Page 14 – AMARIN Baby And Kids – เพื่อลูกฉลาดและมีความสุข

ผ้าอ้อมเด็ก

ผ้าอ้อมเด็กคุณภาพ ใหม่! เบบี้เลิฟ เพลย์แพ้นท์ พรีเมียม ซึมซับไวขึ้น 150%

ลูกน้อยวัย 3 เดือนขึ้นไป เริ่มมีพัฒนาการด้านการเคลื่อนไหวที่มากขึ้น ลูกน้อยไม่เพียงนอนเฉยๆ เหมือนตอนแรกเกิด แต่เริ่มจะชันคอ พลิกคว่ำพลิกหงายได้แล้ว การเลือกผ้าอ้อมเด็กที่เหมาะกับลูกในวัยที่มีการเคลื่อนไหวมากขึ้นตั้งแต่ 3 เดือนไปจนถึง 3 ขวบ จึงเป็นสิ่งที่คุณแม่ให้ความสำคัญอย่างมาก วันนี้ทีมบรรณาธิการ Amarin Baby & Kids ขอแนะนำ 3 วิธีเลือก ผ้าอ้อมเด็ก คุณภาพดีให้กับลูกน้อยค่ะ

1. เลือก ผ้าอ้อมเด็ก ที่ซึมซับดี แห้งไว ไม่กลัวรั่ว ไม่กลัวเลอะ

ผ้าอ้อมเด็กที่ซึมซับดี แห้งสนิท จะทำให้ลูกน้อยสบายตัว และเคลื่อนไหวร่างกายได้อย่างเต็มที่ ต่างจากผ้าอ้อมเด็กที่ซึมซับไม่ดี คุณแม่อาจเจอปัญหา ผ้าอ้อมรั่ว ผ้าอ้อมล้น ลูกก้นแฉะ และผ้าอ้อมซึมซับช้า ทำให้เกิดการรั่วซึม และลูกน้อยเคลื่อนไหวร่างกายไม่สะดวก ส่งผลต่อพัฒนาการด้านการร่างกายและการเคลื่อนไหว ทำให้ส่งผลต่ออารมณ์ เนื่องจากไม่สบายตัวอีกด้วย

2. เลือก ผ้าอ้อมเด็ก ที่นุ่มสบาย ไม่ระคายเคืองผิว

โครงสร้างผิวของทารกยังไม่แข็งแรง จึงอาจเกิดการระคายเคือง เกิดผื่นแพ้ผ้าอ้อมได้ง่าย คุณแม่จึงควรเลือกผ้าอ้อมเด็ก ที่นุ่มสบาย อ่อนโยน โดยเลือกผ้าอ้อมที่ผ่านการทดสอบ Dermatologically Tested ไม่ก่อให้เกิดอาการระคายเคืองต่อผิวของลูกน้อย โดยก่อนเลือกซื้อผ้าอ้อมเด็ก คุณแม่ควรลองจับสัมผัสเนื้อผ้าอ้อมก่อน เลือกที่ผิวสัมผัสนุ่ม อ่อนโยนต่อผิวลูกน้อย หากเลือกผ้าอ้อมที่มีผิวสัมผัสไม่ดี อาจทำให้ก้นลูกน้อยระคายเคืองและอักเสบได้

3. เลือก ผ้าอ้อมเด็ก ที่สวมใส่ง่าย เหมาะกับพัฒนาการ

ในวัยที่ลูกน้อยเริ่มมีการเคลื่อนไหวที่มากขึ้น ควรเปลี่ยนจาก ผ้าอ้อมเด็ก แบบเทปกาว มาเป็นผ้าอ้อมแบบกางเกง ที่สวมใส่ง่าย และกระชับมากขึ้น โดยคุณแม่ควรเลือกที่มีขอบเอวยืดหยุ่นดี 2.5 เท่า ทำให้สวมใส่สบาย ไม่รัดแน่นเกินไป โอบกระชับเข้ากับสรีระได้ดี เพื่อให้ลูกน้อยได้เคลื่อนไหวร่างกาย ทำความรู้จักกับโลกใบนี้ได้อย่างไม่สะดุด ไม่รบกวนเวลาการเรียนรู้ของเด็ก

 

เมื่อลูกน้อยสบายตัว เขาก็จะพร้อมเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ได้ดี รวมทั้งมีพัฒนาการด้านต่าง ๆ อย่างเหมาะสมเป็นไปตามวัย หากวัยทารกเริ่มต้นดีก็จะเป็นรากฐานสำคัญให้กับวัยต่อ ๆ ไป ซึ่งคุณแม่สามารถเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูกน้อย ด้วยผ้าอ้อมเบบี้เลิฟ เพลย์แพ้นท์ พรีเมียม ที่ปรับสูตรใหม่ แห้งไว สบายทันที ซึมซับไวขึ้นถึง 150%

ทำไมต้อง ผ้าอ้อมเด็ก เบบี้เลิฟ ?

  • เบบี้เลิฟ เพลย์แพ้นท์ พรีเมียม ผ้าอ้อมคุณภาพช่วยให้ลูกน้อยรู้สึกแห้งสบายทันที ด้วยแผ่นซูเปอร์ ดราย ไดมอนด์ ชีท ที่มีผิวหน้าตาราง 3 มิติ ทำให้ซึมชับไวขึ้นถึง 150%
  • ผ่านการทดสอบ Dermatologically Tested โดยบริษัท Dermscan Asia ประเทศไทย ว่าอ่อนโยนไม่ก่อให้เกิดอาการระคายเคืองต่อผิวลูกน้อย
  • มีประสิทธิภาพการซึมซับดีเยี่ยมยาวนานถึง 11 ชั่วโมง
  • กระชับตัว หมดห่วงเรื่องรั่วซึม ด้วยขอบขาป้องกันของเหลวไม่ไหลย้อน
  • ขอบเอวยืดหยุ่น 5 เท่า สวมใส่สบาย ลูกน้อยอารมณ์ดีทั้งวัน

เบบี้เลิฟ สูตรใหม่ คุณภาพแบบนี้ ช่วยให้คุณแม่หมดห่วงในทุกอิริยาบถของลูกน้อย ตอนกลางวันพร้อมเรียนรู้ ตอนกลางคืนก็หลับสนิท ไม่ต้องกลัวรั่ว ไม่กลัวล้น ที่สำคัญราคาไม่แพง เมื่อเทียบกับคุณภาพที่ได้รับ ทีมบรรณาธิการ Amarin Baby & Kids จึงคัดเลือกให้ ผ้าอ้อมเบบี้เลิฟ เพลย์แพ้นท์ พรีเมียม ได้รับรางวัล BEST DISPOSABLE DIAPERS สาขา Editor’s Choice จาก “Amarin Baby & Kids Awards 2023.”

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม ของผลิตภัณฑ์ ผ้าอ้อมเบบี้เลิฟ สามารถติดตามได้ที่ www.babylove.co.th

 

5 เทคนิคนับวันไข่ตกให้แม่น

5 เทคนิค นับวันไข่ตก ให้แม่น! ช่วยเพิ่มโอกาสการตั้งครรภ์

วิธี นับวันไข่ตก ให้แม่น เพื่อเพิ่มโอกาสการตั้งครรภ์ เป็นเรื่องสำคัญของว่าที่คุณแม่ หากคำนวณ วันไข่ตก แล้วกุ๊กกิ๊กกันถูกช่วงเวลา คุณก็อาจจะมีลูกได้ไม่ยาก

การตั้งครรภ์ ฟังดูเหมือนเป็นเรื่องง่าย เพราะมีคู่รักหลายคู่ที่เมื่อแต่งงานกันปุ๊บ พอมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกปั๊บก็ติดเลย … แต่ก็ยังมีหลายคู่ที่เมื่อเวลาผ่านไประยะหนึ่งก็ยังไม่ตั้งครรภ์สักที ทั้งนี้สำหรับคุณผู้หญิงที่เตรียมตัวเป็นคุณแม่ นอกจากการเตรียมสุขภาพร่างกายให้พร้อมต่อการตั้งครรภ์แล้ว การวางแผนมีลูกด้วยการนับวันไข่ตกจากรอบประจำเดือนและสังเกตร่างกายตัวเองว่ามี อาการไข่ตก เพื่อให้ได้วันเหมาะเจาะในการชวนสามีมากุ๊กกิ๊กกันก็สำคัญไม่น้อย

วิธีคำนวณ นับวันไข่ตก

สาเหตุสำคัญที่ทำให้ผู้หญิง มีลูกยาก คือมีการทำงานของรังไข่ที่ผิดปกติ สังเกตได้จากการที่ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ รอบเดือนไม่แน่นอน บอกล่วงหน้าไม่ได้ โดยปกติแล้วรอบเดือนของผู้หญิง จะมีระยะเวลาประมาณ 23-35 วัน (แต่ละคนจะไม่เท่ากัน) ส่วนระยะเวลาที่ไข่ตกจะมีระยะเวลาประมาณ 14 วัน (นับวันที่ประจำเดือนมาวันแรกเป็นวันที่ 1 ของรอบเดือน)

ทั้งนี้ในแต่ละรอบเดือนจะมีการตกไข่แค่เพียง 1 ครั้ง เมื่อไข่ตกมาแล้ว จะอยู่ที่ท่อนำไข่ 12-24 ชั่งโมงเพื่อรออสุจิมาผสม ถ้าอสุจิไม่มาผสมหรือผสมไม่สำเร็จ อีก 14 วันหลังจากนั้นก็จะมีประจำเดือน

 

สิ่งที่เราควรทราบคือ เมื่ออสุจิเข้าไปแล้วจะอยู่ในมดลูกได้อีก 48-72 ชั่วโมง ดังนั้นแม้ว่าจะไม่ได้มีเพศสัมพันธ์กันวันไข่ตก ซึ่งถ้าไปมีเพศสัมพันธ์ก่อนวันไข่ตก 1-2 วันก็ยังมีโอกาสตั้งครรภ์ได้ แต่ถ้ามีเพศสัมพันธ์หลังวันตกไข่แล้ว โอกาสตั้งครรภ์จะน้อยกว่าเพราะไข่มีอายุสั้นกว่า

 

1. การนับวันไข่ตก

วิธีนี้ทำได้เมื่อผู้หญิงคนนั้นบันทึกวันที่ประเดือนมาในรอบก่อนหน้าอย่างน้อย 2 รอบเดือน ส่วนคนที่รอบเดือนไม่สม่ำเสมอต้องบันทึกนานกว่านั้น แล้วนำระยะห่างระหว่างรอบเดือนลบด้วย 14 เช่น ถ้าระยะห่างระหว่างรอบเดือนคือ 28 วัน นำ 28 -14 = 14 ดังนั้นจะตกไข่ในวันที่ 14 ของรอบเดือน ถ้าระยะห่างระหว่างรอบเดือนคือ 32 วัน นำ 32-14 = 18 ดังนั้นจะตกไข่ในวันที่ 18 ของรอบเดือน ซึ่งคนที่รอบเดือนไม่สม่ำเสมอ อาจคลาดเคลื่อนได้

2. การวัดอุณหภูมิร่างกายก่อนวันไข่ตก

อุณหภูมิร่างกายจะลดลงเล็กน้อย และอุณหภูมิจะสูงขึ้นเมื่อไข่ตกแล้ว ซึ่งต้องใช้เวลาวัด สังเกตหาวันไข่ตกจากอุณหภูมิ 2-3 รอบเดือน แต่ผู้หญิงบางคนอาจไม่มีการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิของร่างกายในช่วงไข่ตก ก็ไม่สามารถใช้วิธีนี้ได้

3. การสังเกตมูกที่ปากมดลูกในช่วงวันตกไข่

มูกที่ปากมดลูกจะแตกต่างจากปกติ คือเป็นมูกใสออกในปริมาณค่อนข้างมาก ถ้าจับจะเห็นลักษณะยืดยาวหลายเซนติเมตร แต่ผู้หญิงบางคนก็ไม่มีลักษณะมูกดังกล่าวก็ได้

4. การตรวจปัสสาวะเพื่อหาวันตกไข่

การตรวจปัสสาวะเพื่อหาช่วงที่ฮอร์โมนกระตุ้นการตกไข่ LH (luteinizing hormone) ขึ้นสูง โดยปกติ ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมน LH อยู่ในระดับต่ำๆ และจะขึ้นสูงอย่างรวดเร็วก่อนไข่ตก 12-24 ชั่วโมง เมื่อพบว่าฮอร์โมนขึ้นแล้วให้มีเพศสัมพันธ์ใน 24-48 ชั่วโมง ทั้งนี้ วิธีการใช้ชุดตรวจสอบมีหลายรูปแบบดังนั้นจึงควรอ่านคู่มือคำแนะนำการใช้ให้ละเอียดก่อนเสมอ

5. การตรวจหาวันตกไข่จากน้ำลาย

การตรวจนี้ใช้เครื่องมือตรวจที่มีหลักการว่าในวันไข่ตกจะมีระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนขึ้นสูง ซึ่งจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของระดับเกลือแร่ในน้ำลาย จะพบว่าเมื่อนำน้ำลายช่วงใกล้ไข่ตกไปแตะลงบนเลนส์ของเครื่องมือตรวจ รอจนแห้งและเมื่อส่องดูจะพบลักษณะผลึกคล้ายใบเฟิร์น

อาการไข่ตกเป็นอย่างไร นับวันไข่ตก อย่างไร

การจดบันทึกข้อมูลเพื่อวางแผนมีลูก

การจดบันทึกข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับร่างกายของคุณผู้หญิงจะช่วยเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์ได้ เพราะเมื่อคุณสังเกตและบันทึกการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ของร่างกาย จะทำให้ทราบได้ว่าเมื่อใดที่จะมีไข่ตก ซึ่งการจดบันทึกการเปลี่ยนแปลงของร่างกายทุกวัน จะทำให้เห็นการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยที่เกิดขึ้นกับร่างกาย สิ่งที่ต้องบันทึก คือ

  • จดบันทึกอุณหภูมิร่างกายหลังตื่นนอน (basal body temperature) ซึ่งเป็นอุณหภูมิหลังการนอนหลับพักผ่อน
  • สังเกตการเปลี่ยนแปลงของมูกช่องคลอด
  • ติดตามร่างกายขณะเริ่มมีรอบประจำเดือน
  • จดบันทึกว่าเมื่อใดที่คุณมีเพศสัมพันธ์บ้าง

ปฏิบัติภารกิจ ในช่วงวันตกไข่ให้ถูกต้อง

เมื่อคุณแม่รู้แล้วว่าความยาวรอบเดือนของตัวเองมีกี่วัน การนับวันตกไข่ที่ถูกต้องคือ นำตัวเลขรอบเดือนนั้นมาลบ 14 จะได้วันที่ตกไข่ นั่นคือ หากมีรอบเดือน 32 วัน คุณแม่จะมีวันตกไข่ในช่วงวันที่ 18 ดังนั้น เมื่อถึงช่วงวันที่ 18-19-20 ของความยาวรอบเดือนก็ควรมีเพศสัมพันธ์ โดยอาจไม่จำเป็นต้องร่วมรักกันทุกวัน เว้นวันกันก็ได้ วิธีนี้จึงเหมาะสำหรับคุณพ่อ คุณแม่ที่มีร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์กันทั้งสองคน เนื่องจากอสุจิที่แข็งแรงสมบูรณ์ (หลังมีเพศสัมพันธ์) จะสามารถอยู่ในร่างกายคุณแม่ได้นานประมาณ 3 วัน บางคนอยู่ได้นานเกือบ 5 วัน ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม

** การใช้วิธีธรรมชาติ ด้วยการมีเพศสัมพันธ์ในช่วงวันตกไข่ เหมาะสำหรับว่าที่คุณแม่ที่มีรอบเดือนสม่ำเสมอเท่านั้น แต่ถ้าไม่ คุณแม่อาจมีปัญหาในการตกไข่ ทำให้มีลูกด้วยวิธีนี้ค่อนข้างยาก **

 

อ่านต่อบทความอื่นน่าสนใจ คลิก :


ขอบคุณข้อมูจาก : เคล็ด(ไม่)ลับ สำหรับคนมีลูกยาก… “นับวันตกไข่” ยังไงให้แม่น – โรงพยาบาลพญาไท 3 | Phyathai 3 Hospital

โรงเรียนจารุวรรณ

โรงเรียนจารุวรรณ บ้านแห่งการเรียนรู้อย่างมีความสุขของเด็กทุกคน

School Visit วันนี้จะพาทุกคนไปเยี่ยมชม โรงเรียนจารุวรรณ โรงเรียนทางเลือก ขนาดย่อม ที่เปิดโอกาสให้เด็กได้เรียนรู้และพัฒนาตนเองรอบด้านอย่างเต็มที่ ถ้าใครกำลังมองหาโรงเรียนทางเลือกดี ๆ ย่านวัชรพล รับรองว่าที่นี่จะเป็นทางเลือกที่น่าสนใจไม่น้อย

จากความฝันในวัยเรียน ของ ดร. ธัญรัศม์ นิธิกุลธีระภัทร์  หรือที่เด็กๆ เรียกกันติดปากว่า คุณครูเจี๊ยบ  ที่อยากสร้าง โรงเรียนอนุบาล ในฝันสักแห่ง ที่อบอุ่นเสมือนบ้าน และมีคุณครูที่คอยใส่ใจดูแลเป็นเหมือนพ่อและแม่  ความฝันครั้งนั้นได้กลายเป็นความจริงเมื่อครูเจี๊ยบได้ ก่อตั้ง โรงเรียนจารุวรรณ ขึ้นมา   ปัจจุบันโรงเรียนจารุวรรณตั้งอยู่ย่านวัชรพล มีเนื้อที่กว่า 3.5 ไร่ เป็นโรงเรียนที่เต็มไปด้วยความอบอุ่น และรอยยิ้ม เสมือนบ้านหลังที่ 2 ของเด็ก ๆ  ด้วยความมุ่งมั่น และตั้งใจ ของครูเจี๊ยบ  ที่ต้องการสร้างเด็กให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ทั้งร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคม และสติปัญญา  ผนวกกับการได้รับความเชื่อใจและไว้ใจของผู้ปกครอง จึงทำให้ ปัจจุบัน โรงเรียนจารุวรรณ มีนักเรียนมากมาย และเปิดทำการสอนนักเรียนตั้งแต่ชั้นอนุบาล ถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ 6

โรงเรียนจารุวรรณ

บรรยากาศทางเข้าโรงเรียน

โรงเรียนจารุวรรณ

มุมปล่อยพลังของเด็กๆ เพื่อสร้างกล้ามเนื้อมัดเล็ก และมัดใหญ่

 

การเป็นโรงเรียนพหุปัญญา 

โรงเรียนจารุวรรณ ได้ออกแบบหลักสูตรการเรียนการสอน โดยนำแนวคิดทฤษฎีพหุปัญญา (Theory of Multiple Intelligences) ของโฮเวิร์ด การ์ดเนอร์(Howard Gardner) นักจิตวิทยาระบบประสาทแห่งมหาวิทยาลัย Harward ประเทศสหรัฐอเมริกา ที่นำเสนอแนวคิดใหม่ เกี่ยวกับความฉลาดว่ามนุษย์เรามีความฉลาดทุกด้าน เพียงแต่ด้านไหนมากด้านไหนน้อยแตกต่างกัน ซึ่งความฉลาดเหล่านั้นจะหลอมรวมเป็นบุคลิกและวิธีในการแก้ปัญหาต่างๆในชีวิตประจำวันของตัวเรา  จึงทำให้เด็กแต่ละคนเรียนรู้ได้ดีในแบบฉบับของตัวเอง

 

โดยทฤษฎีได้แบ่งความฉลาดออกเป็น 9 ด้านด้วยกันอันได้แก่

  1. ความฉลาดด้านภาษา (Linguistic Intelligence) ความสามารถในการใช้ภาษารูปแบบต่างๆ ทั้งภาษาพื้นเมือง จนถึงภาษาอื่นๆ ด้วย สามารถรับรู้ เข้าใจภาษา และสามารถสื่อภาษาให้ผู้อื่นเข้าใจได้ตามที่ต้องการ
  2. ความฉลาดด้านตรรกศาสตร์และคณิตศาสตร์ (Logical-Mathematical Intelligence) คือ ความสามารถในการคิดแบบมีเหตุและผล การคิดเชิงนามธรรม การคิดคาดการณ์ และการคิดคำนวณทางคณิตศาสตร์
  3. ความฉลาดด้านการเคลื่อนไหวร่างกาย (Bodily Kinesthetic Intelligence) ความสามารถในการควบคุมและแสดงออกซึ่งความคิด ความรู้สึก โดยใช้อวัยวะส่วนต่างๆ ของร่างกาย รวมถึงความสามารถในการใช้มือประดิษฐ์ ความคล่องแคล่ว ความแข็งแรง ความรวดเร็ว ความยืดหยุ่น ความประณีต
  4. ความฉลาดด้านมิติ (Spatial Intelligence) คือ ความสามารถในการรับรู้ทางสายตาได้ดี สามารถมองเห็นพื้นที่ รูปทรง ระยะทาง และตำแหน่ง อย่างสัมพันธ์เชื่อมโยงกัน แล้วถ่ายทอดออกมาอย่างกลมกลืน
  1. ความฉลาดด้านดนตรีและจังหวะ (Musical Intelligence) คือ ความสามารถในการซึมซับ และเข้าถึงสุนทรียะทางดนตรี ทั้งการได้ยิน การรับรู้ การจดจำ และการแต่งเพลง สามารถจดจำจังหวะ ทำนอง และโครงสร้างทางดนตรีได้ดี
  2. ความฉลาดด้านการรู้จักตน (Intrapersonal Intelligence) คือ ความสามารถในการรู้จัก ตระหนักรู้ในตนเอง สามารถเท่าทันตนเอง ควบคุมการแสดงออกอย่างเหมาะสมตามกาลเทศะ และสถานการณ์
  3. ความฉลาดด้านสัมพัน์กับผู้อื่น (Interpersonal Intelligence) คือ ความสามารถในการเข้าใจผู้อื่น ทั้งด้านความรู้สึกนึกคิด อารมณ์ และเจตนาที่ซ่อนเร้นอยู่ภายใน มีความไวในการสังเกต สีหน้า ท่าทาง น้ำเสียง สามารถตอบสนองได้อย่างเหมาะสม
  4. ความฉลาดด้านธรรมชาติ (Naturalist Intelligence) คือ ความสามารถในการรู้จัก และเข้าใจธรรมชาติอย่างลึกซึ้ง เข้าใจกฎเกณฑ์ ปรากฏการณ์ และการรังสรรค์ต่างๆ ของธรรมชาติ มีความไวในการสังเกต เพื่อคาดการณ์ความเป็นไปของธรรมชาติ
  5. ความฉลาดในการคิดใคร่ครวญ (Existential intelligence) ชอบคิด สงสัยใคร่รู้ ตั้งคำถามกับตัวเองในเรื่องความเป็นไปของชีวิต ชีวิตหลังความตาย เรื่องเหนือจริง

ด้วยความเชื่อในทฤษฎีนี้โรงเรียนจึงมีการปรับการเรียนการสอนให้เข้ากับเด็กทุกคนในรูปแบบที่ต่างกัน   โดยส่งเสริมให้เด็กได้ลองทำกิจกรรมที่หลากหลายในทุกๆ มิติ ทั้งในห้องเรียน และนอกห้องเรียน  ซึ่งทางโรงเรียนได้จัดให้มีมุมเพื่อส่งเสริมความสามารถของเด็ก ไม่ว่าจะเป็น  ศูนย์พหุปัญญา  6 ศูนย์   ( Play & Learn  / Fun Art / Science / Book Garden / Music & Movement / Nature Smart ) สระว่ายน้ำ สนามบาสเกตบอล โซนปลูกพืชผัก โซนการทำอาหาร

โรงเรียนจารุวรรณ โรงเรียนจารุวรรณ

ศูนย์ Play & Learn ให้เด็กได้เรียนรู้ โดยมาทำกิจกรรม ผ่านการเล่น

โรงเรียนจารุวรรณ

ศูนย์ Fun Art ให้เด็กๆ ได้มาสร้างงานศิลปะอย่างสร้างสรรค์ ผ่านวัสดุเหลือใช้

โรงเรียนจารุวรรณ

ศูนย์ Science  ให้เด็กๆ ได้เรียนรู้วิทยาศาสตร์ผ่านรูปจำลอง

โรงเรียนจารุวรรณ

Book Garden  ให้เด็กๆ สามารถยืมหนังสือนิทานกลับบ้านได้  แล้วนำกลับมาจะได้รับดาว จากคุณครู

โรงเรียนจารุวรรณ

ศูนย์ Music & Movement  ที่มาให้ เด็กๆได้ทำกิจกรรมเข้าจังหวะ เพื่อเสริมสร้างพัฒนาการด้านต่างๆ รวมถึงการสร้างกล้ามเนื้อ

โรงเรียนจารุวรรณ

Nature Smart  แปลงปลูกพืชผัก ให้เด็กๆ ได้ลองปลูกพืชผัก เพื่อเรียนรู้ธรรมชาติอย่างใกล้ชิด

 

การเรียนรู้เพื่อพัฒนาพหุปัญญาของโรงเรียนจารุวรรณ

ทางโรงเรียนได้เน้นให้เด็กๆได้เรียนรู้ผ่านโครงงาน (Project Approach)  โดยกระตุ้นให้เด็กสงสัย อยากรู้คำตอบ จนนำไปสู่การสืบเสาะหาความรู้ด้วยการลงมือปฏิบัติจริง พร้อมทั้งสรุปความรู้ที่ได้ให้กับผู้อื่นได้รับรู้ ด้วยวิธีการที่เด็กๆสร้างสรรค์ด้วยตนเอง  การเรียนรู้ผ่านโครงงานทำให้เด็กได้รู้จักการทำงานเป็นกลุ่ม มีการแก้ปัญหา และหาทางออกร่วมกัน  ซึ่งเป็นแนวทางที่ทางโรงเรียนสนับสนุนมากกว่าการที่จะนั่งเรียนที่โต๊ะเรียนเท่านั้น

โรงเรียนจารุวรรณ โรงเรียนจารุวรรณ โรงเรียนจารุวรรณ

ตัวอย่าง Project  ของเด็กๆ ชั้น ประถม  เด็กได้ซึมซับความเป็นธรรมชาติ ผ่านโครงงานของพวกเขา

โรงเรียนจารุวรรณ โรงเรียนจารุวรรณ โรงเรียนจารุวรรณ

สีหน้าและรอยยิ้มของเด็ก กับ โครงงงานที่พวกเขาได้ลงมือทำเอง

เน้นพัฒนาเด็กแบบรอบด้าน

เด็กที่นี่จะได้เรียนรู้หลากหลาย ทั้ง ภาษา ดนตรี กีฬา ศิลปะ เพราะการพัฒนาเด็กควรพัฒนาสมองทั้ง 2 ซีกไปพร้อมๆกัน เพื่อให้เกิดความสมดุล โดยโรงเรียนมีการจัดสร้างประสบการณ์ที่หลากหลายให้ทดลองเล่น จนเจอสิ่งที่ตนเองถนัด

โรงเรียนจารุวรรณ

โซนกิจกรรมกลางแจ้ง  ทั้งสระว่ายน้ำ และ สนามบาสเกตบอลเพื่อพัฒนาด้านความสามารถด้านร่างกายและ การทำงานเป็นทีม

โรงเรียนจารุวรรณ

มุมห้องทำอาหาร ให้เด็กๆ ได้ลองทำขนม เพื่อพัฒนาประสาทด้านการรับรู้ รส กลิ่น เสียง

 

สังคมแห่งการการร่วมมือ

ทางโรงเรียนมีจัด Open House เพื่อให้ผู้ปกครองได้เข้ามาเยี่ยมชมทุกส่วนของโรงเรียน รวมถึงฟังนโยบายการเรียน การสอน  เพื่อให้ผู้ปกครองได้ตัดสินใจก่อนพาลูกๆมาสมัครเรียน   และเมื่อเข้ามาเป็นสมาชิกของโรงเรียนแล้ว ทางโรงเรียนมีจัดกิจกรรม “วันพบกันเพื่อลูกรัก” ซึ่งเป็นวันที่ผู้ปกครองได้มาพูดคุย พบปะ กับทางผู้บริหาร และคุณครู อย่างใกล้ชิด นอกจากนั้นแล้วทางโรงเรียนยังมีเครือข่ายผู้ปกครอง  ซึ่งเป็นกลุ่มตัวแทน พ่อแม่ และคุณครู ในการสื่อสาร เรื่องกิจกรรมของเด็ก ๆ   สุดท้ายทางโรงเรียนมีสมุดสื่อสัมพันธ์บ้าน – โรงเรียน  ที่เป็นตัวเชื่อมระหว่างโรงเรียนและผู้ปกครอง เป็นสมุดที่คุณครู จะเขียนบอกเล่า ความสามารถของเด็ก ๆ รายบุคคลให้ผู้ปกครองได้ทราบเพื่อร่วมพัฒนาเด็กไปในแนวทางเดียวกัน

โรงเรียนจารุวรรณ

ครูเจี๊ยบ – ดร. ธัญรัศม์ นิธิกุลธีระภัทร์ ผู้อำนวยการโรงเรียนจารุวรรณ

 

Mommy’s Love This ถูกใจแม่

  1. ครูเจี๊ยบให้ความสำคัญการพัฒนาคุณครูตลอดเวลา มีการส่งครูไปพัฒนาเรื่องต่างๆ  ทั้งทางด้านวิชาการ และด้านคุณธรรม เพื่อพัฒนาใจของคุณครูไม่ให้ไวต่ออารมณ์  เนื่องจากคุณครูถือว่าเป็นบุคคลที่ต้องอยู่ใกล้ชิดกับเด็กมากที่สุด
  2. คุณครูเจี๊ยบ ได้มีการนำองค์กรภายนอกที่มีความเชี่ยวชาญ และชำนาญกว่ามาให้ความรู้กับเด็ก เพื่อต้องการพัฒนาความสามารถของเด็กอย่างดีที่สุด
  3. ความดูแลเอาใจใส่ในตัวเด็ก ในทุกระดับตั้งแต่ผู้บริหาร จนถึงคุณครู โดยคุณครูจะใช้หลักจิตวิทยาพัฒนาการเพื่อดูพัฒนาการของเด็กในแต่ละช่วงวัย   มีการประชุมกันระหว่างคุณครู  กับผู้บริหาร  มีการส่งต่อ เด็กจากชั้นเรียนเดิมไปชั้นต่อไป
  4. การสอดแทรก ความเป็นผู้นำ ผ่านคำพูดของคุณครู และกิจกรรม เพื่อให้เด็กๆ มีความมั่นใจ กล้าแสดงออก มีการจัดกิจกรรม   วันผู้นำ (Leadership  Day) โดยให้เด็กๆ เป็นผู้นำในกิจกรรมทั้งหมด คุณครูเป็นเพียงที่ปรึกษา

 

 

คุณสมบัติผู้สมัคร (อายุนับถึงวันที่ 16 พฤษภาคม

ระดับชั้นเตรียมอนุบาล อายุ 2 ปีบริบูรณ์

ระดับชั้นอนุบาล อายุ 3 ปีบริบูรณ์

ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1  อายุ 6 ปีบริบูรณ์

 

เกณฑ์การพิจารณา

ระดับชั้นอนุบาล การสัมภาษณ์ผู้ปกครอง สังเกตพัฒนาการเด็กจากการพูดคุย และให้ลงมือทำกิจกรรม

ระดับประถม       มีการทดสอบความรู้วิชา คณิต ภาษาไทย และภาษาอังกฤษ 

 

อัตราค่าเล่าเรียน (ปีการศึกษา 2567)

ค่าลงทะเบียนนักเรียนใหม่ 500 บาท

ค่าธรรมเนียมการศึกษา ระดับอนุบาล ปีละ 95,000

ค่าธรรมเนียมการศึกษา ระดับประถมศึกษา ปีละ 111,000

 

ที่อยู่ : 2 ซอยวัชรพล 1/9 ถนนวัชรพล แขวงท่าแร้ง เขตบางเขน กรุงเทพฯ 10220

ติดต่อ : 02-519-8647

เว็บไซต์ :  http://school.jaruwon.ac.th/

Facebook : https://www.facebook.com/JARUWONMULTIPLEINTELLIGENCESCHOOL

 

Editor : แม่ติส

ภาพ : นันทิยา บุษบงค์


อ่านต่อบทความน่าสนใจ

บ้านสลัดศิลป์ โรงเรียนสอนศิลปะสำหรับเด็ก Art & Cooking School for Kids

บ้านไหนกำลังมองหา โรงเรียนสอนศิลปะ สำหรับเด็ก ๆ วันนี้ ทีมแม่ ABK มีโรงเรียนดี ๆ มาฝากกันค่ะ

กับ บ้านสลัดศิลป์ Art & Cooking School for Kids โรงเรียนศิลปะที่เปิดสอนมามากว่า 13 ปี จากการบอกต่อของผู้ปกครอง ทำให้ปัจจุบันบ้านสลัดศิลป์ขยับขยายและมีสาขามากมาย ทั้งสาขาสวนผัก สาขาบางใหญ่ สาขาพระราม 2 และสาขาที่ School Visit จะมาแนะนำวันนี้ก็คือ สาขาดอกไม้ประตูแจกันวิลเลจ ย่านนนทบุรี ที่เปิดทำการมาเพียง 5 เดือน บ้านสลัดศิลป์สาขานี้จะมีอะไรน่าสนใจบ้างและบรรยากาศจะเป็นอย่างไร ตามมาดูกันได้เลย

บ้านสลัดศิลป์ ก่อตั้งโดยคุณอาร์ต และคุณแนน ผู้เชี่ยวชาญด้านศิลปะ ที่อยากส่งต่อประสบการณ์ดีให้กับเด็ก ๆ กับคอนเซปต์ “ ศิลปะมีประโยชน์มาเรียนกับสลัดศิลป์ ” ที่นี่เด็ก ๆ จะได้หัดคิดและลงมือทำชิ้นงานด้วยตนเอง คุณครูจะคอยดูแลและช่วยต่อยอดทางความคิดของเด็ก ๆ บอกเทคนิคต่าง ๆ เช่น การวาดสัดส่วนที่ถูกต้อง หรือการเลือกใช้สีต่าง ๆ ส่วนคลาสเรียนก็หลากหลาย มีทั้งคลาสวาดรูป ระบายสี ตัดกระดาษ ทำอาหารและงานปั้น ไว้ช่วยพัฒนากล้ามเนื้อและความคิดสร้างสรรค์ของเด็ก ๆ

มุมกิจกรรมต่างๆ ในบ้านสลัดศิลป์

 

คอมมูนิตี้ใหม่ที่สาขาดอกไม้ประตูแจกันวิลเลจ

สาขานี้เป็นสาขาที่คุณอาร์ตและคุณแนน ตั้งใจสร้างให้เป็นคอมมูนิตี้ทางด้านศิลปะทุกแขนง มีพื้นที่ประมาณ 3 งาน แบ่งออกเป็น 3 ส่วนหลัก ๆ คือ ส่วนของคาเฟ่ ส่วนของ Workshop Studio และส่วนของบูทอาหาร เป็นเหมือนโรงเรียนศิลปะเล็ก ๆ ในหมู่บ้าน กิจกรรมก็มีมากมาย จะมาวิ่งเล่น ชมท้องนา ท้องฟ้า จิบกาแฟ หรือวาดรูประบายสีและงานประดิษฐ์ต่าง ๆ ก็ได้

คลาสศิลปะสำหรับเด็กเล็กจะมีทั้งเด็กเล็กอายุ 4-6 ปี และเด็กโตอายุ 7-10 ปี คลาสเด็กเล็กจะได้ทำงานศิลปะ วาด เขียนด้วยสีชอล์ค สีไม้ และสีน้ำ โดยมีการแทรงงานประดิษฐ์และปั้นเพื่อฝึกกล้ามเนื้อมือของเด็กๆ และได้ทดลองวัสดุที่แปลกใหม่ ส่วน คลาสเด็กโต เน้นงานวาดแทรกทฤษฎีทางศิลปะในด้านต่างๆ เช่น น้ำหนัก แสงเงา การไล่สี การจัดองค์ประกอบเป็นต้น สำหรับช่วงปิดเทอมนี้ บ้านสลัดศิลป์ก็มีกิจกรรมทั้งแบบ 1 วัน และแบบแคมป์ 5 วัน มีสอนทั้งศิลปะและทำอาหารอีกด้วย สำหรับแคมป์ 5 วัน ทางโรงเรียนจะมีกำหนดธีมต่าง ๆ ให้เด็ก ๆ เช่น ธีมคาเฟ่ เด็ก ๆ ก็จะได้หัดคิดชื่อร้าน ออกแบบโลโก้ คิดเมนูอาหาร หัดทำเมนูที่จะขาย เรียนรู้เรื่องการตกแต่งร้าน และวันสุดท้ายเด็ก ๆ จะได้ทดลองเปิดร้านจริง ๆ ขึ้นมา เรียกได้ว่าได้เรียนรู้ทุกขั้นตอนด้วยตนเองจริง ๆและแม้ว่าที่นี่จะเน้นสอนศิลปะสำหรับเด็ก แต่ก็มีคลาสสำหรับเด็กโตที่กำลังสอบเข้ามหาวิทยาลัยและคลาสสำหรับผู้ใหญ่อีกด้วย คุณพ่อคุณแม่คนไหนมานั่งเฝ้าลูก ๆ แล้วเกิดคันไม้คันมืออยางลงมือทำงานศิลปะบ้างก็สามารถเรียนไปพร้อมกับลูก ๆ ได้เช่นกัน ส่วนคลาสเรียนทำอาหารในแต่ละครั้ง ชนิดอาหารจะไม่ซ้ำกัน สลับเมนูคาวและหวาน โดยเด็ก ๆ จะได้เริ่มตั้งแต่การเตรียมส่วนผสม ตวง และลงมือทำเองโดยมีคุณครูผู้เชี่ยวชาญดูแล เน้นเป็นศิลปะที่สามารถนำมาทานได้ ช่วงปิดเทอมหรือวันหยุดเสาร์อาทิตย์ ถ้าไม่อยากขับรถไปต่างจังหวัดไกล ๆ ก็สามารถพาเด็ก ๆ มาทำกิจกรรมดี ๆ แบบ One Day Trip ที่บ้านสลัดศิลป์ได้ รับรองว่าเด็ก ๆ จะสนุกและได้ความรู้กลับบ้านแน่นอน

มีร้านกาแฟเล็ก ๆ ให้คุณพ่อคุณแม่นั่งรอลูก ๆ ทำกิจกรรม

หากเด็ก ๆ หิวเมื่อไหร่ ก็สามารถแวะไปที่โซนขายอาหารได้ทันที

เด็ก ๆ ได้ฝึกคิดและลงมือทำงานศิลปะด้วยตนเองทุกคน และสามารถอธิบายผลงานของตนเองได้ด้วย

คลาสทำสวนถาด ที่เด็ก ๆ จะได้ทำศิลปะหลาย ๆ แบบในคลาสเดียว ทั้งปั้นดิน ระบายสี ทำเนินหญ้าจัดวางต้นไม้และของตกแต่ง เสร็จแล้วก็สามารถนำผลงานกลับบ้านได้ด้วย

คลาสแต่งหน้าคัพเค้กแสนสนุก

คุณแนนและคุณอาร์ต ผู้ก่อตั้ง บ้านสลัดศิลป์

 

ราคาคอร์สเรียน

คอร์สเรียนศิลปะเด็กเล็ก (4-6ขวบ)

1 คอร์สเรียน 5 ครั้ง เรียนครั้งละ 1 ชม.ครึ่งราคา 2,400บาท

รายครั้ง 700 บาท

คอร์สเรียนศิลปะเด็กโต (7-10ขวบ)

1 คอร์สเรียน 5 ครั้ง เรียนครั้งละ 1 ชม.ครึ่งราคา 2,600 บาท

รายครั้ง 700 บาท

คอร์สเรียนศิลปะเด็กโต๊โต (11 ปีขึ้นไป)

1 คอร์สเรียน 5 ครั้ง เรียนครั้งละ 1 ชม.ครึ่งราคา 2,800บาท

รายครั้ง 700 บาท

คอร์สปั้นประดิษฐ์ (3 ขวบขึ้นไป )

1 คอร์สเรียน 5 ครั้ง เรียนครั้งละ 1ชม.ราคา 2,500 บาท

รายครั้ง 700 บาท

คอร์สเรียนทำอาหาร (4 ขวบขึ้นไป ) Basic cooking

1 คอร์สเรียน 4 ครั้ง เรียนครั้งละ 1.30 ชม.ราคา 3,200 บาท

รายครั้ง 900 บาท

 

⭐โปรโมชั่น พิเศษ !!!⭐

สมัคร 2 คอร์ส ลด 5%

สมัคร 3 คอร์สขึ้นไป ลด 10%

 

 

 

ที่อยู่

บ้านสลัดศิลป์ สาขาดอกไม้ประตูแจกันวิลเลจ

ตำบล บางคูรัด อำเภอไทรน้อย จังหวัดนนทบุรี

โทร.081-847-1026

เวลาเปิด-ปิด 8:00-18:00 น.

สามารถสอบถามและจองคลาสที่ไลน์ @saladsil

Instagram @saladsil

Facebook : บ้านสลัดศิลป์

 

Editor : แม่เลม่อน

ภาพ : นันทิยา บุศบงค์

เก้าอี้กินข้าวเด็ก สุดคุ้ม! แรกเกิดเป็นเปลไกว โตไปนั่งกินข้าว ใช้ยาว 0-4 ขวบ

คุณแม่ยุคใหม่ฉลาดเลือกต้องมองการณ์ไกล เลือกสรรของใช้สุดคุ้ม multifunction ที่สามารถใช้ได้ตั้งแต่แรกเกิด และใช้ไปยาว ๆ ได้อีกหลายปี เก้าอี้กินข้าวเด็ก Royal Smart Swing High Chair 2 in 1 multifunction เก้าอี้เปลไกวสุดสมาร์ทที่ช่วยเสริมพัฒนาการที่ดีของลูกน้อย ควบคู่ไปกับความสะดวกสบายของคุณแม่ ลงทุนครั้งเดียวใช้ได้ถึง 2 ฟังก์ชันจัดเต็ม และใช้ได้ตั้งแต่แรกเกิดยาวไปจนถึง 4 ขวบ หรือรองรับน้ำหนักได้ถึง 25 กิโลกรัม คุณแม่อยากรู้แล้วใช่ไหมว่า เก้าอี้ตัวนี้ มีอะไรดี ทีมบรรณาธิการ Amarin Baby & Kids ขอรีวิวชัดๆ ให้ดูตรงนี้ค่ะ

Smart Mode เปลไกวอัจฉริยะ

เก้าอี้กินข้าวเด็ก ที่เป็นมากกว่าเก้าอี้เด็ก เพราะฟังก์ชั่นแรกของเขาคือ เปลไกวอัจฉริยะ ที่รองรับการใช้งานได้ตั้งแต่แรกเกิด เพราะการนอนหลับที่ดีของเด็กวัย 0-6 เดือนเกิดเป็นสิ่งสำคัญต่อพัฒนาการที่ดีของลูกน้อย เปลไกวอัตโนมัติจึงเป็นผู้ช่วยให้ลูกนอนนอนหลับได้ยาวนานเต็มอิ่ม ด้วยจังหวะที่สม่ำเสมอ ไกวได้เป็นธรรมชาติที่สุด เสมือนการอุ้มกล่อมจริงจากอกแม่

เปลไกวสามารถปรับแรงไกวได้ถึง 8 ระดับ มาพร้อมกับเครื่องเล่นเพลง 12 ท่วงทำนอง ที่ช่วยให้ลูกน้อยผ่อนคลาย กระตุ้นพัฒนาการทางสมองของลูกน้อย

นอกจากนี้ยังเพิ่มความสะดวกสบายให้กับคุณแม่ด้วย Smart Voice Control สามารถสั่งการด้วยเสียงผ่านทาง Smart Phone ซึ่งรองรับได้ทั้งระบบ ios และ Android

และอีกเทคโนโลยีที่น่าสนใจมาก คือ ระบบจดจำเสียง Voice Recognition เมื่อมีเสียงลูกน้อยร้อง ฟังก์ชั่นอัจฉริยะจะปรับไกวและมีเสียงเพลงอัตโนมัติ ช่วยให้คุณแม่อุ่นใจและเบาแรงมากขึ้น

Dining Mode เก้าอี้กินข้าวเด็ก และเก้าอี้อเนกประสงค์

ฟังก์ชั่นต่อมา เมื่อลูกน้อยโตขึ้นสามารถปรับมาเป็น เก้าอี้กินข้าวเด็ก High Chair และเก้าอี้อเนกประสงค์ ที่สามารถรองรับน้ำหนักได้ถึง 25 กก.) เหมาะสำหรับวัย 6 เดือน – 4 ขวบ  เป็นอีกตัวช่วยหนึ่งรองรับทุกกิจกรรมของลูกน้อย ฝึกวินัยและพัฒนาการที่ดีตั้งแต่มื้อแรกของลูกน้อย มาพร้อมถาดอาหารขนาดใหญ่ ถอดและทำความสะอาดได้ง่าย ทำจาก PP Food Grade ปลอดภัยสำหรับลูกน้อย

Amarin Baby & Kids คัดเลือกให้ เก้าอี้นั่งกินข้าวและอเนกประสงค์สำหรับเด็ก Rocking Kids ได้รับรางวัล Editor’s Choice สาขา BEST HIGH CHAIR จาก Amarin Baby & Kids Awards 2023

 

“เก้าอี้ปรับระดับเอนนอนได้สูงสุด 4 ระดับ หรือ 170 องศา และปรับความสูงได้ 5 ระดับตามต้องการ โครงสร้างมั่นคง แข็งแรงด้วย A Design และเป็นวัสดุจากเหล็ก รองรับน้ำหนักได้สูงสุด 25 Kg.ใช้งานได้นานและคุ้ม

ปลอดภัยด้วยเข็มขัดนิรภัย 5 ทิศทาง ช่วยปกป้องช่วงคอ บ่า ไหล่ลูกน้อย ด้วย Soft pads เพิ่มความนุ่มพิเศษ เบาะรองนั่งทำจากหนัง PU ทำความสะอาดง่าย นุ่มสบาย และเพิ่มการซัพพอร์ตหลังโอบกระชับด้วยเบาะ Cotton Cushion”

 

เมื่อต้องการเปลี่ยนที่นั่งก็สามารถเคลื่อนย้ายได้ง่าย มีล้อด้านหลัง อีกทั้งยังพับเก็บได้ง่าย ประหยัดพื้นที่ใช้สอยภายในบ้านอีกด้วย

ครบครัน 2 in 1 ขนาดนี้ ทีมบรรณาธิการ Amarin Baby & Kids ก็ขอมอบรางวัล เก้าอี้นั่งกินข้าวและอเนกประสงค์สำหรับเด็ก BEST HIGH CHAIR 2023 สาขา Editor’s Choice ให้กับแบรนด์ Rocking Kids จาก “Amarin Baby & Kids Awards 2023”

 

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม และโปรโมชั่นดีๆ ของผลิตภัณฑ์ Rocking Kids สามารถติดตามได้ที่.www.facebook.com/rockingkids.thailand หรือ LINE ID: @Rockingkids หรือ Website : www.rockingkidsonline.com

อ่านบทความ น่าสนใจอื่น ๆ ได้ที่ 

ประกาศรางวัล Amarin Baby & Kids Awards 2023 หมวดอุปกรณ์ดูแลเด็ก

ละมุน เบบี้ ย้ำเป็นผู้นำตลาดออร์แกนิคแม่และเด็ก ตั้งเป้ากวาดยอดขายโตสองดิจิต ด้วยออร์แกนิค ซูตติ้ง ครีม Natural Anti Histamine พร้อมเปิดพรีเซนเตอร์ถุงเก็บน้ำนม ก้อย รัชวิน

28 มีนาคม 2567ละมุน เบบี้ รุกตลาดย้ำความเป็นผู้นำตลาดผลิตภัณฑ์ออร์แกนิคสำหรับแม่และเด็ก เป็นผู้ช่วยคุณแม่ 1000 แรกดูแลลูกน้อยอย่างต่อเนื่อง ทุ่มงบการตลาดทั้งออฟไลน์และออนไลน์ ตั้งเป้าโตสวนวิกฤตการเกิดต่ำ เปิดตัวสินค้าใหม่ ละมุน ออร์แกนิค ซูตติ้ง ครีม ครีมลดผื่นจากสารสกัดธรรมชาติ เหมาะสำหรับเด็กและผู้ที่มีผิวแพ้ง่าย พร้อมดึงก้อย รัชวิน เป็นพรีเซนเตอร์ ละมุน ถุงเก็บน้ำนม

นางสาวเนตรนพิศ รุ่งธนเกียรติ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาดและผู้ก่อตั้ง บริษัท ละมุน เบบี้ จำกัด กล่าวว่า “ถึงแม้ปัจจุบันกระแสเด็กเกิดใหม่น้อยและมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่องทุกปี แต่ไม่ได้มีผลกระทบกับทางแบรนด์ในภาพรวม เนื่องจากกลุ่มลูกค้าของละมุนเป็นคุณแม่ที่มีกำลังซื้อ ให้ความสำคัญกับคุณภาพของสินค้ามากกว่าราคา เมื่อใช้แล้วชื่นชอบจะมีการซื้อซ้ำตลอด และยังแนะนำเพื่อนที่เป็นคุณแม่มือใหม่ให้ทดลองใช้ จึงช่วยเพิ่มฐานลูกค้าที่มีคุณภาพของละมุนมาโดยตลอด

สำหรับปี 2567 ละมุน เบบี้ ตั้งเป้าเติบโตกว่า 20% หรือมากกว่า 250 ล้านบาท ด้วยสินค้ากลุ่ม Personal Care เป็นกลุ่มสินค้าที่เติบโตมากที่สุด ทั้งปัจจัยทางด้านสิ่งแวดล้อม อาทิ ฝุ่น pm2.5 และ มลพิษทางอากาศ ส่งผลให้สินค้ากลุ่มนี้เติบโตต่อเนื่องตลอด 3 ปีที่ผ่านมา โดยปีนี้ทางบริษัทฯ มีแผนการตลาดเชิงรุกทั้งออฟไลน์และออนไลน์ที่เข้มข้นกว่าปีที่แล้ว ด้วยงบการตลาดที่มากกว่าปีที่แล้วถึง 10%  พร้อมกับการสร้างคอมมูนิตี้คุณแม่ละมุนในรูปแบบสมาชิกและ Open Chat เพื่อแจ้งโปรโมชั่น และกิจกรรมการตลาดให้คุณแม่แบบ Exclusive ก็ได้รับความสนใจอย่างต่อเนื่อง

 

นอกจากนี้ ละมุนยังรักษาฐานการเป็นผู้ช่วยคุณแม่ปั๊มนมด้วย ถุงเก็บน้ำนม คอลเลคชั่นใหม่ Sweet Cottage ด้วยแรงบันดาลใจจาก English Garden อบอุ่น น่ารัก มาพร้อมกับผ้าคลุมให้นมและกระเป๋าเก็บอุณหภูมิ เพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้กับคุณแม่ปั้มนม ในงานนี้ละมุนได้เปิดตัว Brand Ambassador ถุงเก็บน้ำนม คอลเลคชั่น Sweet Cottage ด้วยคุณแม่ดาราคนสวย คุณก้อย รัชวิน คงมาลัย  คุณแม่ที่ให้ความสำคัญในการให้ลูกทานนมแม่ และเป็นหนึ่งในคุณแม่ละมุนผู้ใช้จริงตั้งแต่น้องทะเล พร้อมกับการบอกเคล็ดลับการเลี้ยงลูกสไตล์คุณก้อยในงานอีกด้วย

 

ด้วยความมุ่งมั่นในการทำผลิตภัณฑ์ออร์แกนิคคุณภาพมาตลอด 13 ปี มีคุณแม่ละมุนจำนวนมากเรียกร้องให้ละมุนทำครีมลดผื่น เพราะให้ลูกใช้หลายยี่ห้อแล้วก็ไม่หาย คุณแม่ก็ไม่อยากรักษาด้วยยาหรือครีมที่ผสมสเตียรอยด์ เพราะกลัวว่า จะสะสมและเป็นผลเสียต่อลูกในระยะยาว และวันนี้ละมุนพร้อมแล้วกับ ละมุน ออร์แกนิค ซูตติ้ง ครีม เนเชอรัล แอนตี้ ฮีสตามีน ครีมลดผื่นจากสารสกัดธรรมชาติ ช่วยลดอาการแพ้ต่าง ๆ อาทิ ผื่นร้อน ผื่นแพ้สารเคมี ผื่นผ้าอ้อม ผื่นแพ้ผิวหนัง ลมพิษ ตุ่มคันจากแมลงได้ถึง 3 ระดับ ทั้งการแพ้แบบเฉียบพลัน แพ้แบบเรื้อรังและการแพ้ระดับภูมิคุ้มกัน  ด้วยสารสกัดจากธรรมชาติ ใช้ได้ตั้งแต่เด็กแรกเกิดจนถึงผู้ใหญ่ ผู้มีอาการแพ้ สามารถใช้ได้บ่อยเท่าที่ต้องการ ในราคาที่จับต้องได้ ผลิตภัณฑ์นี้ละมุนทุ่มเทกับการวิจัย และค้นหาส่วนผสมที่ดีที่สุดมาหลายปี ต้องแก้ปัญหาที่ต้นตออย่างตรงจุด ที่สำคัญต้องมาจากธรรมชาติ ด้วยผลิตภัณฑ์ในกลุ่มนี้ในท้องตลาดส่วนใหญ่จะมีส่วนผสมของสเตียรอยด์ ซึ่งอาจมีผลข้างเคียงเมื่อใช้ต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน จนอาจทำให้ดื้อยาใช้แล้วไม่เห็นผล รวมทั้งอาการรุนแรงจนเกิดอาการผิวด่างได้

โดยผลิตภัณฑ์ของ ละมุน เบบี้ ที่เปิดตัวใหม่ และถุงเก็บน้ำนม มีความน่าสนใจอย่างไรนั้น ตามมาดูกันค่ะ

 

ละมุน ออร์แกนิค ซูตติ้ง ครีม Natural Anti-Histamine

นวัตกรรม Enzyme Treatment Technology จากประเทศเกาหลี

ลด ฟื้นฟู ปกป้องอาการแพ้เฉียบพลัน เรื้อรัง และระดับภูมิคุ้มกัน

40 กรัมต่อ 1 หลอด ราคา 350 บาท

 

ลดอาการคัน จาก Natural Anti Histamine

สารสกัดใบบัวบก ดีล และร๊อกเก็ต ช่วยลดอาการคันได้ 3 ระดับ ทั้งการการแพ้แบบเฉียบพลัน การแพ้แบบเรื้อรัง และการแพ้ระดับภูมิคุ้มกัน

เพิ่มและกักเก็บความชุ่มชื้น

เชียร์ บัตเตอร์และสารสกัดอะโรเวล่า ช่วยเพิ่ม กักเก็บความชุ่มชื้นและความสดชื่นให้กับผิว ลดอาการผิวแห้งแตกและหยาบกร้าน อย่างเป็นธรรมชาติ

สร้างเกราะป้องกันผิว 

เซราไมด์จากข้าวโอ๊ต และอัลลันโทอิน สารสกัดที่ได้จากรากคอมเฟรย์ ช่วยปกป้องผิวจากอาการแพ้ คันตามผิวหนัง การอักเสบ บวม แดงที่เกิดจากแบคทีเรียและสภาพแวดล้อม

 

Lamoon Sweet Cottage Collection

 ละมุน ถุงเก็บน้ำนม Keep and Feed

5 และ 8 ออนซ์ กล่องละ 190 บาท
  • นมไม่หืนสารอาหารไม่หาย

  • ป้องกันน้ำนมแม่จากกลิ่นหืนด้วยถุงทึบแสง มาตรฐาน Food Grade

  • สารอาหารในนมแม่ไม่หาย ด้วย indicator วัดอุณหภูมิ บอกอุณภูมิที่เหมาะสมในการอุ่นนมแม่

  • ถุงปิดสนิทด้วยซิปล็อก 2 ชั้น

  • ป้องกันการปนเปื้อนด้วยช่องเทนมโดยเฉพาะ

  • มี 2 ขนาด 5 (30 ถุงต่อกล่อง) และ 8 ออนซ์ (25 ถุงต่อกล่อง)

 

คุณแม่สามารถเลือกสรรผลิตภัณฑ์ละมุน เบบี้ เพื่อสิ่งดีที่สุดสำหรับลูกน้อยได้ที่ ห้างสรรพสินค้าชั้นนำ อาทิ เซ็นทรัล โรบินสัน ท้อปส์ ซุปเปอร์มาร์เก็ต บิ๊กซี โฮมโปร ร้านยาชั้นนำ ตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ รวมทั้ง Official Store ทาง Lazada, Shopee และ LINE @lamoonbaby  พร้อมสมัครสมาชิก Lamoon Baby club เพื่อรับสิทธิประโยชน์มากมาย และคุณแม่ละมุนสามารถติดตามกิจกรรมและข่าวสารต่าง ๆ  ได้ทาง

Facebook: www.facebook/LamoonBaby

Instagram: Lamoonbaby

Tiktok:@lamoonbabyofficial

Website:www.lamoonbaby.com

กรุงเทพประกันชีวิต ส่งเสริมพ่อแม่ “ใส่ใจ” ลูกน้อย แนะวางแผนการเงินพร้อมประกันสุขภาพเด็กตั้งแต่เริ่มต้น

กรุงเทพประกันชีวิต ร่วมสนับสนุนและส่งเสริมคุณพ่อคุณแม่ ใส่ใจลูกน้อยด้วยการวางแผนการเงินเพื่ออนาคตตั้งแต่แรกเริ่ม พร้อมกับการดูแลสุขภาพ ผ่าน 2 แบบประกันที่ตอบโจทย์ กรุงเทพ สมาร์ท คิดส์ซื้อ 1 ได้ถึง 2 เพื่อสะสมเป็นทุนการศึกษาพร้อมรับความคุ้มครองพิเศษ   และ แวลู เฮลธ์ (คิดส์)” ประกันสุขภาพเด็กที่ได้รับกระแสตอบรับอย่างดีด้วยอัตราการเติบโตของเบี้ยประกันภัยที่เพิ่มขึ้นเกือบ 40%  ในปีที่ผ่านมา จากความคุ้มครองที่ครอบคลุมทั้งการรับมือกับโรคภัยไข้เจ็บในเด็กที่เจ็บป่วยบ่อยและนานขึ้น

นางสาวอรนาฎ นชะพงษ์ ผู้อำนวยการอาวุโส สายกลยุทธ์การตลาดและบริหารจัดการลูกค้า บริษัท กรุงเทพประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงแนวโน้มของการทำประกันชีวิตสำหรับลูกค้ากลุ่มเด็กว่า ถึงแม้ประเทศไทยจะมีอัตราการเกิดของเด็กค่อนข้างคงที่ โดยในบางปีมีอัตราที่ลดลง แต่ความต้องการด้านประกันสำหรับเด็ก ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะการประกันเพื่อคุ้มครองด้านค่ารักษาพยาบาลที่เพิ่มขึ้นทุกปี เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศที่ส่งผลต่อการเกิดโรคต่างๆ มากขึ้น เช่น โรคไข้เลือดออก ไข้หวัดใหญ่  RSV  โรคมือเท้าปาก  โนโรไวรัส ติดเชื้อไวรัสท้องเสีย เฮอแปงไจน่า  โรคที่มาจากฝุ่น pm2.5  และ ไข้หวัดแดด summer influenza   ต่างๆ เหล่านี้ส่งผลให้เด็กเจ็บป่วยบ่อย ป่วยนานและรุนแรงขึ้น

“นอกจากปัญหาด้านสุขภาพแล้ว สิ่งสำคัญที่คุณพ่อคุณแม่มือใหม่ควรคำนึงถึงก็คือการเตรียมเรื่องค่าใช้จ่ายสำหรับลูกเพื่อให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจยุคปัจจุบันที่ค่าครองชีพได้ปรับตัวสูงขึ้นมาก ซึ่งโดยหลักจะมี 5 ด้าน คือ 1. ค่าอาหารเพื่อสุขภาพที่ดี สมวัย  2. เสื้อผ้าของใช้ที่จำเป็น 3. หนังสือ ของเล่นเสริมทักษะพัฒนาการ  4. ค่ารักษาพยาบาล  ซึ่งใน 5 ขวบแรก เด็กจะป่วยประมาณ 2-3 ครั้งต่อปี และต้องนอนโรงพยาบาล เฉลี่ย 3-7 วันต่อครั้ง และ 5. ค่าเทอม ค่าเรียนพิเศษ ซึ่งแนวโน้มส่วนใหญ่ก็จะอยากให้ลูกเรียนโรงเรียนเอกชน 2 ภาษา 3 ภาษา รวมถึงโรงเรียนนานาชาติ ซึ่งค่าใช้จ่ายทั้งหมดสามารถเตรียมให้เหมาะสมกับตัวเราเองได้ด้วยการวางแผนการเงิน และควรเตรียมความพร้อมให้ลูกตั้งแต่แรกเริ่มซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะจะช่วยให้เรามั่นใจว่าสามารถรับมือกับค่าใช้จ่ายที่เพิ่มสูงขึ้นในอนาคต”  นางสาวอรนาฎ กล่าวพร้อมเพิ่มเติมว่า

กรุงเทพประกันชีวิตได้ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมคุณพ่อคุณแม่ให้มีการเตรียมความพร้อมสำหรับลูกรัก จึงได้ใช้กลยุทธ์การตลาดในการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเพื่อให้ความรู้และแนะนำผลิตภัณฑ์ผ่านนิทรรศการที่เกี่ยวข้องและประสบผลสำเร็จเป็นอย่างดี เช่น การร่วมงาน Amarin & Baby Kids Fair เมื่อปลายเดือนมีนาคม ที่ผ่านมา มีคุณพ่อคุณแม่ให้ความสนใจเป็นจำนวนมาก ภายใต้แนวคิด learning by playing หรือสร้างการเรียนรู้ผ่านกิจกรรมต่างๆในบูธ รวมทั้งงานเสวนาบนเวทีที่เพิ่มเติมความรู้ให้คุณพ่อคุณแม่ทั้งในมุม “การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่” ซึ่งจะทำให้ลูกแข็งแรงและได้รับความอบอุ่นจากแม่และครอบครัวไปพร้อมๆกัน และ “เลี้ยงลูกโตไปให้มีตน” เพื่อสร้างความเข้าใจให้กับคุณพ่อคุณแม่ในการส่งเสริมให้ลูกได้ค้นพบตัวตน นอกจากนี้ ยังนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ทั้งด้านการวางแผนการเงินและสุขภาพซึ่งมี 2 แบบประกันให้เลือกและกำลังได้รับความสนใจจากคุณพ่อคุณแม่ คือ กรุงเทพ สมาร์ท คิดส์ซื้อ 1 ได้ถึง 2 เพื่อเป็นทุนการศึกษาสำหรับลูกในอนาคตพร้อมรับความคุ้มครองพิเศษ และ แวลู เฮลธ์ (คิดส์)” แบบประกันสุขภาพเด็กที่กำลังมาแรงด้วยอัตราการเติบโตของเบี้ยประกันเพิ่มขึ้นเกือบ 40% ในปีที่ผ่านมา

กรุงเทพประกันชีวิต ส่งเสริมพ่อแม่ “ใส่ใจ” ลูกน้อย แนะวางแผนการเงินพร้อมประกันสุขภาพเด็กตั้งแต่เริ่มต้น
กรุงเทพประกันชีวิต ส่งเสริมพ่อแม่ “ใส่ใจ” ลูกน้อย แนะวางแผนการเงินพร้อมประกันสุขภาพเด็กตั้งแต่เริ่มต้น

สำหรับ กรุงเทพ สมาร์ท คิดส์ซื้อ 1 ได้ถึง 2 เป็นแบบประกันเพื่อเป็นทุนการศึกษาลูก รับประกันตั้งแต่แรกเกิด – อายุ 14 ปี เบี้ยประกันภัยคงที่เริ่มต้นเพียง เดือนละ 200 บาท มีให้เลือก 3 แบบตามระยะเวลาความคุ้มครองที่ต้องการทั้ง 15 ปี , 18 ปี และ 21 ปี  เมื่อครบสัญญาจะได้รับเงินคืน 115%, 118% และ 121% ของเบี้ยประกันชีวิตสะสมตามจริง พร้อมอุ่นใจกับความคุ้มครองพิเศษด้านอุบัติเหตุ และ 4 โรคร้ายแรงในเด็ก รวมทั้งคุ้มครองไปถึงคุณพ่อคุณแม่ที่เป็นผู้ชำระเบี้ยประกันภัยหากเสียชีวิต หรือทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง ลูกจะได้รับยกเว้นการชำระเบี้ยประกันภัยและรับเงินก้อนเพื่อใช้เป็นเงินสำรองยามฉุกเฉิน พร้อมมั่นใจได้ว่าลูกจะมีเงินทุนเรียนต่อจนจบการศึกษาเพราะครบกำหนดสัญญามีเงินก้อนคืนให้

ส่วน แวลู เฮลธ์ (คิดส์)” เป็นประกันสุขภาพเด็กที่ออกแบบมาเพื่อรองรับค่ารักษาพยาบาลของลูกน้อยตั้งแต่อายุ 1 เดือนถึง 10 ปี ซึ่งเป็นวัยที่อาจเจ็บป่วยบ่อยครั้ง โดยมีจุดเด่นด้านความคุ้มครองที่ครอบคลุมค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลที่จำเป็น ทั้งค่าห้อง ค่าอาหาร ค่าบริการในโรงพยาบาลสูงสุด 5,000 บาทต่อวัน ค่าแพทย์ผ่าตัดและค่าหัตถการ สูงสุด 400,000 บาท คุ้มครองค่ารักษาพยาบาลฉุกเฉิน ผู้ป่วยนอก กรณีอุบัติเหตุ 24 ชม. พร้อมทางเลือกแบบมีความรับผิดส่วนแรกสำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่มีสวัสดิการสำหรับลูกน้อยสามารถจ่ายเบี้ยได้ถูกลง และเมื่อลูกน้อยเติบโตจนอายุครบ 11 ปี สามารถปรับเป็นแบบไม่มีความรับผิดส่วนแรกโดยไม่ต้องแถลงสุขภาพ นอกจากนี้ กรุงเทพประกันชีวิตยังมอบบริการเสริมด้านสุขภาพแบบครบวงจร BLA EveryCare เพื่อการดูแลใส่ใจอย่างเต็มที่

 

แวลู เฮลธ์ (คิดส์)” ยังเป็นแบบประกันสุขภาพสำหรับเด็กที่ดีที่สุดจากการรับรางวัลในปีที่ผ่านมา ถึง  2 รางวัล คือ “Best Health Insurance for Family” จาก theAsianParent Awards 2023 และ “Best Health Insurance for Kids” จากงาน Amarin Baby & Kids Awards 2023 ซึ่งความสำเร็จเป็นผลมาจากการให้ความ “ใส่ใจ” และ “เข้าใจ” ในพฤติกรรมผู้บริโภค ด้วย insights จากการวิจัยเพื่อรับรู้ความต้องการของคุณพ่อคุณแม่ และสามารถออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์  รวมทั้งยังสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าผ่านกิจกรรมและโซเชียลมีเดียด้วยการสื่อสารที่ “จริงใจ” จากผู้เชี่ยวชาญทั้งคุณหมอเด็กและนักวิชาการ ด้วยข้อมูลที่เป็นประโยชน์ นอกจากนี้เรายังมีคุณพ่อคุณแม่ตัวจริงที่ใช้บริการของเราแล้วชื่นชอบจึงบอกต่อ ซึ่งเป็นเสียงสะท้อนที่เราอยากพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการให้ดียิ่งขึ้น เพื่อช่วยให้คุณพ่อคุณแม่ได้ใช้เวลากับการดูแลลูกได้อย่างเต็มที่โดยไม่ต้องกังวลกับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในอนาคต” นางสาวอรนาฎ กล่าวในที่สุด

Tags

Carroll Preparatory PRIMARY & PRESCHOOL ศูนย์การเรียนรู้แห่งอิสระ สร้างสรรค์ตัวตนเชิงบวกโดดเด่น เน้นพัฒนาการรอบด้าน 

คำว่า “โรงเรียนในฝัน” คือ คำนิยามที่เหมาะสมกับ Carroll Preparatory PRIMARY & PRESCHOOL มากที่สุด!!

โรงเรียนนี้ดีตรงที่เข้าเรียน 9.00 น. แบบไม่เร่งรีบ ไม่บีดรัดเวลา เพื่อเด็ก ๆ จะอยู่กับคุณพ่อคุณแม่ได้นานที่สุด โรงเรียนนี้ดีตรงที่ตั้งอยู่ในโครงการ บอง มาร์เช่ ศูนย์รวมร้านค้า อาหาร กิจกรรมนานาประเภท ล้อมรอบด้วยบึงน้ำ อาหารก็อร่อย บรรยากาศผ่อนคลาย โรงเรียนนี้ดีตรงที่การเดินทางมาง่ายไม่ซับซ้อนแม้แต่น้อย องค์ประกอบแวดล้อมแสนจะลงตัว Carroll Prep จึงเป็นอีกโรงเรียนหนึ่งที่ School Visit วันนี้ ทีมแม่ ABK ไม่พลาดที่จะพามาเยี่ยมชมค่ะ

อาคารเรียนตั้งอยู่ใน โครงการ บอง มาร์เช่ มาง่ายและสะดวกสบายมาก

การตกแต่งภายในอาคารเรียน ใช้สีสันสดใส น่ารักเหมาะกับเด็ก ๆ

 

Life : สุข-จิต สุข-ใจ

คุณจอร์จ แคร์โรลล์ และ คุณแพท พนิดา แคร์โรลล์ ผู้ก่อตั้ง Carroll Preparatory PRIMARY & PRESCHOOL เริ่มเปิดสถาบันสอนภาษาอังกฤษ เมื่อปี พ.ศ. 2548 ทั้งคู่พบว่า อุปสรรคหลักๆในการเรียนภาษา คือ การเรียนแบบ Passive หรือ การเรียนแบบท่องจำ การเรียนเพื่อสอบ ทำให้เด็กหมดไฟในการเรียนรู้ พฤติกรรมการเรียนก็แย่ไปด้วย เมื่อเด็กไม่ได้อยากยกมือถาม ไม่มีความสงสัย และไม่สนว่าตัวเองจะรู้หรือไม่ นั่นคือ pain point ทางการศึกษา

ในวันที่ครอบครัวของคุณจอร์จและคุณแพทเฟ้นหาโรงเรียนที่ดีที่สุดสำหรับลูกนั้น ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย โรงเรียนที่เลือกต้องตอบโจทย์เรื่อง การให้อิสระและการสร้างตัวตนในวัยเด็ก เป็นบูรณาการที่ให้ความรู้รอบด้านและสร้างนิสัยใฝ่รู้ให้เด็ก ๆ ควบคู่ไปกับการเติบโตอย่างมีคุณภาพด้านอารมณ์ การเสาะหาโรงเรียนที่พร้อมสำหรับลูกครั้งนั้นจึงกลายเป็นที่มาของการก่อตั้ง Carroll Preparatory PRIMARY & PRESCHOOL เพื่อมอบสิ่งที่ดีและการดูแลที่ดีที่สุดให้ลูก สู่การส่งต่อการศึกษาที่มีคุณภาพให้ผู้อื่น ปัจจุบัน Carroll Preparatory PRIMARY & PRESCHOOL เปิดสอนตั้งแต่ Nursery – ประถม 6

 

Learn : ไทย + Ontario ผสมผสานอย่างเหมาะสม

เพราะเป้าหมายหลักของโรงเรียน คือ การพัฒนาเด็กให้มีตัวตนเชิงบวก รักการเรียนรู้ สามารถเผชิญสถานการณ์ยากลำบาก และการเปลี่ยนแปลงของโลกไปได้ โดยที่ยังมีสุขภาพจิตและคุณภาพชีวิตที่ดีจึงสำคัญมาก การจัดการเรียนการสอนแบบ Ontario แคนาดา จะช่วยปูพื้นฐานทุกด้านให้แน่น จุดเด่น คือ การโฟกัสตนเอง..เกี่ยวข้องกับอารมณ์ การสร้าง Self ต่างๆ Self-confidence ,Self-control , Self-esteem จากกิจวัตรและการเรียนรู้ในทุกๆวัน เด็กๆที่ Carroll Prep จะช่วยเหลือตัวเองตลอดเวลา และภูมิใจเมื่อทำอะไร ๆ ได้ด้วยตัวเอง และในที่สุดเด็ก ๆ จะเห็นคุณค่าในตัวเอง ผสมผสานกับ หลักสูตรแกนกลางของประเทศไทย ช่วยให้เด็ก ๆ ใช้ภาษาไทยอย่างเหมาะสม สอดคล้องกับชีวิตความเป็นอยู่ ทั้งในครอบครัว ชุมชน และสังคมไทย

 

Active Learner

“วันนี้เด็กๆ อยากทำอะไรคะ? ”

เป็นคำถามเปิดทางเบื้องต้นก่อนเข้าสู่การเรียนรู้ในแต่ละวันที่ Carroll Prep ค่ะ ถ้าจุดมุ่งหมายคือ ต้องการให้เด็ก ๆ เรียนรู้ (ตามหัวข้อที่ได้จัดไว้) การให้ทำกิจกรรมอย่างเดียวอาจไม่พอ แต่ต้องทำให้เด็ก ๆ อยากทำกิจกรรมด้วยเช่นกัน นั่นคือ Motivation ดังนั้นการถามความต้องการของเด็ก ๆ จะทำให้คุณครู “ไปถูกทาง” จากนั้นเป็นเทคนิคของคุณครูในการค่อย ๆ รวบรวมความต้องการของเด็ก ๆ ดึงเข้ามาสู่กิจกรรม คุณครูที่ Carroll Prep ก็ทำได้ดีมากเช่นกัน ผลที่ได้คือ เด็ก ๆ Happy และได้ความรู้ คุณครูก็ทำได้ตามเป้าหมาย เยี่ยมไปเลย!

การเรียนการสอนที่เน้นให้เด็ก ๆ มีความสุข

ทักษะภาษาอังกฤษ

เด็ก ๆ จะสื่อสาร อ่านและเขียน ในภาษาอื่นเพิ่มเติมได้ดี เมื่อเด็กได้เรียนรู้ภาษาจากการสร้างความสัมพันธ์ในสังคม การมีเพื่อน การได้เรียนกับคุณครู ทำให้เกิดทักษะการกำกับตนเอง ความอยากรู้อยากเห็น กล้าถาม ซึ่งเป็นทักษะที่ถ่ายทอดไปใช้ในทักษะอื่น ๆ ได้ (Transferable Skill) ทำให้เด็ก ๆ ที่ Carroll Prep ใช้ภาษาอังกฤษได้ดีและก็มีความสุขมากในเวลาเดียวกัน

 

Kindergarten : Play Based + Guide Play Based Learning

สำหรับน้องชั้นอนุบาล ใช้รูปแบบการเล่นแบบมีโครงสร้างและเป้าหมาย เน้นเรื่องวินัย ความรับผิดชอบ กิจกรรมออกแบบมาเพื่อให้เล่นได้อย่างมีอิสระ เริ่มต้นของวันด้วยการฟังนิทานร่วมกัน จากนั้นแยกไปทำกิจกรรมกลุ่มย่อย Homeroom Teacher จะดูแลเอาใจใส่เด็ก ๆ ตลอดเวลา คอยสังเกตว่าเด็กพร้อมเรียนรู้หรือไม่ อยู่ในอารมณ์แบบไหน ตามทันหรือเปล่า หรือต้องการความช่วยเหลือหรือไม่ (ทั้ง Subject Teacher และเด็ก ๆ ในกลุ่มย่อย) ในขณะที่ Subject Teacher ( คุณครูรายวิชา ) ก็จะดูแลด้านวิชาการ เนื้อหาที่เด็ก ๆ ต้องเรียนรู้

 

Primary : Project Based Learning

สำหรับพี่ชั้นประถม หลังจากผ่านการปูพื้นความพร้อมทุกด้าน และเริ่มรู้ความชอบของตัวเอง ว่าอยากเรียนหรืออยากทำอะไร คุณครูจะนำเอา requirement จากเด็ก ๆ มาดึงเข้าสู่ Learning Goal ด้วยการจัดกลุ่มเรียนตามความถนัดของเด็ก ๆ ( จะทำให้เด็กๆช่วยกันเรียนตามประสานคนที่ชอบอะไรคล้าย ๆ กัน ) และเข้า Ability Group 3 วันต่อสัปดาห์ ,ทำ Project 2 วันต่อสัปดาห์

พี่ ๆ ชั้นประถมที่โตหน่อย จะได้เลือก Classroom Jobs ในตอนเช้า ใครมาก่อนได้เลือกก่อน ได้แก่ Gardeners นักจัดสวน ,Take care of animal ดูแลสัตว์เลี้ยง , Library helpers บรรณารักษ์น้อย , Lunch helpers ทีมงานอาหารกลางวัน , Cleaners นักทำความสะอาด , Read for friends , Bedding helpers , Classroom helpers ผู้ช่วยของครู พี่ได้ทำหน้าที่ น้องเล็กก็ได้เห็น เรียนรู้ แล้วก็อยากจะทำอย่างพี่ ๆ บ่อยครั้งนะคะที่สิ่งดี ๆ ไม่จำเป็นต้องสอน แต่เด็ก ๆ ถ่ายทอดกันเอง

เด็ก ๆ สามารถช่วยเหลือตนเองได้เป็นอย่างดี

แม้จะเป็นการเล่น ก็เป็นการเล่นที่มีระบบ

เกมส์บูรณาการคณิตศาสตร์

เด็ก ๆ ที่เป็นชาวจีน จะมี Homeroom Teacher เป็นชาวจีนเช่นกันค่ะ

 

 

ประเมินผลรูปแบบเกมส์

นอกจากจะเป็นการบูรณาการทุกอย่างที่ได้เรียนมา ก็ทำให้เห็นพัฒนาการและวิธีคิดของเด็ก ๆ ในการแก้ไขปัญหา

คุณครูก็จะเรียนรู้ไปพร้อม ๆ กับเด็ก ๆ ทั้งวิธีการและพฤติกรรม ซึ่งสามารถนำไปพัฒนาการการสอน การจัดกิจกรรมให้ว้าวขึ้น ตอบโจทย์ผู้เรียนมากขึ้น นำไปใช้จริงให้ดียิ่งขึ้นได้ และ win win ทุกทางค่ะ

 

เด็กๆ กล้าคิด กล้าพูด อย่างมีกาละเทศะ

วิธีการ การกระทำ คำพูดของคุณครูที่ Carroll Prep สำคัญต่อพัฒนาการทุกๆด้านของเด็กมาก เพราะเด็กมองผู้ใหญ่เป็นแบบอย่าง และเลียนแบบด้วยค่ะ! Action expression reaction ของคุณครู ได้รับการระวัง คิด และฝึกฝนมาเป็นอย่างดี เพื่อเป็นต้นแบบที่ดีให้เด็ก ๆ ค่ะ

คลาสเรียนกับคุณครูต่างชาติ การสื่อสารและไหวพริบทางด้านภาษาจะเกิดขึ้นเมื่อได้เด็กๆได้อยู่รวมกันเป็นสังคม

 

Reflection การรับฟัง สำคัญในทุกช่วงวัย

เสียงสะท้อน หรือ feedback สำคัญในการแก้ไข หรือ พัฒนา

แล้วยังเป็นการสร้างตัวตนให้เด็กๆรู้สึกว่า ต่างก็เป็นคนสำคัญ เสียงที่ถูกฟัง ในทางกลับกันเด็กๆก็ได้หัดฟังเสียงของคนอื่นด้วยเช่นกัน สิ่งนี้สร้าง Empathy หรือการเห็นอกเห็นใจผู้อื่น ..สิ่งที่เกิดขึ้นและทำได้เฉพาะมนุษย์เราเท่านั้น

Mini sky-farm ที่ขนาดไม่ใหญ่แต่เรียนรู้อะไรได้มาก แถมยังมีงานให้เด็ก ๆ ทำด้วย

น้ำอัญชัญที่เด็ก ๆ ช่วยกันทำและขายกันเอง (Project Based Learning ร่วมกับ ตลาดบองมาร์เช่)

 

Environment ระบบนิเวศน์รอบตัวเด็กๆ

เด็กจะอบอุ่นและมีความสุขถ้าเห็นคนที่เขารักและแคร์มีความสัมพันธ์ที่ดี การสร้างความสัมพันธ์ระหว่าง ผู้ปกครอง ครู และโรงเรียน จึงเป็นสิ่งสำคัญในการสร้างระบบนิเวศน์รอบตัวเด็ก ๆ ให้แข็งแรง

สำหรับผู้ปกครองที่พาลูกมาเรียนใหม่ ทางโรงเรียนจะจัดคลาสเพื่อทำความเข้าใจ ในการพัฒนาการเด็ก การส่งเสริมพัฒนาเด็ก และวิธีการเรียนรู้ของเด็ก เพื่อให้ผู้ปกครองมีความรู้ความเข้าใจความคาดหวังที่เหมาะสม คุณพ่อคุณแม่ สามารถมาใช้พื้นที่ที่ทางโรงเรียนจัดไว้ให้ นั่งรอลูกๆหรือทำงานที่เลาจ์ในโรงเรียนได้ด้วย นอกจากนี้ ทุกเดือนจะมีกิจกรรมให้ผู้ปกครองเข้ามาร่วมตกแต่งโรงเรียน และมีกิจกรรมอาสามากมายทั้งมาสอน และมาแชร์เรื่องราวของตนเองให้เด็ก ๆ ฟัง

สำหรับครู ทางโรงเรียนมีทีมซัพพอร์ตคุณครู คอยช่วยสอน แนะแนวและช่วยเหลือทุกๆด้าน เพื่อให้คุณครูมีทัศนคติที่ดีต่อการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ไม่กลัวผิด มีสุขภาพจิตดี และเป็นตัวอย่างที่ดีให้เด็กนักเรียนได้ด้วย ที่โรงเรียนนี้คุณครูจะประชุมทีมกันทุกวัน โดยมีหัวข้อในการประชุมสลับกันไปในแต่ละวัน ซึ่งหัวข้อเหล่านี้คุณครูจะเรียนรู้และนำมาจากเด็ก ๆ และจากคุณครูด้วยกัน

อาคารเรียนสวยงามเด็กๆก็มีความสุขที่ได้มา

Mommy Love This! ถูกใจแม่

เด็กๆ สามารถมาเรียนแต่ตัว! ไม่ต้องเตรียมข้าวของเครื่องใช้อะไรมา ที่ Carroll Prep เตรียมให้ทุกอย่าง คล่องตัวและสะดวก

พัฒนาการดีแบบก้าวกระโดดจนคุณแม่ต้องปลื้ม นอกจากเด็ก ๆ จะอยากมาเรียนด้วยตัวเองแล้ว Carroll Prep เปิดโอกาสให้เด็ก ๆ จัดการกิจวัตรของตัวเองทุกอย่าง ทาน Snack เอง จัดโต๊ะ+ตักอาหาร+เก็บกวาด+ล้างจานเอง

ไม่มีการบ้านใด ๆ ทั้งนั้น คุณพ่อคุณแม่คุณลูก สามารถใช้เวลาร่วมกันอย่างเต็มที่

พัฒนาการทางอารมณ์เติบโตเข้มแข็ง (สอนวิชาการไม่ยากเท่าสอนเรื่องอารมณ์นะคะ)

ทักษะภาษาอังกฤษของเด็ก ๆ ดีและเด็กก็มีความสุขมาก

Kids rule! ซน ซ่าส์ กล้าแสดงออก ได้เต็มที่ อยากเรียนหรือทำอะไร บอกคุณครูได้เลย

ที่ Carroll Prep สอนให้นักเรียนลอง ล้มเหลว และก้าวผ่านความล้มเหลวเหล่านั้น ซึ่งนั่นจะช่วยสร้างความมั่นใจ ความกล้าที่จะทำสิ่งต่างๆ ให้ให้ความสำคัญกับสิ่งที่สามารถใช้ในการแก้ปัญหาได้จริง

ผู้ปกครองสามารถมานั่งทำงานคอยเด็กๆบริเวณด้านบนและเลาจ์ชั้นล่าง

คุณจอร์จ แคร์โรลล์ และ คุณแพท พนิดา แคร์โรลล์ ผู้ก่อตั้งโรงเรียน

 

ค่าเล่าเรียน (บาท/ปี) โดยประมาณ

Kindergarten 0 (Nursery) : 220,000 – 235,000 บาท

Kindergarten 1-3 : 220,000 -235,000 บาท

Prathom 1-3 : 235,000 – 252,000 บาท

Prathom 4-6 : 257,000 – 275,000 บาท

รายละเอียดเพิ่มเติมสามารถสอบถามโรงเรียนได้โดยตรง

 

CARROLL PREPARATORY PRIMARY & PRESCHOOL

105/1 Bon Marche Building G

Ladyao Chatuchak, Bangkok 10900

Tel. 02-954-2168

Line OA: @carrollprep

Email: [email protected]

 

Editor : แม่พลอยผิง

ภาพ : ฤทธิรงค์ จันทองสุข , ภูเบศ บุญเขียว

ให้อากาศในบ้านสะอาด เป็นพื้นที่ปลอดภัย เริ่มได้ตั้งแต่การเลือก สีทาบ้านภายใน

บ้าน คือสถานที่พักผ่อนกายใจใช่มั้ยคะ? สิ่งที่คุณพ่อคุณแม่แบบเราๆ ที่มีลูก ต้องคำนึงถึงเป็นอันดับต้นๆ คือความปลอดภัยสำหรับทุกชีวิตในบ้าน เพราะอากาศภายนอกที่พบเจอนั้นไม่ปลอดภัย ไม่ว่าจะฝุ่น PM 2.5 ไหนจะไวรัสหลากหลายสายพันธุ์ที่เกิดขึ้นไม่เว้นแต่ละวัน แต่เราจะแน่ใจได้อย่างไรว่า อากาศในบ้านของเราสะอาดเพียงพอ ไม่มีสารเคมีอันตรายเจือปนอยู่ในอากาศที่เราสูดเข้าไป?

อากาศสะอาด ในบ้าน เพื่อสุขภาพของทุกคนในครอบครัว

อากาศเป็นหนึ่งในปัจจัยที่สำคัญต่อการดำรงของทุกชีวิต เนื่องจากปัญหาฝุ่นควันมลพิษภายนอกยังคงเป็นที่น่ากังวล จะออกจากบ้านเราต้องคอยเช็กค่าฝุ่น ใส่หน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันตัวเองในเบื้องต้น ในบ้านก็เช่นกัน เพราะที่อยู่อาศัยควรเป็นพื้นที่ปลอดภัยที่ควรจะมีอากาศสะอาด ให้ทุกคนในครอบครัวได้หายใจอย่างปลอดภัยในบ้านของตัวเอง ลดความเสี่ยงจากผลกระทบของมลภาวะทางอากาศ ที่มีต่อสุขภาพโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผลกระทบที่เกี่ยวกับทางเดินหายใจ

สารฟอร์มัลดีไฮด์ ภัยเงียบใกล้ตัวที่มองไม่เห็น

อากาศไม่สะอาด อันตรายของสิ่งที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า นอกจากจะเป็นฝุ่น และแบคทีเรีย ส่วนหนึ่งมาจากสารฟอร์มาลดีไฮด์ ซึ่งเป็นสารที่ไม่มีสี ติดไฟได้รวดเร็วในอุณหภูมิห้อง มีกลิ่นแรง ส่วนใหญ่มักจะอยู่ในผลิตภัณฑ์สำหรับก่อสร้างอาคารบ้านเรือน ไม่ว่าจะเป็น ไม้อัด ไม้เนื้อแข็งที่ใช้ทำเฟอร์นิเจอร์ พื้นไม้ลามิเนต สารเคลือบวัสดุต่างๆ วอลเปเปอร์ติดผนังที่มักนิยมใช้กัน รวมถึงสีทาบ้านที่ไม่ได้มาตรฐาน โดยจะได้รับเข้าสู่ร่างกายด้วยการสูดดมเข้าไป ทำให้เกิดการระคายเคืองตาแสบคอ และจมูก บางรายอาจเป็นผื่นอันเนื่องมาจากการแพ้ นอกจากนี้หากใช้ชีวิตอยู่กับฟอร์มัลดิไฮด์ไปนานๆ ยังมีความเสี่ยงที่จะเกิดมะเร็งอีกด้วย

สูดหายใจได้หายห่วง เพราะอากาศสะอาดในบ้าน

อย่างที่กล่าวถึงไปในข้างต้นว่านอกจากจะต้องจัดการดูแลความสะอาดในบ้าน กับจุดที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่าแล้ว ความสะอาดของอากาศที่เราสูดเข้าไปในแต่ละวันก็จำเป็นไม่แพ้กัน เพราะทุกชีวิตไม่ว่าจะเป็นลูกน้อย คุณตาคุณยายที่มาเยี่ยม หรืออาศัยในชายคาเดียวกัน แม้แต่สัตว์เลี้ยง ที่เค้ามีประสาทรับกลิ่นที่ละเอียดกว่ามนุษย์เราหลายสิบเท่า ซึ่งก็ต้องการอากาศสะอาด เพื่อการหายใจที่ปลอดภัย และจำเป็นต่อการดำรงชีวิตเหมือนกัน ดังนั้นเรามาดูกันค่ะว่า อะไรบ้างที่จะมาเป็นตัวช่วยให้อากาศในบ้านสะอาด

  • เครื่องฟอกอากาศ: ปัจจุบันเครื่องฟอกอากาศถือเป็นสิ่งจำเป็นอันดับแรกๆ สำหรับบ้านที่มีลูกเล็ก เพื่อความปลอดภัยในการหายใจของลูกน้อย ห่างไกลจากฝุ่น และลดการเกิดภูมิแพ้ที่ทำให้ไม่สบาย
  • การล้างแอร์อย่างน้อยทุก 6 เดือน : เครื่องใช้ไฟฟ้าติดบ้านสำหรับเมืองร้อนอย่างบ้านเรา ควรล้างอย่างน้อยทุก 6 เดือน เพื่อป้องกันการเกาะตัวของฝุ่น และเชื้อโรคในอากาศที่ปล่อยออกมา ทำให้เราสูดเข้าไปโดยไม่รู้ตัว นอกจากนี้ยังช่วยลดกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์อีกด้วย
  • ปลูกต้นไม้ฟอกอากาศ: ให้ความสดชื่นด้วยสิ่งที่ธรรมชาติสร้าง ต้นไม้สวยๆ เช่น ต้นมอนสเตอร่า, ไทรใบสัก, ยางอินเดีย ฯลฯ สามารถช่วยลดฝุ่นฟุ้งกระจายภายในบ้าน แถมยังได้ตกแต่งบ้านให้ดูดีได้ไปในตัว
  • เลือกใช้สีทาบ้านภายใน : นวัตกรรมที่ช่วยให้ภายในบ้านเป็นพื้นที่ที่หายใจได้อย่างปลอดภัย เริ่มได้จากการเลือกสีที่มีคุณสมบัติช่วยฟอกอากาศ กำจัดสารฟอร์มัลดีไฮด์ ลดความเสี่ยงของการเป็นโรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจ หรือภูมิแพ้ได้

เลือกสีทาบ้านฟอกอากาศได้ จุดเริ่มต้นดีๆ เพื่ออากาศสะอาดในบ้าน

เมื่อคุณพ่อคุณแม่คิดจะปรับปรุงที่อยู่อาศัย เข้าไปอยู่บ้านใหม่ หรือคิดจะทำห้องให้เจ้าตัวเล็ก หนึ่งสิ่งที่ควรคำนึงถึงคือสีทาบ้านที่มีมาตรฐาน และปลอดภัยกับทุกชีวิตในบ้าน #ทีมแม่ABK ขอแนะนำ

สีเบเยอร์ชิลด์ แอร์เฟรช โกลด์ ไอออน ด้วยคุณสมบัติเด่นที่ได้รับการยอมรับและมีใบรับรองด้านความปลอดภัยจากสถาบันระดับโลกมากมาย แบบนี้แหละที่ #ทีมแม่ABK ถูกใจ!

  • สามารถช่วยฟอกอากาศให้บริสุทธิ์ สลายมลพิษ และสารระเหยที่เป็นอันตรายในอากาศด้วยแสง (Photocatalyst)
  • ช่วยลดความเสี่ยงจากสิ่งเร้าของการเกิดภูมิแพ้ และโรคทางเดินหายใจ เพื่อสุขภาพของลูกน้อยและทุกคนในบ้าน
  • ลดสารฟอร์มัลดีไฮด์ในอากศ ช่วยเพิ่มคุณภาพอากาศภายในบ้าน (Indoor Air Quality)
  • มีกลิ่นอ่อน ไม่ฉุน (Low Vocs) เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ทาเสร็จเข้าอยู่ได้ภายใน 5 นาที หลังสีแห้ง
  • เช็ด ล้าง ทำความสะอาดง่าย คุณแม่ก็หายห่วง ปล่อยให้ลูกๆ ได้ใช้จินตนาการขีดเขียนเต็มที่ ทนการขัดถูได้มากกว่า 400,000 ครั้ง
  • สามารถยับยั้งเชื้อไวรัสโควิด-19 ไข้หวัดใหญ่ มือเท้าปาก RSV แบคทีเรีย และ เชื้อรา บนผนังได้ ด้วยนวัตกรรม โกลด์ ไอออน เพียงหนึ่งเดียวจากเบเยอร์

 

เห็นมั้ยคะว่า เราเองก็สามารถปกป้องคนที่เรารัก ลูกน้อย คุณตาคุณยาย และสัตว์เลี้ยงจากมลภาวะใกล้ตัว ให้ได้สูดอากาศสะอาดในบ้าน เริ่มได้ตั้งแต่ขั้นตอนปรับปรุงบ้านก่อนเข้าอยู่ ด้วยการเลือกสีทาบ้านที่มีมาตรฐาน ช่วยฟอกอากาศให้บริสุทธิ์ อย่าง สีเบเยอร์ชิลด์ แอร์เฟรช โกลด์ ไอออน นั่นเองค่ะ

 

หากสนใจสามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่

https://www.beger.co.th/gold-ion/

Tags

Aromdee Art Studio

Aromdee Art Studio สตูดิโอสอนปั้นเซรามิกใจกลางกรุง สำหรับเด็กและผู้ใหญ่ที่มีใจรักศิลปะ

School Visit วันนี้เราจะชวนเด็กๆมาผ่อนคลายและปลดปล่อยจินตนาการกันเต็มที่กับคลาสเรียนปั้นเซรามิก ที่ Aromdee Art Studio โรงเรียนสอนปั้นอารมณ์ดี ย่านสุขุมวิท ใกล้รถไฟฟ้า ที่จะมาเปิดประสบการณ์ใหม่ๆและสร้างจินตนาการให้กับเด็กๆ

Aromdee Art Studio คือพื้นที่ที่เปิดโอกาสให้ผู้มีใจรักงานศิลปะมาร่วมกันเรียนรู้เกี่ยวกับการปั้น การทำเซรามิก การทำเครื่องประดับหรือศิลปะในแบบต่างๆ สอนตั้งแต่ระดับพื้นฐานสำหรับคนที่ไม่มีประสบการณ์ ไปจนถึงระดับมืออาชีพ เปิดสอนตั้งแต่เด็กเล็กอายุ 4 ปี จนถึงผู้ใหญ่ ก่อตั้งโดยคุณวชิรพล กุลโชครังสรรค์ (เอิร์ธ) และคุณมยุรี ปานดี (เนย) แต่ละคลาสเรียนสอนโดยทีมคุณครูที่มีประสบการณ์ด้านการทำเซรามิกและเครื่องประดับโดยเฉพาะการันตีด้วยผลงานและ Workshop มากมายตลอด 10 ปีที่ผ่านมา

Aromdee Art Studio Aromdee Art Studio Aromdee Art Studio Aromdee Art Studio

บรรยากาศสตูดิโอ ที่ดูอบอุ่นสบายตา มีชิ้นงานเซรามิกตกแต่งมากมายเพื่อสร้างแรงบันดาลใจ

Aromdee Art Studio

สอนเด็กๆให้รูจักเซรามิกแต่ละประเภท

Aromdee Art Studio

เรียนรู้ดินแต่ละชนิด

 Aromdee Art Studio Aromdee Art Studio

ยิ่งเลอะยิ่งเพิ่มประสบการณ์

 

Fun & Play

เด็กๆจะได้เรียนรู้ตั้งแต่การนวดดิน หัดใช้เครื่องมือปั้น การขึ้นรูปด้วยมือ สำหรับเด็กโตจะได้เรียนการขึ้นรูปแบบแป้นหมุน ฝึกความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการ และได้ใช้พลังงานเต็มที่แน่นอน แถมเด็กๆยังได้ฝึกความอดทนเพื่อรอให้ชิ้นงานแห้งอย่างใจเย็นที่อุณหภูมิห้องปกติ หลังจากนั้นจะนำงานไปเผาดิบ ต่อด้วยนำชิ้นงานมาเคลือบเผาเคลือบด้วยอุณหภูมิสูง ซึ่งก็เป็นอีกขั้นตอนที่สำคัญ เพราะเด็กๆจะได้เห็นความแตกต่างของชิ้นงานในแต่ละครั้งที่ต่างออกไป  นอกจากนี้เด็กๆจะได้เรียนรู้เรื่องดินแต่ละแบบแต่ละชนิด ทดลองจับ สัมผัส เพื่อฝึกการสังเกต หัดสงสัยตั้งคำถามและหาคำตอบ

ที่นี่จะไม่ทำชิ้นงานให้เด็กแต่เน้นให้เด็กลงมือทำด้วยตนเอง เป็นไปตามฝีมือของเด็กจริงๆ ทุกคนจะได้เรียนรู้หลายๆอย่างระหว่างการทำงาน โดยมีคุณครูและทีมงานคอยช่วยเหลือ จากดินธรรมดาที่ไม่ได้มีความพิเศษอะไร อาจกลายมาเป็นสิ่งของที่แสนพิเศษ สร้างความภาคภูมิใจและสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับตัวเด็กเอง  สำหรับคุณพ่อคุณแม่คนไหนที่สนใจเรียนพร้อมกับลูก ที่โรงเรียนก็มีคลาสสอนสำหรับผู้ใหญ่อีกด้วย หรือใครอยากจะจัดปาร์ตี้วันเกิด หรือจัดคลาสแบบไพรเวท ก็ทำได้เช่นกัน ตอนนี้โรงเรียนมี 2 สาขา คือสาขาสุขุมวิท64 และ สาขาสามย่านมิตรทาวน์ ใครสะดวกสาขาไหนก็แวะไปเรียนกันได้เลย

บรรยากาศคลาสไพรเวทจากโรงเรียนทอสี เด็กสนุก ได้ความรู้และยังได้ชิ้นงานกลับบ้านอีกด้วย

 

Aromdee Art Studioคุณวชิรพล กุลโชครังสรรค์ (เอิร์ธ) และคุณมยุรี ปานดี (เนย) ผู้ก่อตั้ง Aromdee Art Studio

 

รายละเอียด ค่าเรียน

คอร์สสำหรับเด็กและผู้ใหญ่

  • แบบเรียน 1 ครั้ง (เหมาะสำหรับเด็กอายุ 4 – 8 ปี )

จะให้ปั้นจาน แล้วระบายสี  (เหมาะกับการทดลองทำและสนุกแบบสร้างสรรค์)

ราคา : 990 บาท

ตารางเรียน : เรียน 1.5 ชั่วโมง สามารถเลือกเวลาเรียนได้ 10.30 /13.30 /16.00 น.

  • ปั้น 1 ชิ้น (One piece pottery workshop) ( เหมาะสำหรับทุกคน ตั้งแต่ 5 ขวบขึ้นไป)

ปั้นฟรีสไตล์ 1 ชิ้น ขนาดไม่เกิน 15 ซม. พร้อมลงสีด้วยเทคนิค  Engobe

ราคา :1,500  บาท

ตารางเรียน : 2.5 ชม.  เลือกเวลาได้ 10.00-16.00 น.

  • ปั้น 1 วัน (One day pottery workshop) (เหมาะสำหรับทุกคน ตั้งแต่ 8 ขวบขึ้นไป)

ปั้นอะไรก็ได้ ฟรีสไตล์ ไม่จำกัดจำนวนชิ้นงาน

ราคา : 2,500 บาท

ตารางเรียน :13.30-17.30 น.

  • แป้นหมุน 1 วัน (Wheelthrowing exploration) ( เหมาะสำหรับอายุ 13 ปีขึ้นไป )

รู้จักการขึ้นชิ้นงานรูปทรงสมมาตร โดยใช้แป้นหมุน ไม่จำกัดปริมาณดิน

ราคา : 2,500 บาท

ตารางเรียน 13.30-17.30 น.

( มีเฉพาะสาขาสุขุมวิท 64 )

  • ระบายสีใต้เคลือบ (Underglaze painting workshop)

เป็นการระบายสีลงบนภาชนะที่ผ่านการอบมาแล้ว 1 ครั้ง

ราคาเริ่มต้นที่ 500 บาท ใช้เวลาเรียน 2 ชม.

  • Clay and Play (4 สัปดาห์) ( เหมาะสำหรับเด็กอายุ 4 – 8 ปี )

แบบ 4 ครั้ง จะเป็นหลักสูตรการเรียนปั้นสำหรับเด็ก  (เ หมาะกับการเสริมทักษะ เรียนรู้สิ่งใหม่ อย่างเป็นขั้นเป็นตอน)

ตารางเรียน : เลือกระหว่างวันพุธ – เสาร์ 15.30-17.00. สัปดาห์ละครั้ง / ครั้งละ 1.5 ชั่วโมง / ติดต่อกัน 4 สัปดาห์

ราคา : 3,500 บาท

 

* ราคานี้รวมบริการอบเคลือบชิ้นงานแล้ว (ทางสตูดิโอจะอบเฉพาะชิ้นงานที่สามารถอบได้ โดยใช้เวลาประมาณ 3-4 สัปดาห์ ) สามารถนำชิ้นงานใส่เครื่องล้างจาน, ไมโครเวฟได้ สามารถมารับชิ้นงานที่เสร็จแล้ว ภายใน 2 เดือนหลังจากวันที่ชิ้นงานเสร็จ

 

ที่อยู่

Aromdee Art Studio มี 2 สาขา ใกล้ที่ไหน เรียนที่นั่นเลย

🚘 สุขุมวิท64 : ใกล้ BTS สถานีปุณณวิถี หรือทางลงทางด่วนซอยสุขุมวิท 62
42 ซอย สุขุมวิท 64 แขวงพระโขนงใต้ เขตพระโขนง กรุงเทพมหานคร , Bangkok, Thailand, Bangkok

🚘 สามย่านมิตรทาวน์ : ชั้น 3 โซนมีเดียมแอนด์มอลล์ MRT สถานีสามย่าน

 

ติดต่อจองคอร์สหรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม

Website : www.aromdeeart.com

Fb : Aromdee Art Studio – Clay & Art Community in Bangkok

Ig : instagram.com/aromdeeartstudio

Line : @aromdeeart

Tel : 080-5199566

 

เรื่อง : แม่เลม่อน
ภาพ : ธนายุต วิลาทัน


อ่านต่อบทความโรงเรียนอื่นๆ น่าสนใจ คลิก ⇓

sacit เตรียมแถลงข่าว เปิดตัวงาน sacit Craft Power แนวโน้มหัตถกรรมร่วมสมัย

สถาบันส่งเสริมศิลปหัตถกรรมไทย (องค์การมหาชน) หรือ sacit เตรียมแถลงข่าว เปิดตัวงาน “sacit Craft Power : แนวโน้มหัตถกรรมร่วมสมัย” ในพฤหัสบดีที่ 28 มีนาคม 2567 ณ โรงแรมอีสติน แกรนด์ พญาไท เพื่อรวบรวมทิศทางการพัฒนาสินค้าศิลปหัตถกรรมไทยในทุกสาขา รวมถึงกระตุ้นให้ผู้ผลิตสินค้าศิลปหัตถกรรมไทยนำองค์ความรู้ไปใช้ประโยชน์ในการพัฒนาต่อยอดสินค้าศิลปหัตถกรรมไทยให้เป็นที่ต้องการของตลาดโลกมากยิ่งขึ้น โดยมีผู้เข้าร่วมแถลงข่าว ได้แก่ นางสาวนฤดี ภู่รัตนรักษ์ ผู้อำนวยการสำนักวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ศิลปหัตถกรรม รักษาการแทนผู้อำนวยการสถาบันส่งเสริมศิลปหัตถกรรมไทย (องค์การมหาชน) 2. ศาสตราจารย์วิบูลย์ ลี้สุวรรณสุวรรณ ราชบัณฑิต ประเภทวิชาวิจิตรศิลป์ สาขาวิชาจิตรกรรมราชบัณฑิตยสภา  3. มล.ภาวินี วันติศิริ (ศุขสวัสดิ์)กรรมการผู้จัดการ, บริษัท อโยธยาเทรด(93) จำกัด และ บริษัท สหัสชา (1993) จำกัด มาร่วมพูดคุยถึงทิศทางแนวโน้มหัตถกรรมร่วมสมัยในอนาคตว่าจะไปทางใด ซึ่งจะนำแนวโน้มเทคโนโลยีที่จะเปลี่ยนไปในอนาคตมาวิเคราะห์ถึงให้เห็นถึงพฤติกรรมผู้บริโภค และไลฟ์สไตล์ที่จะเปลี่ยนไป รวมไปถึงข้อจำกัดทางการค้า และสิ่งแวดล้อม มาสังเคราะห์ เพื่อให้มองแนวโน้มหัตถกรรมร่วมสมัยในอนาคตได้อย่างชัดเจนและรอบด้าน

Tags

ประกันสุขภาพเด็ก ที่ไหนดี ครอบคลุม คุ้มค่า เงื่อนไขไม่ยุ่งยาก

ลูกน้อยวัยเด็กภูมิคุ้มกันยังไม่แข็งแรงจึงมีโอกาสป่วยง่าย ป่วยบ่อย โดยเฉพาะโรคตามฤดูกาล ยิ่งเป็นลูกน้อยวัยเข้าโรงเรียนก็มียิ่งโอกาสที่จะติดจากเพื่อนในห้องได้ง่าย ประกันสุขภาพเด็ก จึงเป็นสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ควรทำไว้ให้ลูกน้อยตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายยามลูกป่วยเข้าโรงพยาบาล แต่จะเลือก ประกันสุขภาพเด็ก ที่ไหนดี ตามมาดูกัน

เพราะลูกป่วยเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ บางครั้งพยายามดูแลอย่างเต็มที่แล้วลูกอาจเจ็บป่วยเล็กน้อยได้ ยิ่งเป็นเด็กวัยเรียน จะยิ่งเสี่ยงต่อการป่วยด้วยโรคติดต่อต่างๆ มากขึ้น โดยเฉพาะ 6 โรคเด็กยอดฮิตซึ่งนอกจากจะติดต่อง่ายแล้ว มักมีอาการเยอะ ป่วยหนักจนอาจต้องนอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาล

ค่าใช้จ่าย 6 โรคยอดฮิตของเด็ก

มาดูกันก่อนว่า โรคยอดฮิตของเด็กๆ นั้นหากป่วยต้องนอนโรงพยาบาล ต้องเสียค่าใช้จ่ายเท่าไร

  1. โรคมือเท้าปาก ค่ารักษาเฉลี่ยประมาณ 32,000 บาท*
  2. โรคไข้เลือดออก ค่ารักษาเฉลี่ยประมาณ 53,400 บาท*
  3. โรคอุจจาระร่วงจากไวรัสโรต้า ค่ารักษาเฉลี่ยประมาณ 30,300 บาท*
  4. โรคอีสุกอีใส ค่ารักษาเฉลี่ยประมาณ 20,000 บาท*
  5. โรคไข้หวัดใหญ่ ค่ารักษาเฉลี่ยประมาณ 35,000 – 63,000 บาท*
  6. โรคโรคติดเชื้ออาร์เอสวี RSV ค่ารักษาเฉลี่ยประมาณ 70,000 บาท*

*ค่ารักษาพยาบาลรวมโดยประมาณจากโรงพยาบาลเอกชน ระยะเวลาพักรักษาตัวไม่เกิน 3-7 วัน

ที่มา : กรุงเทพประกันชีวิต

เห็นตัวเลขค่าใช้จ่ายแล้ว คุณพ่อคุณแม่ต่างก็กุมขมับเป็นกังวลว่าจะหา ประกันสุขภาพเด็ก ที่ไหนดี ที่ครอบคลุมค่าใช้จ่ายเหล่านี้ได้อย่างคุ้มค่า ไม่ต้องควักกระเป๋าจ่ายเพิ่ม

 

Amarin Baby & Kids เลือกให้ ประกันสุขภาพเด็ก จากกรุงเทพประกันชีวิต ได้รับรางวัล BEST HEALTH INSURANCE FOR KIDS 2023 สาขา Editor’s Choice จาก Amarin Baby & Kids Awards 2023

กรุงเทพประกันชีวิต นำเสนอประกันสุขภาพเพื่อเด็กๆ โดยเฉพาะ ด้วยประกันสุขภาพ แวลู เฮลธ์ และ แวลู เฮลธ์ (คิดส์) ที่ครอบคลุมค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลจำเป็นแบบเบ็ดเสร็จ ให้ความคุ้มครองอย่างคุ้มค่า เงื่อนไขไม่ยุ่งยาก และราคาเข้าถึงง่าย โดยไม่ต้องคิดเยอะ ขอสรุปจุดเด่นให้คุณแม่กันชัดๆ เข้าใจง่าย ตามนี้เลยค่ะ

  • อายุรับประกันตั้งแต่ 1 เดือน – 10 ปี (คิดส์) และ 11-80 ปี ซึ่งความคุ้มครองสูงสุดถึงอายุ 99 ปีเลยทีเดียว
  • ไม่จำกัดวงเงินต่อปี เลือกได้ทั้งแบบแยกค่าใช้จ่าย และแบบเหมาจ่ายตามจริง
  • ให้วงเงินค่าห้องผู้ป่วยสูงสุดวันละ 5,000 บาท ทั้งนี้ คุณพ่อคุณแม่ควรเช็คเรทค่าห้องผู้ป่วยโรงพยาบาลใกล้บ้านก่อนเลือกแผนประกัน เพื่อให้ครบคลุมค่าใช้จ่ายได้จริง
  • คุ้มครองค่ารักษาพยาบาลฉุกเฉิน ผู้ป่วยนอก กรณีอุบัติเหตุ 24 ชม. ซึ่งช่วงพัฒนาการของเด็กมีความอยากรู้อยากเห็น สนใจสิ่งแวดล้อมตัว แต่ยังระมัดระวังตัวไม่ค่อยเป็น จึงมีความเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุได้

ประกันสุขภาพเด็ก แวลู เฮลธ์ (คิดส์) ความคุ้มครองที่เลือกได้

ประกันเด็กที่มาพร้อมทางเลือกในการวางแผนความคุ้มครองที่ตรงกับความต้องการ โดยคุณพ่อคุณแม่สามารถเลือก 2 แบบ

  1. แบบไม่มีความรับผิดส่วนแรก ให้ความคุ้มครองตั้งแต่บาทแรก เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระค่ารักษาพยาบาล ให้ลูกน้อยได้รับการดูแลที่ดีที่สุดเมื่อเจ็บป่วย
  2. แบบมีความรับผิดส่วนแรก เพื่อจ่ายค่าเบี้ยประกันได้ถูกลง เหมาะสำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่มีสวัสดิการสุขภาพให้ลูกอยู่แล้ว ซื้อประกันสุขภาพให้ลูกเพิ่มได้ โดยใช้เงินไม่มาก ช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย และเมื่อลูกน้อยเติบโตจนอายุครบ 11 ปี จะปรับความคุ้มครองเป็นแบบไม่มีความรับผิดส่วนแรกโดยอัตโนมัติ ไม่ต้องกรอกใบสมัคร หรือตรวจสุขภาพใหม่

ทีมบรรณาธิการ Amarin Baby & Kids เห็นว่าประกันสุขภาพเด็ก จากกรุงเทพประกันชีวิต มีความครอบคลุม ควบคู่กับความยืดหยุ่น ตอบโจทย์ความต้องการของคุณพ่อคุณแม่ได้เป็นอย่างดี จึงคัดเลือกให้ กรุงเทพประกันชีวิต ได้รับรางวัล BEST HEALTH INSURANCE FOR KIDS 2023 สาขา Editor’s Choice จาก Amarin Baby & Kids Awards 2023

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม และแผนความคุ้มครองสำหรับเด็ก ของกรุงเทพประกันชีวิต สามารถติดตามได้ที่ https://bla.bangkoklife.com/ValueHK_ABK

 

โรงเรียนอนุบาลชนานันท์

โรงเรียนอนุบาลชนานันท์ บอกต่อจากรุ่นสู่รุ่น ใช้หลักสูตรแบบบูรณาการ เรียนผ่านเล่น เน้นลงมือจริง

School Visit คราวนี้ เรามีโอกาสได้ไปเยี่ยมชม โรงเรียนอนุบาลชนานันท์ โรงเรียนอนุบาลเก่าแก่ย่านงามวงศ์วาน ที่เปิดมา 47 ปีแล้ว โรงเรียนนี้เป็นหนึ่งในโรงเรียนที่คุณพ่อคุณแม่หลายท่าน เรียกร้องอยากให้ ทีมแม่ ABK มารีวิว เป็นโรงเรียนอนุบาลดี ๆ ที่เราต้องรีบบอกต่อ ด้วยประสบการณ์อันยาวนานจากรุ่น สู่รุ่น ทำให้โรงเรียนอนุบาลชนานันท์แห่งนี้ผลิตนักเรียนที่มีคุณภาพ และเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดีมามากมาย

โรงเรียนอนุบาลชนานันท์ ก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2520 มีขนาดเนื้อที่กว่า 2 ไร่ เปิดสอนตั้งแต่ระดับชั้นเตรียมอนุบาล – อนุบาล 3 เป็นโรงเรียนแรก ๆ ที่นำแนวทางการสอนในรูปแบบบูรณาการ มาปรับใช้ในโรงเรียน ซึ่งถือว่าใหม่มากในยุคนั้น ด้วยประสบการณ์ทางด้านการศึกษาของโรงเรียนที่ยาวนานถึง 47 ปี ได้บ่มเพาะความเฉพาะตัวในรูปแบบการสอนของตัวเอง ภายใต้บริบทของเด็กไทยที่มีคุณภาพ จากโรงเรียนเล็ก ๆ ที่มีนักเรียนเพียงไม่กี่สิบคน ปัจจุบันโรงเรียนสามารถรับนักเรียนได้ปีละกว่า 400 คนแล้ว

โรงเรียนอนุบาลชนานันท์ โรงเรียนอนุบาลชนานันท์ โรงเรียนอนุบาลชนานันท์

ภาพบรรยากาศโรงเรียน

โรงเรียนอนุบาลชนานันท์ โรงเรียนอนุบาลชนานันท์ โรงเรียนอนุบาลชนานันท์

ห้องเรียนที่ดูสะอาดตา

โรงเรียนอนุบาลชนานันท์ โรงเรียนอนุบาลชนานันท์

ห้องสมุดที่เด็ก ๆ ชื่นชอบ เพราะสามารถยืมหนังสือกลับไปอ่านที่บ้านได้

เรียนรู้ผ่านการเล่น เน้นการลงมือปฏิบัติจริง

หลักสูตรการเรียนการสอนของโรงเรียนอนุบาลชนานันท์เป็นแบบบูรณาการ ใช้ประสาทสัมผัสทั้งห้า เพื่อให้เด็กรับประสบการณ์อย่างหลากหลาย เด็ก ๆ จะได้ลงมือทำด้วยตนเอง เกิดการเรียนรู้และได้รับการพัฒนาครบทุกด้าน ทั้งด้านร่างกาย อารมณ์และจิตใจ สังคม และสติปัญญาไปพร้อม ๆ กัน ที่โรงเรียนอนุบาลชนานันท์จะเน้นการสอนทักษะการใช้ชีวิตให้เด็กเป็นหลัก และทำกิจกรรมส่งเสริมพัฒนาการ ในระดับชั้นอนุบาล 1 จะเน้นทำกิจกรรมศิลปะ เพื่อให้เด็กได้รู้จักคิด รู้จักทำ มีจินตนาการ ความคิดสร้างสรรค์และพัฒนากล้ามเนื้อเล็ก กล้ามเนื้อใหญ่ ระดับชั้นอนุบาล 2 เน้นทำกิจกรรมวิทยาศาสตร์ เพื่อให้เด็กรู้จักกระบวนการคิด การสังเกตและรู้จักตั้งคำถามจากสิ่งต่างๆรอบตัว ระดับชั้นอนุบาล 3 เน้นพัฒนาทักษะทางวิชาการ ในแบบฉบับหนูน้อยชนานันท์ เพื่อเตรียมความพร้อมในการไปศึกษาต่อระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1
สำหรับวิชาภาษาอังกฤษ ทางโรงเรียนก็ให้ความสำคัญ โดยให้คุณครูเจ้าของภาษาโดยตรง จากสถาบันสอนภาษา เข้ามาสอนนักเรียน สัปดาห์ละ 2 คาบ เพื่อให้คุ้นเคยและสื่อสารกับชาวต่างชาติได้ โดยสอนทั้ง Phonic, Conversation เกมส์และเพลงต่าง ๆ ภายในสัปดาห์เดียวกัน นักเรียนได้เรียนเรื่องอะไรเป็นภาษาไทย ในคาบวิชาภาษาอังกฤษก็จะสอนในเรื่องเดียวกัน เพื่อให้เด็กเชื่อมโยงเรื่องราวและคำศัพท์ในชุดเดียวกัน
ทางโรงเรียนมีการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ ผ่านรูปแบบการจัดนิทรรศการ ให้เด็กๆ ได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริง วัสดุ สิ่งของ อุปกรณ์ต่างๆ ของจริงหรือสถานการณ์จำลอง ช่วยให้เด็กได้ดู ฟัง สัมผัส และเกิดความเข้าใจมากขึ้น
นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาเสริมสร้างทักษะการกล้าแสดงออก ในกิจกรรม “หนูน้อยเล่าเรื่อง” เพื่อให้เด็กๆได้ฝึกทักษะด้านการพูด โดยออกมาเล่าเรื่องหน้าชั้นเรียนให้ครูและเพื่อนได้ฟัง และร่วมสนทนาซักถาม-ตอบ ภายในชั้นเรียนอีกด้วย

โรงเรียนอนุบาลชนานันท์ โรงเรียนอนุบาลชนานันท์ โรงเรียนอนุบาลชนานันท์

ทุกคนจะได้ลงมือทำกิจกรรมต่าง ๆ ด้วยตนเอง

โรงเรียนอนุบาลชนานันท์ โรงเรียนอนุบาลชนานันท์

เด็ก ๆ หัดพรีเซนต์หน้าห้อง ด้วยกิจกรรม “หนูน้อยเล่าเรื่อง”

โรงเรียนอนุบาลชนานันท์

เด็กๆได้เรียนภาษาอังกฤษกับเจ้าของภาษาจริงๆ กับสถาบัน Nava School Bangkok

กิจกรรมผู้ปกครองอาสา

ทางโรงเรียนเปิดโอกาสให้ผู้ปกครองนักเรียนปัจจุบัน ผู้ปกครองของศิษย์เก่า และศิษย์เก่า มีส่วนร่วมในการจัดกิจกรรมการสอนในฐานะวิทยากร เพื่อเปิดประสบการณ์ให้เด็กๆได้เรียนรู้จากผู้มีประสบการณ์โดยตรง และทำความรู้จัก ลงมือทำ ช่วยกระตุ้นให้เด็กอยากเรียนรู้มากขึ้น

โรงเรียนอนุบาลชนานันท์ โรงเรียนอนุบาลชนานันท์ โรงเรียนอนุบาลชนานันท์

เด็ก ๆ กำลังเรียนรู้เรื่องวงจรชีวิตของผีเสื้อ ได้เห็นกระบวนการตั้งแต่เริ่มต้นเป็นหนอน ดักแด้ และผีเสื้อในตอนสุดท้าย สอนโดยวิทยากรพิเศษ ซึ่งเป็นคุณแม่ของนักเรียนที่เรียนจบไปแล้ว

Jananan Spirit

เมื่อเรียนครบ 3 ปี เด็กนักเรียนที่โรงเรียนอนุบาลชนานันท์ จะมีคุณลักษณะที่ดี 7 ประการ ตามตัวอักษรของชื่อโรงเรียน Jananan : Joyful เริงร่า , Able สามารถ ,Nice คนดีมีน้ำใจ, Active ว่องไว ,Natural สดใสตามธรรมชาติ, Adjusting ปรับตัวได้ และ Native รักความเป็นไทย ที่โรงเรียนเน้นให้เด็กมีความพร้อม มีความรับผิดชอบ ให้เด็กมีความสุขในการมาโรงเรียนมากที่สุด เพราะเมื่อเด็กมีความสุขที่จะมาโรงเรียน ก็พร้อมจะเปิดรับความรู้ต่าง ๆ ที่คุณครูมอบให้

โรงเรียนอนุบาลชนานันท์

Jananan Spirit

สภาพแวดล้อมของโรงเรียน

โรงเรียนอนุบาลชนานันท์ก่อตั้งมา 47 ปีแล้ว สภาพแวดล้อมและพื้นที่ต่าง ๆ ก็ถูกปรับเปลี่ยนไปตามความเหมาะสม อาคารเรียนแรกที่เป็นบ้านไม้เก่าของคุณตาคุณยาย ก็ถูกปรับให้เป็นที่เก็บอุปกรณ์การสอนต่างๆ สวนและต้นไม้ปัจจุบันก็กลายเป็นแหล่งเรียนรู้ที่ดีสำหรับเด็ก ๆ ถึงแม้พื้นที่จะเล็กแต่การวางผังและการออกแบบก็ตอบโจทย์การใช้งานของโรงเรียนและนักเรียนได้เป็นอย่างดี ห้องเรียน ห้องน้ำ และโรงอาหาร ทุกมุมดูสะอาดตา มีลมพัดผ่าน มีแสงธรรมชาติส่องเข้าถึง สนามเด็กเล่นปูด้วยพื้นยางนุ่มนิ่ม เด็ก ๆ จึงวิ่งเล่นได้อย่างปลอดภัย

โรงเรียนอนุบาลชนานันท์

ห้องน้ำเปิดโล่ง ทำให้คุณครูสามารถเชคความปลอดภัยของเด็ก ๆ ได้ง่าย

Mommy’s Love This ถูกใจแม่!

1. โรงเรียนใส่ใจเรื่องค่าฝุ่น PM 2.5 มาก มีเครื่องตรวจวัดคุณภาพอากาศ ( AQI ) ผู้ปกครองสามารถอัพเดทคุณภาพอากาศผ่านแอปพลิเคชั่น IQAir AirVisual ได้ และหากวันไหนที่มีค่าฝุ่นเป็นสีแดง ทางโรงเรียนจะเปิดสปริงเกอร์ เพื่อบันเทาปัญหาฝุ่นละอองในอากาศ และทุกห้องเรียนจะมีเครื่องฟอกอากาศ

2. ความปลอดภัยมาที่ 1 มีระบบแสกนหน้าเพื่อบันทึกข้อมูลการเข้าออกของนักเรียน เมื่อนักเรียนได้ยินเสียงเรียกชื่อกลับบ้าน นักเรียนจะสแกนใบหน้าออก โดยมีคุณครูรอส่งขึ้นรถและตรวจบัตรรับนักเรียนก่อนส่งขึ้นรถทุกครั้ง

3. ความสะอาดมาที่ 2 ทั้งภายในและภายนอกอาคาร ห้องน้ำและโรงอาหาร สำหรับถาดอาหารจะล้างน้ำยาล้างจานและอบลมร้อนด้วยเครื่องล้างอัตโนมัติอีกครั้ง และทุกๆ วันหลังเลิกเรียน จะมีการพ่นละอองฝอยและอบห้องทิ้งไว้เพื่อฆ่าเชื้อ มีเจ้าหน้าที่ทำความสะอาดส่วนกลางทั้งหมด

4. อาหารกลางวันสด สะอาด และอร่อยมาก เพราะมีแม่ครัวประจำของโรงเรียน แถมเด็ก ๆ สามารถเติมได้ไม่อั้นด้วยการชูสัญลักษณ์นิ้วมือ เพื่อเติมข้าว กับข้าว หรือของหวาน โดยไม่ต้องใช้เสียงเลย วันศุกร์จะมีเมนู Special ทำให้เด็ก ๆ รอคอยวันศุกร์ ว่าจะได้ทานอะไรเป็นพิเศษ

5. โรงเรียนใส่ใจเป็นพิเศษสำหรับนักเรียนที่แพ้อาหาร จะมีผ้าสีแดงกลัดไว้ที่เสื้อและมีข้อมูลการแพ้ของนักเรียนแจ้งให้ครูทุกคนได้ทราบ และจะจัดอาหารแยกใส่ภาชนะไว้ให้

6. ครูที่อนุบาลชนานันท์ไม่มีครูพี่เลี้ยง และเลือกรับหลากหลายสาขาวิชาไม่ได้รับแต่ครูปฐมวัยเพียงอย่างเดียว เพราะกิจกรรมที่จัดให้เด็กหลากหลายจึงจำเป็นต้องมีครูที่จบเฉพาะทางมาช่วยสอน

7. มีสมุดรายงานประจำสัปดาห์ สัปดาห์ที่ผ่านมาเรียนอะไร สัปดาห์หน้าเรียนอะไร ผู้ปกครองจะได้ทราบทั้งหมด ทางโรงเรียนมีแผนการเรียนทั้งปี มีไลน์กลุ่มของแต่ละห้อง และมีเฟสบุค Close Group ให้ผู้ปกครองรับข่าวสารหลาย ๆ ช่องทาง

8. ช่วงเย็นหากคุณพ่อคุณแม่มารับลูก ๆ ช้าก็ไม่ต้องกังวล เพราะมีทีมครูคอยดูแลเด็ก ๆ ให้ แถมมีของว่างและอาหารเย็นไว้ให้เด็ก ๆ ทานฟรีอีกด้วย

9. จำนวนนักเรียนต่อห้องเหมาะสมกับจำนวนคุณครู ไม่มากไม่น้อยจนเกินไป สำหรับเตรียมอนุบาลและอนุบาล 1 นักเรียนไม่เกิน 25 คน ต่อคุณครู 3-4 ท่าน สำหรับอนุบาล 2-3 จำนวนนักเรียนไม่เกิน 32 คนต่อคุณครู 3-4 ท่าน

โรงเรียนอนุบาลชนานันท์

ระบบสแกนหน้า ที่จะช่วยป้อกกันเรื่องความปลอดภัยในการเข้าและออกโรงเรียน

โรงเรียนอนุบาลชนานันท์ โรงเรียนอนุบาลชนานันท์ โรงเรียนอนุบาลชนานันท์

ช่วงเวลารับประทานอาหารกลางวัน เด็ก ๆ สามารถชูสัญลักษณ์นิ้วมือเพื่อเติมอาหารได้ และยังช่วยเหลือตนเองและแบ่งเบาภาระงานของเจ้าหน้าที่ด้วยการแยกจาน ช้อน ส้อม และแก้วน้ำของตนเองเมื่อทานเสร็จแล้ว

โรงเรียนอนุบาลชนานันท์ โรงเรียนอนุบาลชนานันท์

วันไหนค่าฝุ่นเป็นสีแดง ทางโรงเรียนจะเปิดสปริงเกอร์ เพื่อบรรเทาปัญหาฝุ่นละอองในอากาศ และเด็ก ๆ จะได้เล่นและเรียนเฉพาะภายในอาคาร

โรงเรียนอนุบาลชนานันท์

เด็กๆจะรู้ว่าถ้ามีกรวยสีส้มวางอยู่คือห้ามเดินเข้าไป เพื่อความปลอดภัย

ค่าใช้จ่ายต่างๆ (ปี พ.ศ. 2568)

ค่าเครื่องใช้แรกเข้า ( ชำระในวันสมัคร ) 15,000 บาท
ค่าเล่าเรียน 2 เทอม เทอมละ 57,000 บาท
ค่าเล่าเรียนภาค ฤดูร้อน 15,000 บาท

ที่อยู่ โรงเรียนอนุบาลชนานันท์
87/2 ซอยงามวงศ์วาน 52 แยก 1 ถนนงามวงศ์วาน แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900
โทร. 02–579-1850
Website : jananan.ac.th
Facebook : https://www.facebook.com/Jananan87

 

Editor : แม่เลม่อน
ภาพ : ฤทธิรงค์ จันทองสุข


อ่านต่อบทความโรงเรียนอื่นๆ น่าสนใจ คลิก ⇓

กรุงเทพประกันชีวิต แชร์ บันได 4 ขั้นในการวางแผนเพื่อการศึกษาของลูกรัก

การศึกษาของลูกเป็นเป้าหมายสำคัญของครอบครัว พ่อแม่ควรจะวางแผนเตรียมแนวทางและความพร้อมไว้ให้ลูกแต่เนิ่นๆ การวางแผนการศึกษาให้ลูกเปรียบเหมือนบันไดที่จะนำลูกก้าวสู่อนาคตตามเป้าหมายที่ตั้งใจไว้ บันได 4 ขั้นเพื่อการวางแผนการศึกษาของลูกรักทำได้ดังนี้

บันไดขั้นแรก: เป็นบันไดขั้นแรกเป็นขั้นที่สำคัญที่สุด เริ่มจากการเลือกแนวทางการศึกษาสำหรับอนาคตที่เหมาะสำหรับลูก ปัจจุบันการศึกษามีหลากหลายแนวทางให้เลือก ตั้งแต่ โรงเรียนรัฐบาล โรงเรียนเอกชน โรงเรียนสองภาษา โรงเรียนทางเลือก หรือ โรงเรียนนานาชาติ ซึ่งแต่ละแนวทางมีระบบการศึกษาที่แตกต่างกันออกไป แต่ละครอบครัวอาจเลือกแนวทางการศึกษาที่แตกต่างกันตามปัจจัยและองค์ประกอบของครอบครัว นอกจากนี้การวางแผนการศึกษาที่ดีควรวางแผนไปจนถึงการระดับการศึกษาสูงสุด  รวมถึงการเตรียมทักษะเพื่ออนาคตด้านอื่นๆ ทั้งทักษะด้านสารสนเทศและเทคโนโลยี ทักษะชีวิตและอาชีพ เช่น ความเป็นผู้นำ ความใช้ชีวิตในสังคม เป็นต้น

ขั้นที่สอง: ประมาณการค่าใช้จ่ายเพื่อการศึกษา เมื่อพ่อแม่เลือกแนวทางการศึกษาที่เหมาะสำหรับลูกได้แล้ว ลองวางแผนคำนวณค่าใช้จ่ายคร่าวๆ ทั้งค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นแน่นอน เช่น ค่าเล่าเรียน ค่าชุดนักเรียน ค่าหนังสือและอุปกรณ์การเรียน ค่ากิจกรรมและการเรียน จึงควรหาข้อมูลของโรงเรียนที่เปิดการสอนในแนวทางที่เราสนใจเพื่อพิจารณาและนำรายละเอียดมาพิจารณา ค่าใช้จ่ายเพื่อการศึกษายังปรับเพิ่มขึ้นตามช่วงเวลา จึงควรคำนวณอัตราเพิ่มขึ้นของการศึกษาไว้ด้วย อาจใช้ค่าเฉลี่ยการเพิ่มค่าใช้จ่าย 5% เป็นเกณฑ์เบื้องต้น เพื่อให้มั่นใจว่าจะมีเงินทุนเพียงพอสำหรับค่าใช้จ่ายการศึกษา

ขั้นที่สาม: วางแผนการออมเงินระยะยาว ค่าใช้จ่ายที่ต้องใช้ในช่วงแรกของการศึกษา มักเป็นเงินที่มาจากการบริหารรายรับรายจ่ายของครอบครัวเพื่อจัดสรรเงินสำหรับค่าใช้จ่ายของลูก เนื่องจากพ่อแม่มักมีเวลาการเตรียมพร้อมที่ค่อนข้างสั้น  การเก็บออมเงินเพื่อการศึกษาจึงมักเป็นการออมเงินสำหรับค่าใช้จ่ายในระดับการศึกษามัธยมศึกษา หรือระดับปริญญา แต่แม้เราจะมีการเก็บออมอยู่แล้ว  หากไม่ได้แยกเงินออมสำหรับเป้าหมายการศึกษาออกมากให้ชัดเจนก็อาจทำให้แผนการเงินไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ การออมเพื่อการศึกษาเป็นหนึ่งเป้าหมายการเงินที่สำคัญและมีระยะเวลาที่ยาวนานจึงควรกำหนดเป็นเป้าหมายเฉพาะและชัดเจน ที่สำคัญจะต้องมีวินัยในการออมและไม่นำเงินก้อนนี้ไปใช้เพื่อการอื่นไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม

ขั้นที่สี่: ป้องกันความเสี่ยง แม้การออมเงินจะเป็นวิธีที่จะไปถึงเป้าหมายการออม  เราควรป้องกันความเสี่ยงหากเกิดอะไรขึ้นกับเราด้วย เพื่อให้มั่นใจว่าแผนการศึกษาของลูกจะเป็นไปตามเป้าหมาย แม้จะเกิดอะไรขึ้นกับเราก่อนบรรลุเป้าหมายการเงิน

บันได 2 ขั้นแรกเป็นบันไดขั้นที่สำคัญมากในการวางแผนการศึกษา เพราะเป็นการเลือกเส้นทางในการเดินสู่อนาคตให้กับลูกของเรา  ที่สำคัญเราควรสังเกตว่าลูกของเรามีความถนัดหรือมีความเหมาะสมกับแนวทางการศึกษาที่เราเลือกด้วยหรือไม่  เราสามารถหาข้อมูลจากแหล่งต่างๆ รวมถึงการไปเยี่ยมชมโรงเรียนที่เราสนใจ หรือปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษาเพื่อให้ได้ข้อมูลสำหรับใช้วางแผน

สำหรับบันไดขั้นที่ 3 และ 4  เป็นขั้นตอนที่จะทำให้ลูกของเราเดินไปบนเส้นทางที่เลือกและบรรลุเป้าหมายที่ตั้งใจอย่างแน่นอน การวางแผนการเงินเป็นหัวใจสำคัญสำหรับบันไดสองขั้นนี้ เนื่องจากเป้าหมายการศึกษาเป็นเป้าหมายที่มีความสำคัญสำหรับครอบครัว การเลือกผลิตภัณฑ์การเงินสำหรับเป้าหมายที่สำคัญมักเน้นสัดส่วนของการออมไปทางผลิตภัณฑ์การเงินที่มีความเสี่ยงไม่สูงนักและได้รับผลตอบแทนที่เพียงพอ เพื่อป้องกันไม่ให้เงินที่ออมได้รับความเสี่ยงจากการลงทุนที่ไม่เป็นไปตามแผนจนส่งผลกระทบต่อเป้าหมายที่ตั้ง วินัยในการออมเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้เราออมไปตลอดระยะเวลาของแผนการเงินที่วางไว้เช่นเดียวกัน

ประกันชีวิตเป็นผลิตภัณฑ์การเงินที่สามารถป้องกันเงินออม ช่วยสร้างวินัยทางการเงินจากเบี้ยประกันที่ต้องชำระอย่างต่อเนื่อง และประกันชีวิตเป็นผลิตภัณฑ์ที่ป้องกันความเสี่ยงระยะยาว แผนทางเลือกต่างๆ ที่มีทำให้เราสามารถเลือกระยะเวลาการออม ระยะเวลาความคุ้มครอง ให้เหมาะสมกับเป้าหมายการเงินและความพร้อมในการออมของเรา  ยังสามารถใช้ประโยชน์ด้านสิทธิลดหย่อนภาษีได้อีกด้วย การเลือกประกันชีวิตเป็นส่วนหนึ่งในการออมเพื่อการศึกษาระยะยาวจึงช่วยสร้างความมั่นใจว่าแผนการเงินของเราสามารถไปถึงเป้าหมายได้อย่างมั่นคง

กรุงเทพสมาร์ทคิดส์ จาก กรุงเทพประกันชีวิต เป็นแบบประกันสะสมทรัพย์ที่มีระยะเวลาคุ้มครอง 15 ปี 18 ปี และ 21 ปี มีระยะเวลาการออมที่ยาวถึง 15 ปี จึงช่วยให้เรามีวินัยการออมไปตลอดระยะเวลา และยังมีความคุ้มครองหากเสียชีวิตหรือสูญเสียอวัยวะและสายตาเนื่องจากอุบัติเหตุ รวมถึงค่ารักษาพยาบาลเนื่องจากอุบัติเหตุ จึงเป็นทางเลือกสำหรับการวางแผนการศึกษาของลูก ผู้ที่สนใจสามารถสมัครทำประกันได้ผ่านตัวแทนประกันชีวิตและที่ปรึกษาการเงิน กรุงเทพประกันชีวิต และดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์กรุงเทพประกันชีวิต www.bangkoklife.com หรือติดต่อ Call Center โทร. 02-777-8888

Tags

โรงเรียนสาธิตสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์

โรงเรียนสาธิตสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ รร. สไตล์ฟินแลนด์ โดดเด่น 3 ภาษา เน้นการค้นหาความชอบ

School Visit ครั้งนี้ ทีมแม่ ABK ขอพาทุกคนมาเยี่ยมชม โรงเรียนมัธยมที่เตรียม “โอกาสในการเรียนรู้” ให้เด็ก ๆ ไว้อย่างมากมาย ที่สุดท้ายเด็กทุกคน “จะค้นพบตัวเอง” และ “เป็นเลิศ” ในด้านที่ถนัด ผสานซึ่งศาสตร์ ศิลป์ เทคโนโลยี และความเป็นมนุษย์ ที่กลมกล่อมลงตัว  ที่นี่คือ โรงเรียนสาธิตสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์  (Panyapiwat Institute of Management Demonstration School ) หรือ SATIT PIM (สาธิต พีไอเอ็ม)

โรงเรียนสาธิตสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ โรงเรียนสาธิตสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ โรงเรียนสาธิตสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ โรงเรียนสาธิตสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ โรงเรียนสาธิตสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์

บรรยากาศภายในโรงเรียน…วัสดุที่ใช้ อากาศหมุนเวียน แสงส่องถึง ความปลอดภัย ใส่ใจทุกรายละเอียด อาคารหลังนี้ได้รับมาตรฐาน “อาคารสีเขียว”

 

โรงเรียนสาธิตสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์
Learn : แตกต่างอย่างโดดเด่น

SATIT PIM จับมือกับสถานทูตฟินแลนด์และ University of Jyväskylä (มหาวิทยาลัยฝึกหัดครูชั้นนำของโลก) ตั้งแต่ พ.ศ. 2559 จุดมุ่งหมายคือ Happiness School + Active Learning เพื่อเติบโตไปเป็นพลเมืองที่ดีของโลก ร่วมมือตั้งแต่

  • จัดฝึกอบรมผู้บริหาร
  • ฝึกทักษะการสอน ครู บุคลากร “Expert” ทั้งด้านวิชาการ และวิชาชีพ
  • ออกแบบชั้นเรียนที่เด็กทุกคนมีส่วนร่วม เป็นชั้นเรียนแห่งความเสมอภาค ที่เน้นการปฏิบัติ หรือ เรียนรู้ผ่านประสบการณ์ตรง บูรณาการวิชาการกับกิจกรรมอย่างสร้างสรรค์
  • สนับสนุน “การลอง – เพื่อให้รู้” เพื่อค้นหาความชอบ ความถนัด
  • เพราะจุดมุ่งหมายคือ การเรียน(รู้) อย่างมีความสุข

ถ้าจะต้องเรียนในสิ่งที่ไม่ชอบแล้ว เด็ก ๆ จะสามารถมีความสุขได้ไหม? บางคนอาจจะไม่ชอบหรือมีทัศนคติที่ไม่ดีกับ “ชื่อวิชา” แต่ลึกลงไปกว่านั้นคือ โรงเรียนจะจัดการให้กิจกรรมสนุก น่าสนใจ ให้เด็ก ๆ ทุกคน engage และ enjoy กับกิจกรรม เป็นสิ่งที่ท้าทายกับคุณครูมากครับ เพราะเราต้องทำให้เด็ก ๆ ทุกคน (ที่ชอบและไม่) engage กิจกรรมของเราให้ได้ และในทุกวิชาของเราจัดการเรียนรู้รูปแบบ Active Learning  เด็ก ๆ มักจะได้ทัศนคติใหม่ต่อวิชาที่ไม่ชอบ  ในแต่ละวิชามีเรื่องแยกย่อยลงไปอีก เค้าอาจจะชอบเรื่องย่อยๆในวิชานั้นก็ได้ ขอแค่ให้ได้ลองก่อน แต่ถ้าไม่ชอบจริง ๆ ลองยังไงก็ไม่ชอบ ต่อให้กิจกรรมสนุกแค่ไหน ตรงนี้ก็ถือว่าประสบความสำเร็จ เพราะเด็ก ๆ ก็จะรู้ความชอบของตัวเองในทันที ส่งผลที่ดีในการเลือกแผนการเรียนตอน ม.ปลาย เช่นกัน

เด็กบางคน ที่คิดว่าตัวเองชอบ ก็อาจจะพบว่าไม่ใช่ เช่น บางคนอยากเป็นแพทย์ แต่เมื่อได้มาเข้า Lab ชีววิทยาแล้ว ไม่ชอบการผ่าปลา การผ่ากบ ดังนั้นกิจกรรมเท่านั้นที่จะทำให้เด็ก ๆ รู้จักตัวเองอย่างแท้จริง

โรงเรียนสาธิตสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์

Sketchภาพต่าง ๆ จาก Reference

โรงเรียนสาธิตสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์

วันนี้เด็ก ๆ ได้เรียนภาษาจีนด้วยเกมส์

โรงเรียนสาธิตสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์

เล่นเกมส์ต่างๆ

โรงเรียนสาธิตสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ โรงเรียนสาธิตสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์

อัดลมเพื่อดูการพองตัวของปอด เหมือนเวลาหายใจเข้า และทำไมปอดจึงลอยในน้ำได้?

 

หลักสูตรมัธยมศึกษาตอนต้น

วิชาหลักโฟกัสที่

Mathematics 3 คลาส กับ Native Teacher | คณิตศาสตร์ 2 คาบกับครูไทย = 5 คาบต่อสัปดาห์

Science 3 คลาส กับ Native Teacher | วิทยาศาสตร์ 2 คาบกับครูไทย = 5 คาบต่อสัปดาห์

English 4 คลาส กับ Native Teacher | ภาษาอังกฤษ 1 คาบกับครูไทย = 5 คาบต่อสัปดาห์

 

SATIT PIM เน้นภาษามากๆ

เพราะเตรียมพร้อมให้เด็ก ๆ เป็นพลโลก มีความรู้อาจไม่พอ แต่ต้องถ่ายทอดความรู้ออกมาให้ได้ด้วย ภาษาต่างๆจึงต้องไม่เป็นอุปสรรค  ในวิชาหลัก 3 วิชา จะเรียนแบบ 2 ภาษา โดยคลาสของ Native Teacher และครูไทย เนื้อหาการเรียนจะไม่ซ้ำกัน

ส่วน วิชาภาษาจีน (Chinese) เป็นรายวิชาเพิ่มเติม เรียนกับ Native Teacher 3 คาบ และ 2 คาบกับครูไทย (เรียนทุกคน) เท่ากับ 5 คาบต่อสัปดาห์ คลาสของครูต่างชาติ “จะเน้น Concept”  ส่วนคาบของครูไทย ”สอนเพื่อเติมเต็ม เชื่อมโยงและลงลึก”

แผนการเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย : จุดแข็งของ SATIT PIM!

  • วิทยาศาสตร์-คณิตศาสตร์ : วิศวกรรม สถาปัตยกรรม หุ่นยนต์และปัญญาประดิษฐ์
  • วิทยาศาสตร์-คณิตศาสตร์ : วิทยาศาสตร์สุขภาพ
  • ศิลป์ภาษา : ภาษาอังกฤษ-ดิจิทัลมีเดีย
  • ศิลป์ภาษา : ภาษาจีน-ดิจิทัลมีเดีย
  • ศิลป์ภาษา : การจัดการธุรกิจดิจิทัลมีเดีย
  • ศิลป์คำนวณ : คณิตศาสตร์-ภาษาอังกฤษ

 

เมื่อกิจกรรมมานำตั้งแต่ชั้น ม.ต้น ทุกอย่างที่เด็ก ๆ ทำจะถูกจัดเก็บเป็นข้อมูล ความสนใจ การทำกิจกรรม การเรียนในชั้น คุณครูช่วยแนะแนวหรือการเข้าร่วมการฟัง Guest Speaker จากสาขาวิชาชีพต่างๆ ฯลฯ จนสามารถนำมาประมวลแนวโน้มแผนการเรียนที่ตอบโจทย์เด็กๆ  สรุปง่าย ๆ คือ ก่อนที่เด็กจะเลือกแผนการเรียนในชั้น มัธยมปลาย เด็ก ๆ ก็ชัดเจนกันมาก่อนแล้วนั่นเอง

โรงเรียนสาธิตสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์

เด็กๆ เรียนเทคนิคการวางหมากล้อม

โรงเรียนสาธิตสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์

Science กับ teacher

โรงเรียนสาธิตสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์

กลุ่มย่อย

โรงเรียนสาธิตสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์

ชั่วโมงศิลปะ ม.5 ในสตูดิโอ

 

Life : กิจกรรมจบแต่การเรียนรู้ไม่จบ

ในคาบเรียนเด็กๆจะทำงานกันเป็นกลุ่ม แบ่งเป็น 3-4 คน ทำกิจกรรมและมี 1 คนบันทึกภาพหรือถ่ายวิดีโอบันทึกเท่ากับฝึกการทำงานเป็นทีม ระหว่างนี้กิจกรรมไม่ได้แค่ดำเนินไป ตัวแปร-ปัจจัย ต่าง ๆ ทำให้มีปัญหา หรือ คำถามเกิดขึ้นมา และเด็ก ๆ แต่ละคนก็คิดไม่เหมือนกันซะด้วย โอกาสนี้เองที่ทุก ๆ คนในห้องจะได้เรียนรู้หลากมุม เพราะคนเรามีพื้นฐานแตกต่างกัน  ดังนั้นความคิดเห็นก็จะไม่เหมือนกันด้วยค่ะ  ระหว่างทางเด็ก ๆ ได้ ฝึกการคิด -วิเคราะห์  ตั้งคำถาม  ฝึกการฟัง-คิดเหมือนหรือต่าง   ฝึกความอดทน   ฝึกการยอมรับความคิดเห็นของผู้อื่น ต้องร่วมกันสรุป ส่งงานในรูปแบบที่ถนัด  เพื่อสะท้อนคิดจากกิจกรรม

โรงเรียนสาธิตสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์

มุมต่างๆ ในโรงเรียน

ค้นหาตัวเองเป็นส่วนสำคัญของกิจกรรมของ SATIT PIM

ที่โรงเรียนสาธิตสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ คุณครูจะทำงานแบบเชิงรุก และโฟกัสเด็กเป็นรายบุคคล

นักเรียนจะได้เข้าชุมนุม สัปดาห์ละ 1 คาบ ตามสิ่งที่สนใจ มีการวัดผลแบบ ผ่านและไม่ผ่าน และมีเข้าชมรมหลังเลิกเรียน  นอกจากนี้ทางโรงเรียนยังมีโครงการ Find My Career   ทางโรงเรียนเชิญ Guest Speaker ที่เป็น Expert ในแต่ละสายอาชีพราวปีละ 30-40 ท่าน มาแชร์ประสบการณ์ ตอบคำถามและสร้างแรงบันดาลใจให้เด็ก ๆ 1 ปีการศึกษาเด็กๆ ต้องลงทะเบียนเข้าฟังวิทยากรประมาณ 2-3 คน

โรงเรียนสาธิตสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ โรงเรียนสาธิตสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ โรงเรียนสาธิตสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์

  พักอ่านหนังสือตามที่สนใจ

โรงเรียนสาธิตสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ โรงเรียนสาธิตสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์

ลานกีฬา

 

ทัศนศึกษา ม.ต้น

โรงเรียนสาธิตสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ พาเด็กๆไปดูสถานประกอบการในเครือซีพี ออลล์ ปีละ 3 ครั้ง!  เป็นหนึ่งในสถานประกอบการที่มีอาชีพมากมายที่สามารถสร้าง Inspiration ให้เด็ก ๆ สัมผัส ก่อนไปจะมีการพูดคุย ซักถาม ตั้งคำถามกัน เหมือนในชั้นเรียนก่อนทำกิจกรรม

และหลังไปทัศนศึกษาแล้ว เด็ก ๆ ต้องกลับมาสะท้อนคิดกับคุณครู ครูแนะแนว ว่าจากการไปทัศนศึกษาครั้งนี้ ได้เรียนรู้อะไรบ้าง

ทุกกิจกรรมคือ ข้อมูลที่สามารถนำมาประมวลผลแนวโน้มความชอบและความถนัดของเด็ก ๆ ที่เก็บมาตลอด 3 ปี (ม.1-3) แจ้งแก่นักเรียนและผู้ปกครอง แนะนำการเลือกแผนการศึกษาต่อ ม.ปลาย

 

CAMP ตามแผนการเรียนของ ม.ปลาย (วิทย์ศิลป์)

ตัวอย่างการออกค่ายปีที่ผ่านมา

ม.4

  • ชีววิทยา – ไปแสมสาร ทางโรงเรียนทำงานร่วมกับมหาวิทยาลัยบูรพา
  • สายศิลป์ – ไปศึกษาหรืออยู่กับชุมชน ทำงานกับชุมชน ก่อนไป-เด็กๆจะได้คุยกับอาจารย์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เพื่อแนะแนวทางการเก็บข้อมูลต่างๆ ปัญหา? ความต้องการ?
  • กลับจากค่าย ทำชิ้นผลงานรูปแบบไหนก็ได้ คลิปวิดีโอ งานฝีมือ รายงานแบบคลาสสิค เปิดเวทีให้เด็กๆเต็มที่ เก็บเป็น PORTFOLIO ได้ค่ะ

ม.5

  • แผนวิทย์ – ไปทัศนศึกษาที่โรงพยาบาลต่างๆ
  • แผนศิลป์ – ไป OPEN HOUSE ตามมหาวิทยาลัย

เพื่อทำ WORKSHOP กลับมาทำ PROJECT รูปแบบไหนก็ได้ เก็บเป็น PORTFOLIO เช่นกันค่ะ

 

Balance :

หมากล้อม = กีฬา

เด็กๆทุกคนจะได้เรียนหมากล้อม เพราะจัดเป็นกีฬาฝึกสมอง ฝึกการคิดและวางแผนในการครอบครองพื้นที่บนกระดาน ทักษะอื่นๆจะตามมาอีกเพียบเลยค่ะ เช่น การฝึกจิตใจ ทักษะการแก้ปัญหา การตัดสินใจ สมาธิและความอดทน ไปถึงการมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคม

 

ศิลปะ ดนตรี นาฏศิลป์ กีฬา เกมส์และนันทนาการ = ความผ่อนคลาย

ไม่ว่าสายวิทย์หรือศิลป์ ทุกคนมีความบันเทิงในแบบของตัวเอง ช่วงเวลาพักหรือหลังเลิกเรียน เด็กๆใช้ Facility ของโรงเรียนได้เต็มที่ แม้โรงเรียนจะไม่ได้มีขนาดใหญ่โต แต่สิ่งอำนวนความสะดวกที่ทันสมัยคือครบมาก รวมไปถึงพื้นที่ส่วนกลางด้านหลังโรงเรียนที่สามารถใช้ได้ร่วมกับซีพี ออลล์

 

สาย SUPPORT

ผู้เชี่ยวชาญด้านสมองและการเรียนรู้  Counselling Service (ผู้เชี่ยวชาญด้านการแนะแนวการศึกษา) นักจิตวิทยา คอยซัพพอร์ททั้งเด็กๆ ครู และผู้ปกครอง จุดมุ่งหมายไม่ได้เพื่อส่งเด็กๆเข้าไปเรียนสายอาชีพที่ใช่เพียงอย่างเดียว แต่ดูแลสุขภาพกายและใจให้เด็กๆเติบโตได้อย่างดี มีทัศนคติและภูมิกันที่ดีในชีวิตค่ะ

โรงเรียนสาธิตสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ โรงเรียนสาธิตสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ โรงเรียนสาธิตสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์

กีฬา-ศิลปะ ช่วยสร้างสมดุล

โรงเรียนสาธิตสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ โรงเรียนสาธิตสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ โรงเรียนสาธิตสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์

ช่วงเวลา Free Time ของนักเรียน

 

Mommy’s Love This ถูกใจแม่

  1. เด็กๆกล้าพูด กล้าแสดงออก เพราะในกลุ่มย่อย ในชั้นเรียน ในทุกการเรียนการสอน ทุกคนจะถูกกระตุ้นทักษะ Public Speaking อยู่ตลอด
  2. โรงเรียนเป็น Expert ในการช่วยเด็กๆค้นหาตัวเอง ตอบโจทย์การเรียนเพื่อนำไปใช้ในชีวิตจริง แล้วก็ต้องเรียนให้มีความสุขเช่นกัน
  3. คุณครูสุดยอดแห่งคุณภาพ สอนวิชาไหน จบตรง ลงลึกในสายวิชานั้น
  4. โรงเรียน “ให้และใช้” วิทยาการที่ทันสมัย (การันตีโดย APPLE ในฐานะโรงเรียนที่โดดเด่นในเรื่องเทคโนโลยีการเรียนการสอน) แต่ก็ยังส่งเสริม “ทักษะศิลปะ-งานฝีมือ” เพื่อเชื่อมโยงยุคสมัยและความเป็นมนุษย์
  5. ค่าเล่าเรียน “จับต้องได้” หลักสูตร 3 ภาษา แนวคิด-รูปแบบ-การจัดการ from Head to Heart ตอบโจทย์ผู้ปกครอง ตรงใจผู้เรียน
  6. “ความเท่าเทียมกัน” ทั้งด้านการเรียน กิจกรรม โอกาส การดูแลจากโรงเรียน ไม่มีใครได้มากกว่ากัน หรือ ถูกทอดทิ้งอยู่เบื้องหลัง
  7. “กิจกรรมนอกการเรียน โรงเรียนก็ดันไปให้สุดเช่นกัน” ชุมนุม ชมรม หรือแค่เกม กิจกรรม นันทนาการ อะไรก็ตามที่เด็กๆอยากทำ สำคัญหมด

โรงเรียนสาธิตสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์

อาจารย์ประวิทย์ ศรีหนองหว้า Deputy Director

 

ค่าเล่าเรียนต่อปีการศึกษา (บาท)

ม.1-3 ประมาณ 170,000 บาท ต่อ ปี

ม.4-6 ประมาณ 180,000 บาท ต่อ ปี

(ไม่รวมค่าใช้จ่ายอื่นๆ )

 

ที่อยู่

โรงเรียนสาธิตสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์

45/23 ซอยแจ้งวัฒนะ-ปากเกร็ด 28 หมู่ที่ 2 ถนนแจ้งวัฒนะ

ตำบลบางตลาด อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี 11120

โทร 0 2855 1111

www.satitpim.ac.th

Facebook : satit.pim

Line : @satitpim

Youtube : satitpim

 

Editor : แม่พลอยผิง

ภาพ : ฤทธิรงค์ จันทองสุข , ภูเบศ บุญเขียว


อ่านต่อบทความโรงเรียนอื่นๆ น่าสนใจ คลิก ⇓

มีลูกยาก

ชี้เป้า 10 โรงพยาบาล ศูนย์รักษาผู้มีบุตรยาก ทั่วกรุงเทพฯ สำหรับคู่รัก มีลูกยาก

สำหรับคู่รักที่แต่งงานแล้ววางแผนจะมีลูก … แต่ มีลูกยาก ต้องดู!! ทีมแม่ ABK ได้รวบรวม โรงพยาบาล คลินิก ศูนย์รักษาผู้มีบุตรยาก ทั่วกรุงเทพฯ มาให้แล้วตรงนี้! จัดเต็มด้วยผู้เชี่ยวชาญในการดูแลทางการแพทย์สำหรับคุณผู้หญิง พร้อมให้บริการรักษาอาการมีบุตรยากด้วยนวัตกรรมที่ดีที่สุด จะมีที่ไหนบ้าง มาดูกัน

ภาวะมีบุตรยาก มีลูกยาก สามารถเกิดได้จากหลายสาเหตุ และพบได้บ่อยจากอายุที่เพิ่มมากขึ้น รวมถึงปัญหาในร่างกายของฝ่ายหญิง พวกระบบสืบพันธุ์ต่างๆ ประมาณ 40-55% ฝ่ายชายประมาณ 20-30% ทั้งสองฝ่ายร่วมกันประมาณ 20-30% และที่ไม่ทราบสาเหตุอีกประมาณ 10-20% โดยจะเริ่มพบความเสี่ยงของการมีลูกยากเมื่ออายุ 35 ปีขึ้นไป รวมไปถึงพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น ติดแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่ สาเหตุเหล่านี้มีผลทำให้การสร้างตัวอสุจิน้อยลง หรือความเครียดก็ส่งผลให้การทำงานของรังไข่ในผู้หญิงผิดปกติได้ ส่งผลให้มีลูกยาก

นอกจากนั้นในปัจจุบัน ภาวะมีบุตรยากยังเกิดขึ้นกับคู่สมรสที่วางแผนมีบุตรช้า อายุที่มากแล้วก็ส่งผลให้ฝ่ายหญิงมีลูกยากอีกด้วย คู่สมรสที่วางแผนจะมีบุตรในอนาคตควรเข้ารับการฝากไข่ ในขณะที่อายุยังน้อยเพื่อรักษาไข่ที่ยังสมบูรณ์ไว้

ทั้งนี้เพื่อหาสาเหตุของภาวะมีบุตรยาก คู่สมรสที่อยากมีลูกควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินหาสาเหตุและให้การรักษาอย่างถูกต้อง กับทั้งฝ่ายหญิงและฝ่ายชาย

สำหรับการรักษาภาวะผู้มีบุตรยากได้มีการนำเอาเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์เข้ามาช่วยรักษาภาวะมีลูกยากและเพิ่มอัตราการตั้งครรภ์ เช่น การทำเด็กหลอดแก้ว IUI IVF ICSI อีกทั้งการใช้เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ได้มีการพัฒนาเพื่อหาสาเหตุความผิดปกติของพันธุกรรมก่อนการย้ายตัวอ่อนเข้าสู่โพรงมดลูก เช่น การตรวจคัดกรองโครโมโซม NGS PGD PGS เพื่อป้องกันการเกิดความผิดปกติของพันธุกรรม

IVF : IVF (In Vitro Fertilization) คือการนำเอาเซลล์ไข่และอสุจิมาปฏิสนธินอกร่างกาย เพื่อให้ได้เซลล์ตัวอ่อน โดยในปัจจุบันมีการเลี้ยงตัวอ่อนได้ถึงระยะที่ 5 บลาสโตซิส (Blastocyst) จากนั้นจึงย้ายตัวอ่อนกลับเข้าสู่โพรงมดลูก

ICSI : ICSI (Intracytoplasmic Sperm Injection) คือกระบวนการช่วยปฏิสนธิภายนอกร่างกาย โดยใช้เชื้ออสุจิ 1 ตัว ฉีดเข้าไปในเซลล์ไข่ 1 ใบ เพื่อเพิ่มอัตราในการปฏิสนธิและการตั้งครรภ์ นิยมใช้ในกรณีที่ฝ่ายชายมีจำนวนอสุจิน้อย

IUI : IUI (Intrauterine insemination) เป็นการรักษาภาวะมีลูกยาก โดยการฉีดน้ำเชื้ออสุจิเข้าไปในโพรงมดลูก เพื่อเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์ ใช้ในกรณีที่คู่สมรสมีบุตรยากแบบหาสาเหตุไม่ได้ หรือคุณภาพอสุจิอยู่ในเกณฑ์ปกติหรือมีความผิดปกติเล็กน้อย

NGS : NGS (Next Generation Sequencing) การตรวจคัดกรองวิเคราะห์ความผิดปกติของโครโมโซมตัวอ่อน เพื่อลดปัญหาตัวอ่อนไม่ฝังตัว และเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์

PGD : PGD (Preimplantation Genetic Diagnosis) คือการตรวจวินิจฉัยโรคทางพันธุกรรมในตัวอ่อน สำหรับคู่สมรสที่มีพาหะของโรคทางพันธุกรรม ซึ่งมีความเสี่ยงต่อการมีลูกที่มีความผิดปกติทางพันธุกรรม เช่น โรคเลือดจางธาลัสซีเมีย (Thalassemia) เป็นต้น

PGS : PGS (PreimplantationGeneticScreening) เป็นการตรวจคัดกรองความผิดปกติของพันธุกรรมของตัวอ่อน และคัดเลือกตัวอ่อนที่มีโครโมโซมปกติเพื่อย้ายกลับเข้าสู่โพรงมดลูก

ปัจจุบันมีศูนย์การรักษา มีลูกยาก อยู่หลายที่ทั้งโรงพยาบาลและคลินิกที่พร้อมจะให้คำแนะนำ และเป็นผู้ช่วยในการพิจารณาว่าควรเลือกใช้วิธีใดรักษา เพื่อช่วยเพิ่มโอกาสสำเร็จในการตั้งครรภ์ให้เป็นพ่อแม่สมใจ และคุ้มค่ากับเวลา และค่าใช้จ่ายให้มากที่สุด มีที่ไหนบ้างมาดูกันเลยค่ะ

ขอบคุณข้อมูลจาก : ภาวะมีบุตรยาก (Infertility) เกิดจากอะไร จะรู้ได้อย่างไรว่าเสี่ยงมีลูกยาก (wellnesshealth.club)

รวม 10 โรงพยาบาล คลินิก ศูนย์รักษาผู้มีบุตรยาก ทั่วกรุงเทพฯ สำหรับคู่รัก มีลูกยาก

1. คลินิกเวชกรรมเฉพาะทางสูตินรีเวช IVF & Women Clinic

IWC ดูแลรักษาโรคทางสูตินรีเวชด้วยมาตรฐานทางการแพทย์ที่ปลอดภัยและครบวงจร โดยมีผู้เชี่ยวชาญในการดูแลทางการแพทย์สำหรับสตรี พร้อมทั้งให้บริการรักษาภาวะมีบุตรยากด้วยนวัตกรรมที่ดีที่สุด มีห้องปฏิบัติการได้มาตรฐานระดับสากล สะดวก สะอาด และปลอดเชื้อ ควบคุมและดูแลในทุกเคสของการ ใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย เพื่อให้การรักษากับผู้เข้ารับบริการทุกท่าน และรับฟังความต้องการเฉพาะของผู้เข้ารับบริการ พร้อมปรับกระบวนการรักษาให้เหมาะสมสำหรับแต่ละบุคคล ทั้งยังได้รับการรับรองจากราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทยและกระทรวงสาธารณสุข

สถานที่ตั้ง คลินิกเวชกรรมเฉพาะทางสูตินรีเวช IVF & Women Clinic

16 fl.Times Square Building, Sukhumvit 12-14 Rd.,
Bangkok, Thailand, Bangkok

T: +66 653 3331 / 097 250 9331
E: [email protected]

IVF & WOMEN CLINIC (iwclinic.com)

 

2. คลินิกมีบุตรยาก โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย และหน่วยชีววิทยาการเจริญพันธุ์ (Chula IVF)

โรงพยาบาลของรัฐบาลที่ขึ้นด้านเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ จากผลงานที่สร้างเด็กหลอดแก้วเป็นรายแรกของไทยได้สำเร็จ ทั้งยังประหยัดค่าใช้จ่ายที่จ่ายน้อยกว่าเอกชน ช่วยสานฝันให้คู่สมรสที่มีปัญหาภาวะมีบุตรยากได้เป็นอย่างดี

สถานที่ตั้ง
คลินิกมีบุตรยากโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย (ตึก ภปร.) ชั้น 8 ถนนพระราม 4 แขวงปทุมวัน เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร 10330
เวลาทำการ : วันธรรมดา 08.00-16.00 น. วันหยุด 08.00-12.00 น.
โทรศัพท์ : 0 2256 5282

หน่วยชีววิทยาการเจริญพันธุ์ ตึกนวมินทราชูทิศ ชั้น 11 โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย
กรุงเทพมหานคร 10330
โทรศัพท์ : 02 256 4826
www.facebook.com/Chula-IVF

 

3. คลินิกผู้มีบุตรยาก โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์

คลินิกผู้มีบุตรยาก โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์ เป็นสถานที่รวมบุคลาการทางการแพทย์ที่มีฝีมือมากมาย ที่ช่วยให้คู่สมรสที่อยากมีลูกได้เป็นคุณพ่อคุณแม่สมหวัง ทั้งยังช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายซึ่งถูกกว่าโรงพยาบาลเอกชน แต่ข้อจำกัดคือ เนื่องจากเป็นโรงพยาบาลรัฐบาล ทำให้มีขั้นตอนต่าง ๆ และมีคนใช้บริการจำนวนมาก สำหรับผู้ป่วยนอกใหม่ที่ไม่อยากเสียเวลารอคิว สามารถลงทะเบียนออนไลน์ด้วยตัวเองก่อนเข้ารับการรักษาได้ที่เว็บไซต์ของโรงพยาบาล คลิก และสำหรับว่าที่คุณพ่อคุณแม่ที่สนใจจะปรึกษาเรื่องวิธีการรักษาภาวะมีบุตรยาก สามารถใช้บริการถามตอบปัญหาสุขภาพผ่านเว็บไซต์ www.sirirajonline.net คุยกับคุณหมอก่อนได้ไม่ต้องรอนาน

สถานที่ตั้ง
คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล
เลขที่ 2 ถนนวังหลัง แขวงศิริราช เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร 10700
เวลาทำการ : 06.30-15.00 น.
โทรศัพท์ : ประชาสัมพันธ์ ตึกผู้ป่วยนอก 0 2 419 7000
www.si.mahidol.ac.th

 

4. ศูนย์ความเป็นเลิศด้านเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ ศูนย์การแพทย์สมเด็จพระเทพรัตน์ โรงพยาบาลรามาธิบดี

ศูนย์ความเป็นเลิศด้านเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ ให้บริการตรวจรักษาคู่สมรสที่มีบุตรยากด้วยวิธีการต่าง ๆ รวมทั้งกระบวนการปฏิสนธินอกร่างกายและเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ที่เกี่ยวข้อง โดยอาจารย์แพทย์และนักวิทยาศาสตร์สาขาเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์ ด้วยห้องปฏิบัติการด้านเทคโนโลยีการเจริญพันธุ์ที่ทันสมัย เป็นอีกหนึ่งที่ที่ช่วยตอบโจทย์ให้กับว่าที่พ่อแม่ที่มีบุตรยากได้เช่นกัน

สถานที่ตั้ง
ศูนย์การแพทย์สมเด็จพระเทพรัตน์
ชั้น 3 อาคารสมเด็จพระเทพรัตน์ ถนนพระราม 6 แขวงทุ่งพญาไท เขตราชเทวี กรุงเทพมหานคร 10400
เวลาทำการ : 08.00-20.00 น.
โทรศัพท์ : 0 2200 3000
www.med.mahidol.ac.th

 

5. ศูนย์ผู้มีบุตรยากเจ้าพระยา-จินตบุตร โรงพยาบาลเจ้าพระยา

ศูนย์ผู้มีบุตรยาก เจ้าพระยา-จินตบุตรในเครือโรงพยาบาลเจ้าพระยา ก่อตั้งโดยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการรักษาภาวะมีบุตรยากซึ่งผ่านการอบรมศึกษามาจากต่างประเทศ พร้อมทั้งมีอุปกรณ์ทางการแพทย์และเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำที่สุดในระดับสากล พร้อมด้วยนวัตกรรม EmbryoScope ซึ่งเป็นเครื่องมือที่เทคโนโลยีใหม่ล่าสุด ที่ใช้ในการดูแลรักษาผู้ที่ประสบปัญหามีบุตรยาก มีศักยภาพสูงในการช่วยคัดเลือกตัวอ่อนที่สมบูรณ์ เพื่อนำตัวอ่อนนั้นใส่กลับไปยังผู้รับการรักษา ช่วยเสริมประสิทธิภาพขั้นตอนของการรักษาให้มีความง่ายและดียิ่งขึ้น และทีมนักวิทยาศาสตร์ประจำห้องปฏิบัติการที่มีความชำนาญด้านการเพาะเลี้ยงตัวอ่อนกระทั่งใส่ตัวอ่อนกลับเข้าโพรงมดลูก ซึ่งจากผลการศึกษาพบว่าการคัดเลือกตัวอ่อนด้วยเทคโนโลยีนี้ จะช่วยเพิ่มโอกาสการตั้งครรภ์ได้มากขึ้น 20 เปอร์เซ็นต์ จากวิธีการทำเด็กหลอดแก้วตามปกติ รวมทั้งยังคอยเอาใจใส่ ดูแล ให้คำแนะนำ และตอบข้อสงสัยต่างๆ ในทุกช่วงระยะของการรักษา

สถานที่ตั้ง
ศูนย์ผู้มีบุตรยากเจ้าพระยา-จินตบุตร โรงพยาบาลเจ้าพระยา
ชั้น 2 โรงพยาบาลเจ้าพระยา เลขที่ 113/44 ถนนบรมราชชนนี แขวงอรุณอมรินทร์ เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร 10700
เวลาทำการ : 08.00-17.00 น.
โทรศัพท์ : โทร. 0-2433-8222, 0-2433-5666
www.chaophya.com

มีลูกยาก

6. ศูนย์รักษาภาวะมีบุตรยาก โรงพยาบาลพญาไท 2

ศูนย์รักษาภาวะมีบุตรยาก โรงพยาบาลพญาไท 2 มีทีมแพทย์ พยาบาล และนักวิทยาศาสตร์ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางด้วยเทคนิคและเทคโนโลยีที่ทันสมัยครบวงจร รวมถึงห้องปฏิบัติการเลี้ยงตัวอ่อนและห้องผ่าตัดซึ่งได้รับการติดตั้งด้วยอุปกรณ์ที่ทันสมัยอย่างครบถ้วนในการช่วยให้การรักษาภาวะมีบุตรยากนั้นเป็นไปอย่างสมบูรณ์ ให้บริการรักษาผู้มีบุตรยากด้วยเทคนิคการช่วยเจริญพันธุ์ ซึ่งมีทั้งวิธีธรรมชาติและการใช้เทคโนโลยีชั้นสูง เช่น การฉีดเขื้อผสมเทียม,IVF , ICSI, Blastocyst culture, การตรวจคัดกรองโครโมโซมตัวอ่อนก่อนการฝังตัวด้วย เทคนิค NGS (Next Generation Sequencing) และ CGH (Array Comparative Genomic Hybridization)และการแช่แข็งไข่ เป็นต้น

ค่าใช้จ่ายโดยประมาณ

โปรแกรมทำเด็กหลอดแก้ว ICSI (รวมการกระตุ้นไข้+การเก็บไข่+ย้ายตัวอ่อน) : ราคา 167,000 บาท (ราคานี้สามารถเข้ารับบริการ ตั้งแต่วันที่ 3 สิงหาคม 2563 ถึง 31 ธันวาคม 2563 เท่านั้น)

สถานที่ตั้ง
ศูนย์รักษาภาวะมีบุตรยาก โรงพยาบาลพญาไท 2 อาคาร B ชั้น 10
เวลาทำการ : เปิดบริการทุกวัน เวลา  07.00-17.00น.
โทรศัพท์ : กรุณาทำนัดหมายล่วงหน้าก่อนเข้ารับการตรวจทุกครั้งได้ที่ 1772 หรือโทร 02-617-2444 ต่อ 1057, 1058
รายละเอียดเพิ่มเติม : www.phyathai.com

 

7. ศูนย์รักษาผู้มีบุตรยาก โรงพยาบาลบีเอ็นเอช (BNH)

ศูนย์รักษาผู้มีบุตรยาก โรงพยาบาลบีเอ็นเอช มีทีมผู้เชี่ยวชาญซึ่งเปี่ยมด้วยประสบการณ์อันยาวนานในศาสตร์การแพทย์แขนงนี้และพร้อมให้บริการที่ครบวงจรและมีประสิทธิภาพในการดูแลรักษาคู่สามีภรรยาที่มีบุตรยาก ทั้งคู่จะได้รับการตรวจวินิจฉัยสาเหตุของปัญหาด้วยวิธีการต่าง ๆ โดยขึ้นอยู่กับประวัติทางการแพทย์ ซึ่งอาจประกอบไปด้วยวิธีการเหล่านี้ :

  • การตรวจเชื้ออสุจิ
  • การตรวจอัลตราซาวนด์ทางช่องคลอด
  • การตรวจระดับฮอร์โมนในเลือด
  • การส่องกล้องทางหน้าท้องเพื่อการวินิจฉัย
  • การส่องกล้องตรวจโพรงมดลูก

ภายหลังจากการตรวจวินิจฉัย แพทย์ผู้เชี่ยวชาญอาจเสนอทางเลือกในการรักษาที่ทางศูนย์แห่งนี้มีให้บริการเช่น

  • การผสมเทียมโดยใช้น้ำเชื้อของสามี
  • IVF, ICSI & ET (การปฏิสนธินอกร่างกาย, การฉีดเชื้ออสุจิเข้าไปในเซลล์ไข่และการถ่ายฝากตัวอ่อน)
  • PESA หรือ TESE (การใช้เข็มแทงผ่านผิวหนังบริเวณอัณฑะเข้าไปในท่อพักน้ำเชื้อแล้วดูดตัวอสุจิ
  • ออกมาหรือการดูดตัวอสุจิจากอัณฑะ)
  • PGD (การตรวจวินิจฉัยโรคทางพันธุกรรมของตัวอ่อนก่อนย้ายเข้าสู่โพรงมดลูก

สถานที่ตั้ง 
ศูนย์รักษาผู้มีบุตรยาก โรงพยาบาลบีเอ็นเอช (BNH)
เลขที่ 9/1 ถนนคอนแวนต์ สีลม กรุงเทพมหานคร 10500
เวลาทำการ : วันจันทร์-เสาร์ 08.00-16.00 น. / วันอาทิตย์ 09.00-12.00 น.
โทรศัพท์ : 02 868 2700 ต่อ 2885, 2886
รายละเอียดเพิ่มเติม : www.bnhhospital.com

 

8. ศูนย์ผู้มีบุตรยาก โรงพยาบาลสมิติเวช

ศูนย์ผู้มีบุตรยาก โรงพยาบาลสมิติเวช เป็นศูนย์เฉพาะทางด้านการรักษาภาวะมีบุตรยากที่ครบวงจร ด้วยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ (Assisted Reproductive Technology: ART) มีทีมแพทย์เฉพาะทางด้านการรักษาภาวะมีบุตรยาก พร้อมพยาบาลและเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์โดยเฉพาะ ที่พร้อมให้คำปรึกษาและช่วยเหลือในการมีบุตรเพื่อให้ชีวิตคู่มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย ห้องปฏิบัติการที่ได้มาตรฐาน และความเชี่ยวชาญของทีมแพทย์ ทำให้ได้การตรวจวินิจฉัยที่แม่นยำ เพิ่มประสิทธิภาพในการรักษามากขึ้น อัตราการประสบผลสำเร็จสูงขึ้น

ให้บริการรักษาผู้มีบุตรยาก ได้แก่

  • ตรวจวินิจฉัย ตรวจอวัยวะในอุ้งเชิงกรานด้วยอัลตร้าซาวด์ทางช่องคลอด การฉีดสีเอกซเรย์ การวิเคราะห์น้ำอสุจิ การคัดเชื้อตัวอสุจิ การตรวจวิเคราะห์ระดับฮอร์โมนในร่างกาย,
  • การใช้เทคโนโลยีช่วยเจริญพันธุ์ : IVM, IVF, E.T., ICSI, GIFT, PGD
  • การผ่าตัดต่อท่อนำไข่ (ผ่าตัดแก้หมันหญิง)
  • การผ่าตัดเนื้ออัณฑะเพื่อดูดตัวอสุจิออกมา (Sperm Retriveal) : TESE
  • การตรวจวิเคราะห์โรคทางพันธุกรรม PGD, PCR
  • การผ่าตัดผ่านกล้องทางนรีเวช

สถานที่ตั้ง
สาขาสุขุมวิท : สุขุมวิท วิง ( อาคาร2) ชั้น 1 สุขุมวิท 49 แขวงคลองตันเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพมหานคร 10110
เวลาทำการ : ทุกวัน 07.00-22.00 น.
โทรศัพท์ : 0 2022 2555-6

สาขาศรีนครินทร์ : ศูนย์ผู้มีบุตรยาก ชั้น 4 ถนนศรีนครินทร์ แขวงสวนหลวง เขตสวนหลวง กรุงเทพมหานคร 10250
เวลาทำการ : ทุกวัน 08.00-17.00 น.
โทรศัพท์ : 0 2378 9129-30

รายละเอียดเพิ่มเติม : www.samitivejhospitals.com

 

9. ศูนย์การเจริญพันธุ์ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์

ศูนย์การเจริญพันธุ์ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ พร้อมช่วยให้คู่สามีภรรยาสามารถเอาชนะอุปสรรคอันเนื่องมาจากปัจจัยต่าง ๆ ที่มีผลต่อการมีบุตรยาก โดยทีมแพทย์และบุคลากรผู้เชี่ยวชาญของศูนย์กว่า 20 ท่านพร้อมจะให้คำแนะนำและการรักษา โดยพิจารณาวิธีที่เหมาะสมที่สุดกับผู้ประสบปัญหาการมีบุตรยากแต่ละราย และเน้นการให้คู่สมรสมีส่วนร่วมในการตัดสินใจในการรักษา

ค่าใช้จ่ายโดยประมาณ
โปรแกรมการรักษาภาวะมีบุตรยากโดยใช้การปฏิสนธิภายนอกร่างกายหรือการทำเด็กหลอดแก้ว (IVF) : ราคา 350,000 บาท (ราคานี้สงวนสิทธ์เฉพาะผู้มารับบริการ ตั้งแต่วันที่ 2 มีนาคม ถึง 31 ธันวาคม 2563 เท่านั้น)

โปรแกรมการแช่แข็งเก็บรักษาเซลล์ไข่ (Egg Freezing) : ราคา 200,000 บาท (ราคานี้สงวนสิทธิ์เฉพาะผู้มารับบริการ ตั้งแต่วันที่ 20 เมษายน ถึง 31 ธันวาคม 2563 เท่านั้น)

สถานที่ตั้ง
ศูนย์การเจริญพันธุ์ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์
เลขที่ 33 สุขุมวิท ซอย 3 เขตวัฒนา กรุงเทพมหานคร 10110
อาคารโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ชั้น 2 ฝั่งทิศเหนือ
เวลาทำการ : วันจันทร์-เสาร์ 07.00-20.00 น. วันอาทิตย์ 07.00-17.00 น.
โทรศัพท์ : 090 972 2608/ 02 066 8888 และ 1378
รายละเอียดเพิ่มเติม : www.bumrungrad.com

 

10. ศูนย์รักษาผู้มีบุตรยาก โรงพยาบาลกรุงเทพ

ศูนย์รักษาผู้มีบุตรยาก โรงพยาบาลกรุงเทพ มีแพทย์ที่ช่วยตรวจวินิจฉัยหาสาเหตุภาวะมีบุตรยาก และรักษาตามสาเหตุ อาทิ การให้ยากระตุ้นการตกไข่ การส่องกล้องผ่าตัด หรือคัดเชื้อฉีดเข้าโพรงมดลูก เมื่อรักษาเต็มที่แล้วยังไม่เกิดการตั้งครรภ์ แพทย์จะพิจารณาการรักษาด้วยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ที่เหมาะสม อาทิ เด็กหลอดแก้ว ในลำดับต่อไป

ค่าใช้จ่ายโดยประมาณ

  • การกระตุ้นรังไข่เพื่อทำเด็กหลอดแก้ว ราคา 100,000 บาท
  • การเจาะเก็บไข่ผ่านทางช่องคลอด ราคา 110,000 บาท
  • การตรวจโครโมโซมและแช่แข็งตัวอ่อน (3 Embryo) ราคา 75,000 บาท
  • การย้ายกลับตัวอ่อนเข้าสู่โพรงมดลูก ราคา 38,000 บาท
  • การย้ายกลับตัวอ่อนเข้าสู่โพรงมดลูก รอบละลายตัวอ่อนและยาหลังการย้ายกลับตัวอ่อน ราคา 57,000 บาท

(ราคานี้สามารถใช้บริการได้ตั้งแต่วันนี้ถึง 31 ธันวาคม 2563 เท่านั้น)
**โรงพยาบาลขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงราคาโดยมิต้องแจ้งล่วงหน้า**

รายละเอียดเพิ่มเติม : www.bangkokhospital.com

สถานที่ตั้ง
ศูนย์รักษาผู้มีบุตรยาก โรงพยาบาลกรุงเทพ
2 ซ.ศูนย์วิจัย 7 ถ.เพชรบุรีตัดใหม่ แขวงบางกะปิ เขตห้วยขวาง กรุงเทพฯ 10310 ประเทศไทย
โทรศัพท์ : 02 3100 3014-15

 

อย่างไรก็ตาม สำหรับคู่รักที่แต่งงานแล้ว แต่ต้องมาประสบภาวะมีบุตรยากอาจเป็นเรื่องที่ยาก แต่ด้วยเทคโนโลยีสมัยนี้ก็มีส่วนช่วยเหลือให้การเป็นคุณพ่อคุณแม่ไม่ไกลเกินความฝัน ทั้งนี้ทุกการรักษาในแต่ละสถานที่อาจมีค่าใช้จ่ายที่แตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ สำหรับผู้มีประสบปัญหาภาวะผู้มีบุตรยากสนใจจะเข้ารับการรักษาควรสอบถามข้อมูล หาสาเหตุ และเมื่อแก้ปัญหาที่ต้นเหตุไม่ได้ผล แพทย์ที่ดูแลรักษาจะช่วยพิจารณาเลือกวิธีการตั้งครรภ์ที่เหมาะสม โดยมีปัจจัยหลักคือ อัตราความสำเร็จ ค่าใช้จ่าย ผลแทรกซ้อน และการเจ็บตัวที่น้อยที่สุด ให้เป็นข้อมูลก่อนการตัดสินใจเข้ารับการรักษานะคะ

ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : www.tmbbank.comwww.vichaiyut.com


อ่านต่อบทความอื่นน่าสนใจ

เช็กเลย! เทียบสารอาหารนมสูตร 3 แบรนด์ดัง สำหรับลูกวัยขวบ เพื่อให้ลูกมีพัฒนาการดีได้อีกเยอะ

เลี้ยงลูกยุคนี้ต้องให้ทันโลก ทักษะดีเรียนรู้เก่งรอบด้าน โดยเฉพาะลูกวัยขวบที่อยู่ในช่วงวัยของการเจริญเติบโต และสนุกไปกับทุกการเรียนรู้ในเรื่องแปลกใหม่รอบตัว ดังนั้นเพื่อส่งเสริมให้ลูกมีพัฒนาการดีทุกด้าน เพื่อให้เติบโตขึ้นอย่างมีศักยภาพ คุณแม่จำเป็นต้องเสริมให้ลูกได้รับสารอาหารที่เยอะและหลากหลายครบถ้วน 5 หมู่ รวมถึงการเสริมนมก็ต้องเลือกที่มีสารอาหารเยอะ เพื่อช่วยให้ลูกมีพัฒนาการดีได้อีกเยอะเลยค่ะ

  • การส่งเสริมพัฒนาการด้านสมองการเรียนรู้

มีสารอาหารหลายชนิดที่ช่วยส่งเสริมพัฒนาการสมอง เช่น โอเมก้า 3, 6, 9 และวิตามินบี 12 เป็นสารอาหารที่จำเป็นกับเด็กๆ มากค่ะ โดยเฉพาะเมื่อลูกเริ่มเข้าสู่ช่วงวัยขวบปีแรกขึ้นไป สารอาหารกลุ่มนี้มีส่วนสำคัญในการช่วยให้การทำงานของระบบประสาทและสมอง รวมถึงการเรียนรู้ของลูกน้อยมีประสิทธิภาพเยอะมากยิ่งขึ้น สามารถที่จะเรียนรู้ มีสมาธิ จดจำได้อย่างแม่นยำ นอกจากให้ลูกได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อสมองแล้ว คุณพ่อคุณแม่ควรกระตุ้นพัฒนาการของลูกด้วยกิจกรรมที่หลากหลาย เช่น การอ่านนิทานที่มีภาพสวย การชี้ชวนให้ลูกเรียนรู้เรื่องสีต่างๆ หรือสัตว์แต่ละชนิดเรียกว่าอย่างไร เป็นต้น เพื่อเป็นการเสริมพัฒนาการด้านสมองการเรียนรู้ของลูก

  • การส่งเสริมพัฒนาการด้านร่างกาย

สารอาหารจำเป็นอย่าง โปรตีน 2 ชนิด เวย์ และเคซีน ซึ่งเป็นโปรตีนที่พบได้ในนมแม่ สำคัญต่อการเจริญเติบโต และซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกาย ช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อ กระดูก ผิว ผม และเนื้อเยื่อต่างๆ ให้สมบูรณ์แข็งแรงขึ้นได้อีกเยอะค่ะ ดังนั้นลูกน้อยจึงจำเป็นต้องได้รับโปรตีนอย่างเพียงพอ และสำหรับช่วงวัยขวบเป็นช่วงวัยที่กระตือรือร้น อยากรู้อยากเห็น และแสดงออกมากขึ้น แนะนำให้คุณแม่พาออกไปสำรวจนอกบ้านให้ลูกได้ฝึกการเคลื่อนไหวร่างกายบ่อยๆ ซึ่งจะช่วยให้กล้ามเนื้อมัดเล็ก กล้ามเนื้อมัดใหญ่แข็งแรงมากขึ้นค่ะ

  • การส่งเสริมระบบขับถ่ายดี

ไฟเบอร์ หรือใยอาหาร คืออาหารของจุลินทรีย์สุขภาพที่อาศัยอยู่ในบริเวณลำไส้ มีส่วนสำคัญช่วยให้การขับถ่ายของลูกทำงานได้เป็นปกติ โดยใยอาหารธรรมชาติมีหลายชนิด เช่น ใยอาหารสายสั้น ซึ่งจะเป็นอาหารของจุลินทรีย์ที่ลำไส้ใหญ่ส่วนต้น ในขณะที่สายยาวจะเป็นอาหารของจุลินทรีย์ที่ลำไส้ใหญ่ส่วนกลางและปลาย การที่ลูกได้รับใยอาหารทั้ง 2 ชนิด จะช่วยให้จุลินทรีย์ทำงานได้ดีตลอดทั้งลำไส้ใหญ่ ส่งผลให้ลูกมีระบบขับถ่ายที่ดียิ่งขึ้น

นอกเหนือจากสารอาหารสำคัญข้างต้น เพื่อให้ลูกน้อยมีพัฒนาการที่ดีรอบด้าน ยังมีอีกหนึ่งสารอาหารสำคัญที่คุณแม่ควรเสริมให้ลูกน้อยได้รับอย่างเพียงพอคือ ธาตุเหล็ก หรือ ไอรอน (Iron) เนื่องจากธาตุเหล็กมีส่วนช่วยในการทำงานของสมอง ระบบการเรียนรู้ ความจำ, เสริมสร้างการเจริญเติบโต และอื่นๆ อีกมากมายพื่อให้ร่างกายสามารถดูดซึมธาตุเหล็กได้มากขึ้น คุณแม่ควรให้ลูกน้อยทานควบคู่กับอาหารที่มีวิตามินซีในสัดส่วนที่เหมาะสมด้วยค่ะ

ทีมแม่ ABK เราจึงได้คัดสรรนมสูตร 3 นมสำหรับเด็กเริ่มวัยขวบขึ้นไป ให้คุณแม่เสริมให้ลูกดื่มในทุกวัน ขอบอกว่าทั้ง 3 แบรนด์อัดแน่นไปด้วยสารอาหารที่จำเป็นสำหรับเด็กวัยกำลังเจริญเติบโตทั้งด้านร่างกาย สมองการเรียนรู้ และที่ดีมากๆ ช่วยในเรื่องการทำงานของระบบขับถ่ายด้วยค่ะ ขอแนะนำนมสูตร 3 จากแบรนด์ดัง ได้แก่ ดูเม็กซ์ ดูโกร 3ดี ไอรอน พลัส,  เอส-26 โปรเกรส และ เนสท์เล่ ตราหมี

จะเห็นได้ว่านมสูตร 3 ของลูกน้อยวัยขวบ ทั้ง 3 แบรนด์ มีข้อดีหรือจุดเด่นที่แตกต่างกันออกไป การเลือกนมสำหรับเด็กสำคัญอยู่ที่ความต้องการสารอาหารของเด็กแต่ละวัย อย่างเด็กวัยกำลังโตก็ต้องเลือกนมเสริมที่ให้สารอาหารเยอะๆ เพื่อช่วยเสริมพัฒนาการในด้านต่างๆ ของลูกน้อย

 

📌🎯 ทีมแม่ ABK ชี้เป้า

ขอยกให้นมสูตร 3 จากแบรนด์ดูเม็กซ์ ดูโกร 3ดี ไอรอน พลัส  (DUMEX Dugro 3D IRON+) แค่ชื่อสูตรก็ปังมากค่ะ สำหรับดูเม็กซ์ ดูโกร 3ดี ไอรอน พลัส ความเด่นอยู่ที่มีสารอาหารสำคัญเยอะ ไม่ว่าจะเป็นโอเมก้า โปรตีน ไฟเบอร์ และธาตุเหล็ก ที่ช่วยเสริมสร้างพัฒนาการในด้านต่างๆ ทั้งสมองและร่างกาย รวมถึงราคาคุ้มค่าด้วยค่ะ

ดูเม็กซ์ ดูโกร 3ดี ไอรอน พลัส

  • เพิ่มโอเมก้า 3, 6, 9 มากขึ้น 55%* และยังมีสัดส่วนโอเมก้า 6 ต่อ โอเมก้า 3 ที่เหมาะสม มีส่วนช่วยเรื่องพัฒนาการสมอง ให้ลูกมีพัฒนาการด้านการเรียนรู้ที่ดี
  • มีโปรตีน 2 ชนิด Dual Proteins ที่ผสมเวย์และเคซีนที่เป็นโปรตีนคุณภาพดีที่ได้จากนม จำเป็นต่อการเจริญเติบโต จึงทำให้ร่างกายของลูกแข็งแรง และเติบโตได้ดีสมวัย
  • ผสมใยอาหารธรรมชาติ 2 ชนิด คือ แอลซีฟอส และ อินนูลิน ช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
  • มีธาตุเหล็ก หรือ ไอรอน (Iron) สูง 20% และวิตามินซีสูง ด้วยสัดส่วนธาตุเหล็กและวิตามินซีที่เหมาะสม ช่วยให้ร่างกายดูดซึมได้ดียิ่งขึ้น

^เมื่อเทียบกับดูเม็กซ์ ดูโกร ไอออน แอคทีฟ พลัส (ดูเม็กซ์ ดูโกร ไอออน แอคทีฟ พลัส มีโอเมก้า 3,6,9  99, 891, 1,463 มก.ต่อหนึ่งหน่วยบริโภค และ ดูเม็กซ์ ดูโกร 3ดี ไอรอน พลัส มีโอเมก้า 3,6,9  165, 1,403, 2,459 มก.ต่อหนึ่งหน่วยบริโภค)

ทีมแม่ ABK สนับสนุนให้คุณแม่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ตั้งแต่ลูกแรกเกิด และเมื่อถึงวัยที่ต้องเสริมนมให้ลูกน้อย สำคัญสุดต้องเลือกนมเสริมที่ให้สารอาหารครบถ้วนและมีประโยชน์ต่อพัฒนาการด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นพัฒนาการสมองการเรียนรู้ ด้านร่างกายและระบบขับถ่าย ทั้งนี้เพื่อให้ลูกน้อยเติบโตขึ้นอย่างสมบูรณ์ มีศักยภาพพร้อมที่จะทำอะไรได้อีกเยอะค่ะ

โรงเรียนอัสสัมชัญ

พาชม โรงเรียนอัสสัมชัญ แผนกประถม กิจกรรมดี เน้นให้เด็กๆมีความสุข เสมอภาค เติบโตอย่างมีศักยภาพ

โรงเรียนอัสสัมชัญ แผนกประถม : ถ้าเปรียบเด็กๆ คือเมล็ดพันธุ์ เมล็ดพันธุ์น้อยๆเหล่านั้นเกิดมาพร้อมกับศักยภาพของตน

พาชม! โรงเรียนอัสสัมชัญ แผนกประถม
กิจกรรมดี เน้นให้เด็กๆมีความสุข เสมอภาค เติบโตอย่างมีศักยภาพ

ศักยภาพที่จะเติบโตเป็นต้นไม้ที่สามารถงอกงามเขียวชอุ่ม ให้พืชผลที่มีคุณค่า ให้ความชุ่มชื้นได้อย่างงดงามหากได้ถูกปลูกในดินและสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมกับการเจริญเติบโต School Visit วันนี้ ทีมแม่ ABK จะพาทุกคนมาเยี่ยมชมสถานที่ที่ทุกเมล็ดพันธุ์น้อยๆจะได้รับการดูแลให้เติบโตงดงามในแบบของตัวเอง ที่ที่เด็กๆจะได้ “ชิมลาง” ทุกอย่าง ภาษา ศาสตร์ ศิลป์ กีฬา สุนทรียะ ได้สร้างรากฐานแห่ง “ทักษะและทุนชีวิต” ให้แข็งแกร่งพร้อมเผชิญชีวิตในโลกที่เต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลง ณ ที่แห่งนี้ โรงเรียนอัสสัมชัญ แผนกประถม ค่ะ

โรงเรียนอัสสัมชัญ

โรงเรียนอัสสัมชัญ

บรรยากาศด้านหน้าและภายในโรงเรียน

โรงเรียนอัสสัมชัญ

เรียนก็ดี กีฬาก็เด่นนะ

Robot ไม่ใช่แค่สิ่งประดิษฐ์ แต่ช่วยสร้างรูปแบบการคิด วางแผน ปฎิบัติและแก้ปัญหา

Active Learning คือรูปแบบการเรียนที่เป็นประโยชน์มาก

อาซัมซาน กอเล็ศ สู่ อัสสัมชัญ

โรงเรียนอัสสัมชัญก่อตั้ง โดยบาทหลวงเอมิล ออกัสต์ กอลมเบต์ (ชาวฝรั่งเศส) เจ้าอาวาสวัดอัสสัมชัญ โดยตั้งชื่อโรงเรียนวัดนี้ว่า “โรงเรียนไทย-ฝรั่ง” ในปี พ.ศ. 2420 เพื่อสอนภาษาฝรั่งเศสและภาษาไทยแก่เด็กๆในละแวกวัด และเปลี่ยนชื่อมาเป็น โรงเรียนอาซัมซาน กอเล็ศ ในวันที่16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2428 หลังจากนั้นโรงเรียนได้เปลี่ยนชื่อจาก โรงเรียนอาซัมซาน กอเล็ศ เป็น “โรงเรียนอัสสัมชัญ” ใช้ชื่อย่อว่า อสช แปลว่า “ตำแหน่งที่สำหรับระงับบาปและหาวิชาความรู้” ในปีพ.ศ. 2453 ซึ่งเป็นโรงเรียนแรกในเครือมูลนิธิคณะเซนต์คาเบรียลแห่งประเทศไทย ที่รับเฉพาะนักเรียนชายเท่านั้น

 

Learn : เพื่อเรียนรู้

โรงเรียนอัสสัมชัญ ใช้การจัดการศึกษาแบบมงฟอร์ต คือ การมองเห็นมิติทุกด้านของเด็กๆที่ “ทุกคนมีอัจฉริยภาพในตน”

เน้นพัฒนาเด็กๆ 5 ด้าน ได้แก่ ร่างกาย วิญญาณ ปัญญา อารมณ์ สังคม แนวคิดนี้เชื่อว่าทุกคนมีสิ่งที่ตัวเองชอบ หรือถนัด ความสำคัญจึงอยู่ที่ “โอกาส” ที่จะได้ลองและสัมผัส ทุกศาสตร์ ทุกแขนง โอกาสมากเท่าไหร่ ความชอบและถนัดที่แท้จริงจะเห็นได้ชัดขึ้นเท่านั้น

 

ที่ โรงเรียนอัสสัมชัญ เด็กๆจะได้รับอะไรบ้าง?

สำหรับเด็กประถม1 ทางโรงเรียนเข้าใจดีว่า เด็กๆทุกคนมาจากหลากหลายโรงเรียน หลากหลาย Family Background ดังนั้นปีแรกในรั้วอัสสัมชัญจึงเน้นการปรับ แก้ไขและปูพื้นฐานให้ใกล้เคียงกันก่อน เด็กๆจะได้ไปต่อพร้อมกันได้ หลังจากนั้นเด็กๆจะได้เรียนรู้ในรูปแบบ Active Learning เป็นหนึ่งในกระบวนการบูรณาการความรู้ที่เกิดประโยชน์กับเด็กๆที่สุด ช่วยพัฒนาทักษะการคิด การแก้ปัญหาการนำความรู้ไปใช้ ทุกคนมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ก่อให้เกิดปฎิสัมพันธ์ทางสังคมทั้งเพื่อนและคุณครู

ทางโรงเรียนจะติดอาวุธด้านภาษาและการสื่อสารให้กับเด็กๆ โดยทุกหลักสูตรจะได้เรียน “ภาษาจีน และ English for Communication” …ถ้ารู้วิชาแล้วแต่ภาษาไม่ได้ ก็จะสื่อสารออกไปลำบากค่ะ

กิจกรรมพัฒนาผู้เรียนให้เด็กๆทุกคนได้ลองชิมลาง ในรูปแบบชมรม มีทั้งหมด 4 ด้าน ได้แก่

ด้านวิชาการ – ที่ไม่ได้เรียนเพื่อติว แต่เรียนเพื่อเสริมความสนุก

ด้านกีฬา – เสริมทักษะ ความแข็งแรง และบริหารสมอง

ด้านภาษา – เปิดโลกกว้างที่มีทั้งความเฮฮาและสาระ

ด้านศิลปะ ดนตรี-นาฏศิลป์ – สร้างสรรค์ ทำนอง ร้องเต้น เสริมสมาธิและสุนทรีย์ในหัวใจ ต้องมีอย่างน้อยสัก 1 ด้านแน่นอนที่เด็กๆ ชอบเป็นพิเศษ

บรรยากาศห้องเรียน

เด็กๆได้เรียนดนตรีทุกคน ช่วยกล่อมเกลาให้เด็กๆมีความอ่อนโยน แล้วยังช่วยทำให้สมองสองด้านทำงานประสานกันอย่างมีประสิทธิภาพ

กิจกรรมนอกห้องเรียนต่างๆที่ช่วยเสริมพัฒนาการ

 

หลักสูตร Regular Program

รายวิชาพื้นฐาน : 8 กลุ่มสาระรายวิชาพื้นฐาน + ศิลปะ ดนตรี เปียโน (บริหารสมองด้วยความสุนทรีย์)

รายวิชาเพิ่มเติม : World of Maths | World of Science | STEM Education | Computer | Chinese | English for Communication

กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน : กิจกรรมแนะแนว กิจกรรมลูกเสือ ชมรม กิจกรรมเพื่อสังคมและสาธารณประโยชน์

 

หลักสูตร English Program (EP)

โรงเรียนนำหลักสูตร Cambridge International School มาผสมผสานเนื้อหาสาระ ทักษะของ Cambridge กับหลักสูตรแกนกลางของประเทศ ปรับให้เข้ากับบริบทของบ้านเรา ใช้การเรียนรู้แบบ Active Learning เพื่อพัฒนาทักษะต่างๆด้านภาษาและสนับสนุนการทำงานร่วมกันระหว่างเด็กๆ มุ่งเน้นให้เด็กๆ เกิด Confident – มั่นใจในการเรียนรู้ Responsible – รับผิดชอบต่อตนเองและผู้อื่น Reflective – นำความรู้ไปใช้ในชีวิตได้ Innovative – กล้าคิดริเริ่ม Self-Discipline – มีวินัยในตนเอง โดยแบบเรียนต่างๆเช่นวิชา English, Mathematics, Science จะใช้ตำราของ Cambridge ออริจินัลจากต้นตำรับ

รายวิชาพื้นฐาน : English | Mathematics1 , Science1, Health and PE ,Computer (Occupations & Technology หรือ อาชีพและเทคโนโลยี)

รายวิชาเพิ่มเติม : English for Communication , Mathematics 2 , Science 2 } STEAM (Science, Technology, Engineering, Art, Mathematics)

 

แผนการเรียน Chinese – English Program (CEP)

หลักสูตร 3 ภาษา จีน-อังกฤษ-ไทย ในรายวิชาเหมือนหลักสูตร English program ในส่วนของ Active Learning เติมความเข้มข้นและจัดการเรียนการสอนโดยคุณครูชาวจีนท่ากับเรียนภาษาจีนอย่างเป็นธรรมชาติค่ะ โดยมีรายวิชาที่ใช้ภาษาจีน 100% ได้แก่ Chinese หรือ ภาษาจีน | Art | Creative Studies | Health | Global Perspectivesแต่ละห้อง CEP จะมีครูจีนและครูไทย ประจำในห้อง

การเรียนรู้ระหว่างทางคือสิ่งสำคัญ การลงมือทำทำให้เกิดประสบการณ์นะครับ

 

Life : พื้นที่แสดงออก

โรงเรียนอัสสัมชัญไม่ได้เด่นแค่เรื่อง Head (วิชาการ) แต่ Heart ก็เป็นกลไกสำคัญมากที่จะสร้างให้เด็กคนนึงเติบโตได้เป็นอย่างดี ขั้นตอนเหล่านี้คือจำเป็นมาก วัยประถมจะเน้นเตรียมความพร้อม และลองให้มากที่สุดเพื่อเพิ่มโอกาสในการเรียนรู้ จะนำไปสู่ ความชอบความไม่ชอบ ความถนัดความไม่ถนัด เด็กๆสามารถเสนอแนะและสะท้อนความคิดให้คุณครูหรือผู้ปกครองจากการเรียนรู้และกิจกรรมต่างๆว่าอยากทำอะไร ชอบหรือไม่ชอบอะไร และให้โอกาสเด็กๆได้เป็น “ผู้นำในเวทีของตนเอง”

เด็กๆรายล้อม คุณภราดาศุภนันท์ ผู้อำนวยการโรงเรียน

ความสุขมาพร้อมกับความสดใส

 

ABK : โรงเรียนอัสสัมชัญ ปลูกฝังอะไร?

Maturity วุฒิภาวะ

ที่สอดแทรกอยู่ในหลักสูตร ทั้งในห้องเรียนและกิจกรรม จะช่วยให้เด็กๆจัดการอารมณ์ วิธีคิด เปลี่ยนปัญหา ความเครียด แรงกดดัน ให้เป็นแรงบวก = พลิกวิกฤต เพราะทุกปัญหาทำให้ชีวิตมีคุณค่าและมีพัฒนาการ

Self-Esteem

การเห็นคุณค่าในตนเอง หรือ ความคิดที่เรามีต่อตัวเอง เช่น เราเป็นคนแบบไหน เราเหมาะกับอะไร เรามีความสามารถด้านไหน เป็นต้น ซึ่งส่งผลต่อความกระตือรือร้นในการที่จะพัฒนาชีวิตของตัวเองให้ดีขึ้น รวมถึงความสามารถในการรับมือกับอารมณ์และสถานการณ์ต่าง ๆการให้เด็กๆแต่ละคนได้ “เป็นพระเอก หรือ เป็นผู้นำในเวทีของตัวเอง” เป็นการสร้าง “Leadership” จะทำให้พวกเขามีตัวตน ได้รับการยอมรับ มีคุณค่า มีความภาคภูมิใจในตัวเอง สิ่งเหล่านี้จะค่อยๆสร้างภูมิคุ้มกันทางชีวิตให้แข็งแรง

ติดอาวุธทางภาษาการสื่อสาร

เมื่อคิดได้ ก็ต้องสื่อสารได้ จัดระเบียบความคิดได้ “เวทีปราศรัยและการโต้วาที ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ” ที่คลาสสิคแต่สร้างสรรค์นี้แหละค่ะ ที่จะฝึกให้เด็กๆลำดับความคิด – สื่อสารออกมา – debate ด้วยเหตุผล ตามกติกา ไม่ใช้อารมณ์

เวทีสำหรับเด็กช่วยทำให้เด็กๆได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมของโรงเรียนได้มากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่ชอบ สิ่งที่แค่อยากลอง หรือแค่ทำตามเพื่อนๆ อย่างไรพวกเขาก็ได้ประสบการณ์ เพราะทุกคนเป็นส่วนหนึ่งของระบบนิเวศน์ “อัสสัมชัญ” ทุกคน “สำคัญ” เท่ากันหมด

กิจกรรมในห้องเรียนแต่ละวัน

 

Environment : เตรียมนิเวศน์รอบลูก

ความสำคัญของ บ้าน ,โรงเรียนและสิ่งแวดล้อมลูกเท่ากับทุนชีวิต

ทำไม “ทุนชีวิต” ถึงเป็นประเด็นสำคัญที่ โรงเรียนอัสสัมชัญให้ความสำคัญมาก? เพราะทุนชีวิตนั้นกว้างกว่า “ทักษะชีวิต” (ทักษะชีวิตจะพูดถึงแค่ตัวเอง) แต่ทุนชีวิตพูดถึงทั้งทักษะชีวิตและจิตสำนึกที่มีต่อตนเอง รวมถึงทักษะและจิตสำนึกในการอยู่ร่วมในสังคม

ที่ตนเองอาศัยอยู่ด้วย ทุนชีวิตมี 5 องค์ประกอบ คือ 1. บ้าน 2. ชุมชน 3. โรงเรียน 4. เพื่อน และ 5. ตัวตน ถ้า 4 องค์ประกอบแรกแข็งแรง ก็จะคุมองค์ประกอบสุดท้ายคือตัวตนของเด็กไว้ได้ เช่น ทักษะการจัดการอารมณ์ การมีจิตสำนึกที่ดี ฯลฯ ทุนชีวิตจึงเป็นเครื่องมือในการวัดจิตสำนึกของเด็ก วัดว่าเด็กรู้สึกยังไงกับตัวเอง กับบ้าน กับชุมชน กับโรงเรียน กับเพื่อน

ทั้งหมดจะเกิดขึ้นได้เมื่อบ้านและโรงเรียนร่วมมือและสนับสนุนเด็กๆ ไปในทิศทางเดียวกัน การสื่อสารระหว่างบ้านและโรงเรียนจึงสำคัญมาก

ห้องสมุดสีสันสดใส ดึงดูดเด็กๆได้ดี

โรงเรียนมีสระว่ายน้ำในร่มขนาดมาตรฐานและสนามเด็กเล่นอุปกรณ์ครบครัน

 

ครูคือฟันเฟืองที่ขาดไม่ได้

ไม่ว่าจะอยู่ในฐานะ Facilitator ผู้อำนวยความสะดวก หรือ Advisor ที่ปรึกษา แต่ครูคือผู้ที่อยู่กับเด็กๆตลอดเวลา เป็นอีกผู้หนึ่งที่อยู่ในช่วงเวลานั้นๆของชีวิตเด็ก ทางโรงเรียนจึงให้ความสำคัญกับคุณครูมากเช่นกัน

สิ่งที่ไม่ใช่งานของคุณครูจะถูกดึงออกไป

เพื่อให้คุณครูได้ใส่ใจและดูแลเด็กๆ อย่างเต็มที่

เพื่อให้คุณครูใช้เวลาออกแบบและโฟกัสกับกิจกรรมในชั้นเรียน รวมถึงการสังเกต คิด วิเคราะห์ แก้ไขปัญหา

การ Upskill Reskill คุณครูอยู่สม่ำเสมอทำให้คุณครูมีโอกาสเรียนรู้และพัฒนาตนเองไปด้วยเช่นกัน

คุณครูคือสื่อกลาง ต้องเข้าใจผู้ปกครอง เข้าถึงจิตใจของเด็กๆ ผนึกกำลังร่วมกับนักจิตวิทยา โรงเรียนจึงไม่ใช่แค่มาเพื่อเรียน แต่มาเพื่อเรียนรู้ ศึกษาและพัฒนาความเป็นมนุษย์ร่วมกันไปของทั้งสถาบันครอบครัวและโรงเรียน

 

นักจิตวิทยาประจำชั้น

นักจิตวิทยาในโรงเรียน…ช่วยดูแลเรื่องสุขภาพจิตของนักเรียน ซึ่งดูแลในที่นี้คือในเชิงป้องกันปัญหา และให้ความรู้ต่างๆ เกี่ยวกับการจัดการอารมณ์ ทักษะชีวิต ถ้าเจอเพื่อนแกล้ง เราต้องพูดยังไง สื่อสารกับเพื่อนยังไง สิ่งเหล่านี้จะเป็นการป้องกันและลดความเสี่ยงที่จะพัฒนาไปเป็นโรคทางจิตในอนาคต

นักจิตวิทยาประจำโรงเรียนอัสสัมชัญจะคอย support ทั้งคุณครูและผู้ปกครอง ดูแลใส่ใจเด็กๆทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน

หากมีเรื่องราวเกิดขึ้น การ Alarming หรือ Monitoring จากคุณครู จะรวดเร็ว ทางโรงเรียนสามารถดำเนินการได้ทันท่วงที

โรงเรียนอัสสัมชัญ

คุณภราดาศุภนันท์ ขันธปรีชา ผู้อำนวยการโรงเรียน

 

Mommy’s Love This ถูกใจแม่!

โรงเรียนปรับ คุณครูเปลี่ยน รูปแบบการเรียนการสอนและบทบาทคุณครูเปลี่ยนไป ทำให้ความสามารถและตัวตนของเด็กๆเปล่งประกายออกมา

เด็กๆทุกคนจะได้เรียนศิลปะ ดนตรี เปียโน เพราะสุนทรียะทำให้เด็กๆเกิด สติ สมาธิและอยู่ใกล้ชิดตนเองได้ง่าย ช่วยกล่อมเกลาให้เด็กๆมีความอ่อนโยน แล้วยังช่วยทำให้สมองสองด้านทำงานประสานกันอย่างมีประสิทธิภาพ

ความหลากหลายของชมรมที่โรงเรียนเตรียมไว้ให้ลูกๆ ชิมลาง เช่น หมากล้อม คำคม SPACE ACP and Robotic Monfort Coding โดรน ว่ายน้ำ ฟุตบอล บาสเก็ตบอล แบดมินตัน E-Sport ปิงปอง ติดอาวุธทางภาาา Crossword&Games Audience Reviews The Challenge Club ชมรมศิลปะ ดนตรีพื้นเมือง ดนตรีโยธวาทิต อนุรักษ์โขนไทย วงสตริงคอมโบ พับกระดาษ

Swis App สายตรงจากผู้ปกครอง คุณพ่อคุณแม่สามารถสะท้อนเรื่องราวหรือปัญหาต่างๆเพื่อให้เกิดการดำเนินการได้

ความเท่าเทียมกันในหมู่นักเรียน ตั้งแต่การปรับ แก้ไขและปูพื้นฐานให้เท่ากันตั้งแต่ ป.1 จนถึงการดูแลและร่างกาย จิตใจ

เด็กทุกคนมีตัวตนในโรงเรียนเสมอ ช่วยเหลืองานในโรงเรียนได้ ทีมงาน ช่างภาพ ตัดต่อวิดีโอ ฯลฯ enjoy สุดๆไปเลย

บางวันที่เด็กมี bad day จะมีคนมา support อยู่เสมอ จนรู้สึกสบายใจ

 

โรงเรียนอัสสัมชัญแผนกประถม ค่าเทอม

หลักสูตรสถานศึกษา (Regular Program)

ค่าเทอมและค่าใช้จ่ายในการศึกษาประมาณ 80,000 บาท / ปี

ค่าเทอมและค่าใช้จ่ายของหลักสูตร English Program และแผนการเรียน Chinese – English Program

โปรดติดต่อสอบถามทางโรงเรียนโดยตรง

 

ที่อยู่ โรงเรียนอัสสัมชัญ แผนกประถม

(Assumption College Primary Section)

164 ซอยสาทร11 สาทรใต้

ถนนสาทร กรุงเทพมหานคร 10120

โทรศัพท์ : 0-2675-6970-83

Email : [email protected]

Assumption College Primary Section – www.acp.ac.th


อ่านต่อบทความโรงเรียนอื่นๆ น่าสนใจ คลิก ⇓