เปิดตัว เอส-26 โกลด์ 3 ใหม่ สูตรเฉพาะที่ดีกว่า เพิ่ม สฟิงโกไมอีลิน ขึ้น 25% สำหรับเด็กวัยเรียนรู้

event

ไวเอท นิวทริชั่น หนึ่งในผู้นำด้านการค้นคว้าและวิจัยสารอาหารที่เหมาะสมสำหรับเด็กมากว่า 100 ปี เปิดตัว เอส26 โกลด์ 3 สูตรใหม่ นมผงเด็กที่เป็นสูตรเฉพาะที่ดีกว่าสูตรเดิม โดยเพิ่มสฟิงโกไมอีลินขึ้น 25% และเพิ่มดีเอชเอ เออาร์เอ แกงกลิโอไซด์ และวิตามิน บี 12 พร้อมสารอาหารเปี่ยมคุณประโยชน์ เตรียมความพร้อมลูกน้อยสู่การเรียนรู้และเติบโตในอนาคต


ผลิตภัณฑ์นม เอส-26 โกลด์ 3 สูตรใหม่ เพิ่มปริมาณสารอาหารจากสูตรเดิม ได้แก่ สฟิงโกไมอีลิน, ดีเอชเอ, แกงกลิโอไซด์ และวิตามินบี 12 ที่มีส่วนช่วยในการทำงานตามปกติของระบบประสาทและสมอง เหมาะสำหรับเด็กอายุ 1 ปีขึ้นไปและทุกคนในครอบครัว มีรสจืด กลิ่นวานิลลา หอมอร่อย ค้นหาข้อมูลผลิตภัณฑ์ได้ที่ https://www.s-momclub.com/products/gold-progress

 

เอส-26 ® โกลด์ 3™ (S-26 Gold® 3™) เครื่องหมายการค้า ในนม 1 แก้ว ให้สารอาหารดังนี้ สฟิงโกไมอีลิน 18,000 มคก. (เป็นส่วนหนึ่งของฟอสโฟไลปิด), แอลฟา-แล็คตัลบูมิน 326 มก., แกงกลิโอไซด์ 2,250 มคก.,  ดีเอชเอ 26 มก., โคลีน 58.5 มก., ลูทีน 68 มคก., เออาร์เอ 7.93 มก., โอเมก้า 3 131 มก., โอเมก้า 6 1,093 มก., โอเมก้า 9 1,260 มก., วิตามินบี 12 สูง ซึ่งมีส่วนช่วยในการทำงานตามปกติของระบบประสาทและสมอง, ใยอาหารชนิด 2′- เอฟแเอล 60 มก.

 

นอกจากนี้ยังผสมใยอาหารจากธรรมชาติ (ชนิดโอลิโกฟรุคโตส) และมีกรดโฟลิกสูง ซึ่งมีส่วนช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดงตามปกติ มีแคลเซียมสูงและมีฟอสฟอรัส ซึ่งแคลเซียมและฟอสฟอรัสมีส่วนช่วยในกระบวนการสร้างกระดูกและฟันที่แข็งแรง มีวิตามินดีสูงซึ่งมีส่วนช่วยในการดูดซึมตามปกติของแคลเซียมและฟอสฟอรัส และมีวิตามินเอที่มีส่วนช่วยคงสภาพปกติของการมองเห็น รวมถึงมีวิตามินซีสูงและมีวิตามินอี ซึ่งวิตามินซีและวิตามินอีมีส่วนช่วยในกระบวนการต่อต้านอนุมูลอิสระ

 

 

เอส-26 โกลด์ 3 ใหม่ สูตรเฉพาะที่มีสฟิงโกไมอีลินเพิ่มขึ้น 25% จากสูตรเดิม หาซื้อได้แล้วที่ห้างสรรพสินค้าและร้านค้าทั่วประเทศ รวมถึงช่องทางออนไลน์อย่าง Shopee และ Lazada ที่ https://bit.ly/3PjRjAw

 

เมนูสุดพิเศษ ข้าว 2 สี “เบายอดม่วง” ข้าวประจำถิ่นจังหวัดตรัง อร่อยสไตล์ไทย ใส่ใจสุขภาพ ที่ เทอเรสซ์ ณ บางกอก

event

ร้านอาหาร Terraces De Bangkok ( เทอเรสซ์ ณ บางกอก) ร้านอาหารไทยที่ให้บริการมาอย่างยาวนานกว่า 48 ปี ภูมิใจนำเสนอเมนูใหม่ที่รังสรรค์มาจากวัตถุดิบพื้นบ้าน ข้าว 2 สี “ข้าวพันธุ์เบายอดม่วง” หรือ ข้าวเจ้าเหนียวนั่นเอง อร่อย หอมละมุน ทำให้เจริญอาหาร มีโปรตีนสูง ผู้สูงอายุก็สามารถทานได้เพราะมีคาร์โบไฮเดรตต่ำ รวมถึงมีปริมาณสารฟีนอลิกและค่าต้านทานอนุมูลอิสระสูง ทำให้มีประโยชน์ต่อสุขภาพ ซึ่งข้าวพันธุ์นี้ มีถิ่นกำเนินที่ตำบลวังคีรี อำเภอห้วยยอด จังหวัดตรัง นับเป็นอีกหนึ่งความภูมิใจ ที่ได้นำวัตถุดิบชั้นดีออกมารังสรรค์เป็นเมนูอร่อยๆสไตล์ไทย ช่วยเหลือชุมชนให้มีรายได้ แถมยังได้นำเสนอเมนูที่ใส่ใจต่อสุขภาพ กับ

4 เมนูพิเศษในราคาเพียง 179 บาทเท่านั้น ได้แก่  

  • ข้าวยำเบญจรงค์ – นำข้าว 2 สี เบายอดม่วงไปยำรวมกับผัก ผลไม้ และธัญพืชนานาชนิด 5 สี รสชาติเปรี้ยว หวาน เผ็ดเล็กน้อย อัดแน่นด้วยคุณภาพ
  • ข้าวเบายอดม่วง ไก่ทอดลุยไพร –เครื่องสมุนไพรทอดจนกรอบ ทานคู่ไก่ทอด รสชาติกลมกล่อม เสิร์ฟพร้อมข้าว 2 สี เบายอดม่วง
  • ข้าวเบายอดม่วง ผัดพริกไทยดำ (เลือกไก่ย่าง หรือ หมูสันอกสไลด์) – ไก่ย่าง หรือ หมูสันนอกสไลด์ผัดพริกไทยดำเข้มข้ม เสิร์ฟพร้อข้าว 2 สี เบายอดม่วง รสชาติกลมกล่อมเผ็ดร้อนกำลังดีลงตัวสุดๆ
  • ยำแหนมข้าวเบายอดม่วงทอด – ข้าว 2 สี เบายอดม่วง คลุกเคล้าเครื่องสมุนไพร นำไปทอดจนกรอบ ปรุงรสด้วยมะนาว น้ำปลา พริกป่น ใส่แหนมสด โรยด้วยลูกเดือยทอดกรอบ

พิเศษ เพียงเพิ่มเงิน 10 บาท รับขนมหวาน 1 ถ้วย ดังนี้ กล้วยไข่เชื่อม / มะพร้าวกะทิลอยแก้ว / มะพร้าวกะทิ – ทับทิมกรอบลอยแก้ว /ไอศกรีมกะทิ-ข้าวเหนียวลืมผัว มะพร้าวกะทิลอยแก้ว / ทับทิมกรอบลอยแก้ว / สาคูแคนตาลูป / บัวลอยเบญจรงค์

และขอแนะนำ  มะกรูดลอยแก้ว หอมหวานสดชื่น สร้างเสริมภูมิคุ้มกันให้ร่างกายเป็นอย่างดี ในราคาเพียง 79 บาทเท่านั้น และหากยากสุขภาพดี คูณสอง สามารถเลือกเมนูข้าว 2 สี เบายอดม่วง เมนูใดก็ได้ 2 เมนู จ่ายเพียงแค่ราคา 209 บาท (จากปกติ 358 บาท)

อร่อยแถมยังได้สนับสนุนสินค้าดีๆจากท้องถิ่นในประเทศไทย อีกทั้งยังมีประโยชน์อัดแน่นไปกับเมนูพิเศษ ที่รังสรรค์จาก ข้าว 2 สี “ข้าวพันธ์เบายอดม่วง” ได้แล้วที่ร้าน Terraces De Bangkok (เทอเรสซ์ ณ บางกอก) ทุกสาขา ตั้งแต่วันนี้ จนถึง 31 ตุลาคม 2566

สอบถามรายละเอียดได้ที่ https://web.facebook.com/TerracesDeBKK

 

เด็กนอนกรน

เด็กนอนกรน เสียงหายใจเหมือนเป่าปี่ สังเกตให้ดี! ต้นเหตุของต่อมอะดีนอยด์และต่อมทอนซิลโต

event
เด็กนอนกรน
เด็กนอนกรน

บ้านไหน ลูกนอนกรน พ่อแม่สังเกตให้ดี!! เด็กนอนกรน เป็นปัญหาที่พบได้ทั่วไปในทุกประเทศทั่วโลก และมักถูกละเลยโดยผู้ปกครองซึ่งมักคิดว่าเป็นเรื่องปกติ ไม่มีอันตรายใดๆ แต่แท้จริงแล้ว ลูกนอนกรน อาจเป็นอาการเบื้องต้น หรือ สัญญาณเตือนโรคบางอย่าง

ระวัง! เด็กนอนกรน เสียงหายใจเหมือนเป่าปี่

ปัญหาอาการ เด็กนอนกรน แม้จะพบได้ไม่บ่อย และยังเป็นปัญหาที่พ่อแม่หลายคนมองข้าม เพราะคิดว่าไม่มีอันตรายร้ายแรง แต่ความจริงแล้วเป็นปัญหาที่อันตรายต่อสุขภาพของเด็กถึงขั้นเสียชีวิตได้ ภาวะนอนกรนจะพบในเด็กที่มีอายุระหว่าง 2 – 6 ปี เนื่องจากเด็กวัยนี้จะมีต่อมทอนซิล และต่อมอะดีนอยด์ ที่ทำให้เกิดการอุดกั้นของระบบทางเดินหายใจจนเกิดเสียงกรนที่เป็นภาวะอันตราย

 

ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่จึงจำเป็นต้องสังเกตให้ดี และรู้จักอาการต่อมอะดีนอยด์และต่อมทอนซิลโต เพื่อจะได้รับมือทัน หากลูกของเรามีความเสี่ยง!! ทาง ทีมแม่ ABK จึงขอคำแนะนำเกี่ยวกับ การสังเกตอาการ เด็กนอนกรน แบบไหนเสี่ยง เป็นต่อมอะดีนอยด์และต่อมทอนซิล จาก แพทย์หญิง นภารัตน์ จิระวัฒนผลิน อายุรแพทย์ประจำศูนย์ หู คอ จมูก รพ.พญาไท3 มาฝากคุณพ่อคุณแม่กันค่ะ รับมือเป็น แก้ไขทัน ลูกปลอดภัยนะคะ ตามมาดูกันเลยจะมีเรื่องใดบ้าง ที่พ่อแม่ควรรู้!

ทีมแม่ ABK : อาการต่อมอะดีนอยด์และต่อมทอนซิลโต คืออะไร?

คุณหมอ : ต่อมอะดีนอยด์ (Adenoid Gland) เป็นเนื้อเยื่อต่อมน้ำเหลือง (Lymphoid tissue) ที่อยู่ในส่วนหลังของโพรงจมูก ซึ่งจะมีบทบาทมากประมาณช่วงวัย 2 – 12 ปี โดยมีหน้าที่ดักจับทำลายเชื้อแบคทีเรียและไวรัสที่จะเข้าสู่ร่างกาย พร้อมกับสร้างภูมิคุ้มกันในระบบทางเดินหายใจส่วนบน และความสำคัญของต่อมอะดีนอยด์จะลดลงเมื่อโตเป็นวัยรุ่น

ต่อมทอนซิล (Tonsil gland)เป็นเนื้อเยื่อต่อมน้ำเหลืองซึ่งมีหลายตำแหน่ง ที่พบได้ชัด คือ ในช่องปากที่ผนังคอด้านข้างสามารถเห็นได้เวลาอ้าปาก และบริเวณโคนลิ้น ซึ่งมีหน้าที่ดักจับเชื้อโรคและสร้างภูมิคุ้มกัน

ทั้งสองต่อมมีหน้าที่เหมือนกันและอยู่ใน กลุ่มเนื้อเยื่อต่อมน้ำเหลืองที่เรียงกันเป็นกลุ่มวงในช่องคอ ที่เรียกว่า Waldeyer’s ring ทำหน้าที่คอยดักจับเชื้อโรคที่จะเข้าสู่ร่างกาย โดยกลุ่มนี้ประกอบไปด้วย

1. ต่อมอะดีนอยด์ (Adenoid Gland)

2. ต่อมทอลซิลที่อยู่ด้านข้างหลังโพรงจมูก (Tubal tonsils)

3. ต่อมทอนซิลที่อยู่บริเวณผนังคอด้านข้าง 2 ข้าง (Palatine Tonsils)

4. ต่อมทอนซิลที่อยู่บริเวณโคนลิ้น (Lingual Tonsils)

เด็กนอนกรน

สาเหตุของโรคมาจากไหน

สาเหตุที่ทำให้ต่อมอะดีนอยด์โต คือ ภูมิแพ้ การติดเชื้อ และเนื้องอก แต่ที่พบบ่อยในเด็กนั้นก็คือภูมิแพ้และการติดเชื้อ เมื่อใดที่ต่อมอะดีนอยด์โตจนขัดขวางทางเดินหายใจ และส่งผลเสียออกมาในหลายอาการ ได้แก่ อาการทางจมูก อาการทางหู และอาการนอนกรน

ทีมแม่ ABK : อาการเริ่มต้นที่พ่อแม่ต้องเฝ้าระวังในเด็กเล็ก

คุณหมอ : อาการที่จะแสดงเมื่อเริ่มต้น คือ  อาการทางจมูก เช่น คัดจมูก น้ำมูกไหลเรื้อรัง อาการทางหู เช่น มีน้ำขังบริเวณหูชั้นกลาง หูชั้นกลางอักเสบหรือมีหนองไหล และ นอนกรน อ้าปากหายใจ กรน พร้อมมีเสียงหายใจเหมือนเป่าปี่ จนถึงการหยุดหายใจขณะหลับ

ทีมแม่ ABK : หากพบความผิดปกติ พ่อแม่ควรรับมืออย่างไร

คุณหมอ : แนะนำให้รีบมาพบแพทย์  แพทย์จะซักประวัติ ตรวจร่างกายเบื้องต้น โดยส่วนใหญ่หากตรวจพบว่าต่อมทอนซิลโต ก็อาจสันนิษฐานเบื้องต้นได้ว่าต่อมอะดีนอยด์อาจจะโต นั่นก็เพราะทั้ง 2 ต่อมอยู่ใกล้กัน ดังนั้นกรณีได้รับสารภูมิแพ้ที่รุนแรงก็อาจจะกระทบได้ทั้ง 2 ส่วนนั่นเอง การตรวจขนาดต่อมอะดีนอยด์ในเด็กที่ไม่สามารถตรวจได้ แพทย์จะส่งตรวจเอกซเรย์ต่อมอะดีนอยด์เพื่อยืนยันการวินิจฉัยและวางแนวทางการรักษา ทั้งนี้ การซักประวัติมีความสำคัญเป็นอย่างมาก เพราะอาการนำของต่อมอะดีนอยด์โตที่มาด้วยอาการนอนกรน เป็นข้อบ่งชี้ที่สำคัญประการหนึ่งในการพิจารณาแนวทางการรักษา

3 คำ จำให้ขึ้นใจ
“ลดฝุ่น เพิ่มภูมิ ป้องกัน”

เทคนิคการดูแลตนเองและลูกน้อย เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหา ต่อมอะดีนอยด์โต

“ลดฝุ่น” เริ่มจากการทำความสะอาดบ้าน และเครื่องใช้ภายบ้านให้สะอาดอยู่เสมอ โดยเฉพาะสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวเด็ก ๆ อย่างของเล่น ผ้าห่ม จัดวางตุ๊กตาภายในห้องนอนที่เด็กชื่นชอบไม่ให้มากเกินไป หมั่นล้างเครื่องปรับอากาศเพื่อไม่ให้เป็นแหล่งสะสมฝุ่นอย่างเหมาะสม

“เพิ่มภูมิคุ้มกัน” ออกกำลังกาย ทำกิจกรรมกลางแจ้งอย่างเหมาะ รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ เน้นทานผักหลากสี ทานผลไม้สดที่วิตามินซีสูง นอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ ไม่นอนดึก

“ป้องกัน” ใส่หน้ากากอนามัยเมื่ออยู่ในที่สาธารณะ และเมื่อมีคนใกล้ชิดป่วย นอกจากนี้เด็กรุ่นใหม่มักจะเรียนว่ายน้ำ แต่สิ่งที่พึงระวังเสมอเพื่อช่วยป้องกันอาการป่วยได้อีกทางหนึ่ง คือ หากเป็นหวัด ควรหลีกเลี่ยงการว่ายน้ำด้วยนะคะ

ลูกนอนกรน
แพทย์หญิง นภารัตน์ จิระวัฒนผลิน อายุรแพทย์ประจำศูนย์ หู คอ จมูก รพ.พญาไท3

อ่านต่อบทความอื่นน่าสนใจ คลิก

การดูแลทารกแรกเกิด

10 วิธี การดูแลทารกแรกเกิด แม่มือใหม่เข้าใจง่าย! ฉบับพยาบาลมือโปร

Alternative Textaccount_circle
event
การดูแลทารกแรกเกิด
การดูแลทารกแรกเกิด

รวมเรื่องที่แม่มือใหม่ต้องรู้!! รวมวิธี การดูแลทารกแรกเกิด เข้าใจง่าย โดย พี่กัล – กัลยา เพจ “พี่กัลนมแม่” พยาบาลมือโปรด้านนมแม่และดูแลเด็ก

10 วิธี การดูแลทารกแรกเกิด แม่มือใหม่เข้าใจง่าย!
ฉบับพยาบาลมือโปร

สำหรับคุณพ่อคุณแม่มือใหม่ การมีลูกคือความท้าทายอย่างหนึ่งในชีวิต ที่ต้องมีการเตรียมตัวมากมาย ทั้งทางร่างกาย จิตใจ และความพร้อมในด้านต่าง ๆ ตั้งแต่ก่อนคลอด และหลังคลอด การเป็นคุณพ่อคุณแม่นั้นเป็นหน้าที่ความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่และต้องแลกมาด้วยความเหน็ดเหนื่อย แต่เราก็สามารถรับมือได้ หากมีการเตรียมตัวล่วงหน้า วันนี้ ทีมแม่ ABK ขอพาทุกคนไปพบกับ พี่กัล – คุณกัลยา โตใหญ่ดี หรือ “พี่กัล” พยาบาลมือโปรด้านนมแม่และดูแลเด็ก จากเพจ “พี่กัลนมแม่” ที่จะมาแนะนำเทคนิค การดูแลทารกแรกเกิด เตรียมตัวหลังคลอด สำหรับคุณแม่มือใหม่ แบบครอบคลุมแทบทุกเรื่องที่คุณแม่ควรรู้

ภาวะหลังคลอดที่ส่งผลต่อคุณแม่ ในช่วง 2-3 วันแรกหลังคลอด ที่คุณแม่ยังต้องพักฟื้นอยู่โรงพยาบาล ในช่วงเวลานี้ คุณแม่ส่วนใหญ่จะยังมุ่งความสนใจไปที่ตัวเองเป็นหลัก เนื่องจากเพิ่งเกิดการเปลี่ยนแปลงกับร่างกายของคุณแม่ คุณแม่ยังรู้สึกเจ็บปวดแผลจากการคลอดลูก และรู้สึกอ่อนเพลีย

หลังจากคลอดลูกประมาณ 3 วัน คุณแม่จึงจะเริ่มสนใจลูกมากขึ้น ซึ่งปัญหาที่คุณแม่มักพบเจอเมื่อออกจากโรงพยาบาล กลับถึงบ้านแล้ว คือลูกร้องไห้ไม่หยุด คุณแม่ไม่รู้ว่าลูกต้องกินนมเท่าไหร่จึงจะเพียงพอ ต้องอุ้มกล่อมลูกอย่างไร ต้องเตรียมตัวรับมืออย่างไร

การดื่มนมแม่เป็นเรื่องสำคัญ นมแม่เป็นนมที่ดีที่สุด มีสารอาหารครบถ้วน 200 กว่าชนิด มีภูมิคุ้มกันที่ไม่มีในนมผง จึงเหมาะสำหรับเด็กวัยแรกเกิด จนถึงอายุ 6 เดือน ซึ่งลูกยังไม่มีภูมิคุ้มกัน นอกจากนี้การให้ลูกดื่มนมแม่ ยังเป็นวิธีการป้องกันมะเร็งในคุณแม่อีกด้วย

เตรียมตัวหลังคลอด

1. เทคนิคอาบน้ำลูก การดูแลทารกแรกเกิด

การดูแลทารกแรกเกิด ก่อนอาบน้ำลูก ควรปรับอุณหภูมิร่างกายของลูก ห้องที่ลูกอยู่ รวมถึงห้องที่อาบน้ำลูกให้เหมาะสม ด้วยการปิดแอร์ ปิดพัดลม เพราะอาจทำให้ลูกรู้หนาวได้ คุณพ่อคุณแม่ควรเตรียมน้ำในกะละมังให้ลึกประมาณ 10 เซนติเมตร จากก้นกะละมัง เพื่อป้องกันไม่ให้ลูกลื่นหลุดมือ และจมน้ำ อุณหภูมิน้ำที่เหมาะสมคือประมาณ 37 องศาเซลเซียส คุณพ่อคุณแม่ควรให้ลูกอาบน้ำอุ่นในช่วงอายุเดือนแรก หลังจากนั้นจึงเริ่มอาบน้ำอุณหภูมิปกติได้ เพื่อป้องกันไม่ให้ลูกผิวแห้ง

ขั้นตอนการอาบน้ำ

เริ่มจากการแกะเสื้อผ้าของลูกออก ก่อนที่จะแกะผ้าอ้อมออกเป็นอย่างสุดท้าย ห่อตัวแบบเปิดศีรษะ เพื่อสระผมให้ลูก จับลูกให้มั่น มือประคองท้ายทอยให้ตัวลูกแนบกับลำตัวของเรา วักน้ำล้างหน้า และรดน้ำที่ศีรษะของลูก กดแชมพูใส่มือ แล้วถูให้ทั่ว นวดศีรษะให้ลูกรู้สึกสบาย ผ่อนคลาย ล้างด้วยน้ำเปล่าให้สะอาด เช็ดศีรษะของลูกให้แห้ง กดสบู่ถูที่ตัว โดยเว้นบริเวณมือของลูกไว้ เพื่อป้องกันไม่ให้ลูกเอาสบู่เข้าปาก ถ้าคุณพ่อคุณแม่รู้สึกเมื่อย ไม่ถนัด สามารถอุ้มลูกออกมาถูตัวข้างนอกอ่าง เสร็จแล้วจึงค่อยอุ้มเข้ามาล้างตัวในอ่างก็ได้

เตรียมตัวหลังคลอด

ขั้นตอนการล้างตัวลูก

ล้างมือของลูกเป็นอันดับแรก ก่อนที่จะล้างทั้งตัว อุ้มลูกออกมาวางข้างนอกอ่างอาบน้ำ เช็ดตัวลูกให้แห้ง แล้วชะโลมผิวด้วยโลชั่นบำรุงผิว ห่อตัวลูกแบบปิดศีรษะ เป็นวิธีการห่อตัวที่เหมาะสำหรับเวลาที่อากาศหนาวเย็น หรือช่วงวัยที่ลูกยังต้องการความอบอุ่นเป็นพิเศษ เช่น วัยแรกเกิด หรือเวลาที่ลูกงอแง โดยการห่อตัวแบบนี้จะเปิดเฉพาะบริเวณใบหน้าของลูก ทำได้ง่าย ๆ ด้วยการพับผ้าเป็นสามเหลี่ยม ทำเป็นหมวกคลุมผม พับบริเวณคาง ใช้แขนลูกหนีบชายผ้า 1 ข้างเอาไว้ ก่อนที่จะนำแขนของลูกอีกข้างลงมา แล้วนำผ้ามาห่อพันไว้

 

2. การดูแลทารกแรกเกิด อุ้มเรอ หลังกินนม

เป็นขั้นตอนการนวดเพื่อไล่ลม ลดอาการท้องอืด ปวดท้อง ไม่สบายตัว โดยเด็กเล็กมักเกิดอาการท้องอืด เนื่องจากการทำงานของระบบทางเดินอาหารยังไม่สมบูรณ์ ลูกขับลมเองได้ยาก นอกจากนี้ การกินนมและร้องไห้ยังทำให้ลูกมีโอกาสได้รับลมเข้าไปในระบบทางเดินอาหารมากขึ้นอีกด้วย

 

อาการท้องอืด

วิธีสังเกตอาการท้องอืดของลูกคือ ลูกร้องกวน ร้องโยเย แอ่นตัว มือเท้าหงิก ลูกไม่สบายท้อง ท้องกาง เมื่อลองเคาะไปที่ท้องจะดังป๊อกๆ แสดงว่ามีลมในท้อง คุณพ่อคุณแม่สามารถอุ้มลูกเรอได้หลายช่วงเวลา ทั้งหลังกินนม และระหว่างกินนม บางครั้งอาจต้องอุ้มเรอก่อน ค่อยนำลูกกลับมาเข้าเต้าใหม่อีกครั้ง

วิธีการอุ้มเรอ

ให้นำสันมือวางที่ตำแหน่งลิ้นปี่ของลูก โน้มตัวลูกไปข้างหน้า ให้น้ำหนักของลูกทิ้งไปที่ฝ่ามือ จะทำให้ลูกเรอง่ายขึ้น ทำแบบนี้ไปเรื่อย ๆ จนกว่าลูกจะรู้สึกสบายตัวมากขึ้น ท่าอุ้มพาดบ่า ให้อุ้มลูกมาวางพาดบนบ่า โดยให้ลิ้นปี่ของลูกอยู่บริเวณหัวไหล่ของแม่

 

3. การนวดท้องท่าไอเลิฟยู

วิธีการนวดท้องลูกด้วยการนวดวนเป็นรูปตัวไอ แอล และยู

  • ไอ เริ่มจากการใช้นิ้วมือกดลากจากใต้ราวนมลงมาที่ขาหนีบของลูก
  • แอลคว่ำ นวดวนจากราวนมด้านซ้ายลงไปที่ขาหนีบของลูก
  • ยู นวดจากขาหนีบขวาไปที่ขาหนีบซ้าย

นอกจากนี้ยังมีท่าอื่น ๆ ที่ช่วยให้ลูกรู้สึกสบายตัวขึ้น เช่น การปั่นจักรยานอากาศ ช่วยให้ขับลมและขับถ่ายง่ายขึ้น

เตรียมตัวหลังคลอด

4. การดูแลทารกแรกเกิด อุ้มลูกดูดนมจากเต้า

อุ้มลูกดูดให้ถึงลานนม วางหมอนรอบตัว ใช้นิ้วโป้งและนิ้วชี้ล็อคคอลูก ให้ลูกนอนตะแคงเพื่อให้ลูกนอนสบายและถนัด อย่านอนหงายแบบบิดหัว ใช้แขนประคองหลังลูก โกยนมให้หัวนมชี้ ถ้าลูกอ้าปากให้เอาคางลูกเข้าไปก่อน ถ้าลูกไม่อ้าปากให้เอาหัวนมเขี่ยไปที่ปากของลูกเพื่อกระตุ้นให้อ้าปาก จัดท่าให้คางของลูกชิดด้านล่างเต้า ให้ลูกอ้าปากกว้าง ๆ ให้ปากบาน ปากด้านบนมาประกบกับเต้าด้านบน

ถ้าลูกดูดไปนิดนึงแล้วเผลอหลับ ให้บีบเต้านม 5 วินาที เพื่อกระตุ้นให้เต้ากระเพื่อม เป็นการปลุกลูกให้ตื่น ถ้าลูกยังไม่ตื่น ให้เขี่ยข้างแก้มให้ลูกตื่น ถ้าลูกยังไม่ตื่นอีก ให้เอาออกจากตักมานั่งที่หมอนให้ตื่นก่อน แล้วจึงให้ลูกกินนมต่อ

โดยช่วงแรก ควรให้ลูกดูดนม 15-20 นาที/เต้า ถ้าลูกดูดถูกวิธี ปากของลูกจะดูดติดกับเต้านม ดึงลูกออกจากเต้าไม่ได้ ให้คุณแม่นั่งวางแขนสบาย ๆ ได้เลย สำหรับคุณแม่ผ่าตัดคลอด มีหนัาท้องใหญ่ หัวนมสั้น หน้าอกหย่อนคล้อย อาจทำ “ท่าฟุตบอล” เพื่อเหน็บลูกที่รักแร้ได้

วันที่ 4-5 หลังคลอด เมื่อน้ำนมเริ่มไหลสม่ำเสมอดีมากขึ้น ให้ลูกดูดนมให้เกลี้ยงเต้า ด้วยการจดจำความรู้สึกตอนที่น้ำนมยังน้อยเอาไว้ ให้ลูกดูดนมจนเต้านิ่ม บีบแลัวน้ำนมไม่พุ่ง ถ้าลูกดูด 1 ข้างจนเกลี้ยง แล้วอีกเต้ายังไม่ได้ดูด หรือดูดไปนิดเดียวแล้วลูกหลับ ปล่อยให้ลูกนอนประมาณ 1 ชั่วโมง พอลูกตื่น ให้สลับมาดูดเต้าที่ยังไม่เกลี้ยงให้เกลี้ยง

ให้นมลูก

5. วิธีดูว่าคุณแม่มีน้ำนมหรือไม่

ประมาณวันที่ 4 หลังคลอด เต้านมของคุณแม่จะรู้สึกคัดตึง แสดงว่ามีน้ำนม มีน้ำนมไหลเปรอะเสื้อ รู้สึกจี๊ด ๆ ในเต้านม

 

6. วิธีดูว่าลูกได้รับนมเพียงพอหรือไม่

ภายในเวลา 24 ชั่วโมง ลูกจะต้องฉี่ 6 ครั้ง อึ 3 ครั้ง ฉี่ของลูกควรมีสีเหลืองใส ถ้าฉี่มีสีอิฐแสดงว่าได้นมไม่เพียงพอ และลูกไม่ควรนอนนานมากกว่า 3 ชั่วโมงต่อวัน

 

7. การปั๊มนม

คุณแม่สามารถเริ่มเก็บน้ำนมสต๊อก ประมาณ 2 สัปดาห์หลังคลอด โดยปั๊ม 10-15 นาที ทันทีหลังจากลูกดูดเสร็จ ไม่เกิน 1 เดือนหลังจากคลอดลูก โดยแนะนำให้ใช้เครื่องปั๊มน้ำนมไฟฟ้า 2 เต้า มีงานวิจัยว่า การปั๊มน้ำนม 2 ข้าง จะช่วยกระตุ้นการไหลของน้ำนมให้ดีที่สุด โดยควรผลัดกันกระตุ้น 3-4 รอบ/วัน นำนมที่ได้ใส่ถุงเก็บน้ำนม แช่ตู้เย็นช่องธรรมดา ถ้ามีการปั๊มน้ำนมเพิ่มแล้วค่อยเอามารวมกันได้ภายใน 24 ชั่วโมง เมื่อครบ 5 ออนซ์จึงค่อยนำไปแช่ช่องฟรีซ

 

8. การฝึกลูกดูดขวดนม

เริ่มฝึกให้ลูกใช้ขวดนมได้ตั้งแต่ลูกอายุ 1 เดือนเป็นต้นไป เพราะถ้าลูกเริ่มดูดขวดนมเร็วเกินไป จะทำให้ลูกติดการดูดขวดนม ไม่ยอมดูดนมแม่ เพราะดูดขวดง่ายกว่าการดูดนมแม่ ใช้เหงือกหรือปากงับขวดก็ได้รับน้ำนมได้เลย โดยควรให้นมขวดแค่วันละ 1-2 มื้อเท่านั้น

 

9. การใช้นมสต๊อก

นมแม่มีอายุการเก็บดังนี้

  • อุณหภูมิห้อง เก็บได้ไม่เกิน 1 ชั่วโมง
  • ห้องเปิดแอร์ เก็บได้ 4 ชั่วโมง
  • ตู้เย็นช่องธรรมดา เก็บได้ 2 วัน
  • ตู้เย็นช่องฟรีซแบบ 2 ประตู 3 เดือน
  • ตู้แช่แข็ง เก็บได้ 6 เดือน ถึง 1 ปี
  • กระติกที่มีอุณหภูมิต่ำกว่า 15 องศาเซลเซียส สามารถเก็บได้ 24 ชั่วโมง

 

10. วิธีละลายนมสต๊อก

ถ้าแช่นมใยตู้เย็นช่องฟรีซ ให้ย้ายลงมาช่องธรรมดา 8-12 ชั่วโมงก่อนใช้ เพื่อให้น้ำนมค่อย ๆ ละลายด้วยตัวเอง สามารถนำมาให้ลูกกินได้เลย ถ้าน้ำนมเป็นเกล็ดน้ำแข็งให้แกว่งในน้ำสักพัก เพื่อให้เกล็ดน้ำแข็งละลายก่อน ถ้าเด็กชอบกินนมอุ่น ให้อุ่นนมได้อุณภูมิไม่เกิน 40 องศาเซลเซียส เพื่อไม่ให้สูญเสียสารอาหารในนมแม่ โดยให้ลูกกินนมชั่วโมงละ 1 ออนซ์ หรือถ้าลูกแรกเกิดถึง 1 เดือน ให้ใช้สูตรคำนวณตามนี้

  • น้ำหนักของลูก (กิโลกรัม) x 120 /30 จะได้ปริมาณนมที่ควรกินต่อวัน
  • แล้วค่อยนำไปหารเป็นปริมาณนมต่อมื้อ

 

เรียกได้ว่า การดูแลทารกแรกเกิด ถือเป็นเรื่องสำคัญที่พ่อแม่มือใหม่ควรรู้ไว้ เพื่อเตรียมรับมือ และรู้หลักวิธีการดูแลลูกที่ต้องต้องไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ เมื่อถึงเวลาจะได้รับมือทัน

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

อยากให้ ลูกกินนมแม่ ต้องรู้! 10 อุปสรรคใหญ่ในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่

หมอเผย!! เลี้ยงลูกด้วย นมแม่ ให้มีความสุข ทำอย่างไร?

บอกหมดไม่กั๊ก วิธีสต๊อคนมแม่ พร้อมส่งนมข้ามจังหวัดฟรี!

ลูกไม่เรอ ลูกเรอยาก ต้องดู! คลิปสอน วิธีจับลูกเรอ 2 วิธีทําให้ลูกเรอง่ายๆ

เด็กแรกเกิด ควรดูแลอย่างไร ลักษณะแบบไหนถือว่าปกติ

อนุบาลปรางทิพย์

อนุบาลปรางทิพย์ & ปรางทิพย์เดย์แคร์ โรงเรียนอนุบาลเอกชน ที่เต็มไปด้วยความรัก

event
อนุบาลปรางทิพย์
อนุบาลปรางทิพย์

อนุบาลปรางทิพย์ โรงเรียนที่เต็มไปด้วยความรัก โรงเรียนอันเป็นที่รัก สถานที่ซึ่งเรียนรู้ผ่านกิจกรรม ความคิดสร้างสรรค์ และความสนุกไม่รู้จบมารวมกัน เพื่อสร้างประสบการณ์มหัศจรรย์อย่างแท้จริงให้กับเด็กๆ ชาวปรางทิพย์!

เมืองกรุง..ความเจริญอันแออัดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ถนนหนทางแน่นไปด้วยยวดยานพาหนะตลอดทั้งวันมลภาวะเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว.. หลังจากเด็กๆลงจากรถ ผละจากคุณพ่อคุณแม่ เท้าน้อยๆก้าวเข้าบริเวณโรงเรียน ผู้ปกครองอุ่นใจ เพราะเด็กๆจะปลอดภัยและเริ่มวันใหม่อย่างมีความสุข ณ บ้านอันแสนอบอุ่นสุดสนุกสนานหลังที่สอง สมดังปรัชญาของโรงเรียน อบอุ่นเหมือนบ้าน ปูพื้นฐานความพร้อม ของ โรงเรียน อนุบาลปรางทิพย์

โรงเรียน อนุบาลปรางทิพย์ และ ปรางทิพย์เดย์แคร์ ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2517 โดย อาจารย์ปรางทิพย์ ทวีพาณิชย์ ด้วยหัวใจ ความตั้งใจ และความเข้าใจธรรมชาติของเด็กๆ เพราะครอบครัวคือแห่งแรกที่จะหล่อหลอมพฤติกรรมและตัวตน หากโรงเรียนสามารถเป็นครอบครัวที่อบอุ่นแห่งที่สองของเด็กๆได้ เด็กๆจะเติบโตได้อย่างมั่นคงและมีภูมิคุ้มกัน

ประสบการณ์อันยาวนานจากรุ่น สู่รุ่น ในการอบรมเลี้ยงดูทั้งร่างกาย จิตใจของเด็กปฐมวัยและสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งสำหรับการศึกษาในอนาคตของเด็กๆ คุณครูและเจ้าหน้าที่ทุ่มเทและมุ่งมั่นที่จะจัดสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยและครอบคลุมให้เด็กๆทุกคนสามารถเติบโตและเข้าถึงศักยภาพสูงสุดของตนเองได้ โดยไม่ทิ้งเรื่องวัฒนธรรมและความเป็นไทย

อนุบาลปรางทิพย์

ด้านหน้าทางเข้าโรงเรียน

 

หนึ่งใน Signature ของ โรงเรียนอนุบาลปรางทิพย์ คือยอดปราสาท ไม่ว่าจะปรับปรุงโรงเรียนกี่ครั้งก็ยังคงไว้ซึ่งยอดปราสาทในความทรงจำของบรรดาศิษย์เก่า

อนุบาลปรางทิพย์

ยอดปราสาท signature ของโรงเรียน

อนุบาลปรางทิพย์

หน่วยการเรียนรู้เรื่อง Store ของเด็กๆชั้น K1 เด็กๆได้สลับกันเป็น พ่อค้า-แม่ค้า-ลูกค้า

อนุบาลปรางทิพย์

อนุบาลปรางทิพย์

การเล่นกลางแจ้ง ไม่ใช่แค่การเล่นแต่ถือเป็นการเรียนรู้ผ่านกิจกรรมของเด็กปฐมวัย

 

หัวใจหลักของการศึกษาที่ โรงเรียน อนุบาลปรางทิพย์

1. เพราะงานของเด็กคือการเล่น Power of Playing

“การเล่นของเด็กมีความสำคัญต่อพัฒนาการของ executive function (EF) และความสำเร็จของชีวิตในอนาคต โดย executive function (EF) คือความสามารถระดับสูงของสมองที่ใช้ในการควบคุมความคิด อารมณ์ และการกระทำเพื่อไปให้ถึงเป้าหมาย”

ห้องเรียนที่นี่สามารถปรับเปลี่ยนเคลื่อนย้ายได้ตามกิจกรรม และสื่อต่างๆ ที่น่าสนใจและเหมาะสมกับวัยที่กระตุ้นจินตนาการ ส่งเสริมปฏิสัมพันธ์ทางสังคม และส่งเสริมพัฒนาการด้านสติปัญญา ไม่ว่าจะเป็นบล็อกตัวต่อ ปริศนา หรือกิจกรรมศิลปะ หลักสูตรมุ่งเน้นไปที่การส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ ทักษะการแก้ปัญหา และการแสดงออก

อนุบาลปรางทิพย์

ชั้นเรียนได้รับการออกแบบมาให้ปรับเปลี่ยนเคลื่อนที่ได้ โต๊ะเรียนแปลงร่างเป็นร้านค้าของเหล่านักช็อป K1

อนุบาลปรางทิพย์

อนุบาลปรางทิพย์

ทุกหน่วยการเรียนรู้ใช้วิธีแบบบูรณาการ เสริมสร้างความรู้และประสบการณ์อย่างเป็นธรรมชาติ

2. เรียน/เล่น เน้นสมรรถนะ Theme-Based Learning

การเรียนรู้โดยใช้ประเด็น หรือ Theme-Based Learning เป็นเครื่องมือหลักที่ใช้ตั้งแต่เด็กๆ K1-K3

ในแต่ละภาคเรียนของแต่ละชั้นปี มีหน่วยการเรียนรู้แตกต่างกัน โดยเริ่มจากสิ่งที่อยู่ใกล้ๆตัว แล้วค่อยๆห่างออกไป เช่น

หน่วยการเรียนรู้ของ K1 : My School , Home, Store, Food Shop, People in the Community

หน่วยการเรียนรู้ของ K2 : Our King and Our Nation, Farm, Sea, Super Market, Our Community

หน่วยการเรียนรู้ของ K3 : I am Thai, Transportation, Museum, Zoo, Garden

 

การเรียนรู้ผ่านกิจกรรมของปฐมวัยต้องประกอบไปด้วย

เคลื่อนไหวและจังหวะ, กลางแจ้ง, สร้างเสริมประสบการณ์, สร้างสรรค์, เสรี และ เกมการศึกษา

เพื่อพัฒนา Sensory and Motor Skills ไปควบคู่กัน ไม่ใช่การนั่งโต๊ะ จด และท่องจำ!

อนุบาลปรางทิพย์

พี่ๆ K3 สนุกสนานกับ Moving with Music ใครหยุดคนสุดท้ายต้องตอบคำถาม วิธีนี้สนุกสนานจนไม่มีใครหลบตาไม่อยากตอบ Teacher เลย

อนุบาลปรางทิพย์

เรียนภาษาอังกฤษผ่านกิจกรรมต่างๆ

อนุบาลปรางทิพย์

Activity Based Learning ทำให้เด็กๆได้ใช้กล้ามเนื้อมัดใหญ่และเล็กอย่างต่อเนื่อง

ก่อนจะจบภาคการศึกษา2-3 สัปดาห์ เด็กๆจะได้ทำ Project Approach โดยได้ร่วมเลือกหัวข้อกันด้วยตนเอง

Project Approach คืออะไร ดีอย่างไร

เป็นกระบวนการสืบค้นเชิงลึกเกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งโดยมีนักเรียนเป็นผู้ลงมือปฏิบัติและมีครูผู้สอนคอยแนะนำ ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นฐานที่ว่า เด็กๆย่อมเรียนรู้ได้ดีที่สุดเมื่อพวกเขารู้สึกสนใจและมีส่วนร่วมในหัวข้อที่พวกเขากำลังเรียนอยู่ เด็กๆ จะได้ทำกิจกรรมร่วมกันโดยการเลือกหัวข้อเรื่องที่อยากจะเรียนรู้ ตั้งคำถาม คุณครูจะทำใบงานส่งให้ผู้ปกครองและเด็กๆช่วยกันหาวิธีแก้ปัญหา ศึกษาทำความเข้าใจ วาดภาพตามความเข้าใจ ช่วยกันทำแผ่นชาร์ตเพื่อนำเสนออย่างง่ายๆบนเวที การมีส่วนร่วมนี้จะช่วยให้เด็กๆ พัฒนาทักษะการคิดแบบเป็นเหตุเป็นผล ทักษะการติดต่อสื่อสาร และทักษะทางสังคม

 

3. Extra English Program อัดแน่นไปด้วยความสนุก

หลักสูตรนี้จัดประสบการณ์ที่สอดคล้องกับหน่วยการเรียนเป็นภาษาอังกฤษและภาษาไทย ในแต่ละห้องมีครูเจ้าของภาษาและครูไทย ทำหน้าที่เป็น Homeroom Teacher และครูไทยร่วมกันจัดกิจกรรมสนุกๆและดูแลเด็กๆตั้งแต่เช้าจนถึงเลิกเรียน

เด็กๆที่ “ปรางทิพย์” ได้ Homeroom และเรียนกับ Teacher เจ้าของภาษาตั้งแต่ชั้น K1 หากไม่เข้าใจ Teacher และเด็กๆจะใช้ภาษากาย หาวิธีต่างๆในการสื่อสารอย่างเป็นธรรมชาติ เด็กๆได้แก้ปัญหา สนุกสนาน สะสมคลังคำศัพท์ที่ปราศจากการท่องจำ ใช้เวลาประมาณ 1 เดือนเท่านั้น เด็กๆก็จะเริ่มเข้าใจภาษาอังกฤษและสื่อสารได้ตามวัย

โรงเรียนอนุบาลปรางทิพย์ สอนภาษาอังกฤษแบบ Phonics ซึ่งเป็นการเรียนภาษาอังกฤษแบบธรรมชาติ

 

4. โครงการบ้านนักวิทยาศาสตร์ตัวน้อย Little Science House

วิทยาศาสตร์ ช่วยให้เด็กได้พัฒนาความตระหนักรู้เกี่ยวกับสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในโลกรอบตัว  เด็กจะได้รับการส่งเสริมและตอบสนองต่อคำถามที่เกิดขึ้นระหว่างการสำรวจสิ่งต่างๆรอบตัวของตนเองอย่างเหมาะสม

ด้านร่างกาย การจัดกิจกรรมให้เด็กได้สำรวจสิ่งต่างๆรอบตัว เด็กได้ใช้ประสาทสัมผัสทั้งห้าและใช้อุปกรณ์สำรวจอย่างง่าย ซึ่งเป็นการพัฒนากล้ามเนื้อใหญ่และกล้ามเนื้อเล็ก

ด้านอารมณ์และจิตใจ การจัดกิจกรรมสำรวจและทดลอง เด็กได้รู้จักบทบาทหน้าที่ของตนเอง รู้จักใช้เหตุผล กล้าตัดสินใจ ได้แสดงผลงานและความสามารถจากการสำรวจด้านสังคม เด็กได้ฝึกการช่วยเหลือตนเองในการทำกิจกรรม

รู้จักทำงานร่วมกับเพื่อน รู้จักการให้และการรับ ฝึกการปฏิบัติตามกฎระเบียบหรือข้อตกลงร่วมกัน และเห็นคุณค่าของสิ่งแวดล้อมรอบตัวและช่วยกันดูและรักษา

ด้านสติปัญญา เด็กได้พัฒนาความสามารถในการถามคำถามเชิงวิทยาศาสตร์ การค้นหาคำตอบด้วยวิธีการต่างที่เหมาะสมกับวัย ได้บอกลักษณะของสิ่งที่สำรวจพบด้วยคำพูด การวาดภาพ ได้เรียนรู้ใหม่และบอกวิธีการเรียนรู้ของตนเอง
และ จินตนาการและความคิดสร้างสรรค์

 

Mommy’s Love This! ถูกใจแม่

1. ความเปลี่ยนแปลงหลายอย่างของโรงเรียนอนุบาลปรางทิพย์เกิดขึ้นเพราะ “เสียง” ของผู้ปกครองของเด็กๆ

เมื่อสภาพสังคมและบริบทเปลี่ยนแปลง เป้าหมายของผู้ปกครองก็แปรไปด้วยเช่นกัน

เช่น การเปลี่ยนเป็น หลักสูตร Extra English Program เต็มรูปแบบ เนื่องจากผู้ปกครองต่างเล็งเห็นถึงความสำคัญของภาษาอังกฤษ

2. ความสัมพันธ์ระหว่าง โรงเรียนบ้าน

ชั้นเรียนแต่ละชั้นจะมีจำนวนเด็กไม่มากหรือน้อยเกินไป เพียงพอที่ Teacher และ คุณครูไทยจะดูแลได้อย่างทั่วถึง ผู้ปกครองจะได้รับรายงานจากครูประจำชั้น ครูประจำชั้นจะรับทราบจากรายงานของผู้ปกครอง อีกทั้งยังมีสัปดาห์ศิษย์-ลูก ที่ทั้งสองสถาบันจะได้พบปะเข้าร่วมพูดคุยกันอีกด้วย

3.รู้ รอด ปลอดภัย ตั้งแต่วัยเด็ก

โรงเรียนอนุบาลปรางทิพย์และปรางทิพย์เดย์แคร์ยึดถือเรื่องความปลอดภัยในโรงเรียนเป็นสิ่งสำคัญสูงสุด เด็กๆ คุณครูและบุคคลากรจะได้รับการอบรมและฝึกซ้อม เด็กๆจะได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด

เช่น กิจกรรมปลอดภัยจากอุบัติภัยและอัคคีภัย ,กิจกรรมการฝึกซ้อมเผชิญเหตุ ,กิจกรรม Run Hide Fight กิจกรรมการแก้ปัญหา สถานการณ์การติดอยู่บนรถ

4. หน่วยคัดกรอง โรค มือ เท้า ปาก

ทางโรงเรียนมีเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญด้านการคัดกรอง โรค มือ เท้า ปาก ประจำอยู่ที่โรงเรียน หากคัดกรองแล้วพบแนวโน้มว่าเด็กๆจะติดเชื้อ จะแจ้งผู้ปกครองให้ทราบโดยทันท่วงที

5. After School Care Program

ในกรณีที่ผู้ปกครองติดภารกิจและเพื่อเป็นการแบ่งภาระของผู้ปกครอง ทางโรงเรียนจะ เปิด AFTER SCHOOL CARE PROGRAM เพื่อดูแลนักเรียนในระหว่างช่วงเวลา 17.00 น – 19.00 น. โดยจัดคุณครูช่วยคอยดูแลนักเรียน ให้รับประทานอาหารเย็น อาบน้ำ เปลี่ยนชุดนอนที่ผู้ปกครองเตรียมมา โดยผู้ปกครองสามารถ ฝากเป็นรายวัน หรือ รายเดือนได้ตามความจำเป็น

อนุบาลปรางทิพย์

 ผศ. ลัดดาวรรณ เจริญศักดิ์ศิริ ผู้อำนวยการโรงเรียน

 

เกณฑ์การรับสมัคร

ปรางทิพย์เดย์แคร์ รับดูแลและเสริมสร้างพัฒนาการให้กับเด็ก ๆ อายุระหว่าง 3 เดือน – 2 ปี 6 เดือน

  • รับเฉพาะนักเรียนไป-กลับ
  • รับนักเรียน ชายและหญิง ตั้งแต่อายุ 3 เดือน – 2 ขวบครึ่ง
  • แบ่งกลุ่มพัฒนาการตามช่วงอายุของเด็ก
    • Day Care XS อายุ 3 เดือน – 12 เดือน
    • S อายุ 1 – 2 ขวบ
    • M-L อายุ 2 – 2 ขวบครึ่ง

อนุบาลปรางทิพย์ หลักสูตร Extra English Program เปิดรับสมัครนักเรียนอายุระหว่าง 2 ปี 6 เดือน – 5 ปี

  • รับเฉพาะนักเรียนไป-กลับ
  • รับนักเรียน ชายและหญิง ตั้งแต่อายุ 2 ขวบครึ่ง – 5 ขวบ
  • แบ่งชั้นตามระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ
    • ชั้นอนุบาล 1 หรือ EEP K1
    • ชั้นอนุบาล 2 หรือ EEP K2
    • ชั้นอนุบาล 3 หรือ EEP K3

หรือพิจารณาตามพัฒนาการของเด็ก

ที่อยู่  : 29 ซอยวิภาวดี 48-50 ถนนวิภาวดีรังสิต จตุจักร ลาดยาว กรุงเทพฯ 10900

สอบถามเพิ่มเติม

โทรศัพท์ : 064-540-6909, 083-616-5965, 02-579-3628

Line @prangthipschool

เว็บไซต์ : https://prangthip.ac.th/

อนุบาลปรางทิพย์ อนุบาลปรางทิพย์ อนุบาลปรางทิพย์ อนุบาลปรางทิพย์ อนุบาลปรางทิพย์ อนุบาลปรางทิพย์

Editor : แม่พลอยผิง

ภาพ : เนาวพจน์  โพธิเกษม, ต้นกล้า ,ภาพข่าวประชาสัมพันธ์ โรงเรียนอนุบาลปรางทิพย์และปรางทิพย์เดย์แคร์


อ่านต่อบทความน่าสนใจ

 

เปิดประสบการณ์แนวคิดใหม่! กับงานกิจกรรมและคอนเสิร์ต ตอบโจทย์คำว่าครอบครัวได้อย่างเต็มที่ กับ “Friends & Family Sing Zentrady”

event

ประสบการณ์และแนวคิดใหม่ที่เกิดขึ้นกับงานกิจกรรมและคอนเสิร์ต ที่ตอบโจทย์ของคำว่าครอบครัวได้อย่างเต็มที่ กับ Friends & Family Sing Zentrady ” นำทีมโดย บอย ตรัยแท็กทีม เพื่อน พ้องศิลปินขึ้นเวที

ผ่านพ้นไปแล้วอย่างงดงามและเต็มไปด้วยรอยยิ้ม พร้อมเสียงตอบรับที่ดี สำหรับคอนเสิร์ตสุดชิล และกิจกรรมเพื่อครอบครัวที่มีแต่รอยยิ้ม นำทีมโดย บอย ตรัย ภูมิรัตน  ศิลปินและนักแต่งเพลงแถวหน้าของเมืองไทย มาพร้อมอีเว้นท์ใหม่ ที่มีคอนเสปต์ของคำว่า “ครอบครัว” เป็นที่ตั้ง ไม่ว่าจะคนในครอบครัว หรือเพื่อนที่รักดั่งครอบครัว ให้มีช่วงเวลาพิเศษได้อยู่ร่วมกัน จึงก่อให้เกิด คอนเสิร์ต “ Friends & Family Sing Zentrady ” ที่ครั้งนี้พาแฟน ๆ ไปนั่งฟังเพลงสุดฟินกันริมหาด ณ โรงแรมดุสิตธานี หัวหิน  พร้อมเนรมิตให้กลายเป็นพื้นที่แห่งความสุขของทุกคนในครอบครัว

แฟมมิลี่คอนเสิร์ตที่เป็นมากกวาคอนเสิร์ตทั่วไป เพราะครั้งนี้ ได้เนรมิตรพื้นที่ และ อัดแน่นด้วยกิจกรรมพิเศษเพื่อคุณหนูและคุณพ่อคุณแม่ได้ใช้เวลาช่วงสุดสัปดาห์นี้ไปด้วยกัน จากแบรนด์ต่างๆที่สนับสนุนทุกความสัมพันธ์ในครอบครัว ร่วมสร้างประสบการณ์พิเศษมากมาย อาทิ กิจกรรมสรรค์สร้างงานศิลป์ ด้วยโซนปล่อยใจไปกับศิลปะ โดยมี สีซากุระนำสีอะครีลิคมาให้น้องๆ ได้ทำกิจกรรมบนกระดาษและผืนผ้าใบอย่างสนุกสนาน นอกจากนี้ ยังมีซุ้มสอนถ่ายภาพให้น้องๆเรียนรู้การใช้กล้องกับ Nikon รวมถึงซุ้มแต่งหน้าแฟนซีจาก พี่ยา เมคอัพอาร์ทติส และกิจกรรมระบายสีปูนปลาสเตอร์กับกรุงไทยแอกซ่า ที่มาพร้อมโปรโมชั่นที่ใส่ใจ และแน่นอนว่ายังมีโซน นิทานอ่านเพลิน กับสำนักพิมพ์ barefoot banana อีกด้วย ที่สำคัญ ภายในงาน มี ผลิตภัณฑ์สเปรย์กันยุงลิตเติ้ลแบร์ออแกนิค ที่ให้ทุกคนทำกิจกรรมกันได้อย่างปลอดภัยกันในทุกๆจุดกิจกรรม

 

การจัดพื้นที่ภายในงานคอนเสิร์ต ท่ามกลางบรรยากาศที่ชิลสุด ๆ เหมือนได้มาสังสรรค์กับเพื่อน ๆ และครอบครัว ที่แตกต่างจากคอนเสิร์ตทั่วไปคือ ในงานจัดแต่งสถานที่โดย  Nature Hike ที่มาพร้อมเก้าอี้ Outdoor รุ่นใหม่ พร้อมให้ได้นั่งชมคอนเสิร์ตและรับลมทะเลเย็น ๆ อีกทั้ง เก้าอี้นั่งสบายๆสายเอนกายกับเก้าอี้บีนแบคจาก Yogibo อีกด้วย ไฮไลท์กิจกรรมอีกอย่างที่พาดไม่ได้คือ การโชว์ตัวของรถยนต์เปอร์โย ที่ตอบโจทย์สำหรับครอบครัว ได้มาอวดโฉมกันถึงที่

 

นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมอื่นๆ ทั้งเล่นน้ำชุ่มฉ่ำ , ขี่ม้าริมชายหาด , เก็บไข่ในฟาร์ม พร้อมเอาใจสายกินด้วยบาร์บิคิวปาร์ตี้สุดครื้นเครง และปิ้งมาชเมลโล่หอมๆ และที่สำคัญสายมูไม่มีพลาด กับการดูดวงเพลินๆแต่เอ็กซ์คลูซิฟสุดๆ จากหมอท๊อป ซีเคร็ต บอกเลยมีแต่ความสุขล้นหาด

และไฮไลท์ของงานอย่างคอนเสิร์ต ก็แสนจะอบอุ่นแบบไม่มีผิดหวัง ด้วยบทเพลงไพเราะ ที่คัดสรรค์มาโดยเฉพาะเพื่อให้แฟน ๆ ทุกคนได้นั่งปล่อยใจจอย ๆ ไปกับคลื่นลมทะเล ที่สำคัญ บอย ตรัย ยังได้แท็คทีมเพื่อนพ้องน้องพี่ศิลปิน ทั้ง ก้อง สหรัถ สังคปรีชา , ป๊อด ธนชัย อุชชินโบ สุรัตนาวี  ภัทรานุกุล , โป้ปิยะ ศาสตรวาหา , ว่านธนกฤต พานิชวิทย์  , 2 Days ago Kids  และ  FRIDAY  ที่ต่างหอบเพลงเพราะฟังสบายมาร้องให้แฟน ๆ ได้ฟังกันแบบจัดเต็ม

จากนั้นถึงช่วงเวทีพิเศษ ที่ตั้งใจมอบเป็นโบนัสสำหรับแฟน ๆ  ทุกคน กับโชว์ฟีทเจอริ่งของเหล่าศิลปินตัวท็อปในตำนานวงการเพลงไทย ที่นาน ๆ จะโคจรมาเจอกันทีและอาจไม่ได้เห็นบ่อยนัก ทั้ง ว่าน ที่จูงมือ โบ มาขับกล่อมแฟน ๆพร้อมทั้งแอบเผยความลับกลางคอนเสิร์ต ย้อนไปเมื่อสิบกว่าปีก่อน ถึงมิตรภาพดี ๆ ที่เคยมีให้กัน ส่วน โป้ กอดคอ ป๊อด มาในเพลงรักที่โคตรเหงา เอาใจคนที่ยังคงคิดถึงใครสักคนเสมอ ยิ่งดึกอากาศริมทะเลยิ่งดี ลงตัวกับบทเพลงบนเวที ที่หนุ่ม ก้อง สหรัถ ศิลปินสุดอบอุ่นขวัญใจแฟน ๆ ตั้งใจนำมาขับกล่อมทุกคน และ “2 Days ago Kids” ศิลปินกลุ่มระดับปรมาจารย์ ที่จัดเพลงสุดไพเราะให้ฟังกันไปยาว ๆ ก่อนย้อนวันวานกันต่อเพลงรักสุดช้ำ อย่าง “รักที่เพิ่งผ่านพ้นไป” ที่รวมเหล่าศิลปินมาร่วมกันขับร้องอย่างอบอุ่น ส่งแฟน ๆ ทุกคนกลับที่พักไปแบบสุดประทับใจ อัดแน่นด้วยความทรงจำที่แสนสุข เปี่ยมด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะจริง ๆ

สุดท้าย สำหรับใครที่พลาดคอนเสิร์ต Friends & Family Sing Zentrady ”  ครั้งนี้ กดติดตามที่เฟซบุ๊ก  Zentrady Galaxy ไว้เลย รับรองมีโปรเจ็คต์ดี ๆ ที่จะมอบแต่รอยยิ้มแบบนี้ มาเสิร์ฟแฟน ๆ อีกแน่นอนอยากให้รอติดตามกันว่า Friends & Family Sing Zentrady ” ครั้งต่อไปจะจัดขึ้นที่ไหน และ เมื่อไหร่ เพราะได้ยินว่า ผู้ที่ซื้อบัตรคอนเสิร์ตพร้อมห้องพัก ได้รับของที่ระลึก เป็นกระเป๋า Family Bag ที่เหล่าสปอนเซอร์ มอบผลิตภัณฑ์ดีๆให้อย่างอบอุ่น อาทิผลิตภัณฑ์สำหรับเด็ก ดีนี่ ( ที่ไม่ได้มาแค่ของที่ระลึกต้อนรับในกระเป๋าเท่านั้น เพราะ ภายในห้องพัก ทางดีนี่ ได้มอบสบู่ และโลชั่นให้ทุกครอบครัวได้ตัวหอมผิวนุ่มกันไปเลย ) เครื่องหอมปัญญ์ปุริ ทิชชูเปียกทำความสะอาดพีเจ้นท์ และ สเปรย์แอลกอฮอลล์ลิตเติ้ลแบร์ แล้วพบกันใหม่เร็วๆนี้ พร้อม ติดตามความเคลื่อนไหวได้ที่

FB page : www.facebook.com/zentradygalaxy

Instagram : www.instagram.com/bayfridoy

Line : https://lin.ee/RulrY61

 

#zentrady_galaxy  #friendsandfamilysingzentrady  #singzentrady #boytrai


อ่านต่อบทความน่าสนใจ

งานวิจัยยืนยัน สฟิงโกไมอีลิน และดีเอชเอในนมแม่ ส่งผลต่อสมอง ช่วยให้ลูกเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

event

หลายปีที่ผ่านมา เทคโนโลยีได้พัฒนาไปอย่างก้าวกระโดดและเข้ามามีบทบาทในวิถีชีวิตประจำวันอย่างไม่หยุดยั้ง สิ่งหนึ่งที่น่าตกใจคือ AI ที่เกิดขึ้นในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ได้พัฒนาไปอย่างฉับพลันและก้าวกระโดด ความเปลี่ยนแปลงและโลกที่หมุนไปอย่างรวดเร็วนี้ กลายเป็นความกังวลของพ่อแม่ยุคใหม่ว่าลูกจะใช้ชีวิตในโลกอนาคตที่ต้องอยู่ร่วมกับหุ่นยนต์และ AI อย่างไร แล้วสำหรับพ่อแม่ในวันนี้ จะมีวิธีเตรียมความพร้อมให้ลูกได้อย่างไร

S-Mom Club ได้มีโอกาสพูดคุยกับ ศาสตราจารย์ฌอน ดิโอนี ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเครื่องสร้างภาพด้วยสนามแม่เหล็ก (MRI) โรงพยาบาลโรดไอแลนด์ และศาสตราจารย์ประจำภาควิชากุมารเวชศาสตร์ มหาวิทยาลัยบราวน์ ซึ่งศึกษาวิจัยด้านการพัฒนาสมองของมนุษย์อย่างเต็มศักยภาพ ซึ่งน่าจะเป็นประโยชน์ต่อพ่อแม่ยุคใหม่ในการเตรียมความพร้อมให้ลูกตั้งแต่วันนี้

“ผมขอเปรียบเทียบง่ายๆ ว่า พัฒนาการของสมองเปรียบเสมือนกับการสร้างบ้าน ถ้าเราอยากได้บ้านที่แข็งแรงและใช้งานได้จริงนั้น ก็ต้องวางเสาเข็มไว้อย่างดีที่สุดตั้งแต่ต้น เมื่อรากฐานแข็งแรง ก็สามารถสร้างโครงสร้างตัวบ้านและตกแต่งให้เป็นบ้านที่น่าอยู่ได้ไม่ยาก เช่นเดียวกันกับคนเราที่เมื่อเติบโตขึ้นแล้วจะสามารถคิด ทำงาน หรือใช้ความสามารถอย่างเต็มที่ ถ้ามีรากฐานที่แข็งแรงนั่นคือ ‘สมอง’ ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ผมสนใจศึกษาค้นคว้าเรื่องพัฒนาการของสมองเด็กที่เป็นรากฐานสำคัญของวัยอื่นๆ” ศ.ฌอน เล่า

ขวบปีแรกคือช่วงเวลาที่สำคัญที่สุด

ในขวบปีแรก ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่สมองเรียนรู้ได้ เร็วกว่าช่วงเวลาอื่นๆ ของชีวิต เพราะทุกวินาทีจะเกิดการเชื่อมต่อของเซลล์ประสาทถึง 1 ล้านเซลล์ ผ่านกระบวนการสร้างไมอีลิน (Myelination) สมองของเด็กในวัยนี้จึงเชื่อมโยงติดต่อสื่อสารกันได้อย่างรวดเร็ว ทำให้เด็กจดจำและเรียนรู้สิ่งต่างๆ ได้ไว ยิ่งสมองสามารถเชื่อมโยงผ่านกันด้วยความเร็วสูงเท่าใด จะเป็นกลไกที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับการพัฒนาทักษะในทุกๆ ด้านได้อย่างเต็มศักยภาพ เพราะการเคลื่อนไหว หยิบ จับ สั่งการ คิด วิเคราะห์ ตัดสินใจต่างๆ ของมนุษย์นั้น เกิดขึ้นภายใต้การทำงานของกลไกสมอง ดังนั้นช่วงเวลานี้จึงเป็นโอกาสทองในการพัฒนาสมองของลูก และเป็นรากฐานสำคัญที่จะทำให้การเรียนรู้ต่างๆ ในอนาคตของลูกนั้นดีขึ้นและรวดเร็วขึ้น

 

สฟิงโกไมอีลิน สารอาหารสมองที่สำคัญ หนึ่งในส่วนประกอบของนมแม่ 

“สมองทุกส่วนของมนุษย์จะต้องทำงานเชื่อมต่อถึงกันทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการมองเห็น การขยับตัว การจะฝึกเดินตั้งแต่เด็ก ซึ่งการเชื่อมต่อกันนั้นจะทำได้เร็วมากน้อยแค่ไหนขึ้นอยู่กับไมอิลีนในสมองสฟิงโกไมอีลินและสารอาหารหลายชนิด ในนมแม่ จะช่วยสร้างและพัฒนาไมอีลินในสมองของทารกให้ดีขึ้น การเชื่อมโยงของสมองจะรวดเร็วขึ้น ยิ่งสมองมีความไวเท่าไหร่ เด็กยิ่งสามารถเรียนรู้ได้ไวมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งสำคัญมากสำหรับการปรับตัวในยุค AI” ศ.ฌอน กล่าวเสริม

 

งานวิจัยยืนยัน สมองไวสร้างได้

ในงานวิจัยล่าสุด ศ. ฌอน ได้นำ MRI มาศึกษาผลและประสิทธิภาพของสารอาหารกลุ่ม Myelin Blend เช่น สฟิงโกไมอีลิน และดีเอชเอ ซึ่งมีอยู่ในนมแม่ กับกระบวนการสร้างไมอีลิน (Myelination) ผลการศึกษาพบว่าในเด็กที่ได้รับนมแม่ ให้ผลที่มากกว่าอย่างชัดเจน ทั้งในด้าน โครงสร้างไมอีลิน ปริมาณไมอีลิน และอัตราการสร้างไมอีลิน ซึ่งยืนยันว่าเด็กที่กินนมแม่ซึ่งมีสารอาหาร เช่น สฟิงโกไมอีลิน มีผลต่อการสร้างไมอีลินที่เร็วกว่าและมากกว่า

 

สฟิงโกไมอีลินเป็นไขมันชนิดฟอสโฟไลปิดที่พบมากในนมแม่ และเป็นไขมันที่มีความจำเพาะต่อการสร้างไมอีลินโดยเฉพาะ ไมอีลินนี้เป็นส่วนที่หุ้มเส้นใยประสาทที่จะมาเชื่อมโยงเส้นประสาทต่างๆ อันส่งผลต่อการส่งสัญญาณประสาทและการประมวลผลภายในสมอง สมองเด็กที่มีไมอีลินมากกว่าจะเรียนรู้ได้ไวกว่า สฟิงโกไมอีลินพบมากในนมแม่ ไข่ นม และชีส

 

 

“ไม่ว่าโลกอนาคตจะเปลี่ยนไปอย่างไร แต่ถ้าเด็กได้รับการเลี้ยงดูด้วยความรักและความเข้าใจ เปิดโอกาสให้เด็กเรียนรู้ได้อย่างเต็มศักยภาพ และได้รับสารอาหารที่สำคัญต่อการพัฒนาสมองตั้งแต่ขวบปีแรก จะทำให้สมองดี เรียนรู้ไว และพร้อมเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีทักษะและมีความสามารถในการปรับตัวในยุค AI ในอนาคตได้อย่างแน่นอน” ศ.ฌอน กล่าว

สนใจข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสฟิงโกไมอีลิน และสารอาหารที่จำเป็นต่อการพัฒนาสมองของลูกน้อย เข้าชมได้ที่ S-Mom Club และสามารถสมัครสมาชิกเพื่อปรึกษาทีมพยาบาลผู้เชี่ยวชาญได้ฟรีตลอด 24 ชั่วโมง

 

รีวิวจัดเต็มเซ็ท อาหารเด็ก 5 ร้านฮิต สุดแฮปปี้ หม่ามี้ก็อิ่มด้วย

event

เมื่อพาลูกไปทานอาหารนอกบ้าน ชุด อาหารเด็ก ที่แม่ๆ ควรคำนึงถึง จะต้องเป็นมื้อที่มีคุณค่าโภชนาการครบห้าหมู่ ได้แก่โปรตีน (เนื้อสัตว์ ไข่ นม ถั่ว) คาร์โบไฮเดรต (ข้าว แป้ง น้ำตาล เผือก มัน) เกลือแร่หรือแร่ธาตุ (พืชผัก) วิตามิน (ผลไม้) และไขมัน (ไขมันจากพืชและสัตว์) เพราะสารอาหารแปต่ละหมู่นั้นมีให้ประโยชน์ต่อร่างกายต่างกัน มีคุณค่าทางโภชนาการที่แตกต่างกัน ดังนั้นการทานอาหารเพียงหมู่ใดหมู่หนึ่ง หรือการทานอาหารไม่ครบหมู่ จะทำให้ร่างกายไม่ได้รับประโยชน์จากหมู่อาหารที่ไม่ได้ทานได้

หากแม่ๆ ที่จะต้องจูงลูกไปเล่นในห้างแล้ว ไม่รู้ว่าจะพาลูกไปกินร้านไหนดี ที่จะมีเมนูได้ประโยชน์ ครบคุณค่าโภชชนาการ #ทีมแม่ABK  พร้อมกับน้องเลมอน รีวิว 5 ร้านอาหารสุดฮิต ที่มีเซ็ทอาหารเด็ก ทั้งอาหารไทย อาหารญี่ปุ่น อาหารสุขภาพ และไอศครีม รับรองว่า แต่ละร้านที่เลือกมา มี เมนูถูกใจเด็กๆ ที่ได้คุณค่าสารอาหารแน่นอนค่ะ

ชุด อาหารเด็ก น่ารัก น่าทาน

🍲 ร้าน Ootoya (โอโตยะ) กับเซ็ต อาหารเด็ก สุดน่ารัก

ร้านอาหารญี่ปุ่นสุดพรีเมียม ที่เน้นรสชาติจากวัตถุดิบคุณภาพ เป็นร้านที่เราได้ทานแต่ละเมนูแบบอุ่นๆ จากเตา ดูก็รู้เลยว่าใส่ใจทุกขั้นตอนการทำ แม่ไข่มุกชอบที่เมนูผักของโอโตยะจะได้ความหวานของผักตามธรรมชาติ และเมนูปลาของร้านนี้ก็มีให้เลือกหลากหลาย มีทั้งทอด ย่าง หรือจะมาเป็นหม้ออุ่นๆ ก็มีนะ เหมาะกับคนที่รักษาสุขภาพ ไม่ชอบปรุงเยอะ
เมนูเด็กที่แนะนำ: “ชุดอูด้งสำหรับคุณหนู” เมนูเส้นๆ ที่ทางร้านแนะนำว่า เป็นชุดที่เด็กๆ สั่งกันบ่อยมากๆ และยังมี “ชุดหมูทอดสำหรับคุณหนู” ที่เสิร์ฟพร้อมข้าวรูปทรงพี่กระต่ายสุดน่ารัก พร้อมผักลวกสีสดใส ชวนให้สนุกกับการทานอาหาร
อาหารเด็ก

🥘 ร้าน Terraces (เทอเรสซ์) ชุดคุณหนู น่าหม่ำ

เป็นร้านอาหารไทยในห้างร้านแรกๆ ที่หลายคนนึกถึง ด้วยเมนูที่หลากลาย และรสชาติที่ถูกปาก ทำให้เป็นร้านโปรดของคุณย่า คุณยายอีกด้วย เมนูที่แม่ไข่มุกถูกใจเป็นพิเศษคือ ข้าวแมวขโมย-ไข่ต้ม เหมาะสำหรับคนทานเผ็ดไม่เก่ง และเหมาะกับการเป็น อาหารเด็ก โตหน่อยๆ เพราะมีทั้งปลาทู และไข่ต้ม ให้โปรตีนอย่างดี คลุกเคล้ากับเครื่องปรุงรสที่เข้ากัน เป็นรสชาติเหมือนคุณยายทำให้กินเลย
เมนูเด็กที่แนะนำ: ชุดคุณหนูข้าวผัดอเมริกันซุปสาหร่าย พร้อมน้ำส้ม ข้าวผัดที่มาเป็นรูปพี่หมี พร้อมไก่ทอดให้เด็กๆ แทะเพลิน และ ชุดคุณหนูข้าวผัดมักกะโรนีกุ้ง พร้อมนมจืดให้โปรตีน เมนูเคี้ยวง่ายอร่อย และได้ประโยชน์
อิ่มอร่อยจากอาหารแล้ว มาทานไอศครีมกัน

🍨ร้าน Cold Stone Creamery (โคล สโตน ครีมเมอรี่) หวานฉ่ำใจ กับไอศครีมสูตรพิเศษ

แค่คำว่าไอศครีม ทั้งแม่ไข่มุกและน้องเลมอนนางแบบของเราก็ตาเป็นประกายแล้ว ✨ ไอศครีมของ Cold Stone มีรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ตอนนี้มีเมนูใหม่ “Honey Oat” ไอศกรีมโอ๊ตผสมน้ำผึ้งเกสรดอกไม้ป่า หวานกำลังดี มีท็อปปิ้งเป็นสตรอว์เบอร์รี่ที่เด็กๆ ชื่นชอบ ได้วิตามินแถมอร่อยด้วย ในถ้วยวาฟเฟิลกรุบกรอบ หรือจะสั่งเป็นไอศครีมโคน ให้เด็กๆ ถือกินเพลินๆ ก็ได้นะ สำหรับร้านนี้แนะนำให้ลองทานทุกเมนู ทุกวัยเลย 😆

อาหารเด็ก

🍚ร้าน Tenya (เทนยะ) อาหารเด็ก หรืออา

ข้าวเทมปุระกรุบกรอบ ที่จะทำให้เด็กๆ หลงรักการทานผัก เพราะนอกจาก กุ้งเทมปุระแล้ว ผักเทมปุระของเทนยะ กรอบอร่อยไม่เหมือนใคร ทางร้านบอกว่า ใช้เครื่องทอดอัตโนมัติ เพื่อควบคุมคุณภาพของแต่ละจานให้มีความกรอบ อร่อย ยิ่งไปกว่านั้น มีน้ำจิ้มทาเระสูตรพิเศษส่งตรงมาจากญี่ปุ่น หอม อร่อย ละมุน ลงตัว ทานแล้วเข้ากันได้ดีกับเทมปุระ ที่แม่ไข่มุกว้าวอีกอย่างคือ เฟรนช์ฟรายส์ และ ซอสชีส เป็นเฟรนช์ฟรายส์ที่ทอดแบบเทมปุระ ทานเพลินได้ทั้งแม่ทั้งลูกเลย
เมนูเด็กที่แนะนำ: ชุดเมนูคุณหนู ที่เสิร์ฟมาบนจานรูปรถไฟชินคันเซ็น ให้เด็กๆ สนุกไปกับมื้ออาหารจานโปรด และ สำหรับแม่ๆ ที่เตรียมอาหารให้ลูกทานบนรถหลังเลือกเรียน ตอนนี้ที่เทนยะ มีเมนู Onigiri หรือข้าวปั้น 3 แบบ 3 สไตล์ ในแพคเกจพร้อมพกพาด้วยล่ะ สะดวกสุดๆ

อาหารเด็ก

🥗ร้าน Salad Factory (สลัดแฟคทอรี่) 

แค่ชื่อร้านก็สัมผัสได้ถึงความเฮลตี้ สุขภาพดีสุดๆ ซึ่งแต่ละเมนูของสลัดแฟคทอรี่ก็ใช้วัตถุดิบคุณภาพ จากฟาร์มออแกนิคที่เจ้าของฟาร์มเป็นผู้ปลูกและส่งขายเองไม่ผ่านพ่อค้าคนกลาง และยังมีเมนูข้าว, สเต็ก, สปาเก็ตตี้ ให้เลือกทานได้หลากหลาย เหมาะกับทุกคนในครอบครัว ช่วงนี้มีเมนูวันแม่ที่ทางร้านแนะนำ อย่างซันโกลด์กีวี่ทวิสต์ ที่เป็นสมูทตี้กีวี่สีทอง พร้อมโยเกิร์ต และเคล เหมาะกับคุณแม่ที่รักสุขภาพ สดชื่นฟินๆ
เมนูเด็กที่แนะนำ: สปาเก็ตตี้ไวท์ซอสคุณหนู เมนูเส้นๆ ที่เด็กๆ ต้องไม่พลาด และ ข้าวผัดปลาแซลมอนคุณหนู เป็นเมนูยอดฮิตของร้าน ซึ่งทั้งสองเมนูนี้จะเสริฟพร้อมผัก มันทอดรูปยิ้ม และมันบดผลไม้สีชมพูสูตรพิเศษดูน่าทานสุดๆ นอกจากนี้ แม่ๆ ลองเลือกโยเกิร์ตโบวล์ของทางร้านมาให้ลูกทานก็ได้นะ มีรสชาติเปรี้ยมอมหวานของผลไม้สดๆ แถมได้ประโยชน์จากวิตามินด้วย
ข้าวผัดแซลมอน และสปาเก็ตตี้ เสิร์ฟพร้อมมันฝรั่งทอดรูปยิ้มสุดน่ารัก, ผักบร็อคโคลีลวก และมันบดสีชมพูน่ากิน อุดมไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์
มันบดสีชมพูสดใสในชุดอาหารคุณหนูที่แม่ไข่มุกถูกใจเป็นพิเศษ ตัวนี้ทางร้านบอกว่า ผู้ใหญ่ก็สามารถสั่งแยกได้นะ รสชาติเปรี้ยวๆ หวานๆ ทานเพลิน มีส่วนผสมของ มันฝรั่งบด มายองเนส น้ำบีทรูท แครนเบอร์รี่ ลูกเกด ข้าวโพดหวาน แอปเปิ่้ลเขียว และแอปเปิ้ลแดง แครอท ทั้งหมดนี้ ช่วยให้เด็กๆ ได้ทานผักอย่างครบถ้วน เป็นมันบดที่อัดแน่นไปด้วยคุณค่าทางสารอาหารจริงๆ
พาลูกไปห้างครั้งต่อไป แม่ๆ ลองเซฟเมนูเหล่านี้ไว้เป็นตัวช่วย ให้เด็กๆ ช่วยเลือกบ้าง และยังสามารถพาทั้งครอบครัว รวมไปถึงคุณตาคุณยาย ไปทานมื้อสุดอร่อยด้วยกันได้อีกน้า 😊👶✨
ซุปไก่

คลิปสูตรอร่อยจากแม่! ซุปไก่ ไล่หวัด เมนูวิตามินซีสูง สำหรับเด็ก 4 ขวบขึ้นไป

event
ซุปไก่
ซุปไก่

ช่วงหน้าฝน เด็กๆ มักจะป่วยกันบ่อยเหลือเกิน คุกกับคิดส์ วันนี้ เราเลยมีเมนูซุปใสไล่หวัดมาฝากแม่ๆ กันค่ะ  เมนูนี้เหมาะสำหรับลูกน้อยวัยกำลังเรียน 4 ขวบขึ้นไป

แจกสูตรอร่อย ซุปไก่ ไล่หวัด

เพราะลูกวัยนี้มีฟันที่แข็งแรงแล้ว อีกทั้งยังให้พลังงานและสร้างเสริมภูมิคุ้มกันได้ดี อุดมไปด้วยวิตามิน A และ C จากมะเขือเทศและหอมหัวใหญ่ แถมได้โปรตีนจากเนื้อไก่ และคาร์โบไฮเดรตล้นๆ จากมันเทศหรือมันฝรั่ง อย่าลืมเพิ่มพาสต้ารูปโบว์น่ารักๆ ช่วยให้อิ่มท้องมากขึ้นหรือคุณแม่ๆ มีเส้นแบบไหนก็ใส่เพิ่มความอร่อยให้เด็กๆ ได้เลยนะคะ

วัตถุดิบ ซุปไก่ ไล่หวัด

– ไก่น่องเล็ก 250 กรัม

– กระเทียมจีน 1 กลีบ

– รากผักชี 1 ต้น

– หอมใหญ่ 2 หัว

– มะเขือเทศ 2 ลูก

– มันเทศ หรือมันฝรั่ง 2 หัว

– ต้นหอม ผักชี

– พริกไทย ¼ ช้อนชา (ใส่หรือไม่ใส่ก็ได้)

– เกลือทะเล หรือ เกลือหิมาลยัน (สีชมพู) 1 ½ ช้อนชา

– น้ำเปล่า 1 ลิตร

วิธีทำ ซุปไก่ ไล่หวัด

  1. ต้มน้ำให้เดือดใส่กระเทียมและรากผักชีที่บุบพอแตกลงไป ใส่ไก่ ต้มจนสุก
  2. ใส่ผักที่สุกยากก่อนตามลำดับ มันฝรั่ง หอมหัวใหญ่ ระหว่างนั้นให้ช้อนฟองเพื่อให้ได้น้ำซุปที่ใส
  3. ใส่มะเขือเทศ ปรุงรส ใส่ต้นหอมผักชี
  4. เสิร์ฟทานเป็นซุป หรือ ใส่เส้นพาสต้า หรือ ราดบนข้าวสวยให้กลายเป็นข้าวต้มก็เข้าท่า อิ่มอร่อยแถมมีประโยชน์ด้วย

ซุปไก่

เคล็ด(ไม่)ลับ ทำ ซุปไก่ ให้ลูกน้อย

– สำหรับน้องที่ฟันยังไม่แข็งแรง สามารถเปลี่ยนใช้เป็นเนื้ออกไก่แทนได้เพื่อให้รับประทานง่าย โดยฉีกไก่เป็นเส้นๆ ต้มผักให้นิ่มน้องๆก็อร่อยและได้ประโยชน์เหมือนกันค่ะ

– ใส่ไก่ลงไปในน้ำเดือดจัดเพื่อที่น้ำซุปจะได้ไม่คาว แล้วค่อยลดไฟตุ๋นไปจนกว่าไก่จะสุกนุ่มดี

– สามารถทำเป็นหม้อใหญ่ไว้แล้วแบ่งเก็บใส่ช่องแช่แข็ง แบ่งมาอุ่นรับประทานได้ เพื่อความสะดวกของคุณแม่ที่ทำงานนอกบ้าน เก็บได้นาน 6 เดือน

 

@amarinbabyandkids

ไม่อยากให้ลูกเป็นหวัด…จัดเมนูนี้เลย!! “ซุปไก่ไล่หวัด” เมนูวิตามินซีสูง สำหรับเด็ก 4 ขวบขึ้นไป #เมนูง่ายๆ #เมนูลูก#เมนูเด็ก #ซุปไก่ #คุกกับคิดส์ #fyp #amarinbabyandkids

♬ เสียงต้นฉบับ – AmarinBabyAndKids – AmarinBabyAndKids

 

Editor : jeedwonder แม่ธิชา

ภาพ :  jeedwonder แม่ธิชา


ประวัติโดยสังเขป : จี๊ดวันเดอร์ หรือ แม่น้องธิชา (ธัญญานันท์ ศรีชัยวรรณ) ฟู๊ดสไตลิสต์และนักออกแบบอาหาร เจ้าของร้านอาหาร Tisha spoon ที่เป็นร้านอาหารและทำกิจกรรมเวิร์คช็อปสำหรับเด็กและผู้ใหญ่ โดยมีแรงบันดาลใจมาจากลูกสาว สำรองโต๊ะได้ที่ www.jeedwonder.com

อ่านต่อบทความอื่นน่าสนใจ คลิก

สาธิตกรุงเทพธนบุรี

สาธิตกรุงเทพธนบุรี โรงเรียนอินเตอร์ ที่มีควายเผือก แพะและม้า ให้นักเรียนไว้เลี้ยงดูเล่น!

event
สาธิตกรุงเทพธนบุรี
สาธิตกรุงเทพธนบุรี

ไม่ได้พูดเกินจริง เพราะโรงเรียนนี้มีศูนย์การเรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงขนาดใหญ่เป็นของตัวเอง เรากำลังพูดถึงโรงเรียน สาธิตกรุงเทพธนบุรี โรงเรียนขนาดใหญ่บนพื้นที่กว่า 81 ไร่ กับหลักสูตรที่มุ่งเน้นการสอน 3 ภาษา คือ ภาษาไทย ภาษาอังกฤษและภาษาจีน ในทุกระดับชั้นตั้งแต่ชั้นเตรียมอนุบาลจนถึงชั้นมัธยมปลาย โดยในการเรียนการสอนเน้นการลงมือปฎิบัติจริง (Learning by Doing) สร้างสมดุลระหว่างในชั้นเรียนและนอกห้องเรียน ฝึกให้เด็กได้เรียนรู้ด้วยตัวเอง มีการจัดการเรียนการสอนที่ตรงกับความสนใจของนักเรียน และให้นักเรียนได้ทดลอง เพื่อค้นหาความถนัดของตัวเอง

เราได้พูดคุยกับ คุณ เอิร์น – จิรวรรณ ชัยรุ่งเรือง ผู้อำนวยการบริหารโรงเรียน สาธิตกรุงเทพธนบุรี ซึ่งทำให้ได้เห็นมุมมองอีกด้าน ของโรงเรียนอินเตอร์ เพราะที่นี่มีความเป็นไทย ผสมผสาน ปรับและผสานการเรียนการสอนได้อย่างเรียบง่าย และบรรยากาศโรงเรียนก็ดูสบายๆ เด็กๆน่าจะมีความสุขที่ได้เรียนที่นี่ คุณ เอิร์น บอกกับเราว่า “เอิร์น ดูแลโรงเรียนและบริหารโรงเรียนด้วยมุมมองของความเป็นแม่” เป็นประโยคสั้นๆที่ชัดในคำตอบว่าทำไม โรงเรียนนี้ถึงสร้างความรู้สึกอบอุ่น เป็นมิตร และสนุกสานในคราวเดียวกัน อาจเพราะความเป็นแม่ จึงใส่ใจและเข้าใจในรายละเอียดของเด็กๆ ในแต่ละช่วงวัย เรียกว่าใช้ใจในการบริหารจัดการแบบเต็มๆ

สาธิตกรุงเทพธนบุรี สาธิตกรุงเทพธนบุรี

สาธิตกรุงเทพธนบุรี สาธิตกรุงเทพธนบุรี

หลักสูตรของโรงเรียน สาธิตกรุงเทพธนบุรี

ระดับอนุบาล

เตรียมอนุบาล-อนุบาล3 ใช้หลักสูตรการศึกษาปฐมวัยพุทธศักราช 2560 ที่เน้นการเรียนการสอนแบบเรียนปนเล่น (Play&Learn) มีการจัดกิจกรรมที่สอดคล้องกับหลักจิตวิทยาและสอดคล้องกับพฤติกรรมของเด็กอย่างเป็นธรรมชาติ โดยใช้เทคนิคการสอนแบบบูรณาการ เสริมสร้างทักษะและประสบการณ์ผ่านการเล่นเพื่อพัฒนาทั้ง EQ และIQ

 ระดับประถมศึกษา

ประถมศึกษาปีที่1-6 ใช้หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2560 เพิ่ม 4ทักษะ การฟัง พูด อ่าน เขียน ภาษาอังกฤษและภาษาจีนจากเจ้าของภาษา เน้นการเรียนรู้สาธิตและลงมือปฎิบัติจริงควบคู่ไปกับวิชาการ เพื่อให้เด็กๆได้ค้นพบศักยภาพของตัวเองและแสดงออกมาได้อย่างอิสระ

ระดับมัธยมศึกษา

มัธยมศึกษาตอนต้น ปีที่1-3 ใช้หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2560และหลักสูตร EP

มัธยมศึกษาตอนปลาย ปีที่4-6

ประกอบด้วยแผนการเรียน 4 แผนการเรียน คือ วิทย์-คณิต , ศิลป์-คำนวณ, ศิลป์-จีน ,ศิลป์-ฝรั่งเศส โดยส่งเสริมให้เด็กๆได้มีทักษธเฉพาะด้านควบคู่ไปด้วยตามความถนัดและความสนใจ มุ่งเน้นการสอนทักษธชีวิตและเรียนรู้จากประสบการณ์จริง

 

สาธิตกรุงเทพธนบุรี

คุณ เอิร์น – จิรวรรณ ชัยรุ่งเรือง ผู้อำนวยการบริหาร โรงเรียน สาธิตกรุงเทพธนบุรี

5 สิ่งพิเศษ ที่ทำให้เด็กๆอยากมาโรงเรียน สาธิตกรุงเทพธนบุรี ทุกวัน

1. พื้นที่สีเขียว สวนเกษตรอินทรีย์หลังโรงเรียน

อย่างที่เกริ่นไว้ตั้งแต่ต้น ที่นี่มีแปลงผัก และคอกสัตว์ขนาดย่อมๆ เพราะที่นี่มี ศูนย์การเรียนรู้ เศรษฐกิจพอเพียง ให้เด็กๆได้มาสัมผัสและเลี้ยงดูพวกเขาด้วยตัวเอง อย่างควายทั้งสองตัวของที่นี่ก็ดูมีความสุขมาก แกะตัวน้อย คอกม้าเล็กๆ เหล่านี้เด็กๆที่นี่จะได้เรียนรู้ ผลัดกันมาดูแลให้อาหาร สังเกตการใช้ชีวิตของสัตว์เหล่านี้ด้วยตัวเอง รวมไปถึงผักและผลไม้ที่เด็กๆจะได้ลงมือปลูกเอง เรียนรู้ตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงเก็บเกี่ยวผลผลิต

เรานับว่าการเรียนรู้เหล่านี้เป็น วิชา กลุ่มสร้างเสริมประสบการณ์ชีวิต และวิทยาศาสตร์ในตัว เป็นวิชาวิทยาศาสตร์ที่มีการเดินเรียน ในที่นี้คือการเดินไปเรียนรู้นอกห้องเรียน เช่นใบไม้ประเภทต่างๆลักษณะชนิดของใบเลี้ยง รากแก้วหรือการลงมือปลูกผักจริงๆ เด็กๆจะได้ใช้สมองทั้งสองฝั่ง ทั้งซีกวิชาการและจินตนาการ คุณเอิร์น เล่าเพิ่มว่า “สิ่งที่เราอยากส่งเสริมคือ การใช้สมองทั้งสองซีกให้เกิดความสมดุล เพื่อให้ถึงวัยที่เข้าตามหลักเกณฑ์วิชาการ อย่างในวัยประถม สมองเขาจะพร้อมรับทั้งสองส่วน เพราะเราเชื่อว่าเก่งวิชาการอย่างเดียวไม่เพียงพอ เพราะเราเชื่อว่าการไม่ปิดกั้นจะช่วยให้เขาค้นหาตัวตน  และพบสิ่งที่พวกเขาชอบ ไม่ว่าจะเป็นด้านกีฬาหรือดนตรี เป็นสิ่งที่โลกหมุนไปไม่ปิดกั้น แค่เรื่องวิชาการอย่างเดียว”

แน่นอนว่าในเด็กโต การมีพื้นที่สีเขียวจะช่วยลดความเครียด ธรรมชาติบำบัดเราได้ ช่วยให้เด็กๆมีมุมผ่อนคลาย อย่างในเด็กโตก็สามารถลงมาใช้พื้นที่โดยรอบของแคมปัสเพื่อคลายเครียดได้อย่างดี

สาธิตกรุงเทพธนบุรี สาธิตกรุงเทพธนบุรี สาธิตกรุงเทพธนบุรี

2. ความเป็นไทยในวิถีสากล

เลี่ยงไม่ได้ที่จะบอกว่าในโรงเรียนที่ใช้ภาษาอังกฤษล้วนเป็นภาษาหลักเด็กๆอาจมีปัญหาเรื่องการเขียนภาษาไทยกันบ้าง แต่ที่นี่เน้นหลักสูตรไทย ที่มีความเชื่อมโยงแบบสากล

คุณ เอิร์น บอกกับเราเพิ่มว่า “แต่ละหลักสูตรมีข้อดีข้อด้อยที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับการวางแผนของแต่ละบ้าน อย่างของครอบครัวเอิร์น เราอยากให้เขามีความสากลที่ควบคู่ไปกับความเป็นไทย และเราวางแผนให้ลูกเราอยู่ในประเทศไทย เพราะฉะนั้นสิ่งที่เขาต้องได้คือภาษาไทยที่แข็งแรง ตามวิจัยแล้วภาษาไทยยากกว่าภาษาอังกฤษ จึงพบว่าเด็กที่ได้ภาษาอังกฤษ หรืออยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ใช้ภาษาอังกฤษ ภาษาไทยจะถูกลดความสำคัญลง แล้วจะทิ้งภาษาไทยไปนั่นเพราะยากกว่า ทำให้การวางแผนการเรียนของที่นี่ ภาษาอังกฤษสำคัญก็จริงแต่ก็ยังเป็นภาษาที่สอง ภาษาไทยยังเป็นภาษาหลัก แต่เราให้พวกเขาได้เจอคุณครูต่างชาติทุกวัน เด็กจะไม่รู้สึกแปลกแยกหรือตกใจเมื่อต้องใช้ภาษา ครูต่างชาติคือส่วนหนึ่งในชีวิตการเรียนของพวกเขาด้วย ในหลักสูตรสามัญจะมีภาษาอังกฤษวันละหนึ่งคาบเป็นอย่างน้อย แต่ในแต่ละสัปดาห์เด็กจะได้เจอครูต่างชาติในวิชาอื่นๆด้วย เช่น วิชาcooking ครูก็จะเข้าไปมีส่วนร่วมด้วย ไม่ใช่แค่วิชาภาษาอังกฤษเพียงอย่างเดียว เด็กๆจะได้เรียนรู้ศัพท์ใหม่ๆจากการลงมือทำไปพร้อมๆกัน”

3. วิชาเลขแบบบูรณาการ

วิชาเลขของเด็กๆที่นี่มีความแตกต่าง ไม่ใช่การบวกลบในกระดาษแต่มีการจัดกิจกรรมที่ส่งเสริมการเรียนรู้ให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น เช่นการลงมือปฎิบัติคิดเลขจริงผ่านการเล่นบทบาทสมมุติ โดยมีการจำลองพื้นที่ให้เป็นเหมือนซุปมาร์เกต คุณครูจะเตรียมเงินปลอมไว้ให้เด็กไปชอปปิ้งกันตามใจ ได้เรียนรู้ว่าผักหรือผลไม้แต่ละ ประเภทหน้าตาแบบไหน ถ้าซื้อไปกี่ผลแล้วเหลือกี่ผล มีเงินเท่านี้ซื้อไปแล้วเหลือเงินเท่าไหร่ เป็นการเรียนวิชาคณิตศาสตร์แบบผ่านความเข้าใจและใช้งานจริงๆไปเลย

4. ฝึกการคิดและวิเคราะห์ด้วยตัวเอง

ด้วยโรงเรียนนี้ส่งเสริมการเรียนรู้ภาษาที่สาม อย่างภาษาจีน ด้วย เรียนรู้ไปพร้อมกันกับภาษาอังกฤษและภาษาไทยซึ่งเป็นภาษาแม่ เพื่อช่วยลดการเกิด culture shock ลดความกลัว เพิ่มความมั่นใจในการพูดกับคนต่างชาติ โดยใช้การปลูกฝังความเป็นธรรมชาติในการใช้ภาษา เด็กจะเกิดความรู้สึกคุ้นเคยกับคนต่างชาติ แม้จะพูดผิดพูดถูกแต่ก็ดีกว่าการไม่กล้าพูดเลย เน้นการใช้งานจริงเกิดการเรียนรู้แบบเป็นธรรมชาติ การคิดวิเคราะห์ และนำไปใช้ จะไม่ตัดสินใจถูกผิด ปลูกฝังเด็กๆให้เกิดการคิดและวิเคราะห์ด้วยตัวเอง เน้นการทำProject approach โดยคุณครูจะเลือก topic มาให้ แล้วให้เด็กๆแต่ละคนก็จะไปหาข้อมูลมา อย่างเด็กอนุบาลก็จะอธิบายเรื่องสีและลักษณะ แต่พอเด็กโตขึ้นก็จะหาข้อมูลที่ลึกขึ้น เราเรียกวิธีการนี้ว่าการฝึกฝนและพัฒนาการคิดวิเคราะห์ ซึ่งส่งเสริมได้ตั้งแต่ในเด็กเล็ก

สาธิตกรุงเทพธนบุรี สาธิตกรุงเทพธนบุรี

สาธิตกรุงเทพธนบุรี สาธิตกรุงเทพธนบุรี

5. ความปลอดภัยและความสนุกในโรงเรียน

เรามองในมุมแม่ที่แอบคิดแทนลูกนิดๆว่าลูกต้องสนุกแน่ๆถ้าได้มาเรียนที่นี่ เพราะอย่างแรกเลยคือ มีขบวนรถไฟคันน้อย ที่นั่งไปส่งที่ตึกเรียน! ความสนุกที่สองคือ สนามเด็กเล่นที่กว้างขวางและใหญ่มาก มีเครื่องเล่นที่หลากหลาย บ่อทรายยักษ์ สระว่ายน้ำ นอกจากนี้อีกความพิเศษคือ วิชาดนตรี ซึ่งที่นี่จัดเต็มทั้งดนตรีไทยและดนตรีสากล เรียกได้ว่า ครบจบในที่เดียว ไม่ต้องไปเรียนเสริมที่ไหนอีกแล้ว เด็กๆได้ใช้สมองทั้งสองฝั่งแบบเต็มที่ เป็นโรงเรียนที่เรียกได้ว่าครบถ้วนทั้งหมด รวมไปถึงห้องเรียนต่างๆก็มีไอเดียแฝงอยู่ทั้งหมดเพื่อให้เด็กๆไม่เบื่อ และสนุกกับการอยู่ที่โรงเรียน รวมถึงในเด็กเล็กที่พ่อแม่อาจจะยังกังวลหรือเพิ่งเริ่มเข้าเรียนใหม่ ที่นี่มีกล้องวงจรปิดให้ผู้ปกครองไม่ต้องเป็นกังวลมากนัก และค่อยๆ ปรับตัวกันก่อนที่เด็กๆ จะคุ้นชินกับโรงเรียนอีกด้วย

อ่านครบ 5 ข้อ ที่แม่ๆ ทีมABK  คัดมาให้แล้ว ใครอยากย้ายโรงเรียนลูกแบบเราบ้าง เข้าไปดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://satitbtu.ac.th  เชื่อว่าทุกคนจะรู้สึกในแบบเดียวกันกับเราแน่นอนค่ะ

 

โรงเรียน สาธิตกรุงเทพธนบุรี (BANGKOKTHONBURI Demonstration School)

468 ถนนเลียบคลองทวีวัฒนา เขตทวีวัฒนา กรุงเทพฯ10170

โทร :02-408-1919,089-305-1111

เกณฑ์การรับสมัคร

ระดับชั้นเตรียมอนุบาล –อนุบาล3 ( ระดับชั้นไม่เกิน 15 คน )

ระดับชั้นประถม –มัธยมศึกษาปีที่3

โรงเรียน สาธิตกรุงเทพธนบุรี  ค่าเทอม

  • ค่าแรกเข้า 85,000 บาท
  • หลักสูตร Mini English Program เตรียมอนุบาล- อนุบาล 3 – 55,000 บาท
  • หลักสูตรสามัญ  ประถม1-6 – 55,000 บาท,มัธยมศึกษา1- 6 – 65,000 บาท
  • หลักสูตร English Program ประถม1-6 – 85,000 บาท,มัธยมศึกษา1- 6 – 95,000 บาท

เว็บไซต์ : http://satitbtu.ac.th

FB : https://www.facebook.com/satitbtu

 

เรื่อง : แม่พีทพริม

ภาพ : แพรวา , http://satitbtu.ac.th

 


อ่านต่อบทความน่าสนใจ

ประกาศรายชื่อ ผู้ผ่านเข้ารอบ รอบที่ 2

ประกาศรายชื่อ ผู้ผ่านเข้ารอบ รอบที่ 2 MOM INFLUENCER CONTEST SEASON 3

event
ประกาศรายชื่อ ผู้ผ่านเข้ารอบ รอบที่ 2
ประกาศรายชื่อ ผู้ผ่านเข้ารอบ รอบที่ 2

ประกาศรายชื่อ ผู้ผ่านเข้ารอบ รอบที่ 2 MOM INFLUENCER CONTEST SEASON 3 กับการประกวดคุณแม่นักรีวิวที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในเมืองไทย มาเป็นหนึ่งในทีมคุณแม่ Influencer มืออาชีพกับ Amarin Baby & Kids และชิงเงินรางวัลมูลค่ารวมกว่า 300,000 บาท พร้อมโอกาสเป็น Influencer มืออาชีพ กับ Amarin Baby & Kids

ใครจะมีสิทธิ์ได้ร่วมประกวดกันบ้าง…เช็กรายชื่อได้ที่นี่!!

กรุงเทพฯและปริมณฑล

กรวิกรานต์ เสรีสันติวงศ์

กอบกุล กาญจนมุกดา

กัลยานิษฐ์ สิริธีรนนท์

กุลธิดา ดีชัยยะ

ชณุตพร ศรีจำลอง

ชไมพร เกิดสุทธิ

ชรินทร์ทิพย์ ทองสุกโชติ

ญดา วัฒนาศิริพานิช

ฐาปนี สุทธิสน

ณวัสนนท์ พงศ์เกษมฐิรกุล

ณัชชา พงศ์พิสุทธิ์วณิช

ณัฐธิดา ดียิ่ง

ณัฐหทัย กรรณสูต

ณิชา ยมสมิต

ธิติกานต์ นวสุขารมย์

ธนวรรณ เดชชุษณะนาถ

นนท์ชยลักษณ์ พรรณาผลากูล

นวมนรัศมิ์ วชิระธนานนท์

นุศรา สุภาษร

นุสรา สุขเทียบ

นันทิชา พานิชชีวะกุล

ปณิชา นพจิระเดช

ปุณยวีร์ ปาละ

ผกามาศ ไชยวิสุทธิกุล

พกุล เสริฐสุวรรณกุล

พธพร รัตนสิโรจน์กุล

แพรวเพ็ญ พิณพิพัฒน์

ภัสราวดี เผ่าจินดา

มชณต วงศา​โรจน์​

มัณฑนา โชคศิริวัฒนาวาณิช

มานิตา ชะนะวิวัฒน์

เมย์ วังพัฒนมงคล

รุ่งจอมขวัญ สวัสดิ์วัฒนดล

วรณิชชา แสงสุพรรณ

วราลักษณ์ อาตวงษ์

วิภาวัลย์ เจริญสุข

วิมลสิริ เจริญมิตร

แววมณี เผือกสกนธ์

ศรศมน​ หวัง​เพิ่ม​พิทยา​

สุทธิลักษณ์ สกุลไทย

สุภัทรา จักร์แก้ว

อนุสรา เชาว์ไว

อรอนงค์ จินตาไชยวิชญ์

อริสรา ติรณสวัสดิ์

อลิษา เหมือนวงศ์ทำ

ไอรฎา มะทา

บุศรินทร์ งามกร

รมิดา โฆษิตวราสิน

วิภาวัณย์ อรรณพพรชัย

จิตรกานต์ ภักดี

พิมพร​ โรจน​วิ​ภาต​

หทัยรัตน์ เหมือนดี

สายสกุล เบี้ยทอง

ภาคกลาง

กนกวรรณ ประสิทธิ์

จิรัชญาณิช เบญจสกุล

เจนจิรา ระบิล

จุฑาภรณ์ ปีนะกาตาโพธิ์

ดวงนภา สมสุขเจริญ

ธัญลักษณ์ แมคกี

พรภัส เพชรตระกูลเจริญ

นริศรา ศรีมะปรางค์

นัทชา โสภณ

นันท์ชนก ไพฑูรย์มงคล

วรันธร สุวัตถิกุล

วรางคณา วีระเศรษฐ์ศิริ

วิภาวี ชมิดท์

สรารัตน์ ศรีชาลี

สิรินทรา ตันติวุฒิไกร

สุธิณี เกตุเจริญ

สุภัสสรา โพธิ์เปี่ยม

หทัยชนกก์ แสงภู่

อาทิตยา เมตตาประสพกิจ

อาทิตยา แย้มบางยาง

กัณนิกา ปาระมี

สรารัตน์  ศรีชาลี

พิมพ์ขวัญ บุญจิตต์พิมล

ภาคเหนือ

กุลญาดา คำเขื่อน

นิจจารีย์ เฉลิมทรัพย์

นิภาวรรณ นามวงศ์

บุญธิดา ทองดี

ปิยะฉัตร ช่วยไทย

พัทธนันท์ เรือนสุภา

ศิวิมล พานิชย์วิไล

อมรรัตน์ ชุมภู

อังศุลิน ตั้งใจ

อัฐฐภิรมย์ ธนัตถ์ธำรงกุล

เอกอัปสร จันทรวิลักษณ์

ภาคอีสาน

กัณตินันท์ เกินขุนทด

พรนิภา​ เสน่ห์จันทร์

มณีรัตน์ ศิริสวัสดิ์พิพัฒน์

สุกัญญา สารเศวก

สุวรรณี สมศรี

          สุกัญญา ณัฎฐาชาติ

ภาคใต้

กนกวรรณ แต่งอักษร

มนัสชนก เรืองธารา

รัชภร สิทธิเดช

          ศศิวิมล รัตนนรเศรษฐ

อัญชศา ทองแกมแก้ว

ศศิวิมล รัตนนรเศรษฐ

รายละเอียดการประกวดคัดเลือกรอบที่ 2

1. ผู้ผ่านเข้ารอบทุกท่าน สแกน QR Code หรือกดลิงค์ https://bit.ly/45f79ll เพื่อเข้าร่วมกลุ่ม Mom Influencer Season 3 เพื่อนัดหมายและชี้แจงรายละเอียดการอบรม

ประกาศรายชื่อ ผู้ผ่านเข้ารอบ รอบที่ 2

2. ผู้ผ่านเข้ารอบทุกท่านต้องเข้าฟังการอบรมแบบ Online Workshop หัวข้อ เทคนิคสร้างคอนเท้นต์รีวิวอย่างไรโดนใจลูกเพจ มัดใจลูกค้า ในวันที่ 24 สิงหาคม 2566 เวลา 13.30 – 14.30 น. โดยคุณมัณฑิตา จินดา Founder and Managing Director of Digital Tips

3. ผู้ผ่านเข้ารอบจะได้รับกล่อง “Mommy Box” สำหรับถ่ายคลิปวีดิโอ พร้อมเอกสารบรีฟงาน (จัดส่งถึงบ้านโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย)

 

♦ รายละเอียดการทำรีวิวในรูปแบบคลิปวีดิโอ ♦

  1. ผู้เข้าประกวดจัดทำคลิปวีดิโอรีวิวสินค้าที่ได้รับ ตามรายละเอียดที่กำหนด แล้วโพสต์ลงใน Facebook ส่วนตัว หรือ Fanpage ตั้งเป็น “สาธารณะ” พร้อมใส่ #MomInfluencerContestSS3 #AmarinBabyAndKids และ #จากแบรนด์สินค้า โดยโพสต์ได้ 1 คน ต่อ 1 ครั้งเท่านั้น 16-22 กันยายน 2566
  2. ส่ง Link รีวิว มาที่ Google Form https://bit.ly/SubmitMICSS3 ให้เรียบร้อย
  3. ผู้เข้าประกวดสามารถแชร์โพสต์รีวิวสินค้าไปยังแพลตฟอร์มโซเชียลอื่นๆเพื่อเป็นการประชาสัมพันธ์ตามความเหมาะสม

 

—————————————————————————————
คะแนนพิเศษ
  • รับคะแนนพิเศษ 20 คะแนน โดยที่ผู้ประกวดโพสต์คลิปรีวิวสินค้า [ตัวเดียวกับที่โพสต์ใน FB] ลงในช่องทาง Tiktok เฉพาะวันที่ 23 กันยายน 2566 เวลา 10.00 – 23.00 น. เท่านั้น!!
***หมายเหตุ: สามารถทำได้ทั้งอัดคลิปใหม่ หรือตัดต่อคลิปเพื่อลงใน Tiktok
  • ตั้งโพสต์เป็นสาธารณะ พร้อมใส่ #MomInfluencerContestSS3 #AmarinBabyAndKids
  • ผู้เข้าประกวดสามารถแชร์โพสต์รีวิวสินค้าไปยังแพลตฟอร์มโซเชียลอื่นๆเพื่อเป็นการประชาสัมพันธ์ตามความเหมาะสม
————————————————————————————–

ประกาศชื่อผู้ผ่านเข้ารอบวันที่ 5 ตุลาคม 2566
ผ่านช่องทาง Facebook Amarin Baby & Kids

เกณฑ์การตัดสิน ประกวดคัดเลือก รอบที่ 2

พิจารณาคุณภาพของ Content รีวิวตั้งแต่วันที่ 25-28 กันยายน 2566 โดยมีเกณฑ์การให้คะแนน (100 คะแนน) ดังนี้

  • วิธีการนำเสนอ เต็ม 30 คะแนน
  • สื่อสาร Key message ครบถ้วนตามโจทย์ที่กำหนด เต็ม 40 คะแนน
  • ความโดดเด่นของสินค้า ข้อมูลความรู้ แรงบันดาลใจ หรือวิธีการเลี้ยงลูก เต็ม 30 คะแนน
  • คะแนนพิเศษ เฉพาะผู้สมัครที่โพรสต์รีวิวผ่านช่องทางอีก Tiktok 20 คะแนน

 

*เงื่อนไข การประกวดคัดเลือก

  • ห้ามคัดลอก ลอกเลียน หรือดัดแปลงงานเขียนรีวิวของผู้อื่นเป็นอันขาด หากพบว่ากระทำการดังกล่าวจะถือว่าตัดสิทธิ์ในการแข่งขัน
  • ข้อความรีวิว ภาพถ่ายและคลิปถือเป็นลิขสิทธิ์ของ บริษัทอมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน) และบริษัทในเครือ, พันธมิตร และคู่ค้ารวมถึงสปอนเซอร์ผู้สนับสนุนกิจกรรมในอนาคต สามารถทำการปรับปรุงแก้ไขได้ตามความเหมาะสมกับรูปแบบการใช้งาน นอกจากนี้ สิทธิ์ใดๆ อันเกี่ยวข้อง หรือเกี่ยวเนื่องกับข้อความรีวิว ภาพถ่ายและคลิป
  • ขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์และเงื่อนไขโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า

หมายเหตุ

  • วันและเวลาของกำหนดการต่างๆ อาจมีการเปลี่ยนแปลงตามความเหมาะสม
  • การดำเนินงาน และการตัดสินอยู่ในดุลยพินิจจากคณะกรรมการ และการตัดสินจากคณะกรรมการถือเป็นที่สิ้นสุด
*หากมีข้อสงสัยสามารถติดต่อสอบถามเข้าไปทาง inbox Facebook : Amarin Baby & Kids โดยพิมพ์คำว่า MIC3 พร้อมคำถามที่ต้องการสอบถาม
มีลูกยาก

มีลูกยาก เชิญทางนี้!! ศูนย์รักษาผู้มีบุตรยาก เมดพาร์ค IVF เปิดแล้ว..พร้อมดูแล “คนอยากมีลูก” ด้วยทีมแพทย์ผู้ชำนาญและเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์

event
มีลูกยาก
มีลูกยาก

รายงานขององค์การอนามัยโลก (WHO) เปิดเผยว่า 17.5% ของประชากรวัยผู้ใหญ่ หรือ 1 ใน 6 ของประชากรทั่วโลก กำลังประสบปัญหาภาวะ มีลูกยาก โดยจำนวนตัวเลขของผู้ประสบภาวะมีบุตรยากในประเทศที่มีรายได้สูงอยู่ที่ 17.8% และ 16.5% 1 สำหรับประเทศที่มีรายได้เฉลี่ยในระดับปานกลาง สะท้อนถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการเข้าถึงการรักษาภาวะ มีลูกยาก ทั้งนี้เพื่อลดผลกระทบต่อภาวะเจริญพันธุ์ และอัตราการเกิดที่ลดลงของประชากรทั่วโลก

ด้วยเหตุนี้ เทคโนโลยีด้านการเจริญพันธุ์ จึงกลายเป็นตัวช่วยสำคัญของผู้ประสบปัญหาภาวะมีบุตรยากในปัจจุบัน รวมทั้งกำลังได้รับความสนใจเป็นอย่างมากจากคู่แต่งงานทั่วโลก แม้แต่คู่แต่งงานในประเทศไทยเองก็มีแนวโน้มประสบปัญหา มีลูกยาก สูงขึ้น  และหันมาใช้บริการศูนย์รักษาผู้มีบุตรยากเพิ่มมากขึ้น

จากปัญหา ภาวะมีบุตรยาก ที่ขยายตัวกว้างขึ้นเรื่อย ๆ นี้เอง ทำให้โรงพยาบาลเมดพาร์ค ซึ่งเป็นโรงพยาบาลที่มีความชำนาญในการรักษาโรคยากซับซ้อนมีความพร้อมในการให้บริการด้านสุขภาพโดยแพทย์เฉพาะทางมากถึง 30 สาขา ได้มีการก่อตั้ง “ศูนย์รักษาผู้มีบุตรยาก เมดพาร์ค ไอวีเอฟ” ขึ้นเพื่อให้บริการแก่ผู้ประสบภาวะมีบุตรยากได้อย่างครอบคลุม เช่น ให้คำปรึกษาสำหรับคู่แต่งงาน ตรวจคัดกรองภาวะมีบุตรยาก รักษาภาวะมีบุตรยากด้วยเทคโนโลยีเจริญพันธุ์ ฝากไข่ ฝากสเปิร์ม แช่แข็งตัวอ่อน และดูแลอย่างต่อเนื่องเมื่อผู้ใช้บริการตั้งครรภ์ได้สำเร็จ ไปจนถึงการคลอดบุตรได้อย่างปลอดภัย และเติบโตเป็นเด็กที่มีพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรง

มีลูกยาก

เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม 2566 ที่ผ่านมา ศูนย์รักษาผู้มีบุตรยาก เมดพาร์ค ไอวีเอฟ ได้จัดงานแถลงข่าวเปิดตัว ศูนย์รักษาผู้มีบุตรยาก เมดพาร์ค ไอวีเอฟ ณ Sky Lounge ชั้น 22 โรงพยาบาลเมดพาร์ค โดยมีคณะผู้บริหาร นำโดย นายแพทย์พงษ์พัฒน์ ปธานวนิช กรรมการผู้จัดการ โรงพยาบาลเมดพาร์ค พร้อมด้วยแพทย์ประจำศูนย์รักษาผู้มีบุตรยาก และทีมบุคลากรที่เกี่ยวข้องในกระบวนการรักษาภาวะมีบุตรยาก เช่น ศัลยแพทย์ระบบทางเดินปัสสาวะ สูตินรีแพทย์ และกุมารแพทย์ เข้าร่วมงานแถลงข่าวครั้งสำคัญนี้ เพื่อประกาศความพร้อมในการดูแลรักษาผู้ประสบภาวะมีบุตรยากทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ตั้งแต่ก้าวแรกที่ก้าวเข้ามาขอรับคำปรึกษา จนถึงวันที่คลอดทารกอย่างปลอดภัยเป็นโซ่ทองคล้องใจในครอบครัวได้สำเร็จ

มีลูกยาก

ผู้เข้ารับบริการทุกคู่จะได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดโดยแพทย์ผู้ชำนาญการซึ่งเป็นอาจารย์แพทย์จากโรงเรียนแพทย์ และเป็นแพทย์ที่มีประสบการณ์รักษาภาวะ มีลูกยาก ในโรงพยาบาลรัฐและเอกชนถึง 30 ปี พร้อมด้วยบุคลากรผู้มีความชำนาญเฉพาะทาง ได้แก่ นักวิทยาศาสตร์เพาะเลี้ยงตัวอ่อนที่มีประสบการณ์มากกว่า 10 ปี และมีใบประกาศนียบัตรรับรองระดับนานาชาติ ESHRE (European Society of Human Reproduction and Embryology) และพยาบาลวิชาชีพที่มีประสบการณ์ดูแลคนไข้ภาวะมีบุตรยากด้วยความเข้าอกเข้าใจ

ภายในงานแถลงข่าว นายแพทย์สุภักดี จุลวิจิตรพงษ์ หัวหน้าศูนย์ เมดพาร์ค ไอวีเอฟ ย้ำถึงการมุ่งเน้นให้การรักษาด้วยความใส่ใจ ซึ่งแพทย์ผู้มีประสบการณ์รักษาคนไข้มีบุตรยาก จะซักถามถึงสาเหตุและปัจจัยอย่างละเอียดรอบคอบ เพื่อนำมาพิจารณาแก้ปัญหาที่แตกต่างกันไปของคู่แต่งงานแต่ละคู่ แต่ละคน นำไปสู่การออกแบบการรักษาด้วยวิธีและขั้นตอนที่เหมาะสมกับคนไข้อย่างแท้จริง เช่น การทำไอวีเอฟ (IVF – In vitro fertilization) การทำอิ๊กซี่ (ICSI – Intracytoplasmic Sperm Injection) การผ่าตัดทางนรีเวชหรือการผ่าตัดระบบทางเดินปัสสาวะในเพศชายถ้ามีความจำเป็น การกระตุ้นไข่ ช่วงเวลาในการเก็บเซลล์ไข่ การคัดเลือกสเปิร์ม การเลือกตัวอ่อนที่คุณภาพดีมีความสมบูรณ์เพื่อย้ายเข้าไปฝังในโพรงมดลูก ซึ่งการรักษาทุกขั้นตอนล้วนมีความสำคัญ หากมองข้ามไปแม้เพียงเล็กน้อยก็มีผลต่อความสำเร็จในการตั้งครรภ์ทันที

มีลูกยาก มีลูกยาก มีลูกยาก มีลูกยาก

ศูนย์รักษาผู้มีบุตรยาก เมดพาร์ค ไอวีเอฟ เป็นศูนย์เปิดใหม่ล่าสุด จึงมีการนำอุปกรณ์รุ่นใหม่ และเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ที่มีคุณภาพระดับสากล เช่น การคัดเลือกตัวอ่อนด้วยระบบเอไอชื่อว่า ไอด้าสกอร์ (iDAScore) ซึ่งเป็นการให้คะแนนและติดตามพัฒนาการของตัวอ่อนทุกตัว ทำงานร่วมกับเทคโนโลยี Timelapse กล้องบันทึกภาพซึ่งติดตั้งอยู่ในตู้เพาะเลี้ยงตัวอ่อน Embyoscope Plus ทำหน้าที่ติดตามการเจริญเติบโตของตัวอ่อนและนำมาเรียงเป็นวิดีโอ ทำให้ไม่จำเป็นต้องนำตัวอ่อนออกมาจากตู้เพื่อส่องกล้องจุลทรรศน์แบบตู้รุ่นเก่า ซึ่งเป็นการรบกวนตัวอ่อนและมีผลต่อความสำเร็จในการตั้งครรภ์ … นอกจากนี้ ยังมีการติดตั้งชิป (RFID Tags) บนภาชนะเก็บไข่ สเปิร์ม และตัวอ่อน เพื่อป้องกันความผิดพลาด เช่น การสลับไข่กับสเปิร์มของคู่อื่น  การสลับตัวอ่อนคุณภาพดีกับตัวอ่อนผิดปกติ เป็นต้น โดยจะนำมาใช้ควบคู่กับระบบระบุตัวตนของผู้เข้ารับบริการ เช่น การสแกนลายนิ้วมือ และการสแกนใบหน้า โดยทุกกระบวนการของการให้บริการรักษาภาวะมีบุตรยาก จะถูกออกแบบให้อยู่ภายในศูนย์ฯ เพื่ออำนวยความสะดวกและเพิ่มความเป็นส่วนตัวสำหรับผู้ที่เข้ามาใช้บริการ โดยไม่ต้องถูกส่งตัวไปตรวจหรือรักษาตามแผนกต่าง ๆ ร่วมกับคนไข้ทั่วไป

เพื่อให้มั่นใจว่าตัวอ่อนที่ได้รับการคัดเลือกนำไปฝังในโพรงมดลูกมีคุณภาพดี และลดโอกาสการส่งต่อโรคทางพันธุกรรมจากพ่อแม่สู่ลูก ในขั้นตอนเพาะเลี้ยงตัวอ่อนจึงได้มีการใช้เทคโนโลยีตรวจคัดกรองโรคทางพันธุกรรม ตรวจโครโมโซมเพื่อหาความผิดปกติของตัวอ่อนอย่างละเอียด ด้วยเครื่อง Next-generation sequencing (NGS) ซึ่งจะช่วยเพิ่มอัตราการตั้งครรภ์ได้สูงถึง 60 – 70%

มีลูกยาก

หลังจากนั้น เมื่อผู้เข้ารับบริการสามารถตั้งครรภ์ได้สำเร็จ ทาง ศูนย์รักษาผู้มีบุตรยาก เมดพาร์ค ไอวีเอฟ จะดูแลว่าที่คุณแม่ร่วมกับแพทย์แผนกต่าง ๆ ที่มีความเกี่ยวข้อง ได้แก่ สูตินรีแพทย์ กุมารแพทย์เฉพาะทางทารกแรกเกิดและปริกำเนิด กุมารแพทย์เฉพาะทางเวชบำบัดวิกฤต (NICU) กุมารแพทย์ และคลินิกนมแม่ เพื่อสนับสนุนให้ว่าที่คุณแม่และทารกน้อยมีสุขภาพดี สามารถเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ได้นานที่สุดเท่าที่ต้องการ โรงพยาบาลเมดพาร์ค ได้ชื่อว่ามีห้องคลอดและห้องพักหลังคลอดที่มีทัศนียภาพของสวนเบญจกิติ และคุ้งบางกะเจ้าที่สวยงามประทับใจ ตัวศูนย์และห้องต่าง ๆ ยังตั้งอยู่ภายในอาคารที่ติดตั้งระบบแรงดันบวก (Positive Pressure) สามารถกรองฝุ่นละออง สารปนเปื้อน เชื้อโรค แบคทีเรีย และป้องกันไม่ให้ไหลกลับเข้ามาภายในอาคารได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพิ่มความมั่นใจว่าทุกคนจะได้รับอากาศที่มีคุณภาพดีตลอดเวลาที่เข้ารับบริการภายในโรงพยาบาลเมดพาร์ค

บ้านไหน มีลูกยาก ปรึกษาภาวะมีบุตรยาก ได้ที่ ศูนย์รักษาผู้มีบุตรยาก เมดพาร์ค ไอวีเอฟ ชั้น 20 เคาท์เตอร์ A (WEST Lift)

โทร. 0-2090-3020


ที่มา¹https://www.who.int/news/item/04-04-2023-1-in-6-people-globally-affected-by-infertility

 

อ่านต่อบทความอื่นน่าสนใจ 

มิสเตอร์ โดนัท ชวน น้ำตาลมิตรผล สร้างสรรค์เมนู “ลิ้นจี่ฟรุตมิกซ์” จัดเต็มเนื้อผลไม้และเม็ดบุกสไตล์ญี่ปุ่น อร่อย เคี้ยวหนึบ สดชื่นเต็มคำ !!

event

มิสเตอร์ โดนัท ผู้นำตลาดโดนัทเมืองไทย บริหารงานโดย บริษัทเซ็นทรัล เรสตอรองส์ กรุ๊ป จำกัด (ซีอาร์จี) ชวน Freshy ไซรัปน้องใหม่ที่มาเติมความสดชื่นคลายร้อนจากน้ำและเนื้อผลไม้แท้ แบรนด์น้องใหม่ในเครือบริษัท น้ำตาลมิตรผล จำกัด ส่งเครื่องดื่มผสมน้ำผลไม้ที่นอกจากจะเติมความสดชื่นระหว่างวันแล้ว ยังเหมาะ กับอากาศร้อนๆ ในบ้านเราอีกด้วย และเมื่อทานคู่กับโดนัทก็อร่อยลงตัวสุดๆ

ครั้งนี้ได้รังสรรค์ออกมาเป็นเครื่องดื่มผสมเนื้อผลไม้ “ลิ้นจี่ฟรุตมิกซ์” ที่ชงสดใหม่โดยใช้ลิ้นจี่เป็นตัวชูโรงผสานความอร่อยเปรี้ยวหวานลงตัวมิกซ์กับผลไม้ยอดนิยมอย่างสตรอว์เบอร์รี และมะม่วง เติมความสดชื่นเต็มๆ แก้วด้วยโซดา
เพิ่มความอร่อยเคี้ยวหนุบด้วยเม็ดบุกสไตล์ญี่ปุ่นทุกแก้ว ในราคาเพียงแก้วละ 55 บาทเท่านั้น

มี 2 รสชาติ ได้แก่…

ลิ้นจี่สตรอว์เบอร์รีโซดา (Lychee Strawberry Soda)

ความอร่อยที่ลงตัวระหว่างลิ้นจี่กับสตรอว์เบอร์รี่
ที่ให้ความหอมหวานเปรี้ยวกลมกล่อมกำลังดี
บอกเลยว่าคนรักสตรอว์เบอร์รี่ต้องเทใจให้ลิ้นจี่สตรอว์เบอร์รี่แก้วนี้จนหมดใจ

ลิ้นจี่มะม่วงโซดา (Lychee Mango Soda)

มะม่วงน้ำดอกไม้สีทองด้วยรสชาติอันเป็นเอกลักษณ์จนเป็นที่ชื่นชอบของทั้ง
ชาวไทยและชาวต่างชาติมารวมกับลิ้นจี่กลายเป็นความอร่อยที่ลงตัวแบบบอกไม่ถูก

พิเศษ แลกซื้อเครื่องดื่มเมนูใดก็ได้ ในราคาเพียง 29 บาทเท่านั้น (จากปกติ
55บาท) เมื่อซื้อโดนัทชุดคุ้มยิ่งกว่าชุดใดก็ได้ 1 ชุด
โปรโมชั่นนี้เฉพาะซื้อผ่านทางหน้าร้านเท่านั้น

 จัดเต็มทั้งโดนัทและเครื่องดื่มสุดสดชื่นได้แล้ว วันนี้ที่ร้านมิสเตอร์
โดนัททุกสาขา ตั้งแต่วันนี้ จนถึง 31 ตุลาคม 2566 หรือจนกว่าสินค้าจะหมด
หรือสั่งผ่านแอพพลิเคชั่นชั้นนำได้ทุกแพลตฟอร์ม สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม
และติดตามข่าวสารโปรโมชั่นดีดีก่อนใครได้ที่

FB / IG / TW / LINE
@MisterDonutTH

สวนสนุกในกรุงเทพ Wow Park

สวนสนุกในกรุงเทพ Wow Park พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ สำหรับครอบครัว

event
สวนสนุกในกรุงเทพ Wow Park
สวนสนุกในกรุงเทพ Wow Park

School Visit ครั้งนี้ จะพาทุกคนไปเรียนรู้วิทยาศาสตร์แบบสนุกๆ กัน ที่ สวนสนุกในกรุงเทพ Wow Park นิทรรศการและสวนสนุกรูปแบบใหม่ ใกล้รถไฟฟ้า ที่สามารถเรียนรู้กันได้ทั้งครอบครัว ถ้าอยากรู้ว่าสนุกแค่ไหนรีบตามมาดูกันเลย

 

Wow Park คือ พิพิธภัณฑ์ และ สวนสนุกในกรุงเทพ สวนสนุกวิทยาศาสตร์ ในรูปแบบ Interactive จากประเทศรัสเซีย ที่มาเปิดในประเทศไทยเป็นครั้งแรก ตั้งอยู่ที่ชั้น 5 เกทเวย์ เอกมัย นั่งรถไฟฟ้ามาได้ทำให้สะดวกสุดๆ มาถึงก็ต้องไปซื้อตั๋วกันก่อน ที่นี่จะแบ่งเป็น 2 โซนหลัก

Exhibition Wow Park

โซนแรกเป็นนิทรรศการวิทยาศาสตร์ที่มีฐานให้ความรู้  ให้คุณและเด็กๆได้เล่นและทดลองมากกว่า 40 แบบ โดยแต่ละจุดจะมีไกด์ส่วนตัว จาก Wow Park คอยแนะนำวิธีเล่นและอธิบายหลักการทางวิทยาศาสตร์ให้ฟังอย่างละเอียด  โซนนิทรรศการนี้จะใช้เวลาในการเข้าชมประมาณ  90 นาที ห้องแรกเด็กๆจะได้ออกกำลังนิดหน่อย เช่น วิ่งเพื่อให้วงล้อในเครื่องซักผ้าขนาดยักษ์ขยับ เพื่อเรียนรู้เรื่องแรงเหวี่ยง หรือประลองความเร็วด้วยการไล่จับแท่งไม้ที่ทยอยหล่นบนพื้นให้ทันเวลา แค่จุดแรกก็เรียกเหงื่อเบาๆกันแล้ว  นอกจากนี้ยังได้เรียนรู้เรื่องแรงลม แรงโน้มถ่วง ต่างๆว่าเป็นอย่างไร โดยมีอุปกรณ์ต่างๆให้ได้ทดลองเล่นด้วยตัวเอง ทำให้เข้าใจง่ายและสนุกมากขึ้น

อีกห้องที่น่าสนใจ คือ ห้องเรียนรู้เรื่องอากาศและโลก ห้องนี้โชว์ให้เห็นปรากฏการฟ้าแล่บ ฟ้าผ่า หรือ พายุเทอร์นาโดว่าเกิดได้อย่างไร มีอุปกรณ์สร้างหมอกและจำลองก้อนเมฆให้สัมผัสด้วยตนเอง  และต้องว้าวแน่นอน ถ้าเด็กๆได้ลองใช้กล้องจุลทรรศน์ส่องดูเซลล์ต่างๆของร่างกาย เช่น เซลล์กล้ามเนื้อที่มีรูปร่างเหมือนเบคอน หรือ ส่องแมลงตัวเล็กแบบขยายใหญ่เต็มจอ   นอกจากนี้นิทรรศการที่อัดแน่นให้ความรู้แล้ว ยังมีห้องสำหรับถ่ายรูปเก๋ๆเยอะมาก เช่น ห้องกระจก Mirror Cube ที่สะท้อนตัวเราแบบไม่มีที่สิ้นสุดหรือห้องจำลองกาแลกซี่ในอวกาศ  ทางเชื่อมแต่ละห้องก็สนุกไม่แพ้กัน เด็กๆจะต้องใช้ความกล้าเพื่อเดินมุดเข้าไปในเขาวงกต ที่มืดสนิทแถมมีริบบิ้นเรืองแสงห้อยอยู่เต็มไปหมดจนมองไม่เห็นทางออก ต้องใช้มือค่อยๆคลำหาทางออกจนเจอ  ก่อนกลับอย่าลืมมาลองเทสพลังเสียงกรี๊ดหรือเสียงตะโกนของตัวเองว่าเทียบเท่ากับเสียงของกลองหรือเครื่องบินกันแน่ ด้วยการตะโกนใส่ไมค์ในห้องเก็บเสียง รับรองคอแหบแห้งกันแน่นอน

Science Show

ถ้าใครยังไม่เต็มอิ่มแนะนำให้จองตั๋วสำหรับดูการแสดงวิทยาศาสตร์กันต่อ  ที่ Science Show โซนนี้ใช้เวลาการเข้าชมประมาณ 40 นาที เด็กๆจะได้สวมบทบาทเป็นนักวิทยาศาสตร์ตัวน้อย ทดลองวิทยาศาสตร์ต่างๆ เช่น  สร้างสายฟ้า และแช่แข็งสิ่งต่าง ๆ ด้วยไนโตรเจนเหลว หรือสัมผัสไฟอย่างปลอดภัย

สวนสนุกในกรุงเทพ Wow Park เป็นพิพิธภัณฑ์ที่สามารถมาได้ทั้งครอบครัวจริงๆ ใครสนใจสามารถจองตั๋วผ่านเว็บไซต์ได้ที่ https://wowpark.co.th รับรองว่าสนุกแถมยังได้ประสบการณ์ใหม่ๆเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์แน่นอน

Ticket Price

นิทรรศการ สวนสนุกในกรุงเทพ wow park ค่าเข้า มีดังนี้

  • วันจันทร์- ศุกร์ ผู้ใหญ่ : 400 บาท / เด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี : 500 บาท
  • เสาร์-อาทิตย์ ผู้ใหญ่ 500 บาท/ เด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี : 600 บาท
  • เด็กอายุต่ำกว่า 3 ขวบ เข้าชมฟรี!

Science Show (การแสดงวิทยาศาสตร์)

  • ราคา 250 บาท

ติดต่อ

Wow Park ชั้น 5 ศูนย์การค้า เกทเวย์ เอกมัย เปิดทุกวัน ตั้งแต่ 10.00-22.00 น.
เว็บไซต์ : https://wowpark.co.th/
Facebook : https://www.facebook.com/wowpark.co.th

สวนสนุกในกรุงเทพ Wow Park

เรียนรู้เรื่องพลังของลม ที่สามารถนำพาเอาผ้าผืนเล็กๆมุดไปตามท่อต่างๆจนถึงปลายทางออก

สวนสนุกในกรุงเทพ Wow Park สวนสนุกในกรุงเทพ Wow Parkเกมประลองความเร็ว

 

สวนสนุกในกรุงเทพ Wow Park ทดสอบแรงเหวี่ยงภายในเครื่องซักผ้า แรงเหวี่ยงเท่าไหร่ที่จะทำให้ผ้าแห้งนะ

สวนสนุกในกรุงเทพ Wow Park สวนสนุกในกรุงเทพ Wow Parkเรียนรู้การเกิดพายุเทอร์นาโด และก้อนเมฆ

สวนสนุกในกรุงเทพ Wow Park สวนสนุกในกรุงเทพ Wow Parkใช้กล้องจุลทรรศน์ส่องดูใยผ้าบนเสื้อ และเซลล์ต่างๆที่เรามองไม่เห็นด้วยตาเปล่า

สวนสนุกในกรุงเทพ Wow Parkมุมถ่ายรูปยอดฮิต

 

สวนสนุกในกรุงเทพ Wow Parkดวงตาของแมลงวันเป็นแบบนี้นะ

สวนสนุกในกรุงเทพ Wow Park สวนสนุกในกรุงเทพ Wow Park เล่นกับเงา  

สวนสนุกในกรุงเทพ Wow ParkมาดูภาพX-Ray กระดูกของสัตว์และมนุษย์กัน

 

 

สัมผัสกระแสไฟ ความถี่สูง ที่เคลื่อนที่ไปตามพื้นผิวของแก้ว

สวนสนุกในกรุงเทพ Wow ParkMirror Cube มุมถ่ายรูปสวยๆ ที่ทุกคนห้ามพลาด

สวนสนุกในกรุงเทพ Wow Park กาแล๊กซี่จำลอง ที่มีดาวนับล้านดวง 

สวนสนุกในกรุงเทพ Wow Park สวนสนุกในกรุงเทพ Wow Parkดมกลิ่นต่างๆแล้วลองทายกันนะว่ากลิ่นอะไร ?

สวนสนุกในกรุงเทพ Wow Parkเรียนรู้เรื่องแรงลม กับพาราชูต

สวนสนุกในกรุงเทพ Wow Parkตะโกนให้สุดเสียง แล้วดูสิว่า ระดับเสียงของเราเท่ากับเสียงของอะไร

สวนสนุกในกรุงเทพ Wow Park

 โพสต์ท่าเป็นตุ๊กตาร์บาร์บี้แล้วมาถ่ายรูปกัน

 

Editor : แม่เลม่อน

ภาพ :  สุวิจักขณ์ ศรีภา,ธวัชชัย ทิพย์โยธา


อ่านต่อบทความน่าสนใจ

สีทาภายใน

ลูกเป็นภูมิแพ้ กำเริบ เพราะสารระเหยจากสี! How to เลือก สีทาภายใน ให้ลูกน้อยปลอดภัย

event
สีทาภายใน
สีทาภายใน

พ่อแม่รู้หรือไม่ สารระเหยจาก สีทาภายใน มีผลต่อระบบหายใจของลูก แล้วต้องเลือก สีทาบ้าน อย่างไรให้ปลอดภัย ปลอดสารระเหย ทีมแม่ ABK มีคำแนะนำดีๆ มาฝาก

ในช่วงเวลาที่แม่ท้องหรือลูกยังเบบี๋ เชื่อว่าพ่อๆแม่ๆเป็นกันแทบทุกบ้าน เราจะกังวลกับทุกสิ่งที่เข้ามาอยู่ในพื้นที่ของลูก ของที่เลือกใช้กับลูก สิ่งที่จะอยู่รายล้อมลูก ไม่มีคำว่า “แค่” แต่ทุกสิ่งสำหรับลูกเป็นเรื่องใหญ่เสมอ

เพราะอากาศที่ดี มีผลกับภาวะความสบายที่เกิดกับแม่ และภาวะความปลอดภัยของทั้งคู่ การสูดดมสารระเหยต่างๆ มีผลอย่างมากกับสุขภาพของแม่และเด็กน้อย ดังนั้นขั้นตอนในการเตรียมห้องสำหรับลูกน้อยจึงมีความสำคัญไม่แพ้เรื่องอื่นๆ ซึ่งนอกจากการจัดวางผังบ้านที่ดีมีผลกับการใช้งานและความปลอดภัยภายนอกของร่างกาย … การเลือกใช้ของที่คุณภาพดี เลือกลงทุนในสิ่งที่สำคัญ … เป็นสิ่งที่จำเป็นกว่า!! ทีมแม่ ABK มีสีที่ดี สีทาภายใน เหมาะกับการใช้ภายในบ้านสำหรับครอบครัวมาแนะนำ

How to เลือก สีทาภายใน
ใช้สีทาบ้านให้ปลอดภัย ลูกห่างไกลภูมิแพ้

สีทาภายใน คอลเลคชั่นใหม่ จากโจตัน “Jotun Kids Collection 2023” เฉดสีน้ำทาภายใน Majestic Sense เกรดพรีเมี่ยม ที่มาพร้อม เทคโนโลยีในการช่วยฟอกอากาศบริสุทธิ์ หรือ  clean Air Technology ที่จะช่วยทำให้ทุกช่วงเวลาพักผ่อนมีแต่ความผ่อนคลายสบายใจ กับสีสันในโทนที่ต้องตะโกนออกมาว่า สวยละมุนมากๆ เพราะ สีทาภายใน คอลเลคชั่นสีใหม่สำหรับเด็ก ที่ทางทีมออกแบบของโจตันพัฒนาและสร้างสรรค์มานั้น พูดได้เลยว่าทั้งสวยและปลอดภัย ซึ่งได้มีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการไปเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2566 ที่ผ่านมา Bambini Villa สุขุมวิท 26

สีทาภายใน สีทาภายใน สีทาภายใน สีทาภายใน

บรรยากาศห้องตัวอย่างในงานแถลงข่าวเปิดตัวสี “Jotun Kids Collection 2023”
กับสีโทนอุ่นสบายและเฟอร์นิเจอร์สวยๆจากแบรนด์ Little Think.co

 

สีทาภายในบ้าน จาก โจตัน สวยแบบนี้ แม่ๆ ก็อุ่นใจ หายใจได้คล่องจมูก โล่งปอด ในเด็กโตก็สามารถชวนเด็กๆ มาปลดปล่อยจินตนาการไปกับสีสัน ผ่านการเล่าเรื่อง สร้างกิจกรรมร่วมกันในครอบครัวได้อีกด้วย

“สีที่ดีสำหรับเด็ก ต้องมีคุณสมบัติอย่างไร”

สีทาบ้านที่ดีต้องปลอดสารฟอมัลดิไฮท์ แล้ว สารฟอมัลดิไฮท์ คืออะไร สารฟอมัลดิไฮด์อยู่ที่ไหนในบ้านได้บ้าง

ส่วนใหญ่เรามักเข้าใจว่าสารนี้มีอยู่แค่ในส่วนประกอบของสีเท่านั้น แต่จริงๆแล้วสารนี้มีอยู่ในหลายผลิตภัณฑ์ที่อาจจะอยู่รายล้อมรอบตัวเรา เช่น เฟอร์นิเจอร์ที่มีส่วนประกอบของไม้คอมโพสิต หรือไม้อัด วัสดุก่อสร้าง สีและสารเคลือบต่างๆ รวมไปถึงสินค้าอุปโภคบริโภคต่างๆ ทั้งน้ำยาล้างจาน น้ำยาปรับผ้านุ่ม หรือยาฆ่าแมลงต่างๆ ซึ่งทั้งหมดนี้สามารถหลีกเลี่ยงได้ด้วยการเลือกผลิตภัณฑ์ที่ดีและมีคุณภาพเท่านั้น

“ไม่มีสารระเหยและกลิ่นฉุน”

ก่อนตัดสินใจเลือกผลิตภัณฑ์ ให้คุณพ่อคุณแม่มองหาคุณสมบัติ Zero VOCs  หรือ สีที่มีสารระเหยจากสารอินทรีย์ต่ำหรือน้อยมาก ซึ่งสารนี้จะทำให้เกิดอาการระคายเคืองเยื่อจมูกและดวงตา กระตุ้นให้เกิดภูมิแพ้ ทำให้ลูกเป็นภูมิแพ้กำเริบขึ้นมาได้

ดังนั้นหากเลือกสีที่คุณภาพดี จะช่วยให้ไม่มีสารนี้ตกค้าง ไม่มีกลิ่นฉุนตั้งแต่ระหว่างทาไปจนถึงทาเสร็จ เรียกว่าหากพ่อๆอยากทาสีห้องเอง ก็ไม่เป็นอันตรายใดๆ ด้วยเนื้อสีที่ทาง่าย สามารถปกปิดพื้นผิวได้ดี ปิดจุดบกพร่องของผนัง รวมถึงยังแห้งไวในระยะเวลาแค่สองชั่วโมงและสามารถเช็ดล้างทำความสะอาดได้ง่ายอีกด้วย

สีทาภายใน

“จะรู้ได้อย่างไร ว่าไม่มีสารเหล่านี้ในผลิตภัณฑ์ สีทาภายใน ที่เราเลือก”

EPA สัญลักษณ์นี้เท่านั้นในการเลือกผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับหรือ สีที่ใช้ภายในบ้าน เพราะเป็นสิ่งที่การันตีได้ว่าเป็นสีที่ได้มาตรฐาน

สีสร้างจินตนาการ

ชวนลูกมาสนุกกับสีสัน ด้วยการจูงมือพากันไปเลือกสีห้องของเขาเอง ให้พวกเขาได้มีส่วนร่วมมีส่วนช่วยคิด และเลือกโทนสีที่ตรงกับความชอบของเจ้าของห้องจริงๆ หรือหากอยากใช้เวลาครอบครัวร่วมกัน ชวนเด็กๆ มาทาสีห้อง แต่งแต้มระบายสีหรือวาดภาพในแบบที่เขาต้องการในพื้นที่ของเขาเอง ให้ห้องมีเอกลักษณ์แบบที่คนอื่นๆ ไม่มี ทั้งยังสร้างความทรงจำร่วมกัน สร้าง Self Esteem ให้กับเด็กๆ สร้างความมั่นใจ และภูมิใจในตนเอง การทำกิจกรรมร่วมกันในครอบครัวสร้างช่วงเวลาของความรัก ให้พวกเขาเห็นคุณค่าของครอบครัว และเห็นความสำคัญต่อตนเองอีกด้วย

สีทาภายใน สีทาภายใน

นอกจากนี้ ทีมแม่ ABK ขอแนะนำสีในกลุ่มคอลเลคชั่นใหม่ ของโจตันนี้ ที่สวยและมีความเป็นกลาง สามารถหยิบนำมาใช้ได้ทั้งเด็กหญิงเด็กชาย รวมไปถึงผู้ใหญ่ก็น่าจะถูกใจด้วย เพราะเป็นกลุ่มสีโทนพาสเทลแบบสบายตา ใช้กับห้องพื้นที่ส่วนกลางต่างๆในบ้านได้อย่างดีเลย

Pastel forest   – ชวนเด็กๆจินตนาการผืนป่าอันลึกลับด้วยโทนสีเขียวพาสเทล สีกลางที่เลือกใช้ง่าย เหมาะกับห้องอื่นๆในบ้านได้ด้วย ไม่ใช่แค่ห้องเด็ก

สีทาภายใน

 

Eternal Ocean   – แทนค่าสีสันของมหาสมุทรด้วยโทนสีขรึม ที่ใช้ได้ตั้งแต่เด็กจนถึงวัยรุ่น สีที่พ่อๆก็น่าจะถูกใจด้วย

สีทาภายใน

 

Pinkish Pastures – เติมความละมุนแบบหวานๆด้วยโทนสีชมพู ที่มีรสนิยม ไม่จัดจ้านกวนใจแม่ และเด็กๆก็มีความสุขไปกับสีหวานๆที่เขาชอบได้

สีทาภายใน

 

ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  www.jotun.com

 

เรื่อง :  Pete Prim’s Mom

ภาพ  : ไฟล์ภาพประชาสัมพันธ์ / www.jotun.com


อ่านต่อบทความน่าสนใจ คลิก ⇓

ขั้นตอนการทํา cpr

หมอสอนเอง! 7 ขั้นตอนการทํา cpr ช่วยชีวิต เมื่อลูกหยุดหายใจ

Alternative Textaccount_circle
event
ขั้นตอนการทํา cpr
ขั้นตอนการทํา cpr

“วิธีปฐมพยาบาล และ ขั้นตอนการทํา cpr ที่คุณพ่อคุณแม่ควรรู้” โดย ผศ.พญ.ชิดชนก เธียรผาติ กุมารแพทย์เฉพาะทางด้านระบบประสาท โรงพยาบาลพญาไท 2 ที่จะมาให้คำแนะนำ สาธิตให้ดูแบบชัด เพื่อช่วยชีวิตลูก และใช้ในสถานการณ์ฉุกเฉินในชีวิตประจำวันได้

7 ขั้นตอนการทํา cpr ช่วยชีวิต เมื่อลูกหยุดหายใจ
โดย ผศ.พญ.ชิดชนก เธียรผาติ

ทำความรู้จักกับ CPR 

CPR ย่อมาจาก Cardio-Pulmonary Resuscitation คือ วิธีการปฐมพยาบาลขั้นแรก ก่อนที่จะถึงมือบุคลากรทางการแพทย์ เพื่อช่วยเหลือคนที่มีภาวะหัวใจหยุดเต้น หรือหยุดหายใจ ด้วยการกดบริเวณหัวใจเพื่อเพิ่มการไหลเวียนเลือด เพิ่มปริมาณอากาศที่ไหลเข้าไปในปอด หากช่วยชีวิตคนด้วย ขั้นตอนการทํา cpr นี้ จะทำให้ผู้ป่วยกลับมาหายใจได้ สามารถนำส่งผู้ป่วยไปโรงพยาบาลเพื่อให้ได้รับการรักษาโดยมีความเสี่ยงเสียชีวิตหรือสมองตายน้อยลง ช่วยเพิ่มโอกาสรอดชีวิตของผู้ป่วยได้มากขึ้น

ลูกป่วย

สาเหตุที่พบเจอบ่อย ของอาการหัวใจหยุดเต้น

ก่อนจะไปเรียนรู้ ขั้นตอนการทํา cpr พ่อแม่ต้องรุ้ก่อนว่าการที่หัวใจหยุดเต้นไปเพียง 4 นาที ก็อาจทำให้เด็กเด็กเสียชีวิตได้แล้ว ซึ่งสาเหตุที่ทำให้หัวใจหยุดเต้นได้ ก็คือ..

  • โรคหัวใจ
  • อุบัติเหตุ ไฟช๊อต ไฟดูด
  • จมน้ำ
  • โดนสารพิษ

ในแต่ละปีมีผู้ป่วยหัวใจหยุดเต้นประมาณ 350,000 รายในสหรัฐอเมริกา โดย 90% เป็นผู้ใหญ่ และ 7,037 รายเป็นเด็ก ซึ่งมีเพียง 12% ของผู้ที่มีภาวะหัวใจหยุดเต้นเท่านั้นที่รอดชีวิต ดังนั้นการเรียนรู้การทำ CPR จึงเป็นการเตรียมตัวเพื่อรับมือกับอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้น

ผู้ป่วยที่หัวใจหยุดเต้น จะทำให้เลือดไม่สามารถไหลเวียนไปทั่วร่างกายได้ หากหัวใจหยุดเต้นเพียง 4 นามี ก็ทำให้สมองถูกทำลายเนื่องจากขาดออกซิเจนแล้ว ขั้นตอนการทํา cpr จึงต้องทำอย่างรวดเร็ว

 

ขั้นตอนการทํา cpr ในผู้ใหญ่ เด็กเล็กและเด็กโต

1.  ประเมินการหมดสติ ขั้นตอนการทํา cpr อันดับแรกต้องประเมินเบื้องต้นว่า ผู้ป่วยมีอาการเป็นอย่างไร หมดสติหรือไม่ หยุดหายใจหรือไม่ หัวใจหยุดเต้นหรือไม่

  • ก่อนจะเข้าไปให้ความช่วยเหลือ ให้ตรวจสอบให้ดีก่อนว่า พื้นที่ที่เราจะเข้าให้ความช่วยเหลือ ปลอดภัยหรือไม่ เช่น หากอยู่กลางถนน ให้ตรวจสอบให้แน่ใจว่ามีการปิดกั้นการจราจรหรือยัง หรือไฟช๊อต ผู้ป่วยควรถูกพาออกมาให้พ้นจากกระแสไฟ หรือมีการตัดไฟก่อนที่จะเข้าไปช่วยเหลือ
  • เรียกคนไข้เสียงดัง ๆ พร้อมตบบ่า ไหล่ ทั้งสองข้างแรง ๆ ถ้าผู้ป่วยไม่ตอบสนอง ถือว่าหมดสติ สำหรับเด็กเล็ก ลองเขี่ยเท้าเด็กเพื่อดูการตอบสนอง ไม่ควรเขย่าตัวเด็กแรง ๆ

ลูกป่วย

2. ตรวจสอบการหายใจ ตรวจสอบดูว่าผู้ป่วยยังหายใจหรือไม่ ด้วยการสังเกตการเคลื่อนไหวของหน้าอก และฟังเสียงหายใจจากปากหรือจมูก

3. ตรวจสอบการเต้นของหัวใจ สำหรับผู้ใหญ่ให้ดูที่หลอดเลือดใหญ่ที่คอ โดยวางนิ้วด้านข้างของลำคอ ระดับเดียวกับลูกกระเดือก กดบริเวณกล้ามเนื้อ เพื่อสัมผัสชีพจร สำหรับเด็กเล็กให้นอนหงาย แล้วแตะดูที่ข้อพับ หากมีชีพจรอ่อน หรือชีพจรต่ำกว่า 60 ครั้งต่อนาที ถือว่าหัวใจหยุดเต้น ต้องปั้มหัวใจ

4. ขอความช่วยเหลือ ด้วยการโทร 1669 แล้วให้ข้อมูลอย่างละเอียดทั้ง สถานที่ อาการของผู้ป่วยที่ตรวจสอบเบื้องต้น

5. กดหน้าอกเพื่อปั้มหัวใจ

ขั้นตอนการทํา cpr นี้สำคัญมาก ตำแหน่งวางมือ ควรวางให้ตรงจุด เพราะหากวางมือผิดวิธี หรือวางมือผิดตำแหน่ง จะทำให้การปั้มหัวใจไม่มีประสิทธิภาพ และอาจทำให้ผู้ป่วยได้รับบาดเจ็บ

  • ผู้ใหญ่ วางมือตรงตำแหน่งกึ่งกลางหน้าอกระดับราวนม วางมือข้างที่ถนัดไว้ด้านล่าง ทับข้างบนด้วยมือข้างที่ไม่ถนัด วางมือให้ตั้งฉากกัน เทน้ำหนักส้นมือสัมผัสหน้าอกผู้ป่วย ผู้ทำการปั้มหัวใจต้องนั่งโถมตัวเหนือผู้ป่วย ให้หัวไหล่ แขน มือ อยู่ในแนวตั้ง กดหน้าออกลงไปตรง ๆ ให้แขนตึง ไม่งอแขนหรือข้อศอก กดลงไปครึ่งหนึ่งของความหนาอกแล้วปล่อย โดยที่ส้นมือยังแตะอยู่กับอกตลอดเวลา ปล่อยให้หน้าอกเด้งกลับขึ้นมาเอง กดไป 30 ครั้ง ในอัตราเร็ว 100-120 ครั้งต่อนาที
  • เด็กโต ใช้วิธีเหมือนกัน แต่จะใช้แค่ 1-2 มือ แล้วแต่ขนาดตัวของเด็ก กดหน้าอกลงให้ลึก 1/2 หรือ 1/3 ของอก โดยกด 30 ครั้ง ด้วยอัตราเร็วเท่ากันกับของผู้ใหญ่
  • เด็กเล็ก ใช้ 2 นิ้ว คือนิ้วชี้และกลางของมือข้างที่ถนัด หรือใช้ 2 มือโอบรอบตัวเด็ก และวางนิ้วโป้งทั้งสองมือลงที่กลางอกของเด็ก กดลงไปให้ลึก 1/3 ของอก เป็นจำนวน 30 ครั้ง

6. สลับมาเป่าปาก โดยพ่นลมจากปากให้ผู้ป่วย 2 ครั้ง ครั้งละอย่างน้อย 1 วินาที ใช้วิธีพ่นลมยาว ๆ โดยก่อนหน้านั้นให้จัดทางเดินอากาศให้โล่ง สำหรับผู้ใหญ่ ให้เชยคางขึ้น กดหน้าผากลงไปให้เงยหน้า สำหรับเด็กก็ทำเหมือนกัน แต่ไม่ต้องกดหน้าผากเด็ก

7. ทำซ้ำเรื่อย ๆ แบบ 30/2 คือปั้มหน้าอก 30 ครั้ง เป่าปาก 2 ครั้ง จนกว่าหัวใจจะกลับมาเต้น หรือเริ่มหายใจอีกครั้ง หรือจนกว่ารถพยาบาลจะมาถึง

 

วิธีปฐมพยาบาลเมื่อมีสิ่งแปลกปลอมติดคอ

เมื่อมีสิ่งแปลกปลอมที่ติดอยู่ในลำคอของทารก สิ่งแปลกปลอมต่าง ๆ สามารถเข้าไปปิดกั้นทางเดินหายใจ เด็ก ๆ มักจะสำลักวัตถุชิ้นเล็กๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็นถั่วหรือลูกปัด คนรอบข้างควรระวังไม่ให้เด็กนำสิ่งเหล่านี้เข้าปาก

ทำความเข้าใจกับการสำลักอาหาร

สำลัก คืออาการที่เกิดขึ้นเมื่อมีสิ่งแปลกปลอมติดในช่องคอหรือหลอดลม ทำให้กีดขวางช่องทางการหายใจ ไม่สามารถหายใจได้ตามปกติ โดยปกติแล้วการสำลักนั้นเกิดขึ้นแค่ครู่เดียว แต่ถ้าหากมีอาการนาน การสำลักก็อาจเป็นอันตราย และรุนแรงถึงชีวิตได้

สาเหตุของการสำลัก

เด็กมักจะสำลักเมื่อนำสิ่งของเข้าปากด้วยความอยากรู้อยากเห็น หรือเกิดการสำลักขณะที่กินอาหารเร็วเกินไป หรือพูดขณะที่มีอาหารอยู่ในปาก ส่วนสาเหตุที่ทำให้ผู้ใหญ่สำลัก มักเกิดจากการเคี้ยวอาหารไม่ละเอียด หัวเราะ พูดคุยขณะกินอาการ หรือดื่มน้ำเร็วเกินไป

 

วิธีสังเกตอาการสำลัก

  1. หายใจไม่สะดวก หรือมีอาการหายใจแรงและเสียงดังผิดปกติ
  2. พูดคุยตอบสนองไม่ได้
  3. ไม่สามารถกลืน หรือใช้เวลานานกว่าปกติ
  4. ไอแรง ๆ ไม่ได้
  5. ผิวหนัง ริมฝีปาก และเล็บเริ่มเปลี่ยนเป็นสีคล้ำ เนื่องจากขาดออกซิเจน
  6. ขาดสติ ไม่รู้สึกตัว

สำหรับเด็กเล็ก ให้สังเกตดูอาการว่า เด็กดูเจ็บปวด จับบริเวณคอที่ตรงกับทางเดินหายใจด้วยท่าทีทรมาน หายใจเสียงดัง ร้องไห้ หรือไอไม่ได้ บางครั้งไม่สามารถส่งเสียงร้องหรือหายใจได้

 

วิธีจัดการเมื่อมีสิ่งแปลกปลอมติดคอ

  1. ทารก หรือ เด็กเล็ก วิธีนำสิ่งแปลกปลอมออกจากคอของทารก ด้วยการให้ลูกนอน พาดบนตัก 1 ข้าง ให้ตัวของลูกห้อยลงต่ำ ใช้สันมือทุบระหว่างสะบัก 2 ข้าง ข้างละ 5 ครั้ง สลับกับนอนหงาย ใช้ 2 นิ้วมือกดบริเวณกึ่งกลางใต้ราวนม แถวลิ้นปี่ 5 ครั้ง เพื่อกระตุ้นให้สิ่งแปลกปลอมหลุดออกมา ใช้ฝ่ามือรองเพื่อหนุนคอเด็กขณะตบหลังและจับตัวเด็กหันหน้าออกคว่ำหน้าลง ทำซ้ำจนสิ่งแปลกปลอมออกมา ถ้ายังไม่หลุด และลูกเริ่มมีอาการตัวเขียว ให้เริ่มเข้าสู่กระบวนการนวดหน้าอกแบบ CPR
  2. ผู้ใหญ่ หรือ เด็กโต กรณีมีวัตถุใด ๆ ติดหลอดลม ให้ประสานมือเป็นกำปั้น วางมือไว้ตรงกลางท้องใต้ชายโครง รัดกระตุก หรือกระทุ้งที่ลิ้นปี่ขณะยืน เพื่อกระตุ้นให้สิ่งแปลกปลอมหลุดออกมา

สิ่งสำคัญคือต้องสังเกตว่าหากไม่สามารถเอาวัตถุแปลกปลอมออกได้ด้วยวิธีเหล่า ต้องขอความช่วยเหลือทางการแพทย์ฉุกเฉินทันทีโดยเร็วที่สุด

ลูกป่วย ลูกติดคอ

ลูกมีไข้ ตัวร้อน ทำอย่างไรดี

ขั้นตอนการเช็ดตัว เมื่อลูกไม่สบาย ตัวร้อนสูง

  • ควรเช็ดตัวลูกในห้องที่มีอากาศปลอดโปร่ง ไม่ร้อน ไม่หนาวจนเกินไป ควรปิดแอร์ เพราะอากาศเย็นจะยิ่งทำให้ร่างกายหดเกร็ง หนาวสั่น
  • ถอดเสื้อผ้าของลูกออก เตรียมน้ำอุ่นเพือป้องกันไม่ให้ลูกหนาวสะท้าน และเตรียมผ้าเอาไว้ 2 ผืน
  • จุดลดไข้ คือจุดที่มีชีพจรใหญ่ ได้แก้ คอ รักแร้ ขาหนีบ นำผ้าชุบน้ำหมาด ๆ วางตามจุดชีพจรสำคัญ แล้วนำผ้าอีกผืนเช็ดย้อนรูขุมขน เพื่อเปิดรูขุมขน ให้ความร้อนระบายออกมา โดยเช็ดครั้งละประมาณ 15 นาที

 

ถ้าลูกมีไข้สูงและมีอาการชัก

ในอดีต ผู้ใหญ่มักจะเอานิ้วใส่ปากให้น้องกัด เพราะกลัวลูกกัดลิ้นจนเสียชีวิต แต่ที่จริงแล้ว ไม่จำเป็นต้องทำอย่างนั้น เพราะตามปกติ ร่างกายมีกระบวนการหยุดชักไม่เกิน 5 นาที คุณพ่อคุณแม่สามารถปฐมพยาบาลลูกได้ด้วยการจับลูกนอนตะแคงข้าง เพื่อป้องกันการสำลัก ซึ่งอาจทำให้เกิดการติดเชื้อจากอาหารเข้าในหลอดลมได้ ถ้าลูกดูตัวเขียว สามารถช่วยเป่าปากให้ลูกได้ โดยไม่ควรจับหรือกดยึดตัวลูกเอาไว้อย่างรุนแรงจนเกิดอันตราย แล้วรีบนำส่งโรงพยาบาล

 

ลูกกินสารเคมีอันตราย ทำอย่างไรดี

ลูกกินสารเคมีเป็นปัญหาที่เจอบ่อย สมัยที่เป็นแพทย์ประจำบ้านเจอแทบตลอด คุณพ่อคุณแม่ไม่ควรทำให้ลูกอาเจียน ไม่ควรให้ยา เพราะการอาเจียนเอาสารเคมีและกรดในกะเพาะอาหารออกมา จะยิ่งทำให้เกิดการระคายเคืองหลอดอาหารได้ และมีสารเคมีบางชนิดเท่านั้นที่สามารถล้างท้องได้ คุณพ่อคุณแม่จึงควรพาลูกส่งโรงพยาบาลทันที

 

อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

วิธี ปฐมพยาบาล และทำ CPR ที่คุณพ่อคุณแม่ควรรู้

การทำ CPR และ การปฐมพยาบาลลูก โดย รพ. พระรามเก้า

สำลัก จนหมดสติไม่ต้องกระทุ้งท้องแล้วปั๊มหัวใจทันที!!

5 วิธี ชวนให้ ลูก สนุกกับการ อาบน้ำ

event
การหัดให้ลูกรักการอาบน้ำแต่เนิ่นๆ ถือเป็นสิ่งสำคัญ เพราะจะทำให้แม่ๆ ดูแลความสะอาดผิวลูกน้อยได้ง่ายขึ้น และนอกจากจะช่วยชำระล้างสิ่งสกปรกแล้ว ยังถือเป็นขั้นตอนแรกของการดูแลบำรุงผิว ด้วยการใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยนในการอาบน้ำ ช่วยให้ผิวชุ่มชื้นสุขภาพดี เนื่องจากเด็กๆ มักจะผิวบอบบางแพ้ง่าย เพราะยังไม่มีการเจริญเติบโตที่สมบูรณ์ เมื่อเจออะไรระคายเคือง ก็ทำให้ไม่สบายตัว งอแงได้ง่าย ทีมแม่ ABK มาแนะนำ 5 วิธีที่จะช่วยให้ ลูกๆ สนุกกับการอาบน้ำมากขึ้นค่ะ!

1. เตรียมอุณหภูมิน้ำให้ไม่อุ่น หรือเย็นจนเกินไป     

น้ำร้อนเกินไปจะทำให้ผิวบอบบางของลูกแห้ง ทำให้เกิดปัญหาการระคายเคืองตามมา แต่ถ้าน้ำเย็นเกินไปก็จะทำให้ลูกรู้สึกหนาว ไม่อยากอาบน้ำ การให้ ลูก อาบน้ำ อุณหภูมิห้องดีที่สุด สำหรับบ้านเราที่อากาศร้อน ควรอาบน้ำให้ลูกวันละ 2-3ครั้ง ตอนสายกับตอนบ่ายและตอนเย็น 

 

2. หาของเล่น หรือนิทานลอยน้ำ เพื่อช่วยให้ลูกเพลิดเพลิน

ชวนลูกให้มาสนุกกับการอาบน้ำด้วยของเล่นหรือเกม ที่คิดขึ้นเองระหว่างแม่ ลูก เอามาเล่นกันเฉพาะเวลา อาบน้ำ หรือจะเป็นนิทานลอยน้ำ หนังสือที่ทำจากวัสดุทนน้ำ ให้ลูกสามารถอ่านระหว่างอาบน้ำได้ไม่ต้องกลัวเปียก ทำให้ลูกเพลิดเพลินและรักการอาบน้ำยิ่งขึ้น

 

3. เปิดเพลง หรือร้องเพลงชวนอาบน้ำ 

เพลงก็เป็นอีกหนึ่งตัวช่วยของแม่ที่ทำให้ลูกชอบอาบน้ำ อาจลองหาเพลงชวนอาบน้ำมาเปิดเชิญชวนกันก่อน โดยบางวันแม่ลองสลับเป็นการร้องเพลงกับลูกระหว่างอาบน้ำ จะทำให้ลูกรู้สึกสนุกที่ได้มีส่วนร่วมไปด้วย

 

4. สำหรับเด็กโตขึ้นมา ให้ ลูก มีส่วนร่วมในการเลือกผลิตภัณฑ์ อาบน้ำ

 

เมื่อลูกโตพอที่จะพาไปช็อปปิ้งด้วยกันได้ แม่ๆ อาจให้ลูกช่วยเลือกผลิตภัณฑ์อาบน้ำด้วยตัวเอง ลองดมกลิ่น ดูแพคเกจ สีผลิตภัณฑ์ว่าชอบแบบไหน เมื่อถึงเวลาอาบน้ำ ลูกจะเห็นว่าได้ใช้ของที่ตัวเองเลือกมา แล้วจะรู้สึกเอนจอยกับการอาบน้ำไปด้วย

5. ชวนลูกทำฟองสบู่เล่นระหว่างอาบน้ำ

การได้ทำฟองสบู่ระหว่างอาบน้ำ ก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่เด็กชอบ เพราะจะได้สร้างสรรค์ฟองสบู่ฟูฟ่องจากมือตัวเอง ตามจินตนาการ ทำให้สนุก เพลิดเพลิน ซึ่งคุณแม่ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยนต่อผิว และไม่ระคายเคืองตา จะได้ไม่รบกวนการเล่นระหว่างอาบน้ำของลูกน้อย

ทีมแม่ ABK แนะนำ! เเคร์ เฮดทูโท สบู่เหลวอาบน้ำเด็ก สูตรอาบ-สระ ครบ จบในขวดเดียว (Head to toe) อ่อนโยน ด้วยสูตรไฮโป-อัลเลอร์เจนิก ไม่มีสารเคมี ปราศจากสารอันตราย 5 ชนิด ได้แก่ ไม่มีพาราเบน ไม่มีซิลิโคน ไม่มีสีสังเคราะห์ ไม่มีกลูเตน และ ไม่มี Phthalates มาพร้อมค่า pH Balance ที่ช่วยปกป้องและรักษาสมดุลให้ผิวแพ้ง่ายไม่ระคายเคือง นอกจากอาบสะอาดแล้ว ยังมี “สารสกัดจากนิวทริ-โอ๊ต” ที่ช่วยบำรุงผิวเด็กให้นุ่มชุ่มชื้นหลังอาบน้ำ อีกทั้งยังมอบกลิ่นหอมละมุนจากสารสกัดธรรมชาติ รับรองว่าผ่อนคลายทั้งคุณลูกและคุณแม่

แคร์ เฮดทูโท นิวทริโอ๊ต เชอร์รี่ บลอสซัม

  • ผสานสารสกัดจากเชอร์รี่ บลอสซัม และคุณค่าสารสกัด นิวทริโอ๊ต ที่มีคุณสมบัติช่วยให้ผิวชุ่มชื้นสุขภาพดี ให้ผิวเนียนนุ่มเด้ง
  • สูตร pH Balance เหมาะสำหรับผิวบอบบาง เพื่อการดูแลผิวและผมของลูกน้อย ให้สุขภาพดีตามธรรมชาติ
  • สูตรไฮโปอัลเลอร์เจนิก ทำความสะอาดผิวลูกน้อยอย่างอ่อนโยน 
  • ไม่ระคายเคือง ไม่ก่อให้เกิดการแพ้* ปลอดภัยต่อผิวบอบบาง
  • ผ่านการทดสอบทางการแพทย์ผิวหนัง**

*ไม่ก่อให้เกิดการแพ้ในกลุ่มทดลอง เว้นแต่การแพ้ส่วนบุคคลหรือการระคายเคือง
**จากผลการทดสอบในอาสาสมัครจำนวน 204 คน โดยบริษัท TKL Research Inc. ประเทศสหรัฐอเมริกา ปี 2564

สามารถติดตามอ่านรายละเอียดสินค้าเพิ่มเติมได้ที่

https://www.care.co.th/product/head-to-toe/head-to-toe-nutri-oat-and-cherry-blossom

 

ขอบคุณข้อมูลอ้างอิง   https://bangkokhatyai.com/knowledge/view/473

ABK Expert: วิธีรับมือ เมื่อลูกไม่ยอมกินนมจากขวด

event

แม่ๆ มือใหม่หลายคนอาจเป็นกังวลว่า เมื่อถึงเวลาที่ต้องกลับไปทำงานแล้ว จะต้องให้นมลูกอย่างไร ที่ยังได้ให้สารอาหารจากนมแม่ได้อย่างครบถ้วน ปัจจุบันแม่ที่ให้นมลูกได้ด้วยตัวเองจะมีเครื่องปั๊มนม ซึ่งเป็นหนึ่งในตัวช่วยสำคัญที่จะทำให้แม่เก็บน้ำนมที่มีคุณค่าให้ลูกเมื่อไม่ได้ให้โดยตรงจากเต้าเอง การให้นมแม่จากเต้า และการดูดนมจากขวดนั้นแตกต่างกันพอสมควร ทำให้ ลูกติดเต้า ไม่ดูดขวด ทีมบรรณาธิการ Amarin Baby & Kids จึงได้หาคำตอบมาให้ว่า วิธีการฝึกให้ลูกหัดกินนมจากขวดนั้นทำอย่างไร โดยคุณหมอแอม จะมาแนะนำเทคนิคดีๆ ให้อ่านกันค่ะ

ABK : สาเหตุที่ลูกไม่ยอมกินนมจากขวด มีอะไรบ้าง?

หมอแอม : ลูกไม่ยอมกินนมจากขวด มีอยู่ประมาณ 5 สาเหตุหลักๆ ด้วยกันค่ะ

  1. ติดไออุ่นจากเต้าแม่

การให้ลูกกินนมแม่จากเต้านมจะมีกลไกการกินแตกต่างจากการกินนมจากขวด มีลักษณะการเคลื่อนที่ของลิ้นและการขยับของขากรรไกรที่ต่างกัน โดยในระหว่างการกินนมจากเต้า ทารกจะมีการหายใจที่สัมพันธ์กับการดูดและกลืนน้ำนม  ดังนั้นเมื่อเปลี่ยนจากเต้านมแม่เป็นขวด จะต้องใช้เวลาและความเข้าใจ เพื่อที่จะทำให้ลูกหัดกินนมจากขวดได้

  1. รสชาตินม / กลิ่นที่กินจากขวด เปลี่ยนไป ไม่คุ้นเคย

ก่อนที่จะให้นมลูกผ่านขวด ควรดมกลิ่นนมที่แม่สต็อคไว้ ว่าเสียหรือยัง รวมถึงกลิ่นขวดนมเอง ว่ายังมีกลิ่นตกค้างจากน้ำยาล้างขวดหรือไม่ ซึ่งมีส่วนทำให้การรับรู้รสชาติของนมเปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน ทำให้ลูกได้กลิ่นที่ไม่คุ้นเคย จึงปฏิเสธการกินนมจากขวด

  1. ลักษณะจุกที่ใช้ดูดไม่คุ้นเคย

จุกนมสำหรับทารกที่ขายทั่วไปในท้องตลาด แม่จะต้องเลือกดูขนาดให้เหมาะสมกับอายุของทารก จุกนมที่มีฐานกว้าง จะมีความใกล้เคียงกับการดูดนมแม่ ก็เป็นตัวช่วยที่หัดให้ลูกดูดนมจากขวดได้เช่นกัน

  1. กินขวดไม่ถนัด ทำให้ดูดลมเข้าไปแล้วท้องอืด

เมื่อลูกกินนมจากขวดนม อาจดูดลมเข้าไปในท้องมากเกินไปจนทำให้ท้องอืด จนทำให้เกิดอาการอึดอัด ไม่สบายท้อง โดยจะแสดงออกด้วยการร้องไห้งอแงนั่นเอง

  1. ท่าป้อนไม่เหมาะสม อิริยาบถไม่คุ้นเคย

เนื่องจากการกินนมจากเต้าจะมีการประคองทารก และหลักในการป้อนนมเพื่อที่จะให้ทารกได้กินนมแม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เมื่อเปลี่ยนมาเป็นการใช้ขวดนม ท่าป้อนที่ไม่ถูกต้อง หรือเกร็งจนเกินไป อาจทำให้รู้สึกไม่สบายตัวทั้งแม่และลูก ซึ่งทำให้ลูกรู้สึกไม่สบายตัวเมื่อต้องกินนมจากขวด

 

ABK : เมื่อถึงเวลา จะมีวิธีรับมืออย่างไรให้ลูกหัดกินนมจากขวด

หมอแอม : เทคนิคที่แม่ๆ ทุกบ้านลองทำตามกันได้มีดังนี้ค่ะ

1. วางแผนเริ่มฝึกลูกแต่เนิ่นๆ ก่อนต้องใช้ขวดจริงๆ

เช่น เมื่อแม่ใกล้เวลาต้องกลับไปทำงาน โดยปกติยิ่งฝึกเร็วเด็กจะยิ่งคุ้นเคยได้ง่ายกว่า แต่ควรฝึกหลังจากที่ลูกอายุ 1 เดือนขึ้นไป เพื่อไม่ให้ลูกเกิดการสับสนหัวนม (nipple confusion) นั่นคือการชินกับการดูดนมจากขวดนม ซึ่งนมจะไหลออกจากจุกเอง ต่างจากกลไกการดูดนมแม่ที่เวลาดูดจากเต้า ต้องใช้การเคลื่อนที่ของลิ้นเพื่อช่วยในการดูดนมออกมา

2. เริ่มฝึกป้อน ตอนที่เด็กไม่ง่วงจัด หรือหิวจัด

เนื่องจากจะทำให้เด็กไม่เอาขวด งอแง และป้อนขวดไม่สำเร็จได้ แนะนำให้ฝึกป้อนขวด ประมาณ 10-15 นาที ก่อนเวลาหิวนมจริง หรืออาจให้ลูกดูดจุกเพื่อทำความคุ้นเคยกับจุกก่อนป้อนจริง ช่วงแรกๆ ลองฝึกป้อนเรื่อยๆ เพื่อให้เด็กค่อยๆ คุ้นชินกับการดูดนมจากขวด

3. แนะนำให้แยกนมแม่กับนมผงคนละขวดกัน

สำหรับแม่ที่นมน้อย ในกรณีที่เด็กชินกับรสชาติของนมแม่ ทำให้ไม่อยากกินนมผงจากขวด สามารถผสมนมแม่กับนมผงชั่วคราว เพื่อให้เด็กค่อยๆ ปรับตัวกับรสชาติที่ไม่คุ้นเคย โดยในช่วงแรกผสมนมแม่ในปริมาณมากก่อน แล้วค่อยๆ เพิ่มปริมาณนมผง และลดปริมาณนมแม่ลงทีละน้อย จนลูกชินกับรสชาติ และยอมกินนมผงจากขวดในที่สุด

4. คอยสังเกตอาการ และท่าทางลูกขณะดูดขวด

หากลูกดูไม่สบายตัว อึดอัด อาจเป็นจากท่าทางในการป้อนขวด หรือเป็นจากขวดนมที่ไม่กันลม ทำให้ทารกดูดลมเข้าไป จนท้องอืด และรู้สึกไม่สบายท้อง ทำให้ในครั้งต่อๆ ไป ลูกอาจไม่ยอมกินนมจากขวดอีก วิธีแก้คือควรหาขวดนมที่มีระบบป้องกันการกลืนลมเข้าท้อง ช่วยให้ลูกดูดสบายขึ้นได้ และปรับท่าทางให้เหมาะสม เช่น นอนหัวสูง หรือหาหมอนให้นมมารอง รวมถึงคอยเอียงขวดนมให้นมท่วมจุก เพื่อป้องกันไม่ให้ลูกกลืนลมลงท้อง

5. ไม่เร่งรัดลูก เพราะทารกทุกคนจะรู้สึกปลอดภัยเมื่ออยู่ในสิ่งแวดล้อมที่คุ้นเคย

เป็นสัญชาติญาณที่ติดตัวมาแต่กำเนิด การฝึกทักษะใหม่ เช่นการดูดขวดนมที่ไม่คุ้นเคย จึงต้องอาศัยเวลา หากคุณแม่ใจร้อน เผลอหงุดหงิด หรืออารมณ์ร้อนใส่ลูก จะทำให้ลูกยิ่งงอแง รู้สึกไม่ปลอดภัย และยิ่งฝึกการดูดนมจากขวดยากขึ้นด้วย

 

ที่อยากแนะนำเพิ่มเติมคือ ขวดนมที่แม่เลือกควรใช้วัสดุที่ปลอดภัย ได้มาตรฐาน เนื่องจากขวดนมเป็นอุปกรณ์ที่ต้องผ่านความร้อนหลายครั้ง หากวัสดุไม่ได้มาตรฐาน อาจทำให้ลูกได้สารพลาสติกที่ละลายออกมา ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งได้ ขวดนมที่ออกแบบมาให้ทำความสะอาดง่าย จะช่วยลดการสะสมของเชื้อแบคทีเรียในขวด  และรูปทรงเหมาะมือ ถือง่าย ช่วยให้ลูกยอมรับการดูดนมจากขวดมากขึ้นค่ะ

สุดท้าย ในบางบ้านที่ช่วงกลางวันที่คุณแม่ออกไปทำงาน ลูกไม่ยอมกินนมจากขวด แต่ยอมอด มากินนมแม่จากเต้าในช่วงเย็นที่คุณแม่กลับมาบ้าน กรณีนี้อย่าพึ่งวิตกกังวลไปค่ะ เนื่องจากทารกบางคนปรับตัวเก่ง สามารถรับสารอาหารในช่วงเย็นเพิ่มขึ้น เพื่อชดเชยกับช่วงกลางวันที่พร่องไปได้  วิธีดูว่าลูกสามารถใช้วิธีนี้ต่อได้ไหม คือให้ดูที่น้ำหนักส่วนสูง การเจริญเติบโตของลูกเป็นหลักค่ะ หากว่าลูกเจริญเติบโตปกติ น้ำหนักส่วนสูงอยู่ในเกณฑ์ดี ก็สามารถให้ลูกรอดูดเต้าในช่วงกลางคืนได้ค่ะ

 

 

 

 

พญ.พรนิภา ศรีประเสริฐ (หมอแอม) กุมารแพทย์

 


#ทีมแม่ABK: ถึงแม้ว่านมจากเต้าแม่นั้นจะให้ความอบอุ่นที่ดีกว่าเป็นไหนๆ แต่เมื่อถึงเวลาที่ต้องไปทำภาระกิจ ก็ต้องหัดให้ลูกกินนมจากขวดบ้าง แม่ๆ ลองนำข้อมูลที่คุณหมอแอมให้มาเบื้องต้นไปฝึกลูกกันนะคะ ยิ่งถ้ามีตัวช่วยดีๆ อย่างจุกนม ที่มีความคล้ายคลึงกับเต้านมแม่ และขวดนมที่จับถนัดมือ ไม่ทำให้มีลมในท้องที่เป็นสาเหตุของอาการงอแงไม่สบายตัว เท่านี้ก็จะช่วยให้หัดลูกกินนมจากขวดได้ง่ายขึ้นค่ะ

 

เอกสารอ้างอิง (กลไกการดูดนมแม่)

The American of Obstetricians and Gynecologist, American Academy of Pediatrics. Breastfeeding handbook for physician. 2nd edition. 2014.

 


สนับสนุนโดย

Philips AVENT

keyboard_arrow_up