สุดน่ารัก ^_^ เด็กน้อยอยากเลี้ยงเหา (มีคลิป)

จะว่าไปแล้วเหากับเด็กก็เป็นของคู่กัน เด็กส่วนใหญ่มักต้องพบเจอประสบการณ์การเป็นเหามากเกือบทุกคน โดยเฉพาะเด็กผู้หญิง หรือเด็กผู้ชายบางคนที่ไว้ผมยาวก็อาจติดเหาได้เหมือนกัน และเชื่อว่าคุณแม่หลายคนก็คงไม่มีใครปลื้มหรือชอบแน่หากลูกน้อยเป็นเหา…เช่นเดียวกับคุณแม่คนนี้ที่ต้องการกำจัดเหาจากลูกชายวัย 5 ขวบ แต่กับถูกปฏิเสธจากหนุ่มน้อยว่าอย่าฆ่าเหา เป็นเพราะอะไรไปชมคลิปกันเลยค่ะ

V

V

V

<< นะโมอยากเลี้ยงเหา เพราะว่ามันน่ารัก >>


ขอบคุณคลิปวีดีโอสุดน่ารัก จาก Namo Kub

    อาหารแก้ท้องผูก

    อาหารแก้ท้องผูก สำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์

    อาการท้องผูกระหว่างตั้งครรภ์ของคุณแม่เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ สาเหตุเกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางฮอร์โมนโปรเจสเตอร์โรน ทำให้กระบวนการย่อยอาหารช้าลง และทำให้ลำไส้ใหญ่ดูดซึมน้ำในปริมาณมากเกินไป ประกอบกับมดลูกขยายตัว เรามาดู อาหารแก้ท้องผูก กันค่ะ

    Continue reading “อาหารแก้ท้องผูก สำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์”

      Give birth

      Give birth วินาทีประทับใจในการคลอดลูกน้อย

      จากประสบการณ์ของคุณแม่ที่ออกมาเล่าวินาทีสุดประทับใจในการคลอดลูก (Give birth) ฉลองวันครบรอบวันเกิดของลูกชาย ด้วยการถ่ายภาพนาทีสำคัญของชีวิตลูกน้อย ภาพอาจจะทำให้คุณแม่บางท่านหวาดเสียวไปบ้าง แต่ก็เป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่คุณแม่ประทับใจและอยากจะบอกต่อ

      Continue reading “Give birth วินาทีประทับใจในการคลอดลูกน้อย”

        เบบี๋น้ำลายไหลย้อย ผิดปกติหรือไม่?

        ปัญหาเรื่องน้ำลายไหลในเด็ก พบได้ในเด็กปกติ ส่วนใหญ่มักเป็นไม่นานหรือเป็นตามช่วงอายุ เช่น อายุ 3-4 เดือน ที่ชอบเล่นน้ำลาย ชอบทำเสียงพ่นน้ำลายออกมา หรืออายุ 6 เดือน เป็นช่วงที่ฟันกำลังขึ้น อาจมีอาการเจ็บที่เหงือก หรืออาจมีอาการเจ็บป่วย ติดเชื้อบางอย่าง เป็นแผลในปาก หรือมีการอักเสบบริเวณช่องปากและลำคอ ทำให้กลืนน้ำลายไม่ได้ น้ำลายจึงยืดออกมา แต่มักเป็นไม่นาน จึงไม่ต้องใช้ผ้ากันเปื้อนหรือผ้ากันน้ำลายตลอดเวลา

         ข้อเสียของการมีน้ำลายไหลยืด คือทำให้ผิวหนังบริเวณที่โดนน้ำลายเป็นผื่นแดง อักเสบติดเชื้อ ข้าวของหรือหนังสือเสียหายจากน้ำลายที่เปรอะเปื้อน และเด็กเกิดความอับอายเพราะถูกล้อเลียน เด็กที่มีน้ำลายไหลยืดนานกว่าคนอื่นอาจเกิดจากภาวะต่อไปนี้

        ▶ การสบฟันผิดปกติ ควรปรึกษาทันตแพทย์

        ▶ ใช้จุกหลอก หรือดูดจุกขวดนมนานเกินช่วงวัย ควรหยุดการใช้โดยเร็ว

        ▶ ความผิดปกติของระบบประสาท เช่น โรคสมองพิการ ซึ่งวินิจฉัยได้โดยแพทย์เท่านั้น

        ▶ เด็กมีโรคประจำตัวภูมิแพ้ หายใจทางจมูกไม่สะดวก ต้องอ้าปากช่วย ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรักษาอาการภูมิแพ้

        ▶ แนวโน้มพัฒนาการสื่อสาร ภาษาล่าช้า ควรปรึกษาแพทย์พัฒนาการเด็ก เพื่อส่งต่อฝึกพูด

        ▶ กล้ามเนื้อรอบปากไม่แข็งแรง โทนกล้ามเนื้อต่ำ มีปัญหาการเคี้ยวกลืน ควรปรึกษาแพทย์พัฒนาการเด็ก เพื่อส่งต่อนักกิจกรรมบำบัด

        อ่านวิธีการนวดปาก เพื่อเพิ่มความแข็งแรงกล้ามเนื้อรอบปาก คลิกหน้า 2

          สัญญาณเตือน มะเร็งปากมดลูก

          10 สัญญาณเตือน มะเร็งปากมดลูก

          โรคมะเร็ง (Cervical cancer) เป็นสาเหตุของการเสียชีวิตของคนไทยเป็นอันดับต้นๆ รองลงมาคือ อุบัติเหตุ และโรคหัวใจ สำหรับผู้หญิงเรา มะเร็งปากมดลูก เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เสียชีวิตมากที่สุด แต่ก็สามารถป้องกันได้ตั้งแต่ก่อนระยะลุกลาม โดยการสังเกต สัญญาณเตือน มะเร็งปากมดลูก เบื้องต้นได้ด้วยตัวเอง

          ข้อมูลจากสถาบันมะเร็งแห่งชาติ พบว่าในปี 2555 มะเร็งปากมดลูกเป็นโรคที่มีผู้ป่วยเป็นอันดับ 4 รองจากมะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ และมะเร็งปอด ข้อมูลในปี 2558 พบว่า หญิงไทยเสียชีวิตจากมะเร็งปากมดลูกวันละ 14 คน ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าตกใจเป็นอย่างมาก

          มะเร็งปากมดลูก เกิดจากอะไร?

          มะเร็งปากมดลูกพบมากในผู้หญิงอายุ 35-60 ปี เกิดจากเชื้อไวรัส HPV ติดต่อกันทางเพศสัมพันธ์ จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงบริเวณอวัยวะเพศเพียงไม่กี่เดือน บางรายอาจใช้เวลานานกว่า 15 ปีจึงจะแสดงอาการ การติดเชื้อจะเกิดขึ้นบริเวณอวัยวะเพศ และทวารหนัก โดยแบ่งความเสี่ยงได้ดังนี้

          1.เกิดจากการมีคู่นอนหลายคน หรือมีเพศสัมพันธ์ในช่วงอายุน้อยกว่า 17 ปี เพราะเป็นช่วงของการเปลี่ยนแปลงของเซลล์ปากมดลูกมาก และมีความไวต่อสารก่อมะเร็ง

          2.มีประวัติการเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เช่น ซิฟิลิส และหนองใน ก็จะยิ่งทำให้มีความเสี่ยงมากขึ้น

          3.ทานยาคุมกำเนิดติดต่อกันนานกว่า 5 ปี มีความเสี่ยงสูงขึ้นถึง 1.3 เท่า ถ้ารับประทานนานถึง 10 ปี มีความเสี่ยงถึง 2.5 เท่า

          4.คลอดลูกมากกว่า 4 ครั้ง อาจทำให้มีความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งปากมดลูกเพิ่มขึ้น 2-3 เท่าตัวเลยทีเดียว

          5.ผู้ชายแพร่เชื้อ HPV ให้ผู้หญิง เพราะเปลี่ยนคู่นอนบ่อย มีรักร่วมเพศ เชื้อจะเข้าไปสะสมไว้ในอวัยวะเพศ

          6.การสูบบุหรี่ การมีภูมิคุ้มกันต่ำ เป็นโรคที่เกี่ยวข้องกับภูมิคุ้มกัน เช่น โรคเอดส์ หรือรับยากดภูมิคุ้มกัน อาจเป็นตัวเร่งให้เป็นมะเร็งปากมดลูกได้

          มะเร็งปากมดลูก
          สาเหตุการเกิด มะเร็งปากมดลูก

          วิธีสังเกต สัญญาณเตือน มะเร็งปากมดลูก

          1.มีเลือดออกผิดปกติ ที่ไม่ใช่ประจำเดือน เช่น เลือดออกหลังจากมีเพศสัมพันธ์ มีเลือดออกหลังจากหมดประจำเดือน เลือกออกเป็นระยะ เลือดออกหลังจากตรวจภายใน

          2.เลือดออกหลังวัยทอง เช่น ผู้หญิงวัย 55 ปี หมดประจำเดือนไป 3 ปี แล้วมีเลือดออกทางช่องคลอดอีก ควรรีบไปพบแพทย์

          3.ตกขาวผิดปกติ เช่น เป็นหนอง มีกลิ่นเหม็น มีน้ำไหลออกมาจากช่องคลอด มีเลือดปน

          4.ปัสสาวะขัด ปวดแสบ อาจเป็นสัญญาณมะเร็งปากมดลูก หรืออาจติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ ไม่แน่ชัดว่าเป็นมะเร็งปากมดลูกเสียทีเดียว แต่ก็ไม่ควรประมาท และสังเกตอาการอื่นร่วมด้วย

          5.เจ็บขณะร่วมเพศ เป็นสัญญาณเตือนมะเร็งปากมดลูก

          6.ประจำเดือนมามาก และนานผิดปกติ อาจเป็นสัญญาณของโรคมะเร็งปากมดลูก

          7.กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ โดยจากสถิติผู้ป่วยมะเร็งปากมดลูก มักจะมีอาการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ และเลือดปน

          8.เจ็บปวดตามร่างกาย โดยเฉพาะ ขา หลัง และเชิงกราน เนื่องจากมะเร็งกระจายส่งผลต่อระบบไหลเวียนเลือด

          9.อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย เพราะระบบการรักษาสมดุลของร่างกายทำงานหนัก เพื่อต่อต้านและกำจัดมะเร็งออกไป

          10.น้ำหนักลดโดยไม่มีสาเหตุ เพราะร่างกายจะสร้างโปรตีนที่ทำหน้าที่กำจัดไขมันส่วนเกินมากเกินไป ทำให้น้ำหนักลดทั้งๆ ที่ไม่ได้อดอาหาร

          อ่านต่อ “วิธีป้องกันมะเร็งปากมดลูก” คลิกหน้า 2

            สุดน่ารัก…เบบี้ไม่เป็นใจปล่อยปุ๊ขณะกดชัตเตอร์

            ไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่คุณพ่อคุณแม่จะเห่อเจ้าตัวน้อย แล้วคว้ากล้องขึ้นมาบันทึกภาพความน่ารักเก็บไว้ แต่ก็ใช่ว่าเจ้าตัวเล็กจะยอมนอนนิ่งๆให้ความรวมมือเสมอไป เหมือนกับภาพถ่ายเชตนี้ ที่ในขณะช่างภาพกำลังจะกดชัตเอตร์ กับมุมดีๆ แสงสีสวยๆ ดันไปตรงกับจังหวะที่เจ้าเบบี้ตัวน้อยปล่อยปุ๊เล็ก ปุ๊ใหญ่ออกมาพร้อม กับเสียงแชะพอดี…จะฮาและน่ารักแค่ไปชมภาพกันเลยค่ะ

            961764-img.rt126r.62qk9 961764-img.rt126r.18aw5 961764-img.rt126r.2437w 961764-img.rt126r.7gmen 961764-img.rt126r.6w4hp 961764-img.rt126r.5f021 961764-img.rt126r.4tvcn 961764-img.rt126r.3sh53 961764-img.rt126r.2ql09 961764-img.rt126r.1ttfp 961764-img.rt126r.4kqg8


            ขอบคุณภาพจาก http://board.postjung.com/961764.html

              กะหล่ำปลี ช่วยลดอาการคัดนม อีกหนึ่งประโยชน์ที่คุณแม่ต้องรู้!

              สำหรับคุณแม่หลังคลอดประมาณ 3-4 วัน หลายคนคงจะเคยประสบปัญหาเต้านมคัดมาบ้าง ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติ สาเหตุก็มาจากร่างกายสร้างน้ำนมได้มากกว่าปริมาณที่ลูกกิน รวมถึงการที่คุณแม่ทิ้งช่วงให้นมลูกนานเกินไป หรือไม่ได้บีบปั้มน้ำนมออกในช่วงที่ลูกไม่ได้ดูด จนทำให้มีน้ำนมสะสมในเต้ามากเกินไปส่งผลให้เต้านมมีขนาดใหญ่ ลานนมตึงแข็ง เต้านมจะร้อนและผิวมีสีแดง บางครั้งอาจทำให้มีไข้ด้วย

              แต่ปัญหาดังกล่าวกำลังจะหมดไปค่ะ เมื่อมีการวิจัยว่าคุณแม่ที่มีอาการเต้านมคัดสามารถใช้กะหล่ำปลีประคบเต้านม เพื่อลดอาการปวด รวมไปถึงการแก้นมคัดหลังคลอดได้อีกด้วย เนื่องจากกะหล่ำปลีเป็นพืชสมุนไพรชนิดเย็นมีฤทธิ์ดูดซับความร้อน ช่วยลดการคั่งของสารน้ำในเนื้อเยื่อบริเวณเต้านม ทำให้อาการปวดคัดตึงเต้านมลดลงอย่างได้ผล

              กะหล่ำปลี

              นางสาวปัณฑิตา ศรีจันทร์ดร พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ ประจำโรงพยาบาลนครพิงค์ จังหวัดเชียงใหม่ นำเสนอผลการศึกษาวิจัยเรื่อง “กะหล่ำปลีมีคุณค่า ลดอาการปวด แก้อาการคัดนมหลังคลอด” ว่า ใบกะหล่ำปลีสดซึ่งเป็นผักที่หาได้ง่าย และใบมีลักษณะโค้งรับกับเต้านม สามารถใช้บรรเทาอาการอาการคัดตึง ปวดเต้านมของแม่หลังคลอดได้

              สำหรับวิธีการใช้

              • ห้นำใบกะหล่ำปลีสีเขียว ตัดขั้วแข็งออกก่อน

              • แกะใบกะหล่ำปลีออก เลือกใบที่มีขนาดใกล้เคียงกับเต้านม

              • แล้วล้างด้วยน้ำให้สะอาด หรือแช่ด้วยน้ำส้มสายชูเพื่อล้างสารพิษ

              • จากนั้นนำใบกะหล่ำปลีแช่เย็นที่ช่องแช่แข็ง ใช้เวลาประมาณ 20-30 นาที

              • ก่อนนำไปประคบเต้านม ขยุ้มใบกะหล่ำปลีด้วยมือเบาๆ แกะเอาเส้นใยที่แข็งออก ใช้มีดบากหรือใช้เข็มแทงตามใบกะหล่ำปลีเพื่อให้เส้นใยแตก แล้วนำไปหุ้มเต้านมทั้งเต้าและอาจถึงบริเวณใต้รักแร้ถ้ามีก้อนบวมขึ้นใต้รักแร้ สวมเสื้อชั้นในปิดทับ หรือใช้ผ้าพันทับไว้ประคบเวลาประมาณ 20 นาที

                กะหล่ำปลี

              กะหล่ำปลี

              อ่านต่อ >> “สรรพคุณและประโยชน์จากการนำใบกะหล่ำปลีมาใช้ประคบเต้านม” คลิกหน้า 2

                Ultraman Run 2016 อุลตร้าแมน รัน วิ่งการกุศล

                เดกซ์ ฉลอง 50 ปี จัดกิจกรรม ‘อุลตร้าแมน รัน 2016’ ครั้งแรกในโลก 28 พ.ค. นี้ ที่สวนลุมพินี

                เดกซ์-ดรีม เอกซ์เพรส ผู้ดูแลลิขสิทธิ์อุลตร้าแมนในเมืองไทย ผนึกพลังบริษัทเจ้าของลิขสิทธิ์อุลตร้าแมน ซึบูราญ่า โปรดักชั่นส์ ประเทศญี่ปุ่น และผู้สนับสนุนหลัก ‘เอไอเอส’ จัดกิจกรรม ‘อุลตร้าแมน รัน 2016’ ครั้งแรกในโลก ฉลอง 50 ปี อุลตร้าแมน ซีรี่ส์ ภายใต้ธีม ‘Power for Kids’

                กิจกรรมพิเศษที่ระดมเหล่าแฟนคลับมาวิ่งการกุศล เพื่อสุขภาพและช่วยเหลือเด็กด้อยโอกาสทางสังคมจากมูลนิธิเด็กผ่านรายได้ส่วนหนึ่งจากการจัดงานในครั้งนี้ โดยกิจกรรม อุลตร้าแมน รัน 2016 จะจัดขึ้นในวันที่ 28 พฤษภาคม 2559 ตั้งแต่เวลา 05.00 – 09.00 น. ที่สวนลุมพินี พระราม 4

                การรับสมัคร แบ่งการออกเป็น 3 กลุ่ม ประกอบด้วย

                1. กลุ่มผู้ใหญ่ ระยะทาง 2.5 กม. ค่าสมัคร 1,000 บาท
                2. กลุ่มผู้ใหญ่ ระยะทาง 5 กม. ค่าสมัคร 1,000 บาท
                3. กลุ่มครอบครัว ระยะทาง 2.5 กม. (ผู้ใหญ่ 2 ท่าน และเด็กอายุไม่เกิน 10 ปี 1 ท่าน) ค่าสมัคร 2,400 บาท

                โดยผู้สมัครจะได้รับของที่ระลึกที่จัดทำขึ้นเป็นพิเศษเพื่อการเฉลิมฉลอง 50 ปี อุลตร้าแมน ซีรี่ส์ โดยเฉพาะ ประกอบด้วย เหรียญที่ระลึก, เสื้อ, กระเป๋า และป้ายประจำตัว   ผู้สนใจร่วมแชร์พลังสามารถสมัครร่วมกิจกรรมได้แล้ววันนี้ถึง 15 พฤษภาคมนี้ ผ่าน http://shop.dexclub.com/ultramanrun2016

                Ultraman Run 2016 อุลตร้าแมน รัน วิ่งการกุศล

                  ตรวจสอบนม

                  ตรวจสอบนม UHT และพาสเจอร์ไรส์ว่าเป็นน้ำนมหรือนมผง

                  คุณพ่อ คุณแม่อาจเคยสงสัย นมที่ให้ลูกดื่มทุกวันนี้ ที่เรียกว่า ยูเอชที พาสเจอร์ไรส์ สเตอริไลซ์ทำมาจาก นมผงชงน้ำ หรือ น้ำนมวัวกันแน่ แล้วแบบไหนมีประโยชน์มากกว่ากัน แตกต่างกันอย่างไรบ้าง จะได้เลือกนมให้ลูกน้อยได้ถูกหลักมากที่สุด ด้วยการ “ตรวจสอบนม” กันค่ะ

                  Continue reading “ตรวจสอบนม UHT และพาสเจอร์ไรส์ว่าเป็นน้ำนมหรือนมผง”

                    ทำจี๊ด กระตุ้นน้ำนม

                    เคล็ดลับ ทำจี๊ด !!…เพิ่มน้ำนมคุณแม่ให้ไหลมาเทมา (มีคลิป)

                    มีคุณแม่มือใหม่หลายๆคนที่เพิ่งคลอดลูกหรือเตรียมตัวคลอดลูก คงกำลังกังวลเกี่ยวกับการให้นมลูกว่าจะมีน้ำนมมากพอตามความต้องการของลูกหรือไม่…วันนี้เราจึงมีคำแนะนำดีๆ พร้อมวิธีการ ทำจี๊ด กระตุ้นน้ำนม มากฝากค่ะ

                    ซึ่งปัจจัยสำคัญที่สุดในการกระตุ้นปริมาณน้ำนมของแม่ คือการให้ลูกดูดนมค่ะ ดูดดี ดูดบ่อย ดูดถูกวิธี และดูดเกลี้ยงเต้ารับรองได้ผลแน่นอน ส่วนเทคนิคพิเศษต่างๆ ที่จะช่วยให้น้ำนมคุณแม่มีมากพอจะให้ลูกดูดดื่มได้จนถึงวัยอนุบาลมีดังต่อไปนี้ค่ะ

                    1.ให้นมลูกบ่อยๆ เพราะเมื่อคุณแม่ให้นมลูกกินบ่อยๆ ร่างกายจะผลิตน้ำนมมากขึ้นเรื่อยๆ และเพียงพอต่อความต้องการของลูกแน่นอน

                    2.ปั๊มนมสม่ำเสมอ สำหรับคุณแม่ที่ทำงานไม่สามารถให้ลูกเข้าเต้าได้นั้นควรปั๊มนมให้บ่อยที่สุดและทำอย่างสม่ำเสมอเช่น ทุกๆ 2 ชั่วโมง ถ้าสามารถปั๊มที่ทำงานได้ด้วยยิ่งดี แต่เมื่อกลับมาบ้านควรให้ลูกดูดนมจากเต้าไม่ให้ใช้ขวดนมนะคะ

                    3.ท่าให้นมลูกควรถูกต้อง ให้นมลูกในท่าที่ถูกต้อง ดูว่าในแต่ละครั้งลูกกินนมได้มากน้อยเพียงใด ถ้าคุณแม่ให้นมลูกด้วยท่าให้นมที่ถูกต้องน้ำนมของคุณแม่ก็จะผลิตออกมาเยอะตามความต้องการของลูกนั้นเอง

                    4.ดื่มน้ำเยอะๆ ไม่ต้องรอให้หิวน้ำ สามารถจิบน้ำได้เรื่อยๆ ตลอดทั้งวัน ร่างกายของคุณแม่จะผลิตน้ำนมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆค่ะ

                    6.พักผ่อนให้เพียงพอ ลดความเครียด เพราะความเครียดหรือเรื่องสุขภาพมีผลสำคัญต่อการผลิตน้ำนม ยิ่งเครียดน้ำนมยิ่งน้อยค่ะ

                    7.ใช้ยาสมุนไพรช่วย แต่ควรจะปรึกษาคุณหมอหรือผู้เชี่ยวชาญก่อนการใช้ยา ยาเพิ่มน้ำนมที่นิยมใช้เพื่อเพิ่มน้ำนมแม่กันคือ ลูกซัด ยาประสระน้ำนม ซึ่งมีอยู่หลายยี่ห้อค่ะ

                    บทความแนะนำ ยาเพิ่มน้ำนม ตัวช่วยสำหรับคุณแม่น้ำนมน้อย ควรเลือกกินแบบไหน อย่างไรดี?

                    นอกจากนี้แล้วยังมีอีกหนึ่งวิธีในการกระตุ้นน้ำนม ที่จะช่วยให้น้ำนมคุณแม่ไหลดีเมื่อลูกดูดจดหมดเต้าไปแล้ว แต่ก็ยังไม่รู้สึกว่าเกลี้ยงเต้า หรือหากคุณแม่กำลังจะปั๊มนมการกระตุ้นกลไกการหลั่งน้ำนมก่อนการปั๊มนมจะช่วยให้น้ำนมไหลได้ดีขึ้น และมีปริมาณมากขึ้น ซึ่งวิธีนี้ไม่ต้องยุ่งยากอะไรมาก ใช้เพียงแค่ 2 มือของคุณแม่ก็เพียงพอแล้ว และลงมือกระตุ้นให้รู้สึก จี๊ด …เหมือนที่บางคนอาจเคยได้ยินมานาน “ รอให้จี๊ดค่อยปั๊ม” ขั้นตอนการทำจี๊ด…ต้องทำอย่างไรบ้างไปดูกันเลยค่ะ

                    ทำจี๊ด กระตุ้นน้ำนม

                    ชมคลิป  “ขั้นตอนการ ทำจี๊ด กระตุ้นน้ำนม ให้ไหลมาเทมา”
                    คลิกหน้า 2

                    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                     

                      ยาระหว่างตั้งครรภ์

                      “ยาระหว่างตั้งครรภ์” ใช้อย่างไรให้ปลอดภัย

                      คุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์อาจมีอาการเจ็บป่วยระหว่างตั้งครรภ์ขึ้นได้ จึงมีความจำเป็นที่จะต้องใช้ยาในการรักษาอาการเจ็บป่วย และต้องเลือกใช้ยาอย่างระมัดระวัง ไม่ควรซื้อ ยาระหว่างตั้งครรภ์ ด้วยตัวเอง แม้แต่ยาสามัญประจำบ้าน เพราะยาทุกชนิดอาจส่งผลอันตรายต่อลูกน้อยในครรภ์ได้

                      Continue reading ““ยาระหว่างตั้งครรภ์” ใช้อย่างไรให้ปลอดภัย”

                        Tags

                        ฉีดวัคซีนไอพีดี ภูมิคุ้มกัน โรคติดเชื้อในเด็ก

                        สององค์กรดังรับมอบวัคซีนไอพีดี 5,000 โดสเพื่อเด็กไทยกลุ่มเสี่ยง เนื่องในสัปดาห์สร้างเสริมภูมิคุ้มกันโลก

                        จากซ้ายไปขวา

                        – รองศาสตราจารย์พิเศษนายแพทย์ทวี โชติพิทยสุนนท์ นายกสมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย

                        – นายแพทย์มานิต ธีระตันติกานนท์ ประธานมูลนิธิวัคซีนเพื่อประชาชนและอดีตอธิบดีกรมควบคุมโรค

                        – คุณโอปอล์ ปาณิสรา อารยะสกุล คุณแม่และพิธีกรชื่อดัง ร่วมเป็นตัวแทนเปิดโครงการ

                        image003

                        27 เมษายน พ.ศ. 2559 – สมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย และมูลนิธิวัคซีนเพื่อประชาชน ร่วมกันสนับสนุนการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคไอพีดี (IPD) ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากไฟเซอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ให้แก่เด็กไทยทั่วทุกภูมิภาคที่จัดอยู่ในกลุ่มเสี่ยงต่อโรคไอพีดีและไม่สามารถเข้าถึงการรับวัคซีนป้องกันโรคนี้ได้

                        สืบเนื่องในสัปดาห์สร้างเสริมภูมิคุ้มกันโลก ทั้งสององค์กรร่วมกันส่งมอบวัคซีนป้องกันโรคไอพีดีให้แก่เด็กที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง เพื่อป้องกันโรคติดเชื้อนิวโมคอคคัสชนิดรุนแรงและแพร่กระจาย (โรคไอพีดี) ซึ่งประกอบด้วย โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ โรคติดเชื้อในกระแสเลือด และโรคปอดบวม จากรายงานขององค์การอนามัยโลก หรือ WHO (World Health Organization) ซึ่งระบุว่า การติดเชื้อแบคทีเรียนิวโมคอคคัสนั้นเป็นสาเหตุสำคัญของโรคร้ายแรงที่เกิดแก่ร่างกาย และคร่าชีวิตผู้คนทั่วโลกเป็นจำนวนมาก โดยองค์การอนามัยโลกได้ประมาณจำนวนผู้เสียชีวิตการติดเชื้อแบคทีเรียนิวโมคอคคัสนี้ไว้สูงถึง 1.6 ล้านคนต่อปี ในจำนวนนี้มีทารกและเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี ถึงหนึ่งล้านคน[1]

                        องค์การอนามัยโลก ได้กำหนดให้สัปดาห์สุดท้ายของเดือนเมษายนในทุกๆ ปีเป็นสัปดาห์สร้างเสริมภูมิคุ้มกันโลก (World Immunization Week) ซึ่งปีนี้ได้มีการจัดขึ้นระหว่างวันที่ 24 – 30 เมษายน 2559 เพื่อสร้างความรู้และความตระหนักให้แก่บุคคลทั่วไป ให้เห็นถึงความสำคัญของการป้องกันโรคต่างๆ ด้วยวัคซีน และรณรงค์ให้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ได้รับการปกป้องจากโรคที่สามารถป้องกันได้ด้วยวัคซีน[2]

                        นายแพทย์มานิต ธีระตันติกานนท์ ประธานมูลนิธิวัคซีนเพื่อประชาชนและอดีตอธิบดีกรมควบคุมโรคกล่าวว่า “สำหรับสัปดาห์สร้างเสริมภูมิคุ้มกันโลกในปีนี้ ทางองค์การอนามัยโลกได้ส่งเสริมเรื่อง “Close the Immunization Gap” เพื่อเน้นการเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงวัคซีนสำหรับเด็กที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงและสมควรได้รับการป้องกัน ซึ่งความร่วมมือในครั้งนี้ถือเป็นการลดช่องว่างของการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันสำหรับเด็กไทยเป็นอย่างดี”

                        “โครงการนี้ยังเป็นการร่วมมือครั้งแรกระหว่างมูลนิธิวัคซีนเพื่อประชาชนและสมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย ที่ทางมูลนิธิฯ เองได้ให้ความสำคัญเป็นอย่างมากและยังเป็นโครงการที่ตรงกับจุดมุ่งหมายของมูลนิธิฯ ในการเพิ่มช่องทางการให้ความรู้และการเข้าถึงวัคซีนให้แก่ประชาชน พร้อมผลักดันให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเล็งเห็นความสำคัญของวัคซีนที่มีต่อคุณภาพชีวิตของคนไทย” นายแพทย์มานิต กล่าวเสริม

                        จากสถิติขององค์การอนามัยโลก การสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคต่างๆ ด้วยวัคซีนสามารถลดจำนวนผู้เสียชีวิตได้มากถึง 2 – 3 ล้านคนต่อปี หากแต่ในปัจจุบันยังพบว่าเด็กทั่วโลกจำนวนถึง 18.7 ล้านคน ยังไม่สามารถเข้าถึงการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันด้วยวัคซีนพื้นฐานได้ตามที่ควร[2] ซึ่งหากมีการดำเนินงานสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคต่างๆด้วยวัคซีนเพิ่มขึ้นอาจสามารถลดจำนวนผู้เสียชีวิตได้อีก 1.5 ล้านคน

                        รองศาสตราจารย์พิเศษนายแพทย์ทวี โชติพิทยสุนนท์ นายกสมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย กล่าวเกี่ยวกับความร่วมมือในครั้งนี้ว่า “เนื่องด้วยปัจจุบัน ยังมีเด็กไทยจำนวนมากที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงต่อโรคไอพีดีแต่ไม่สามารถเข้าถึงการรับวัคซีนป้องกันโรคนี้ได้ ซึ่งในปีที่ผ่านมา เราได้บริจาควัคซีนป้องกันโรคไอพีดีให้แก่โรงพยาบาลที่มีแพทย์เฉพาะทางมากถึง 13 โรงพยาบาล และในปีนี้ เราได้เพิ่มจำนวนวัคซีนป้องกันโรคไอพีดี จาก 500 โด๊สในปีที่ผ่านมาเป็น 5,000 โด๊ส เพื่อให้เด็กไทยที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงต่อโรคไอพีดีทั่วทั้งประเทศสามารถเข้าถึงโอกาสในการสร้างภูมิคุ้มกันและป้องกันโรคไอพีดีได้มากขึ้น”

                        การสร้างเสริมภูมิคุ้มกันด้วยวัคซีนป้องกันโรคนั้นได้รับการยอมรับในระดับสากลให้เป็นเครื่องมือที่ช่วยลดอัตราการเกิดโรคในเด็กและผู้ใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นลดการเกิดโรคคอตีบ, ไอกรน, บาดทะยัก, หัด, หัดเยอรมัน, คางทูม, ไวรัสตับอักเสบเอ, ไวรัสตับอักเสบบี, อีสุกอีใส รวมทั้งโรคติดเชื้อนิวโมคอคคัส[3] เป็นต้น

                        ในปี พ.ศ.2559 ไฟเซอร์ (ประเทศไทย) ให้การสนับสนุนการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันต่อโรคไอพีดีให้กับสมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย และมูลนิธิวัคซีนเพื่อประชาชน เพื่อสร้างเสริมภูมิคุ้มกันให้กับเด็กไทยที่เป็นกลุ่มเสี่ยงต่อโรคไอพีดีแต่ไม่สามารถเข้าถึงการรับวัคซีนป้องกันโรคนี้ทั่วประเทศ โดยจะเริ่มส่งมอบให้แก่โรงพยาบาลที่มีแพทย์เฉพาะทางทั่วทุกภูมิภาค เช่น โรงเรียนแพทย์ โรงพยาบาลศูนย์ ตั้งแต่ต้นเดือนพฤษภาคม 2559 เป็นต้นไป เพื่อประโยชน์สูงสุดต่อเด็กเหล่านี้ในการป้องกันโรคที่รุนแรงนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

                        นอกจากนี้ นายแพทย์มานิตยังเสริมอีกด้วยว่า ทางมูลนิธีวัคซีนเพื่อประชาชนกำลังพยายามปรับปรุงกระบวนการพิจารณาเพิ่มวัคซีนตัวใหม่ให้เข้าในแผนสร้างเสริมภูมิคุ้มกันระดับชาติ หรือที่เรียกกันว่า วัคซีนพื้นฐาน ให้ใช้ระยะเวลาดำเนินการน้อยลง เพื่อให้เด็กไทยทุกคนมีโอกาสฉีดวัคซีนเพื่อสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคร้ายแรงอย่างทั่วถึงและเสมอภาคยิ่งขึ้น

                        อ่านเพิ่มเติม โอปอล์อยากชวนคุณแม่ให้รู้จัก ‘โรคไอพีดี’ ป้องกันสำคัญกว่ารักษาปอดบวม ภัยร้ายสำหรับลูกน้อยวัยต่ำกว่า 5 ขวบ

                         

                        [1] ข้อมูลจาก World Health Organization. International Travel and Health : Pneumococcal disease. Retrieved April 21, 2016, from http://www.who.int/ith/diseases/pneumococcal/en/

                        [2] ข้อมูลจาก World Health Organization. Fact Sheet : Immunization coverage. Retrieved April 19, 2016, from http://www.who.int/mediacentre/factsheets/fs378/en/

                        [3] ข้อมูลจาก Centers for Disease Control and Prevention (CDC). CDC Pink Book 2015. Appendix E: Data and Statistics: Impact of Vaccines in the 20th and 21st Centuries. Retrieved April 19, 2016, from http://www.cdc.gov/vaccines/pubs/pinkbook/downloads/appendices/appdx-full-e.pdf

                          ในหลวง พระราชินี

                          ความรักของในหลวงและพระราชินี

                          28 เมษายน ของทุกปี เป็นวันคล้ายวันราชาภิเษกสมรสครบรอบ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ ใครที่ยังไม่เคยทราบประวัติความรักของพระองค์ท่าน  ติดตามได้ที่นี่ค่ะ

                           

                          ในหลวง พระราชินี
                          ที่มาภาพ www.photoontour.com

                          ในปี พ.ศ.2491 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงศึกษาอยู่ที่เมืองโลซานน์ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ พระองค์ทรงขับรถยนต์พระที่นั่งจากเมืองโลซานน์มาที่กรุงปารีสเพื่อทอดพระ เนตรโรงงานทำรถยนต์และการแสดงดนตรีของคณะดนตรีที่มีชื่อเสียงต่างๆ ในครั้งนั้น ม.จ.นักขัตรมงคล กิติยากร เอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงปารีสและครอบครัวจึงมีโอกาสเฝ้าฯ รับเสด็จ ในครั้งนั้น สมเด็จพระบรมราชชนนีมีรับสั่งให้พระราชโอรสทอดพระเนตร ม.ร.ว.สิริกิติ์ กิติยากร ด้วยว่า “สวยน่ารักไหม” และยังทรงกำชับว่า “ถึงปารีสแล้วโทรบอกแม่ด้วย” เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินถึงปารีสแล้ว จึงโทรศัพท์ตอบคำถามสมเด็จพระบรมราชชนนีว่า “เห็นแล้ว น่ารักมาก”

                          ณ ที่แห่งนี้เองคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้ทรงพบ ม.ร.ว.สิริกิติ์ กิติยากร ซึ่งมีความสนใจและเข้าใจในศิลปะการดนตรีอย่างลึกซึ้ง ดังนั้นในการเฝ้าฯ รับเสด็จ ทุกครั้ง ครอบครัวกิติยากรจะได้รับพระราชทานทรงดนตรีร่วมกันอย่างสม่ำเสมอ จึงก่อให้เกิดความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นกับครอบครัวกิติยากร โดยเฉพาะกับ ม.ร.ว.สิริกิติ์

                          ในหลวง พระราชินี
                          ที่มาภาพ www.photoontour.com

                          จนเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2491 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ มีพระราชกระแสรับสั่งให้ ม.ร.ว.สิริกิติ์เข้าเฝ้าฯ เยี่ยมพระอาการ และถวายการพยาบาลอย่างใกล้ชิดเป็นประจำ ยิ่งทำให้สัมพันธภาพของทั้งสองพระองค์กระชับแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ต่อมาสมเด็จพระบรมราชชนนีจึงทรงขอให้ ม.ร.ว.สิริกิติ์เข้าศึกษาในโรงเรียนประจำที่มีชื่อเสียงในเมืองโลซานน์เพื่อ เรียนวิชาพิเศษของกุลสตรี

                          ท่านผู้หญิงเกนหลง สนิทวงศ์ ณ อยุธยา เขียนเล่าใน “บันทึก เป็น อยู่ คือ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ”… คราวหนึ่ง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงประสบอุบัติเหตุรถยนต์ที่นอกเมืองโลซานน์ และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ครอบครัว ม.จ.นักขัตรมงคล กิติยากร เข้าเฝ้าฯ ณ โรงพยาบาล

                          “…ตอนที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงประสบอุบัติเหตุ ก็มีรับสั่งให้ครอบครัวเราเข้าเฝ้าฯ เพราะทรงได้รับบาดเจ็บที่พระเนตรและพระเศียร คุณแม่ก็เข้าไปก่อน ตอนเข้าเฝ้าฯ ก็ให้จับพระหัตถ์ท่านแล้วบอกชื่อ พอถึงสมเด็จฯ ท่านก็ทูลว่า “ม.ร.ว.สิริกิติ์ เพคะ” พระเจ้าอยู่หัวท่านทรงจับมืออยู่นานพอสมควรเลย…”

                          14 กรกฎาคม 2492 สมเด็จพระบรมราชชนนีได้รับสั่งขอ ม.ร.ว.สิริกิติ์ ต่อ ม.จ.นักขัตรมงคล กิติยากร โดยพิธีหมั้นได้จัดขึ้นอย่างเรียบง่าย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงสวมพระธำมรงค์เป็นของหมั้นต่อ ม.ร.ว.สิริกิติ์ ซึ่งเป็นพระธำมรงค์องค์เดียวกับที่ สมเด็จพระบรมราชชนกทรงมอบต่อสมเด็จพระบรมราชชนนี 25 เมษายน 2493 สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ทรงเป็นประธานในการประกอบพระราชพิธีราชาภิเษกสมรสตามแบบโบราณราชประเพณี ณ วังสระปทุม พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงประกาศสถาปนา ม.ร.ว.สิริกิติ์ กิติยากร เป็น “สมเด็จพระราชินีสิริกิติ์”

                          ในหลวง พระราชินี
                          ที่มาภาพ www.photoontour.com

                           

                          จากนั้นทั้งสองพระองค์เสด็จออก ณ พระที่นั่งไพศาลทักษิณ ประทับคู่กันเหนือพระราชอาสน์และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระบรมวงศานุวงศ์ถวายพระพร ในวันรุ่งขึ้นเสด็จฯ เป็นการส่วนพระองค์โดยรถไฟไปประทับ ณ พระตำหนักเปี่ยมสุข วังไกลกังวล จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ตลอดระยะทางมีประชาชนมากมายต่างพากันมาเฝ้าอย่างเนืองแน่น

                          และเมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระประชวร ประทับรักษาพระวรกาย ณ โรงพยาบาลศิริราช ตั้งแต่เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2552 สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี มีพระดำรัสเผยแพร่ผ่านสถานีโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจ เมื่อเวลา 20.00 น. วันที่ 16 ตุลาคม ที่ผ่านมาว่า นับตั้งแต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระประชวรและเข้ารักษาพระวรกายที่ โรงพยาบาลศิริราชนั้น สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงเฝ้าฯ พระอาการไข้อยู่ตลอด “ไม่ได้เสด็จฯ ไหนเลย ประทับอยู่ที่โรงพยาบาลศิริราชตลอด เสด็จเข้าไปดูพระอาการตลอด ไม่เสด็จฯ ไหนจริงๆ”

                          เป็นน้ำพระราชหฤทัยแห่งความรักและความห่วงใยที่สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถทรงมีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงปรารถนาให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงหายจากพระอาการประชวร มีพระพลานามัยสมบูรณ์ ประกอบพระราชกรณียกิจเพื่อประชาชนของพระองค์เหมือนเดิม

                          ณ มหามงคลวโรกาสวันคล้ายวันราชาภิเษกสมรสครบ 60 ปี เหล่าพสกนิกรชาวไทยต่างซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณ และพระราชจริยวัตรอันเปี่ยมด้วยพระเมตตาในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ประทับอยู่ในดวงใจชาวไทยทุกคน

                          ข้อมูลบางส่วนจากหนังสือ “ความรักของพ่อ”

                          เรื่องโดย : komchadluek.net
                          ภาพ : photoontour.com

                            แผลผ่าคลอด แนวนอน แนวตั้ง

                            แผลผ่าคลอด แนวนอนกับแนวตั้ง ต่างกันอย่างไร และแบบไหนดีกว่ากัน!

                            มีคุณแม่ท้องหลายท่านที่รู้ตัวว่าต้องผ่าคลอด หรือเตรียมตัวคลอดด้วยวิธีผ่าคลอดอยู่แล้ว ก็คงเตรียมใจรับความเจ็บปวดหลังคลอดไว้บ้างแล้ว และในการผ่าคลอดนี้ก็จะมีสิ่งที่ติดตัวคุณแม่ไปตลอดชีวิต คือ รอยแผลผ่าคลอด นั่นเอง Continue reading “แผลผ่าคลอด แนวนอนกับแนวตั้ง ต่างกันอย่างไร และแบบไหนดีกว่ากัน!”

                              ทุเรียน ช่วยให้ลูกฉลาด

                              แม่ท้องกินทุเรียน ช่วยให้ลูกฉลาดได้จริงหรือ!?

                              ด้วยกลิ่นหอมอันน่าเย้ายวน ของราชาผลไม้ไทยอย่าง ทุเรียน กับกลิ่นและความอร่อยเฉพาะตัว ที่แม้พยายามห้ามตัวเองไม่ให้กินแค่ไหนก็ทำได้ยาก สำหรับคนที่ต้องควบคุมน้ำหนักและผู้ที่มีปัญหาเรื่องเบาหวาน ซึ่งมีคุณแม่ตั้งครรภ์หลายคนกลัวว่า ไม่สามารถรับประทานทุเรียนในช่วงนี้ได้ กลัวเป็นอันตรายต่อทารก และส่งผลเสียต่อร่างกายมากขึ้น…เรื่องนี้เรามีคำแนะนำของนักโภชนาการมาฝากค่ะ

                              Continue reading “แม่ท้องกินทุเรียน ช่วยให้ลูกฉลาดได้จริงหรือ!?”

                                ทารกเป็นเบาหวาน

                                รู้หรือไม่? เด็กทารกก็เป็นโรคเบาหวานได้!

                                โรคเบาหวาน นับว่าเป็นปัญหาทางสุขภาพที่สำคัญและพบได้บ่อย ซึ่งส่วนใหญ่มักเป็นกลุ่มวัยผู้ใหญ่หรือผู้สูงอายุ และมักพบร่วมกับโรคอ้วน โรคความดันโลหิตสูง หรือความผิดปกติของระดับไขมันในเลือดได้ แต่หลายคนอาจยังไม่ทราบว่า ทารกเป็นเบาหวาน ได้เช่นกัน

                                โรคเบาหวานในทารก เพราะ ทารกเป็นเบาหวาน ได้เช่นกัน

                                โรคเบาหวาน เป็นภาวะที่มีระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ ซึ่งเกิดจากการที่ตับอ่อนไม่สามารถหลั่ง insulin หรือ อาจเกิดจากการที่ร่างกายมีภาวะดื้อ insulin โดยระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงเป็นเวลานานจะทำให้เกิดผลแทรกซ้อนตามมามากมาย เช่น ความผิดปกติในการทำงานของไต จอประสาทตา หรือเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจขาดเลือดได้มากขึ้น ซึ่งต้องมีค่าใช้จ่ายจำนวนไม่น้อยเพื่อดูแลรักษาโรคนี้ ซึ่งโรคเบาหวานมี 2 ชนิดด้วยกัน คือ

                                โรคเบาหวานชนิดที่ 1  ผู้ป่วยมักมีอาการปัสสาวะบ่อย หิวน้ำบ่อย น้ำหนักตัวลดลง และในบางรายอาจพบภาวะเลือดเป็นกรดที่เรียกว่า diabetic ketoacidosis ซึ่งถูกกระตุ้นให้เกิดในช่วงที่ผู้ป่วยเจ็บป่วย เช่น มีไข้ โดยจะมีอาการคือ หายใจหอบลึก ซึมลง ซึ่งถือเป็นภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์ เนื่องจากอาจทำให้เสียชีวิตได้

                                ในขณะที่ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 นั้น มักจะมีรูปร่างอ้วน และมีประวัติครอบครัวเป็นโรคเบาหวาน โดยส่วนใหญ่มักไม่มีอาการ แต่อาจตรวจพบว่ามีระดับน้ำตาลในเลือดสูงโดยบังเอิญ นอกจากนี้ยังอาจตรวจพบอาการแสดงของภาวะดื้อ insulin เช่น acanthosis nigricans ซึ่งเป็นลักษณะที่ผิวหนังบริเวณคอ หรือข้อพับตามร่างกายมีสีเข้มเป็นปื้นหนา

                                ซึ่งโรคเบาหวานที่พบในเด็กส่วนใหญ่มักเป็นชนิดที่ 1 แต่อย่างไรก็ตามในปัจจุบันพบว่า มีอัตราการเกิดโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ในเด็กวัยรุ่นไทยมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งสัมพันธ์กับโรคอ้วน ที่เกิดจากการภาวะโภชนาการเกิน และการขาดการออกกำลังกาย

                                ความแตกต่างของโรคเบาหวานในเด็กและโรคเบาหวานในผู้ใหญ่

                                โรคเบาหวานในเด็กและวัยรุ่นมีความคล้ายคลึงกับโรคเบาหวานในผู้ใหญ่ แต่ก็มีความแตกต่างกัน ดังนี้

                                1.ชนิดของเบาหวาน ส่วนมากเบาหวานที่พบในเด็กจะเป็นเบาหวานชนิดที่ 1 แต่ในผู้ใหญ่จะพบชนิดที่ 2 มากกว่า อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันพบเบาหวานชนิดที่ 2 ในเด็กเพิ่มมากขึ้น ซึ่งมีความสัมพันธ์โดยตรงกับการพบอัตราเพิ่มขึ้นของเด็กอ้วนทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ

                                2.การดูแลรักษา เนื่องจากเด็กและวัยรุ่นเป็นวัยที่ยังมีการเจริญเติบโตและช่วงวัยรุ่นเป็นช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงหลายๆ ด้านทั้งอารมณ์ การเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย และฮอร์โมนต่างๆ รวมทั้งยังอยู่ในช่วงวัยเรียน มีคนรอบข้างที่ต้องมีส่วนเกี่ยวข้องในการดูแลรักษา ไม่ว่าจะเป็นครอบครัว ครู และเพื่อนๆ รวมทั้งบุคลากรทางการแพทย์ด้านต่างๆ ฉะนั้นการดูแลรักษาผู้ป่วยเด็กจึงมีความละเอียดซับซ้อนมาก

                                3.ระยะเวลาที่เป็นเบาหวาน เนื่องจากถ้าเริ่มเป็นเบาหวานตั้งแต่เด็กโอกาสที่จะพบภาวะแทรกซ้อนในอนาคตก็มีมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งรายที่ไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ดี

                                 

                                อ่านต่อ >> “ทารกเป็นเบาหวานได้อย่างไร” คลิกหน้า 2

                                 

                                เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                                 

                                  เมียหลวง โพสต์ด่า

                                  เมียหลวง โพสต์ด่า เมียน้อยได้หรือไม่?

                                  จากเฟสบุ๊คเพจทนายคู่ใจที่โพสต์ข่าว เมียหลวง โพสต์ด่า เมียน้อย และให้ความคิดเห็นเกี่ยวกับกฎหมาย การหมิ่นประมาทคู่กรณี ซึ่งตามกฎหมายถ้าโพสต์ลงในเฟสบุ๊ค หรือไลน์ที่สามารถเก็บไว้เป็นหลักฐานได้ และผิดพรบ.คอมพิวเตอร์ โดยทนายคู่ใจกล่าวไว้ดังนี้

                                  เมียหลวง โพสต์ด่า เมียน้อย คุก 5 ปี

                                  “ปัญหาผัวเมียละเหี่ยวใจนี่มีทุกวันเลยนะนี่ ตั้งแต่ผัวเมียเดือดร้อน ไปจนถึงผัวน้อยเมียเก็บทั้งหลาย ถึงขั้นตามไปตบกันก็จริงๆจังๆหลังไมค์อีกบาน โพสด่าก็อีกบาน วันนี้เอาเบาๆ ก่อนจะบานปลายไปกว่านี้ คุณคิดว่าเมียหลวงมีสิทธิตามไปด่าเมียน้อยถึงที่ทำงานหรือเปล่าครับ ว่าเขาเป็นเมียน้อย เป็นกระหรี่ปั้บ อะไรแบบนี้ วันนี้จะพามาดูกฎหมายเรื่องนี้กัน กฎหมายพื้นฐานนี่แหละไม่ต้องเอาอะไรเยอะ ก็เรื่องหมิ่นประมาทกันเนี่ยแหละครับ

                                  ตามกฎหมายอาญามาตรา 326 และ 328 ยิ่งถ้าไปโพสต์ลงเฟซหรือไลน์แล้วเปิดสาธารณะให้เพื่อนๆ มารุมจวกนี่หนักเลย จะผิดพรบ.คอมพิวเตอร์ มาตรา 14(1)ไปด้วย(โทษเบาที่ไหนล่ะ 5 ปี/ปรับ 1 แสน) ก็เข้าใจว่าบรรดาเมียหลวงคงแค้นที่สามีไปแอบกิ๊กกับบ้านน้อย แต่คุณทำอะไรมากไม่ได้นะ ถ้าไปโพสต์รูปโพสต์ชื่อประจานเขาเนี่ยผิดแน่นอน หากเมียน้อยเอาเรื่อง

                                  เพราะศาลเคยตัดสินมาแล้วว่า เรื่องด่าใส่ร้ายเขากับเรื่องเขาเป็นชู้มันคนละเรื่องกัน เมียหลวงก็ไปอาศัยสิทธิทางศาลฟ้องเรียกค่าทดแทนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1523 วรรคสอง ได้กำหนดสิทธิของเมียหลวงไว้แล้วอย่างชัดเจนที่จะเรียกค่าทดแทนจากหญิงอื่นที่แสดงตนโดยเปิดเผย เพื่อแสดงว่าตนมีความสัมพันธ์กับสามีในทำนองชู้สาวได้ แต่กฎหมายไม่ได้ให้สิทธิเมียหลวงไปด่าเมียน้อย”

                                   

                                  เมียหลวงประจานลงเฟส

                                  เมียหลวงโพสประจาน

                                  ต่อมา นายรณณรงค์ แก้วเพ็ชร์ ทนายความชื่อดังและเจ้าของแฟนเพจดังกล่าว ได้ให้สัมภาษณ์กับเดลินิวส์ออนไลน์เพิ่มเติม ดังนี้

                                  “มีคนโทรเข้ามาปรึกษาผมเยอะมาก เกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่กฏหมายเป็นแบบนั้นจริง ๆ ถ้าเมียหลวงจะฟ้องแพ่งเรียกค่าทดแทน ก็ต้องจ้างทนาย จ้างนักสืบใช้เป็นหลักฐานการยื่นฟ้อง ค่าจ้างนักสืบตกวันละ 7 พัน จะได้ภาพก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่จะฟ้องได้ นักสืบต้องถ่ายภาพสามีพาผู้หญิงอื่นเข้าบ้านหรือม่านรูดกี่ชั่วโมง ผมเคยดูที่ศาลสั่งจ่ายก็ไม่ได้เยอะมากอะไร เมียหลวงฟ้องเอาเป็นเอาตาย ส่วนมากได้หลักแสนนิด ๆ เท่านั้นเอง เมียหลวงอย่าเพิ่งเดือด เพราะกฎหมายมันเป็นแบบนี้จริงๆห้ามประจานเมียน้อยเด็ดขาด นอกจากเสียว่าเมียน้อยรับราชการ เป็นเหตุให้ถูกไล่ออกได้ ถ้าเป็นลูกจ้างพนักงานเอกชนไม่มีหวัง เคยมีเมียหลวงแก้เผ็ดด้วยการโพสต์รูปเมียน้อยเบลอหน้า ใส่ชื่อย่อ แล้วแท็กเฟซบุ๊ก ซึ่งไม่ถือว่าหมิ่นประมาท ถ้าจะด่ากันก็ใช้ตัวย่อ อย่าไปใส่เต็มยศ อย่าโพสต์รูป แต่ให้เก็บไว้เป็นหลักฐานฟ้อง ไม่อย่างนั้นนอกจากเสียสามีแล้ว ยังเสียเงินติดคุกอีก

                                  ชมคลิป เพื่อความเข้าใจที่ง่ายขึ้น https://www.facebook.com/kapookdotcom/videos/1059619667408208/

                                  คุณแม่อย่าลืมอัพเดตข้อมูลทางกฎหมายให้ดี ก่อนที่จะโพสต์วิพากษ์วิจารณ์ใคร เพื่อไม่ให้เกิดกรณีที่ผิดพลาดแบบนี้นะคะ

                                   

                                  อ่านต่อบทความน่าสนใจ คลิก

                                  คุณแม่ควรรู้ไว้!! ประโยชน์ของทะเบียนสมรสที่คุณอาจไม่เคยรู้

                                  แบ่งทรัพย์สินอย่างไร หากไม่ได้จดทะเบียนสมรส


                                  เครดิต: เฟสบุ๊คเพจ ทนายคู่ใจ

                                    แสนอบอุ่น! เณรน้องชายเอาจีวรห่มให้เณรพี่ชายที่กำลังป่วย

                                    กลายเป็นภาพสุดประทับใจที่ชาวเน็ต ต่างพากันกดไลค์ กดแชร์ในสังคมออนไลน์ขณะนี้ กับภาพของเณรน้องชายที่กำลังเอาจีวรของตนไปห่มให้กับเณรผู้พี่ที่กำลังป่วยให้หายหนาว ระหว่างรอตรวจอาการที่โรงพยาบาล

                                    ซึ่งภาพนี้โพสต์โดย เพจ @พระครูสมุห์นันทวัฒน์ ธนปญฺโญ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดช่องลม ได้กล่าวว่า

                                    ภาพประทับใจ ” …….เมื่อสามเณรน้อยป่วย….เราจึงได้เห็นภาพที่งดงามสมบูรณ์แบบที่สุด เป็นภาพที่สื่อได้ดีมาก ได้ข้อคิด จากมุมมอง – แนวคิด ระหว่างพี่ชายกับน้องชาย เรื่องราว คือว่า (พระพี่เลี้ยง) ได้พาสามเณรสองรูปไปหาหมอ พี่ชายชื่อสามเณรอิชิที่มีผ้าติดตรงหน้าผากนั้นป่วย ส่วนน้องชายคือสามเณรยูรินั้นได้ห่มผ้าจีวรให้พี่ชาย เพื่อให้หายหนาว

                                    cats

                                    จากภาพดังกล่าว ที่สื่อถึงความรักและความห่วงใย ทำให้ชาวเน็ตต่างพากันชื่นชมในความน่ารักของสามเณรสองพี่น้อง ที่มีความรักและช่วยเหลือกันในยามป่วยไข้ แม้จะเป็นเด็กอยู่ก็ตาม


                                    ขอบคุณภาพและข้อมูลจากเฟซบุ๊ค พระครูสมุห์นันทวัฒน์ ธนปญฺโญ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดช่องลม