ข้าวมันไก่

ทุกบ้านต้องระวัง! เชื้อก่อโรคใน ข้าวมันไก่

Alternative Textaccount_circle
event
ข้าวมันไก่
ข้าวมันไก่

ทุกบ้านต้องระวัง! เชื้อก่อโรคใน ข้าวมันไก่

หนึ่งในอาหารยอดนิยมของหลาย ๆ บ้าน แน่นอนว่าต้องมี ข้าวมันไก่ อยู่ในนั้นแน่ ๆ ไม่ว่าจะไปที่ไหน เราก็จะเห็นร้านข้าวมันไก่เสมอ ทั้งในรูปแบบร้านนั่งกิน ร้านรถเข็น ในตลาดสด ห้างสรรพสินค้า แต่ข้าวมันไก่ก็มีเชื้อที่ก่อโรคให้เราต้องระวังเหมือนกันนะคะคุณพ่อคุณแม่ จะป้องกันและระวังอย่างไรมาดูกันค่ะ

เชื้อก่อโรคใน ข้าวมันไก่

ช่วงหน้าร้อนนี้การเลือกทานอาหารจะต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะอากาศที่ร้อนจะทำให้อาหารเน่าเสียง่าย และทำให้มีเชื้อก่อโรคปนเปื้อน เช่น สแตปฟิโลค็อคคัส ออเรียส

เชื้อโรคมาจากไหน

เชื้อชนิดนี้พบได้ในอากาศ ฝุ่น ขยะ น้ำ อาหารที่ทำจากเนื้อสัตว์ สัตว์ปีก ไข่ และพบอยู่ตามทางเดินหายใจ ลําคอ เส้นผมและผิวหนังของคน ฉะนั้น อาหารที่ต้องสัมผัสมือผู้ปรุงหลังปรุงสุกและเก็บไว้ในอุณหภูมิที่ไม่เหมาะสมเป็นเวลานาน ๆ อาจทำให้มีเชื้อชนิดนี้ปนเปื้อนได้ อย่างเช่น ข้าวมันไก่ที่ขณะรอขาย ผู้ขายมักวางเนื้อไก่ต้มและข้าวมันไว้ที่อุณหภูมิห้องเป็นเวลานานและไม่อุ่นให้ร้อนก่อนเสิร์ฟหรือขายให้ลูกค้า

ข้าวมันไก่
ทุกบ้านต้องระวัง! เชื้อก่อโรคใน ข้าวมันไก่

พบสารปนเปื้อนเกินมาตรฐาน

สถาบันอาหาร กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ได้เก็บตัวอย่างข้าวมันไก่จำนวน 5 ตัวอย่าง จาก 5 ร้าน ในเขตกรุงเทพฯ เพื่อนำมาวิเคราะห์เชื้อ สแตปฟิโลค็อคคัส ออเรียส ปนเปื้อน ผลปรากฏว่ามีข้าวมันไก่ 1 ตัวอย่าง พบเชื้อ สแตปฟิโลค็อคคัส ออเรียส ปนเปื้อนเกินเกณฑ์มาตรฐานของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ที่กำหนดให้อาหารพร้อมบริโภคทั่วไปพบเชื้อ สแตปฟิโลค็อคคัส ออเรียส ปนเปื้อนได้ไม่เกิน 100 ซีเอฟยู/กรัม

อาการเมื่อได้รับเชื้อจาก ข้าวมันไก่

เมื่อเราได้รับเชื้อสแตปฟิโลค็อคคัส ออเรียส เข้าสู่ร่างกาย จะทำให้เกิดอันตรายคือ เกิดโรคอาหารเป็นพิษ ทำให้มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง อ่อนเพลีย รายที่รุนแรงจะมีอาการปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ ความดันเปลี่ยนแปลง อาการจะดีขึ้นภายใน 3 วัน

อาการโรคอาหารเป็นพิษ

  1. อาเจียนรุนแรง หรือถ่ายมากผิดปกติ (มากกว่า 8-10 ครั้งต่อวัน)
  2. มีไข้
  3. ซึม ไม่มีแรง อ่อนเพลีย มือเท้าเย็น
  4. ปัสสาวะสีเข้ม ปัสสาวะน้อย หรือไม่ปัสสาวะเกิน 6 ชั่วโมง
  5. หากเป็นเด็กเล็ก อาจมีอาการปากแห้ง ตาโหล ร้องไห้แบบไม่มีน้ำตา

อาหารเสี่ยงต่อการเกิดอาหารเป็นพิษ

  1. อาหารสด สุก ๆ ดิบ ๆ หรือผ่านความร้อนไม่เพียงพอ
  2. อาหารที่มีรสจัด เผ็ดจัด เปรี้ยวจัด หรือเค็มจัด
  3. อาหารหมักดอง อาหารกระป๋อง ที่พบว่ามีรอยบุบ รอยรั่ว หรือขึ้นสนิม
  4. อาหารที่ผลิตหรือปรุงไม่สะอาดเพียงพอ เช่น ใช้เขียงหั่นเนื้อสัตว์สดกับผักลวกร่วมกัน
  5. อาหารที่มีแมลงวันตอม
  6. อาหารที่ปรุงสุกตั้งแต่เช้า โดยไม่มีการอุ่นร้อน
  7. อาหารที่มีกะทิเป็นส่วนผสมแล้วปรุงทิ้งไว้นานหลายชั่วโมง
  8. น้ำแข็งที่ผลิตไม่ได้มาตรฐาน

วิธีดูแลตนเองเมื่อมีอาการอาหารเป็นพิษ

  • ปกติสามารถหายได้เองภายใน 24-48 ชั่วโมง โดยให้รักษาตามอาการคือ รับประทานเกลือแร่ทดแทนและยาแก้คลื่นไส้ อาเจียน
  • งดรับประทานอาหารประเภทนม ผลไม้ อาหารรสจัด อาหารสุก ๆ ดิบ ๆ อาหารหมักดอง
  • พักผ่อนให้มากขึ้น ดื่มน้ำมาก ๆ งดการทำกิจกรรมหนัก ๆ เช่น ออกกำลังกาย ทำงานบ้านหนัก ๆ
  • ไม่จำเป็นต้องรับประทานยาปฏิชีวนะ หากอาการไม่ดีขึ้นให้รีบพบแพทย์

การรักษาอาหารเป็นพิษ

เนื่องจากผู้ที่ป่วยเป็นอาหารเป็นพิษส่วนใหญ่มีอาการไม่รุนแรง และไม่จำเป็นต้องใช้ยาปฏิชีวนะในการฆ่าเชื้อ จึงเป็นการรักษาตามอาการของผู้ป่วยแต่ละคน ซึ่งมีแนวทางดังนี้

  • หากมีอาการคลื่นไส้อาเจียน ให้รับประทานยาบรรเทาอาการคลื่นไส้
  • หากมีอาการท้องเสีย ให้ดื่มน้ำเกลือแร่เพื่อทดแทนน้ำที่สูญเสียไป โดยค่อย ๆ จิบ จนกว่าอาการท้องเสียที่เป็นอยู่จะดีขึ้น
  • หากมีไข้ ให้รับประทานยาลดไข้ เช่น พาราเซตามอล

ในกรณีที่ต้องรักษาด้วยการให้ยาปฏิชีวนะ แพทย์จะพิจารณาให้ยาปฏิชีวนะกับผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง หรือภูมิคุ้มกันต้านทานโรคต่ำ เพื่อช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่มีอยู่ในร่างกาย

ขอบคุณข้อมูลจาก
ไทยรัฐออนไลน์,โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

WHOเตือน ! พบเด็ก ป่วยโรคตับอักเสบเฉียบพลัน 

แชร์เตือน!ลูกไม่สบตาอย่าปล่อยผ่านอาจสายตายาว ตาเหล่ ได้

อย่าคิดว่าเรื่องเล็ก! ลูกอาจทรมานเพราะ หอบ หืดในเด็ก

เรื่องที่คนอ่านมากสุด

keyboard_arrow_up