รศ.พญ. สุชยา ลือวรรณ ภาควิชาสูติศาสตร์และนรีเวชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

Tags

SBS โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยรังสิต รร.ทวิภาษา “วิชาการ” ก้าวหน้าไปพร้อมกับ “สุขภาวะ”

วันนี้ทีมแม่ ABK จะมาแนะนำให้คุณพ่อคุณแม่รู้จักกับ สุดยอดโรงเรียนทวิภาษาในย่านรังสิต Satit Bilingual School of Rangsit University (SBS) หรือ  โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยรังสิต จุดเริ่มต้นของการสร้างมนุษย์ที่สมบูรณ์ สมดุลไปด้วยความสามารถ สติปัญญา ความฉลาดทางอารมณ์ ที่ให้ความสำคัญกับ Well being

K3 กำลังต่อชิ้นส่วนให้เป็นหุ่นยนต์ตาม Prototype ของ Teacher ค่ะ

ปีนป่ายเป็นเรื่องธรรมดา

เด็ก ๆ กำลังเรียนคณิตศาสตร์และกำลังทำให้ค่าของตัวเลขจับต้องได้ขึ้นมา

Teacher ปรับระดับลงมาให้เท่ากับความสูงของนักเรียน จะทำให้เด็ก ๆ รู้สึกอบอุ่นขึ้น

ปล่อยพลังในแบบ Tiger cubs

 

Learning Cultivation

หลักสูตรระดับ World class : IB + Cambridge | หลักสูตรแกนกลางกระทรวงศึกษาธิการ

IB “เพราะการถามคำถามที่ถูกต้องนั้นสำคัญพอ ๆ กับการค้นหาคำตอบ”

นักเรียน SBS อายุระหว่าง 3-12 ปี ใช้หลักสูตร International Baccalaureate Primary Years Programme (IBPYP) ที่เน้นการบ่มเพาะและพัฒนาเด็ก ๆ ให้เป็นผู้ที่มีความห่วงใยผู้อื่น + ใฝ่เรียนรู้ไปตลอดชีวิต

โดยเด็ก ๆ จะได้รับการสอนให้มีความคิดริเริ่ม มีความรับผิดชอบและเป็นเจ้าของการเรียนรู้ของตัวเอง

SBS จัดการเรียนรู้รูปแบบ Activity-based learning ซึ่งเด็ก ๆ จะลงมือปฏิบัติ สำรวจ ทดลอง = เกิดเป็นประสบการณ์ตรง

แต่ละคนจะมีความรู้ ความเข้าใจในแบบของตนเอง ( ซึ่งมีประสิทธิภาพมากกว่าการท่องจำ! )

ก่อน – ระหว่าง – หลัง การทำกิจกรรมคุณครูจะมีการตั้งคำถาม เพื่อกระตุ้นให้นักเรียนสงสัย ให้คิดและแสดงความคิดเห็น

เพื่อนำไปสู่การร่วมกันค้นหาคำตอบ ตอบข้อสงสัย ข้อสันนิษฐานที่พวกเราเองนี่แหละได้ตั้งกันไว้

การตั้งคำถามคือหัวใจหลักของ IB

เด็ก ๆ สามารถตั้งคำถามได้อย่างอิสระ จัดเป็นสิทธิและเสรีภาพทางความคิด

ในขณะเดียวกันเด็ก ๆ ก็ได้เรียนรู้และซึมซับวิธีการตั้งคำถามที่ถูกต้องจากคุณครูอยู่ตลอดเวลา และยังได้เห็นและฟังคำถามที่หลากหลายจากเพื่อนร่วมชั้นอีกด้วย ( ฝึกการเป็นผู้พูด – ผู้ฟังที่ดี )

กิจกรรมไม่ได้จบเพียงแค่การค้นหาคำตอบนะคะ ในทุก ๆ วันเด็ก ๆ จะได้เขียน “ Creative Reflection” หรือการสะท้อนคิดเชิงสร้างสรรค์

คุณครูจะกระตุ้นนักเรียนให้สะท้อนคิดด้วยวิธีที่หลากหลาย เช่น การใช้คำถาม ( power questions) ตลอดจนไปถึงการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น เพื่อให้นักเรียนได้ทบทวนความคิดตัวเอง สะท้อนคิดเพื่อเชื่อมโยง เพื่อให้นักเรียนได้นำความรู้ที่ได้ไปประยุกต์ใช้ในสถานการณ์ ปัญหาที่กำลังเกิดขึ้นในโลกปัจจุบัน

Activity-based learning พัฒนาทั้งตัวเองและสังคม เรียนรู้การทำงานคนเดียวและเป็นทีม

Teacher จะ assign งานที่เป็น handwriting และทบทวนเป็นเกมส์ใน seesaw

นักเรียน SBS กล้าแสดงออก แสดงความคิดเห็น ไม่หวั่นแม้จะต้องมาแก้โจทย์หน้าชั้นเรียน

 

สามารถกล่าวได้ว่า หลักสูตร IB PYP จะพัฒนาให้เด็ก ๆ

รู้ลึก – ในด้านที่ตนเองสนใจ

รู้รอบ – ในด้านอื่นๆที่สำคัญกับชีวิต

มีทักษะ Critical thinking (รู้จักคิด วิเคราะห์ มีวิจารณญาน)

มีทักษะในการค้นคว้าวิจัย

เรียนรู้ผ่านการลงมือทำกิจกรรมเพื่อเสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์ (Creativity) เพื่อเสริมสร้างสุขภาพที่ดี (Activity) และเพื่อเสริมสร้างการช่วยเหลือสังคม (Service)

 

Bilingual Programme

SBS เป็นโรงเรียนทวิภาษาแห่งเดียวในประเทศไทยที่ใช้หลักสูตร IB สำหรับนักเรียนที่มีอายุระหว่าง 3-12 ปี

ได้มาตรฐานการศึกษาทั้งในประเทศและในระดับ international

ทุกชั้นเรียนจะมีคุณครูไทย และ คุณครูต่างชาติคู่ชั้นกัน ตั้งแต่ preschool เลยนะคะ

ในคลาส ใช้ทั้งภาษาอังกฤษ และ ภาษาไทย “ ที่ไม่ใช่การแปลจากภาษาหนึ่ง ไปยังอีกภาษาหนึ่ง ” แต่เป็นการนำเสนอบทเรียนที่สอดคล้อง – ควบคู่กันไป

ดังนั้นการที่มีคุณครูประจำชั้น 2 ภาษา จะทำให้ เด็ก ๆ คุ้นเคยกับบทสนทนา การใช้ภาษาในบริบทต่างๆ + ความแตกต่างทางวัฒนธรรม สิ่งแวดล้อมเหล่านี้เองค่ะที่ทำให้เด็กๆ คุ้นชิน สนใจ และอยากเรียน – อยากรู้ กับ “ความหลากหลาย” และสามารถ switch ภาษาสลับไปมาได้ทันทีทันใด

ในด้านของสมอง การเรียน 2 ภาษา ไปพร้อมกันเลยตั้งแต่เล็ก ๆ จะทำให้เด็ก ๆ มีคลังคำศัพท์ที่มากขึ้นหลายเท่าตัว ใช้เยอะ ใช้บ่อยเท่าไหร่ – สมองก็ยิ่งแตกกิ่งก้านสาขาไปมากขึ้นเท่านั้น

ทุกชั้นเรียนจะมีครูไทยและครูต่างชาติเสมอ อบอุ่นแน่นอน

 

เมื่อพื้นฐานของเด็กๆ “แน่นไปด้วยความพร้อม”

การต่อยอดด้านวิชาการในระดับมัธยมศึกษาด้วย “Cambridge International Programme และ SBS Bilingual Programme” จึงเป็นเรื่องไม่ยาก เพราะนักเรียน SBS มีคาแรคเตอร์ พร้อมและอยากที่จะเรียนรู้ รักที่จะ challenge ตนเอง

Cambridge – Secondary School Programme

เตรียมก่อน พร้อมก่อน – เตรียมความพร้อมในการเลือกเส้นทางชีวิต / หนทางสู่มหาวิทยาลัยทั้งในและต่างประเทศ

นักเรียนอายุระหว่าง 11-14 ปี จะโฟกัสที่ Cambridge English Language / Cambridge Mathematics / Cambridge Computer Science / Cambridge Combined Sciences เป็นหลัก

จากนั้นจะเริ่ม Cambridge IGCSE course ไปจนจบ ม.ปลาย

Student-centered learning และ Hands-on Activity ยังคงเป็น approach หลักของนักเรียน

ไม่ว่าด้านวิชาการจะเข้มข้นแค่ไหนก็ตาม เพราะการให้นักเรียนเป็นผู้นำการเรียนรู้ + โดยใช้การลงมือทำ = นักเรียนจะเป็นเจ้าของการเรียนรู้อย่างแท้จริง

เมื่อนักเรียนจบ ม.ปลาย ทั้งหมดจะ complete Cambridge IGCSE / PSAT / Cambridge AS-Levels / SAT / IELTS exam โดยจะเรียนไล่ลำดับขึ้นมาเรื่อยๆ มีการทดสอบ ประเมินระหว่างทาง และยังมีการศึกษาดูงานในสถานที่จริง รวมถึง internship ของพี่ ม.6 เพื่อสำรวจความชอบและสร้างแรงบันดาลใจให้เด็กๆ ไปในตัวด้วยค่ะ

Secondary school ระดับชั้นมัธยมจะมีความแตกต่างจากประถมอย่างชัดเจน SBS characters ยังคงเหมือนเดิมแต่เติบโตขึ้นและเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น

 

Well being in your area / learn and live well โตมาอย่างดี ก็จะมีความสุขอย่างนั้น

เด็ก ๆ จะเติบโตได้สมบูรณ์ครบทุกด้านนั้น ทุกสถาบัน ( บ้านและโรงเรียน ) ต้องให้ความสำคัญกับ Well being ไม่น้อยไปกว่าวิชาการและสติปัญญานะคะ เพราะ well being คือ การสร้างคน

Well being 5 ด้านที่ SBS ใช้ดูแลทุกคนใน community (นักเรียน – ครอบครัว – บุคลากร) ได้แก่

Physical & Mental Wellbeing

Emotional Wellbeing

Social Wellbeing Spiritual Wellbeing

Spiritual Wellbeing

Cognitive Wellbeing

 

ร่างกาย อารมณ์ สังคม สติปัญญา เป็นพัฒนาการหลัก – คุณพ่อคุณแม่จะได้เห็นถึงความก้าวหน้าอย่างชัดเจนเมื่อลูกๆได้เข้ามาอยู่ในรั้วของ SBS

แต่ที่สำคัญไปกว่านั้นคือ “การสร้างทักษะทางด้านอารมณ์และอุปนิสัย” ซึ่งสิ่งจำเป็นในศตวรรษที่ 21

ทักษะนี้จะทำให้เด็กเรียนรู้ ปรับตัว แก้ไข หรืออยู่ร่วมกับความไม่แน่นอนที่คนเราต้องเจอ

No child left behind – SBS ใส่ใจในการพัฒนานักเรียนเป็นรายบุคคล ไม่ใช่เฉพาะด้านวิชาการ แต่รวมถึงสุขภาพจิตและชีวิตความเป็นอยู่ด้วยนะคะ เพราะแต่ละคนมีพื้นฐานแตกต่างกัน และทุกคนมีศักยภาพในแบบของตัวเอง

Healthy community นักเรียน คุณครู บุคลากร ครอบครัว คือชุมชนที่ทุกคนต้องพึ่งพาอาศัยกัน ดังนั้นการอยู่ดี มีความสุขไม่ได้จำกัดอยู่แค่นักเรียนแต่ครอบคลุมไปถึงชุมชนด้วยเช่นกัน

สะท้อนออกมาเป็นกิจกรรม การจัดอบรม แทรกซึมอยู่ในบทเรียน บูรณาการอยู่ในวิถีชีวิตประจำวันเพื่อให้กลายเป็น routine ของทุกคนในด้านเหล่านี้ค่ะ Safeguarding / Curriculum Provision / Curriculum Integration / Behaviour Management / Health and Nutrition / Support Services / Parent Partnership

ช่วงเวลาพักกลางวันจะพักไม่ตรงกัน เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อย แต่ก็จะสนุกเบอร์นี้เลยค่ะ

 

Mommy Love This ! ถูกใจแม่

  1. Student Support Services ครอบครัวนักเรียนไทยหลายครอบครัวกังวลใจว่า “ที่บ้านไม่พูดภาษาอังกฤษ จะเป็นปัญหาต่อการเรียน 2 ภาษาของลูกหรือไม่คะ?” ที่ SBS ปัญหาด้านการใช้ภาษาจะหมดไปเพราะ Student Support Services เป็น department ที่เต็มไปด้วยทีมงานคุณภาพ มากประสบการณ์ ที่คอย support นักเรียนทั้งทางด้านการเรียนและภาษา English as an Additional Language หรือ EAL สำหรับนักเรียนไทย และ Thai as an Additional Language หรือ TAL สำหรับนักเรียนต่างชาติ เพื่อลดอุปสรรคด้านภาษาในการเรียนและการอยู่ร่วมกันในสังคมให้ได้มากที่สุดค่ะ
  2. หลักสูตรและมาตรฐานระดับ Worldclass ที่พัฒนาศักยภาพนักเรียนได้อย่างแท้จริง
    • IB PYP + Bilingual Programme และหลักสูตรแกนกลาง สำหรับเด็กปฐมวัยและประถมศึกษา ที่เน้นการสร้าง longlife learner มากกว่าการเรียนเพื่อไปสอบ
    • Cambridge International Programme + Biligual Programme และหลักสูตรแกนกลาง สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ที่เน้นเตรียมความพร้อมระดับสากล ไม่ว่าเด็กๆจะเลือกมหาวิทยาลัยในหรือต่างประเทศก็ไม่เป็นปัญหา
    • Innovation นวัตกรรมการเรียนรู้ เทคโนโลยี การจัดการเรียนรู้ที่เน้นการทดลองทำ + ลักษณะนิสัยในการช่างซักถามของนักเรียน จะหล่อหลอมให้นักเรียนเป็น “innovator” ที่ไม่ได้แค่คิดค้นสิ่งใหม่ๆ แต่ยังคิดหาวิธีที่จะช่วยให้โลกใบนี้น่าอยู่ขึ้น
  3. Well being สิ่งแวดล้อมที่ดี คือ ทั้งชุมชนที่อยู่ดี มีความสุข ดูแลทั้งร่างกาย สภาวะจิตใจ SBS จัดอบรม จัดกิจกรรม จัดงาน จัดการเรียนการสอน ให้นักเรียน reflect หรือสะท้อนคิดการเรียนรู้ รวมถึงมีระบบที่คอย monitor  ทั้งหมดนี้เพื่อให้ทุกคน “ตระหนัก” ถึงความสำคัญของ well being อยู่ตลอดเวลา เพราะสิ่งใดที่หล่อหลอมมาเป็นระยะเวลานาน เราจะกลายเป็นสิ่งนั้นค่ะ
  4. Happy learners คุณครูและบุคลากรให้ความสำคัญกับความแตกต่างของนักเรียนแต่ละคน ทำให้นักเรียนกล้าเรียนรู้ สนุกสนาน และกล้าแสดงตัวตน Activity-based learning ตอบโจทย์การเรียนรู้ที่ทรงพลังที่สุด
  5. Family on board ครอบครัวคืออีกส่วนของการเรียนรู้เพราะเด็กๆสามารถเรียนรู้ได้ในทุกๆที่ SBS และ ครอบครัว เรียนรู้ร่วมกัน ทำงานร่วมกัน พึ่งพาอาศัยกัน เฝ้าดูเด็กๆพัฒนาไปด้วยกัน มีการจัดสัมมนา จัดอบรม จัด workshop ได้รับเชิญมาร่วมกิจกรรม และ event ต่างๆ ที่ทางโรงเรียนจัดขึ้น เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน SBS มีระบบ security ที่เข้มงวด ทำให้ผู้ปกครองวางใจในความปลอดภัยของบุตรหลานได้

โรงเรียนมีทางเข้าออกสำหรับระดับชั้นต่างๆ เพื่อลดปัญหาความวุ่นวายและการจราจร

ส่วนหนึ่งของสนามเด็กเล่นกลางแจ้งที่มีมากมาย

outdoor area ก็เป็นพื้นที่การเรียนรู้อย่างดี

SBS community center ที่สร้างเพื่อรองรับผู้ปกครอง

Mr. Mark Gilheaney, Head of school

ค่าเล่าเรียน

(ไม่รวมค่าใช้จ่ายอื่นๆ – โปรดติดต่อโรงเรียนโดยตรง)

SBS Tiger cubs (อายุ 12 เดือน – 2 ปี)

Full Day (8 am – 14.30 pm) 108,150 บาทต่อเทอม

Half-Day (9 am – 12.30 pm) 93,600 บาทต่อเทอม

Toddler – Year 1 ประมาณ 254,700 บาทต่อปี (ค่าเทอม + ค่าอาหาร + Campus Development)

Year 2 ประมาณ 295,100 บาทต่อปี (ค่าเทอม + ค่าอาหาร + Campus Development)

Year 3-4 ประมาณ 306,100 บาทต่อปี (ค่าเทอม + ค่าอาหาร + Campus Development)

Year 5-6 ประมาณ 339,400 บาทต่อปี (ค่าเทอม + ค่าอาหาร + Campus Development)

Year 7 ประมาณ 326,700 บาทต่อปี (ค่าเทอม + ค่าอาหาร + Campus Development)

Year 8-10 ประมาณ 358,300 บาทต่อปี (ค่าเทอม + ค่าอาหาร + Campus Development)

Year 11-13 ประมาณ 388,500 บาทต่อปี (ค่าเทอม + ค่าอาหาร + Campus Development)

Satit Bilingual School of Rangsit University

52/347 เมืองเอก ถ.พหลโยธิน หลักหก

อำเภอเมือง จังหวัดปทุมธานี 12000

โทร : 02 792 7504

มือถือ : 083-842-1632

มือถือ : 083-842-1640

ไลน์ : @sbsbangkok

สอบถามข้อมูลทั่วไป : [email protected]

 

Editor : แม่พลอยผิง

ภาพ : ฤทธิรงค์ จันทองสุข

 

PlanToys PLAY Week 2024

PlanToys Play Week 2024 เทศกาลการเรียนรู้ผ่านการเล่นประจําปี 2567 วันที่ 30 พ.ย. – 8 ธ.ค. 2567 ที่แปลนทอยส เจริญกรุง 69

แปลนทอยส์ จัดกิจกรรมส่งท้ายปีเพื่อมอบประสบการณ์ด้านการเล่นในหลากหลายรูปแบบให้กับลูกค้าในฐานะที่เรา เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการออกแบบการเล่นมากว่า 43 ปี พร้อมทั้งคืนกําไรให้ลูกค้าด้วยการขายสินค้าราคาพิเศษกว่า  400 รายการที่เราตั้งใจให้ลูกค้าได้รับความคุ้มค่าที่สุดในรอบปี นอกจากนี้ เรายังจัดกิจกรรมเกี่ยวกับการเล่นเพื่อให้ เด็ก ๆ และครอบครัวได้ใช้เวลาคุณภาพร่วมกัน โดยแบ่งเป็นแต่ละโซน ดังนี้

โซนกิจกรรม 

  • เราออกแบบโต๊ะเกม และจัดเป็นมุมเล่นไว้ให้เด็ก ๆ สนุกกับการใช้ความคิด และเสริมทักษะการแก้ปัญหา
  • คลับนักประดิษฐ์ ที่เปิดโอกาสให้ทุกคนได้ทําของเล่นตามจินตนาการที่มีชิ้นเดียวในโลกจากชิ้นส่วนของเล่น แปลนทอยส์และนํากลับบ้านไปเป็นของที่ระลึกได้
  • มุมเวทีกิจกรรม เราจัดกิจกรรมหมุนเวียนทุกวันในเวลา 10.30-11.00 น. ทั้งการเล่านิทาน กิจกรรมการเล่น   รวมถึงการจัดเสวนาให้ความรู้เรื่องพัฒนาการเด็กจากผู้เชี่ยวชาญของแปลนทอยส์และแขกรับเชิญพิเศษในวัน  เสาร์-อาทิตย์ โดยมีรายละเอียดดังนี้

เสวนากับผูเชี่ยวชาญ

โซนขายสินค้า

เราเพิ่มความสะดวกในการค้นหาสินค้าโดยแบ่งตามช่วงอายุ และกลุ่มราคาตามเปอร์เซ็นต์การลดราคา พร้อมทั้ง
จัดโปรโมชั่นเพื่อคืนกำไรให้ลูกค้าตามยอดซื้อ

📍 พบกันที่งาน PlanToys PLAY Week 2024 เจริญกรุง 69 (จอดรถจำนวนจำกัดภายในงาน และจุดจอดรถบริเวณใกล้เคียง) https://maps.app.goo.gl/mMtuRJVqGScC5a717📆 30 พฤศจิกายน – 8 ธันวาคมนี้ (9.00 – 17.00 น. ทุกวัน).ลงทะเบียนล่วงหน้าที่นี่ https://bit.ly/3O9bHmI เพื่อรับของขวัญพิเศษหน้างาน.#PlanToys#SustainablePlay#PlanToysPlayWeek2024#Shopping#Playing#Learning

Tags

คุณแม่ตั้งครรภ์ควรตรวจ Ultrasound ตามช่วงอายุครรภ์ เพื่อติดตามการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์

การตรวจคลื่นเสียงความถี่สูง หรือ Ultrasound เป็นการตรวจที่สำคัญสำหรับหญิงตั้งครรภ์ โดยมีวัตถุประสงค์ในการตรวจที่แตกต่างกันไปในแต่ละอายุครรภ์ เช่น การตรวจเพื่อกำหนดอายุครรภ์ คัดกรองความผิดปกติของทารกในครรภ์ คัดกรองโรคบางชนิด ติดตามการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์ หรือเพื่อการทำหัตถการ เป็นต้น

การ ultrasound สามารถทำได้บ่อยครั้งตามความต้องการ มีความปลอดภัยสูง การตรวจแต่ละครั้งจะใช้ระยะเวลาประมาณ 20-30 นาที โดยทั่วไปหญิงตั้งครรภ์จะได้รับการตรวจ ultrasound อย่างน้อยไตรมาสละหนึ่งครั้ง อันได้แก่ ช่วงอายุครรภ์ 11-14 สัปดาห์ , 18-22 สัปดาห์ และ 28-32 สัปดาห์

ไตรมาสที่ 1 : ช่วงอายุครรภ์ 11-13 +6 สัปดาห์
สามารถทำเพื่อกำหนดอายุครรภ์ โดยช่วงอายุครรภ์นี้เป็นช่วงที่แม่นยำที่สุดในการกำหนดอายุครรภ์ นอกจากนี้ยังสามารถตรวจคัดกรองทารกกลุ่มอาการดาวน์ โดยการวัดความหนาของต้นคอทารก ดูกระดูกจมูก ลิ้นหัวใจรั่ว ร่วมกับการเจาะเลือดมารดาเพื่อเพิ่มความแม่นยำในการตรวจให้มากขึ้น สามารถดูความผิดปกติทางโครงสร้างร่างกายที่มีขนาดใหญ่ของทารกได้ เช่น ทารกไม่มีกะโหลกศีรษะ ทารกบวมน้ำ เป็นต้น
ตรวจคัดกรองภาวะครรภ์เป็นพิษ โดยการตรวจวัดอัลตราซาวด์ดอพเพอร์เส้นเลือดแดงที่มาเลี้ยงมดลูกร่วมกับการซักประวัติปัจจัยเสี่ยงการวัดค่าเฉลี่ยของความดันโลหิตมารดา และการเจาะสารชีวเคมีในเลือดมารดา จากนั้นคำนวณความเสี่ยงจากปัจจัยทั้งหมดโดยใช้สูตรคำนวณ โดยค่าความเสี่ยงที่มากกว่า 1:100 ถือว่ามีความเสี่ยงสูงในการเกิดภาวะครรภ์เป็นพิษ ซึ่งการตรวจพบจะสามารถป้องกันการเกิดภาวะดังกล่าวได้โดยการใช้ยา low-dose aspirin ซึ่งจ่ายโดยแพทย์เฉพาะทาง สามารถดูเพศของทารกได้หากทารกอยู่ในท่าที่เหมาะสม

ไตรมาสที่ 2 : ช่วงอายุครรภ์ 18-22 สัปดาห์
ใช้กำหนดอายุครรภ์ในกรณีที่มาฝากครรภ์ช้าและไม่เคยกำหนดอายุครรภ์มาก่อนตรวจคัดกรองความผิดปกติทางโครงสร้างร่ายกายของทารกในครรภ์ โดยดูอย่างละเอียดในแต่ละอวัยวะ ได้แก่ กะโหลกศีรษะ เนื้อสมอง ใบหน้า กระดูกสันหลัง แขนขา หัวใจ ลำไส้ ปอด ตับ ไต ตำแหน่งรก น้ำคร่ำ เพศของทารก เป็นต้น ตรวจคัดกรองความเสี่ยงการคลอดก่อนกำหนดโดยอัลตราซาวด์ทางช่องคลอดเพื่อวัดความยาวปากมดลูก

ไตรมาสที่ 3 : ช่วงอายุครรภ์ 28-32 สัปดาห์
ตรวจคัดกรองความผิดปกติทางโครงสร้างร่ายกายของทารกในครรภ์ซ้ำอีกครั้งเนื่องจากความผิดปกติของทารกบางชนิดสามารถเกิดขึ้นภายหลัง เช่นโรคหัวใจ โรคไต โรคของระบบทางเดินอาหารบางชนิด ดังนั้น การตรวจซ้ำเพื่อให้การคัดกรองมีความแม่นยำมากขึ้นและสามารถวางแผนการดูแลหลังคลอดได้ดียิ่งขึ้น ประเมินภาวะรกเกาะต่ำ ซึ่งเป็นสาเหตุเลือดออกผิดปกติระหว่างตั้งครรภ์ ตรวจอัตราการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์ หากพบว่าทารกเจริญเติบโตช้าในครรภ์จะมีการตรวจดอพเพลอร์เส้นเลือดสายสะดือเพิ่มเติมเพื่อประเมินความรุนแรงของภาวะโตช้า
เพื่อให้การรักษาอย่างทันท่วงที

ตรวจประเมินสุขภาพของทารกในครรภ์ในกรณีหญิงตั้งครรภ์ความเสี่ยงสูง

ควรมีการประเมินสุขภาพทารกอย่างใกล้ชิดตามข้อบ่งชี้ โดยดูน้ำคร่ำ การหายใจ การเคลื่อนไหว ร่วมกับการติดเครื่องดูสุขภาพทารก (NST)ถึงแม้ว่าการตรวจอัลตราซาวด์จะสามารถคัดกรองโรคได้หลายชนิด แต่โรคบางชนิดสามารถเกิดขึ้นภายหลังได้ดังนั้นการตรวจอัลตราซาวด์ จึงไม่สามารถบอกความผิดปกติในครรภ์ได้ทั้งหมด นอกจากนี้ยังมีปัจจัยบางอย่างที่ทำให้เกิดความผิดพลาดในการวินิจฉัยได้ เช่น ทารกอยู่ในท่าที่บดบังการมองเห็น มารดามีผนังหน้าท้องหน้า
ความผิดปกติมีขนาดเล็กมาก อวัยวะบางอย่างมีขนาดเล็กมาก เป็นต้น ในกรณีตั้งครรภ์ความเสี่ยงสูง เช่น ทารกมีความผิดปกติของอวัยวะ มีภาวะโตช้าในครรภ์ ตั้งครรภ์แฝด หรือมารดามีโรคประจำตัวบางอย่าง ความถี่ในการตรวจอัลตราซาวด์จะขึ้นอยู่กับดุลพินิจของแพทย์

บทความโดย พญ. ณิชชาณัท ชัยพงศ์พันธุ์
สูตินรีแพทย์ เฉพาะทางเวชศาสตร์มารดาและทารกในครรภ์
รพ.พญาไท 1

Tags

ศูนย์การเรียนปฐมธรรม บูรณาการเด่น เล่นและเรียนรู้ตามวัย 

วันนี้ School Visit จะพาทุกคนมาเยี่ยมชมศูนย์การเรียนปฐมธรรม โรงเรียนบูรณาการอย่างแท้จริงที่ไม่เร่งเรียนหรือท่องจำ โรงเรียนที่สอนเด็กให้เรียนรู้และมีความสุขตามวัย เน้นที่กระบวนการคิด วิเคราะห์ และลงมือปฏิบัติ

ศูนย์การเรียนปฐมธรรม ก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ.2550 เปิดทำการมาแล้วกว่า 17 ปี จุดเริ่มต้นเกิดจากการรวมตัวของคุณพ่อคุณแม่กลุ่มหนึ่งที่อยากให้ลูกได้เรียนในโรงเรียนที่เด็ก ๆ ได้เรียนรู้ตามวัย โดยเริ่มต้นจากการจัดการเรียนการสอนแบบ Homeschool ของกลุ่มเด็กประถมเพียงไม่กี่คน โดยมีแม่เปิ้ล – ณิษา เมธาวิศาล หนึ่งในผู้ก่อตั้งกลุ่มบ้านเรียนปฐมธรรม ขึ้นมา ช่วงแรก ๆ ใช้ห้องเรียนของโรงเรียนอนุบาลบ้านพลอยภูมิเป็นที่จัดการเรียนการสอนของเด็ก ๆ เมื่อเปิดมาได้ 3 ปี ครอบครัวแม่อ้อ – สุทธิพร สายเพ็ชร์ และพ่อโก้ -พงศกร สายเพ็ชร์ ( ผู้บริหารโรงเรียนปัจจุบัน ) ได้พาลูก ๆ เข้ามาเรียนร่วมด้วย และในปี พ.ศ. 2560 ก็ทำการขยับขยายและสร้างอาคารเรียนขึ้นมา เพื่อรองรับกลุ่มนักเรียนที่มีมากขึ้นเรื่อย ๆ

 

บรรยากาศโรงเรียน เหมือนบ้านหลังใหญ่ที่รายล้อมไปด้วยต้นไม้

 

เรียนแบบไหน ในปฐมธรรม

หลักสูตรของที่นี่อิงกับหลังสูตรแกนกลาง ยึดเป็นจุดประสงค์เพื่อให้เด็กมีพื้นฐาน เพราะโรงเรียนมองเห็นว่าสุดท้ายแล้วเด็ก ๆ ก็ต้องไปสอบและเรียนต่อชั้นมัธยมที่อื่น โรงเรียนจึงมีหน้าที่เตรียมพร้อมในเชิงวิชาการให้กับเด็ก ๆ วิชาพื้นฐานจะเรียน คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ โดยแยกเรียนตามระดับชั้น สำหรับภาษาอังกฤษ เรียนเกือบทุกวัน สอนโดยครูต่างชาติ สำเนียงอเมริกัน

นอกจากวิชาการพื้นฐานแล้ว เด็ก ๆ จะได้เรียนตามวัยและตามพัฒนาการและวิชาบูรณาการมากมายที่เชื่อมโยงกับวิชาพื้นฐาน และเรียนรู้ผ่านโครงงานตามหัวข้อบูรณาการ เพื่อให้เด็ก ๆ หัดทำงานกลุ่ม หัดพรีเซนต์ผลงาน โดยจะมีทั้งหมด 12 ธีม 12 หัวข้อ แบ่งเป็นประถมต้น 12 หัวข้อ และประถมปลาย 12 หัวข้อ ใน 1 ปี เด็ก ๆ จะได้เรียน 4 หัวข้อต่อปี เช่น หัวข้อเรื่องบ้าน เด็กเล็กจะได้เรียนรู้เรื่องบ้านคืออะไร ส่วนเด็กโตจะต้องรวมกลุ่มสร้างบ้าน 1 หลังเล็ก เรียนรู้เรื่องวัสดุต่าง ๆ ทิศทางลม ทิศทางของแดด มีผลอย่างไรกับบ้าน เมื่อเด็กได้ลงมือทำงานแล้วเจอปัญหา ก็เรียนรู้ที่จะแก้ปัญหา

เด็ก ๆ พรีเซนต์โครงงานของตนเอง

ห้องสมุดเล็ก ๆ แต่อัดแน่นไปด้วยหนังสือ

นักเรียนจำนวนน้อย คุณครูดูแลทั่วถึง 

เอกลักษณ์หรือจุดเด่นของศูนย์การเรียนปฐมธรรม คือ การสอนแบบบูรณาการอย่างแท้จริง เนื่องจากจำนวนนักเรียนน้อย เพียงห้องละ 5-6 คน ทำให้เด็กมีโอกาสซักถามได้บ่อยครั้งหากสงสัยหรือไม่เข้าใจ ได้ลงมือปฏิบัติงานครบทุกคน ได้ทำโครงงานซ้ำ ๆ จนทำให้เกิดทักษะมากมายติดตัวเด็กไปจนโต เกิดกระบวนการความคิดและช่วยทำให้เด็กมี Logic ที่ดี และนอกจากจะเรียนแยกตามระดับชั้นแล้ว เด็ก ๆ ก็จะได้เรียนรวมกันเป็นกลุ่มสำหรับทำกิจกรรมต่าง ๆ เช่น การทดลองวิทยาศาสตร์ ดนตรี ศิลปะ โดยแบ่งเป็น 2 กลุ่มคือ ระดับชั้น ป. 1-3 และ ป.4- 6 เพื่อเรียนรู้จากรุ่นพี่และรุ่นน้อง

ห้องเรียนจะจัดวางโต๊ะเรียนตามกิจกรรมที่คุณครูได้วางไว้ บางวันเด็ก ๆ จะได้นั่งเขียนบนพื้น บางวันแบบเรียงแถวหน้ากระดาน

พี่ประถมปลายมีเรียนคอมพิวเตอร์ด้วยนะ

เด็ก ๆ มีความสุขกับการมาโรงเรียน

วิทยาศาสตร์แสนสนุกกับพ่อโก้

จุดประสงค์ของการเรียนรู้ก็คือเพื่อสร้างกระบวนความคิดอย่างเป็นระบบ หัดให้นักเรียนตั้งคำถามหรือเดากับทุกสิ่งที่เห็น มองเห็นอะไร สังเกต ถกเถียงกันว่าเกิดได้อย่างไร เรียนรู้และสรุปในตอนสุดท้าย ซึ่งเด็กจะเกิดกระบวนความคิดอย่างเป็นระบบได้ จะต้องเรียนรู้ผ่าน 2 วิชา คือ คณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ ซึ่งวิชาวิทยาศาสตร์จะแบ่งเป็น 3 ส่วน คือ ส่วนแรกคือการทดลอง ส่วนที่ 2 คือ วิทยาศาสตร์ธรรมชาติ ส่วนที่ 3 คือ วิทยาศาสตร์เสริม

ในส่วนวิทยาศาสตร์การทดลองจะสอนโดย พ่อโก้ -พงศกร สายเพ็ชร์ โดยมีจุดเริ่มต้นจากการไปเป็นคุณพ่ออาสาสอนวิทยาศาสตร์ในห้องเรียนของลูก และกลายเป็นคุณครูสอนวิชาวิทยาศาสตร์และผู้บริหารที่ปฐมธรรมในปัจจุบัน พ่อโก้เป็นดอกเตอร์ทางฟิสิกส์ที่เชื่อว่า การศึกษานั้นขอให้มีความสนใจใคร่รู้ก็จะเรียนรู้ได้หมด การสอนวิทยาศาสตร์ของพ่อโก้ มีจุดมุ่งหมายที่จะปลูกฝังความรักและความสนุกในวิทยาศาสตร์ให้กับเด็ก ๆ ดังนั้นเด็ก ๆ จะได้เรียนรู้ผ่านการลงมือทำ ตั้งข้อสังเกต ตั้งคำถาม ทดลอง ลองผิดลองถูกและสรุป และสนุกไปกับการทดลอง จุดประกายความสงสัยของเด็ก ๆ ใครอยากรู้ว่าเด็ก ๆ เรียนวิทยาศาสตร์แล้วสนุกอย่างไร ลองไปติดตามได้ที่บล็อกของพ่อโก้ค่ะ >> http://www.witpoko.com/

ทดลองวิทยศาสตร์กับพ่อโก้กันค่ะ

ค่ายและกิจกรรมแน่นตลอดปี

ที่นี่จัดค่ายให้เด็ก ๆ บ่อยครั้ง เพราะเชื่อมั่นว่า ถ้าเด็ก ๆ ได้เจอโลกภายนอกบ่อย ๆ โดยที่ไม่มีพ่อแม่อยู่ด้วย เด็ก ๆ จะได้เรียนรู้การจัดการตนเอง เรียนรู้เรื่องความอดทนและฝึกฝนทักษะมากมาย โดยมีค่ายธรรมชาติ 2 ค่าย เพื่อให้เด็ก ๆ ได้เรียนรู้นอกห้องเรียน นำโดยอาจาร์ยผู้สอนวิชาธรรมชาติ นอกจากนี้ยังมีค่ายลูกเสือ และค่ายเรียนรู้ร่วมระหว่างเด็กเล็กกับผู้ปกครอง เพื่อให้ผู้ปกครองได้เห็นว่าเด็ก ๆ ทำอะไรบ้างระหว่างไปค่ายด้วย

ที่น่าสนใจอีกอย่าง คือ ค่ายเรือใบ ซึ่งจัดขึ้นที่สมาคมเรือใบแห่งประเทศไทย อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี เป็นค่ายสำหรับพี่ประถมปลาย เด็ก ๆ จะได้เรียนรู้ทักษะในการเล่นเรือใบและช่วยฝึกความอดทน หัดแก้ปัญหา หัดตัดสินใจด้วยตนเอง และเรียนรู้กติกาสังคมที่ใหญ่ขึ้น

สำหรับการทัศนศึกษา เด็ก ๆ จะได้ออกไปเรียนรู้นอกห้องเรียน มากถึงปีละ 16 ครั้ง เพราะการที่เด็ก ๆ ได้ไปสัมผัสของจริง มีประสบการณ์ตรง ได้คุยกับผู้เชี่ยวชาญในสาขาวิชาต่างๆ จะช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้กับเด็ก ๆ และกระตุ้นความอยากรู้ของ เด็ก ๆ และได้ฝึกทักษะมากมายทั้งการสังเกต ตั้งคำถาม บันทึก และการสรุปความรู้ที่ได้มาเป็นองค์ความรู้ของตัวเอง เพราะนั่นเป็นทักษะที่จะต้องใช้ในชีวิตจริง เรียนที่นี่เด็ก ๆ ได้ทำกิจกรรมหลากหลายเป็นประสบการณ์ชีวิตที่จะติดตัวเด็กไปจนโตเลยค่ะ

  ค่ายธรรมชาติ

ค่ายเรือใบ

เรียนรู้นอกโรงเรียน

 

ทุกอย่าง จบ ที่โรงเรียน

ที่ปฐมธรรม เด็ก ๆ ไม่จำเป็นต้องเรียนพิเศษตอนเย็นหรือวันเสาร์-อาทิตย์ เลยนะคะ เพราะโรงเรียนมีครบแทบทุกอย่างให้เด็ก ๆ ในชั่วโมงเรียนแล้ว ทั้งดนตรีไทย ดนตรีสากล ส่วนกีฬาก็จะมีทั้งแบบเดี่ยวและแบบทีม เช่น ว่ายน้ำ บาสเก็ตบอล ปิงปอง ฟุตบอล แบดมินตัน เรือใบ และอื่น ๆ อีกมากมาย เด็ก ๆ จะได้ เล่นกีฬาอาทิตย์ละ 2 วัน โดยจะเรียนกีฬานอกสถานที่กันที่ Musketeer Sport Club และมหาวิทยาลัยมหิดล รับส่งโดยทีมคุณพ่อคุณแม่อาสา ซึ่งเป็นผู้ปกครองของเด็ก ๆ ที่โรงเรียน

เรียนดนตรีกันค่ะ

มีกีฬาให้เด็ก ๆ เล่นมากมาย ทั้ง แชร์บอล ว่ายน้ำ ปิงปอง

แม่อ้อ – สุทธิพร สายเพ็ชร์ , พ่อโก้ -พงศกร สายเพ็ชร์, แม่เปิ้ล – ณิษา เมธาวิศาล ผู้บริหารโรงเรียน

 

 

Mommy Love This! ถูกใจแม่

จำนวนนักเรียนต่อห้องน้อยมาก เพียง 5-6 คนเท่านั้น คุณครูจึงสามารถเอาใจใส่นักเรียนได้เต็มที่

ครู Connect กับเด็ก ได้ดีและมี Passion ในการสอน เต็มไปด้วยพลังงานและโฟกัสกับเด็ก ๆ ได้เต็มที่ เพราะที่นี่คุณครูผู้สอนไม่ต้องทำงานเอกสารเลยค่ะ มีหน้าที่สอนและทำสื่อการสอนให้เด็ก ๆ เท่านั้น

เด็ก ๆ ได้เรียนร่วมหลายวิชาเลยค่ะ ทำให้เกิดกระบวนการเรียนรู้มากมาย ได้หัดดูแลกันและกัน พี่คอยดูแลน้อง และน้องทำตามอย่างพี่

เด็ก ๆ ที่จบจากที่นี่จะเป็นเด็กที่มี Multi Skill สามารถเป็นผู้นำกลุ่มและเป็นนักกิจกรรมควบคู่ไปกับการเรียน เพราะสิ่งที่โรงเรียนส่งเสริมและปลูกฝังให้เด็ก ๆ คือ การเล่นกีฬา เล่นดนตรี และการทำโครงงานบ่อย ๆ นั่นเอง

เครื่องแบบนักเรียนที่นี่ผ่านการคิดมาอย่างดี เพราะใส่สบาย ไม่ร้อน ดีกับเด็ก ๆ แถมยังดีกับพ่อแม่เพราะไม่ต้องรีด ข้อนี้แม่ชอบมาก

เนื่องจากโรงเรียนมีเด็กนักเรียนจำนวนน้อย การรับส่งนักเรียน เช่น ไปเรียนกีฬาหรือทัศนศึกษา จะรับส่งโดยอาสาสมัครที่เป็นผู้ปกครองของโรงเรียน จึงปลอดภัยมาก ๆ เพราะไม่ต้องจ้างคนขับรถนอก

เด็กมีโอกาสทำกิจกรรมที่หลากหลาย เพื่อได้ทดลองทำทุก ๆ อย่าง เป็นประสบการณ์ที่มีค่ามากค่ะ

โรงเรียนสอนทักษะการพรีเซนต์ให้กับเด็ก ๆ ตั้งแต่ ประถม 1 เด็ก ๆ จะมีทักษะในการพูดและกล้าแสดงออกกันตั้งแต่เล็ก ๆ เลยค่ะ

ที่ปฐมธรรมจะประเมินเด็กด้วยการทำโครงงานและแบ่งเป็นคะแนนสอบบางส่วน เพื่อให้เด็กรู้ว่าการทำข้อสอบคืออะไร และช่วงปลายปี โรงเรียนก็จะพาเด็ก ๆ ไป ประเมินพร้อมร่องรอยการเรียนรู้ตลอดปีการศึกษา ที่สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ( สพฐ )

 

 

 

อัตราค่าเล่าเรียน

เทอมละ 76,000 บาท ( ปีละ 2 เทอม )

ค่าแรกเข้า 60,000 บาท

 

ที่อยู่

181 ซ.ศาลาธรรมสพน์ 41

ถ.ศาลาธรรมสพน์ เขตทวีวัฒนา กรุงเทพ 10170

[email protected]

http://www.facebook.com/baanpathomtham

 

Editor : แม่เลม่อน

ภาพ : นันทิยา บุศบงค์ ,ภาพประชาสัมพันธ์จากศูนย์การเรียนปฐมธรรม

 

รู้หรือไม่? เสริมสร้าง ภูมิคุ้มกัน ตั้งแต่วันแรกให้ลูกน้อยได้ด้วยนมแม่

วินาทีที่ลูกน้อยลืมตาดูโลก ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของคุณแม่ที่จะต้องปกป้องและให้การดูแลลูกน้อยอย่างสุดความสามารถ การให้ลูกได้รับนมแม่ตั้งแต่วันแรก จะทำให้ลูกได้รับประโยชน์จากสารอาหารที่อุดมสมบูรณ์ จำเป็นต่อการเจริญเติบโตตามวัย และที่สำคัญคือในนมแม่ยังมีสารอาหารที่ช่วยส่งเสริมระบบภูมิคุ้มกันให้กับลูกน้อย จึงช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดภูมิแพ้ของลูกน้อยได้อีกด้วย

สามารถเช็คความเสี่ยงภูมิแพ้ได้ที่ https://www.s-momclub.com/baby-allergies 

นมแม่คืออาหารที่ดีที่สุดสำหรับลูก ที่ลูกควรได้รับตั้งแต่วันแรกที่ลืมตาดูโลก เป็นอาหารที่สำคัญสำหรับทารกแรกเกิด เด็กควรได้กินนมแม่เพียงอย่างเดียวในช่วง 6 เดือนแรก หรือนานที่สุดเท่าที่ทำได้ เนื่องจากนมแม่มีคุณสมบัติ hypoallergenic (H.A.) ช่วยลดความเสี่ยงของโรคภูมิแพ้ นอกจากนี้ การที่คุณแม่ให้นมลูกน้อยตั้งแต่วันแรก ยังช่วยกระตุ้นการเผาผลาญ มีส่วนช่วยให้มดลูกเข้าอู่เร็ว ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคร้ายบางอย่าง เช่น มะเร็งเต้านม และยังช่วยให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนแห่งความสุขระหว่างการให้นม ช่วยเสริมสร้างสายใยแห่งความรัก ความผูกพันระหว่างแม่ลูกอีกด้วย

นมแม่อุดมไปด้วยสารอาหารหลากหลายมากกว่า 200 ชนิด รวมไปถึงการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ลูกแข็งแรง ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคภูมิแพ้ในเด็ก ซึ่งเป็นเด็กไทยเสี่ยงเป็นโรคภูมิแพ้กว่า 50% ทั้งจากการถ่ายทอดทางพันธุกรรม รวมถึงปัจจัยกระตุ้นให้โรครุนแรงขึ้นจากสิ่งแวดล้อม เช่น ฝุ่น PM 2.5 หรือฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน ที่สามารถแทรกซึมเข้าไปในถุงลมและดูดซึมสู่กระแสเลือด นำมาซึ่งอันตรายต่อระบบทางเดินหายใจ  ทั้งหมดนี้จึงเป็นองค์ประกอบของการเกิดโรคภูมิแพ้และปัจจัยที่กระตุ้นให้โรคภูมิแพ้มีอาการหนักขึ้น

การให้นมแม่อย่างน้อย 6 เดือน หรือนานที่สุดเท่าที่จะทำได้ จะช่วยให้คุณแม่สามารถป้องกันภูมิแพ้ในเด็กได้ด้วย เนื่องจากนมแม่มีคุณสมบัติ hypoallergenic (H.A.) ที่ช่วยลดความเสี่ยงของโรคภูมิแพ้ ซึ่งโปรตีนในนมแม่บางส่วน ถูกย่อยให้มีขนาดเล็กลงด้วยเอ็นไซม์ตามธรรมชาติ (PHP หรือ Partially Hydrolyzed Proteins) ซึ่งทำให้ย่อยง่ายและไม่ระคายเคืองต่อระบบย่อยอาหารของทารก รวมถึงมีพรีไบโอติกโอลิโกแซคคาไรด์ ใยอาหารจากนมแม่ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน และลดความเสี่ยงการติดเชื้อ โดยในนมแม่มีกลุ่มใยอาหารหลัก ซึ่งมีใยอาหาร 5 ชนิด (5 HMO) ที่พบมากในกลุ่มนี้ ได้แก่ 2′-FL, DFL, LNT, 6′-SL, และ 3′-SL โดยใยอาหารที่พบในนมแม่มีส่วนช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน อีกทั้งยังมีจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์มากมาย เช่น บีแล็กทิส (B. lactis) หนึ่งในโพรไบโอติกที่มีส่วนช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันและลดความเสี่ยงของการเกิดภูมิแพ้

คุณแม่เองก็สามารถลดความเสี่ยงของภูมิแพ้ในเด็ก และสร้างภูมิคุ้มกันให้ลูกได้ตั้งแต่วันแรกด้วยนมแม่ที่อุดมไปด้วยสารอาหารสำคัญมากมาย เพื่อวางรากฐานอันมั่นคง ให้ลูกเติบโตอย่างแข็งแรง พร้อมก้าวไปสู่อนาคตได้อย่างสดใส

หากคุณพ่อคุณแม่สนใจข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ สารอาหารในนมแม่ที่มีประโยชน์และมีบทบาทต่อสุขภาพและพัฒนาการของลูกน้อย เข้าชมได้ที่ S-Mom Club ที่เว็บไซต์ https://www.s-momclub.com/ สามารถสมัครสมาชิกเพื่อปรึกษาทีมพยาบาลผู้เชี่ยวชาญได้ฟรีตลอด 24 ชั่วโมงเลยนะคะ หรือสามารถปรึกษา-พูดคุยเกี่ยวกับสุขภาพโภชนาการและพัฒนาการสำหรับคุณแม่และลูกน้อยตามช่วงวัย โดยทีมพยาบาลผู้เชี่ยวชาญ ตลอด 24 ชั่วโมง ได้ที่ Line: https://line.me/ti/g2/sTaGOaX-BDVbUWvjiMlyM6OHPMC5PNssEhw_Sw?utm_source=invitation&utm_medium=link_copy&utm_campaign=default 

Reference

  1. Bergmann RL, et al. Clin Exp Allergy 1997:27:752-760
  2. Chad Z. Paediatr Child Health 2001:6(8):555-566.
  3. Hill DA and Spergel JM. Ann Allergy Asthma Immunol 2018;120:131-137.
  4. เข้าใจโรคภูมิแพ้ – BNH HOSPITAL
  5. (ch9airport.com)
  6. Ngamphaiboon, Jarungchit & Tansupapol, Chanyarat & Chatchatee, Pantipa. (2009). Atopic risk score for allergy prevention. Asian biomedicine.

Tags

มหัศจรรย์นมแม่ ปกป้องลูกน้อยจาก ภูมิแพ้ ได้ตั้งแต่ขวบปีแรก

โรคภูมิแพ้ในเด็กถือเป็นโรคที่น่ากังวลในปัจจุบัน เพราะโรค ภูมิแพ้ ในเด็กเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นพันธุกรรม สภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยมลพิษ รวมไปถึงรูปแบบการใช้ชีวิต นั่นจึงทำให้เราสามารถพบเด็กไทยเสี่ยงเป็นโรคภูมิแพ้สูงถึงราวร้อยละ 50  การป้องกันไม่ให้ลูกเป็นภูมิแพ้ในช่วงขวบปีแรกจึงเป็นเรื่องที่คุณพ่อคุณแม่ควรให้ความสำคัญ และวิธีป้องกันภูมิแพ้ในทารกที่ดีที่สุดคือการให้นมแม่ที่มีคุณสมบัติ ‘H.A.’ (hypoallergenic) ช่วยลดความเสี่ยงของโรคภูมิแพ้ และมีสารอาหารหลากหลายมากกว่า 200 ชนิด

โรคภูมิแพ้ในเด็ก อาจสังเกตเบื้องต้นได้จากอาการผื่น, ลมพิษ, บวมแดง, คันตามผิวหนัง, คันหรือเคืองตา, หนังตาบวม,  หรือมีอาการแพ้อาหาร อาเจียน, และหอบหืด ซึ่งเป็นรูปแบบของ Allergic March หรือ ลูกโซ่ภูมิแพ้ได้

Allergic March หรือ ลูกโซ่ภูมิแพ้ คือ กระบวนการที่โรคภูมิแพ้ในเด็กพัฒนาต่อเนื่องจากภูมิแพ้ชนิดหนึ่งไปเป็นอีกชนิดหนึ่ง โดยอาจเริ่มจากการแพ้อาหารในเด็กเล็ก ซึ่งมักเกิดก่อนอายุ 1 ขวบ หรือโรคภูมิแพ้ผิวหนังอักเสบ ซึ่งอาจพบได้ตั้งแต่ช่วงเดือนแรกๆ ตามมาด้วยโรคภูมิแพ้ทางระบบทางเดินหายใจ ได้แก่ ภูมิแพ้จมูกและเยื่อบุตาอักเสบและโรคหอบหืด ซึ่งมักพบตั้งแต่อายุ 1-2 ปีขึ้นไป พบมากในช่วงวัยเข้าโรงเรียนจนถึงวัยผู้ใหญ่ ดังนั้น ควรให้ความสำคัญและ ป้องกันไม่ให้ลูกเป็นภูมิแพ้ในช่วงขวบปีแรก

คุณแม่สามารถป้องกันภูมิแพ้ในทารกได้ด้วยการให้นมแม่เพียงอย่างเดียวอย่างน้อย 6 เดือน หรือนานที่สุดเท่าที่จะสามารถทำได้ เพราะนมแม่มีคุณสมบัติ hypoallergenic (H.A.) ที่ช่วยลดความเสี่ยงของโรคภูมิแพ้และมีสารอาหารหลากหลายมากกว่า 200 ชนิด โดยโปรตีนในนมแม่บางส่วนจะถูกย่อยให้มีขนาดเล็กลง เรียกว่า Partially Hydrolyzed Proteins (PHP) ซึ่งง่ายต่อการดูดซึมและลดความเสี่ยงต่อเกิดอาการแพ้อีกด้วย และนมแม่ยังมีพรีไบโอติกโอลิโกแซคคาไรด์ ใยอาหารจากนมแม่ (human milk oligosaccharides) ที่ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน และลดความเสี่ยงการติดเชื้อ โดยใยอาหาร 5 ชนิด (5 HMO) ที่พบมากในกลุ่มนี้ ได้แก่ 2′-FL, DFL, LNT, 6′-SL, และ 3′-SL นอกจากนี้นมแม่ยังมีโพรไบโอติกหลากหลายชนิด เช่น B. lactis (บีแล็กทิส) ซึ่งเป็นหนึ่งในสายพันธุ์ที่มีส่วนช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันและลดความเสี่ยงของการเกิดภูมิแพ้

นมแม่จึงเรียกได้ว่าเป็นอาหารที่ดีที่สุดสำหรับลูก อุดมไปด้วยสารอาหารพร้อมคุณประโยชน์ที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโต และช่วยลดความเสี่ยงของโรค ภูมิแพ้ ในเด็กได้อีกด้วย เพราะการเริ่มต้นที่ดีคือรากฐานที่สำคัญไปสู่อนาคตของลูก เริ่มต้นดูแลสุขภาพของลูกตั้งแต่แรกเกิด เพื่อให้ลูกเติบโตไปอย่างแข็งแรงนะคะ

หากคุณพ่อคุณแม่สนใจข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ สารอาหารในนมแม่ที่มีประโยชน์และมีบทบาทต่อสุขภาพและพัฒนาการของลูกน้อย เข้าชมได้ที่ S-Mom Club ที่เว็บไซต์  https://www.s-momclub.com/
สามารถสมัครสมาชิกเพื่อปรึกษาทีมพยาบาลผู้เชี่ยวชาญได้ฟรีตลอด 24 ชั่วโมงเลยนะคะ หรือสามารถปรึกษา-พูดคุยเกี่ยวกับสุขภาพโภชนาการและพัฒนาการสำหรับคุณแม่และลูกน้อยตามช่วงวัย โดยทีมพยาบาลผู้เชี่ยวชาญ ตลอด 24 ชั่วโมง ได้ที่ 
Line : https://line.me/ti/g2/sTaGOaX-BDVbUWvjiMlyM6OHPMC5PNssEhw_Sw?utm_source=invitation&utm_medium=link_copy&utm_campaign=default  

สามารถเช็คความเสี่ยง ภูมิแพ้ ได้ที่ https://www.s-momclub.com/baby-allergies 

Reference

  1. Bergmann RL, et al. Clin Exp Allergy 1997:27:752-760
  2. Chad Z. Paediatr Child Health 2001:6(8):555-566.
  3. Hill DA and Spergel JM. Ann Allergy Asthma Immunol 2018;120:131-137.
  4. เข้าใจโรคภูมิแพ้ – BNH HOSPITAL
  5. (ch9airport.com)
  6. Ngamphaiboon, Jarungchit & Tansupapol, Chanyarat & Chatchatee, Pantipa. (2009). Atopic risk score for allergy prevention. Asian biomedicine.

Tags

โรงเรียนทอรัก

โรงเรียนทอรัก โรงเรียนที่ไม่เร่งเด็ก และเรียนรู้อย่างมีความสุข

School Visit วันนี้ จะพามาเยี่ยมชมโรงเรียนทางเลือกหนึ่งย่านสมุทรปราการ ที่มีชื่อว่า “โรงเรียนทอรัก” เป็นโรงเรียนที่เป็นบ้านหลังที่ 2 ของเด็ก ๆ เป็นโรงเรียนที่คุณพ่อคุณแม่หลาย ๆ คนใฝ่ฝันและอยากให้ลูกมาเรียน ถ้าอยากรู้ว่าโรงเรียนหลักสูตรเป็นอย่างไร วันนี้เราจะพาไปเจาะลึกทุกแง่ทุกมุมกันค่ะ

ประสบการ์ณยาวนานกว่า 27 ปี

โรงเรียนอนุบาลทอรัก เป็นโรงเรียนทางเลือก ที่เปิดทำการสอนมายาวนานกว่า 27 ปี  ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2540 บนเนื้อที่กว่า 2  ไร่  ย่านสมุทรปราการ  โดยช่วงแรกเปิดสอนเฉพาะระดับชั้นอนุบาล การเรียนการสอนในรูปแบบภาษาธรรมชาติ ( Whole Language Approach ) ที่ยึดเด็กเป็นศูนย์กลาง ( Child Centered ) ต่อมาได้ขยายหลักสูตรและชั้นเรียนในระดับประถมศึกษาเพิ่มขึ้นในปี พ.ศ. 2543  โดยใช้แนวการเรียนการสอนแบบโครงการ ( Project Approach ) และการเรียนการสอนเป็นธีม (Thematic Approach)  เป็นโรงเรียนที่ให้ความสำคัญด้านจิตใจของเด็ก ๆ  และเน้นการปลูกฝังมากกว่าการหวังผลลัพธ์ระยะสั้น การเรียนรู้ของเด็กต้องมาจากความรักและความเมตตาของครูผู้สอน ที่นี่เด็ก ๆ จะเรียนอย่างมีความสุข สนุก รู้สึกปลอดภัย และรักที่จะมาโรงเรียน

บรรยากาศด้านหน้าโรงเรียน ร่มรื่นมาก ๆ

แนวคิด “เด็กเก่งไม่ต้องเร่ง”

ผู้ปกครองส่วนใหญ่ในปัจจุบัน พยายามที่จะเร่งเรียนให้ลูก ๆ ตั้งแต่เล็ก เด็กบางคนต้องเรียนพิเศษทุกเย็น หรือทุกวันเสาร์-อาทิตย์  เพื่อให้เด็กสามารถสอบได้คะแนนสูง  แนวคิดนี้ส่งผลให้ระบบการศึกษาไทยทั้งระบบโดยพุ่งเป้าไปที่ “การสอบ” และมีความคิดว่าเด็กที่มีผลการเรียนดี  จะประสบความสำเร็จและเป็นเด็กเก่ง ซึ่งจริง ๆ แล้ว การสอบได้คะแนนสูง เป็นเพียงแค่องค์ประกอบเล็ก ๆ ในการดำเนินชีวิต และการเรียนเก่งก็ไม่ได้การันตีว่า เด็กคนนั้นจะประสบความสำเร็จในชีวิตเสมอไป

ที่ โรงเรียนทอรัก เน้นสร้างเด็กให้เก่งโดยไม่ต้องเร่งเรียน ให้เด็กเรียนรู้ตามธรรมชาติ เป็นแนวความคิดของ ครูเชฐ พิเชฐ​ โพธิ์ศรีประเสริฐ ( ผู้ก่อตั้งโรงเรียนทอรัก) เครือข่ายเด็กเก่งไม่ต้องเร่งนั้น มีจุดประสงค์ที่จะเปลี่ยนแปลงค่านิยมของ ผู้ปกครอง  จากเดิมที่มุ่งเน้นการประเมินผลเด็กจากคะแนนสอบเพียงอย่างเดียว  ให้มาเป็นการประเมินผลเด็กจากพัฒนาการทั้ง 4 ด้าน  คือ สังคม อารมณ์-จิตใจ สติปัญญา และร่างกาย  ด้วยแนวคิดที่ว่า เด็กจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ประสบความสำเร็จหรือเป็นคนเก่งต่อไปนั้น  จะต้องมาจากรากฐานการเรียนรู้อย่างมีความสุขซึ่งจะนำไปสู่  “ การเรียนรู้อย่างต่อเนื่องและตลอดชีวิต”

วัยอนุบาล กับ ภาษาธรรมชาติ ( Whole Language Approach )

โรงเรียนทอรักใช้หลักสูตร ภาษาธรรมชาติ หรือ Whole Language ในการจัดการเรียนการสอนสำหรับนักเรียนอนุบาล โดยสอนภาษาตามธรรมชาติของเด็กเพราะธรรมชาติของเด็กมักจะสนใจสิ่งรอบข้าง เด็ก ๆ ชั้นอนุบาลจะได้เรียนรู้ภาษาผ่านกิจกรรมต่าง ๆ มากมายทั้งการทำขนม ดนตรี  ศิลปะ งานเกษตร และอื่น ๆ เรียนรู้จากประสบการ์ณจริงและสิ่งรอบตัวหรือสิ่งที่คุ้นเคย ไม่ใช่การท่องจำ เช่น เมื่อฟังนิทานจบ เด็ก ๆ จะวาดภาพเพื่อถ่ายทอดสิ่งที่เรียนรู้ผ่านการบันทึกภาพ

บรรยากาศการเรียนภาษาในชั้นเรียนมีลักษณะเป็นการร่วมมือกันระหว่างครูและเด็ก ๆ ตั้งแต่การวางแผนคือคิดด้วยกัน เด็กจะไม่ถูกบังคับให้เขียนตัวพยัญชนะ คํา หรือประโยคตามที่ครูสั่ง แต่ในบรรยากาศการสอนแนวใหม่นี้ เด็กจะแสดงความต้องการให้ครูเห็นว่า เขาต้องการเขียนสิ่งที่มีความหมายสิ่งที่เขาอยากบอกให้ผู้อื่นเข้าใจ ในระยะแรกจึงเป็นการที่เด็กสร้างความคิด ซึ่งเกิดจากประสบการณ์ของเด็กและความต้องการสื่อความหมายให้ผู้อื่นทราบ อะไร ทําเมื่อไร ทําอย่างไร  เป็นการเรียนแบบนี้ทำให้เด็กได้เรียนรู้ครบองค์รวม

สำหรับการประเมินผล คุณครูจะประเมินพัฒนาการ 4 ด้าน ของเด็ก คือ ร่างกาย จิตใจ สังคมและสติปัญญา โดยวัดผลจากการบันทึก การเก็บร่องรอยทางภาษาของเด็ก ขณะทํากิจกรรมต่าง ๆ และการสะสมชิ้นงาน โดยประเมินการเรียนรู้ภาษาจากสภาพจริง ไม่มีการสอบวัดคะแนน

ฟังนิทานเสร็จ เด็ก ๆ บันทึกเรื่องราวที่ได้เรียนมาเป็นภาพวาด
กิจกรรมเสริมกล้ามเนื้อมัดใหญ่

Project Approach ( ระดับชั้นอนุบาล )

โรงเรียนทอรักในระดับอนุบาล เน้นให้เด็ก ๆ ได้เรียนรู้ “เป็นเรื่อง” ทุกเรื่องที่เด็ก ๆ สนใจเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมรอบตัว สิ่งที่เด็ก ๆ พบเจอในชีวิตประจำวัน กิจกรรมการเรียนการสอนเป็นเชิงปฏิบัติ ในรูปแบบ Project Approach จะช่วยกระตุ้นให้เด็กได้เรียนรู้ด้วยตนเอง มีส่วนร่วมวางแผนในสิ่งที่ตัวเองสนใจ เปิดโอกาสให้เด็ก ๆ ได้ออกแบบสิ่งที่ตัวเองอยากจะรู้และอยากจะทำร่วมกับแม่ครูและเพื่อน ๆ ทำให้เด็กมีมุมมองที่ดีต่อตนเองและผู้อื่น ช่วยให้เด็กได้เรียนรู้การมีส่วนร่วมในสังคมประชาธิปไตย

กิจกรรมร้อยมาลัย ได้เรียนรู้หลาย ๆ อย่าง ทั้งการช่วยเหลือตนเอง ทำสมาธิ การเแบ่งปัน และอีกมากมาย รวมไปถึงได้เรียนรู้เรื่องดอกไม้ต่าง ๆ อีกด้วย
กิจกรรมทำขนมมันม่วง ได้เรียนรู้ชนิดของมัน ลองชิมส่วนผสม ลงมือทำด้วยตนเอง ผสมผสานทั้งภาษาไทย คณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ไว้ด้วยกัน เรียนรู้ผ่านการลงมือทำ ทำให้จดจำได้ดีมากขึ้น
กิจกรรมเล่นสร้างสรรค์ เป็นกิจกรรมที่เด็ก ๆ รอคอย สามารถออกแบบการเล่นได้เอง โดยมีของเล่นจากธรรมชาติจัดวางไว้ ให้เด็กนำไปเล่นตามจินตนาการของตนเอง
ระบายสีเสริมสร้างจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์

วัยประถม เรียนแบบ Thematic approach และ การสอนแบบโครงการ (Project Approach)

  1. Thematic Approach

คุณครูผู้สอนจะสอดแทรกวิชาต่าง ๆ เข้ามาผสมผสานภายใต้หัวข้อเดียวกัน  ( Themetics ) เช่น สัตว์โลกน่ารัก โดยเด็กจะเรียนรู้ทุกวิชาพร้อมกัน ( วิทยาศาสตร์ สังคม สุขศึกษา ศิลปะและดนตรี ) ผ่านหัวข้อดังกล่าว แนวทางของ Thematic Approach มีข้อดีมากมาย เช่น

  • นักเรียนสามารถมองเห็นความสัมพันธ์ระหว่างองค์ความรู้ในแต่ละวิชา
  • นักเรียนสามารถเชื่อมโยงเนื้อหาที่เรียนกับการดำเนินชีวิต ( บทเรียนนอกห้องเรียน ) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • นักเรียนจะถูกกระตุ้นให้เสนอความคิดเห็นระหว่างกันและกัน ทำให้สามารถขยายองค์ความรู้ได้มากขึ้น
  • นักเรียนจะรู้สึกมีความรับผิดชอบในการเรียนรู้ของตนมากยิ่งขึ้น
  • คุณครูจะเป็น ‘ผู้ช่วย’ มากกว่า ‘ผู้สอน’
  • Project Approach ( ระดับชั้นประถม )

Project Approach ช่วยส่งเสริมให้เด็กได้เรียนรู้และค้นหาสิ่งที่ตัวเองสนใจผ่านการทำกิจกรรมเชิงปฏิบัติที่เน้นให้เด็กลงมือทำด้วยตัวเอง เป็นการเรียนรู้ที่หลอมรวมทักษะวิชาต่างๆ เข้าด้วยกันได้อย่างแนบเนียน เด็กได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริงแบบองค์รวม และยังมีข้อดีมากมาย เช่น

  • เด็กได้รู้จักการแก้ปัญหา เช่นเดียวกับในสถานการณ์จริง ( ปัญหาในโลกปัจจุบันไม่ได้แบ่งเป็นรายวิชา แต่มีมากกว่า 1 วิชา )
  • สมองทำงานได้ดี และรับรู้เร็วกว่า หากได้รับข้อมูลที่มีลักษณะเป็นภาพรวมไม่แยกส่วน ( Seek for Pattern of Meaning )
  • เด็กจะเรียนรู้ลึกและเข้าใจได้มากกว่า เป็นวิธีที่สร้างนิสัยการทำงานเป็นหมู่คณะ (Team Spirit ) และนิสัยการเรียนรู้และการทำงานที่ดี (เป็นความฉลาดของมนุษย์ในด้านความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล และความฉลาดทางอารมณ์ หรือ EQ)

นอกจากนี้พี่ ๆ ชั้นประถม มีวิชาเรียน มากกว่า 8 กลุ่มสาระ เช่น ภาษาชีวิต จินตปัญญา ถักทอ ซึ่งเป็นไฮไลท์ของโรงเรียน เด็ก ๆ จะได้เรียนทั้ง ถักโครเชต์ งานช่าง งานไม้  และอื่น ๆ อีกมากมาย เป็นทักษะพื้นฐานที่จะติดตัวเด็กไปตลอดชีวิต

พี่ประถมเรียนวิชาธรรมชาติศึกษา
ออกกำลังกายกันดีกว่า
เด็ก ๆ ชั้นประถม 4 จะได้สะสมดาว เมื่อทำความดี ถ้าลืมส่งการบ้านก็ต้องนำดาวออกเอง ช่วยหัดให้เด็กรู้จักปรับตัว เพื่อให้ดาวมากขึ้น

เรียนดนตรีแบบ Orff

เด็ก ๆ ทุกคนที่โรงเรียนทอรัก จะได้เรียนดนตรีและการเคลื่อนไหวแบบ Orff Schulwerk คือ การเรียนการสอนดนตรีที่สอดคล้องกับธรรมชาติของความเป็นมนุษย์ ผสมผสานดนตรี การพูด การเคลื่อนไหว และการแสดงละคร ขณะเดียวกันก็เลียนแบบวิธีการเล่นของเด็ก ช่วยพัฒนาปัญญาภายในของเด็ก ๆ เด็กจะซึมซับจังหวะหรือจังหวะที่ต้องการได้ ซึ่งยังนำไปสู่รูปแบบจังหวะของร่างกายและการเคลื่อนไหวตามดนตรีอีกด้วย นอกจากเรียนสนุก และไม่กดดันเด็กแล้วยังช่วยเสริมความคิดสร้างสรรค์พร้อมกับการฝึกวินัย ฝึกรอคอย ฝึกวิเคราะห์ อีกด้วย การเรียนแบบนี้ทำให้เด็กเรียนรู้การสังเกตุ  ส่วนคุณครูก็ได้เข้าใจความเป็นธรรมชาติของเด็ก  เข้าใจความเป็นธรรมชาติของมนุษย์มากขึ้น

เด็กๆ ใกล้ชิด ผูกพันธ์กับคุณครูทุกคน

Mommy Love This ! ถูกใจแม่

  1. ที่นี่เด็ก ๆ จะเรียนคุณครูว่าแม่ เพื่อให้เด็ก ๆ รู้สึกใกล้ชิด สร้างสัมพันธ์ที่ดีระหว่างเด็กและคุณครู เด็กจะรู้สึกผูกพันธ์เหมือนเป็นครอบครัวเดียวกัน
  2. ที่โรงเรียนทอรัก ใช้เพลง ใช้กลอน แทนการออกคำสั่ง แม่ครูจะร้องเพลงเพื่อให้เด็ก ๆ รู้ว่า ตอนนี้ถึงเวลาต้องทำอะไร เช่น เข้าแถวใช้ 1 เพลง เก็บของ ใช้ 1 เพลง โดยไม่จำเป็นต้องสั่งให้ทำ
  3. เรื่องการรับส่งเด็ก ๆ ในโรงเรียน มีความปลอดภัยสูงเลยค่ะ ผู้ปกครองที่มารับต้องมีบัตรรับเด็กเท่านั้น
  4. โรงเรียนจะคุยกับผู้ปกครอง แบบรายคน เทอมละ 1 ครั้ง ครั้งละ ประมาณ 30 นาที แต่หากมีเรื่องไม่ปกติ ครูจะรีบพูดคุยและหาทางแก้ไขร่ววมกับผู้ปกครองทันที
  5. โรงเรียนงดการใช้มือถือ 100% เพื่อพัฒนาการที่ดีของเด็ก ๆ
  6. เด็กที่โรงเรียนทอรัก กล้าถาม กล้าแสดงความคิดเห็น เพราะโรงเรียนจะไม่ตัดสินคำตอบ ไม่มีถูกไม่มีผิด เพื่อปลูกฝังให้เด็กเชื่อมั่นในตนเอง และมี Self Esteem
  7. โรงเรียนมีกิจกรรมพี่พบน้อง น้องพบพี่ เพื่อเชื่อมโยงรอยต่อน้องอนุบาล 3 ที่กำลังจะขึ้นชั้นประถม โดยให้เด็กอนุบาลลองนั่งเรียนกับพี่ ๆ เพื่อสร้างความคุ้นเคยและฝึกพี่ให้รักน้อง ฝึกน้องให้รักพี่
  8. มีโครงการเรียนพิเศษช่วงเย็น สำหรับพี่ประถม 5-6 ที่โรงเรียน เพื่อให้ทักษะแน่นยิ่งขึ้น  สำหรับชั้นเรียนอื่นจะไม่มีการเรียนพิเศษ เพื่อไม่ให้เด็กล้าจนเกินไป
  9. ภาษาต่างประเทศมีครบทั้งภาษาอังกฤษและภาษาจีน สำหรับภาษาอังกฤษจะสอนโดยคุณครูต่างชาติ  ( ครูฟิลิปปินส์ )
  10. ชั้นประถมมีเรียน Coding ทุกชั้นปี เรียกว่าได้ครบทุกอย่างทั้งทักษะชีวิตและเทคโนโลยี

อัตราค่าเล่าเรียน

ประมาณ 30,000 – 50,000  บาท ( มี 2 เทอม )

( อาจมีการปรับเปลี่ยนตามสภาพเศรษฐกิจและตามระเบียบการของแต่ละปีการศึกษาค่ะ )

** ผู้ปกครองจะทราบรายละเอียดค่าเทอม ต้องเข้าร่วมกิจกรรม Open House กับทางโรงเรียนก่อนค่ะ

ที่อยู่ โรงเรียนอนุบาลทอรัก

209 ( ซอยเทศบาลบางปู 70) โอเชียนวิลเลจ สุขุมวิท

ตำบลท้ายบ้าน อำเภอเมืองฯ จังหวัดสมุทรปราการ 10280

Email: [email protected]
https://taurakschool.com/
โทร: 089-679-2500

  • Editor : แม่เลม่อน
  • ภาพ :  ฤทธิรงค์ จันทองสุข

Young Nature Storyteller วาดรูปด้วยสีจากหินแม่น้ำ ให้ลูกเรียนรู้ผ่านธรรมชาติและงานศิลปะ

ทีมกองบรรณาธิการ ABK นำเอาภาพบรรยากาศการ Workshop จากงาน SX 2024 ที่ได้ชวนเด็กๆ มาสนุกกับกิจกรรมจุดประกายอาชีพในฝัน พร้อมกับฝึกทักษะการใช้ชีวิต เสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์ด้วยกิจกรรมการวาดรูปด้วยหินแม่น้ำจากป่าชุมชนทั่วประเทศไทย เพื่อให้ลูกได้ฝึกทักษะใหม่ พร้อมเรียนรู้และเข้าใจความเป็นธรรมชาติให้มากขึ้น ผ่านการใช้ สีธรรมชาติ

อุปกรณ์สำหรับทำกิจกรรมวาดรูปด้วยสีจากหินแม่น้ำ ประกอบด้วย เฟรมผ้าใบ พู่กัน และหิน ซึ่งหินที่นำมาใช้สร้างสรรค์งานศิลปะในวันนี้ เก็บมาจากป่าชุมชนที่มีความอุดมสมบูรณ์ มีแม่น้ำไหลผ่านหลายแหล่ง ทั้งป่าลึก ป่าชุ่มชิ้น แม่น้ำ ลำห้วย และทะเลจากทุกภูมิภาคในประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นหินจากแม่น้ำในป่าชุมชน หรือหินจากดอยอินทนนท์ บ้านตีนกก อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ เป็นต้น

ขั้นตอนแรก เริ่มจากการชวนให้เด็ก ๆ พิจารณาหินแต่ละก้อนว่ามีสีอะไรบ้าง ปล่อยให้เด็ก ๆ ได้เลือกหินก้อนที่ตัวเองชอบอย่างอิสระ ดูว่าหินก้อนไหนน่าสนใจ ด้วยสีสัน รูปร่าง ขนาด กลิ่น และการสัมผัส เปิดโอกาสให้เด็ก ๆ เล่าถึงก้อนหินของตัวเอง ว่าเลือกหินมาจำนวนกี่ก้อน ชอบหินก้อนนี้เพราะอะไร ให้เด็ก ๆ ได้เกิดการคิด วิเคราะห์ ได้สื่อสารความรู้สึกของตัวเองออกมา ฝึกความกล้าแสดงออก เกิดการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นร่วมกันเพื่อน ๆ

ขั้นตอนต่อมาคือการชวนให้เด็ก ๆ ชูก้อนหินแต่ละสีขึ้นมา เช่น สีน้ำตาล สีเหลือง สีชมพู สีเทา สีดำ เป็นการเรียนรู้เรื่องสี สอนให้เด็ก ๆ รู้จักการแยกแยะสีแต่ละสี หากพบว่าตนเองไม่มีหินสีนั้น ก็รู้จักการเอ่ยปากขอหยิบยืมจากเพื่อนโต๊ะข้าง ๆ เกิดการแบ่งปันของให้แก่กัน

ขั้นตอนที่สามคือวิธีการนำสีออกมาจากก้อนหิน ทำได้โดยการ “อาบน้ำ” ให้หินก้อนใหญ่ ด้วยการนำพู่กันจุ่มน้ำระบายลงบนก้อนหินจนชุ่ม แล้วจึงเลือกหินก้อนหินสีที่เราชอบ นำมาฝนบนหินก้อนใหญ่ ออกแรงเพื่อให้ก้อนหินกระเทาะออกมาเป็นสีสำหรับใช้วาดภาพ เป็นการฝึกการใช้มือ ได้ออกแรงขยับกล้ามเนื้อมัดเล็ก เพื่อให้ได้สีออกมา 

การที่เราสามารถขูดสีออกมาากก้อนหินได้ เป็นเพราะก้อนหินเหล่านี้คือหินตะกอนที่มีความอ่อนนุ่ม เพราะเพิ่งย่อยสลายมาจากหินก้อนใหญ่กว่า และเป็นหินที่แช่อยู่ในแม่น้ำ จึงมีความนุ่ม ขูดสีออกมาได้ง่าย ซึ่งขั้นตอนนี้เป็นกรรมวิธีที่เหมือนการทำสีฝุ่นนั่นเอง

ยิ่งมีสีในก้อนหินมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งสื่อถึงความเป็นธรรมชาติมากขึ้นเท่านั้น เป็นสีแห่งการเชื่อมโยง อยู่อาศัยร่วมกันระหว่างคนกับป่าไม้และธรรมชาติ สีที่ปรากฏบนก้อนหินแต่ละก้อนเกิดจากความแตกต่างของแร่ธาตุในหินก้อนนั้น เช่น ก้อนหินสีน้ำตาลอมแดง เป็นก้อนหินที่มีส่วนประกอบของธาตุเหล็ก ซึ่งเป็นธาตุที่เป็นองค์ประกอบในเลือดของเราเช่นกัน จึงทำให้หินก้อนนี้มีกลิ่นคล้ายเหล็กและคล้ายเลือด ดังนั้นจึงแสดงให้เห็นว่าเรากับธรรมชาตินั้นเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน มีความกลมกลืนกัน เราจึงควรช่วยกันดูแลอนุรักษ์ธรรมชาติให้คงความสวยงามอุดมสมบูรณ์ เพื่อให้ป่าต้นน้ำและก้อนหินเหล่านี้ยังคงมีความสมบูรณ์ต่อไป

เมื่อขูดหินจนได้สีที่ต้องการออกมาแล้ว เด็ก ๆ สามารถผสมให้ได้สีที่ต้องการ โดยการนำพู่กันแตะสีมาระบายได้เลย สามารถระบายได้หลากหลายวิธี ไม่ว่าจะเป็นการนำหินไปขูดบนผ้าใบโดยตรง การฝนหินแล้วนำพู่กันแตะสีไประบายลงบนผ้าใบ หรือจะนำสีที่ได้ไปผสมกับสีอื่นหรือผสมกับน้ำเปล่าก่อนระบายก็ได้เช่นกัน 

กิจกรรมนี้ส่งเสริมให้เด็กแต่ละคนได้โชว์ฝีมือ วาดลวดลายลงบนผ้าใบ เลือกสี เลือกลาย ละเลงได้ตามใจชอบ เสริมความคิดสร้างสรรค์ ปลดปล่อยจินตนาการออกมาอย่างเต็มที่ เสร็จแล้วให้เด็ก ๆ ตั้งชื่อภาพของตัวเอง เล่าว่าภาพของตัวเองนั้นเป็นภาพอะไร กระตุ้นให้เด็กรู้จักคิด รู้จักพูดคุย โต้ตอบ และเกิดความภาคภูมิใจกับผลงานของตนเอง ก่อนที่จะนำผลงานที่มีเพียงชิ้นเดียวในโลกของตนเองกลับบ้านไปเป็นที่ระลึก โดนควรระมัดระวังอย่าให้ภาพโดนแดดและน้ำ เพื่อรักษาให้ภาพคงสีสันที่สดใส ไม่ซีดจางเร็วจนเกินไป

สำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่กำลังมองหากิจกรรมสนุก ๆ เสริมการเรียนรู้มาทำร่วมกับลูกรัก ลองชวนลูกออกไปตามหาก้อนหินสีสวย ๆ กลับมาทำ สีจากธรรมชาติ ใช้สร้างสรรค์ผลงานศิลปะชิ้นมาสเตอร์พีซกันได้นะคะ

Tags

เรียนออนไลน์ภาษาอังกฤษ

เรียนภาษาอังกฤษตัวต่อตัว พัฒนาทักษะภาษาเพื่ออนาคตที่ดีขึ้น!

ภาษาอังกฤษ ยังคงเป็นภาษาที่ต้องให้ความสำคัญอยู่เสมอในปัจจุบัน เพราะนอกจากจะเรียนภาษาอังกฤษ เพื่อนำไปใช้สื่อสารหรือการสอบแล้ว ยังสามารถใช้ประโยชน์จากความสามารถทางด้านภาษาในการสมัครงาน หรือการเรียนต่อได้อีกด้วย

การเรียนภาษาอังกฤษก็มีรูปแบบการสอนที่หลากหลาย หากกำลังอยากเรียนภาษาอังกฤษเพื่อพัฒนาตัวเอง หรือเอาไปสอบเรียนต่อยื่นทำงาน มาดูกันว่ารูปแบบการเรียนแบบไหนที่เหมาะกับเรา

สารบัญบทความ
เรียนภาษาอังกฤษ คอร์สเรียนสดหรือออนไลน์ ไม่มีพื้นฐานก็เรียนได้
รูปแบบการเรียนภาษาอังกฤษตามจุดประสงค์แต่ละด้าน มีอะไรบ้าง?
เรียนภาษาอังกฤษแบบปูพื้นฐาน
เรียนภาษาอังกฤษเพื่อใช้สอบ
เรียนภาษาอังกฤษในการทำงาน
เรียนภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวัน
ไม่มีพื้นฐานเลย ควรวางแผนเริ่มเรียนภาษาอังกฤษยังไงดีให้เหมาะกับตัวเอง?
ทำไมถึงควรเริ่มเรียนภาษาอังกฤษตั้งแต่วันนี้?
เรียนภาษาอังกฤษตัวต่อตัว เพื่อพัฒนาทักษะอย่างก้าวกระโดดกับ Englishparks
สรุป เรียนภาษาอังกฤษ อัปสกิลปังทั้งเรียนและทำงาน

รูปแบบการเรียนภาษาอังกฤษตามจุดประสงค์แต่ละด้าน มีอะไรบ้าง?

เพื่อสอบหรือการปูพื้นฐาน ซึ่งแต่ละคอร์สก็จะมีเนื้อหาการเรียนการสอนภาษาอังกฤษที่แตกต่างกัน ในการเลือกคอร์สเรียนภาษาอังกฤษ จึงควรลองสำรวจตัวเองดูก่อนว่าต้องการเน้นทักษะไหน หรือมีจุดประสงค์ในการเรียนเพื่ออะไร

เรียนภาษาอังกฤษแบบปูพื้นฐาน

สำหรับคอร์สเรียนภาษาอังกฤษพื้นฐาน จะเป็นการปูความรู้ในการเรียนภาษาอังกฤษทั้งหมดโดยเริ่มตั้งแต่การปรับพื้นฐาน วางระบบและทำความเข้าใจไวยากรณ์เพื่อต่อยอดในการเรียนรูปแบบอื่น ๆ ที่สูงขึ้น

คอร์สเรียนภาษาอังกฤษแบบปูพื้นฐาน เหมาะสำหรับคนเริ่มเรียนภาษาอังกฤษแบบไม่มีพื้นฐานเลย หรือคนที่อยากปรับพื้นความเข้าใจในภาษาอังกฤษของตนเองให้แน่นขึ้น เพื่อให้สามารถปรับใช้ในการเรียนรูปแบบอื่น ๆ ได้

เรียนภาษาอังกฤษเพื่อใช้สอบ

คอร์สเรียนภาษาอังกฤษเพื่อใช้สอบ จะมีเนื้อหาการเรียนการสอนที่เน้นติวสอบโดยเฉพาะ ซึ่งก็จะแยกคอร์สตามประเภทของการสอบ ไม่ว่าจะเป็นคอร์สติว TOEIC, IELTS, TOEFL หรือการสอบเรียนต่อเข้ามหาวิทยาลัยที่เป็นรูปแบบภาษาอังกฤษอย่าง CU-TEP, TU-GET, TGAT และ A-Level

คอร์สเรียนติวเหมาะกับคนที่ต้องการเน้นการเรียนเพื่อนำไปสอบโดยเฉพาะ โดยเนื้อหาจะครอบคลุมทั้งการวิเคราะห์โจทย์ การเรียนทักษะแต่ละหัวข้อที่มีในการสอบ เช่น Reading, Writing, Grammar รวมถึงการทำข้อสอบจริง เพื่อจับเวลาและเรียนรู้ข้อผิดพลาดในการทำข้อสอบ

เรียนภาษาอังกฤษในการทำงาน

สำหรับใครที่ต้องการเรียนภาษาอังกฤษเพื่อนำไปใช้สำหรับการทำงาน   คอร์สเรียนภาษาอังกฤษตัวต่อตัวถือเป็นตัวเลือกที่ตอบโจทย์เป็นอย่างมาก เพราะเนื้อหาการสอนจะปรับให้เหมาะสมกับพื้นฐานและความต้องการของผู้เรียน เน้นพัฒนาทักษะที่ผู้เรียนต้องการอย่างเฉพาะเจาะจง ทั้งยังสามารถเลือกเวลาเรียนและสถานที่ได้เองตามสะดวก ไม่ว่าจะเรียนภาษาอังกฤษออนไลน์ หรือเรียนสดที่สาขา

อย่างคอร์สเรียนภาษาอังกฤษตัวต่อตัวของสถาบัน Englishparks ก็จะไม่ได้มีการกำหนดเนื้อหาการสอนที่ตายตัว แต่จะมีการจัดเนื้อหาการเรียนที่ครอบคลุมกับความต้องการของผู้เรียน เช่น เรียนเพื่อสื่อสารในการทำงาน หรือการเรียนการสอนอังกฤษเพื่อการสื่อสารในธุรกิจระดับสูง

ในคอร์สตัวต่อตัว ผู้เรียนสามารถแจ้งจุดประสงค์ของการเรียนได้เลย ทางสถาบันจะเตรียมเนื้อหาการสอนที่เหมาะสมกับความต้องการและระดับของผู้เรียน เรียกได้ว่าเหมาะมาก ๆ สำหรับใครที่อยากเน้นทักษะเฉพาะเพื่อนำไปใช้ในการทำงานอย่างเต็มที่ และทางสถาบันจะทำการจัดการสอนโดยครูต่างชาติโดยตรง หรือครูไทยให้ตรงกับความเหมาะสมกับผู้เรียนอีกด้วย

เรียนภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวัน

คอร์สเรียนภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวัน จะเป็นการเรียนเพื่อเน้นพัฒนาทักษะทั่วไปและการใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น การถามทาง การซื้อของ หรือการพูดคุยทั่วไป สามารถเลือกเรียนได้ทั้งทุกทักษะ ทั้งการฟัง การอ่าน การพูด การเขียน นอกจากนี้หากไม่มั่นใจในการออกเสียงพูดภาษาอังกฤษ คอร์สเรียนเสริมทักษะที่ Englishparks มีคอร์ส Pronunciation สำหรับเรียนภาษาอังกฤษเพื่อการพูด การออกเสียงภาษาอังกฤษที่ถูกต้อง สร้างความมั่นใจในการพูดเป็นประโยคให้มากขึ้น

นอกจากนี้ที่ Englishparks ยังมีคอร์ส Grammar ที่จะปูพื้นฐานความเข้าใจด้านไวยากรณ์ทั้งหมดเพื่อให้สามารถนำไปปรับใช้ในการพูด อ่าน และเขียนได้จริงอย่างมีประสิทธิภาพ

ไม่มีพื้นฐานเลย ควรวางแผนเริ่มเรียนภาษาอังกฤษยังไงดีให้เหมาะกับตัวเอง?

การเริ่มเรียนภาษาอังกฤษจาก 0 หรือไม่มีพื้นฐานเลยนั้นก็สามารถทำได้ โดยควรเริ่มต้นด้วยการประเมินทักษะภาษาอังกฤษของตนเองก่อน อาจลองทำข้อสอบวัดระดับภาษาฟรีออนไลน์ และลองเช็กดูว่าตัวเองมีจุดอ่อนหรือจุดแข็งด้านอะไรบ้าง จากนั้นจึงศึกษาวิธีเรียนในรูปแบบที่เหมาะสมกับตนเอง

แต่ถ้าหากต้องการทราบทักษะของตัวเองอย่างแม่นยำ การทดสอบวัดระดับภาษากับทางสถาบันสอนภาษาอังกฤษ ก็เป็นอีกหนึ่งตัวช่วยที่จะทำให้ผู้เรียนทราบว่าตัวเองควรพัฒนาทักษะไหนเป็นพิเศษ และมีโอกาสได้รับคำแนะนำในการวางแผนการเรียนภาษาอังกฤษที่เหมาะสมกับผู้เรียนได้โดยตรงอีกด้วย

ทำไมถึงควรเริ่มเรียนภาษาอังกฤษตั้งแต่วันนี้?

อย่างที่ได้กล่าวไปในข้างต้นว่า ภาษาอังกฤษยังคงเป็นสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญอยู่ในปัจจุบัน ดังนั้นแน่นอนว่าการเรียนภาษาอังกฤษจะสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการสอบเรียนต่อ การใช้ในชีวิตประจำวัน การทำงาน หรือแม้แต่การสอบเพื่อนำคะแนนไปใช้ยื่นโครงการต่างประเทศยอดฮิตอย่าง Work and Holiday

ที่สำคัญคือในยุคนี้ หากใครที่เพิ่งเรียนจบ วัยทำงาน หรือกำลังหางานอยู่ ถ้ามีคะแนนสอบวัดระดับภาษาอังกฤษ ก็มีโอกาสสูงที่จะได้รับเงินเดือนเพิ่มขึ้นอีกด้วย

เรียนภาษาอังกฤษตัวต่อตัว เพื่อพัฒนาทักษะอย่างก้าวกระโดดกับ Englishparks

เรียนภาษาอังกฤษ ที่ไหนดี

หากกำลังหาที่เรียนภาษาอังกฤษ ที่สถาบันสอนภาษา Englishparks มีคอร์สเรียนภาษาอังกฤษหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นคอร์สสำหรับการติวสอบ คอร์สเรียนภาษาเพื่อใช้ในชีวิตประจำวันทั่วไป คอร์สเน้นทักษะ จนไปถึงคอร์สเรียนภาษาแบบตัวต่อตัวที่จะครอบคลุมความต้องการของผู้เรียน

ทางสถาบันจะมีการเน้นการสอนที่พัฒนาตัวบุคคลด้วยการจัดเนื้อหาที่เหมาะสมกับผู้เรียนเพื่อไม่ให้เกิดความกดดัน เน้นบรรยากาศเป็นกันเองภายในห้องเรียน สามารถนำการเรียนการสอนไปพัฒนาประยุกต์ใช้ในการสอบจนสามารถใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน

สำหรับคอร์สติวสอบ ผู้เรียนก็จะมีโอกาสได้ตะลุยโจทย์แบบไม่อั้น พร้อมทั้งได้รับการชี้แนะถึงจุดอ่อนและจุดแข็งที่ควรพัฒนา ในการฝึกทักษะต่าง ๆ เช่น การเขียน ก็สามารถส่งให้ผู้สอนตรวจได้ตลอด เพื่อที่จะได้รับการแนะนำอย่างตรงจุดถูกต้อง เกิดการพัฒนาได้จริงแบบที่สามารถนำไปปรับใช้ได้ด้วยตนเอง

สรุป เรียนภาษาอังกฤษ อัปสกิลปังทั้งเรียนและทำงาน

คนที่ใช้ภาษาอังกฤษได้ดี ยังคงเป็นที่ต้องการของสังคมในยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะในเรื่องของการทำงานและเรียนต่อ ดังนั้นคอร์สเรียนภาษาอังกฤษจึงมีไว้เพื่อพัฒนาทักษะของผู้เรียนในแต่ละด้าน โดยมีตั้งแต่คอร์สเรียนภาษาอังกฤษสำหรับผู้ที่ไม่มีพื้นฐานเลย ไปจนถึงคอร์สเรียนที่เน้นการพัฒนาทักษะเฉพาะด้าน

สำหรับใครที่กำลังมองหาสถาบันสอนภาษาอังกฤษ สถาบัน Englishparks ก็เป็นหนึ่งในโรงเรียนสอนภาษาที่มีคอร์สเรียนหลากหลาย ครอบคลุมทุกความต้องการทั้งวัยนักเรียนและวัยทำงาน มีทีมครูไทยและต่างชาติเจ้าของภาษาที่มีประสบการณ์ด้านการสอนภาษาอย่างถูกต้อง ผู้เรียนสามารถเลือกเรียนได้ตามจุดประสงค์ที่ต้องการ เรียกได้ว่าเป็นสถาบันที่เหมาะจะเป็นที่เรียนภาษาอังกฤษของใครหลายคนอย่างแน่นอน

Young Zookeeper เรียนรู้กับพี่เลี้ยง หมูเด้ง ฮิปโปแคระที่กำลังครองหัวใจคนทั่วโลก

กระแสหมูเด้งยังคงมาแรงอย่างต่อเนื่อง ฮิปโปแคระน้อยที่ทุกคนทั่วโลกต่างหลงรัก และพี่เลี้ยงของ หมูเด้ง ก็มีบทบาทที่น่าสนใจไม่น้อย พี่เลี้ยงคอยมอบความรักและการดูแลเจ้าหมูเด้งน้อยอย่างเต็มที่ในทุก ๆ วัน ทั้งเตรียมอาหารที่เหมาะสมกับลูกฮิปโปแคระ นอกจากนี้พี่เลี้ยงยังต้องคอยตรวจสอบให้แน่ใจว่าหมูเด้งแข็งแรงปึ๋งปั๋ง คอยเล่นด้วยอย่างสนุกสนาน ทำให้หมูเด้งรู้สึกปลอดภัยและไม่เหงา จนได้เห็นหมูเด้งผ่านโซเชียลมากมาย และพ่อแม่อย่างเราก็ต้องพาลูกๆ ไปเยี่ยมชมหมูเด้งตัวเป็นๆ ให้ได้ แล้วจะเป็นอย่างไรหากเด็กๆ สนใจที่จะเป็นพี่เลี้ยงสัตว์ในสวนสัตว์ หรือ Zoo Keeper ทีมแม่ ABK ไปฟังเสวนาที่จัดโดย National Geographic Thailand ร่วมกับ ‘บ้านและสวน Explorers Club’ ในงาน SX 2024 ที่ผ่านมา โดยมี พี่เบนซ์ อรรถพล หนุนดี ผู้ดูแลหมูเด้ง และ คุณณรงวิทย์ ชดช้อย ผู้อำนวยการสวนสัตว์เขาเขียว มาให้ความรู้ในงานกันแบบตัวจริงเสียงจริง

มาทำความรู้จักกับ พี่เลี้ยง หรือ Zoo Keeper ผ่านการถ่ายทอดประสบการณ์ของพี่เบนซ์ และ ผู้อำนวยการสวนสัตว์เขาเขียว เพื่อให้คุณพ่อคุณแม่ได้ตระหนักว่า จะส่งเสริมแรงบันดาลใจให้กับน้องๆ ในเรื่องนี้ได้อย่างไรค่ะ

พี่เลี้ยง หมูเด้ง คือ Zookeeper 

Zookeeper แปลตรงตัวคือ ผู้ดูแลสัตว์ มีบทบาทสำคัญในการรักษาสมดุลระหว่างการให้ความรู้แก่ผู้คน และการดูแลสัตว์อย่างเอาใจใส่ นอกจากนี้ ผู้ประกอบอาชีพนี้ยังนับว่าเป็นนักการศึกษาผู้ชอบเรียนรู้ ผู้สนับสนุนกฎหมายที่หวังพิทักษ์และดูแลสวัสดิภาพของสัตว์ และเป็นผู้ประสานงานระหว่างสัตว์และมนุษย์ทำให้เกิดการอยู่ร่วมกันอย่างมีสันติสุข ทำให้สัตว์ต่าง ๆ มีความสุข ได้รับการอนุรักษ์หรือดูแลอย่างเหมาะสม

Zookeeper ต้องผ่านการฝึกฝน จนมีความเชี่ยวชาญ

หากต้องการเป็น Zookeeper เด็ก ๆ หรือผู้ใหญ่ที่สนใจ ไม่เพียงต้องมีความรักสัตว์และสนใจในธรรมชาติของสัตว์ต่าง ๆ เท่านั้น แต่ต้องมีความกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้ด้วยตัวเอง ศึกษาจากผู้เชี่ยวชาญ และเข้าฝึกอบรม เพื่อให้พร้อมสำหรับการดูแลสัตว์ที่ไม่ได้มีแค่ชนิดเดียว แต่มีมากมายหลายชนิด หลากหลายสายพันธุ์ 
ทักษะพิเศษของ Zookeeper ได้แก่

  1. ความอดทน เนื่องจากสัตว์ต่าง ๆ โดยธรรมชาติมักแสดงพฤติกรรมที่ยากต่อการควบคุม และไม่เข้าใจการสื่อสารของมนุษย์เหมือนกับสัตว์เลี้ยงตามบ้าน มีความระแวงมากกว่า ต้องใช้เวลาทำความรู้จักกัน และหมั่นวนเวียนดูแลอย่างใกล้ชิดเพื่อพัฒนาการสื่อสารระหว่างกัน 
  2. ทักษะการจัดที่อยู่ และสังเกตพฤติกรรมสัตว์ ทำให้สัตว์อยู่ในสภาพแวดล้อมและอุณหภูมิที่เหมาะสม ได้รับอาหารและน้ำอย่างพอเพียง ได้รับยาและการดูแลพิเศษหากไม่สบาย 
เครดิตภาพ : Facebook ขาหมู แอนด์เดอะแก๊ง

ประสบการณ์ประจำวัน ในการดูแลเจ้า หมูเด้ง ลูกฮิปโปแคระ

การเริ่มต้นวันใหม่ของพี่ Zookeeper ที่ดูแลหมูเด้ง มักเริ่มต้นด้วยการตรวจสอบสภาพและความสะอาดของพื้นที่อยู่ การเตรียมอาหารที่เหมาะสมกับฮิปโปแคระ มีการจัดเตรียมผักสดและผลไม้ที่ล้างทำความสะอาดอย่างดีเพื่อหลีกเลี่ยงสารพิษที่อาจปนเปื้อนมากับอาหาร ทางพี่เลี้ยงมักคอยสังเกตการณ์พฤติกรรมของหมูเด้งอย่างสม่ำเสมอ ทั้งการเคลื่อนไหว การกินอาหาร และการโต้ตอบกับสัตว์อื่น ๆ ในสวนสัตว์ เพื่อให้แน่ใจว่าหมูเด้งแข็งแรง ไม่เจ็บป่วยหรือเกิดความเครียด 
หากมีการพบว่าหมูเด้งไม่สบายหรือมีพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไป ทางพี่เลี้ยงจะรีบประสานงานกับสัตวแพทย์เพื่อให้เข้ามาตรวจสุขภาพและทำการรักษาให้เร็วที่สุด
การดูแลหมูเด้งทุก ๆ วัน พี่เลี้ยงแสดงทั้งความรับผิดชอบและทุ่มเท  หมั่นเล่นกับหมูเด้งด้วยความรักและเอาใจใส่ การดูแลสัตว์นั้นแท้ที่จริงผู้ดูแลต้องมีใจรักจึงเล่นด้วย ไม่ได้เป็นการเล่นที่เน้นสนุกเป็นสำคัญ แต่เล่นเพราะต้องการดูแลให้สัตว์มีความรู้สึกปลอดภัย และผ่อนคลายเมื่ออยู่ด้วย พวกสัตว์จึงใช้ชีวิตตามลักษณะธรรมชาติของพวกเขา แม้จะอยู่ในพื้นที่ซึ่งมนุษย์กำกับดูแลเพื่ออนุรักษ์พวกเขาก็ตาม

ความท้าทายในงานของ Zookeeper

หากสัตว์ป่วยหรือบาดเจ็บ จะต้องรีบติดต่อกับสัตวแพทย์ มีการจัดการตามขั้นตอนที่เหมาะสม เพื่อให้สัตว์ต่าง ๆ ได้รับการดูแลที่ดีที่สุด การที่สวนสัตว์จะตรวจพบอาการป่วยในสัตว์ตั้งแต่ระยะเริ่มแรก ผู้เป็นพี่เลี้ยงต้องสังเกตได้อย่างละเอียด รอบคอบ และรู้เกี่ยวกับพฤติกรรมของสัตว์ต่าง ๆ ในเวลาปกติเป็นอย่างดี
หากสัตว์มีความเครียด รวมถึงแสดงพฤติกรรมไม่พึงประสงค์ ทางผู้ดูแลก็ต้องตัดสินใจอย่างรวดเร็ว และลงมือแก้ไขปัญหา อาจจะปรับเปลี่ยนสภาพแวดล้อม หรือใช้เทคนิคใหม่ ๆ ในการเข้าหาหรือดูแลเพื่อลดความก้าวร้าว 
ทั้งนี้ การทำงานร่วมกับทีมสัตวแพทย์และผู้เชี่ยวชาญอื่น ๆ ในสวนสัตว์ ช่วยพี่เลี้ยงสัตว์รับมือกับเรื่องยาก ๆ ท้าทายได้สำเร็จด้วยดี

พี่เลี้ยง Zookeeper ผู้ประชาสัมพันธ์แทนธรรมชาติ

Zookeeper ในปัจจุบัน พวกเขามีช่องทางออนไลน์หลากหลายแพลตฟอร์มเพื่อสื่อสารความรู้ และเพิ่มความตระหนักรู้เกี่ยวกับการอนุรักษ์สัตว์ และการดูแลธรรมชาติ ทางพี่เลี้ยงของหมูเด้งเองได้นำทั้งภาพน่ารัก ๆ และเรื่องเล่ามากมายมาแฝงอยู่ในการสื่อสารกับสาธารณชน เพื่อจะทำให้คนมีความต้องการอยากจะดูแลและอนุรักษ์หมูเด้งและสัตว์อื่น ๆ เช่นเดียวกันกับพี่เขา 

เครดิตภาพ : Facebook ขาหมู แอนด์เดอะแก๊ง

หมูเด้งเป็นซอฟต์เพาเวอร์ที่ทำให้ต่างชาติพูดถึงประเทศไทยมากขึ้น หลายคนอยากมาดูตัวหมูเด้งถึงที่ มีผลิตภัณฑ์และภาพวาดของขวัญมากมายจากศิลปินมากหน้าหลายตาบนอินเตอร์เน็ต ขณะเดียวกันผู้คนทั่วโลกก็ได้สนทนาและตระหนักถึงฮิปโปแคระว่าเป็นสัตว์ที่มีจำนวนหลงเหลือเพียงหลักพันในธรรมชาติ 
สรุปแล้ว การทำงานของ Zookeeper นอกเหนือจากการใช้เวลาจัดการสภาพแวดล้อมและอาหารให้กับสัตว์ ยังส่งเสริมให้สวนสัตว์มีการบริหารจัดการที่ดี และยังช่วยสนับสนุนการอนุรักษ์สัตว์ป่าในวงกว้างได้อีกด้วยค่ะ หากเด็กๆ อยากเป็นพี่เลี้ยงหมูเด้ง ก็

Tags

เดอะศาลายาชวนตะลุยชุมชนตำบลศาลายา ชิมหมูกระทะถาดยักษ์นานาชาติ

เริ่มเข้าใกล้หน้าหนาว หากคุณพ่อคุณแม่กำลังหาสถานที่และกิจกรรมสำหรับทุกคนในครอบครัว ลองมาที่ เดอะศาลายา กลับทริปมนต์รักหมูกระทะ พาเด็กๆ นั่งตุ๊กๆ ไปชมนาบัว อุดหนุนผลิตภัณฑ์ของชุมชน ปิดท้ายด้วยหมูกระทะ และยังสามารถพาเด็กๆ เข้าชมการแสดงสุดน่ารักกับพี่ๆ ในมัจฉานุแลนด์ด้วย

เปิดประสบการณ์ตะลุยวิถีชุมชนตำบลศาลายากับเดอะศาลายา เลเชอร์ ปาร์ค ในทริปมนต์รักลูกทุ่ง เพื่อสนับสนุนศรษฐกิจชุมชนรอบบริเวณที่ตั้งของโครงการฯ

เริ่มต้นขบวนจากเดอะศาลายา เลเชอร์ ปาร์ค ด้วยรถตุ๊กตุ๊ก มุ่งหน้าสู่นาบัวลุงแจ่ม เพื่อเรียนรู้การทำนาบัว การพายเรือเก็บบัวกลางบึง และเรียนรู้การพับกลีบดอกบัวในรูปแบบต่างๆ หลังจากดื่มด่ำกับบรรยากาศริมนาบัวอันสดชื่น ก็นั่งตุ๊กตุ๊กไปชมสาธิตการทำข้าวตังสด ณ บ้านศาลาดิน ฟินเวอร์กับการลงมือทำและชิมกันสดๆ โดยเฉพาะทุกวันเสาร์-อาทิตย์ พลาดไม่ได้กับการ ชิม-ชอป-ชิลล์ ที่ตลาดน้ำบ้านศาลาดิน ถิ่นค้าขายสินค้าเกษตรและอาหารการกินจากชุมชนคนละแวกนั้น ซึ่งนำมาจำหน่ายในราคาถูก จนใครก็อดใจไม่ไหวซื้อกลับไปเต็มไม้เต็มมือแน่นอนค่ะ

หลังจากนั้น ตุ๊กๆ จะพาคณะทัวร์นำดอกบัวจากนาบัวที่พับเรียบร้อยแล้ว มาไหว้พระที่วัดสาลวัน รวมถึงสักการะเทพ ท้าวเวสสุวรรณ เพื่อเป็นสิริมงคล

ใกล้เที่ยง เดินทางกลับมากินหมูกระทะระดับโลกสูตรน้ำจิ้มแจ่วแบบไทยๆ ในบรรยากาศริมคลองมหาสวัสดิ์ ณ ร้านบังกะโล ริเวอร์ ภายในบริเวณเดอะศาลายา เลเชอร์ ปาร์ค ย่างไป จุ่มไป กินลมชมวิวกันไป สบายอารมณ์ เรียกได้ว่าวันเดย์ทริปครั้งนี้ ทั้งกินทั้งเที่ยวเฟี้ยวเงาะสุดๆ แพคเกจเพียงท่านละ 555 บาทเท่านั้น 

สำหรับใครที่อยากทานหมูกระทะโดยเฉพาะ ที่เดอะศาลายา เลเชอร์ ปาร์ค เป็นแลนด์มาร์คหมูกระทะนานาชาติระดับโลกในจังหวัดนครปฐม แหล่งฟาร์มหมูคุณภาพเกรดเอที่ขึ้นชื่อลือชามาแสนนานจวบจนปัจจุบัน แถมยังสามารถเลือกได้ตามใจว่าต้องการรสชาติของน้ำซุปและน้ำจิ้มแบบใดตามสไตล์ของแต่ละร้านได้เลย อาทิ

  • หมูกระทะญี่ปุ่นที่ร้านฮารุสุกี้นาเบะ
  • หมูกระทะเกาหลีที่ร้านฮาวอน
  • หมูกระทะฮ่องกงที่ร้านฮ่องกงเปี้ยนตัง
  • หมูกระทะบังกระโลที่ร้านบังกะโลริเวอร์

โดยในถาดยักษ์รูปทรงพระปฐมเจดีย์ที่ยกมา นอกจากประดาทุกชิ้นส่วนของหมูแล้ว ยังมีซีฟู๊ดเรียงร้อยมาแบบจัดเต็ม ทั้งปลาหมึกสด ปลาหมึกกรอบ แมงกระพรุน  หอยแมลงภู่ ชิกุวะ ปลาและกุ้ง เสริฟมาพร้อมผักสดประดามี เรียกได้ว่าหนึ่งชั่วโมงกว่าๆ ในราคาเพียง 999 บาท สำหรับ 4 ท่าน อิ่มอร่อยถูกใจใช่เลยแน่นอน นั่งเหยียดพุงกันสักเล็กน้อย ก็ถึงเวลาไปใช้บริการฟรี! 2 ฐานกิจกรรมตามแพคเกจนี้อีกต่างหาก อาทิ ซิปไลน์ในโซนแอดเวนเจอร์ไอแลนด์ พายเรือคายัคหรือนั่งเรือเป็ดไฟฟ้าชมวิวทิวทัศน์ในคลองมหาสวัสดิ์ สกรีนเสื้อลายยันต์หลากหลายมากมายรูปแบบในไทยโซน หรือแม้กระทั่งชวนกันไปร้องคาราโอเกะในระบบเธียเตอร์สุดอลังการไม่เหมือนใคร ฯลฯ

สำหรับน้องๆ หนูๆ ที่อยากชวนชมโชว์แฟนตาซีที่เล่าเรื่องราวของมัจฉานุกับการผจญภัยกล่องสมบัติในถ้ำหนุมานใช้เวลาประมาณ 45 นาที สามารถพาน้องๆ เข้าชมได้ โดยมีค่าเข้าชมท่านละ 800 บาท

นอกจากนี้ คุณพ่อคุณแม่ก็สามารถไปผ่อนคลายที่สถานีสปาสุมนไพรภายใน 30 นาที ราคาสถานีละ 1,000 บาทต่อท่าน สามารถเลือกได้ตามใจ ไม่ว่าจะเป็น Salt Sauna ห้องซาวน่าเกลือหิมาลายันสำหรับอบตัว Herb Sento ห้องแช่น้ำสมุนไพรในถังไม้โอ๊ค Clay Bath ห้องพอกตัวขัดตัวและแช่น้ำนมในอ่างโคลนขาว ก่อนกลับอย่าลืมแวะเติมพลังกับเครื่องดื่มเมนูโปรดที่ HUB Cafe และถ่ายรูปกับน้องหมีส้มซ่าส์ มาสคอตตัวล่าสุดของเดอะศาลายา เลเชอร์ ปาร์ค

เดอะศาลายา เลเชอร์ ปาร์ค นอกจากจะเดินทางมาได้ด้วยรถส่วนตัวแล้ว สามารถมาด้วยรถไฟ โดยแนะนำให้ไปเริ่มต้นที่ชุมทางตลิ่งชันแล้วมาลงที่สถานีศาลายา ทั้งนี้ หากจองแพคเกจหรือตั๋วเข้าชมใดๆ ล่วงหน้ามาก่อน ทางเดอะศาลายา เลเชอร์ ปาร์ค จะมีรถตุ๊กตุ๊กพร้อมเจ้าเงาะไปรับไปส่งถึงสถานีรถไฟกันเลยทีเดียว สามารถเชคเที่ยวเดินรถไฟล่วงหน้าได้ที่เวปไซด์การรถไฟแห่งประเทศไทย www.railway.co.th

เดอะศาลายา เลเชอร์ ปาร์ค ได้รับรางวัลประเภทการท่องเที่ยวคาร์บอนต่ำเพื่อความยั่งยืน (Low Carbon & Sustainability) ประจำปีพุทธศักราช 2566 นอกจากนี้ยังได้รับรางวัลอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย (Thailand Tourism Awards) หรือรางวัลกินรีที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยมอบให้แก่ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวทุกๆ 2 ปี เพื่อตอกย้ำเป้าหมายการยกระดับมาตรฐานอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย Sustainable Tourism Goals : STGs สู่การเติบโตอย่างยั่งยืน (High Value and Sustainability)

หากสนใจ สามารถสอบถามเพิ่มเติมที่ : เดอะศาลายา เลเชอร์ ปาร์ค  ตรงข้ามสถานีรถไฟศาลายา  เยื้องประตู 5 ม.มหิดล ศาลายา นครปฐม
โทรจองและสอบถามข้อมูล:  
081-257-6053,  090-197-6009,  02-429-8401 ต่อ 141

Tags

เกาะขอบรั้ว โรงเรียนอนุบาลบ้านหวาน บ้านหลังเล็กที่เต็มไปด้วยการเรียนรู้ยิ่งใหญ่มาก

ใครจะไปคิดว่าเราจะไปเจอโรงเรียนที่น่าสนใจให้ลูกเข้าเรียน จากเพจเฟซบุ๊กของแกลเลอรีศิลปะ !?

เริ่มจากทีมแม่ ABK บังเอิญไปเจอแกลเลอรีแห่งหนึ่ง แชร์ภาพเด็กน้อยในชุดยูนิฟอร์มอนุบาลกำลังวิ่งเล่นและดูผลงานศิลปะมูลค่าหลายหมื่นบาทอย่างสนุกสนานอิสระเสรี จนต้องตั้งคำถามว่าโรงเรียนแบบไหนที่จะพาลูกเราไปดูงานศิลปะ “ของจริง” ขนาดนี้ แล้วโรงเรียนจะทำอะไรต่อเมื่อกลับไปแล้ว พอเราตามไปดูก็พบโรงเรียนที่ให้เด็กอนุบาลวาดภาพลงบนเฟรมผ้าใบอย่างอิสระ และจัดแสดงนิทรรศการอย่างจริงจัง มีการซื้อขายจริงๆ ในโรงเรียนของตัวเอง เหมือนกับสิ่งที่เขาได้ไปเรียนรู้มา

บรรยากาศโรงเรียน

ที่นี่คือโรงเรียนอนุบาลบ้านหวาน โรงเรียนอนุบาลขนาดเล็ก ที่มีอาคารเรียนเพียง 1 อาคาร มีห้องเรียนระดับละ 1 ห้อง แต่มีกิจกรรมการเรียนรู้ที่ยิ่งใหญ่ไม่แพ้โรงเรียนไหนเลย

“พื้นที่ของเรา เราสามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างคุ้มค่า ถึงแม้มันจะดูไม่ได้ใหญ่โตมากมาย อย่างสนามหญ้าตรงนี้ บางคนอาจจะมองว่ามันเล็กแค่นี้เองหรอ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นที่นี่มันมากมายเหลือเกิน…” คือคำพูดของ “ครูขิม-ทศา เที่ยงธรรมเจริญ” ผู้อำนวยการโรงเรียน ที่สะท้อนความตั้งใจในการสร้างการเรียนรู้ให้กับเด็กๆ โดยไม่มีข้อจำกัดด้านพื้นที่

ครูขิม-ทศา เที่ยงธรรมเจริญ ผู้อำนวยการโรงเรียนอนุบาลบ้านหวาน

“บ้านหลังที่ 2 ของลูก”

ครูขิมเล่าว่าโรงเรียนอนุบาลบ้านหวานก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2548 โดยคุณพ่อได้สร้างอาคารเรียนขึ้นมาใหม่บนพื้นที่ใกล้เคียงกับโรงงานเฟอร์นิเจอร์ที่เป็นธุรกิจหลักในขณะนั้น ตัวอาคารจึงถูกออกแบบโดยบุคคลากรที่มีความรู้ด้านอินทีเรียดีไซน์ ให้ออกมาอบอุ่น เรียบง่าย กะทัดรัด แต่ใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ภายในโรงเรียนมีพื้นที่อำนวยความสะดวกครบครัน ทั้งอาคารเรียน เพลย์รูม หอประชุม สระว่ายน้ำ โรงอาหาร สนามหญ้ากลางแจ้ง บนพื้นที่เพียง 400 กว่าตารางวา บนย่านเศรษฐกิจในเขตพระโขนง ตั้งอยู่ไม่ไกลจากสถานีบีทีเอสอ่อนนุช

“เราอยากทำโรงเรียนให้เหมือนบ้านหลังที่ 2 แบบที่ใคร ๆ ก็พูดกันว่าโรงเรียนคือบ้านหลังที่ 2 ของเด็ก แต่เราอยากทำให้มันเป็นแบบนั้นจริง ๆ ทั้งบรรยากาศ ทั้งความรู้สึกของเด็ก ๆ ที่ได้มาอยู่ที่นี่” ครูขิมอธิบายให้เราฟัง

เด็กๆ กำลังเล่นสวมบทบาทสมมติด้วยอาหารจริง บริเวณสนามหญ้ากลางแจ้ง

“ที่บ้านหวาน เรื่องเล่นจริงจังมาก”

เมื่อตั้งใจให้โรงเรียนเป็นบ้านหลังที่ 2 โรงเรียนอนุบาลบ้านหวานที่ใช้หลักสูตรสามัญปกติ จึงเน้นกระบวนการเรียนรู้ผ่าน Play-Based Learning คือ การบูรณาการการเรียนรู้และทำกิจกรรมต่าง ๆ ผ่านการเล่น โดยมีการใช้ Project Approach ในการทำโครงงานนักเรียนช่วงปลายภาคเรียน โดยให้เด็ก ๆ เลือกโหวตหัวข้อที่ตนเองสนใจ แล้วก็ใช้เวลาเรียนรู้ศึกษาอย่างลุ่มลึก 4 สัปดาห์ ในวันสุดท้ายของภาคการศึกษาจะเป็นการนำเสนอผลงานผ่านนิทรรศการโครงงานนักเรียน เพื่อให้ผู้ปกครองได้มาชมร่องรอยการเรียนรู้และผลงานของลูก ๆ

และเมื่อเราถามว่าที่ให้เล่นนั้น คือ ให้เล่นขนาดไหน ครูขิมจึงพาเราเดินชมโรงเรียนที่เด็ก ๆ กำลังทำกิจกรรมอาหารดีมีประโยชน์ ในหน่วยการเรียนรู้ “อาหาร” ประจำภาคเรียน ซึ่งเด็ก ๆ ทุกห้องกำลังลงมือเล่นอาหารอย่างเอิกเกริกที่สุด

-ทั้งเสียงเจื้อยแจ้วจากสนามหญ้าที่เด็กลงมือสัมผัสเส้นสปาเก็ตตี้ ข้าวเหนียว ตักไอศกรีมที่ทำจากแป้งโดว์ แล้วสวมบทบาทสมมติอย่างอิสระ ทั้งเป็นแม่ค้า คนซื้อ คุณแม่ คุณลูก อย่างสนุกสนาน

-ทั้งเสียงร้องอี๋ เมื่อเด็ก ๆ ดมส่วนผสมจากห้องที่กำลังทำเกี๊ยว ทุกคนทั้งตัก หัน ผสม ทอด ด้วยตัวเอง โดยมีคุณครูคอยดูแลอยู่ใกล้ๆ และนำมาทานด้วยกัน

-ทั้งเสียงประหลาดใจ “สีมันเปลี่ยนแล้ว” จากห้องเรียนที่กำลังทดลองวาดภาพจากขมิ้น ที่เมื่อเจอน้ำด่างแล้วกลายเป็นลายเส้นสีแดง

ชั่วเวลาไม่นานเราได้เห็นการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นมากมายในโรงเรียน ทั้งการใช้ประสาทสัมผัสทั้ง 5, ทักษะทางวิทยาศาสตร์, การคำนวน, การสวมบทบาทสมมติ ฯลฯ เป็นการเรียนรู้ที่เด็กซึมซับโดยไม่รู้ตัว

กิจกรรมวาดภาพจากขมิ้น ที่บูรณาการการเรียนรู้ทั้งการสัมผัส วิทยาศาสตร์ ศิลปะ พืชพันธุ์ อาหาร ไว้ด้วยกัน

“เพราะเล็ก จึงทั่วถึง”

ทางโรงเรียนอนุบาลบ้านหวานตั้งใจเปิดแค่ในระดับอนุบาลเพราะต้องการดูแลโรงเรียนอย่างทั่วถึงในทุกมิติ ทั้งนักเรียนและคุณครู ครูขิมเชื่อว่าเมื่อโรงเรียนมีขนาดกะทัดรัดคล่องตัว จะเอื้อต่อการสร้างบรรยากาศในการเรียนรู้ การออกแบบกิจกรรมให้สอดคล้องกับพัฒนาการของเด็กจริง ๆ ให้เด็ก ๆ ได้เรียนรู้ตามวัยของเขาอย่างมีความหมาย เพื่อให้โรงเรียนกลายเป็น community เล็ก ๆ ที่สามารถสร้างเมล็ดพันธุ์ให้เด็กโตไปเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพได้ ที่โรงเรียนจึงไม่มีเด็กคนไหนถูกทิ้งไว้ข้างหลัง ทุกคนจะได้รับโอกาสให้เข้าร่วมกิจกรรม และกระตุ้นให้ปฏิบัติอย่างทั่วถึงกัน

กิจกรรมทำอาหารทานเอง เด็ก ๆ ได้เรียนรู้วิธีทำไข่เค็มและเกี๊ยวทอด โดยต้องนำวัตถุดิบมาเองและลงมือทำด้วยตัวเองทีละคนจนครบทุกคน

“การเรียนรู้ไม่หยุดนิ่ง”

นอกจากจะเล่นอย่างจริงจัง แต่การเรียนรู้ตามหลักสูตรเองทางโรงเรียนก็ไม่ทอดทิ้ง โรงเรียนอนุบาลบ้านหวานมีการปรับหน่วยการเรียนรู้ในแต่ละภาคเรียนให้ทันสมัยอยู่เสมอ เช่น หน่วยปลอดภัยไว้ก่อน มีการเพิ่มทักษะการเอาตัวรอดจากเหตุการณ์ถูกล็อคอยู่ในรถยนต์หรือเหตุการณ์กราดยิงตามห้างสรรพสินค้า การวางแผนกิจกรรมการเรียนรู้ต่างๆ มีการประชุมสรุปผลการเรียนรู้ทุกภาคเรียน เพื่อปรับให้มีประโยชน์สูงสุดต่อตัวเด็ก

มีการเรียนเขียนอ่านโดยไม่กดดัน ไม่บังคับให้ท่องจำ แต่หากใครชอบใครสนใจอยากเขียนอยากอ่านก็เปิดโอกาสให้ทำ เนื่องจากการเข้าชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 จึงต้องสอบเขียนอ่าน เด็ก อ. 3 โรงเรียนนี้จึงอ่านออกเขียนได้ บวกลบเลขได้ มีการใช้นิทานและเกมเข้ามาช่วยในการเรียนรู้ เพื่อให้เกิดความสนุกและเกิดความรู้สึกที่ดีเกี่ยวกับการเขียนอ่าน

เด็ก ๆ มีความสุขในบ้านหลังที่ 2

 

Mommy Love This! เรื่องนี้ถูกใจแม่

  1. การประเมินนักเรียนของที่นี่ไม่มีการสอบ ไม่มีการวัดเกรด แต่มีการประเมินพัฒนาการทั้ง 4 ด้าน (ร่างกาย อารมณ์ สังคมและสติปัญญา) โดยการใช้การปฏิบัติและการสังเกตของคุณครู
  2. มีเรียนว่ายน้ำภายในโรงเรียน เรียนสัปดาห์ละ 1 ครั้ง
  3. โรงเรียนพานักเรียนออกไปทัศนศึกษา One Day Trip เป็นประจำเพื่อส่งเสริมหน่วยการเรียนรู้ที่เรียนอยู่ โดยเลือกสถานที่และกิจกรรมที่เหมาะกับวัย และดูแลความปลอดภัยอย่างดี เช่น ห้องสมุด ศูนย์การเรียนรู้ หอภาพยนตร์ หอศิลป์ ฯลฯ
  4. โรงเรียนขนาดเล็กที่คุณครูรู้จักเด็กทุกคน จึงอบอุ่นและปลอดภัยมาก

5 สิ่งหวานๆ ที่ทำให้เด็กๆ อยากมาโรงเรียนอนุบาลบ้านหวานทุกวัน

1 ที่นี่เป็นโรงเรียนที่เปิดโอกาสให้เด็ก ๆ ได้เล่นแบบที่ได้เรียกว่าเล่นจริง ๆ บางสิ่งบางอย่างหาไม่ได้จากที่บ้าน หรืออาจจะไม่มีโอกาสได้หยิบจับที่บ้านเลย อย่างเช่น มีด ที่บดอาหาร หรืออุปกรณ์ที่ดูจะเป็นอันตราย แต่เขาจะได้เล่นที่โรงเรียนอย่างปลอดภัย

2 เด็กๆ จะได้เป็นตัวของตัวเองแบบที่ยังมีขอบเขตอยู่ เขาสามารถเป็นตัวของตัวเองได้ เขาบอกความต้องการของตัวเองได้ เขาสามารถค้นหาตัวเองได้ว่าเขาชอบทำอะไร โดยคุณครูให้อิสระกับเขาเต็มที่

3 เด็กๆ บอกว่าอาหารอร่อย จนกลับไปบอกที่บ้านว่าให้ทำเมนูแบบที่โรงเรียนได้ไหม ซึ่งทางโรงเรียนทำอาหารด้วยความตั้งใจ เพื่อให้เด็กๆ อิ่มท้องอิ่มใจกับการมาโรงเรียน

4 พื้นที่สีเขียว ที่ถึงแม้พื้นที่จะดูเล็กแต่ที่นี่มีต้นไม้มาก โรงเรียนเน้นให้เด็กๆ อยู่กับธรรมชาติ เรียนรู้ผ่านธรรมชาติ ก้อนหิน ต้นไม้ ดอกไม้ ที่เขาได้เห็น มันจะช่วยเรื่องสุนทรียศาสตร์ทางด้านอารมณ์ของเด็กๆ ด้วย

5 คุณครูใจดีที่รู้จักและเข้าใจเด็กทุกคน ผู้อำนวยการโรงเรียนจะเป็นผู้สัมภาษณ์คุณครูทุกคน เพื่อให้ได้คุณครูที่มีความเข้าใจในการพัฒนาเด็กปฐมวัย

ข้อมูลโรงเรียน

-หลักสูตรสามัญ บูรณาการการเรียนรู้ผ่านการเล่น

-มี 2 ภาคการศึกษา

-มีระดับชั้น เตรียมอนุบาล, อนุบาล 1-3

-ระดับชั้นละ 1 ห้อง เตรียมอนุบาลห้องละ 20 คน, อนุบาล1-3 ห้องละ 25 คน

-ครูปฐมวัยประจำชั้น 1 คน และครูคู่ชั้นประจำห้อง 1 คน

 

ค่าเทอม

เตรียมอนุบาล เทอม 1 = 34,000 บาท, เทอม 2 = 29,000 บาท

ชั้นอนุบาล 1-3 เทอม 1 = 36,000 บาท, เทอม 2 = 31,000 บาท

 

ติดต่อโรงเรียนอนุบาลบ้านหวาน

ที่ตั้ง : ซอยสุขุมวิท 54 เขตพระโขนง กรุงเทพฯ

โทร. 02 332 8021

Email: [email protected]

Facebook: https://www.facebook.com/baanwaan.kindergarten

LINE OA: @baanwaan.kdgt

 

Editor : แม่น้องอลินดา

ภาพ : ณัฐวุฒิ เพ็งคำภู