Page 12 – AMARIN Baby And Kids – เพื่อลูกฉลาดและมีความสุข

โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย

เปิดรั้ว พาทัวร์โรงเรียนชายล้วนที่แรกของไทย! โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย โดดเด่นทั้งวิชาการ กิจกรรม กีฬา และคาแรคเตอร์

หากเรากล่าวถึงโรงเรียนอันดับต้น ๆ ในประเทศไทย เราจะพบว่า โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย (เขตพระนคร) คือหนึ่งในนั้น นอกจากจะเป็น “ โรงเรียนหลวงแห่งแรก ” ในสยามประเทศที่มีชื่อเสียงในด้านคุณภาพของระบบการเรียนการสอนและกิจกรรมที่หลากหลายมาจนปัจจุบัน อีกทั้งยังทรงคุณค่าในด้านประวัติศาสตร์  การสืบสานประเพณีอันงดงาม สถาปัตยกรรมมรดกของชาติ และในปี พ.ศ. 2567 ยังครองแชมป์โรงเรียนที่มีจำนวนผู้มาสอบแข่งขันเป็นมากที่สุดอีกด้วย

จุดเด่นของโรงเรียนอีกด้าน คือ ความรัก ความภาคภูมิใจ ความผูกพัน ของศิษย์เก่าและศิษย์ปัจจุบันที่มีต่อโรงเรียน การคงไว้ซึ่งคุณภาพและความดีงามเป็นเวลายาวนานนับศตวรรษ..ทำได้อย่างไรนั้น?  ทีมแม่ ABK ขอรับหน้าที่พาไปเปิดรั้ว

โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย
พระบรมราชานุสาวรีย์ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว – ผู้ก่อตั้งโรงเรียน
โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย
โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย
โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย
อาคารและเครื่องใช้ชุดเดิมตั้งแต่สมัยก่อตั้งโรงเรียน
โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย
วิวัฒนาการเครื่องแบบนักเรียนตั้งแต่ พ.ศ. 2425 – ปัจจุบัน

เรื่องน่ารู้ของสวนกุหลาบฯ

  • โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย ก่อตั้งโดย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) ได้รับการสถาปนาขึ้นในวันที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2425
  • ในขณะนั้นเรียกว่า “โรงเรียนพระตำหนักสวนกุหลาบ” มีทั้งระบบการฝึกหัดอย่างทหาร และ เรียนแบบสามัญ
  • สีประจำโรงเรียน : ชมพู – ฟ้า
    • สีชมพู เป็นสีประจำวันพระราชสมภพในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
    • สีฟ้า เป็นสีประจำวันพระราชสมภพในสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถฯ
  • อาคารสวนกุหลาบ หรือ ตึกยาว ถือเป็นสถานที่ที่เป็นเอกลักษณ์สำคัญของโรงเรียน
  • ถูกสร้างเพื่อใช้เป็นที่เล่าเรียนและที่อยู่ของนักเรียน – นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ทุกรุ่นจะใช้ชั้น 2 เป็นห้องเรียน เพื่อให้นักเรียนใหม่ใช้ชีวิตและสร้างความผูกพันกับสถานที่อันเป็นจิตวิญญาณของชาวสวนกุหลาบ
  • ตึกยาวเป็นสถาปัตยกรรมแบบนีโอคลาสสิค ปัจจุบันขึ้นทะเบียนกรมศิลปากรเป็นโบราณสถานของชาติ (ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2530)เป็นอาคารเรียนที่ยาวที่สุดในประเทศไทย – ชั้นล่างเป็นพิพิธภัณฑ์การศึกษาฯ ห้องรับรอง ห้องสำนักงาน
  • อัตลักษณ์สุภาพบุรุษสวนกุหลาบฯ : เป็นผู้นำ รักเพื่อน นับถือพี่ เคารพครู กตัญญูพ่อแม่ ดูแลน้อง สนองคุณแผ่นดิน
  • จัดการเรียนการสอนเป็นรูปแบบ Active Learning เพื่อให้นักเรียนได้เรียนรู้รอบด้าน ทดลองผิดถูก เรียนรู้ให้เกิดประสบการณ์
โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย
โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย
วันนี้นักเรียนชั้น ม.1 มาเรียนรู้กันที่ห้องสมุดค่ะ
โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย
คลาสเรียนคอมพิวเตอร์ภายในอาคารสวนกุหลาบรำลึก (อาคาร 6)
โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย
อบอุ่นร่างกายก่อนเตะฟุตบอล
โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย
วันนี้มีคณะนักเรียนภายนอกมาเข้าเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ นักเรียนจากชุมนุม UNESCO รับหน้าที่เป็นมัคคุเทศก์ค่ะ

Ready วางอนาคตตั้งแต่ ม.ต้น

หลังจากที่เด็ก ๆ ผ่านการสอบคัดเลือกเข้าระดับชั้น ม.1 แล้ว จะเข้าเรียนตามห้องเรียนโครงสร้างต่าง ๆ  มีทั้งสิ้น 3 โครงสร้างซึ่งทุกโครงสร้างมุ่งเน้นให้เด็ก ๆ ค้นพบตัวเอง เรียนรู้อย่างมีคุณภาพและมีความสุขค่ะ

  1. ห้องเรียนโครงสร้างหลักสูตรความเป็นเลิศ วิทยาศาสตร์ – คณิตศาสตร์ (Gifted And Talented Education Program : GATE Program)
  • เรียนรู้วิชาพื้นฐานและเพิ่มเติมอย่างเข้มข้น (เนื้อหา + เข้าห้อง Lab)
  • มีกิจกรรมเสริมหลักสูตร ในรูปแบบกิจกรรมและค่ายพัฒนา (คุณลักษณะ + สร้างแรงบันดาลใจ เพื่อต่อยอดให้เด็กๆค้นพบศักยภาพของตัวเอง)
  1. ห้องเรียนโครงสร้างหลักสูตรการจัดการเรียนการสอนตามหลักสูตรกระทรวงศึกษาธิการเป็นภาษาอังกฤษ (English Program : EPLUS+)
  • เนื้อหาตามหลักสูตรกระทรวงศึกษาฯ แต่จัดเต็มเป็นภาษาอังกฤษ
  • เน้นวิชาเพิ่มเติม : วิทยาศาสตร์บูรณาการ คณิตเชิงลึกตามสาขา ภาษาอังกฤษเพื่อชีวิตประจำวัน
  • เป้าหมาย คือ ให้เด็ก ๆ มีองค์ความรู้เพื่อพัฒนา Multiple intelligences และเตรียมความพร้อมสำหรับ ม.ปลายค่ะ
  1. ห้องเรียนโครงสร้างวิทยาศาสตร์คณิตศาสตร์ทั่วไป
  • เนื้อหาตามหลักสูตรแกนหลางและหลักสูตรสถานศึกษา
  • เรียนคณิตศาสตร์เพิ่มเติม วิทยาศาสตร์บูรณาการ การอ่าน + การใช้ภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวัน
  • ส่งเสริมความถนัด “ทุกด้าน” ของเด็ก ๆ
โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย
ความดั้งเดิมที่งดงาม
โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย
โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย
บรรยากาศภายนอกท้องฟ้าจำลองสิรินธร แหล่งเรียนรู้ส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพนักเรียนด้านดาราศาสตร์
โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย
บรรยากาศภายในชั้นเรียน

Set.Go เตรียมพร้อมสู่โลกกว้างนักเรียน ม.ปลาย

เป้าหมายหลักที่ชัดเจนของนักเรียนชั้น ม. ปลาย คือ การเรียนต่อในมหาวิทยาลัย มีการสอบคัดเลือกนักเรียนเพิ่มเติมในระดับชั้น ม.4 บางส่วน ( จำกัดที่นั่ง ) มีทั้งสิ้น 8 โครงสร้างค่ะ ได้แก่

  1. โครงสร้างหลักสูตรความเป็นเลิศ วิทยาศาสตร์คณิตศาสตร์ (Gifted And Talented Education rogram : GATE Program)
  2. ห้องเรียนโครงสร้างหลักสูตรการจัดการเรียนการสอนตามหลักสูตรกระทรวงศึกษาธิการเป็นภาษาอังกฤษ (English Program : EPLUS+) มีภาษาที่สาม ได้แก่ ภาษาจีน และ ภาษาญี่ปุ่น เพื่อเพิ่มทางเลือกในการศึกษาต่อด้วยค่ะ
  3. โครงสร้างห้องเรียนพิเศษวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อม (Enrich Program of Science Mathematics Technology and Environment : SMTE AKA Gifted Science) เรียนหลักสูตรเข้มข้น สสวท.
  4. โครงสร้างห้องเรียนพิเศษคณิตศาสตร์ (Gifted Math) คัดเลือกจากนักเรียน ม.3 เดิมที่ถนัดวิชาคณิตศาสตร์
  5. โครงสร้างวิทยาศาสตร์คณิตศาสตร์ภาษา เป็นห้องเรียนที่เรียนภาษาที่สามเพิ่มเติม ได้แก่ ภาษาจีน ภาษาญี่ปุ่น ภาษาฝรั่งเศส เพื่อเพิ่มโอกาสในการสอบเข้ามหาวิทยาลัยทั้งในและต่างประเทศ
  6. โครงสร้างวิทยาศาสตร์คณิตศาสตร์ หลักสูตรทั่วไป
  7. โครงสร้างคณิตศาสตร์ภาษาอังกฤษ (ศิลป์คำนวณ)
  8. โครงสร้างภาษา (ภาษาจีน ภาษาญี่ปุ่น หรือภาษาฝรั่งเศส)

วิชาการแน่น

  • ส่งเสริม + พัฒนาศักยภาพอย่างเต็มที่ เน้นทั้งทฤษฎี และ ปฏิบัติทั้งวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ ภาษาอังกฤษ
  • ด้านทฤษฎีได้แล้วเราก็มาลงมือปฏิบัติกันค่ะ ทุกโครงสร้างจะมีกิจกรรมเสริมหลักสูตรที่สอดคล้องกับโครงสร้างหลักแต่ละสาขา ( มีทั้งที่คล้ายคลึง และ แตกต่างกัน ) ได้แก่ Project Base Learning + กิจกรรมค่ายโครงงานสร้างสรรค์การนำเสนอโครงงาน Project symposium + กิจกรรมเปิดโลกการเรียนรู้ + การเข้าร่วมแข่งขันทางวิชาการด้านต่าง ๆ ..กิจกรรมทำให้นักเรียนได้นำความรู้ไปใช้งานจริง ไม่ใช่แค่ทบทวนสิ่งที่เรียนรู้ไปแล้วเท่านั้น แต่ยังทำให้เกิดความรู้ใหม่ ๆสำหรับนักเรียนให้ได้ไปขบคิดต่อกันอีกนะคะ
  • นักเรียนจะได้ศึกษาค้นคว้าด้วยตัวเอง
  • มีกิจกรรมส่งเสริมความถนัดของนักเรียน
โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย
สนามกีฬาแห่งแรกในประเทศไทยและอาคารศาลาพระเสด็จ (อาคาร 4)
โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย
Open Lab ภายในอาคาร 4 ที่นักเรียนสามารถเข้ามาใช้งานได้ตลอด
โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย
Graffiti หรือ Street Art
โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย
วันนี้คณะนักเรียนจากโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย รังสิตมาเยี่ยมที่โรงเรียนค่ะ
โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย
อาคารปิยมหาราชานุสรณ์ ด้านล่างเป็นโรงอาหาร มีห้องกีฬา โรงยิม ห้องดนตรีไทย ห้องดนตรีสากล

กิจกรรม : ความสร้างสรรค์ที่สรรค์สร้าง “สุภาพบุรุษสวนกุหลาบ”

Character

ทุกกิจกรรมของโรงเรียน  นักเรียนจะมีส่วนร่วมในกิจกรรมเสมอ เพราะ

  1. เป็นการสร้างภาวะความเป็นผู้นำ
  2. เรียนรู้การเข้าสังคม และ ทำงานร่วมกับผู้อื่น
  3. สร้างความมั่นใจ และ กล้าแสดงออก
  4. สร้างความสนุกสนาน
  5. เรียนรู้การเสียสละ (เพื่อส่วนรวม)
  6. แก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า

Character เป็นอีกอย่างที่เรียนรู้ได้จากประสบการณ์ จึงไม่น่าแปลกใจเลยค่ะว่าทำไมนักเรียนสวนกุหลาบถึงได้มีความสามารถรอบด้าน ดังคำขวัญที่ว่า “กิจกรรมสร้างคน คนสร้างกิจกรรม” ตัวอย่างรายชื่อกิจกรรม : งานชุมนุมลูกเสือ – เนตรนารีสวนกุหลาบสัมพันธ์ | การแข่งขันกรีฑาสวนกุหลาบสัมพันธ์ | วันท่องแดนสวน – ค่ายปฐมนิเทศ | วันมหัศจรรย์สุภาพบุรุษสวนกุหลาบ | วันละอ่อน วันรับขวัญเสมา | วันแนะนำกิจกรรม | วันสมานมิตร | วันปิยมหาราช | การแข่งขันฟุตบอลจตุรมิตรสามัคคี | เลือกตั้งประธานนักเรียนใหม่ | วันจากเหย้า | วันคล้ายวันสถาปนาโรงเรียน

กีฬาที่ไม่เป็นรองใคร

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ฟุตบอล บาสเก็ตบอล ว่ายน้ำ ได้รับการสนับสนุนจากศิษย์เก่า ผู้ปกครอง องค์กร ในการอำนวยความสะดวกในด้านต่างๆ จนสามารถสร้างผลงานเป็นที่ประจักษ์หลายรายการเลยทีเดียว

เครือข่าย โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย มีวัฒนธรรมองค์กรที่ชัดเจน นักเรียนผูกพันกับโรงเรียนและกลับมาช่วยพัฒนาโรงเรียน มีการดูแลกันระหว่าง รุ่นพี่ – รุ่นน้อง ครู -ลูกศิษย์ ทั้งตอนที่เรียนอยู่และหลังจากที่จบออกไป

โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย
โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย
นาฬิกาได้รับการสนับสนุนจากศิษย์เก่า (OSK) ของโรงเรียน มีการสร้าง gimmick เล็กน้อยเพื่อบอกถึงชื่อรุ่นด้วยค่ะ
โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย
สระว่ายน้ำได้รับการสนับสนุนจากเครือข่ายศิษย์เก่า (OSK) เช่นกัน
โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย
อาคาร 123 ปีสวนกุหลาบวิทยาลัย
โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย
สนามฟุตบอลขนาดใหญ่

Mommy Love This! ถูกใจแม่

  1. ด้านวิชาการ – สบายใจหายห่วงเพราะหลักสูตรของโรงเรียนเข้มข้นตั้งแต่ ม.1 แถมยังเป็นการเรียนแบบ Active Learning คิดก็เก่ง ทำก็เป็น อย่างนี้คุณพ่อคุณแม่ยิ้มและกดไลค์แน่นอนค่ะ
  2. ด้าน EQ โดดเด่น เพราะเด็ก ๆ ได้ทำกิจกรรมต่าง ๆ มากมาย ประสบการณ์ที่หลากหลายจะช่วยสร้างให้เด็ก ๆ เก่งรอบด้าน แก้ไขปัญหาได้ รู้จักช่วยเหลือ ทำประโยชน์ให้ตนเองและสังคมได้
  3. การส่งเสริมความถนัดในรูปแบบที่หลากหลาย ทั้งกิจกรรมในหลักสูตร หรือ เสริมหลักสูตร การเข้าร่วมแข่งขันด้านต่าง ๆ ชุมนุมในโรงเรียน ทำให้เห็นว่าโรงเรียนไม่ทิ้งความสามารถของเด็กๆคนไหนไว้เบื้องหลังเลย
  4. มีการเรียนการสอนเสริมในวันเสาร์ตามความสมัครใจ
  5. เครือข่ายที่มั่นคง (จะเรียกว่าเป็น DNA ของชาวสวนกุหลาบเลยก็ว่าได้ค่ะ)
  6. ร้านอาหารในโรงเรียนเยอะมาก (ประมาณ 24 หรือ 25 ร้าน)
  7. วิชาการ กีฬา การงาน คอมพิวเตอร์ ดนตรีใดๆ ต่อยอดและไปต่อกันได้ที่ชมรม/ชุมนุม ที่มีกิจกรรมกันตลอดทั้งปี – มีกว่า 45 ชุมนุมเลยนะคะ (พบกันได้ในวันแนะนำชุมนุม)
  8. นักเรียนมีสิทธิ มีเสียง แสดงออกได้ แสดงความคิดเห็นได้
  9. ความอบอุ่น และ สายสัมพันธ์ (โรงเรียน – ครู – รุ่นพี่ – รุ่นน้อง – เครือข่ายต่างๆ) ทำให้นักเรียนสวนกุหลาบเข้าถึงความรู้สึก “รักและเป็นส่วนหนึ่ง” ของโรงเรียน

อัตราค่าเล่าเรียนต่อเทอม (1 ปีการศึกษามี 2 เทอม)

มัธยมต้น

  • GATE PROGRAM ประมาณ 12,500 บาทต่อเทอม (ไม่รวมค่าระดมทรัพยากร)
  • EPLUS+ ประมาณ 35,000 บาทต่อเทอม (ไม่รวมค่าระดมทรัพยากรและเงินสนับสนุนการจัดกิจกรรม)
  • โครงสร้างวิทยาศาสตร์ – คณิตศาสตร์ (ห้องเรียนปกติ) ประมาณ 3,500 – 4,500 บาทต่อเทอม (ไม่รวมค่าระดมทรัพยากร)

มัธยมปลาย

  • GATE PROGRAM ประมาณ 12,500 บาทต่อเทอม (ไม่รวมค่าระดมทรัพยากร)
  • EPLUS+ ประมาณ 40,000 บาทต่อเทอม (ไม่รวมค่าระดมทรัพยากรและเงินสนับสนุนการจัดกิจกรรม)
  • GIFTED SCIENCE และ GIFTED MATH ประมาณ 12,500 บาทต่อเทอม (ไม่รวมค่าระดมทรัพยากร)
  • โครงสร้างวิทยาศาสตร์ – คณิตศาสตร์ – ภาษา
  • โครงสร้างวิทยาศาสตร์ – คณิตศาสตร์ (หลักสูตรทั่วไป)
  • โครงสร้างคณิตศาสตร์ – ภาษาอังกฤษ (ศิลป์คำนวณ)
  • โครงสร้างภาษา (ภาษาจีน ภาษาญี่ปุ่น หรือภาษาฝรั่งเศส)
    • ประมาณ 3,500 – 4,500 บาทต่อเทอม (ไม่รวมค่าระดมทรัพยากร)

โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย

เลขที่ 88 ถนนตรีเพชร แขวงวังบูรพาภิรมย์ เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร 10200

Editor : แม่พลอยผิง

ภาพ : ฤทธิรงค์ จันทองสุข


อ่านต่อบทความน่าสนใจ  

    เตรียมพร้อมสำหรับทุกการเรียนรู้ของลูก ด้วยสารอาหารดีๆ ใน S-26 Gold Pro UHT

    ช่วงเวลาตั้งแต่ลูกแรกเกิดไปจนถึง 2 ขวบแรก ถือว่าเป็นช่วงเวลาทองของสมอง ที่สมองของลูกจะมีการเติบโตเพิ่มขึ้นถึง 300% ทำให้ลูกมีพัฒนาการทางสมองและการเรียนรู้ที่รวดเร็ว ลูกจึงเริ่มเรียนรู้สิ่งใหม่ อยากรู้อยากเห็น รู้สึกสนใจและอยากค้นหาทุกอย่างในโลกกว้าง คุณพ่อคุณแม่สามารถส่งเสริมพัฒนาการของลูกรักให้รอบด้าน ทั้งทางด้านร่างกายด้วยการส่งเสริมให้ลูกได้เคลื่อนไหวในรูปแบบต่าง ๆ ฝึกใช้กล้ามเนื้อมัดเล็กและมัดใหญ่ หยิบจับสิ่งของด้วยตัวเอง รวมไปถึงฝึกทักษะในการใช้ชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการสื่อสารความต้องการของตัวเอง ไปจนถึงทักษะการแก้ปัญหาง่าย ๆ ด้วยตนเอง โดยคุณพ่อคุณแม่สามารถเสริมทักษะของลูกได้ ด้วยการชวนให้ลูกเล่นเสริมพัฒนาการและพาลูกออกไปทำกิจกรรมนอกบ้าน รวมไปถึงการเสริมสารอาหารที่จำเป็นสำหรับการพัฒนาสมองของลูกรักอย่างสฟิงโกไมอีลิน

    นมยูเอชที S-26 Gold Pro UHT มาพร้อมสูตรที่เหนือกว่าเดิม* เพิ่มสฟิงโกไมอีลินถึง 150% และ ดีเอชเอ 3 เท่า* ซึ่งดีเอชเอเป็นกรดไขมันชนิดไม่อิ่มตัว ที่ร่างกายไม่สามารถสร้างขึ้นเองได้ จึงจำเป็นต้องได้รับจากอาหารเท่านั้น นมยูเอชที S-26 Gold Pro UHT จึงเหมาะสำหรับเด็กวัยเรียนรู้ อายุ  1 ปีขึ้นไปและทุกคนในครอบครัว มีรสจืด หอม อร่อย ดื่มง่าย

    S-26 Gold Pro UHT อร่อย ดื่มง่าย เตรียมลูกให้พร้อมสู่โลกกว้างอย่างสร้างสรรค์

    จุดเริ่มต้นที่แตกต่างในวัยเด็กสามารถส่งผลต่อโอกาสที่จะประสบสำเร็จในอนาคตได้ เตรียมความพร้อมให้สมองของลูกพร้อมเรียนรู้ให้มากที่สุด พร้อมเปิดรับประสบการณ์ใหม่ มีพัฒนาการที่หลากหลาย สามารถออกไปเผชิญโลกกว้างได้อย่างสร้างสรรค์ ทันต่อโลกที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วจนเกินการคาดเดา ด้วยนมยูเอชที S-26 Gold Pro UHT ที่อุดมไปด้วยสารอาหารส่งเสริมการพัฒนาสมอง

     

    * เมื่อเทียบกับ S-26 Gold UHT

      Tags

      โรงเรียนสยามสามไตร

      โรงเรียนสยามสามไตร โรงเรียนวิถีไทย วิถีธรรมชาติ วิถีพุทธ พัฒนาเด็กให้เก่ง ดี และมีความสุข

      วันนี้ School Visit จะพามาดูหลักสูตรและแนวทางการเรียนการสอนของโรงเรียนวิถีพุทธ ย่านสุขุมวิท ที่มีประสบการ์ณในการสอนเด็ก ๆ มายาวนาน กว่า 40 ปี ที่มีชื่อว่า โรงเรียนสยามสามไตร

      โรงเรียนสยามสามไตร ก่อตั้งเมื่อ ปี  พ.ศ. 2523  เป็นโรงเรียนเอกชนขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) กระทรวงศึกษาธิการ ใช้หลักสูตรพื้นฐานตรงตามกระทรวงศึกษาธิการ นำมาผสมผสานกับแนวทางการสอนแบบวิถีพุทธ ปัจจุบันเปิดสอนตั้งแต่ ระดับชั้นอนุบาล-ประถมศึกษาตอนปลาย มีจุดมุ่งหมายเพื่อจัดการศึกษาที่ดีและสร้างสังคมที่น่าอยู่ให้แก่ลูกหลานไทย และพัฒนามนุษย์ให้เป็นคนที่สมบูรณ์ ทั้งทางโลกและทางธรรม  เน้นฝึกกายและจิตเพื่อให้เด็กเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณสมบัติการเป็นผู้นำที่ดี ต่อตนเองและสังคมโลก

      โรงเรียนสยามสามไตร

      บริเวณทางเข้าโรงเรียน

      โรงเรียนสยามสามไตร

      เด็กนักเรียนนั่งรอรับประทานอาหารกันอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย

            โรงเรียนสยามสามไตร โรงเรียนสยามสามไตร โรงเรียนสยามสามไตร

      บรรยากาศห้องเรียนของน้องอนุบาลและพี่ประถม

      โรงเรียนสยามสามไตร

      อุปกรณ์และสื่อการสอนครบครัน

       

      วิถีพุทธและวิถีไทย

      โรงเรียนพัฒนาเด็กทั้งสองด้านทั้งด้านซ้ายและขวา เหมือนมนุษย์เราที่มีแขนทั้งข้างซ้ายและข้างขวา

      ด้านซ้ายคือกิจกรรมที่มีอยู่ในชีวิตประจำวัน ส่วนด้านขวาคือด้านแห่งการเรียนรู้ สองด้านจะประกอบกันเป็นองค์รวมกลายเป็นเด็ก 1 คน โรงเรียนสอนให้เด็กมีการกินอยู่แบบไทย มีมารยาทที่ดี เรียนรู้ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมไทย รวมไปถึงการละเล่นแบบไทยและดนตรีไทยด้วย เพื่อปลูกฝังความเป็นไทยให้กับเด็ก ๆ

      การฝึกวิถีแบบสยามสามไตรจะเริ่มตั้งแต่เด็กเข้ามาภายโรงเรียน ได้เรียนรู้เรื่อง วิถีประจำวัน เช่น การสวัสดีคุณพ่อคุณแม่ สวัสดีคุณครู การกราบพระพุทธรูป กราบพระสงฆ์ เด็กจะรู้ความหมายของสิ่งที่กระทำ ไม่ได้ทำโดยถูกบังคับแต่เป็นการกระทำจากหัวใจ ส่วนวิถีประจำสัปดาห์คือ การใส่บาตรวันพระ เด็ก ๆ จะเตรียมอาหารมาใส่บาตรที่โรงเรียนทุกวันพระ วิถีประจำปีหรือฤดูกาล คือวันพระใหญ่ เช่น วันเข้าพรรษา  โรงเรียนสอดแทรกธรรมะให้กับเด็ก ๆ  ให้เด็ก ๆ ได้เรียนรู้หลักชาวพุทธอย่างเป็นธรรมชาติ  และฝึกให้เด็กมีศีลธรรมและจริยธรรม เพื่อให้เด็กมีความดีนำและมีความเก่งตาม สามารถแก้ปัญหาต่าง ๆ ในชีวิตได้ โดยใช้หลักธรรมมะเข้ามาช่วยแก้ปัญหา เพราะในโลกอนาคตเด็กจะเก่งเพียงอย่างเดียวไม่ได้ การเรียนรู้ธรรมมะ จะช่วยให้เด็กไม่ได้มองเห็นปัญหาเป็นเรื่องใหญ่

      โรงเรียนสยามสามไตร

      โรงเรียนสยามสามไตร

      เด็ก ๆ จะมากราบไหว้ พระพุทธรูป ที่โรงเรียนทุก ๆ เช้าก่อนเข้าเรียน และสวัสดีคุณพ่อคุณแม่และคุณครู เป็นวิถีประจำวันของนักเรียนทุกคน

      โรงเรียนสยามสามไตร

      การออกแบบแต่ละส่วนของโรงเรียน แฝงไปด้วยข้อคิดจากธรรมมะ

      โรงเรียนสยามสามไตร โรงเรียนสยามสามไตร

      เด็กนักเรียนทุกคนจะได้เรียนดนตรีไทย เพื่ออนุรักษ์ความเป็นไทยและยังช่วยฝึกสมาธิ ฝึกความจำและได้ทักษะในหลาย ๆ ด้าน

       โรงเรียนสยามสามไตร โรงเรียนสยามสามไตร

      การละเล่น เตย หรือ บอลลูน ที่ช่วยฝึกทักษะในการวางแผน การทำงานร่วมกับผู้อื่น และพัฒนากล้ามเนื้อหลาย ๆ ด้าน

       

      กระบวนการเรียนรู้ที่ทำให้เกิดปัญญา บูรณาการ ด้วย 4 องค์

      • องค์ที่ 1 กายและจิต โรงเรียนสยามสามไตรสอนเด็กให้รู้จักตัวเอง รู้ทั้งกายและจิต มุ่งเน้นที่ร่างกายและตัวของฉัน ฝึกจิตใจให้เข้มแข็ง มั่นคง เก่งดีมีสุขและรู้จักการช่วยเหลือตนเอง รับผิดชอบตัวเอง ทำการงานชีวิต ช่วยเหลืองานบ้าน เพราะงานคือการเรียนรู้ที่จะช่วยให้เด็กพัฒนาตนเองได้ทั้งในชีวิตประจำวัน ในโรงเรียนและที่บ้าน
      • องค์ที่ 2 ครอบครัว สังคม ชุมชนและโลก เด็กที่โรงเรียนสยามสามไตร จะมีความเข้าใจ เห็นอกเห็นใจ ไม่ไหลตามในสิ่งที่ไม่ดี เพราะมีหลักและการฝึกจากองค์ที่ 1 คือกายและจิตที่แข็งแรง เมื่อเด็กมีองค์ที่ 1แล้วก็จะสามารถสร้างวัฒนธรรมที่ดีงาม ให้แผ่ขยายไปยังครอบครัว ชุมชน และสังคมโลก
      • องค์ที่ 3 ธรรมชาติ ช่วงเทอมปลาย เด็ก ๆ จะได้เรียนรู้และเข้าใจธรรมชาติรอบ ๆ ตัว เรียนรู้แผนที่ประเทศไทย ชื่อจังหวัด ดอกไม้ประจำจังหวัด สัตว์ป่า วัฒนธรรมของแต่ละจังหวัด เรียนรู้ทั้งเรื่อง พืช สัตว์ คน ของดีประจำจังหวัดและประเทศไทย รวมไปถึงการสอนให้เด็กรักธรรมชาติ โรงเรียนมีผู้เชี่ยวชาญหรือวิทยากรด้านธรรมชาติมาให้ความรู้และสอนเด็ก ๆ อยู่เสมอ เพราะธรรมชาติคือห้อง LAB ที่ใหญ่ที่สุดในโลกนี้ นอกจากนี้เด็ก ๆ ชั้นประถม ยังได้ออกค่ายต่างจังหวัด ตามแหล่งธรรมชาติต่าง ๆ เพื่อให้เด็กเรียนรู้ผ่านประสบการ์ณจริง
      • องค์ที่ 4 เทคโนโลยี นอกจากนี้โรงเรียนยังสอนให้เด็กมีทักษะชีวิต เพื่อให้เด็กอยู่ในสังคมและโลกใบนี้อย่างมีความสุข และสอนให้เด็กใช้เทคโนโลยีอย่างเท่าทันและถูกต้อง ไม่ไหลไปตามกระแสและรู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงไปบนโลกนี้

       โรงเรียนสยามสามไตร

      การเรียนรู้เริ่มจากตนเอง ไปสู่สังคม ครอบครัว เพื่อน ธรรมชาติ และประเทศ ตามลำดับ

      โรงเรียนสยามสามไตร

      โรงเรียนสยามสามไตร โรงเรียนสยามสามไตร

       เด็ก ฝึกตนตาม “หลักชาวพุทธ” การทำงานชีวิต ด้วยตนเอง เพื่อสร้างนิสัย เริ่มจากการจัดเตรียมอาหารของตนเอง และล้างภาชนะเมื่อทานเสร็จ เป็นหน้าที่เด็กที่โรงเรียนสยามสามไตร จะกินเป็นอยู่เป็น หมายถึง กินอยู่ให้พอประมาณและรับประทานสิ่งที่มีประโยชน์ รู้จักบาลานซ์ชีวิต

      โรงเรียนสยามสามไตร

       เด็กประถมที่เพิ่งขึ้นมาจากอนุบาล จะได้รับการฝึกความรับผิดชอบ การจัดวางรองเท้า นับเป็นการสร้างวินัย คือ “ศีล” เห็นได้ชัดเจน จัดวางของเก็บของ จัดตารางเรียน เด็กจะภูมิใจในตนเอง นั่นคือการฝึกกายและจิต จัดหนังสือวางเรียงจากเล็กไปหาใหญ่ เป็นการพัฒนาสมองและกล้ามเนื้อต่างๆ การจัดวางรองเท้าให้เป็นระเบียบก็ถือเป็นการฝึกให้เด็กมีความรับผิดชอบ

       

      พัฒนาเด็กรอบด้าน

      โรงเรียนให้ความสำคัญทั้งทักษะทางวิชาการและทักษะชีวิต โดยใช้หลักสูตรพื้นฐานตรงตามกระทรวงศึกษาธิการ สาระความรู้ ทักษะเชิงวิชาการทั้ง 8 ทั้งภาษาไทย ภาษาอังกฤษ คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ดนตรี กีฬา ศิลปะ ผสมผสานกับวิถีพุทธ เพื่อพัฒนาเด็กให้รอบด้าน เด็ก ๆ จะได้เรียนรู้ทั้งในและนอกโรงเรียน โดยนำพุทธธรรมมาประยุกต์ใช้ในวิถีชีวิตอย่างเป็นธรรมชาติและเรียนรู้รอบด้านทั้งการเรียนและการใช้ชีวิต เน้นเรื่องการปฏิบัติการ ลงมือทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจ ทำให้ความรู้นี้ติดตัวเด็กไปตลอด เพราะเกิดความเข้าใจมากกว่าแค่การฟัง และสร้างภูมิคุ้มกันที่ดีและบ่มเพาะจิตใจให้แข็งแรง ด้วยพุทธศาสนา รู้จักตนเอง เรียนรู้โลกรอบตัว มีจริยธรรม นำความสามารถสู่ความสุข

      โรงเรียนสยามสามไตร โรงเรียนสยามสามไตร โรงเรียนสยามสามไตร

       เด็ก ๆ ช่วยคุณครูจัดวางอุปกรณ์การสอน และช่วยจัดเก็บในตอนท้าย เป็นเอกลักษณ์ของโรงเรียน คือเด็กได้ลงมือทำงานเองร่วมกับครู

      โรงเรียนสยามสามไตร โรงเรียนสยามสามไตร

      เด็ก ๆ ได้เรียนรู้เรื่องของตนเอง จากภายนอกสู่ภายใน และยังได้ฝึกการนำเสนองานของตนเองตั้งแต่เล็ก ๆ เพื่อสรุปองค์ความรู้ทั้งหมดที่ได้เรียนมา

       

      สถาปัตยกรรมอาคารเรียน

      โรงเรียนสยามสามไตรมีเนื้อที่กว่า 2 ไร่ มีขนาดไม่เล็กและไม่ใหญ่จนเกินไป ที่สำคัญคือการออกแบบให้ใช้พื้นที่อย่างคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด  ตัวสถาปัตยกรรมและอาคารเรียน ออกแบบโดย ดร.สุเมธ ชุมสาย ณ อยุธยา ศิลปินแห่งชาติ  ปรากฏเป็นเอกลักษณ์ระบบการศึกษาแนวพุทธสถาปัตยกรรมดีเด่น ประจำปี 2551 โดยสมาคมสถาปนิกสยาม ในพระบรมราชูปถัมภ์  ด้านหน้าโรงเรียนโดดเด่นด้วยแผงอัตลักษณ์ ระบบการศึกษาแนวพุทธ การสร้างเด็กให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ “ด เป็น ฅ”  ส่วนตัวอาคารเรียนเป็นตึกสูง 4 ชั้น ล้อมเป็นตัว  U มีคอร์ทตรงกลางเป็นสนามหญ้าเทียม ให้เด็กวิ่งเล่น ส่วนห้องเรียนและหอการเรียนรู้ เป็นเอกลักษณ์ตรงตามนโยบายวิถีไทย วิถีธรรมชาติ และวิถีพุทธ ออกแบบให้แสงธรรมชาติและลมพัดผ่านได้สบาย  บรรยากาศโรงเรียนร่มรื่นผ่อนคลาย เต็มไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ พืชพรรณไม้ป่าและไม้มงคลต่าง ๆ ให้เด็ก ๆ ได้เรียนรู้ธรรมชาติที่โรงเรียนไปในตัว ที่โรงเรียนมีสนามเด็กเล่น 2 จุด แยกส่วนกัน คือสนามเด็กเล่นสำหรับเด็กอนุบาลและฐานเครื่องเล่นสำหรับเด็กประถม เป็นฐานปีนป่ายท้าทายในแบบลูกเสือ ช่วยพัฒนากล้ามเนื้อต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี

      โรงเรียนสยามสามไตร โรงเรียนสยามสามไตร

      แผงอัตลักษณ์ “ด เป็น ฅ การสร้างเด็กให้เป็น มนุษย์ที่สมบูรณ์”

      โรงเรียนสยามสามไตร

      การออกแบบอาคารให้แสงสว่างส่องถึงและมีลมพัดผ่าน ช่วยทำให้อาคารเรียนไม่ร้อนและเย็นสบาย

      โรงเรียนสยามสามไตร โรงเรียนสยามสามไตร

      สนามเด็กเล่น เด็กอนุบาลและประถม พัฒนากล้ามเนื้อใหญ่ ปีน ไต่ มุด ลอด ลื่น ที่ท้าทาย ฐานลูกเสือแบบธรรมชาติ

      โรงเรียนสยามสามไตร

      อาจารย์อนินทิตา โปษะกฤษณะ (ครูหน่อย) ผู้บริหาร ผู้รับใบอนุญาตจัดตั้งโรงเรียน

      หม่อมหลวงผกามาลย์ เกษมศรี (ครูอ๋อ) ผู้อำนวยการโรงเรียน

      อาจารย์พลอย โปษะกฤษณะ (ครูหน่อย) ผู้จัดการโรงเรียน

       

      Mommy’s Love This ! ถูกใจแม่

      1. โรงเรียนฝึกให้เด็กมีความรับผิดชอบ ช่วยเหลือตนเองและช่วยแบ่งเบางานทั้งที่บ้านและโรงเรียน
      2. ที่โรงเรียนพาเด็ก ๆ ไปทัศนศึกษา มากถึงปีละ 6-8 ครั้ง โดยไม่เก็บค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม
      3. ในหนึ่งห้องมีเด็กเพียง 20-25 คน เด็กจำนวนน้อย คุณครูดูแลได้ทั่วถึงแน่นอน
      4. เด็กที่โรงเรียนสยามสามไตร มีเอกลักษณในเรื่องดนตรีไทย ที่นี่เป็นโรงเรียนดนตรีไทย 100 % เด็ก ๆ จะเริ่มเรียนตั้งแต่ประถม 2 โดยเริ่มจากขิม เพื่อฝึกสมองทั้งสองด้าน และสามารถเลือกเครื่องดนตรีไทยตามความสนใจ เมื่อขึ้นประถม 3 ซึ่งดนตรีไทยนอกจากช่วยฝึกสมาธิ ความจำและได้ทักษะในหลาย ๆ ด้าน ช่วยส่งผลให้การเรียนดีขึ้นด้วย
      5. เด็ก ๆ จะได้นั่งสมาธิก่อนเรียนทุกเช้า ช่วยปรับอารมณ์และช่วยให้เด็กมีสติ มีสมาธิก่อนการเรียนรู้ในแต่ละวัน

       

       

      อัตราค่าเล่าเรียน

      ระดับอนุบาลและประถม

      ค่าเทอม 50,000 บาท++  ต่อเทอม

       

       

      โรงเรียนสยามสามไตร

      สถานที่ตั้ง : 87 ซ.สุขุมวิท 89/1 แขวงบางจาก เขตพระโขนง กรุงเทพฯ 10260

      เบอร์โทรติดต่อ : 02-311-0134, 02-331-6258-60

      โทรสาร : 02-311-2575

      เว็บไซต์ : www.โรงเรียนสยามสามไตร.com

      E-mail : [email protected]

       

      Editor : แม่เลม่อน

      ภาพ :  ธนายุต วิลาทัน

        Family Well-Being

        8 สิ่งควรมี! FAMILY Well-Being สร้างสุขภาพกายใจที่ดี ให้ทุกคนในครอบครัว

        การสร้างความเป็นอยู่ที่ดีของครอบครัว หรือ FAMILY Well-Being ที่หมายรวมถึงการปลูกฝังพื้นฐาน “ความเป็นอยู่ที่ดี” ของทั้งครอบครัว การมีสายสัมพันธ์ที่ดีระหว่างพ่อแม่และลูก จะช่วยสร้างความเข้มแข็งภายในใจ ส่งผลให้ร่างกายแข็งแรงและมีสุขลักษณะที่ดี รวมถึงกินอาหารถูกโภชนาการ มีบ้านที่ปลอดภัยและสภาพแวดล้อมดี หรือส่งเสริมการเรียนรู้และทักษะชีวิตให้กับเด็ก และนี้คือ 8 สิ่งที่ควรมี เพื่อสร้างสุขภาพกายใจที่ดี ให้ทุกคนในครอบครัว

        1. เป็นกำลังใจให้กันและกันเสมอ

        พลังของการสนับสนุนซึ่งกันและกันในครอบครัวเป็นสิ่งสำคัญเสมอ กำลังใจและคำชมเชย เป็นคำสำคัญที่สร้างพลังงานหัวใจแบบ 100 %

        2. กำหนดเวลาของความสุขร่วมกัน

        เช่น รับประทานอาหารพร้อมกันวันละมื้อ สร้างเวลาคุณภาพ กำหนดเวลาปิดหน้าจอมีเดียต่างๆแล้วนั่งรออ่านหนังสือ หรือกิจกรรมที่ชอบร่วมกัน

        3. รับประทานอาหารที่ดี

        ในแต่ละมื้อควรมีสารอาหารครบ 5 หมู่และหลากหลาย หลีกเลี่ยงอาหารแปรรูป ปรุงแต่น้อย ปรุงสุกและสดใหม่

        4. จัดสิ่งแวดล้อมในบ้านให้ปลอดภัยและสะอาด

        เช่น ช่วยกันเก็บกวาดบ้าน จัดเก็บของให้เข้าที่มีระเบียบ วางแผนทำความสะอาดแบบเป็นขั้นตอนและช่วยกันทำได้ทั้งบ้าน

        5. สร้างสุขภาวะทางอารมณ์ที่มั่นคง

        เช่น การเปิดกว้างและรับฟัง เน้นการสื่อสารสองทาง เพื่อให้เกิดการพูดคุยอย่างมีภาวะทางอารมณ์ที่ดี มีสติ สร้างการสื่อสารอย่างถูกวิธีและเหมาะสม

        6. ออกแบบกิจกรรมสนุกๆและได้พลังร่วมกัน

        เช่น การออกกำลังกายแบบเน้นพลัง ได้ขยับกล้ามเนื้อต่างๆในร่างกาย เลือกกิจกรรมที่ทำพร้อมกันได้ทั้งครอบครัวและไม่มีค่าใช้จ่ายที่สูงจนเกินไป อย่าง วิ่ง แบตมินตัน หรือว่ายน้ำ เป็นต้น

        7. ส่งเสริมการเรียนรู้และทักษะชีวิตให้กับเด็ก

        สร้างสมดุลในชีวิตด้วยการใช้เทคโนโลยีอย่างพอดี สร้างการเรียนรู้อื่นเช่น ทักษะการใช้ชีวิตนอกบ้าน การปรับตัวกับผู้อื่น ทักษะการเอาตัวรอดยามคับขัน เป็นต้น

        8. ส่งต่อสิ่งดีๆ จากที่บ้าน สร้างความรับผิดชอบต่อสังคมรอบตัว

        เช่น การแยกขยะที่เด็กๆจะได้ใส่ใจและคิดถึงสิ่งแวดล้อมใกล้ตัว หรือการปลูกต้นไม้ สร้างอากาศบริสุทธิ์ ได้ใช้เวลาร่วมกัน ผ่อนคลายความเครียดและช่วยโลกใบนี้ไม่ให้ร้อนไปกว่านี้มีบ้านที่ปลอดภัยและสภาพแวดล้อมดี หรือส่งเสริมการเรียนรู้และทักษะชีวิตให้กับเด็ก

         

        ทั้งนี้การเลือกใช้ แบรนด์สินค้าและไลฟ์สไตล์แม่ลูกอันดับ 1 ในใจคนไทย ที่ใช้ดี มีประโยชน์ ถูกใจแม่ สร้างความเป็นอยู่ที่ดีของครอบครัว ในปีนี้จะเป็นแบรนด์ใดบ้าง มาร่วมโหวตเพื่อเฟ้นหาสุดยอดแบรนด์สินค้าและไลฟ์สไตล์ที่แม่คัดสรรและเลือกใช้ ผ่าน www.amarinbabyandkids.com ด้วยมุ่งหวังให้เกิดการส่งต่อประสบการณ์และความรู้จากแม่สู่แม่ เพื่อให้เกิดเป็นสังคมของคุณแม่ที่มีความสุขและมีคุณภาพ

        โหวต Amarin Baby & Kids Awards 2024 คลิกตรงนี้เลย ⇓
        https://awards.amarinbabyandkids.com/

        ระยะเวลาการโหวต 
        ตั้งแต่วันที่ 29 กรกฎาคม – 29 สิงหาคม 2567

        ติดตามดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ทางเว็บไซต์ www.amarinbabyandkids.com
        Facebook : Amarin Baby & Kids
        Tiktok : Amarin Baby & Kids
        Line : @amarinbabyandkids

          Amarin Baby & Kids Awards 2024

          Amarin Baby & Kids Awards 2024 รางวัลสุดยอดแบรนด์สินค้าและไลฟ์สไตล์แม่ลูกอันดับ 1 ในใจคนไทย

          งานมอบรางวัล Amarin Baby & Kids Awards 2024 รางวัลสุดยอดแบรนด์สินค้าและไลฟ์สไตล์แม่ลูกอันดับ 1 ในใจคนไทย เพื่อเฟ้นหาสุดยอดแบรนด์สินค้าและไลฟ์สไตล์ที่แม่คัดสรรและเลือกใช้ ผ่าน www.amarinbabyandkids.com  ด้วยมุ่งหวังให้เกิดการส่งต่อประสบการณ์และความรู้จากแม่สู่แม่ เพื่อให้เกิดเป็นสังคมของคุณแม่ที่มีความสุขและมีคุณภาพ ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างงดงามและจัดต่อเนื่องเป็นปีที่ 6

          ในปีนี้เน้นเรื่อง การสร้างความเป็นอยู่ที่ดีของครอบครัว หรือ FAMILY Well- Being  ที่หมายรวมถึงการปลูกฝังพื้นฐาน “ความเป็นอยู่ที่ดี” ของทั้งครอบครัว สายสัมพันธ์ที่ดีระหว่างพ่อแม่และลูก ช่วยสร้างความเข้มแข็งภายในใจ ส่งผลต่อให้ร่างกายแข็งแรงและมีสุขลักษณะที่ดี กินอาหารถูกโภชนาการ มีบ้านที่ปลอดภัยและสภาพแวดล้อมดี หรือส่งเสริมการเรียนรู้และทักษะชีวิตให้กับเด็ก

          ซึ่งในการเลือกสรรสินค้าในใจแม่ในรอบแรกเป็นการเสนอชื่อสินค้าที่คุณแม่ถูกใจ ใช้จริงมาใช้ในการคัดกรองแบรนด์สินค้าแม่ลูก ก่อนนำให้คุณแม่ตัวจริงทั่วประเทศได้ร่วมลงคะแนนโหวตแบรนด์สินค้าและบริการโดนใจมากที่สุด นอกจากนี้ยังมีรางวัลพิเศษที่คัดสรรโดยการคัดเลือกของกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ทั้ง 3 ท่าน ได้แก่

          ผศ. ดร.ปนัดดา ธนเศรษฐกร ผู้ช่วยผู้อำนวยการด้านศูนย์พัฒนาเด็กปฐมวัยสถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล

          คุณเลิศพร พยาบาลวิชาชีพ ผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลแม่และเด็ก เจ้าของเพจ โค้ชเลิศพร สอนแม่และเด็ก

          และสุดท้าย คุณโบ –ธนากร ชินกูล คุณพ่อลูกหนึ่ง ที่ใส่ใจในการคัดสรรผลิตภัณฑ์ที่ดีให้กับลูกและดีกับสิ่งแวดล้อมรอบตัว

          รวมถึงทีมกองบรรณาธิการ Amarin Baby & Kids ที่ร่วมคัดสรรรางวัลอีกด้วย โดยแบ่งเป็นหมวดหมู่รางวัลดังนี้

          รางวัล Mommy’s Choice ซึ่งจะมอบให้กับแบรนด์สินค้าแม่และเด็ก ที่ได้รับคะแนนโหวตสูงสุดจากการลงคะแนนของคุณแม่ทั่วประเทศ ที่มีประสบการณ์การใช้สินค้าจริงด้วยตัวเองโดยมีผลิตภัณฑ์ต่างๆ จำนวน 7 หมวด ดังต่อไปนี้

          • Best for Bath & Care
          • Best for Cleanser
          • Best for Feeding
          • Best for Pregnancy & New Mom
          • Best for Travel & Safety
          • Best for Learning
          • Popular Vote

          รางวัล Editor’s Choice ซึ่งมอบให้กับสินค้าใช้ดี และมีประโยชน์จริง ที่ได้รับการคัดเลือกจากกองบรรณาธิการ Amarin Baby & Kids

          รางวัล Rising Star มอบให้กับผลิตภัณฑ์แม่ลูก น้องใหม่น่าจับตามองประจำปี 2024 ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ใช้ดี มีคุณภาพที่ผ่านการคัดเลือกจากคณะกรรมการในแต่ละหมวด เพื่อเป็นทางเลือกของคุณแม่ยุคใหม่ในการตัดสินใจเลือกผลิตภัณฑ์ให้กับลูกน้อย

          รางวัล Health Living and Eco-Friendly product มอบให้กับผลิตภัณฑ์ที่สร้างครอบครัวมีสุขภาพใจกายที่ดี ในธีม FAMILY Well- Being  ซึ่งเป็นการสร้างพื้นฐาน “ความเป็นอยู่ที่ดี” ของทั้งครอบครัว สายสัมพันธ์ที่ดีระหว่างพ่อแม่และลูก ช่วยสร้างความเข้มแข็งภายในใจ ส่งผลต่อให้ร่างกายแข็งแรงและมีสุขลักษณะที่ดี เช่น การรับประทานอาหารที่ถูกโภชนาการ มีบ้านที่ปลอดภัยและสภาพแวดล้อมดี หรือส่งเสริมการเรียนรู้และทักษะชีวิตให้กับเด็ก รวมถึงผลิตภัณฑ์ที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนของโลกใบนี้

          เกณฑ์การตัดสิน Health Living and Eco-Friendly product 
          1. เป็นผลิตภัณฑ์ที่ส่วนผสมหรือวัสดุปลอดภัยและอ่อนโยนกับเด็ก เช่น ใช้ส่วนผสมจากธรรมชาติ ไร้สารเคมีอันตราย ซึ่งส่งผลเสียต่อร่างกาย  (เช่น พาราเบน SLES SLS  กลิ่นหอม แอลกอฮอล์ และซิลิโคน)  ไม่ก่อให้เกิดการแพ้ ไม่เสี่ยงต่อการเกิดอันตรายกับเด็ก  ครอบคลุมกลุ่มผลิตภัณฑ์ดูแลร่างกายและสุขภาพเด็ก, อาหาร ผลิตภัณฑ์และเครื่องดื่ม,เครื่องใช้ไฟฟ้า และผลิตภัณฑ์ไลฟ์สไตล์
          2. มีข้อความบนผลิตภัณฑ์ หรือเอกสารระบุชัดเจนถึงคุณสมบัติในข้อ1
          3. เป็นผลิตภัณฑ์ที่ช่วยให้การเลี้ยงลูก การใช้ชีวิตในครอบครัวสะดวกสบายและปลอดภัย
          4. เป็นผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการผลิตเป็นมาตรฐาน มีเครื่องหมายมาตรฐานรองรับพร้อมเอกสารประกอบ
          5. เป็นสินค้าผลิตในประเทศ หรือนำเข้าจากต่างประเทศ ที่สามารถระบุแหล่งผลิตหรือนำเข้าได้ชัดเจน สินค้าเป็นที่รู้จัก มีคุณภาพจริง
          หมายเหตุ : หากเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้า หรือผลิตภัณฑ์ไลฟ์สไตล์ควรมีการระบุว่าเหมาะใช้กับทุกคนในบ้าน

          ทั้งนี้คุณแม่ทุกคนที่ร่วมโหวตมีสิทธิ์ลุ้นรับรางวัล Magic Box กล่องสุ่มสุดว้าว มากถึง 100 รางวัล ที่คัดสรรมาให้เฉพาะแม่ๆ  สามารถร่วมโหวตได้ทั้งสองรอบผ่านช่องทางเว็บไซต์ https://awards.amarinbabyandkids.com/

          ระยะเวลาการโหวต 

          ตั้งแต่วันที่ 29 กรกฎาคม – 29 สิงหาคม 2567

           

          ติดตามดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ทางเว็บไซต์ www.amarinbabyandkids.com 

          Facebook : Amarin Baby & Kids

          Tiktok : Amarin Baby & Kids

          Line : @amarinbabyandkids

           “สินค้าแม่และเด็ก” ที่ใช้ดี มีประโยชน์ ถูกใจแม่ ปีนี้จะมีอะไรบ้าง
          มาร่วมโหวตกันค่ะ … คลิกตรงนี้เลย ⇓
          https://awards.amarinbabyandkids.com/

            ดรุณสิกขาลัย

            ดรุณสิกขาลัย โรงเรียนนวัตกรรมแห่งการเรียนรู้ หลักสูตรบูรณาการ ตอบโจทย์ทั้งปัจจุบันและอนาคต

            ดรุณสิกขาลัย โรงเรียนนวัตกรรมแห่งการเรียนรู้ ที่พัฒนาเด็กไทยให้ สมบูรณ์ด้วยความคิด เป็นกัลยาณมิตรอย่างมีความสุข

            เพราะเด็กแต่ละคนมีศักยภาพที่แตกต่างกัน การสอนให้เด็กทำตาม ๆ กันไปในยุคนี้ อาจไม่ใช่คำตอบสำหรับโลกในอนาคต วันนี้ทีมงาน School Visit จะพาไปเยี่ยมชม “โรงเรียนดรุณสิกขาลัย” โรงเรียนที่ตอบโจทย์ทั้งในยุคปัจจุบันและอนาคต โรงเรียนที่จะสร้างเด็กให้มีความเป็นผู้นำ มีความคิดเป็นของตนเอง บูรณาการด้วยวิชาการ เทคโนโลยี ภาษาอังกฤษ และควบคู่ไปกับการหล่อหลอมความเป็นไทย คุณธรรม จริยธรรม และสังคมสีเขียว  ช่วยพัฒนาเด็กไทยให้เป็นคนดีและเก่ง เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ของประเทศและของโลกกันค่ะ

            โรงเรียน ดรุณสิกขาลัย ก่อตั้งโดย คุณพารณ อิศรเสนา ณ อยุธยา ผู้อำนวยการใหญ่ เมื่อปี พ.ศ.2543 โดยมีแนวความคิดอยากให้เด็กไทย คิดเป็นทำเป็น และอยากพัฒนาคนไทยให้เป็นพลเมืองโลก แต่รูปแบบการเรียนการสอนในยุคนั้นยังเป็นรูปแบบท่องจำและไม่พัฒนาเด็กเท่าที่ควร  เมื่อเข้าสู่วัยเกษียณอายุจึงได้อุทิศตนทำงาน ทำประโยชน์และพัฒนาประเทศชาติ โดยนำเอาการเรียนรู้แบบ Constructionism  จาก MIT Media Lab ประเทศสหรัฐอเมริกา

            มาสร้างโรงเรียนต้นแบบ เพื่อพัฒนาเด็กไทยให้เป็นคนดีและเก่ง เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ของประเทศและของโลก และสามารถสู้ได้ในโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว กว่า 24 ปี จากโรงเรียนเล็ก ๆ มีนักเรียนเพียงไม่กี่คน ก็ประสบความสำเร็จขยายผลจนเป็นดรุณสิกขาลัยในปัจจุบัน

            โรงเรียนดรุณสิกขาลัย ดำเนินการสอนแบบ 2 ภาษา ( ไทยและอังกฤษ ) โดยเป็นโครงการนำร่องที่ได้รับการสนับสนุนและความร่วมมือระหว่าง MIT Media Lab มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี มูลนิธิศึกษาพัฒน์ และมูลนิธิไทยคม มีวิสัยทัศน์ที่จะมุ่งพัฒนาเด็กไทยให้เป็นพลเมืองโลกและพลเมืองไทยในคนๆ เดียวกันที่รักษาความเป็นไทยไว้ได้ ด้วยวิธีการจัดการเรียนการสอนตามทฤษฎีการเรียนรู้แบบ Constructionism ซึ่งคิดค้นจากผลงานการวิจัยโดย Professor Seymour Papert แห่ง MIT Media Lab และการบริหารจัดการองค์กรตามหลักการ Learning Organization ซึ่งคิดค้นจากผลงานการวิจัยโดย Peter M. Senge แห่ง MIT Sloan School of Management

            ดรุณสิกขาลัย ดรุณสิกขาลัย ดรุณสิกขาลัย

            บรรยากาศโรงเรียน

             

            วัยประถมพัฒนารอบด้าน

            จุดเด่นของเด็กประถมที่ ดรุณสิกขาลัย  คือ การเรียนที่จะช่วยพัฒนาเด็กอย่างรอบด้าน ให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ โดยพัฒนา 3 ฐาน คือ ร่างกาย จิตใจ และสติปัญญา จุดเริ่มต้นให้เด็กเห็นคุณค่าและเชื่อมั่นในตัวเอง เปิดกว้างและเข้าใจผู้อื่น ด้วยการสร้างพื้นภูมิที่ปลอดภัย ให้เด็ก ๆ ได้แสดงความคิดเห็น ความนึกคิดของตนเองและมี Self-awareness ตระหนักรู้ตนเองผ่านการสะท้อนย้อนคิด Reflection เด็ก ๆ จะได้เรียนรู้หลาย ๆ ศาสตร์ โรงเรียนจะนำการบูรณาการเอาศาสตร์ต่าง ๆ มาทำเป็นธีมในการสอน สำหรับเด็กเล็กจะได้เรียนรู้จากเรื่องใกล้ตัว เรื่องเกี่ยวกับตนเองและค่อย ๆ ขยายการเรียนรู้ไปรอบ ๆ ตัว เพื่อเชื่อมโยงตัวเองกับครอบครัว สังคมและสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ  ดรุณสิกขาลัยเน้นให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ผ่านประสบการณ์ตรง โดยนำทฤษฎีการเรียนรู้เพื่อสร้างสรรค์ด้วยปัญญา (Constructionism)  มาปรับใช้ เด็ก ๆ จะได้คิดโปรเจคขึ้นมาตามความสนใจของตนเอง (Project-based Learning) และนำเอาเรื่องที่ตนเองได้เรียนรู้มาตลอดทั้งเทอม มาเชื่อมโยงกัน และนำเสนอ โดยแสดงความคิดเห็นบนเวทีแลกเปลี่ยนกับเพื่อน ๆ และผู้ปกครอง เมื่อเด็กขึ้นประถมปลายก็จะทำให้เด็กรู้จักตัวเองมากขึ้น เพราะได้ผ่านการทดลองทำหลาย ๆ อย่าง การเรียนในรูปแบบนี้จะช่วยปูทางการรู้จักตนเองมากขึ้นเมื่อเข้าสู่ชั้นมัธยม

            ดรุณสิกขาลัย ดรุณสิกขาลัย ดรุณสิกขาลัย

            ห้องเรียนเด็กชั้นประถม

            ดรุณสิกขาลัย ดรุณสิกขาลัย

            คลาสเรียนดนตรี

             

            วัดผลรอบด้าน ตามความเป็นจริง Formative assessment

            โรงเรียนวัดผลเพื่อพัฒนาเด็กในระหว่างทางด้วย ไม่เน้นแค่การสอบเท่านั้น รวมไปถึงมองเด็กในหลากหลายมิติ คุณครูจะสังเกตพัฒนาการของเด็กอยู่เสมอ  โดยมีเครื่องมือการเรียนรู้สำคัญ เช่น  Agenda ที่เด็กจะได้ฝึกวางแผนความรับผิดชอบ ว่าในหนึ่งวันต้องทำอะไรบ้างตามลำดับ หรือ การคิดจะทำโปรเจค เด็ก ๆ ก็จะต้องหัดวางแผน ทั้งแบบรายวัน รายสัปดาห์ หรือรายเดือนสำหรับเด็กประถมปลาย นอกจากนี้ยังมี Journal บันทึกการเรียนรู้ เครื่องมือสำคัญที่คุณครูจะใช้สังเกตนักเรียนได้ดี โดยให้เด็กบันทึกในแต่ละวัน สำหรับเด็กเล็กที่ยังเขียนหนังสือไม่คล่อง ก็จะบันทึกเป็นภาพ ว่าตนอยากสื่อสารเรื่องอะไร สำหรับเด็กโตก็จะหัดบันทึกเป็นตัวอักษร

            ดรุณสิกขาลัย ดรุณสิกขาลัย ดรุณสิกขาลัย

             เด็กประถมล้างกล่องนมเพื่อนำไปบริจาค ยังศูนย์ต่าง ๆ

            กระบวนการ 3 ขั้นตอน กระบวนการเรียนรู้Think – Make – Reflection

            ขั้นตอนที่ 1 คิดและออกแบบด้วยตนเอง (Thinking or Designing) เพื่อฝึกฝนการคิดและจินตนาการ การคิดอย่างมีเป้าหมายเป็นรูปธรรม และการคิดในเชิงเหตุผล

            ขั้นตอนที่ 2 นักเรียนจะต้องเป็นผู้ที่ลงมือทำด้วยตนเอง ( Making and Doing ) มีความเป็นเจ้าของในสิ่งที่ตนเองสร้างอย่างเต็มที่ โดยอาจเริ่มเรียนรู้จากสิ่งที่ผู้เรียนมีความสนใจ หรือจากปัญหาที่นักเรียนมีความสนใจเป็นพิเศษที่จะค้นหาวิธีแก้ โดยมี facilitator หรือผู้อำนวยการเรียนรู้ เป็นผู้คอยชี้แนะ ให้คำแนะนำและร่วมเรียนรู้ไปกับนักเรียน

            ขั้นตอนที่ 3 กระบวนการสะท้อนความคิด (Reflecting or Contemplating) นักเรียนจะได้ฝึกฝนสะท้อนความคิด ระลึกถึงสิ่งที่ได้เรียนรู้จากประสบการณ์ต่าง ๆ ที่ผ่านไป ทำให้เกิดความตระหนักในสิ่งที่ได้เรียนรู้ ได้เห็นปัญหาและหัดแก้ไขปัญหาต่าง ๆ การสะท้อนความคิดนี้จะช่วยฝึกฝนกระบวนการเรียนรู้ด้วยตนเองของนักเรียน ที่จะค่อยๆ สั่งสมประสบการณ์จากการคิดทบทวนสิ่งที่ตนเองได้ทำ หรือรับฟังมุมมองความคิดเห็นที่แตกต่างจากเพื่อน ครู และสังคม

            ดรุณสิกขาลัย ดรุณสิกขาลัย

             เด็ก ๆ ได้หัดช่วยเหลือตนเองและได้หัดช่วยเหลือผู้อื่น

             

            มัธยมศึกษา มุ่งเน้นการหาตัวตน

            สำหรับพี่ ๆ ชั้นมัธยม ใช้หลักสูตรในรูปแบบ  Career Based Learning เป็นการเรียนรู้ที่บูรณาการความรู้ ประสบการณ์ทั้งจากภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ การเรียนรู้ที่จะสร้างนวัตกรที่มีหัวใจ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เพราะนวัตกร ต้องไม่ใช่แค่คิดเก่ง หรือแค่ทำสิ่งใหม่ แต่สิ่งใหม่ที่คิดควรจะก่อประโยชน์ให้กับโลกและสังคม ซึ่งเป็นหัวใจหลักของโรงเรียน การสอนเน้นเจาะลึกไปที่เรื่องอาชีพ ไม่ว่าเด็กอยากจะเติบโตไปเป็นใคร ทำอาชีพอะไร ก็จะเจริญงอกงามและมีความสุขกับอาชีพนั้น โดยหลักสูตรจะถูกแบ่งออกเป็น 3 ส่วน

            1. กลุ่มวิชาพื้นฐาน (Core)

            วิชาเรียนอาจจะเหมือนโรงเรียนทั่วไป แต่จุดแตกต่างคือทางโรงเรียนใช้กระบวนการ Constructionism หรือการเรียนรู้ที่เด็ก ๆ ต้องลงมือปฏิบัติจนสังเคราะห์เป็นองค์ความรู้ของตนเอง ออกแบบบนพื้นฐานของ Active Learning และมีการบูรณาการข้ามวิชา เพื่อเชื่อมโยงใหม่ ไม่ใช่การเรียนเพื่อจำไปสอบ แต่เรียนเพื่อให้รู้ว่ามันมีความสำคัญและเชื่อมโยงกับตัวเด็กอย่างไร

            1. วิชาโครงงาน ( Project  )  หรือบ้านเรียน

            เด็ก ๆ จะได้เรียนวิชาพื้นฐานจำนวน 3 วันต่อสัปดาห์ คือวันจันทร์ – พุธ และวัน พฤหัสบดี- ศุกร์ จะได้เรียนโครงงาน ให้เด็กเลือกเรียนตามความสนใจ มีทั้งแบบรายบุคคล และแบบกลุ่ม  เป็นห้องเรียนแบบคละชั้น เรียนรวมกันตั้งแต่ ม.1-ม.6 บ้านเรียน ( Project House ) คือ กลุ่มของครูและเด็ก ๆ ที่มีความสนใจในเรื่องเดียวกัน  มีใจรักเรื่องเดียวกัน คล้ายกับคณะในมหาวิทยาลัย เรียนรู้จากพี่จากน้อง เรียนรู้ที่จะช่วยเหลือกัน อยู่ร่วมกันแบบมีความสุข เด็กจะวางแผนโครงงานว่าจะทำอะไร วัดผลตัวเองอย่างไร โรงเรียนจะมีเครื่องมือต่าง ๆ เพื่อช่วยให้เด็กได้หัดวางแผนตัวเอง คุณครูจะคอยช่วยเหลือ เป็นโค้ชมากกว่าเป็นครูผู้สอนและยังต้องทำงานวิจัย 5 บท  ที่มีลักษณะคล้าย ๆ Thesis เด็กจะได้ฝึกทำบ่อย ภายในระยะเวลา 3 เดือน ต้องทำวิจัย 1 เล่ม เด็ก ๆ จะสามารถนำวิจัยในส่วนนี้มาใส่ Portfolio เพื่อใช้ยื่นสำหรับเรียนต่อยังมหาวิทยาลัยได้ด้วย

            1. กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน

            โรงเรียนมุ่งเน้นให้เด็กมีสุนทรียภาพ และอยากสร้างโรงเรียนให้เป็นโรงเรียน Well Being School นอกจากรายวิชาพื้นฐาน (Core) และวิชาโครงงาน (Project) แล้วยังมีกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน ซึ่งมีจุดมุ่งหมายสำคัญคือ “การพัฒนาทักษะชีวิต” ซึ่งในกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนนี้จะมีกิจกรรมต่าง ๆ ที่ส่งเสริมประสบการณ์การเรียนของผู้เรียนอย่างรอบด้าน เช่น ดนตรี กีฬา ศิลปะ ชมรม วิชาแนะแนว ซึ่งเป็นกลุ่มวิชาที่จะช่วยพัฒนาทักษะชีวิตให้กับเด็ก ๆ เพื่อให้เด็ก ๆ เติบโตอย่างมีความสุขและเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ยิ่งขึ้น

            ดรุณสิกขาลัยดรุณสิกขาลัย ดรุณสิกขาลัย

            ห้อง Lab ขนาดใหญ่ พร้อมอุปกรณ์ครบครัน

            ดรุณสิกขาลัย โรงเรียนผลิตนวัตกรที่มีหัวใจ

            เด็กมัธยมที่โรงเรียนดรุณสิกขาลัย จะได้ทำงานกับหน่วยงานภายนอกจำนวนมาก  ทางโรงเรียนจะหาโจทย์จริง และประสบการ์ณจริง ๆ มาให้เด็กได้ลองแก้ เช่น ยกตัวอย่างเช่น โปรเจคที่ทำร่วมกับศูนย์หลอดเลือดในสมอง ของโรงพยาบาลศิริราช ที่ทางโรงพยาบาลพยายามลดจำนวนผู้ป่วยโรค Stroke ให้กับประเทศ เมื่อเด็ก ๆ ได้โจทย์มาก็จะช่วยกันรีเสิร์ชและช่วยกันแก้ปัญหา จนพบว่าในต่างจังหวัดผู้ป่วยโรค Stroke มักจะเป็นผู้สูงอายุ ที่อยู่กับเด็กวัยเล็ก  ๆ เนื่องจากคุณพ่อคุณแม่ต้องไปทำงาน หากเด็กเล็กสามารถสังเกตอาการของคนเป็นโรค Stroke ได้ และสามารถขอความช่วยเหลือที่เบอร์ 1669 ได้อย่างรวดเร็ว ก็จะทำให้อัตราความสูญเสียน้อยลง จึงเกิดเป็นคอนเซ็ปต์ เด็กโตทำ เด็กเล็กใช้ ผู้ใหญ่รอด และสร้าง Education Toys หรือของเล่นเพื่อการเรียนรู้ ที่จะทำให้เด็กเล็กทราบถึงอาการบ่งชี้ของคนเป็นโรค Stroke โดยมีทั้งนิทานภาพ อุปกรณ์จำลอง บอร์ดเกมส์ต่าง ๆ ซึ่งงานเหล่านี้จะถูกตรวจสอบความถูกต้องทั้งเนื้อหาทางด้านวิชาการและถูกนำมาทดลองใช้จริง ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนได้เป็นชิ้นงานออกมา ซึ่งปัจจุบันผลงานต่าง ๆ ของโรงเรียนจะปรากฏอยู่บนเว็บไซต์ของโรงพยาบาลศิริราช และปัจจุบันเด็ก ๆ ยังได้ทำงานร่วมกับหลาย ๆ หน่วยงานเพื่อช่วยเหลือองค์กรต่าง ๆ อีกมากมาย ทั้ง หน่วยงานเอกชน โรงพยาบาลและมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ทั่วประเทศอีกด้วย

            ดรุณสิกขาลัย ดรุณสิกขาลัย

            บรรยากาศห้องเรียนชั้นมัธยม

             

            สิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ทั้งมุมผ่อนคลาย มุมเล่นบอร์ดเกมส์ และห้องสมุด

            DSIL FabLearn Lab@School

            โรงเรียนดรุณสิกขาลัย มี FabLearn Lab ซึ่งเป็น Lab แห่งแรกในประเทศไทยและในภูมิภาคเอเชีย ที่สร้างขึ้นเพื่อปูพื้นฐานงานประดิษฐ์ให้กับเด็ก และพัฒนา Skill ต่าง ๆ ตามความสนใจ เป็นโครงการนวัตกรรมด้านการเรียนรู้ที่เกิดจากความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี และ Stanford University ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการสร้างสิ่งประดิษฐ์และนวัตกรรมโดยใช้เครื่องมือดิจิตอลในการสร้าง Rapid Prototype ได้แก่ เครื่องพิมพ์เลเซอร์คัทเตอร์ เครื่องพิมพ์สามมิติ เครื่องพิมพ์ ไวนิล (Vinyl) และอุปกรณ์การประดิษฐ์อื่นๆ อาทิ อุปกรณ์ช่าง งานไม้ และอุปกรณ์อิเล็คทรอนิคส์ Coding ,AI ,Robotic ,Design Thinking  ฯลฯ ทำให้เด็กนักเรียนที่โรงเรียนดรุณสิกขาลัยมี Skill ที่หลากหลาย ทั้งทางด้านดีไซน์ คอมพิวเตอร์กราฟฟิก และอีกหลาย ๆ ด้านผสมผสานกัน

            FabLearn Lab จัดเต็มด้วยอุปกรณ์สำหรับการเรียนรู้ ทั้งเครื่องพิมพ์เลเซอร์คัทเตอร์ เครื่องพิมพ์สามมิติ เครื่องพิมพ์ ไวนิล อุปกรณ์ช่าง งานไม้ และอุปกรณ์อิเล็คทรอนิคส์ และอื่น ๆ อีกมากมาย

            ดรุณสิกขาลัย

             บ้านเรียน  ห้องเรียน ที่เปิดให้เด็ก ๆ ได้เลือกเรียนตามความสนใจ ทั้งบ้านเรียนวิศวะ บ้านเรียนศิลปะ บ้านเรียนฟิล์ม และอื่น ๆ อีกมากมาย

             

            พัฒนาบุคลากรอย่างสม่ำเสมอ

            พนักงานขององค์กรเป็นทรัพยากรที่มีค่าที่สุดขององค์กร ” มิใช่โรงงาน เครื่องจักร เครื่องมือ อาคารสถานที่ หรือคอมพิวเตอร์ที่ทันสมัยที่สุด และมีความเชื่อว่า “เด็กไทยเป็นสมบัติที่มีค่าที่สุดของประเทศไทย” คุณ พารณ อิศรเสนา ณ อยุธยา ผู้อำนวยการใหญ่โรงเรียนดรุณสิกขาลัย

            คุณพารณ ให้ความสำคัญกับการพัฒนาบุคลากรทุกคน ทางโรงเรียนมีงบประมาณเพื่อพัฒนาครูโดยเฉพาะ มีการอบรมบุคลากร ทั้งครูและเจ้าหน้าที่ต่าง ๆ เป็นประจำ โรงเรียนจะจัดหาวิทยากรมาอบรมอย่างสม่ำเสมอ เพราะเชื่อมั่นว่าหากจะพัฒนาเด็ก ก็จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องพัฒนาคุณครูไปพร้อม ๆ กัน

             

            มุมอื่นๆ ภายในโรงเรียน

            ดรุณสิกขาลัย

            คุณพารณ อิศรเสนา ณ อยุธยา ผู้อำนวยการใหญ่

             

            Mommy’s Love This ! ถูกใจแม่

            1. การเรียนที่นี่ใช้แอปพลิเคชั่นเพื่อให้เด็ก ๆ สนุกกับการเรียน รับรองว่าเด็ก ๆ ไม่เบื่อแน่นอน
            2. เด็ก ๆ ทุกคนสามารถใช้สิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ เช่น สนามฟุตบอล ห้องสมุด ห้อง LAB ของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) ได้อีกด้วย
            3. ในห้องเรียนทุกห้องจะมีมุมพักผ่อนของนักเรียน ให้เด็ก ๆ ได้ผ่อนคลายจากการเรียน
            4. โรงเรียนดรุณสิกขาลัย เป็นโรงเรียนที่ไม่แสวงหากำไร รายได้จึงถูกนำมาพัฒนาคนและโรงเรียน 100 % เด็ก ๆ ได้ผลประโยชน์เต็ม ๆ
            5. โรงเรียนมีนักจิตวิทยาประจำโรงเรียน เด็ก ๆ คุณครู และผู้ปกครอง สามารถสอบถามและขอคำแนะนำจากนักจิตวิทยาได้ทุกคน
            6. โรงเรียนทำงานร่วมกันกับผู้ปกครอง คุณพ่อคุณแม่จะได้รับทราบข้อมูลการเรียนการสอนในแต่ละเทอม ว่าเด็ก ๆ จะได้เรียนรู้และพัฒนาเรื่องอะไรบ้าง และได้รับการอัพเดทจากคุณครูเกี่ยวกับพัฒนาการต่าง ๆ อยู่เสมอ เพื่อหาแนวทางร่วมกันระหว่างบ้านและโรงเรียน คุณพ่อคุณแม่สามารถที่จะแนะนำเพิ่มเติมการเรียนรู้ต่าง ๆ ให้กับคุณครูได้ด้วย
            7. โรงเรียนมีบัตรแสกนหน้าเด็ก ๆ ทั้งขาเข้าและขาออก เพื่อให้ผู้ปกครองทราบการเข้าออก สำหรับเด็กเล็กจะมีคุณครูคอยดูแลอย่างใกล้ชิดตลอดเวลา คุณพ่อคุณแม่จึงไม่ต้องกังวล
            8. โรงเรียนสอนแบบ 2 ภาษา เด็ก ๆ จะได้เรียนภาษาอังกฤษกับครู Native กันตั้งแต่ชั้นประถม และหัด Present ผลงานเป็นภาษาอังกฤษ ในวิชาโครงงานอีกด้วย

             

            อัตราค่าเล่าเรียน

            ประถมศึกษา 334,800 บาท / ปี

            มัธยมศึกษา 368,200 บาท / ปี

            ( แบ่งจ่าย 3 เทอม ราคารวมทุกอย่างแล้วยกเว้น เครื่องแต่งกาย )

             

            ที่อยู่ ดรุณสิกขาลัย

            126 ถ. ประชาอุทิศ แขวงบางมด เขตทุ่งครุ กรุงเทพมหานคร 10140

            โทร. 02- 470- 8000

            เว็บไซต์  : https://e-school.kmutt.ac.th/dsil/
            Facebook : https://www.facebook.com/-dsil.kmutt

             

            Editor : แม่เลม่อน

            ภาพ :  ธนายุต วิลาทัน


            อ่านต่อบทความน่าสนใจ  

              รีวิว นมที่ แม่ผ่าคลอด เลือก

              รีวิวนมที่ แม่ผ่าคลอด เลือกแบรนด์ไหนที่ใช่ มาพร้อมสมอง และภูมิคุ้มกัน

              เด็กผ่าคลอดจะถูกนำตัวออกมาผ่านทางหน้าท้องของแม่ จึงทำให้ลูกไม่ได้รับจุลินทรีย์ที่ดีผ่านทางช่องคลอดของแม่ ซึ่งจุลินทรีย์ที่ดีเหล่านี้ถือเป็นภูมิคุ้มกันแรกของลูกหลังจากลูกลืมตาดูโลก แม่ผ่าคลอด จึงต้องใส่ใจกับการเลือกสารอาหารให้ลูก เพราะไม่ว่าคุณแม่คนไหนก็ต้องอยากให้ลูกรักของเราเติบโตมีสุขภาพที่แข็งแรงและมีพัฒนาการที่ดีสมวัยด้วยกันทั้งนั้น ดังนั้นสิ่งที่คุณแม่จะเลือกให้ลูก จึงต้องพิจารณามาอย่างดีแล้วว่าเป็นสิ่งที่ดีมีประโยชน์ และช่วยส่งเสริมสุขภาพ และพัฒนาการในทุก ๆ ด้านของลูกได้อย่างแน่นอน

              ปัจจัยด้านโภชนาการ เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ช่วยวางรากฐานสุขภาพของลูกได้ตั้งแต่วันนี้เพื่ออนาคตที่ดีในวันข้างหน้า คุณแม่สามารถให้โภชนาการที่ดีแก่ลูกได้ตั้งแต่แรกเกิด ด้วยการให้ลูกกินนมแม่ ซึ่งอุดมไปด้วยสารอาหารมีประโยชน์ จำเป็นสำหรับการเจริญเติบโต เพียงพอต่อความต้องการของลูก ทั้งยังมีภูมิคุ้มกันที่ดีที่สามารถส่งต่อไปยังลูกน้อยได้อีกด้วย เมื่อลูกเติบโตขึ้น ร่างกายของลูกก็ต้องการสารอาหารที่สำคัญเพื่อนำไปใช้ในการเจริญเติบโตของร่างกายและสมองมากขึ้น สารอาหารที่ช่วยเสริมการทำงานของสมองและภูมิคุ้มกันให้แข็งแรงจึงเป็นสิ่งที่คุณพ่อคุณ แม่ผ่าคลอด ควรต้องคำนึงถึงเป็นอันดับต้น ๆ เช่น

              • สฟิงโกไมอีลิน (Sphingomyelin) เป็นไขมันชนิดหนึ่งที่พบมากในนมแม่ มีส่วนสำคัญในการช่วยสร้างไมอีลินในสมอง ช่วยทำให้สมองเชื่อมโยงอย่างรวดเร็วมากขึ้น มีผลต่อการทำงานของสมอง ทำให้คิดเร็ว เรียนรู้ไวยิ่งขึ้น
              • แกงกลิโอไซต์ (GA) เป็นสารอาหารที่มีในน้ำนมแม่ เป็นส่วนประกอบที่สำคัญของเซลล์สมองในบริเวณเส้นใยประสาทและจุดเชื่อมต่อระหว่างเซลล์สมอง มีส่วนช่วยทำให้การเรียนรู้จดจำเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว
              • ดีเอชเอ (DHA) เป็นกรดไขมันชนิดไม่อิ่มตัว ที่ร่างกายไม่สามารถสร้างขึ้นเองได้ จึงจำเป็นต้องได้รับจากอาหารเท่านั้น โดยดีเอชเอมีส่วนสำคัญในการพัฒนาการทำงานของสมองและจอประสาทตา ช่วยให้สมองจำได้ดี
              • แอลฟา แล็คตัลบูมิน (Alpha-lactalbumin) เป็นโปรตีนที่พบมากในนมแม่ มีส่วนสำคัญในการช่วยเสริมการทำงานของระบบประสาทและสมอง
              • โพรไบโอติก บี แล็กทิส (B. lactis) จุลินทรีย์บิฟิโดแบคทีเรียม (Bifidobacterium) หนึ่งในโพรไบโอติกส์ ที่พบในนมแม่และลำไส้ของเด็กที่คลอดธรรมชาติ เป็นจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ ช่วยปรับสมดุลในลำไส้ และช่วยส่งเสริมระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย
              • โอเมก้า 3, 6, 9 ช่วยเสริมการทำงานของสมองและประสาท ซึ่งร่างกายของมนุษย์ไม่สามารถสร้างดีเอชเอขึ้นเองได้ จึงต้องรับสารอาหารจากอาหารภายนอก ได้แก่ ไข่แดง ธัญพืช น้ำมันพืชที่มีไขมันไม่อิ่มตัว ผักโขม ผลิตภัณฑ์จากนมวัว เป็นต้น
              • วิตามินบี 12 มีส่วนช่วยในการทำงานของระบบประสาทและสมอง พบได้ในอาหารจำพวกเนื้อ ไข่ ปลา ตับ นมวัว เป็นต้น 
              • 2’ เอฟแอล (2’FL หรือ 2’-Fucosyllactose) เป็นสารอาหารที่พบในนมแม่ มีส่วนช่วยในการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง

              เด็กที่ได้รับสารอาหารเหล่านี้อย่างครบถ้วน เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย จะช่วยให้ร่างกายเจริญเติบโตดี สุขภาพแข็งแรง มีพัฒนาการที่เติบโตสมวัย และมีสมองที่พร้อมเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ ตัวช่วยอย่างหนึ่งที่ช่วยเสริมโภชนาการให้เด็กผ่าคลอดเติบโตแข็งแรง คือ นมผงที่ประกอบด้วยสารอาหารที่จำเป็นต่อความต้องการของลูก

              กองบรรณาธิการ ABK เลือกนม 3 ยี่ห้อ ได้แก่ S-26 GOLD PRO-C 3, Enfagrow A+ Mind Pro C-Biome 3 และ HI-Q Super Gold Plus C 3 ที่คัดสรรมาแล้วว่ามีคุณค่าทางโภชนาการและสารอาหารที่เหมาะสำหรับเด็กผ่าคลอด มาดูตารางสารอาหารเปรียบเทียบกันว่านมผงที่แม่ผ่าคลอดเลือก มีแบรนด์อะไรที่ตอบโจทย์บ้าง

              นมที่ แม่ผ่าคลอด เลือก

              • นมผง S-26 GOLD PRO-C3  โดดเด่นเรื่องสารอาหารจำเป็นที่มีอย่างครบครัน ทั้งสารอาหารที่ช่วยเรื่องสมอง อย่างสฟิงโกไมอีลิน แกงกลิโอไซต์ ดีเอชเอ แอลฟา – แล็คตัลบูมิน โอเมก้า 3, 6, 9 และวิตามินบี 12 รวมไปถึงสารอาหารที่ช่วยเรื่องภูมิคุ้มกันอย่าง 2’ เอฟแอล และ โพรไบโอติก บี แล็กทิส ซึ่งจำเป็นมากสำหรับเด็กผ่าคลอด 
              • นมผง Enfagrow A+ Mind Pro C-Biome สูตร 3 มีจุดเด่นเรื่องปริมาณใยอาหาร 2’FL และมีสารอาหารอื่น ๆ ที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของลูก เช่น MFGM, ดีเอชเอ เป็นต้น
              • นมผง HI-Q Super Gold Plus C สูตร 3 มีซินไบโอติก, โพรไบโอติกบีเบรเว, 2’FL, ดีเอชเอ เป็นต้น

              นมแต่ละยี่ห้อมีจุดเด่นที่แตกต่างกันออกไป คุณพ่อคุณแม่จึงควรพิจารณาเลือกสารอาหารที่เหมาะสมและตอบโจทย์ความต้องการของเด็กแต่ละคน สำหรับเด็กผ่าคลอดที่ต้องการสารอาหารที่ครบถ้วนเป็นพิเศษ เพื่อการเจริญเติบโตทางร่างกายและสมองที่แข็งแรงสมบูรณ์ และช่วยเสริมจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ให้กับร่างกาย นมผง S-26 Gold Pro C 3 เป็นนมผงที่มีสารอาหารครบถ้วน มีส่วนช่วยในด้านพัฒนาการ และภูมิคุ้มกันของลูกน้อย ด้วยสารอาหารที่เหนือกว่า ที่แม่ผ่าคลอดเลือก คุณพ่อคุณแม่สามารถเตรียมสมองลูกน้อยให้พร้อมได้ตั้งแต่เกิด เพื่อให้ลูกเติบโต แข็งแรง สมวัย พร้อมก้าวต่อไปในอนาคตค่ะ

                Tags

                นมผง เจนอัลฟ่า

                เปิดกล่องนมผง เจนอัลฟ่า กล่องไหนที่ใช่สำหรับลูกคุณ

                เด็กเจนอัลฟ่า (Alpha Generation)  คือเด็ก ๆ ที่เกิดตั้งแต่ ค.ศ.2010 -2025 ซึ่งธรรมชาติของเด็กเจนนี้จะเป็นเด็กที่ค่อนข้างโตเร็ว ทั้งทางร่างกายและความคิด เนื่องจากเด็ก เจนอัลฟ่า เติบโตมาท่ามกลางโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วแบบก้าวกระโดด พร้อมกับสิ่งอำนวยความสะดวกและเทคโนโลยีครบครัน แตกต่างจากยุคของคุณพ่อคุณแม่ที่เทคโนโลยียังเป็นเรื่องใหม่ และไม่ก้าวหน้าเท่าในปัจจุบัน ดังนั้นสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ควรต้องเตรียมพร้อมให้ลูกน้อยเติบโตขึ้นอย่างแข็งแรง มั่นใจ มีพัฒนาการที่ดีสมวัย และพร้อมเรียนรู้ไว เพื่อให้สามารถเติบโตก้าวทันการเปลี่ยนแปลงของโลกในปัจจุบันและอนาคตได้ คุณพ่อคุณแม่จึงต้องเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูกรัก ตัวช่วยอย่างหนึ่งที่ช่วยเสริมโภชนาการให้ลูกรักของเราเติบโตแข็งแรง คือ นมผงที่ประกอบด้วยสารอาหารที่จำเป็นต่อความต้องการของลูก

                เปิดกล่องนมผง เจนอัลฟ่า กล่องไหนที่ใช่สำหรับลูกคุณ

                กองบรรณาธิการ ABK เลือกนม 3 ยี่ห้อ ได้แก่ S-26 GOLD 3, Hi-Q1Plus SUPER GOLD C-Synbio ProteQ 3 และ Enfagrow A+ MINDPRO 3 ที่คัดสรรมาแล้วว่ามีคุณค่าทางโภชนาการและสารอาหารที่เหมาะสำหรับเด็กวัย 1 ขวบขึ้นไป โดยสารอาหารหลัก ๆ ที่น่าสนใจและมีส่วนช่วยในกระบวนการเติบโตของลูกน้อย มีดังนี้ค่ะ

                สฟิงโกไมอีลิน (Sphingomyelin) เป็นไขมันชนิดหนึ่งที่พบมากในนมแม่ มีส่วนสำคัญในการช่วยสร้างไมอีลินในสมอง ช่วยทำให้สมองเชื่อมโยงอย่างรวดเร็วมากขึ้น มีผลต่อการทำงานของสมอง ทำให้คิดเร็ว เรียนรู้ไวยิ่งขึ้น

                แอลฟา – แล็คตัลบูมิน (Alpha-lactalbumin) เป็นโปรตีนที่พบมากในนมแม่ มีส่วนสำคัญในการช่วยเสริมการทำงานของระบบประสาทและสมอง

                แกงกลิโอไซต์ (GAs) เป็นสารอาหารที่มีในน้ำนมแม่ เป็นส่วนประกอบที่สำคัญของเซลล์สมองในบริเวณเส้นใยประสาทและจุดเชื่อมต่อระหว่างเซลล์สมอง มีส่วนช่วยทำให้การเรียนรู้จดจำเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว

                ดีเอชเอ (DHA) เป็นกรดไขมันชนิดไม่อิ่มตัว ร่างกายไม่สามารถสร้างขึ้นเองได้ จำเป็นต้องได้รับจากอาหารเท่านั้น เช่น นมแม่ ปลาทะเลน้ำลึก ปลาน้ำจืด สาหร่ายทะเล เป็นต้น ดีเอชเอมีส่วนสำคัญในการพัฒนาการทำงานของสมองและจอประสาทตา ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการรับส่งข้อมูลระหว่างเซลล์ประสาท ช่วยให้สมองจำได้ดี

                2’ เอฟแอล (2’FL) เป็นสารอาหารที่พบในนมแม่ มีส่วนช่วยในการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง

                กอส/แอลซีฟอส (Gos lcFOS) อาหารของจุลินทรีย์ที่ดีในลำไส้ ช่วยทำให้จุลินทรีย์ที่ดีเติบโต เกิดสมดุลในลำไส้ ช่วยเสริมให้ภูมิคุ้มกันในลำไส้แข็งแรง

                เด็ก ๆ ที่ได้รับสารอาหารเหล่านี้อย่างเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย จะช่วยให้เด็กเจริญเติบโตดี มีสุขภาพแข็งแรง มีพัฒนาการที่เติบโตสมวัย และมีสมองที่พร้อมเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพค่ะ

                เปรียบเทียบนมผงสำหรับ เจนอัลฟ่า

                S26 Gold Pro

                S-26 GOLD 3 โดดเด่นเรื่องความครบถ้วนของสารอาหารสำคัญ โดยเฉพาะ สฟิงโกไมอีลิน แกงกลิโอไซด์  แอลฟา-แล็คตาบูมิน   ลูทีน และนิวคลีโอไทด์ 5 ชนิด ซึ่งหาได้ยากในนมยี่ห้ออื่น

                เจนอัลฟ่า

                Hi-Q1 Plus SUPER GOLD PLUS C-Synbio ProteQ 3 เป็นนมอีกหนึ่งยี่ห้อที่มีสารอาหารหลากหลาย โดยเฉพาะกอส / แอลซีฟอส และยังมาในปริมาณมากถึง 550 กรัม

                เจนอัลฟ่า

                Enfagrow A+ MINDPRO 3 มีสารอาหารเฉพาะคือ MFGM

                สำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่กำลังมองหานมสำหรับลูกรักเจนอัลฟ่า กองบรรณาธิการ ABK คัดสรรนมผงสูตร 3 มาเปรียบเทียบสารอาหารและคุณประโยชน์ดูกันถึง 3 ยี่ห้อ เพราะพัฒนาการทางสมองและการเรียนรู้ที่ดีตั้งแต่ในวัยเด็ก สามารถส่งผลต่อสติปัญญา ความฉลาด และการพัฒนาทักษะการเรียนรู้ใหม่ ๆ ในวัยเรียนและวัยผู้ใหญ่

                คุณพ่อคุณแม่สามารถเตรียมสมองลูกน้อยให้พร้อมได้ตั้งแต่ลูกอายุ 1 ขวบ ด้วยการเสริม S-26 GOLD 3 ที่อุดมไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์สำหรับลูกน้อยทั้งสฟิงโกไมอีลิน แกงกลิโอไซด์  แอลฟา-แล็คตาบูมิน  ลูทีน และนิวคลีโอไทด์ 5 ชนิด ซึ่งเป็นสารอาหารสำคัญที่ช่วยให้ลูกเจนอัลฟ่าเติบโตแข็งแรง สมวัย พร้อมก้าวต่อไปในโลกที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาค่ะ

                  พัฒนาการไม่สมวัย

                  พ่อแม่ต้องรู้ทัน! 2 ภาวะ พัฒนาการไม่สมวัย ของลูก รีบแก้ไขก่อนรุนแรง

                  พัฒนาการไม่สมวัย ด้านร่างกายของเด็ก ไม่ว่าจะเป็น การเจริบเติบโตช้า เด็กมีภาวะเตี้ย หรือ ภาวะเป็นหนุ่มสาวก่อนวัย ที่ทำให้เด็กเติบโตก่อนวัยสมควร สามารถเกิดได้จากหลายปัจจัย

                  โดยสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากการทำงานของต่อมใต้สมองผิดปกติ ทำให้สร้างฮอรโมนออกมามากหรือน้อยกว่าที่ร่างกายต้องการ ซึ่งหากปล่อยทิ้งไว้จะส่งผลกระทบต่อเด็กได้ทั้งทางด้านร่างกาย จิตใจ และสังคม ฉะนั้นควรได้รับการวินิจฉัยที่รวดเร็ว และได้รับการแก้ไขอย่างเหมาะสมตั้งแต่เนิ่นๆ

                  พัฒนาการเด็กด้านร่างกายเหมาะสมตามวัยเป็นอย่างไร

                  พัฒนาการเด็กด้านร่างกายที่เหมาะสมตามวัย หมายถึง การเจริญเติบโตด้านร่างกายที่มีความเปลี่ยนแปลงด้านขนาด รูปร่าง ทรวดทรง ความสูง และด้านอื่น ๆ ของระบบร่างกายและโครงสร้างของร่างกาย เช่น การเปลี่ยนแปลงขนาด รูปร่าง การขยายของทรวงอก หรือการเพิ่มประสิทธิภาพของหน้าที่ต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับร่างกาย ที่เป็นไปตามช่วงวัยของเด็ก หากเมื่อไหร่ที่ร่างกายของเด็กมีความผิดปกติเกิดขึ้น หรือคุณพ่อคุณแม่ ผู้ปกครองสังเกตเห็นว่าลูกไม่ได้เจริญเติบโตอย่างที่ควรเป็น หรือเติบโตเกินวัย พึงทราบว่าอาจมีสาเหตุอยู่เบื้องหลัง

                  ภาวะที่ทำให้ พัฒนาการไม่สมวัย ด้านร่างกายของเด็ก

                  พัฒนาการเด็กด้านร่างกายไม่สมวัย หมายถึง เด็กที่มีพัฒนาการไม่สมวัยเมื่อเทียบกับเด็กปกติ มีภาวะทางสุขภาพที่ส่งผลกระทบต่อความสูง การเปลี่ยนแปลงทางสรีระร่างกายที่เป็นไปอย่างรวดเร็ว อาจเกิดจากภาวะต่างๆ ดังนี้

                  1. ภาวะเด็กเตี้ย

                  พัฒนาการไม่สมวัย เด็กที่มีความสูงต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของเด็กที่เพศและอายุเดียวกันมากกว่า 2 ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (standard deviation; SD) ซึ่งสามารถทราบได้โดยดูจากกราฟแสดงการเจริญเติบโต (growth chart)

                  ปัจจัยที่มีผลทำให้เด็กโตช้าหรือเตี้ยกว่าปกติ นอกจากเรื่องของกรรมพันธุ์ การขาดสารอาหาร การนอนหลับพักผ่อน และออกกำลังกายไม่เพียงพอแล้ว อาจเกิดจากภาวะฮอร์โมนผิดปกติ เช่น ขาดฮอร์โมนการเจริญเติบโต (growth hormone) ขาดฮอร์โมนไทรอยด์ (thyroid hormone) ความผิดปกติของฮอร์โมนคอร์ติซอล (cortisol) และ ภาวะเป็นหนุ่มสาวก่อนวัย เป็นต้น

                   

                  2. ภาวะเป็นหนุ่มสาวก่อนวัย

                  พัฒนาการไม่สมวัย ที่เกิดเร็วกว่าวัยอันควร คือ การที่เด็กผู้หญิงเริ่มมีการพัฒนาของเต้านมก่อนอายุ 8 ปี หรือมีประจำเดือนครั้งแรกก่อนอายุ 9 ปี ส่วนเด็กผู้ชายมีขนาดอัณฑะโต มีอวัยวะเพศใหญ่ขึ้น มีขนหัวหน่าว หรือมีลักษณะอื่น ๆ เช่น เสียงแหบห้าว มีกลิ่นตัว ปรากฏให้เห็นก่อนอายุ 9 ปี

                  ภาวะหนุ่มสาวก่อนวัยนั้นอาจเกิดจากปัจจัยต่างๆ ได้แก่ ปัจจัยทางพันธุกรรม พ่อแม่ที่มีประวัติเป็นหนุ่มเป็นสาวก่อนวัยลูกก็มีโอกาสเป็นภาวะนี้สูง การรับประทานอาหารที่มีแคลอรีสูง หรือเกิดจากสมองและต่อมใต้สมองทำงานผิดปกติ ทำให้มีการหลั่งฮอร์โมนเพศเร็วกว่าวัยอันควร โดยกรณีนี้ฮอร์โมนเพศมีผลทำให้เด็กสูงเร็วในช่วงแรก หลังจากเมื่อเข้าภาวะเป็นหนุ่มเป็นสาวแล้วก็จะหยุดสูงในทันที

                  พัฒนาการไม่สมวัย

                  พัฒนาการเด็กด้านร่างกายไม่สมวัย รู้ได้อย่างไร

                  พัฒนาการเด็กด้านร่างกายไม่สมวัยจะรู้ได้ด้วยการตรวจวินิจฉัยโดยกุมารแพทย์ ได้แก่

                  1. การซักประวัติของเด็กและครอบครัว ได้แก่ ประวัติการตั้งครรภ์ของมารดาการคลอดน้ำหนักและความยาวแรกเกิด การเจ็บป่วยของเด็ก อาหารที่ได้รับ พัฒนาการของเด็ก ความสูงและการเข้าสู่วัยหนุ่มสาวของบิดามารดาและพี่น้อง
                  2. การตรวจร่างกาย เช่น ชั่งน้ำหนัก วัดส่วนสูงหรือความยาวในเด็ก และบันทึกในกราฟเพื่อดูรูปแบบการเจริญเติบโตของเด็ก
                  3. การตรวจอายุกระดูก โดยการเอกซเรย์ฝ่ามือและข้อมือ เพื่อประเมินดูการเจริญเติบโตของกระดูก
                  4. การตรวจอื่นๆ ทางห้องปฏิบัติการ เช่น การตรวจเลือดวัดระดับของฮอร์โมน หรือ การทดสอบทางด้านฮอร์โมน เป็นต้น ในเด็กที่สงสัยว่าจะมีความผิดปกติของฮอร์โมน
                  5. ในผู้ป่วยบางรายที่มีข้อบ่งชี้ อาจตรวจ MRI สมองเพื่อหาสาเหตุของโรคเป็นหนุ่มสาวเร็ว
                  6. อัลตราซาวด์ช่องท้อง เพื่อหาสาเหตุและประเมินขนาดมดลูกและรังไข่ในเด็กหญิง

                   

                  การรักษาพัฒนาการเด็กด้านร่างกายไม่สมวัย

                  ภาวะเด็กเตี้ย การรักษาตามสาเหตุของแต่ละบุคคล ขึ้นกับว่าสาเหตุที่ทำให้เตี้ยนั้นเกิดจากอะไร ได้แก่

                  • สาเหตุจากโรคเรื้อรัง ให้รักษาอาการและควบคุมโรคประจำตัวให้คงที่
                  • กรณีฮอร์โมนร่างกายผิดปกติ จะรักษาด้วยการให้ฮอร์โมนทดแทนหรือยับยั้ง เช่น การให้ยาฮอร์โมนการเจริญเติบโต (growth hormone) การให้ไทรอยด์ฮอร์โมน การให้ยาหยุดความเป็นหนุ่มเป็นสาวก่อนวัย เป็นต้น
                  • การรับประทานอาหารให้ครบหมู่ และมีความหลากหลาย ให้ได้สารอาหารครบถ้วน
                  • รับประทานนม แคลเซียม วิตามินดี ฟอสฟอรัส เหล็ก สังกะสี ในปริมาณที่เหมาะสม โดยควรได้รับคำแนะนำจากแพทย์
                  • ปรับพฤติกรรมการบริโภค
                  • ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เพิ่มความแข็งแรงของกระดูก กล้ามเนื้อ และระบบหัวใจและหลอดเลือด

                  ภาวะเป็นหนุ่มสาวก่อนวัย การรักษาขึ้นกับสาเหตุ ได้แก่

                  • กรณีพบความผิดปกติในสมอง เนื้องอกที่รังไข่ ต้องรักษาตามสาเหตุ เช่น รักษาด้วยการผ่าตัด อาจจำเป็นต้องตามด้วยการฉายแสงหรือเคมีบำบัดแล้วแต่กรณี
                  • กรณีไม่พบสาเหตุ การรักษานั้นจำทำด้วยการให้ยาฮอร์โมนสังเคราะห์ GnRH-analogue เป็นฮอร์โมนที่ยับยั้งการหลั่งของฮอร์โมนโกนาโดโทรปินส์จากต่อมใต้สมอง มีผลทำให้รังไข่ในเด็กหญิงและอัณฑะในเด็กชายสร้างฮอร์โมนเพศลดลง โดยจะให้ในรูปแบบการฉีดเข้ากล้ามเนื้อ

                   

                  อย่างไรก็ตามการรักษา พัฒนาการไม่สมวัย ด้านร่างกายของเด็กนั้น จะต้องอยู่ในดุลยพินิจของแพทย์ โดยเฉพาะการรักษาด้วยการฉีดฮอร์โมนการเจริญเติบโตจำเป็นต้องมีข้อบ่งชี้ทางการแพทย์เท่านั้น หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับพัฒนาการเด็กด้านร่างกาย หรือการเจริญเติบโตให้ปรึกษากุมารแพทย์เพื่อหาสาเหตุและแนวทางแก้ไขที่เหมาะสมที่สุด

                   

                  ขอขอบคุณข้อมูลจาก โรงพยาบาลนครธน

                    ฉีด PRP

                    ฉีด PRP หนทางช่วยปลูกผมได้ดีจริงไหม มีข้อดี ข้อเสียอย่างไร?

                    สำหรับผู้มีปัญหาผมบาง ผมร่วง ผมขึ้นเป็นหย่อม ที่กำลังหาวิธีช่วยแก้ปัญหาที่น่ากวนใจเหล่านี้ให้หมดไป รู้หรือไม่ว่าการฉีด PRP ที่หลาย ๆ คนอาจจะเคยได้ยินว่าเป็นการฉีดเกล็ดเลือดหน้าใสช่วยฟื้นฟูผิวหน้า แต่ที่จริงแล้ว PRP ก็เป็นหนึ่งในวิธีการกระตุ้นให้ผมขึ้นที่กำลังได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก 

                     

                    ในปัจจุบันมีผู้รักษาปัญหาผมด้วย PRP เพิ่มขึ้น เพราะการฉีด PRP สามารถทดแทนข้อจำกัดบางประการของการปลูกผมด้วยวิธีอื่น ๆ เช่น FUE และ FUT ได้ อีกทั้งยังช่วยทำให้ศีรษะมีผมเส้นสวยขึ้นอีกครั้งได้อย่างปลอดภัย ใช้เวลารักษาไม่นาน 

                    ทำความรู้จักกับการฉีด PRP คืออะไร?

                    การฉีด PRP (PRP Hair Therapy) คือ การฉีดเกล็ดเลือดที่มีความเข้มข้นสูง (Platelet Rich Plasma) เข้าสู่บริเวณหนังศีรษะที่มีปัญหาเพื่อไปกระตุ้นให้เซลล์รากผมทำงาน โดยเกล็ดเลือดที่นำมาฉีดนั้นจะมาจากการปั่นเลือดของผู้เข้ารับการรักษาเอง ซึ่งจะเห็นได้ว่าหลังฉีด PRP ผมที่บาง ร่วง หรือผมร่วงเป็นหย่อมก็จะมีผมกลับมางอกขึ้นมาใหม่ได้อีกครั้ง

                    ฉีด PRP ปลูกผมมีขั้นตอนอย่างไร

                    PRP ฉีด

                     

                    PRP มีขั้นตอนฉีดอย่างไร? ในระหว่างฉีด PRP เพื่อรักษาปัญหาผมบาง ผมร่วง จะมีขั้นตอนที่ต้องดำเนินการดังต่อไปนี้

                    1. เจาะเลือดของผู้เข้ารับการรักษาออกมาประมาณ 10-13 มิลลิลิตร
                    2. นำเลือดที่เจาะออกมาใส่หลอดที่มีสารต้านการแข็งตัวของเลือด ก่อนนำเข้าเครื่องเหวี่ยงสาร
                    3. ฉีดยาชาบริเวณที่ต้องการปลูกผมระหว่างรอเลือดแยกชั้นตัว
                    4. เมื่อเลือดแยกตัวเป็นชั้นแล้ว จะแยกส่วนที่เป็นเกล็ดเลือดไว้รอฉีด
                    5. เมื่อยาชาออกฤทธิ์แล้ว จะนำเกล็ดเลือดฉีดเข้าไปบริเวณหนังศีรษะที่ต้องการรักษา
                    6. หลังฉีด PRP เสร็จแล้ว จะฉายแสงเลเซอร์เพื่อกระตุ้นให้เซลล์ผมทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

                    ทั้งนี้ เพื่อให้ผลลัพธ์จากการฉีด PRP มีประสิทธิภาพสูง ควรเตรียมตัวทั้งก่อนและหลังฉีด PRP ผม ดังนี้

                     

                    การเตรียมตัวก่อนฉีด PRP

                    • งดใช้ยาบางชนิด เช่น NSAIDs หรือ Aspirin และงดทานอาหารเสริม วิตามิน อย่างน้อย 1 สัปดาห์
                    • งดสูบบุหรี่และงดดื่มแอลกอฮอล์
                    • พักผ่อนให้เพียงพอ 
                    • ดื่มน้ำให้มาก
                    • สระผมในวันที่ฉีด PRP

                     

                    การปฏิบัติตัวหลังฉีด PRP

                    • งดสระผม 24 ชั่วโมงแรกหลังฉีดปลูกผม
                    • งดสูบบุหรี่และงดดื่มแอลกอฮอล์อย่างน้อย 1 วัน
                    • งดใช้ยาบางชนิด เช่น NSAIDs หรือ Aspirin อย่างน้อย 3 วัน
                    • ใช้ยาสระผมสูตรอ่อนโยน และสระผมเบา ๆ อย่างน้อย 1 สัปดาห์
                    • นอนหมอนสูง และประคบเย็นหากมีอาการบวมช้ำ

                    ข้อดีของการฉีด PRP มีอะไรบ้าง?

                    หลังจากเห็นขั้นตอนการฉีด PRP แล้ว เชื่อว่าหลาย ๆ คนก็คงจะสนใจวิธีรักษาปัญหาผมบาง ผมร่วง ผมขึ้นเป็นหย่อมด้วยวิธีนี้มากขึ้น เพราะขั้นตอนการรักษาไม่ได้มีความซับซ้อน อีกทั้งยังมีข้อดีอื่น ๆ ของการฉีด PRP ที่ทำให้มีผู้รักษาด้วยวิธีนี้เพิ่มขึ้น ดังนี้

                    • ภายในเกล็ดเลือดมี Growth Factor ซึ่งมีส่วนช่วยชะลอไม่ให้เส้นผมร่วงเร็ว ช่วยกระตุ้นให้เซลล์ผลิตเส้นผม และช่วยให้รากผมแข็งแรง
                    • ใช้เวลารักษาไม่นาน ไม่เสียเวลาพักฟื้น เพราะเป็นการฉีดเกล็ดเลือดเข้าไป ไม่ได้ใช้มีดผ่าเปิดแผลระหว่างรักษา 
                    • ไม่มีรอยแผลเป็นที่เห็นชัด เพราะใช้เข็มฉีดเกล็ดเลือดขนาดเล็ก
                    • มีโอกาสเกิดผลข้างเคียงน้อยมาก เพราะการฉีด PRP จะนำเลือดของตนเองมาใช้รักษา
                    • PRP สามารถฉีดควบคู่กับการรักษาผมอื่น ๆ ได้

                    ใครบ้างที่เหมาะกับวิธีฉีด PRP เพื่อรักษาปัญหาผม

                    แม้ว่าการฉีด PRP จะมีข้อดีอยู่มากมายที่เหมาะกับการรักษาปัญหาผม แต่ก็จะมีข้อจำกัดบางประการที่ทำให้ผู้ป่วยบางกลุ่มไม่สามารถปลูกผมด้วยการฉีดเกล็ดเลือดเข้มข้นได้ ดังนั้นก่อนตัดสินใจเลือกวิธี PRP ปลูกผม สามารถตรวจสอบผู้ที่เหมาะกับการรักษาได้ ดังนี้

                    • ผู้ที่มีปัญหาผมบาง ผมร่วง ศีรษะล้านในระดับไม่รุนแรงมากนัก
                    • ผู้ที่กลัวการผ่าตัด กลัวใบมีด กลัวอาการเจ็บ
                    • ผู้ที่ไม่มีเวลาพักฟื้นหรือมีเวลารักษาไม่เยอะมาก
                    • ผู้ที่เคยรักษาปัญหาผมบาง, ผมร่วง, ผมขึ้นเป็นหย่อม หรือศีรษะล้านด้วยวิธีอื่น เช่น FUE หรือ FUT แต่ไม่ประสบความสำเร็จ

                    อย่างไรก็ตาม การฉีด PRP จะมีข้อเสียบางประการ เช่น ไม่เหมาะกับผู้ที่ไม่มีรากผม มีประวัติเกล็ดเลือดผิดปกติหรือเลือดจาง รวมถึงผู้ที่เป็นโรคมะเร็ง กำลังให้ยาเคมีบำบัดอยู่ คนท้อง หรือให้นมบุตร และอื่น ๆ ดังนั้นก่อนเข้ารับการรักษาจึงควรแจ้งประวัติโรคประจำตัวและยาที่ใช้กับแพทย์อย่างละเอียด เพื่อพิจารณารักษาปัญหาผมบางตามความเหมาะสมต่อไป

                    แนะนำปลูกผม PRP กับแพทย์จาก Dr.Tarinee Hair Clinic

                    ฉีด PRP ราคา

                    แม้ว่าการฉีด PRP จะมีความปลอดภัยต่อร่างกายสูง เพราะเลือดที่นำมาใช้นั้นเป็นเลือดของผู้เข้ารับการรักษาเอง แต่ในระหว่างที่รักษานั้น การนำอุปกรณ์หรือเครื่องมือที่ไม่ผ่านมาตรฐานมาใช้ หรือหากภายในคลินิกไม่สะอาด ก็อาจพบผลข้างเคียงอย่างการติดเชื้อได้ ดังนั้นจึงควรเลือกคลินิกที่ได้รับมาตรฐานเพื่อความปลอดภัยตลอดการรักษา

                     

                    สำหรับผู้ที่สนใจบริการฉีด PRP ในราคาที่สามารถเข้าถึงได้ Dr.Tarinee Hair Clinic เป็นหนึ่งในคลินิกที่เราขอแนะนำ เพราะทางคลินิกจะดำเนินการฉีด PRP ให้กับผู้เข้ารับการรักษาปัญหาผมบาง ผมร่วม ผมขึ้นเป็นหย่อม โดยแพทย์ผู้มีประสบการณ์ และใช้เครื่องมือที่มีมาตรฐานเท่านั้น

                    สรุปการฉีด PRP ช่วยให้เส้นผมกลับมางอกใหม่ได้ปลอดภัย ไม่เห็นรอยแผล

                    การฉีด PRP เป็นหนึ่งในวิธีรักษาปัญหาผมบาง, ผมร่วง, ผมขึ้นเป็นหย่อม และศีรษะล้าน ที่ไม่จำเป็นต้องผ่าตัดเปิดแผล และมีปลอดภัยสูงเพราะใช้เกล็ดเลือดของตนเอง หลังฉีด PRP ผมจะงอกขึ้นมาใหม่ได้โดยที่มีรากฐานแข็งแรง ไม่หลุดร่วงง่ายในระยะยาว

                      Virtual Jungle Thailand ชวนน้องๆ ร่วมภารกิจพิทักษ์สัตว์ใกล้สูญพันธุ์ ผ่านเทคโนโลยี AR และ XR

                      Virtual Jungle Thailand โครงการดิจิทัลล้ำสมัยที่สถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทยให้การสนับสนุน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์สัตว์ป่า และสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับภัยคุกคามสัตว์ป่าใกล้สูญพันธุ์ในประเทศไทย Virtual Jungle Thailand ได้ผสานโลกจริงกับโลกดิจิทัลเข้าด้วยกันผ่านการใช้เทคโนโลยี Extended Reality (XR) และ Augmented Reality (AR) เพื่อนำเสนอการดำเนินงานของสหรัฐฯ และไทยในฐานะหุ้นส่วนด้านการอนุรักษ์สัตว์ป่า ในโครงการนี้มีการจัดกิจกรรมเวิร์กช็อปให้แก่เยาวชนและประชาชนทั่วไป เพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับการใช้เทคโนโลยีเพื่อช่วยปกป้องสัตว์ป่า ตลอดจนสร้างความตระหนักรู้ว่าทุกคนสามารถมีส่วนร่วมในการพิทักษ์สัตว์ป่าได้ โดยโครงการนี้มีจุดประสงค์ที่จะส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์และป้องกันไม่ให้เกิดอันตรายกับสัตว์ป่า Virtual Jungle Thailand ไม่ใช่แค่แอปพลิเคชัน แต่เป็นก้าวสำคัญสู่อนาคตที่สดใสของสิ่งมีชีวิตสุดพิเศษเหล่านี้ เรามุ่งมั่นให้ความรู้และสนับสนุนให้ผู้ใช้งานรู้จักสัตว์ป่าผ่านหน้าจอ เพื่อลดจำนวนผู้เข้าชมสวนสัตว์เปิดและสวนเสือที่สัตว์ป่าต่างถูกด้อยค่าเพราะการแสวงหาผลกำไรจากการท่องเที่ยว

                      Virtual Jungle Thailand เปิดตัวเมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2567 ที่ FabCafe Bangkok อาคารไปรษณีย์กลาง บางรัก กรุงเทพมหานคร โดยมีเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศไทย โรเบิร์ต เอฟ. โกเดค และ คาร์เมน จี. แคนเทอร์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยสหรัฐฯ ฝ่ายกิจการหมู่เกาะและต่างประเทศ เป็นผู้กล่าวเปิดงาน 

                      นอกจากนี้ยังมี Workshop ENDANGERED SPECIES LAB โดยคุณกัลยา โกวิทวิสิทธิ์ และทีมงาน FabCafe Bangkok ให้เด็กๆ ได้เรียนรู้เทคโนโลยี Extended Reality (XR) และเพื่อให้ทุกคนเข้าใจปัญหา และสร้างการตระหนักรู้เกี่ยวกับปัจจัยที่เร่งการสูญพันธุ์ ไม่ว่าจะเป็น การลักลอบค้าสัตว์ป่า ไปจนถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยภารกิจอนุรักษ์สัตว์ป่า และสัตว์ทะเลใกล้สูญพันธุ์ของประเทศไทยผ่านเทคโนโลยี XR กับหน่วยงานอนุรักษ์สัตว์ป่า นอกจากจะมีการจัด workshop ที่กรุงเทพฯ แล้ว ยังมีการขยายไปให้ความรู้กับน้องๆ ที่สนใจ ถึงภาคใต้ และภาคตะวันตก อีกด้วย

                      สถานเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ สนับสนุนความพยายามในการหยุดยั้งการลักลอบค้าสัตว์ป่าในไทย
                      สหรัฐฯ เป็นพันธมิตรและหุ้นส่วนใกล้ชิดของไทยมาตลอด 2 ศตวรรษในความร่วมมือหลากหลายด้าน รวมถึงการอนุรักษ์สัตว์ป่า หน่วยงานต่าง ๆ เช่น สำนักงานกิจการปลาและสัตว์ป่าของสหรัฐฯ (FWS) ฝ่ายความร่วมมือด้านการบังคับใช้กฎหมายและยาเสพติด (INL) และองค์การเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐอเมริกา (USAID) ร่วมมือกับภาคีชาวไทยเพื่อต่อสู้กับการลักลอบค้าสัตว์ป่าในไทยและประเทศเพื่อนบ้าน ในปี 2567 สถานเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศไทย เปิดตัวแคมเปญออนไลน์ “Virtual Jungle Thailand” เพื่อส่งเสริมความพยายามของสหรัฐฯ และไทยในการอนุรักษ์สัตว์ป่าและสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับภัยคุกคามสัตว์ป่าใกล้สูญพันธุ์ในประเทศไทย
                      ความพยายามเหล่านี้ปกป้องสัตว์สายพันธุ์ต่าง ๆ จากการถูกแสวงประโยชน์ สหรัฐฯ มอบเงินสนับสนุนจำนวนมากในการดำเนินงานอนุรักษ์สัตว์ป่าในประเทศไทย โดยมอบเงินกว่า 1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ สำหรับการดำเนินงานอนุรักษ์เสือ และตั้งแต่ปี 2549  เป็นต้นมา ได้มอบเงินอีก 1.1 ล้านเหรียญเพื่อสนับสนุนการปกป้องถิ่นที่อยู่ การปราบปรามการลักลอบล่า การติดตามประชากร และการอนุรักษ์สัตว์ที่ถูกล่า นอกจากนี้ เรายังมีส่วนร่วมในการพูดคุยประเด็นกฎหมาย ตลอดจนให้เงินทุนแก่เครือข่ายเฝ้าระวังระดับโลกอย่าง TRAFFIC ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของเราในการยุติการค้าสัตว์ป่าผิดกฎหมาย
                      สำนักงานกิจการปลาและสัตว์ป่าของสหรัฐฯ ร่วมมือกับองค์กรอนุรักษ์ในประเทศไทยเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์หมีหมา โดยการให้ทุนสนับสนุนการปกป้องถิ่นที่อยู่ โครงการปราบปรามการลักลอบล่าสัตว์ป่า และการให้ความรู้กับชุมชน ความร่วมมือระหว่างสำนักงานกิจการปลาและสัตว์ป่าของสหรัฐฯ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ นำไปสู่ความสำเร็จในการสกัดกั้นปฏิบัติการค้าสัตว์ป่าผิดกฎหมาย โดยยึดเกล็ดนิ่มหนัก 1.4 ตันได้ในปี 2566 และล่าสุดในเดือนพฤษภาคม 2567 การปฏิบัติการร่วมของหน่วยงานทั้งสองช่วยลีเมอร์จำนวน 48 ตัวและเต่า 1,076 ตัวในจังหวัดชุมพร และในเดือนมิถุนายน 2567 ช่วยลูกเสือโคร่งได้ 1 ตัวในจังหวัดบึงกาฬ ตัวอย่างเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของความร่วมมือระหว่างประเทศในการอนุรักษ์สัตว์ป่า
                      สำนักงานกิจการปลาและสัตว์ป่าของสหรัฐฯ ยังทำงานร่วมกับหน่วยงานภาคีในประเทศเจ้าบ้านในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในโครงการฝึกอบรมและสร้างศักยภาพให้แก่เจ้าหน้าที่และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอนุรักษ์สัตว์ป่าและกฎข้อบังคับต่าง ๆ นอกจากนี้ สำนักงานกิจการปลาและสัตว์ป่าของสหรัฐฯ ยังให้คำแนะนำเกี่ยวกับการสืบสวนสอบสวน การสนับสนุนด้านข่าวกรอง การสนับสนุนด้านวิชาการ ความร่วมมือในการดำเนินคดี การสนับสนุนด้านอุปกรณ์และการใช้เทคนิคการสืบสวนจากการฝึกอบรม ซึ่งล้วนจำเป็นต่อการต่อสู้กับการลักลอบค้าสัตว์ป่า
                      สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับความพยายามอย่างต่อเนื่องของสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ในการต่อสู้กับการลักลอบค้าสัตว์ป่า สามารถเข้าไปที่: https://th.usembassy.gov/wildlife

                      สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม และวิธีเกี่ยวกับ “VirtualJungleThailand” ไปที่: https://th.usembassy.gov/wildlife/virtualjunglethailand/
                      ภาพบรรยากาศ เปิดตัว Virtual Jungle Thailand และ Workshop ENDANGERED SPECIES LAB

                        Tags

                        โรงเรียนนานาชาติสาธิตคริสเตียนนนทบุรี (ICSN) โรงเรียนนานาชาติหลักสูตรอเมริกัน เตรียมนักเรียนให้พร้อมสู่ยุค 5.0

                        โรงเรียนนานาชาติสาธิตคริสเตียนนนทบุรี (ICSN) โรงเรียนนานาชาติหลักสูตรอเมริกัน เตรียมนักเรียนให้พร้อมสู่ยุค 5.0 เน้นทักษะชีวิต ฉลาดคิด สุนทรียศิลป์ และเป็นคนดีมีจริยธรรม

                        สุภาษิตอังกฤษกล่าวไว้ว่า “You have brains in your head and feet in your shoes. You can steer yourself to any directions you choose” นั้น..ไม่เกินจริง เส้นทางแรกที่คุณพ่อคุณแม่เลือกในตอนต้น..อาจจะไม่ใช่เส้นทางที่ลูกไป  สิ่งที่สำคัญที่ต้องจำขึ้นใจก็คือ การเลือกเส้นทางที่เหมาะสมกับลูก  ครอบครัว และกับอีก 20 – 30 ปีข้างหน้า (อนาคตของลูก) การเลือก “โรงเรียนแรก” จึงเป็นสิ่งที่จำเป็น

                        และถ้าหากคุณพ่อคุณแม่กำลังมองหาโรงเรียนนานาชาติอยู่ วันนี้ School Visit จะพาไปทัวร์ โรงเรียนนานาชาติสาธิตคริสเตียนนนทบุรี หรือ International Christian School Nonthaburi (ICSN) โรงเรียนนานาชาติหลักสูตรของ ICSN ใช้ American Common Core ( หลักสูตรยอดนิยมอันดับ 1 ใน U.S.A.) ผสมผสาน START-UP Concept และหลักคำสอนของศาสนาคริสต์ จุดประสงค์เพื่อสร้างคนดี ที่เก่ง และมีความสุข

                        เป็นหลักสูตรอเมริกันที่เน้นการ “เตรียมพร้อม” นักเรียนสำหรับโลกยุค 5G ภาษาเด่น เก่งเหนือ AI คู่ไปกับการหล่อหลอมคุณธรรม จริยธรรม ความรักที่มีต่อเพื่อนมนุษย์ตามคำสอนในคริสตศาสนา เพราะการสร้างรากฐานที่ดีจะทำให้เด็กๆเติบโตอย่างมั่งคง แข็งแกร่ง ..ถึงไม่ใช่คริสเตียนก็เรียนได้ค่ะ

                         

                        สำหรับเด็กเล็ก ยิ่งเล่นมากยิ่งมีสมาธิในชั้นเรียน

                        กิจกรรม Hands on ของแท้เลยค่ะ

                        พี่มัธยมเรียนแบบจับกลุ่ม สนุกกว่านั่งเดี่ยว ๆ เยอะค่ะ

                        ปล่อยพลังระหว่างวัน

                         

                        INTERACTIVE LEARNING : จับต้องก่อน แล้วจึงต่อยอด

                        • Hands-on ทุกคนต้องลงมือทำงานเพื่อสร้างประสบการณ์ ทั้งกิจกรรมเดี่ยว กลุ่ม เป็นการกระตุ้นให้เด็ก ๆ คิด IDEA ใหม่ ๆ ตอบโจทย์ด้านการคิดวิเคราะห์ Collaboration และการสร้าง Connection ให้แก่เด็ก ๆ
                        • การแสดงความคิดเห็นอย่างอิสระ การนำเสนอผลงาน กล้าพูดและแสดงออก = การเสริมทักษะด้านภาษา Self – esteem และการรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น
                        • อุปกรณ์และสื่อการเรียนการสอนที่ทันสมัย + จับต้องได้ = การเรียนรู้ผ่านประสาทสัมผัส เด็ก ๆ จะได้ทั้งความสนุกสนานและสร้างพัฒนาการที่สมวัย ทำให้เข้าใจสิ่งที่เรียนและจดจำได้ง่ายกว่าท่องจำค่ะ

                         

                        KNOWLEDGE MANAGEMENT : บริหารความรู้และข้อมูล

                        สมัยนี้เราจำเป็นที่จะต้องคุยกับ AI ให้รู้เรื่อง เพราะ BIG DATA จำนวนมหาศาลจุอยู่ใน AI ..การนำไป “ใช้ให้เป็น” จึงสำคัญไม่น้อยเลยนะคะ ดังนั้นที่ ICSN จึงสอนให้บริหารจัดการความรู้และข้อมูลตั้งแต่ชั้นอนุบาลโดยเริ่มจากสิ่งต่าง ๆ รอบตัวเด็ก หรือในห้องเรียนแบบที่จับต้องได้ก่อน เพื่อให้เห็นภาพ เด็ก ๆ จะ “รวบรวมข้อมูล” ก่อนเป็นอันดับแรกจากนั้น “แยกแยะ” ให้เป็นประเภท และสุดท้ายคัดเลือกสิ่งที่จะใช้ ฝึกกันตั้งแต่เล็ก ๆ เมื่อเติบโตขึ้นเด็ก ๆ จะจัดการกับข้อมูลและความรู้ที่ซับซ้อนมากขึ้น ข่าวสารที่ล้นหลาม ในโลกยุค 5G ได้เป็นอย่างดี

                         

                        START-UP Concept : สร้างคนคุณภาพ

                        แนวคิดแบบสตาร์ทอัพ คือการเรียนรู้ที่จะทำสิ่งต่าง ๆ ให้ประสบความสำเร็จ  ท่ามกลางบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์และการทดลองสิ่งใหม่ ๆ เท่ากับการสร้าง Innovation นอกจากนี้การทำงานเป็นกลุ่มเล็ก ๆ ยังทำให้เด็ก ๆ ได้เห็นการทำงานของเพื่อนร่วมทีมว่าทำอะไร อย่างไร ทำให้ได้เรียนรู้ตลอดกระบวนการการทำงานโดยตรง เด็ก ๆ จะได้ทักษะและประสบการณ์หลายด้านมาก ๆ (Multi-skills) นอกจากนี้ นักเรียน ICSN ได้เรียนรู้ Entrepreneurship (เป็นผู้ประกอบการ) ด้วยนะคะ สุดปัง!


                         กิจกรรมของเด็ก ๆ

                         

                        Robot ที่นักเรียนล้มลุกคลุกคลานประดิษฐ์ขึ้นมาจนสำเร็จและสนามแข่งภายใน Robot Lab (เปลี่ยนทุกปี ตามทีมที่ฟอร์มขึ้นใหม่)

                         

                        ROBOT PROJECT : มากกว่าผลงานคือการจัดการกับปัญหา

                        เพราะการสร้างผลงาน Robot ไม่ใช่แค่การประกอบ แต่คือการคิด การวางแผน การลงมือสร้าง และการแก้ปัญหา อย่างเป็นระบบ ที่ ICSN คุณครูจะชี้แนะ แนะนำ หลังจากนั้นเด็ก ๆ จะล้มลุกคลุกคลานทำ Project ด้วยตนเองค่ะ  ปัญหายิ่งมาก ยิ่งดี เพราะกว่าจะสำเร็จนักเรียนจะใช้ความอดทน ความพยายาม เพื่อให้ Project เสร็จลุล่วง เด็ก ๆ จะได้ลงมือทำ Engineering notebook เป็นขั้นตอน สอดคล้องกับ Knowledge Management ที่โรงเรียนเน้นย้ำ สนุกเข้าไปอีก เด็ก ๆ ชอบทุกคนเลยค่ะ

                         

                        PREPARED FOR UNIVERSITY : เข้มข้นแต่ไม่เคร่งเครียด

                        การเตรียมพร้อมพี่ ๆ ม.ปลายเข้ามหาวิทยาลัย (ทั้งในและนอกประเทศ) จะได้รับการดูแลและแนะนำอย่างเลิศจาก in-house counselor

                        • เตรียมเด็ก ๆ สอบ IELTS
                        • แนะแนวทาง- มา sit down and talk เพื่อดู requirement ของแต่ละสาขาที่แต่ละคนสนใจซึ่งสนับสนุนให้ยื่นสมัครมหาวิทยาลัยมากกว่า 1 ที่
                        • ช่วยทำ portfolio
                        • ICSN PET เคล็ดลับ 5 สิ่งที่จะทำให้เด็ก ๆ สอบติดมหาวิทยาลัยที่ต้องการ ( ลับเฉพาะนักเรียน ICSN เท่านั้นนะคะ! )
                        • มี IELTS Summer Course และที่นี่เป็นศูนย์สอบ SAT และ IELTS ด้วยค่ะ

                        เรียนรู้ในแบบที่ใช่กับ Teacher ที่เข้าใจและใส่ใจสุดๆ

                        • คุณครูเข้าถึงเด็ก ๆ ด้วยหลัก 3 ประการ ENGAGE , INVOLVE และ CHALLENGE โดยจะไม่มีนักเรียนคนไหนถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง
                        • เด็ก ๆ จะได้ค้นหาตัวเองด้วยจากทั้ง Enrichment และ Elective Class (วิชาหลัก – วิชาเลือก)
                        • ลองให้เป็นประสบการณ์ “อย่างอิสระ” ชอบหรือไม่ ใช่หรือเปล่า โดยคุณครูจะเป็นผู้ประเมินจากองค์ประกอบต่างๆ (การทำ Project การบ้าน และคะแนนสอบ)
                        • หลักสูตร AP
                        • เพื่อนำทางไปสู่ THE RIGHT PATHWAY PROGRAM ที่ถูกใจและถูกต้องของแต่ละคน

                        เด็ก ๆ ทุกคนชอบฟังนิทาน

                        เด็กกับแทรมโบลีนเป็นของคู่กัน

                        ตั้งแต่ G1 ขึ้นไปอาหารกลางวันเป็นรยายภาพ เดมีที่ได้เข้าร่วม แบบบุฟเฟ่ต์ค่ะ

                        HAPPY LIFE AT ICSN

                        ดนตรีศิลปะกีฬา ทั้งในคลาสและหลังเลิกเรียน

                        • Senses and skills ต่าง ๆ ด้านสุนทรียศาสตร์ การเคลื่อนไหว เป็นสิ่งที่เติมเต็มความเป็นมนุษย์ ICSN ให้ความสำคัญมากเช่นกัน จึงเกิดเป็นชั้นเรียนวิชา Orchestra , คลาสงานปั้นดินเผา, Jazz Dance/ Hip hop dance/ Ballet
                        • และยังมี Sport Center อยู่นอกโรงเรียน (Outdoor และ Indoor) สำหรับ Soccer, Tae Kwon Do เพื่อให้เด็ก ๆ ได้ระเบิดพลังกันได้อย่างเต็มที่
                        • หรือจะ Homework Help พี่สอนน้องช่วยทำการบ้าน , คลาสภาษาจีน

                         

                        นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมพิเศษที่นักเรียนรอคอย ที่ทำให้เด็ก ๆ ถึงขั้นตั้งตารอคอยกันเลยทีเดียว ไม่วาจะเป็น Game Day, Spirit Week, แต่งตัวตามธีม, Panda day (การเก็บสะสมแต้มเพื่อแลกรางวัล) ฯลฯ

                        มุมต่าง ๆ ในโรงเรียน

                         

                        เทเบิลเทนนิส กีฬายอดฮิตของนักเรียน

                         

                        Mommy’s Love This ! ถูกใจแม่

                        1. โรงเรียนสอนทักษะ Knowledge Management เป็นทักษะเพื่ออนาคต รู้ก่อน เป็นก่อน ได้เปรียบกว่า
                        2. ICSN ใส่ใจในทุกรายละเอียดของการพัฒนานักเรียน ที่สำคัญเป็นโรงเรียนที่ความคิดทันสมัยและก็ยังใฝ่รู้ในการพัฒนาตนเองอย่างไม่หยุดยั้ง ..อยากให้นักเรียนมีความ Creative โรงเรียนก็ต้องแสดงความ Creative ให้เด็ก ๆ เห็นเช่นกันค่ะ
                        3. Catering อาหารกลางวันสุดพิเศษจาก Epicure Catering เมนูสดใหม่ หลากหลาย อร่อย เติมได้ไม่อั้น
                        4. การเรียนตั้งแต่ชั้นอนุบาล จนถึง G12 (ม.6) คือการวิ่งมาราธอน 15 ปี เป็นการวิ่งให้ถึงเป้าหมาย หากเราเร่ง speed ตอนเล็ก จะทำให้เหนื่อยจนเกินไปตอนโต เด็กควรเติบโตตามวัย ตามความพร้อม อย่างมีความสุข เพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดไม่ใช่แค่ academic แต่คือการเป็นคนดีที่มีคุณภาพ” สิ่งนี้คือสิ่งที่ผู้บริหารโรงเรียนเชื่อมั่น  ได้รับฟังแล้วใจฟูมากๆเลยค่ะ
                        5. วิชาจริยธรรมคริสเตียน ที่เน้นเรื่องความรักและความเอื้ออาทรต่อเพื่อนมนุษย์ เสริมสร้างคุณธรรม ทำให้นักเรียนทุกเชื้อชาติและศาสนาเป็นนักเรียนที่น่ารัก อยู่ร่วมกันในโรงเรียนอย่างมีความสุข
                        6. ช่องทางการติดต่อสื่อสารระหว่างบ้านและโรงเรียนแสนสะดวก ชั้นอนุบาล – เกรด 5 สามารถพูดคุยกันผ่าน Class Dojo ระดับ เกรด 6 เป็นต้นไป สามารถพูดคุยผ่าน Google Chat ส่วน Line Official จะแจ้งข่าวประชาสัมพันธ์เท่านั้น และผู้ปกครองและบุคคลภายนอกที่สนใจสามารถติดตามกิจกรรมและข่าวสารผ่าน Facebook Fanpage ได้เช่นเดียวกัน
                        7. กิจกรรมหลังเลิกเรียนสุดว้าว ทั้ง Little Coder , Soccer, Singapore Math, Taekwondo, Brain Memory Gym, Gymnastics, 3D Pen Lab ..กลายเป็นไม่อยากกลับบ้านไปเลย

                        ห้องเรียนของชั้นอนุบาล – ประถม จะมีขนาดใหญ่มีทั้งมุมเรียนรู้และมุมพักผ่อน

                        เด็ก ๆ เล่นกลางแจ้งกันบ่อย การรักษาความสะอาดจึงสำคัญสุด ๆ

                        การเรียนรู้ไม่ได้จำกัดแค่ในห้องเรียน ระหว่างทางเดินก็เช่นกัน

                         

                        อาหารกลางวันคุณภาพแน่นพร้อมเสิร์ฟ

                         

                        ค่าธรรมเนียมการศึกษาและทุนการศึกษา ปีการศึกษา 2567

                        • K1-K3 ทุนการศึกษารายปี = 45,000 บาท

                        ค่าเล่าเรียนต่อปี (2 ภาค) หลังหักทุนการศึกษา = 368,400 บาท

                        • G1-G2 ทุนการศึกษารายปี = 40,000 บาท

                        ค่าเล่าเรียนต่อปี (2 ภาค) หลังหักทุนการศึกษา 408,600 บาท

                        • G3-G5 ทุนการศึกษารายปี = 40,000 บาท

                        ค่าเล่าเรียนต่อปี (2 ภาค) หลังหักทุนการศึกษา 409,800 บาท

                        • G6 ทุนการศึกษารายปี = 40,000 บาท

                        ค่าเล่าเรียนต่อปี (2 ภาค) หลังหักทุนการศึกษา 417,000 บาท

                        • G7-G9 ทุนการศึกษารายปี = 40,000 บาท

                        ค่าเล่าเรียนต่อปี (2 ภาค) หลังหักทุนการศึกษา 438,400 บาท

                        • G10-G12 ทุนการศึกษารายปี = 60,000 บาท

                        ค่าเล่าเรียนต่อปี (2 ภาค) หลังหักทุนการศึกษา 469,200 บาท

                         

                        **รายละเอียดและข้อมูลเพิ่มเติมกรุณาติดต่อสอบถามโรงเรียนโดยตรง

                         

                        ที่อยู่ โรงเรียนนานาชาติสาธิตคริสเตียนนนทบุรี

                        145/1 ถนนประชาราษฎร์ ตำบลตลาดขวัญ อำเภอเมืองนนทบุรี จังหวัดนนทบุรี 11000

                        โทร : 02-5251302 097-2761302

                        Email : [email protected]

                        เว็บไซต์ : www.icsn.ac.th

                         

                        Editor : แม่พลอยผิง

                        ภาพ : ฤทธิรงค์ จันทองสุข

                          โรงเรียนนานาชาติ

                          เลือก โรงเรียนนานาชาติ ที่ไหนดี? ทำไมถึงต้องเข้าโรงเรียนอินเตอร์?

                          การศึกษาเป็นสิ่งสำคัญและเป็นบันไดขั้นแรก ๆ ของการประสบความสำเร็จในชีวิต ดังนั้นการคัดเลือกโรงเรียกสักแห่งให้ลูกหลานได้เข้าไปศึกษาเล่าเรียนจึงจำเป็นต้องเลือกอย่างพิถีพิถัน เพื่อให้ลูกหลานได้รับการศึกษาที่เหมาะสมและดีที่สุด ซึ่งในปัจจุบันนี้โรงเรียนนานาชาติได้รับความสนใจเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะในยุคสมัยนี้ไม่ว่าจะเป็นการประกอบอาชีพ, ทำธุรกิจประเภทต่าง ๆ หรือการพบปะแวดวงสังคม ล้วนแต่ต้องเจอกับชาวต่างชาติทั้งสิ้นไม่มากก็น้อยนั่นเอง

                          โรงเรียนนานาชาติ สร้างโอกาสที่จะได้รับอะไรบ้าง?

                          โอกาสจาก โรงเรียนนานาชาติ

                          โรงเรียนมีอยู่มากมายหลายประเภท ซึ่งโรงเรียนแต่ละประเภทก็จะมีความแตกต่างกันไปทั้งในด้านหลักสูตรการเรียนการสอน, สภาพแวดล้อมภายในโรงเรียน รวมไปถึงค่าใช้จ่ายสำหรับการศึกษา ถึงแม้ว่าโรงเรียนนานาชาติส่วนใหญ่นั้นจะมีค่าใช้จ่ายที่สูงกว่าโรงเรียนประเภทอื่น ๆ แต่ก็มีจุดเด่นและสิ่งที่ผู้เรียนจะได้รับอยู่ไม่น้อยที่ทำให้ผู้ปกครองหลาย ๆ คนตัดสินใจส่งลูกหลานเข้าไปศึกษาเล่าเรียนในโรงเรียนอินเตอร์ โดยโอกาสหรือสิ่งต่าง ๆ ที่จะได้รับจากการเข้าเรียนโรงเรียนนานาชาติ มีดังต่อไปนี้

                          สภาพแวดล้อมดีเยี่ยมเหมาะแก่การเรียน

                          ราคาค่าใช้จ่ายสำหรับการเข้าเรียนโรงเรียนนานาชาติไม่ได้เกี่ยวข้องกับหลักสูตรและครูผู้สอนเพียงเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ภายในโรงเรียนด้วยเช่นกัน ซึ่งโรงเรียนนานาชาติมักมีสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมต่อการเรียนรู้ของผู้เรียนทั้งภายในโรงเรียนและภายในห้องเรียน เช่น การมีเครื่องปรับอากาศภายในห้องเรียน, มีพื้นที่สำหรับสันทนาการที่เหมาะสม หรือมีสนามที่ร่มรื่น เป็นต้น

                          ใช้ภาษาอังกฤษ (และอื่น ๆ) ในการเรียนและสื่อสาร

                          ภาษาที่ใช้ในการสื่อสารระหว่างครูผู้สอนและผู้เรียน รวมไปถึงภาษาที่ใช้ในการเรียนการสอนของโรงเรียนนานาชาตินั้นจะใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลัก หรือในโรงเรียนนานาชาติบางแห่งก็อาจเลือกใช้ภาษาอื่น ๆ ตามแต่ที่โรงเรียนนานาชาติแห่งนั้นได้กำหนดเอาไว้ ซึ่งการใช้ภาษาต่างประเทศเป็นหลักจะช่วยให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ภาษาได้เร็วและคุ้นชินกับการใช้ภาษาต่างประเทศเพื่อการสื่อสารในอนาคตมากยิ่งขึ้น

                          หลักสูตรเป็นสากลและได้การยอมรับจากนานาชาติ

                          หลักสูตรการเรียนการสอนที่โรงเรียนนานาชาติเลือกใช้นั้นจะเป็นหลักสูตรสากล ซึ่งเป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ ไม่ว่าจะเป็นหลักสูตรอเมริกัน, หลักสูตรสหราชอาณาจักร หรือระบบนานาชาติ โดยหลักสูตรที่แยกย่อยออกมานี้จะแตกต่างกันที่รูปแบบการเรียนการสอน เช่น เน้นเรียนมากกว่าการทำกิจกรรม หรือเน้นสร้างความรู้ผ่านการทำกิจกรรม เป็นต้น

                          ให้มากกว่าการเรียนเชิงวิชาการ

                          การเลือกเข้าเรียนที่โรงเรียนนานาชาติจะทำให้ผู้เรียนได้รับมากกว่าความรู้ตามหลักสูตร เนื่องจากโรงเรียนนานาชาติมักมีกิจกรรมนอกหลักสูตรหลากหลายรูปแบบให้ผู้เรียนได้เลือกทำตามความสนใจ ไม่ว่าจะเป็นศิลปะ, กีฬา หรือการเล่นดนตรี โดยกิจกรรมนอกหลักสูตรเหล่านี้จะช่วยให้ผู้เรียนได้พัฒนาทักษะด้านต่าง ๆ ตามความสนใจของตัวเอง ทั้งยังช่วยเพิ่มทักษะความเป็นผู้นำและการทำงานร่วมกันกับผู้อื่นอีกด้วย

                          เทคโนโลยีทันสมัยส่งเสริมการเรียนรู้ที่มากขึ้น

                          เทคโนโลยีหรือสื่อการเรียนการสอนภายในโรงเรียนนานาชาตินั้นจะมีความทันสมัยและเท่าทันโลกในปัจจุบันอยู่เสมอ ซึ่งการนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาเป็นสื่อประกอบการเรียนการสอนจะทำให้ผู้เรียนมีประสบการณ์การเรียนรู้เพิ่มมากขึ้น

                          คอนเนคชั่นกว้างขวาง

                          ผู้เรียนภายในโรงเรียนนานาชาตินั้นค่อนข้างมีความหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นด้านเชื้อชาติ, วัฒนธรรม รวมไปถึงแหล่งที่มาด้วยความหลากหลายเหล่านี้เองจึงทำให้ผู้เรียนมีโอกาสสร้างคอนเนคชั่นได้อย่างกว้างขวาง ซึ่งการมีคอนเนคชั่นกระจายอยู่ทั่วทุกมุมโลกจะช่วยในด้านการหางานหรือการขอคำแนะนำ

                          โรงเรียนนานาชาติควรเลือกยังไงให้เหมาะกับผู้เรียน

                          การจะคัดเลือกรร.นานาชาติสักแห่งไว้ให้ลูกหลานได้เข้าเรียนนั้น ผู้ปกครองจำเป็นต้องพิจารณาด้านต่าง ๆ อย่างถี่ถ้วน เพื่อให้ได้เจอกับโรงเรียนนานาชาติที่เหมาะสมกับผู้เรียนมากที่สุด โดยหลักการคัดเลือกโรงเรียนนานาชาติให้เหมาะสมและตรงกับความต้องการมีดังต่อไปนี้

                           

                          หลักสูตรการศึกษาและรูปแบบการสอน

                          สิ่งที่สำคัญมากที่สุดสำหรับการคัดเลือกโรงเรียนนานาชาติก็คือการพิจารณาหลักสูตรและรูปแบบการสอนที่ทางโรงเรียนนานาชาติแต่ละแห่งได้กำหนดเอาไว้ โดยหลักสูตรการเรียนของโรงเรียนนานาชาติจะมีอยู่ด้วยกันหลัก ๆ คือ โรงเรียนนานาชาติหลักสูตรอเมริกัน, โรงเรียนนานาชาติหลักสูตรสหราชอาณาจักร และระบบนานาชาติ เป็นต้น

                          ประสิทธิภาพของครูผู้สอน

                          คุณภาพการสอนของคุณครูในโรงเรียนนานาชาติเองก็คือสิ่งที่ต้องพิจารณาร่วมด้วยเช่นเดียวกัน เนื่องจากภาษาที่ใช้ในการเรียนและการสื่อสารของโรงเรียนนานาชาติมักจะเป็นภาษาอังกฤษ ดังนั้นถ้าหากคุณครูผู้สอนภายในโรงเรียนนานาชาติแห่งใดว่าจ้างผู้ที่เป็นเจ้าของภาษา คุณก็สามารถมั่นใจได้ว่าผู้เรียนจะมีการออกเสียงหรือใช้ภาษาต่างประเทศได้อย่างถูกต้อง

                          ความสะดวกในการเดินทาง

                          การเลือกเข้าเรียนในโรงเรียนนานาชาติที่ตั้งอยู่ห่างไกลจากบ้านไม่เพียงแค่ทำให้เสียเวลามากเท่านั้น แต่ยังทำให้ผู้เรียนเกิดอาการอ่อนเพลียจากการเดินทางด้วยเช่นกัน ดังนั้นจึงควรเลือกเข้าเรียนโรงเรียนนานาชาติที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากบ้านเท่าไหร่นัก เพื่อให้ผู้เรียนมีช่วงเวลาพักผ่อนยาวนานยาวยิ่งขึ้น รวมถึงมีสภาพร่างกายที่พร้อมสำหรับการเรียนรู้

                          สภาพแวดล้อมภายในโรงเรียนและห้องเรียน

                          สภาพแวดล้อมต่าง ๆ ภายในโรงเรียนเองก็สัมพันธ์กับประสิทธิภาพการเรียนรู้ของผู้เรียนเช่นเดียวกัน ดังนั้นจึงควรเลือกโรงเรียนนานาชาติที่มีสภาพแวดล้อมภายในโรงเรียนเหมาะสมกับผู้เรียนมากที่สุด

                           

                          เลือกโรงเรียนนานาชาติที่ไหนดี?

                           โรงเรียนนานาชาติ ที่ไหนดี

                          ในปัจจุบันนี้มมีโรงเรียนนานาชาติก่อตั้งขึ้นมากมายจนทำให้ใครหลายคนสับสนและไม่รู้ว่าควรเลือกโรงเรียนนานาชาติที่ไหนดี ดังนั้นถ้าหากใครที่ยังไม่ได้ตัดสินใจ เราขอแนะนำโรงเรียนนานาชาติรีเจ้นท์กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นโรงเรียนนานาชาติที่ใช้หลักสูตรสหราชอาณาจักร ที่สำคัญโรงเรียนนานาชาติรีเจ้นท์ยังเป็นโรงเรียนนานาชาติแห่งเดียวในระดับภูมิภาคที่อยู่ภายใต้เครือข่ายองค์กรระดับโลกอย่าง Round Square อีกด้วย

                           

                          โรงเรียนนานาชาติ การศึกษาที่ได้การยอมรับระดับสากล

                          โรงเรียนนานาชาติหรือโรงเรียนอินเตอร์นับเป็นอีกตัวเลือกหนึ่งของสถานศึกษาที่ผู้คนในปัจจุบันนี้ให้ความสนใจกันไม่น้อย เพราะนอกจากทำให้ผู้เรียนได้พบเจอเพื่อนต่างเชื้อชาติหลากหลายวัฒนธรรมแล้ว หลักสูตรการศึกษาที่รร.นานาชาติหรือรร.อินเตอร์เลือกใช้ยังเป็นหลักสูตรสากลที่มีการยอมรับระดับโลกอีกด้วย ซึ่งสิ่งนี้เปรียบเสมือนศรนำทางที่จะนำพาโอกาสประสบความสำเร็จในต่างประเทศมาให้แก่ผู้เรียนนั่นเอง

                           

                          หากว่าใครที่มีความใฝ่ฝันอยากจะเรียนต่อที่ต่างประเทศ หรือใครที่กำลังมองหาโรงเรียนนานาชาติให้กับลูกหลาน เราขอแนะนำโรงเรียนนานาชาติรีเจ้นท์ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นโรงเรียนนานาชาติที่ไม่ได้เป็นเพียงสถานศึกษาที่ให้ความรู้ทางวิชาการเท่านั้น แต่ยังเต็มไปด้วยกิจกรรมนอกหลักสูตรที่จะช่วยให้ผู้เรียนได้ค้นพบตนเองและพัฒนาทักษะด้านต่าง ๆ โดยมีลานกว้างอเนกประสงค์และสิ่งอำนวยความสะดวกสุดทันสมัยมากมายไว้คอยรับรองการทำกิจกรรมหรือการพักผ่อน

                           

                            Tags

                            Little CAS Art Space พื้นที่แห่งการเรียนรู้ ด้านศิลปะ เพื่อค้นหาตัวเองและสร้างแรงบันดาลใจสำหรับเด็ก

                            เด็ก ๆ โตขึ้นอยากเป็นอะไรคะ สมัยเด็ก ๆ เราคงเคยได้ยินคำถามนี้กันบ่อย ๆ แต่กว่าที่เด็กคนหนึ่งจะโตขึ้นและรู้ว่าตัวเองสนใจและอยากทำอาชีพอะไร ก็อาจจะใช้เวลาค้นหากันเนิ่นนาน  ถ้าเด็ก ๆ ได้มีโอกาสทดลองเรียนรู้อาชีพต่าง ๆ ตั้งแต่เล็ก ๆ ก็น่าจะช่วยเพิ่มประสบการณ์ชีวิตให้มากขึ้น และช่วยให้เด็กค้นหาตัวตนและมุ่งสู่เป้าหมายของตนเองได้ง่ายขึ้น วันนี้ทีมงาน School Visit จึงอยากจะพาทุกคนมาพูดคุยและเยี่ยมชมโรงเรียนเล็ก ๆ อย่าง Little CAS Art Space : Learning Space for Kids พื้นที่แห่งการเรียนรู้ทางด้านศิลปะ ในรูปแบบอาชีพต่าง ๆ ที่จะช่วยพัฒนาความคิดสร้างสรรค์และทักษะต่าง ๆ ให้กับเด็ก ๆ

                            Little CAS Art Space เป็นพื้นที่แห่งการเรียนรู้สำหรับเด็กทางด้านการออกแบบ ศิลปะ และการค้นหาตัวเองที่เปิดสอนมากว่า 3 ปีแล้ว ทีมงานและครูผู้สอนของ Little CAS Art Space เรียนจบด้านศิลปะโดยตรง และมีแนวคิดอยากจะนำอาชีพต่าง ๆ ทางด้านศิลปะ มาแบ่งปันประสบการณ์และสร้างแรงบันดาลใจให้กับน้อง ๆ จากจุดเริ่มต้นในการสอนคลาสผู้ใหญ่ที่ The CAS Art Space และการทำค่ายแนะแนวอาชีพสำหรับน้องมัธยมปลาย ถูกต่อยอดเป็นคลาสเรียนศิลปะสำหรับเด็ก ๆ เพราะปัจจุบันวัยนี้เป็นวัยที่กำลังอยากรู้ อยากเห็นและอยากทดลองอะไรใหม่ ๆ เป็นโอกาสที่ดีที่น้อง ๆ จะได้เรียนรู้ว่าตนเองชอบไม่ชอบอะไรกันตั้งแต่เล็ก ๆ โดยเริ่มจากทดลองทำคลาสแฟชั่นสำหรับเด็ก ๆ ซึ่งได้ผลตอบรับดีมาก จนทำให้ปัจจุบัน Little CAS Art Space มีคลาสสำหรับเด็ก ๆ มากมาย ทั้งออกแบบแฟชั่น ออกแบบภายใน และออกแบบเครื่องประดับ เป็นต้น

                            คุณครูคอยดูแลใส่ใจทุกขั้นตอน

                             

                            Junior Fashion Designer

                            ที่นี่จะสอนกันตั้งแต่ขั้นพื้นฐานหรือเบสิค ทั้งการคิดแบบ ฝึกให้เด็ก ๆ ได้ออกความคิดเห็นและใช้จินตนาการเช่น วันนี้เราจะทำชุดไปเที่ยวที่ไหนกันดี หรือธีมเจ้าหญิงต่าง ๆ เด็ก ๆ จะได้เรียนรู้การวางแพทเทิร์นในกระดาษแบบง่าย ๆ ได้ทำความรู้จักและสัมผัสวัสดุ เรียนรู้ว่าแฟชั่นคืออะไร เริ่มต้นอย่างไรและพัฒนาการของแฟชั่นเป็นอย่างไร และสุดท้ายมาลองทำชุดจริง ๆ ด้วยกัน เด็ก ๆ จะได้ลงมือทำทุกขั้นตอนทั้งการหัดเย็บกระดุม หรือหัดใช้จักรเย็บผ้า  เมื่อผลงานเสร็จแล้ว เด็ก ๆ จะได้เดินแบบโชว์ผลงาน ชุดแฟชั่นฝีมือตนเอง โดยคุณพ่อคุณแม่สามารถเข้าร่วมชมได้อีกด้วย

                                       คลาส  Junior Fashion Designer

                             

                            Junior Interior Designer

                            มาทำความรู้จักกับสายอาชีพอินทีเรีย หรือการออกแบบภายในขั้นต้น  ได้สนุกกับการวางผังห้องต่าง ๆ

                            เช่น พิพิธภัณฑ์จำลอง บ้านพักอาศัย หรือห้องในฝันของน้อง ๆ  ได้หัดคิด หัดออกแบบ และลงมือทำผลงานด้วยตัวเองทุกขั้นตอน ตั้งแต่การคิดคอนเซปต์ การ ทำ Mood Board คอลลาจรูปภาพ ทำโมเดล ทั้งยังได้ลองวัดพื้นที่จริง ๆ  และพรีเซ้นท์ผลงานอีกด้วย ช่วยพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ ความกล้าแสดงออก รวมถึงการสื่อสารและการอยู่ร่วมกับผู้อื่น เรียกได้ว่าได้ความรู้และทักษะครบถ้วน

                             

                            คลาส Junior Interior Designer

                            บรรยากาศห้องเรียน สบาย ๆ เป็นกันเอง

                             

                            นอกจากนี้ทางโรงเรียนยังมีคลาสศิลปะอีกมากมาย เช่น  คลาส Jewelry มาออกแบบและทำเครื่องประดับสวย ๆ กัน , คลาส Junior Business Owner , คลาส Young Painting Artist , คลาส Procreate Art on I-PAD Age   CRAFT DREAMCATCHER-3D, CLAY ART,  POMPOM DOLL คลาสวาดรูป ทำตุ๊กตาหรืองานปั้นต่าง ๆ และยังมีคลาสไพรเวท สำหรับกลุ่มเด็ก และ Art Camp สำหรับ โรงเรียนต่าง ๆ อีกด้วย ใครสนใจก็สามารถสอบถามรายละเอียดคลาสต่าง ๆ ได้จาก Facebook : Little CAS Art Space รับรองว่าสนุกและได้ความรู้แน่นอน

                             

                            รายละเอียดคลาส

                            • Junior Fashion Designer อายุ 6-10/10-15 ปี

                            เรียนตั้งแต่ 10.00 -15.00 น. ราคา 3,800 บาท

                            • Junior Interior Designer อายุ 6-10/10-15 ปี

                            เรียนตั้งแต่ 10.00 -15.00 น. ราคา 3,800 บาท

                             

                            คลาสอื่น ๆ สอบถามรายละเอียดได้ที่

                            Facebook : Little CAS Art Space

                            IG : Littlecas.artspace

                            Line : @thecasartspace

                            โทร.097-049-1937

                             

                            Editor : แม่เลม่อน

                            ภาพ :  ฤทธิรงค์ จันทองสุข

                              กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์เปิดตัวการ์ตูน แอนิเมชัน แฟนตาซี ส่งเสริมคุณธรรมเรื่อง “คาร์นิมอลเวิลด์ 4 ล้อไล่ล่าทะลุฝัน”

                              10 กรกฎาคม 2567 กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ (Thai Media Fund) เปิดตัวการ์ตูน แอนิเมชัน แฟนตาซีส่งเสริมคุณธรรมขั้นพื้นฐาน สำหรับเด็กและเยาวชนเรื่อง “คาร์นิมอลเวิลด์ 4 ล้อ ไล่ล่าทะลุฝัน” (KARniMAl World 4 ล้อไล่ล่าทะลุฝัน)

                              ณ ห้องประชุมอเนกประสงค์ ชั้น1 หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร บริษัท อีโนว่า จำกัด ได้รับทุนจากกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ประจำปี 2566 ประเภทเปิดรับทั่วไป กลุ่มเด็กและเยาวชน โดยได้ผลิตการ์ตูนแอนิเมชันคาร์นิมอลเวิลด์ 4 ล้อไล่ล่าทะลุฝัน ทั้งสิ้น 26 ตอน ตอนละ 10 นาที  โดยมีเรื่องราวที่สร้างขึ้นตามหัวข้อหลักธรรม พละ 5  กรรมและผลของกรรม  มงคล 38 ประการ อิทธิบาท 4 พรหมวิหาร 4 กัลยาณมิตร และ โยนิโสมนสิการ เป็นต้น

                              “คาร์นิมอลเวิลด์ 4 ล้อ ไล่ล่าทะลุฝัน”  มีตัวเอกของการ์ตูนฯ ชื่อว่า “วี”  เป็นคำย่อมาจากคำว่า วิริยะ คือความเพียร มุ่งมั่น ใจสู้ สู้ไม่ถอย จนกว่าจะประสบความสำเร็จ หรือในภาษาอังกฤษคือ Victory (V) เป็นคำเดียวกัน เมื่อมีพลังและความคิดที่ถูกต้อง ก็จะส่งผลให้การกระทำถูกต้อง หรือเรียกว่าทำกรรม แบบการคิดดี ทำดี โดยทางพุทธศาสนากล่าวไว้ว่า ทำกรรม กรรมเป็นเจตนา เจตนาที่เกิดจากพลังที่ดี พลังที่สร้างสรรค์ พลังที่มีคุณธรรม ก็จะทำให้เกิดการกระทำในสิ่งที่ดี  ตัวการ์ตูน “วี” เป็นต้นแบบของผู้ที่มีความเพียร ที่ฝ่าฟันอุปสรรค และมีความฝันที่อยากเป็นนักแข่งความเร็วเหมือนกับพี่ชายของเขา นอกจากนั้นยังมีตัวละครอื่นๆ อาทิ “ชีส” หนูน้อยอัจฉริยะผู้ชื่นชอบสิ่งประดิษฐ์สิ่งใหม่ๆ “ลุงเคน” เจ้าของอู่ซ่อมรถ “คอปเตอร์” ลิงน้อยผู้เชื่อมั่นในการทำความดี “แคท”แมวน้อยผู้เฉลียวฉลาดและรอบรู้ในทุกๆเรื่อง “บิงซู” มิสเตอร์เพอร์เฟ็คดัค (Mr. Perfect Duck) และตัวละครที่สำคัญอีกหนึ่งตัวคือ “แองกรีซ” นกน้อยขี้โมโหซึ่งเป็นนักแข่งแนวหน้าของการแข่งขัน

                              โดยในเดือนพฤษภาคมและมิถุนายน 2567 ที่ผ่านมานี้ ทางโครงการฯ ได้จัดกิจกรรมนำร่อง School Visit เพื่อประชาสัมพันธ์การ์ตูนให้กับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษา โดยจัดกิจกรรมตามโรงเรียนในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล จำนวน 10 โรงเรียน และมีผลตอบรับในทางที่ดีจากเด็กนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษา โดยส่วนใหญ่ชอบเนื้อหาการ์ตูนและชอบคาแรกเตอร์ของการ์ตูนที่ได้รับชม ทำให้เด็กๆสามารถระบุถึงคุณธรรมพื้นฐานที่ได้รับชมไป อาทิ การมีน้ำใจ มิตรภาพที่ดี ความพยายาม ความมุ่งมั่นตั้งใจ ผ่านทางพฤติกรรมที่เกิดขึ้นในการ์ตูนและมีความคิดที่จะนำมาเป็นแบบอย่างในการพัฒนาตนเอง

                              ในช่วงท้ายได้รับเกียรติจากคุณครูตัวแทนที่เข้าร่วมกิจกรรมจาก 3 ใน 10 โรงเรียน นำร่องเข้าร่วมงาน เพื่อถ่ายทอดเรื่องราวและเหตุการณ์ในวันที่ผู้จัดงานได้ไปทำกิจกรรมที่โรงเรียนของพวกเขา และโชว์การแสดงสุดพิเศษ ได้แก่ ร้องเพลงประกอบการ์ตูนแอนิเมชัน และ เปิดตัวมาสคอท “วี”

                              ร่วมติดตามวีและผองเพื่อนพร้อมหัวข้อคุณธรรมที่มีอยู่ในเนื้อหาการ์ตูนแอนิเมชัน “คาร์นิมอลเวิลด์ 4 ล้อไล่ล่าทะลุฝัน” (KARniMAl World 4 ล้อไล่ล่าทะลุฝัน) ที่เด็กๆ จะได้เรียนรู้ผ่านสื่อด้วยความบันเทิง เพื่อให้เกิดประโยชน์และสร้างเสริมให้เกิดสังคมที่ดีผ่านช่องทาง

                              YouTube:  Karnimal World 4 ล้อไล่ล่าทะลุฝัน
                              Facebook:      Karnimal World 4 ล้อไล่ล่าทะลุฝัน

                               

                                Tags

                                โรงเรียนนานาชาตินีวาอเมริกัน โรงเรียนอินเตอร์เก่าแก่ พื้นที่แห่งการเรียนรู้ที่อิสระและปลอดภัย

                                NIVA American International School โรงเรียนนานาชาตินีวาอเมริกัน โรงเรียนอินเตอร์เก่าแก่ พื้นที่แห่งการเรียนรู้ที่อิสระและปลอดภัย บูรณาการรอบด้าน ให้เด็กๆเติบโตอย่างมีคุณภาพทั้งกายและใจ

                                หากจะกล่าวถึงโรงเรียนนานาชาติเก่าแก่ในกรุงเทพมหานคร  1ใน 7 แห่งนั้นต้องมี NIVA American International School  โรงเรียนนานาชาติหลักสูตรอเมริกันชื่อดังย่านลาดพร้าว – นวมินทร์ แม้จะก่อตั้งมากว่า 30 ปีแล้ว แต่ด้านวิชาการยังคงเข้มข้น ทันสมัย ทักษะชีวิตของนักเรียนก็แข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ จน ทีมแม่ ABK และ ทีมงาน School Visit ต้องแอบลัดเลาะรอบรั้วมาดูกันเลยทีเดียว

                                กิจกรรม Hands-on ในชีวิตประจำวันทุกอย่างคือการเรียนรู้

                                สนามกีฬาต่าง ๆ ในโรงเรียน

                                NIVA American International School ปัจจุบันเปิดสอนตั้งแต่ระดับชั้นเตรียมอนุบาลจนถึงมัธยม  แต่ละห้องเรียนจะมีนักเรียนเพียง 15 ถึง 26 คน โดยที่อัตราส่วนนักเรียนต่อครูจะอยู่ระหว่าง 13:1 ถึง 20:1 ทำให้เด็ก ๆ ได้รับการดูแลที่ทั่วถึง โดยมี คุณครู คอยดูแลเอาใจใส่อย่างอบอุ่นเสมือนครอบครัว  เราจะเป็นแรงบันดาลใจให้นักเรียนทุกคนตั้งเป้าหมายให้สูงและใช้ชีวิตที่ประสบความสําเร็จตามนิยามความสำเร็จของตน

                                Holistic Education : เรียนรู้เพื่อพัฒนาการรอบด้าน

                                ในส่วนของหลักสูตรนั้น NIVA ยึดตาม American Common Core ซึ่งเป็นหลักสูตรยอดนิยมอันดับ 1 ใน U.S.A.

                                • เน้น “การลงมือทำ” ทั้งกิจกรรมเดี่ยว , กลุ่ม , ทำโครงงาน หรือการนำเสนอผลงาน ที่รู้จักกันในนาม Project-Based Learning นั่นเอง
                                • หลักสูตรจะมีเนื้อหาที่ยืดหยุ่นและกว้าง ไม่ได้เน้นแค่วิชาหลัก เช่น Mathematic, Science หรือภาษา แต่ให้ความสำคัญกับวิชารอง เช่น สังคมศาสตร์ ศิลปะ และวิชาเลือกที่หลากหลายมากมายด้วยเช่นกัน
                                • เป็นหลักสูตรที่ไม่ทอดทิ้งศาสตร์ไหนไว้เบื้องหลังเลยค่ะ แถมยังส่งเสริมความชอบและความถนัดส่วนบุคคลของเด็ก ๆ ได้ตรงจุด ชัดเจน ถูกใจผู้เรียนแน่นอน

                                 บรรยากาศห้องเรียนต่าง ๆ

                                Kindergarten : นักสำรวจที่ NIVA

                                วัยอนุบาล คือ วัยแห่งการสำรวจ ทดลอง และค้นพบสิ่งใหม่ ๆ ดังนั้นการกระตุ้นให้เด็ก ๆ อยากเรียนรู้ให้เหมาะสมตามวัยจะสร้างพัฒนาการได้อย่างก้าวกระโดดเลยค่ะ เด็ก ๆ จะได้เรียนรู้ในรูปแบบ Theme-based ที่เชื่อมโยงวิชาและหัวข้อต่าง ๆ ผ่านธีมหรือแนวคิดเดียวกัน สนุกสนานตื่นเต้นไปกับกิจกรรม Hands-on activity และกิจกรรมที่ก่อให้เกิดการพัฒนารอบด้าน ไม่ว่าจะเป็น คุณธรรม จริยธรรม ทักษะ(ความสามารถ หรือ สมรรถนะ) รู้จักเล่น รู้จักแบ่งปัน ที่สำคัญคือ School Safety คุณครู สถานที่ และสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ ในโรงเรียน “ปลอดภัย” เพื่อให้เด็ก ๆ ไว้วางใจและกล้าที่จะเรียนรู้ไปในโลกกว้างค่ะ

                                Elementary : วัยแห่งความตื่นเต้นที่ NIVA

                                เด็ก ๆ ในวัยนี้จะเริ่มเรียนรู้โลกกว้างมากขึ้น ชอบความตื่นเต้นในสิ่งแปลกใหม่ จะหันเหไปสู่การเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ จากสิ่งแวดล้อมนอกบ้าน เช่น เรียนรู้เกี่ยวกับเพื่อน ครู การเรียน การเล่นกับเพื่อน เด็ก ๆ จะใฝ่เรียนรู้และพยายามทำสิ่งต่าง ๆ เพื่อให้เห็นว่า “I can do it” และอยากให้ผู้อื่นยอมรับในความสามารถของตนเอง และสร้างประสบการณ์เรียนรู้ด้วยกิจกรรมต่าง ๆ  หรือที่เรียกว่า Discovery-based learning  เพื่อสร้าง + กระตุ้น + เติมเต็ม ความคิดสร้างสรรค์ การคิด วิเคราะห์ สังเคราะห์ การแก้ปัญหา คุณครูจะคอยบ่มเพาะให้เด็ก ๆ มีความเชื่อมั่นในตนเอง กล้าคิด กล้าพูด กล้าแสดงออก โดยใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลักตามแบบฉบับโรงเรียนนานาชาติ นอกจากนี้ยังมีคาบเรียนภาษาไทย และภาษาจีน 3-4 คลาสต่อสัปดาห์อีกด้วย

                                ชั้นอนุบาลมีรูปแบบการเรียนที่หลากหลาย

                                ชั้นเรียนภาษาจีนของประถมศึกษา

                                ช่วงพักเบรค ออกมายืดเส้นยืดสายกันเถอะ

                                Middle School : วัยรุ่นเต็มตัวที่ NIVA

                                วัยนี้มักเป็นวัยที่มีคำถามเกี่ยวกับตัวเขาเองมากมาย ร่างกายและสภาพอารมณ์มีความเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน โกรธ – รัก – กลัว ยังคงเป็นพื้นฐานทางอารมณ์ของจิตใจวัยรุ่น ดังนั้นที่ NIVA จึงให้ความสำคัญกับการปลูกฝังความมีวินัย การทำงานร่วมกัน การสร้างภาวะผู้นำ โดยดูแลทั้งร่างกายและจิตใจ  เพื่อให้พร้อมกับความท้าทายในช่วง High school และอนาคตต่อไป

                                การเรียนจะเป็นแบบ Skill-based learning, hands -on and project based approach เน้นทักษะภาคปฎิบัติที่จำเป็นในชีวิตจริง การเรียนจะมีทั้งแบบรวมกลุ่มเพื่อทำงาน และแบบเดี่ยว ส่งเสริมให้เด็ก ๆ แสดงความเป็นตัวตน กล้าคิด กล้าพูด กล้าแสดงออก อย่างมีกาละเทศะ  นอกจากนี้ยังมี Personalized Learning ใน Extra-curricular Activities หรือวิชาเลือก เช่น กีฬาประเภทต่างๆ ศิลปะ , Codementum , Film Studies ,Theatre, ภาษา ,Geometry & Statistics , Life skills & values เป็นต้น จากกว่า 25 วิชาที่เปิดให้ลงทะเบียนค่ะ

                                High School : วัยพี่ใหญ่ที่ NIVA

                                เป็นวัยแห่งการวางเป้าหมายและการเตรียมตัวตาม Pathway ที่เลือกจากทั้งหมด 4 เส้นทางได้แก่ Medical , Business , Communication , Engineering & General

                                • การเลือกแผนการเรียนที่ NIVA จะเริ่มตั้งแต่เกรด 8 เลยค่ะ ใน Pathway Meeting อันเป็นการประชุมกันระหว่าง ผู้ปกครอง + นักเรียน + Counselor โดยจะอ้างอิงจาก พอร์ท, เกรด ,ความต้องการ และ Requirement ของมหาวิทยาลัย เพื่อแนะนำว่าเด็ก ๆ ควรเรียนอะไร และจะสนับสนุนให้เด็ก ๆ เลือก Pathway ที่ใช่ จริง ๆ
                                • ในด้านการเรียนเป็นรูปแบบ Mastery-based learning ลงลึก เข้มข้น เข้าไปถึงแก่น – เน้นความเข้าใจกระจ่างแจ้งที่ไม่ใช่จากการท่องจำ!
                                • Personalized and flexible แม้จะเป็นการเตรียมพร้อมที่เข้มข้นแต่ก็เป็นไป ”ตามจังหวะ“ ของเด็ก ๆ แต่ละคน ไม่เปรียบเทียบระหว่างใครกับใคร เพราะทุกคนมีทางเดินของตัวเองค่ะ
                                • มี AP subjects และ วิชาเลือกที่มากมาย เฉพาะทางมากกว่าเก่าและตอบโจทย์กับคุณลักษณะที่จำเป็นต่อมนุษย์ในศตวรรษที่ 21 ทั้งนั้นเลยค่ะ

                                ชั้นมัธยมจะเน้นการทำงานเป็นกลุ่ม (Collaboration)

                                รายวิชา STEM เป็นหนึ่งในจุดเด่นของโรงเรียนที่นักเรียนกวาดรางวัลมาแล้วทุกๆปี

                                STEM : หนึ่งในจุดแข็งของ NIVA

                                STEM คือการเติมเต็มจินตนาการ และ Learning by mistakes เด็ก ๆ จะได้เรียนรู้จากความผิดพลาด ความล้มเหลว ความผิดหวัง อันจะเป็นการสร้างความมุมานะ ความไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค ผ่านประสบการณ์ ( แบบนี้จัดว่าได้ผล 2 เด้งไปเลยค่ะ )

                                โดยเริ่มเรียน STEM กันตั้งแต่ G.3 กันเลยทีเดียว โดยจะเรียกว่า Mini Stem Project

                                เน้นการทำงานร่วมกัน (Collaborative Work) เพราะ 1 กลุ่มมี 4 คน มีหน้ารับผิดชอบแตกต่างกันไป ได้แก่

                                • Student 1 : Science (ฟิสิกส์ เคมี ชีวะ)
                                • Student 2 : Technology (IT)
                                • Student 3 : Engineering (งานสร้าง)
                                • Student 4 : Math (shape, การคำนวณ)

                                โรงเรียนจะเก็บผลงาน โครงงานของเด็ก ๆ ไว้ เพื่อเป็นต้นแบบให้น้อง ๆ รุ่นถัดไป  โดยนำมาสร้างและปรับปรุงใหม่ และยังมีสัปดาห์ STEM EXPO จัดแสดงผลงานของทุกชั้นปี ( ตั้งแต่ G.3 ) ด้วยค่ะ เด็ก ๆ ภูมิใจที่สุด

                                และยังมีกิจกรรม STEM field trip  เช่น พาไปเยี่ยมชมโรงงานอลูมินั่มที่ผลิตชิ้นส่วนของหุ่นยนต์  เพื่อให้เด็กได้ลงพื้นที่จริงและเห็นการทำงานทั้งระบบ

                                ห้องสมุด ของโรงเรียน

                                มุมต่าง ๆ ภายในโรงเรียน

                                Character Building

                                • Life skills + Soft skills จะปลูกฝังตั้งแต่ยังเล็กในชีวิตประจำวันของเด็ก ๆ เช่น เราจะเข้าหาเพื่อนๆอย่างไรนะ? เราจะแก้ปัญหานี้อย่างไรดีนะ?
                                • Reteach Routine คุณลักษณะและพฤติกรรมที่เหมาะสมจะต้องได้รับการสอนทุกวัน แทรกซึมเข้าไปทุกวัน จนกลายเป็นนิสัย ผ่านแบบอย่างที่ดี (ใช้เวลานะคะ แต่ผลลัพธ์คุ้มค่าที่สุด)
                                • ส่งผลให้เด็ก ๆ ที่ NIVA เป็นเด็กที่ใจดี มีน้ำใจ ชอบช่วยเหลือ เห็นได้ชัดเจนเวลาจัดกิจกรรม Fun Fair และอื่น ๆ เพราะเด็กจะช่วยเหลือกันและช่วยแก้ปัญหากัน
                                • NIVA เน้นย้ำ เรื่อง Understanding Emotions – การอนุญาตและยอมรับอารมณ์ ไม่ว่าจะเป็น สุข เศร้า โกรธ เสียใจ ใดๆก็ตาม NIVA สอนให้เด็กๆรู้จักการรับมือกับอารมณ์ต่างๆของตนเอง ต้องสื่อสาร และคุณครูจะต้องปฏิบัติต่อนักเรียนอย่าง healthy เพราะเรื่องจิตใจและอารมณ์เป็นหนึ่งใน School Safety ที่โรงเรียนให้ความสำคัญมากเช่นกันค่ะ

                                Mommy’s Love This! ถูกใจแม่

                                1. กิจกรรมแน่น ทำให้เด็กๆอยากมาโรงเรียนทุกวัน ( จนไม่อยากกลับบ้าน )
                                • กีฬา : หลายประเภทมากๆ มีทั้งแข่งกันภายในและภายนอกโรงเรียน สร้างประสบการณ์ชีวิตได้เป็นอย่างดี
                                • Club : ต่าง ๆ ที่คุณครูตั้ง นักเรียนตั้ง หรือที่ผู้ปกครองแนะนำ
                                • Field trip : G.6-G.12 เดินทางด้วยกัน หรือที่เรียก Bonding Camp (7 คืน) สร้างความสัมพันธ์และเรียนรู้ซึ่งกันและกัน เรียนรู้การใช้ชีวิต – เรียนผ่านกิจกรรมสุดมันส์ เนื้อหาสอดคล้องกับสิ่งที่กำลังเรียน
                                1. STEM ที่เป็นจุดแข็งของโรงเรียน

                                ในส่วนของ Coding – เด็ก ๆ เรียน Python Coding และที่สำคัญ STEMที่ NIVA ไม่ได้โดดเด่นแค่ในประเทศไทยเท่านั้น แต่ยังออกไปแข่งและได้รับเรียนในระดับ International มาแล้วค่ะ ซึ่งในปีนี้นักเรียน ผู้ปกครอง และคณะครูจะเดินทางไปแข่งขันที่ประเทศเยอรมนีด้วยกัน ( นักเรียน 8 คน ) ซึ่งมีแค่ NIVA โรงเรียนเดียวในประเทศไทยที่เข้าร่วม

                                1. EVENT สุดมันส์สานสัมพันธ์
                                • FUN RUN (การกุศล)  : วิ่งไป – เล่นไป มีฐานกิจกรรมมากมายที่นักเรียน ผู้ปกครอง และครู ต้องวิ่งวนไป สนุกมาก กระแสตอบรับดีอย่างล้นหลามค่ะ
                                • FUN FAIR  : กิจกรรมใน Business Class ที่เด็กๆต้องเรียนรู้การ “จัดงาน” ด้วยตัวเอง จัดสถานที่ การออกร้าน Agenda ต่างๆในกิจกรรม เป็นการตั้งร้านขายของที่ทุกคนมีส่วนร่วม มารู้จักกัน ทำกิจกรรมด้วยกัน และกิจกรรมวันสำคัญต่าง ๆ : ของไทยและสากล .. อีเวนท์เองก็แน่นทั้งปีเช่นกันค่ะ
                                1. School Safety – Mental Health

                                เพราะสุขภาพกายและสุขภาพจิตสำคัญต่อการเจริญเติบโต NIVA’s School Safety เป็นอีกหนึ่งจุดแข็ง เพราะเจ้าหน้าที่ทุกคนได้รับการฝึกและปฏิบัติได้ในระดับที่ยอดเยี่ยม ไม่ใช่แค่การดูแลภายนอกแต่รวมถึงการเป็นแบบอย่างที่ดีแก่เด็กๆตลอดเวลาเพื่อให้เด็กๆเรียนรู้และซึมซับไปค่ะ

                                1. เข้าถึงได้

                                NIVA จัดตั้งเพื่อมอบการศึกษาที่ดีที่สุดให้แก่เด็ก ๆ ในขณะที่ผู้ปกครองที่ต้องการให้บุตรหลานเรียนโรงเรียนนานาชาติสามารถ afford ค่าเล่าเรียนได้ นอกจากนั้นการติดต่อสื่อสารกับคุณครู หรือ โรงเรียน สามารถพูดคุยผ่าน Google Chat หรือทำนัดหมายเพื่อเข้ามาพูดคุยที่โรงเรียนได้สบายมากเลยค่ะ

                                เด็ก ๆ เรียนอย่างสนุกสนานในบรรยากาศที่แสนสบาย

                                ค่าเล่าเรียนต่อปีโดยประมาณ

                                • Nursery and Kindergarten
                                  • Nursery – K.3 ประมาณ 255,000 บาท – 306,000 บาท (ต่อปี)
                                • Elementary
                                  • G.1-5 ประมาณ 337,000 – 359,000 บาท (ต่อปี)
                                • Secondary
                                  • G.6-12 ประมาณ 375,000 – 397,000 บาท (ต่อปี)

                                NIVA AMERICAN INTERNATIONAL SCHOOL
                                18 ซอยโพธิ์แก้ว 3 แยก 11 ถ. ลาดพร้าว 101คลองจั่น บางกะปิ กรุงเทพ 10240

                                Editor : แม่พลอยผิง

                                ภาพ : ฤทธิรงค์ จันทองสุข

                                  ขอเชิญชมการแสดง “ พญาคันคาก ” : Story, Music and Movement ณ ห้องสังคีตวัฒนา สถาบันดนตรีกัลยาณิวัฒนา

                                  วันที่ 3 สิงหาคม 2567
                                  ห้องสังคีตวัฒนา สถาบันดนตรีกัลยาณิวัฒนา
                                  ระยะเวลาการแสดง 45-60 นาที
                                  รอบที่ 1 เวลา  11:00 น.
                                  รอบที่ 2 เวลา  16:00 น.
                                   การแสดง “พญาคันคาก“ ได้รับแรงบันดาลใจจาก ตำนานพื้นบ้านชาวอีสานที่เล่าขานการกำเนิดบุญบั้งไฟ ซึ่งเป็นการนำเสนอด้วยศิลปะการเคลื่อนไหวกับดนตรี และภาษา (Eurhythmy) อันริเริ่มด้วยนักปราชญ์ชาวเยอรมัน รูดอร์ฟ ชไตเนอร์ (Rudolf Steiner)
                                   ยูริธมี่ เป็นศิลปะการเคลื่อนไหวร่างกายที่ประสาน ความคิด ความรู้สึก และการกระทำ ออกมาเป็นท่วงท่าต่างๆ ที่สอดคล้องกับดนตรี และภาษาของเรื่องที่เล่า
                                   ในครั้งนี้การแสดง ”พญาคันคาก“ จึงได้ผสมผสานกลิ่นอายดนตรี และนิทานพื้นบ้าน โดยการสร้างสรรค์ เรียบเรียงเรื่องเล่า การเคลื่อนไหว และดนตรี โดยอาจารย์ ดร.พงษ์เทพ จิตดวงเปรมและนักศึกษา สถาบันดนตรีกัลยาณิวัฒนา ร่วมกับหลักสูตรอบรมยูริธมี่แห่งประเทศไทย และ ศิลปินอิสระรับเชิญ แอน-มณีรันต์ สิงหนาท, จารุวรรณ ด้วงคำจันทร์, พชรมน บัณฑุวนิช, สุนทร เพ็งหิรัญ
                                   โครงการนี้เป็นส่วนหนึ่งในโครงการ Musique de la Vie ของสถาบันดนตรีกัลยาณิวัฒนาที่มุ่งเน้นพัฒนาดนตรีแห่งชีวิต ซึ่งก่อให้เกิดการบูรณาการดนตรีในชีวิตประจำวันสร้างเสริมประสบการณ์สุนทรียะสู่ผู้คนทุกเพศทุกวัย
                                  สำรองที่นั่งฟรี : https://www.ticketmelon.com/pgvimusic/พญาคันคาก
                                  หมายเหตุ  :
                                  – การแสดงนี้เหมาะสำหรับเด็กชั้นประถมศึกษาขึ้นไป
                                  – กรุณามาก่อนการแสดง 15 นาที
                                   

                                    สมาร์ทผลิตภัณฑ์ซักผ้าสูตรเข้มข้น ไฮจีนิค คลีน เปิดตัวพรีเซนเตอร์คู่แม่ลูกสุดน่ารัก “กุ๊บกิ๊บ” สุมณทิพย์ และ “น้องเป่าเปา”

                                     สมาร์ทผลิตภัณฑ์ซักผ้าสูตรเข้มข้น ไฮจีนิค คลีน  ร่วมสร้างมาตรฐานใหม่แห่งวงการซักผ้า ด้วย 3 สูตรใหม่ ฆ่าเชื้อโรค ขจัดฝุ่นและมลภาวะ สยบกลิ่นอับชื้นจากเหงื่อ เพื่อผ้าสะอาดขั้นกว่า 

                                    เปิดมิติใหม่ของการซักผ้าที่บอกลาทุกปัญหากวนใจ ทั้งฆ่าเชื้อโรค ขจัดฝุ่นและมลภาวะ สยบกลิ่นอับชื้นจากเหงื่อ ด้วย สมาร์ท (Smart) ผลิตภัณฑ์ซักผ้ามาตรฐานสากล แบรนด์แรกในไทยที่พัฒนาผลิตภัณฑ์ซักผ้าสูตรเข้มข้น  ที่สามารถฆ่าเชื้อไวรัส 99.9%* หนึ่งในแบรนด์สินค้าคุณภาพ ภายใต้บริษัท นีโอ คอร์ปอเรท จำกัด (มหาชน) พร้อมเผยโฉมพรีเซนเตอร์ใหม่คู่แม่ลูกสุดน่ารัก “กุ๊บกิ๊บ” สุมณทิพย์ ชี และลูกสาว “น้องเป่าเปา” ที่จะมาแนะนำมาตรฐานใหม่ของการซักผ้ากับผลิตภัณฑ์ล่าสุด สมาร์ทผลิตภัณฑ์ซักผ้าสูตรเข้มข้น ไฮจีนิค คลีน ขจัดคราบ ฆ่าเชื้อไวรัสและแบคทีเรีย 99.9%* รวมไปถึง สมาร์ทผลิตภัณฑ์ซักผ้าสูตรเข้มข้น เพรสทีจ โกลด์  ขจัดคราบและฝุ่นลงลึกถึงเส้นใย และสมาร์ทผลิตภัณฑ์ซักผ้าสูตรเข้มข้น เพรซเชียส พิงค์ ขจัดคราบ สยบกลิ่นอับจากเหงื่อ ที่พัฒนาขึ้นเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคทุกกลุ่ม ในงานเปิดตัวพรีเซนเตอร์คนล่าสุด ท่ามกลางบรรยากาศสุดคึกคักของเหล่าคุณพ่อบ้าน แม่บ้านนักช้อปตัวจริง ณ โลตัส บางใหญ่ ในวันที่ 2 กรกฎาคมนี้ 

                                    ศิริสุภา อาจสัญจร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการตลาด บริษัท นีโอ คอร์ปอเรท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า  จากการพัฒนาสูตรตลอด 3 ปีที่ผ่านมา  สมาร์ทตั้งใจส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ ด้านประสิทธิภาพแก้ปัญหาให้ผู้บริโภคได้ตรงจุด เช่น ฆ่าเชื้อไวรัสและแบคทีเรีย 99.9%* ขจัดฝุ่นและมลภาวะ และลดกลิ่นอับชื้นจากเหงื่อ เพื่อตอกย้ำภาพลักษณ์ใหม่ในการเป็นผลิตภัณฑ์ซักผ้าสูตรเข้มข้นที่มีคุณสมบัติแตกต่างกับผลิตภัณฑ์ซักผ้าในตลาด ซึ่งนอกจากขจัดคราบและความหอมแล้ว สมาร์ทยังเป็นแบรนด์แรกในไทยที่พัฒนาผลิตภัณฑ์ซักผ้าแบบน้ำที่สามารถฆ่าเชื้อไวรัสและแบคทีเรียได้ถึง 99.9%*  เพื่อตอบโจทย์กลุ่มผู้บริโภคที่มีความกังวลเรื่องความสะอาดของเสื้อผ้าเป็นพิเศษ”     

                                    นอกจากนี้ศิริสุภา ยังเผยถึงการเลือก “กุ๊บกิ๊บ” สุมณทิพย์ และลูกสาว “น้องเป่าเปา” เป็นพรีเซนเตอร์คู่ล่าสุด รวมถึงสิ่งที่สมาร์ทต้องการสะท้อนผ่านคาแรกเตอร์ของพรีเซนเตอร์  ซึ่งเป็นคุณแม่ที่ดูแลลูกด้วยตัวเอง รวมทั้งเลี้ยงลูกโดยไม่ปิดกั้นความคิดและพัฒนาการ แต่ก็ยังคงดูแลและปกป้องลูกอยู่เสมอ เหมือนกับสมาร์ทที่ช่วยดูแลเสื้อผ้าให้สะอาดปลอดภัยในทุกกิจกรรม

                                    “ด้วยคาแรกเตอร์ของกุ๊บกิ๊บเป็นคุณแม่ยุคใหม่ที่นอกจากต้องทำงานนอกบ้านแล้วยังต้องดูแลคนในครอบครัว ทั้งยังเป็นคุณแม่ช่างเลือกที่คัดสรรสิ่งที่ดีที่สุดให้ลูก ๆ และน้องเป่าเปา ซึ่งเป็นเด็กวัยเรียนรู้มีกิจกรรมหลังเลิกเรียนมากมาย ทำให้อาจมีสิ่งสกปรกที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าติดอยู่บนเสื้อผ้า ไม่ว่าจะเป็น เชื้อโรค ฝุ่นจากมลภาวะรอบตัว หรือกลิ่นอับชื้นจากเหงื่อ ซึ่งผลิตภัณฑ์ซักผ้าสมาร์ทจะเข้ามาตอบโจทย์ได้ครบทุกปัญหา เพื่อคลายความกังวลใจให้กับทุกคนที่ต้องการดูแลเสื้อผ้าให้สะอาด ไร้กลิ่นอับชื้น” 

                                     สำหรับแคมเปญการตลาดของผลิตภัณฑ์ซักผ้าสมาร์ทในปีนี้ จะเน้นกิจกรรมที่ทำให้นึกถึงความสำคัญของการทำความสะอาดเสื้อผ้า นอกจากขจัดคราบ ยังช่วยขจัดสิ่งสกปรกอื่น ๆ บนเสื้อผ้าที่นึกไม่ถึง เพื่อสุขอนามัยที่ดีของทั้งครอบครัว ผ่านช่องทางออนไลน์ โดยสื่อสารผ่าน Online Clip ของทั้ง 3 ผลิตภัณฑ์ไฮไลท์ ได้แก่  

                                    สมาร์ทผลิตภัณฑ์ซักผ้าสูตรเข้มข้น ไฮจีนิค คลีน (Smart Concentrated Laundry Detergent Hygienic Clean “Anti-Virus”) ซักสะอาด พร้อมฆ่าเชื้อไวรัส SAR-CoV-2 และเชื้อแบคทีเรีย 99.9%*  ช่วยขจัดคราบ และลดกลิ่นอับชื้นที่เกิดจากแบคทีเรีย พร้อมกลิ่นหอมสะอาด  เพื่ออนามัยที่ดี ใช้ได้ทั้งผ้าสีและผ้าขาว ขนาด 700 มล. ราคา 89 บาท 

                                    สมาร์ทผลิตภัณฑ์ซักผ้าสูตรเข้มข้น เพรสทีจ โกลด์  (Smart Concentrated Laundry Detergent Prestige Gold “Anti-Pollution”) ซักสะอาด พร้อมช่วยขจัดคราบฝุ่น และมลภาวะได้ลงลึกถึงเส้นใย มอบผ้าสะอาดหอม ช่วยลดกลิ่นอับชื้น ใช้ได้ทั้งผ้าขาวและผ้าสี ขนาด 700 มล. ราคา 89 บาท 

                                    สมาร์ทผลิตภัณฑ์ซักผ้าสูตรเข้มข้น เพรซเชียส พิงค์ (Smart Concentrated Liquid Detergent Precious Pink “Anti-Odor”) ซักสะอาด พร้อมสยบกลิ่นอับชื้นจากเหงื่อ ด้วยเทคโนโลยี ODOR CONTROL  ให้กลิ่นหอมสะอาด ใช้ได้ทั้งผ้าสีและผ้าขาว ขนาด 700 มล. ราคา 89 บาท 

                                    เพื่อเสื้อผ้าสะอาด ปราศจากเชื้อโรค ขจัดฝุ่นและมลภาวะ สยบกลิ่นอับชื้นจากเหงื่อ ด้วยมาตรฐานใหม่แห่งการซักผ้าที่สะอาดยิ่งกว่ากับ 3 สูตรใหม่ของ “สมาร์ท” ผลิตภัณฑ์ซักผ้าสูตรเข้มข้นไฮจีนิค คลีน, เพรสทีจ โกลด์ และเพรซเชียส พิงค์ พร้อมวางจำหน่ายแล้ว ที่ห้างสรรพสินค้าชั้นนำ ร้านสะดวกซื้อ ซูเปอร์มาร์เก็ต ไฮเปอร์มาร์ททั่วประเทศ ร้านค้าออนไลน์ Lazada: NeodealDD เพียงคลิกลิงค์นี้ https://bit.ly/3xaNvLG  Shopee: D-nee Official และ LINE @NEOdealDD   

                                    # # # # 

                                     

                                    *ผลการทดสอบในห้องปฎิบัติการด้วยเชื้อไวรัส SAR-CoV-2, เชื้อแบคทีเรีย Staphylococcus aureus และ Klebsiella pneumoniae