Page 502 – AMARIN Baby And Kids – เพื่อลูกฉลาดและมีความสุข

[Cover Kid ฉบับสิงหาคม 2558] Mother of the Year 2015 ซาร่า คาซิงกินี

Happy Single Mom
ซาร่า คาซิงกินี & แม็กซ์เวลล์ วัย 11 เดือน
กับรางวัล Mother of the Year 2015

 

นิตยสารเรียลพาเรนติ้ง ได้จัดกิจกรรมให้ผู้อ่านร่วมโหวตสุดยอดครอบครัวและองค์กรสนับสนุนสถาบันครอบครัวแห่งปี ในปีนี้จัดเป็นครั้งที่ 3 และในฉบับสิงหาคมนี้ เราได้เชิญคุณแม่แห่งปี ซาร่า คาซิงกินี มาขึ้นปกพร้อมกับลูกชายสุดหล่อ น้องแมกซ์เวลล์ เด็กชายที่เกิดมาพร้อมกับแฟนคลับนับหมื่นนับแสน

“ซาร่าเป็นของเล่นของลูก”
ใช้เวลาคุณภาพอยู่กับลูก

“ช่วงตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 2 ปี เด็กจะจดจำได้เร็ว และกำลังเรียนรู้สิ่งต่างๆ ของเล่นของลูกสมัยนี้ คุณพ่อคุณแม่มักจะให้เล่นโทรศัพท์หรือแท็บเล็ต ไม่ค่อยใช้กิจกรรมกับลูก จะทำให้เด็กสมาธิสั้น จะงอแงเอาแต่ของพวกนี้ มันอาจจะสะดวกต่อพ่อแม่ แต่ระยะยาวมันไม่เป็นผลดีแน่ ในส่วนตัวซาร่าเชื่อว่าตัวเราเองเป็นของเล่นที่ดีที่สุดสำหรับลูก พูดคุยกับเขา อ่านหนังสือให้เขาฟัง พาไปเที่ยวสวน พาไปเจอสัตว์ ใช้เวลาอยู่ด้วยกัน เวลาเราทำกิจกรรมด้วยการเล่นกับเขาจะเห็นพัฒนาการของเขา พยายามใช้เวลา 2 ปีแรกของเขาอยู่กับเขาให้มากที่สุด อยากให้เวลาที่ได้อยู่ด้วยกันเป็นช่วงเวลาคุณภาพ”

ด.ช. แม็กซ์เวลล์ ดิแองเจโล คาซิงกินี วัย 11 เดือน

“พัฒนาการของแมกซ์เวลล์ตอนนี้พยายามจะตั้งไข่ หัดเดิน เกาะยืน กำลังจะเข้าขวบหนึ่งแล้ว เวลาหิวข้าวจะพูด “หม่ำ หม่ำ” เวลาเราทำอะไรเขาจะทำเลียนแบบ อย่างเช่นตอนไปว่ายน้ำด้วยกัน ซาร่าเป่าลมแล้วเกิดเป็นเสียงบุ๋งๆ เขาก็จะดำลงไปในน้ำแล้วทำตาม ซึ่งครูก็จะชมว่าเขาเรียนรู้เร็วกว่าเด็กในวัยเดียวกัน”

fashion-4

เที่ยวกันบ่อย
แต่ถ้าต้องขึ้นเครื่อง..

“บางคนไม่กล้าพาลูกเที่ยวเพราะกลัวลำบาก จะมีคุณแม่อินบ็อกมาถามตามโซเชี่ยลต่างๆ มากว่าเวลาขึ้นเครื่องบินทำอย่างไงให้ลูกอยู่บนเครื่องได้โดยไม่รบกวนคนอื่น ไม่งอแง ปัญหาตอนขึ้นเครื่องจะมีเฉพาะตอนขึ้นและตอนลง ทำอย่างไรให้น้องไม่เจ็บหู ก็คืออย่างแรกต้องรู้ว่าก่อนเครื่องขึ้นทุกครั้งความกดอากาศมันจะเปลี่ยน ผู้ใหญ่เองจะไม่สบายหูถ้าเคี้ยวหมากฝรั่งมันจะช่วยได้ ส่วนเด็กถ้าเป็นเด็กที่กินนมอยู่แล้วก็เอาเข้าเต้า หรือใช้ขวดนม กินน้ำ กินอาหาร ให้กรามเขาได้ขยับ หูจะไม่อื้อ เขากินอิ่มแล้วก็จะหลับไป อย่างที่เคยไปนานสุดใช้เวลาอยู่บนเครื่อง 6 ชั่วโมง ก็ไม่เคยมีปัญหา เพราะเขาจะหลับตอนอยู่บนเครื่อง ตื่นมาก็ตอนใกล้ๆ จะลงพอดี ได้นอนเต็มอิ่มก็จะไม่งอแง ขอยืนยันว่ามีความสุขมากกว่าความลำบากแน่นอนค่ะ”

Big Family
แฟนคลับครอบครัวใหญ่ของแม
กซ์เวลล์

“เวลาพาไปไหนมาไหน ก็จะมีแฟนคลับเข้ามาขอถ่ายรูป เข้ามาในลักษณะกรี๊ด น้องแมกซ์เวลล์ก็จะรับแขกมาก เล่นกับทุกคน เป็นเด็กเลี้ยงง่ายใครเห็นก็เอ็นดู แฟนคลับคนจีน คนไทย ส่งของมาให้ตั้งแต่ตอนท้องแล้วค่ะ มีตั้งแต่เสื้อผ้าไปจนถึงของใช้ ก็รู้สึกดีใจที่ทุกคนรักน้อง อยากขอบคุณแฟนคลับทุกคนที่ติดตามเรามาตั้งแต่คลอด จนตอนนี้จะครบปีนึงแล้ว ก็รู้สึกดี เป็นอีกครอบครัวหนึ่ง เวลาเรารู้สึกแย่ เขาก็จะให้กำลังใจเรา”

รู้สึกอย่างไรที่ได้รับคะแนนโหวตสูงสุด
ให้เป็นคุณแม่แห่งปี

“รู้สึกภูมิใจที่ได้รับเกียรตินี้ และต้องขอบคุณทุกคนที่โหวตให้กับซาร่ากับแมกซ์แวลและขอเป็นกำลังใจให้กับทุกคนที่เป็นซิงเกิ้ลมัม ไม่ใช่คุณคนเดียว ซาร่าก็เป็นซิงเกิ้ลมัมอีกคนค่ะ”

อ่านบทสัมภาษณ์เพิ่มเติมได้ที่ นิตยสารเรียลพาเรนติ้ง ฉบับเดือนสิงหาคม 2558 ได้ที่ทุกแผงหนังสือใกล้บ้าน

    เตือน!! ผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่อย่ากินมะรุมเยอะเกินไป

    เป็นข่าวครึมโคมกันเลยทีเดียว เมื่อมีการออกมาบอกว่า  มะรุมช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ เรื่องนี้จะจริงเท็จ แค่ไหน มาฟังคำยืนยันจากสถาบันโภชนาการกันดีกว่าค่ะ โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. ชนิพรรณ บุตรยี่ รองผู้อำนวยการสถาบันโภชนาการ และคณะ ได้ตั้งโต๊ะแถลงข่าว เรื่อง “มะรุมกับมะเร็งลำไส้ใหญ่” ขึ้น  พร้อมกล่าวว่า

    หลังจากที่ทางคณะวิจัยได้ศึกษาในเรื่องนี้ พบว่า การบริโภคมะรุมในปริมาณมาก เพื่อบรรเทาอาการของโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ไม่ได้เกิดผลดีเสมอไป หากบริโภคฝักมะรุมในรูปแบบของแคปซูล หรือ บริโภคในรูปสารสกัดมะรุมที่เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ซึ่งผลในด้านการรักษาหรือป้องกันโรคจะต่างกันเนื่องจากการนำมาสกัดจะมีสาร สำคัญเพียงบางชนิด และอยู่ในรูปของสารเคมีที่มีความเข้มข้น เมื่อกินอย่างต่อเนื่องในปริมาณสูง อาจก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อการเป็นพิษในร่างกายอีกทั้งยังไม่มีข้อมูลยืนยัน จากการศึกษาในคน ส่วนใหญ่มีเพียงข้อมูลที่ได้จากการศึกษาในระดับหลอดทดลองและในระดับเซลล์ เท่านั้น

     

    ฉะนั้นข้อควรระวังคือ ผู้ป่วยโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ไม่ควรบริโภคฝักมะรุมในปริมาณที่สูง  ข้อ แนะนำคือ ควรลดปริมาณการบริโภคในแบบผงเข้มข้น แล้วเปลี่ยนมาบริโภคในรูปของอาหารอย่างแกงส้มมะรุมแทนจะดีกว่า แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นผู้บริโภคต้องทำความเข้าใจ และศึกษาข้อมูลอย่างรอบด้านเพื่อการป้องกันปัญหาและ ช่วยให้การรักษามีประสิทธิภาพ

     

      Kid Safety – เพศศึกษา ไม่ใช่เพศสัมพันธ์

      มื่อก่อนนั้น ผู้ใหญ่หรือแม้แต่คุณครูหลายๆท่านยังรู้สึกตะขิดตะขวงใจที่จะพูดจะสอนเด็กๆ เพราะเกรงเด็กจะแยกแยะไม่ออกระหว่างในเรื่องของเพศสัมพันธ์ การสืบพันธุ์ เพศศึกษา หนำซ้ำยังไม่มั่นใจว่าเด็กควรจะเรียนรู้อะไรให้เหมาะสมกับแต่ละช่วงวัย

      แนวคิดการสอนเพศศึกษายุคนี้ จะไม่ได้มุ่งเน้นว่าเป็นเรื่องชองเรื่องกามอารมณ์ (sex) แต่ให้ทัศนคติว่านี่คือกระบวนการที่จะสร้างภูมิคุ้มกันทางเพศให้แก่เด็กและเยาวชน ลดผลกระทบ ซึ่งอาจเกิดขึ้นจากพฤติกรรมทางเพศที่ไม่เหมาะสมเมื่อเติบโตไปเป็นวัยรุ่น

      การสอนเพศศึกษาน่าจะครอบคลุมไปถึงเรื่องของ พัฒนาการทางด้านร่างกาย อารมณ์ สังคมมนุษยสัมพันธ สุขภาพทางเพศ ทักษะการใช้ชีวิต พฤติกรรมทางเพศ สังคมและวัฒนธรรม

      สิ่งที่น่าเป็นห่วงยิ่งก็คือ เด็กในยุคปัจจุบันมีช่องทางในการเข้าถึงสื่อต่างๆอย่างมากมาย
      และง่ายดาย แถมยังมีอันตรายแฝงเร้นอย่างที่ผู้ใหญ่อย่างเราๆก็คาดไม่ถึง เราในฐานะคุณพ่อคุณแม่ คงต้องปรึกษาหารือกันและเรียนรู้เอาใจใส่ ในเรื่องนี้กันอย่างจริงจัง

      ยิ่งดูจากผลการสำรวจที่พบว่า ในบ้านเรานั้น คุณพ่อแม่มีบทบาทในการสอนเรื่องเพศแก่ลูก แค่   ร้อยละหนึ่งเท่านั้น ซึ่งนับได้ว่าน้อยที่สุดในโลก ! (โดยเฉลี่ยของทั่วโลกก็อยู่แค่ ร้อยละ 12 ซึ่งก็ถือว่าน้อยอยู่ดี) แสดงให้เห็นแนวโน้มเลยว่า เด็กๆเมื่อเติบโตเป็นวัยรุ่น พวกเขาก็จะหาความรู้เรื่องเพศกันเอง หรือจากผู้อื่น แหล่งอื่น ที่ไม่ใช่พ่อแม่ ซึ่งอาจอันตรายกว่าที่คาดคิด เกิดเป็นค่านิยมที่ผิดๆ จะก่อให้เกิดความเสียหายต่อสังคมอย่างคาดไม่ถึง

       

       

      เรื่อง : รศ.นพ.อดิศักดิ์ ผลิตผลการพิมพ์
      ภาพ : shutterstock
      ที่มาจากคอลัมน์ : Kids’Safety ฉบับเดือนมิถุนายน 2554

       

        Kid Safety – ภัยจากพี่เลี้ยงต่างชาติ

        “คิดจะมีพี่เลี้ยงต่างชาติ เลือกอย่างไรให้ปลอดภัย”   ยุค”ครอบครัวรวม”นั่นคือ ปู่ ย่า ตา ยาย ลุง ป้า น้า อา และหลานๆอยู่ในครอบครัวเดียวกัน ช่วยดูแลเอาใจใส่กัน เห็นทีจะหาได้ยากขึ้นทุกทีแล้วในสังคมเรา สิ่งที่เด็กๆรุ่นนี้มากมายที่เติบโตกันมาในสภาพ “ครอบครัวเดี่ยว”(มีเพียงพ่อและแม่ช่วยกันดูแล) “ครอบครัวเลี้ยงเดี่ยว”(มีเพียงพ่อหรือมีเพียงแม่เท่านั้นที่เลี้ยงดู) และมีไม่น้อยเลย ที่อยู่กับ “ใครก็ไม่รู้”ซึ่งเรียกกันโดยทั่วไปว่า “พี่เลี้ยง” เรียกได้ว่าพอคุณแม่ครบกำหนดลาคลอด(3 เดือน) ลูกวัยแบเบาะก็ได้เห็นพี่เลี้ยงมายืนยิ้มเผล่อยู่ข้างเปลนอนแล้ว…. ปัญหาก็คือคงไม่มีคนเป็นพ่อเป็นแม่ที่ไหนแน่ๆที่จะปล่อยให้ลูกของตนอยู่กับ“ใครก็ไม่รู้”โดยลำพัง แม้เพียงชั่วแว่บเดียวก็ตาม โดยมากจึงอาศัยญาติสนิทมิตรสหายช่วยกันแนะนำหรือติดต่อผ่านทางศูนย์พี่เลี้ยงซึ่งมีตัวตน มีสถานที่ชัดเจน มีสถาบันที่น่าเชื่อถือได้ให้การรับรองรับผิดชอบ แต่บางครั้งก็แพงครับ พ่อแม่อาจหาทางประหยัดหรือหาศูนย์พี่เลี้ยงที่ไม่ค่อยมีมาตรฐาน ราคาถูก ปัญหาที่ตามมาก็คือ ทุกวันนี้พี่เลี้ยงเด็กไม่ใช่น้อยๆเลยเป็น คนต่างชาติ ซึ่งทำให้คุณพ่อคุณแม่กังวลยิ่งขึ้นไปอีก เปล่าครับ,, มิใช่การเหยียดผิว หรืออคติใดๆ แต่ความเป็นต่างชาติต่างแดนทำให้ยิ่งไม่รู้ที่มาที่ไป แถมไม่มั่นใจในสุขภาพกายและสุขภาพจิตอีกตะหาก   ต่อจากนี้ไปเป็นแนวคิดเบื้องต้นของพิจารณา เมื่อจำต้องให้ลูกมีพี่เลี้ยงต่างชาติ

        1. หลายๆท่านเลือก Daycare (หรือที่เราเรียกกันว่า Nursery) ซึ่งหาให้ใกล้ที่ทำงานของคุณพ่อคุณแม่ ซึ่งจะได้อาศัยช่วง         พักเที่ยงแว่บไปดูแลลูก และหลังเลิกงานจะได้ไปรับลูกได้โดยไม่เสียเวลามากนัก
        2. แม้เป็นเรื่องยาก ก็ยังภาวนาให้คุณได้มีญาติสนิท(คุณปู่-ย่า-ตา-ยาย หรือ ป้า-น้า-อา…) มาช่วยดูแลหลานรัก ในขณะที่คุณทั้งคู่ออกไปทำงานนอกบ้าน และอาจมีพี่เลี้ยง มาช่วยเป็นลูกมือของคุณย่าคุณยาย …(แม้แต่เป็นพี่เลี้ยงต่างชาติก็ตาม) เพื่อท่านจะได้ไม่เหนื่อยจนเกินไป และไม่ควรให้พี่เลี้ยงต่างชาติเลี้ยงลูกน้อยอย่างเด็ดขาดแม้จะผ่านการรับรองจากศูนย์ใดๆก็ตาม
        3. หาข้อมูลจากศูนย์บริการพี่เลี้ยงต่างๆ(ก่อนจะตัดสินใจเดินทางเข้าพบศูนย์ใด ทางที่ดีควร สืบประวัติศูนย์นั้นๆก่อน ทั้งลองค้นๆดูในอินเตอร์เน็ต ก็จะพบได้มากมาย ซึ่งมีที่อยู่ พร้อมเบอร์โทรหรือยิ่งรู้จากญาติสนิทมิตรสหายที่เคยประทับใจไว้ในบริการก็ยิ่งดี
        4. ข้อดีของศูนย์พี่เลี้ยงก็คือบรรดาพี่เลี้ยง(ทั้งไทยทั้งเทศ) จะผ่านการอบรมการฝีกฝน วิธีการดูแลเด็ก(เบื้องต้น)มาแล้ว หนำซ้ำหลายคนมักจะมีประสบการณ์การเลี้ยงเด็กมาก่อน และที่พอคาดหวังได้ก็คือน่าจะผ่านการคัดกรองมาแล้ว

        จากศูนย์นั้นๆ ว่าจะไม่มีทั้งปัญหาสุขภาพกายและสุขภาพจิต พี่เลี้ยงของศูนย์ต่างก็มักมีให้เราเลือกได้ว่าต้องการพี่ เลี้ยงแบบอยู่ที่บ้านเราเลย หรือ แบบไปเช้าเย็นกลับ

        1. สำหรับอัตราค่าจ้างนั้น ทางศูนย์ก็มักกำหนดไว้หลายอัตรา โดยมักจะมีค่าธรรมเนียม (มักหัก 10% จากเงินเดือนพี่เลี้ยง) การจ่ายเงินเดือนก็ไม่ใช่จ่ายกับพี่เลี้ยงโดยตรง แต่ให้จ่ายผ่านศูนย์ฯ
        2. ควรเลือกศูนย์พี่เลี้ยงอย่างพิถีพิถันให้มากนะครับ ที่แน่ๆคือ มีใบจดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ ต้องมีสถานที่แน่นอน ติดต่อได้อย่างสะดวก มีใบรับรองหรือประกาศนียบัตรจากหน่วยงาน หรือโรงพยาบาล ว่าถูกกฎหมาย เชื่อถือได้มีมาตรฐาน และต้องมีการฝึกอบรมพี่เลี้ยงอย่างถูกต้อง และต่อเนื่อง
        3. ศูนย์เปิดโอกาสให้คุณพ่อคุณแม่พูดคุยสัมภาษณ์ ทางที่ดีแม้พี่เลี้ยงจะเป็นต่างชาติ แต่ก็น่าจะฟังและพูดภาษาไทยได้บ้าง ในระดับที่สื่อสารกันพอเข้าใจ ไม่ใช่ว่าพูดหรือฟังไม่รู้เรื่องเลย สิ่งที่ควรถามคือ ถามประวัติครอบครัว มีสามี มีลูกหรือยัง สามีทำงานอะไร เหตุใดจึงออกจากงานเก่า และ เหตุผลอะไรจึงมาเลือกงานเป็นพี่เลี้ยงเด็ก

        – ยิ่งเคยทำงานเป็นพี่เลี้ยงมาแล้ว เรายิ่งจะต้องโทรเช็คบ้านที่เขาเคยเลี้ยงเด็กมาแล้ว ถึงสาเหตุการออกจากงาน และพฤติกรรมต่างๆว่ามีความน่าไว้ใจมากน้อยเพียงใด (โดยขอเบอร์โทรศัพท์จากเด็กพี่เลี้ยง หรือจากทางศูนย์ฯ) . ที่เน้นเป็นพิเศษสำหรับพี่เลี้ยงต่างชาติก็คือ อย่าลืมขอประวัติการตรวจโรค โดยเฉพาะที่ต้องปราศจาก โรคที่เรียกกันว่า โรคแถบชายแดน เช่น ไข้มาลาเรีย วัณโรค เท้าช้าง เอดส์ ตับอักเสบ ไทฟอยด์ ( แม้จะผ่านการรับรองของศูนย์พี่เลี้ยง ก่อนเข้ารับมาอยู่ที่บ้าน คุณพ่อคุณแม่ควรพาไปตรวจสุขภาพอย่างละเอียดก่อนและหมั่นพาไปตรวจสุขภาพเป็นประจำด้วยนะครับ ชาวต่างด้าวที่เข้ามาอยู่ในประเทศไทย ควรไปจดทะเบียนที่สำนักงานจัดหางานกรุงเทพเขตพื้นที่ 1-10 สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ Hotline 1694 หรือ โทร. 0 2354 1762 www.doe.go.th ต้องไม่มีประวัติอาชญากรรม การลักเล็กขโมยน้อย หรือกระทำผิดใดๆ และต้องไม่มีประวัติว่าเป็นพวกชนกลุ่มน้อยปกป้องดินแดน เพราะนั่นบ่งบอกถึงคนที่เคยผ่านประสบการณ์อันดุเดือดซึ่งไม่เหมาะสมอย่างยิ่งที่จะมาเป็นคนเลี้ยงเด็กเลย

        1. ทางศูนย์ควรให้คุณพ่อคุณแม่ได้ทดลองงานพี่เลี้ยง ก่อนรับทำงานจริง ซึ่งศูนย์หลายแห่ง ก็ยินดีหนำซ้ำยังเปลี่ยนพี่เลี้ยงให้ทันที ถ้าคุณพ่อคุณแม่ไม่ชอบใจ
        2. มีการทำเป็นหนังสือสัญญาการจ้างอย่างชัดเจนและเป็นธรรม โดยเน้นที่ความปลอดภัย ไว้ใจได้ของศูนย์และพี่เลี้ยง และมีการป้องกันปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นได้
        3. แม้ว่าพี่เลี้ยงจะมาจากศูนย์ฯที่เราเลือกอย่างพิถีพิถันแล้ว คุณพ่อคุณแม่ก็ยังจะต้องไม่ลืมที่จะขอหลักฐานเอกสารต่างๆของพี่เลี้ยงดังนี้ เช่น ภาพถ่าย –สำเนาบัตรประชาชน –สำเนาทะเบียนบ้าน –หลักฐานการศึกษา – ประวัติการทำงาน กรณีที่เป็นต่างชาติก็ควรมีใบต่างด้าว หรือหลักฐานว่ามีการเข้าประเทศโดยถูกกฎหมายและโดยปกติ ทางศูนย์พี่เลี้ยงนั้นๆจะมีหนังสือรับรองและค้ำประกันด้วย
        4. ยุคเทคโนโลยี่ก้าวไกล ซ้ำยังราคาไม่สูง การติดตั้งกล้องวงจรปิด เพื่อติดตามการทำงานของพี่เลี้ยงอย่างใกล้ชิดจึงเป็นสิ่งที่น่าสนใจยิ่ง
        5. เมื่อมีพี่เลี้ยงเด็กเข้ามาให้เลือก การพินิจพิจารณาอย่างละเอียดจึงเป็นขั้นตอนต่อไป เช่น  รู้วิธีการเลี้ยงเด็กอย่างถูกต้องหรือไม่(โดยเน้นที่ความปลอดภัยของลูกเป็นหลัก)เช่น การอุ้มเด็ก –การชงนม –การทำอาหารเด็ก  -การปลอบโยน (กรณีดูแลเด็กทารก)หรือ การสอนการบ้านเด็ก  พูดคุยเป็นเพื่อน  ดูแลเรื่องอาหาร และความปลอดภัย  ( กรณีดูแลเด็กโต)แล้วก็ดูบุคลิกลักษณะว่า ผ่องใสสดชื่นหรือดูเซื่องซึมชวนให้หดหู่  สุขภาพเป็นอย่างไร มีโรคประจำตัวอะไรหรือไม่ สังเกตตามเนื้อตัวด้วยว่ามีแผลฝีหนอง หรือมีรอยเข็ม(ติดยา ) รอยกรีด ( เคยทำร้ายตัวเอง ) อะไรหรือไม่

        แล้วก็อย่าลืมสังเกตจากปฏิกิริยาโต้ตอบของเธอ เมื่อพบเหตุการณ์บางอย่างเช่น เมื่อเห็นเด็กๆในบ้านวิ่งไล่กันส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าว เด็กทารกร้องแผดร้องจ้า  เด็กๆทะเลาะกันเสียงดัง  หรือคนในบ้านทำข้าวของแตก ดูว่าทีท่าเธอเป็นอย่างไร นั่นก็จะพอรู้ว่า เป็นคนมีวุฒิภาวะ และรู้จักควบคุมอารมณ์ของตนได้ดีเพียงใด?    ต้องขอย้ำอีกครั้งก็แล้วกันนะครับว่า หากมีทางเลือกที่ดีอื่นๆ การมีพี่เลี้ยงเป็นแรงงานต่างด้าวขอให้เป็นทางเลือกท้ายสุดก็แล้วกัน ยิ่งไม่ได้ผ่านหรืออยู่ในการดูแลของศูนย์พี่เลี้ยงที่ไว้ใจได้มีมาตรฐาน ก็ถือว่าไม่ควรเลือกหนทางนี้เลย อย่าลืมนะครับว่า แรงงานต่างด้าวบางรายเป็นมิจฉาชีพที่แฝงตัวมาอย่างน่ากลัวที่สุด แรกๆอาจทำให้พวกเราตายใจ แต่เมื่อสบโอกาสก็ ลักเอาลูกน้อยของเราไปอย่างเลือดเย็น เพื่อ ส่งต่อให้กับเพื่อนร่วม “ขบวนการค้ามนุษย์”                                                                              *******************************************     เรื่อง : รศ.นพ.อดิศักดิ์ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ : shutterstock ที่มาจากคอลัมน์ : Kids’Safety ฉบับเดือนกรกฎาคม 2554  

          [Blogger พ่อเอก-56] ทำให้เขามีความสุขหรือสอนให้เขามีความสุข

          ทำให้เขามีความสุขหรือสอนให้เขามีความสุข

          ผมเชื่อว่าพ่อแม่ทุกคนเวลาที่มองไปที่เจ้าตัวเล็กน่าจะมีความคิดอย่างหนึ่งที่เหมือนกันคือ ถ้าองค์กรธุรกิจเขาต้อง Maximize Profit วัตถุประสงค์หลักสถาบันครอบครัวก็คงไม่น่าจะพ้น Maximize Happiness ให้เจ้าตัวเล็ก

          ด้วยความรักและความสุขเวลาที่ได้เห็นเจ้าตัวเล็กมีรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ มันจึงนำคุณพ่อคุณแม่ไปสู่ ‘กับดักความสุข’ (อันนี้เป็นศัพท์เทคนิคที่ผมคิดมาเองนะฮะ อย่าเอาไปอ้างอิงทางวิชาการใดๆ 555)

          เจ้ากับดักความสุขที่เกิดขึ้นกับคุณพ่อคุณแม่เนี่ย มันเกิดจาก‘การเสพติดรอยยิ้ม’ ครับ รอยยิ้มของเจ้าตัวเล็กเนี่ยแหละฮะ และคุณพ่อคุณแม่จะมีอาการตรงข้ามคือ ‘เกิดอาการแพ้อย่างรุนแรง’ เมื่อเจ้าตัวเล็กเกิดอาการหน้าเบะ โดยจะเกิดอาการเคืองตา ต่อมน้ำตาเร่งขับน้ำตา บางรายอาจจะถึงขั้นหัวใจหวิวๆหวั่นไหวคล้ายจะเป็นลม

          ดังนั้นวิธีการง่ายๆที่คุณพ่อคุณแม่มักจะนำมาใช้จัดการกับอาการดังกล่าวก็คือ ‘การจัดให้’ ไปจนถึง ‘จัดหนัก’ซึ่งการให้ทุกอย่างทุกครั้งที่เจ้าตัวเล็กร้องขอก็แน่นอนที่จะทำให้เจ้าตัวเล็กมีรอยยิ้ม หัวเราะชอบใจ ไปจนถึงออดอ้อน ซึ่งก็จะยิ่งให้คุณพ่อคุณแม่แพ้ทางเข้าไปอีก เช่น เจ้าตัวเล็กอยากเล่นของเล่น ก็จัดให้ ซึ่งบางครั้งบางเวลาอาจจะเล่นมากเกินไปแล้ว จนถึงเวลาทานข้าวแต่เจ้าตัวเล็กก็ยังไม่ยอมเลิก คุณพ่อคุณแม่ก็ยังตามใจเพราะ ไม่อยากเห็นน้ำตา หรือ หากเจ้าตัวเล็กกำลังติดจอมือถือ ดูนานเกินไปแล้ว คุณพ่อคุณแม่ก็ไม่กล้าขัดใจ กลัวลูกเบะ

          และต่อให้สิ่งที่เจ้าตัวเล็กกำลังทำนั้น จะเป็นสิ่งที่ดี แต่หากตามใจกันไปทุกครั้งที่มีการร้องบางทีมันก็อาจจะไปเป็นการบ่มเพาะนิสัยบางอย่างที่เราไม่ปรารถนาหรือไม่ เช่น เอาแต่ใจ ไม่มีระเบียบวินัย

          ลองยกตัวอย่างแบบนี้นะฮะ เราอยากส่งเสริมให้ลูกเล่นกอล์ฟ แล้วเจ้าตัวเล็กก็มีแววจะชอบซะด้วย ดังนั้น พอเจ้าตัวเล็กร้องขอจะไปเล่นกอล์ฟ คุณพ่อคุณแม่ก็จัดให้ไปซะทุกครั้ง ไม่ว่าจะต้องวุ่นวายกันขนาดไหน เพราะในใจคุณพ่อคุณแม่มองว่า การเล่นกอล์ฟเป็นเรื่องที่ดี และทำให้ลูกมีความสุข แต่อยากให้ลองนึกถึงอีกด้านว่า นั่นได้ เพาะนิสัยด้านอื่นตามมาด้วยหรือไม่ ในเมื่อฉันขอเล่นกอล์ฟทุกครั้ง แล้วต้องได้ เด็กก็จะเรียนรู้ว่าถ้าฉันขออย่างอื่น ก็ต้องได้ทุกครั้งเหมือนกันสิ… นี่ก็เป็นผลมาจาก กับดักความสุข และนี่คือสิ่งที่ผมเรียกว่าการ’ทำ’ให้เขามีความสุข

          ผมได้มีโอกาสอ่านตอนหนึ่งจากเพจของ หมอภา www.facebook.com/Jeerapaprapaspong ซึ่งน่าสนใจทีเดียวฮะ คุณหมอบอกว่า

          ‘ส่วนใหญ่สมองของเด็กจะพัฒนาตอนหลังคลอด โดยเฉพาะสมองส่วนบนทำหน้าที่ คิดโดยใช้เหตุผล การยับยั้งชั่งใจ การวางแผน ฯลฯการที่เด็กๆแสดงความโกรธรุนแรงเอาแต่ใจ ปรี๊ด ลงไปนอนดิ้นไม่ใช่เพราะเค้าดื้อ ไม่เชื่อฟังเราแต่เป็นเพราะสมองส่วนบนที่ทำหน้าที่คิดโดยใช้เหตุผล ยังพัฒนาได้ไม่ดีพอสมองส่วนล่าง ที่กระตุ้นพฤติกรรมตามสัญชาตญาณและสมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์จึงทำหน้าที่เด่นกว่า’

          เมื่อได้อ่านของ หมอภา แล้ว ผมก็ตีความเองได้ 2-3 ประเด็น

          1) การที่ลูกโกรธรุนแรงเอาแต่ใจ ตอนที่ยังเป็นเด็กเล็ก มันเป็นไปตามธรรมชาติการพัฒนาของสมอง แต่

          2) เรามีหน้าที่สอนให้เขาใช้เหตุผล เรียนรู้การใช้เหตุผล และ

          3) การตามใจ เอาแต่ใจทุกอย่าง นอกจากเราจะไม่ได้ทำหน้าที่ในข้อ 2) ให้ดี ยังไปส่งเสริมให้ข้อ 1) ให้มีความรุนแรงยิ่งขึ้น

          ส่วนการ‘สอน’ให้เขามีความสุข ผมขอยกตัวอย่างสักเรื่องหนึ่งที่ครอบครัวเราใช้กับปูนปั้นครับ

          ปูนปั้นก็เหมือนเด็กผู้ชายทั่วไป ที่ชอบรถไฟ แต่ปูนปั้นอาจจะชอบในระดับหลงไหลทีเดียว ตื่นนอน ก่อนนอน กินข้าว มักจะมีรถไฟติดมือเสมอ ทุกเช้าที่เราขับรถไปส่งปูนปั้นเราจะต้องข้ามทางรถไฟอยู่จุดนึง ซึ่งตั้งแต่เด็กจนถึงตอนนี้ปูนปั้นก็ข้ามมาเป็นพันครั้งแล้ว แต่ทุกครั้งที่รถเราจะถึงทางรถไฟเจ้าปูนปั้นก็ยังสนุกทุกครั้ง ทำเสียง ตึ้งตึ้ง ตึ้งตึ้ง ตอนเราขับข้ามทางรถไฟ ยิ่งวันไหนบังเอิญไปตรงเวลาที่รถไฟวิ่งผ่านโลกนี้มันช่างสดใสนัก

          ช่วงที่ปูนปั้นไปโรงเรียนเดือนแรกๆ พอกลับมาบ้าน คงด้วยความคิดถึง เพราะไปโรงเรียนคงไม่มีทางรถไฟยาวๆ ให้เล่น กลับมาถึงบ้านก็จะขลุกแต่กับเจ้ารถไฟ พอจะเรียกไปอาบน้ำแปรงฟัน ดื่มนม อ่านหนังสือ เข้านอน ทุกอย่างยากขึ้นหมด

          เราก็เลยตั้งกติกากับปูนปั้นในวันเย็นวันอาทิตย์วันหนึ่งว่า ‘ปะป๊าจะเก็บรถไฟนี้ขึ้น ให้ปูนปั้นเล่นได้เฉพาะเสาร์ อาทิตย์ ส่วนวันธรรมดาจะไม่ได้เล่น’ เขาก็ถามเหตุผล เราก็อธิบายให้ฟัง แล้วเขาก็อยากรู้รถไฟเขาจะไปอยู่ไหน เราก็ไม่โกหก บอกไปว่า ปะป๊าเก็บไว้ในบ้านนี้แหละ แต่ปูนปั้นหาไม่เจอหรอก แต่เสาร์ อาทิตย์จะได้เล่นตามปกติ

          จากที่เรากังวลว่าเขาจะงอแง เขาก็ไม่งอแง เสาร์ อาทิตย์ ปูนปั้นก็ดีใจได้เล่นรถไฟ ซึ่งปะป๊าก็จะมาช่วยกันต่อรางรถไฟกับปูนปั้น พอผ่านไปสัก 2-3 สัปดาห์ ถึงเย็นวันอาทิตย์ปุ้บ ปูนปั้นก็จะมาเก็บรถไฟลงกล่อง ปะป๊าก็ไม่ต้องซ่อนแล้ว เอาวางที่ข้างล่างนั่นแหละ แล้วในวันธรรมดา บางทีปูนปั้นก็จะพูดเองว่า

          “Papa will let PoonPun play the train on every Saturday and Sunday”

          เห็นมั้ยครับว่า การ’สอน’ให้เขามีความสุข ไม่ง่ายนักแต่ก็ไม่ยากเกินไป การ’ทำ’ให้เขามีความสุข อาจจะง่ายแบบปัจจุบันทันด่วน แต่ในระยะยาว น่าคิดนะครับว่า

          เมื่อเขาออกไปเผชิญโลก ใครจะคอยตามใจ และเข้าจะเข้าสังคมได้ดีเพียงใด

          blogger 56 (1)

          u
          u
          u
          u
          u
          u

          blogger 56 (6)

           

          ติดตามเรื่องราวความน่ารักของครอบครัวน้องปูนปั้นได้ในคอลัมน์ FAMILY BLOGGER : ได้ทุกสัปดาห์แวะไปดู รอยยิ้มหวานฉ่ำ ที่มีแจกฟรีทุกวันได้ที่

          Facebookwww.facebook.com/Poonpun.Poonpoon นะครับ

          บทความโดย: บรรทัดที่สิบเอ็ด (พ่อเอก-จิรัฏฐ์ สิริเฉลิมพงศ์)

            [Blogger พญ.พิชญา ตันธนวิกรัย] ปัญหาของลูกเรารุนแรงระดับไหน พ่อแม่จึงควรไปปรึกษาหมอ?

            สวัสดีค่ะ

            ก่อนอื่นต้องขอทักทายคุณพ่อ คุณแม่ ผู้ปกครอง และผู้ที่สนใจบล็อกนี้ทุกท่านนะคะ และเนื่องจากบทความนี้เป็นบทความแรก หมอจึงต้องขออนุญาตแนะนำตัวเองและบล็อกแห่งนี้ไว้คร่าวๆค่ะ

            หมอเป็นจิตแพทย์เด็กและวัยรุ่นค่ะ ทำหน้าที่ให้คำปรึกษาปัญหาด้านอารมณ์ พฤติกรรม และพัฒนาการของเด็ก ตัวอย่างคนไข้ที่หมอดูแลก็มีทั้ง ครอบครัวของเด็กๆที่คุมอารมณ์ไม่ค่อยอยู่ เด็กๆ ที่มีเรื่องทุกข์ใจและวิตกกังวล เด็กๆ ที่ซน ขาดสมาธิ หรือเด็กๆที่มีปัญหาเรื่องพัฒนาการและการเรียนรู้ เป็นต้นค่ะ

            ในการเขียนบล็อกนี้ หมอตั้งใจที่จะใช้พื้นที่ตรงนี้แบ่งปันประสบการณ์ ความรู้ และข้อคิดที่ได้จากการพบพูดคุยกับเด็กและครอบครัวที่ประสบปัญหา โดยหวังว่าจะเป็นประโยชน์กับทุกๆครอบครัวที่เข้ามาอ่านค่ะ

            ก่อนที่เราจะไปพบกับเรื่องราวจากห้องตรวจของหมอในบล็อกถัดไป วันนี้หมออยากจะมาตอบหนึ่งในคำถามยอดฮิต ซึ่งแม้ไม่ได้พบในห้องตรวจ แต่ก็เป็นคำถามที่คุณพ่อคุณแม่ถามกันเองอยู่ที่บ้านบ่อยๆ ว่า..

            “เมื่อไหร่..ควรจะมาปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ?”

            เพราะในชีวิตของคนเราทั้งผู้ใหญ่และเด็กก็ล้วนมีเรื่องให้ไม่สบายใจ มีปัญหาให้คอยแก้อยู่เรื่อยใช่ไหมคะ ทีนี้เราจะรู้ได้อย่างไรว่าปัญหาที่เด็กในครอบครัวเราพบอยู่นั้น จำเป็นต้องได้รับการบำบัดรักษา..

            โดยทั่วไป เราอาศัยการพิจารณาจาก ความรุนแรงของปัญหา ร่วมกับปัจจัยต่างๆ ดังนี้ค่ะ

            1. ปัญหานั้นเป็นอุปสรรคกับการใช้ชีวิตประจำวันของเด็ก หรือขัดขวางพัฒนาการและการเรียนรู้ตามปกติของเด็ก เช่น ปกติเราก็จะพบเด็กหลายๆคนที่ขี้กังวล แต่ถ้าเด็กบางคนกังวลจนไม่เป็นอันทำอะไร ต้องคอยถามซ้ำๆ ปลอบไม่หายซักที ก็เข้าข่ายที่ควรจะได้รับการดูแลช่วยเหลือค่ะ

            2. ปัญหานั้นรบกวนคนอื่นๆในครอบครัวอย่างมาก จนกระทบความเป็นอยู่ปกติของครอบครัว เช่น เด็กที่กลัวการแยกจากจากผู้ปกครองมากๆ ร้องตาม โทรตามตลอด จนผู้ปกครองไม่เป็นอันทำอะไร ก็จัดว่าน่าเป็นห่วงค่ะ

            3.ปัญหานั้นทำให้เกิดความเสี่ยงที่จะเป็นอันตรายต่อตัวเด็กหรือคนรอบข้าง ข้อนี้ถึงพบไม่บ่อยแต่ต้องระวังเป็นที่สุดเลยค่ะ เช่น เด็กที่บ่นไม่อยากอยู่ อยากตาย หรือเด็กที่คุมอารมณ์ไม่ได้ ทำร้ายคนอื่น ถือว่าเป็นอาการเร่งด่วนที่ต้องได้รับความช่วยเหลือค่ะ

            ทั้งนี้ทั้งนั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดในการประเมินปัญหาที่เกิดขึ้นกับเด็กๆก็คือ เราจะต้องทำความเข้าใจมุมมองของเด็กที่มีต่อเรื่องนั้นๆ และไม่ตัดสินจากมุมมองของเราอย่างเดียวค่ะ

            เพราะหลายๆครั้งทีเดียวที่ผู้ใหญ่ใช้มุมมองของตนเองตัดสินปัญหาของเด็กว่าเป็น “เรื่องเล็กน้อย” (เช่น “แค่โดนเพื่อนแกล้งที่โรงเรียน ไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอก”) แต่สำหรับเด็กแล้ว มันอาจเป็นแผลลึกในใจของเขาก็ได้ค่ะ

            อย่าลืมนะคะว่า “ปัญหา” เมื่อมันวางอยู่ตรงหน้าใคร ก็ย่อมใหญ่กว่าที่คนอื่นเห็นจากระยะไกลเสมอค่ะ

             

            บทความโดย : พญ.พิชญา ตันธนวิกรัย จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น โรงพยาบาลพหลพลพยุหเสนา

            ภาพจาก : shutterstock

              Kid Safety – ภัยจากลูกโป่ง ดอกไม้ไฟ ในงานเทศกาล

              ไปร่วมงานเทศกาลเฉลิมฉลอง .. ระวัง!

                                                

              ปลายๆปีกระทั่งต้นๆปี จัดได้ว่าเป็นวันคืนแห่งสารพัดเทศกาล ยิ่งหน้านี้อากาศกำลังเย็นสบาย ใครๆก็อยากออกไปเที่ยว โดยเฉพาะพ่อแม่และลูกๆ นี้คือวันเวลาที่แสนประทับใจ …

              เริ่มกันตั้งแต่เทศกาลคริสต์มาส มาจนถึงวันปีใหม่ ซึ่งผ่านๆมา ก็ล้วนคึกคักไปด้วยหน่วยงานทั้งรัฐทั้งเอกชน ระดม”ความสุข”ให้แก่ประชาชนด้วยการจัดงานต้อนรับปีใหม่กันสุดครึกครื้น จากนั้นก็มาถึง “วันเด็ก” วันที่เด็กๆเปรียบดังเจ้าของเทศกาลตัวจริงเสียงจริง                 อีกไม่กี่เดือนถัดมาก็เข้าสู่ระหว่างวันที่ 13-15 เมษายนของทุกปี นั่นคือช่วงเทศกาลสงกรานต์ อันถือเป็นวันที่ส่งเสริมความรักความอบอุ่นในครอบครัวและสังคมไทย

              เทศกาลแห่งความสุขหลายงานที่กล่าวมา ทราบไม๊ครับว่า มีอะไรที่เหมือนๆกัน ?คำตอบก็คือ… มีการเล่น พลุ-ดอกไม้-ประทัด…

               

              ทั้งๆที่ตัวเลขคนไทยเจ็บและตายเพราะโดนพวกดอกไม้เพลิงทำร้าย ถึงปีละ 400 – 600 คน  โดยเด็กวัย 10-14 ปี มักจะได้รับอันตรายมากที่สุด แต่ก็ใช่ว่าเด็กเล็กหรือวัยอื่นๆจะปลอดภัย เพราะเด็กๆมักเล่นกันเป็นกลุ่ม และในกลุ่มก็มักประกอบด้วยเด็กๆวัยต่างๆ

              พลุ  ประทัด  ดอกไม้ไฟ  เป็นวัตถุอันตรายอยู่ในหมวดหมู่ของวัตถุระเบิดชนิดหนึ่ง เพราะส่วนประกอบของพลุและดอกไม้ไฟ ก็ล้วนแต่ใช้ทำเป็นเป็นวัตถุระเบิดได้แทบทั้งสิ้นแถมใช้เป็นเชื้อเพลิงได้อย่างดี แล้วก็ยังมีเสียงดังที่มีผลร้ายต่อสุขภาพ

              การเล่นดอกไม้เพลิงจะคึกคักกันมากในวันลอยกระทง นับเป็นวันการบาดเจ็บของพลุดอกไม้ไฟ เทศกาลอื่นๆก็หาซื้อได้ไม่ยาก บรรดาร้านขายขนมของเล่นเด็กตามตรอกซอกซอย ก็ล้วนมีประทัด-พลุ-ดอกไม้ไฟวางล่อใจเด็กๆเกลื่อนไปหมด การศึกษาในประเทศไทยพบผู้บาดเจ็บรุนแรงจากการถูกเปลว หรือ สะเก็ดดอกไม้ไฟ หรือ พลุ ส่วนใหญ่เป็นการบาดเจ็บที่มือและข้อมือมากที่สุดร้อยละ44.4 ในจำนวนนี้มีกระดูกนิ้วมือแตกหรือหัก ร้อยละ 25.0 รองลงมาคือ บาดเจ็บที่ศีรษะและใบหน้า ร้อยละ14.3 ในจำนวนนี้ ส่วนใหญ่มีการบาดเจ็บที่ตาและรอบ ๆ ดวงตาร่วมด้วย (ร้อยละ44.4) ร้อยละ 28.6 มีแผลไหม้ตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย จากความร้อนของเปลวไฟ และสะเก็ดดอกไม้ไฟ หรือ พลุ

               

              ดอกไม้เพลิงทำอันตรายสูงสุดต่อมือ-ข้อมือ-ศีรษะ-ใบหน้า-รอบๆ ดวงตา และ ดวงตา ที่พบไม่น้อยก็คือกระดูกนิ้วมือแตกหรือหัก ตาดำเป็นแผล เสี่ยงต่อการตาบอดหลายๆคนที่ระเบิดปะทัดทำให้นิ้วขาด เย็บต่อไม่ได้ , พลุระเบิดใบหน้า จน หน้าไหม้ หนังตาและเสียโฉม และที่แย่มากคือ ตาบอดถาวร เพราะตาดำไหม้ ขุ่นมัวเลือดออกช่องหน้าม่านตา การแก้ปัญหาที่ตรงที่สุดก็คือ ผู้มีอำนาจหน้าที่ต้องจัดการ “วัตถุอันตรายเหล่านี้อย่างเด็ดขาด ไม่ว่าใครก็จะต้อง ไม่ส่งเสริมให้ประชาชนเล่นอย่างเด็ดขาดและ พ่อแม่จะต้องห้ามลูกๆเล่น อย่างเด็ดขาด…..และต้องอยู่ให้ห่างไกลกับผู้คนที่กำลังเล่น พลุ-ดอกไม้ไฟ-ประทัด….โดยเฉพาะเด็กโต วัยรุ่นที่เสียงดัง คึกคะนอง หรือเมาเดินเป๋ไปเป๋มา

               

              ข้อแนะนำสำหรับผู้ปกครองคือ ควรสอนเด็กให้รู้ถึงภัยร้ายของบรรดาดอกไม้ไฟ-พลุ-ประทัด ฯลฯ และห้ามเล่นครับ ช่วยสำรวจชุมชน ร้านค้าละแวกบ้านด้วย หากพบเห็นการวางขายทั่วไปก็แจ้งตำรวจ หรือสคบก็ได้ เพราะเป็นการขายผิดกฎหมายครับ ผู้ใหญ่เองเวลาเล่น ห้ามจุดพลุหรือดอกไม้ไฟบริเวณใกล้สายไฟ อาคารบ้านเรือน สถานีบริการน้ำมัน ถังเชื้อเพลิง วัตถุไวไฟ พ่อแม่ที่เห็นใครเล่นใกล้ที่อันตรายแบบนี้ก็ต้องพาลูกออกห่างครับ การระเบิดหลายครั้งเกิดขึ้นเพราะไปจุดไฟซ้ำในพลุ ดอกไม้ฟที่ไม่ทำงาน ผลก็คือระเบิดตูมบาดเจ็บกันไปแล้วหลายคน ถ้าคุณพ่อคุณแม่พบเห็น หรือตกอยู่ใกล้สถานการณ์นั้น ให้รีบพาลูกออกห่างครับ

               

              นอกจากสิ่งอันตรายข้างต้นแล้ว ยังมีอีกอย่างครับ ที่ทุกเทศกาลได้กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความสดใส นั่นก็คือ… ลูกโป่งหลากสีที่มักใช้ในพิธีเปิดของงานต่างๆ หรือนำมาตกแต่งสถานที่ที่มีการจัดงานเทศกาลปีใหม่ คริสมาสต์ หรืองานเลี้ยงต่างๆ ยิ่งเดี๋ยวนี้นิยมใช้ลูกโป่งใบโตๆ ที่เรียกว่าลูกโป่งสวรรค์ ลูกโป่งจัมโบ้ แต่ใครที่ที่ติดตามข่าวอุบัติเหตุมาอย่างต่อเนื่อง ก็จะจำได้ว่าหลายงานมันกลับกลายเป็นลูกโป่งนรก เหตุก็เพราะลูกโป่งในบ้านเรายังมีบางร้านที่อัดด้วยก๊าซไวไฟ ที่เรียกว่าไฮโดรเจน เพราะมีราคาถูกกว่า ลูกโป่งที่อัดก๊าซไม่ไวไฟหรือฮีเลียม มันจึงเสี่ยงเหลือเกินที่มันจะกลายเป็นลูกไฟ ที่ระเบิดติดๆ กัน และลามไปเป็นวงกว้าง กระทั่งไฟโหมไปทั่วบริเวณงาน เพียงเพราะโดนประกายไฟจากไม้ขีดไฟ, ไฟแช็ก, เทียน, บุหรี่ หรือแม้แต่ไปสัมผัสโดนหลอดไฟนีออน ก็เกิดติดไฟและระเบิดโป้งป้างขึ้นได้อย่างไม่รู้ตัว

              สำหรับลูกโป่งใบเล็ก ก็ต้องระวังตอนมันแตกแล้วครับ เศษชิ้นของลูกโป่ง ต้องรีบเก็บกวาดทิ้งทันที มีรายงานจากสหรัฐอเมริการะบุว่า ในปี ค.ศ.1977-2001 มีเด็กๆต้องตายเพราะเศษลูกโป่งเข้าไปอุดตันหลอดลมถึง 110 ราย หรือประมาณ 4 คนต่อปี และเศษลูกโป่งนั้นนอกจากจะหมายถึงลูกโป่งที่เป่าแล้วแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ที่เด็กๆผู้ไม่รู้อิโหน่อิเหน่เก็บเอาไปเคี้ยวเล่น หรือดึงยืดเพื่อดูดให้เป็นรูบุ๋ม หรือเป่าให้เป็นลูกเล็กๆโป่งออกมา แต่พลาดสำลักเข้าไปติดหลอดล

               

               

              ขอฝากคำแนะนำสำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่พาเด็กๆไปร่วมในเทศกาลต่างๆ ดังนี้ครับ…..

              • ห้าม…เด็กอายุต่ำกว่า 8 ขวบเล่นเป่าลูกโป่ง(ผู้ใหญ่ควรเป่าให้เด็กๆแทน)
              • เด็กๆที่มีอายุเกิน 8ขวบ ที่เพิ่งหัดเป่า ผู้ใหญ่ก็ควรแนะนำใกล้ชิด
              • เก็บเศษลูกโป่งที่แตกทุกครั้ง และนำไปทิ้งทันที ก่อนที่เด็กจะเอาไปอม ดูด หรือ เป่าเล่น
              • บอกเด็กๆว่า ลูกโป่งนั้น มันแตกได้โดยไม่ยาก ดังนั้น อย่าเอามันมาเล่นใกล้หน้าใกล้ตาเป็นอันขาด
              • ภัยจากลูกโป่งประดับประดาในงานพิธี งานเทศกาลต่างๆ  ยังมีอีกข้อที่ไม่ควรลืมก็คือ มันอาจบรรจุด้วยก๊าซไฮโดรเจน ซึ่งเป็นก๊าซต้องห้ามได้ ถ้าไม่แน่ใจก็ต้องอยู่ห่างๆไว้นะครับ

              หลายต่อหลายงานชอบจัดให้เด็กๆมาแข่ง… เป่า – แย่ง – เหยียบลูกโป่ง….ซึ่งล้วนแล้วแต่ทำให้เด็กๆต้องตกอยู่ในเสี่ยง หากเป็นกิจกรรมสำหรับเด็กอายุน้อยกว่า 8 ปีผู้จัดงานก็ควรพิจารณาหลีกเลี่ยงครับ พ่อมแม่เองเวลาพาไปงานแบบนี้ก็ต้องช่วยระมัดระวังให้ลูกด้วย

               

              ที่มาจาก : กองบรรณาธิการ
              ที่มาภาพ : shutterstock

                พักที่นี่ มีเลโก้กลับบ้านด้วย!!

                โรงแรมที่เราพูดถึงก็คือ เลอ เมอริเดียน (โรงแรมในเครือ บริษัท สตาร์วูด โฮเต็ล แอนด์ รีสอร์ท เวิลด์ไวด์ อินคอร์เปอเรชั่น) ที่ได้จับมือกับ  เลโก้ กรุ๊ป (LEGO® Group) มอบชุดของขวัญสุดพิเศษจากเลโก้ให้กับลูกค้าตัวน้อยๆที่มีอายุไม่เกิน 12 ปี ที่เข้าเช็คอินพร้อมกับคุณพ่อ คุณแม่ ณ โรงแรมเลอ เมอริเดียน ทั้ง 7 แห่ง โดยเลือกพักในกรุงเทพฯ เชียงราย เชียงใหม่ ภูเก็ต และสมุย  คุณพ่อ คุณแม่ท่านใดสนใจดูรายละเอียดเพิ่มเติ่มได้ที่ www.lemeridien.com

                  ชุดคลุมท้องสวยๆ คุณภาพดี ใส่สบาย ราคาไม่แพง

                  ชุดคลุมท้องแฟชั่น สวยๆคุณภาพดี ราคาไม่แพง มีทั้งเสื้อเปิดให้นม ชุดคลุมท้องเปิดให้นมน่ารัก ชุดคลุมท้องออกงานกางเกงคนท้อง ฯลฯ เนื้อผ้าใส่สบาย แบบใหม่ทุกอาทิตย์ค่ะ สวยไม่ซ้ำใครค่ะ

                  สนใจดูสินค้าได้ที่ http://www.fashionformom.net/
                  หรือ facebook : https://www.facebook.com/fashionformom.net
                  line ID : kanyasirik
                  โทรสอบถามสินค้าได้ที่ 0894283855 จ้า

                    Tags

                    Kid Safety – ข้อควรระวัง เรื่องของจักรยานกับเด็ก

                    ที่มาจากคอลัมน์ : Kid Safety ฉบับเดือนเมษายน 2554

                    เรื่องโดย : รองศาสตราจารย์ นพ. อดิศักดิ์ ผลิตผลการพิมพ์

                    ภาพ : shutterstock

                     

                    มีสถิติที่น่าตกใจมากๆ นั่นคือ… มี เด็กไทย 1 ใน 15 คนที่ได้รับบาดเจ็บจากการที่ขาสอดเข้าไปในซี่ล้อรถจักรยาน ซึ่งมีสูงถึงปีละหลายพันคน!!

                    การบาดเจ็บที่เด็กๆ ได้รับนั้น   มีตั้งแต่ …ถลอกปอกเปิก กล้ามเนื้อและเอ็นร้อยหวายช้ำ หรือฉีกขาด กระทั่งกระดูกนิ้ว กระดูกฝ่าเท้าหัก และยังมีบางรายที่โชคร้ายกระดูก และเส้นเอ็นได้รับการกระทบกระเทือน จนต้องได้รับการผ่าตัดหรือเข้าเฝือก

                    สำหรับผู้ที่อาศัยในหมู่บ้านจัดสรร “จักรยาน” นับเป็นสิ่งคู่บ้านคู่เรือน  ยิ่งหมู่บ้านยุคนี้ นอกจากจะร่มรื่นย์น่าอยู่แล้ว ยังมีแหล่งการค้าพร้อมสรรพไม่ว่าจะเป็นมินิมาร์ท ร้านเช่าวีซีดี ร้านอาหาร โรงเรียนอนุบาล เนิสร์เซอรี่  โรงเรียนกวดวิชา ศูนย์กีฬา สระว่ายน้ำ ฟิตเนส สปา นวดฝ่าเท้า  ฯลฯ … “จักรยาน” จึงให้ทั้งความสะดวกสบาย ประหยัด แถมการขี่จักรยานยังเป็นการออกกำลังกายที่ดีเยี่ยม แต่ข้อสำคัญที่ห้ามหลงลืมก็คือ…ความปลอดภัย

                    ควรมีแผ่นกันเท้าขัดซี่ล้อทั้งด้านหน้า

                    บ้านใดมีเด็กเล็กก็มักจะให้นั่งเบาะหน้า  ซึ่งสั่งทำเป็นพิเศษเพื่อเจ้าตัวเล็ก ส่วนเด็กโตก็ให้นั่งซ้อนท้ายที่เบาะหลัง เมื่อจักรยานเริ่มเคลื่อนตัวไปข้างหน้า ผู้ใหญ่คนถีบก็มักจะบอกเด็กว่า “กางขาไว้ลูก…กางขาไว้” เพราะกลัวว่าลูกจะเผลอจนเอาขาไปสอดเข้าไปในซี่ล้อจักรยาน   แม้ว่าลูกจะทำตาม แต่ลองคิดดูว่าเด็กๆจะทนเมื่อยจากการกางขาตลอดเวลาได้อย่างไร?

                    ดังนั้น…นอกจากจะมีเบาะหน้าและเบาะหลังแล้ว จะต้องมีแผ่นกันเท้าขัดซี่ล้อทั้งด้านหน้า (สำหรับผู้ติดตั้งเก้าอี้เสริมด้านหน้า) และด้านหลัง (สำหรับคนนั่งเบาะหลัง) หลายประเทศในโลกที่จัดได้ว่าพัฒนาแล้วเขามักไม่ยอมแถมมีกฏหมายบังคับ ไม่ให้เด็กเล็กนั่งซ้อนท้ายซ้อนหน้ารถจักรยานโดยไม่มีที่นั่งสำหรับเด็กที่ปลอดภัยหรอกครับ ผู้ใหญ่สามารถนำทารกตั้งแต่อายุหนึ่งปีขึ้นไปขึ้นจักรยานได้ครับ แต่ต้องใช้ที่นั่งเสริมดังกล่าวให้เหมาะสมถูกวิธีครับ

                    แม้แต่การเอาเด็กเล็กใส่ในเป้อุ้มเด็ก (ที่เรียกว่าถุงจิงโจ้) ก็จัดได้ว่าอันตรายอย่างยิ่ง เพราะนั่นเป็นวิธีการพาเด็กไปด้วย แต่มิได้เป็นสิ่งปกป้องเด็กแม้แต่น้อย หากมีการหล่นล้มกระแทกพื้นถนน เพราะทารกและเด็กเล็กนั้น ร่างกายยังเปราะบาง เช่น มีกระดูกซี่โครงที่ไม่แข็งพอที่จะปกป้องปอดได้ หากล้มกระแทกมันเสี่ยงมากที่ปอดจะชอกช้ำเสียหาย การมีช่องทรวงอกที่ยังเล็ก บรรดาอวัยวะที่อยู่นอกซีโครงก็บอบช้ำเสียหายได้มาก ไม่ว่าจะเป็น ตับ,ม้าม หรือแม้แต่ลำไส้ก็แตกได้ง่าย สมาคมกุมารแพทย์ของสหรัฐอเมริกา เป็นผู้ระบุให้มีการกำหนดอายุเด็กที่ไม่ให้นั่งจักรยานว่า ต้องเกิน 1 ขวบขึ้นไปจึงนั่งได้ ส่วนคณะกรรมการคุ้มครองความปลอดภัยผู้บริโภคก็ได้กำหนดมาตรการควบคุมผู้โดยสารรถจักรยานไว้ที่อายุไม่ต่ำกว่า 1 ขวบเช่นกัน

                    ควรมีหมวกกันน็อค

                    จริงๆ แล้วไม่ใช่เด็กหัดขี่ แต่ตั้งแต่เด็กอายุมากกว่าหนึ่งขวบที่พ่อแม่เริ่มนำขึ้นโดยสารจักยานเขาก็ใส่หมวกกันน็อคกันแล้ว ทุกครั้งที่ได้ดูหนังฝรั่ง จะสังเกตเห็นว่า หากมีฉากที่เด็กๆ (และผู้ใหญ่) ขี่จักรยาน สิ่งที่เราได้เห็นก็คือ บนศีรษะของทุกคนจะต้องมี หมวกกันน็อค หรือแม้แต่ชาวต่างชาติ (โดยเฉพาะประเทศที่พัฒนาแล้ว) ที่เราเคยพบเห็นในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นเพศใดวัยใดหากลองได้ขึ้นขี่จักรยาน สิ่งที่พวกเขาจะไม่ลืมเลยก็คือ…ใส่หมวกกันน็อค …ทั้งๆ ที่อยู่ในไทยแลนด์ ดินแดนที่หาคนใส่หมวกกันน็อคจักรยานได้ยากเต็มที่!

                    หรือว่าพวกเราจะให้ “คุณค่า” ของ “สมอง” น้อยกว่าชาวต่างชาติ?!! ทั้งๆ ที่หมวกกันน็อค เป็นเพียงสิ่งเดียวที่ป้องกันนักปั่นทั้งหลาย ไม่ให้ศีรษะได้รับการกระทบกระเทือน จนสมองช้ำ สมองบวม หรือเลือดตกในสมอง แต่เหตุใด??? เด็กๆ รวมถึงผู้ใหญ่ในเมืองไทย จึงไม่มีใครยินดีใส่หมวกกันน็อค??? จะเป็นเพราะความไม่เคยชิน  รำคาญ เกะกะ หรือรู้สึกอับอาย เพราะเกรงคนอื่นจะหาว่า “กลัวตาย” …ฯลฯ… (การเลือกหมวกกันน็อคจักรยาน ควรเลือกให้เหมาะพอดี กับขนาดศีรษะของเด็ก ไม่ต้องเลือกแบบ “เผื่อโต” เพราะหมวกที่หลวมจะกลายเป็นส่วนเกินที่น่ารำคาญสำหรับเด็กและไม่มีประโยชน์ในการป้องกันอุบัติภัย ควรเลือกชนิดที่มีช่องระบายอากาศ จะได้ไม่ร้อนและอับ  ส่วนสีก็ควรเลือกสีแปร๊ดๆสดๆ (ที่เขาเรียกว่าสีเรืองแสง) เพราะนอกจากสวยเด่นแล้ว ยังช่วยคนขับรถอื่นๆได้เห็นผู้ขี่จักรยานได้ชัดในยามค่ำคืน)

                    สอนให้เด็กรู้ว่าหมวกกันน็อคมีความสำคัญมาก  สามารถป้องกันการกระแทกของศีรษะขณะเกิดอุบัติเหตุได้  แต่ต้องสวมหมวกกันน็อคให้ถูกวิธีด้วยการเลือกขนาดให้พอดีกับศีรษะ และรัดสายรัดคางให้แน่น หมวกกันน็อคที่ดีต้องใส่พอดีศีรษะ มีสายรัดที่ดีไม่หลุดง่าย เนื้อในสามารถดูดซับพลังงาน ป้องกันแรงจากการกระแทกได้  น้ำหนักหมวกมีความสำคัญต่อเด็กมาก เนื่องจากกล้ามเนื้อต้นคอเด็กยังไม่แข็งแรงและศีรษะเด็กมีสัดส่วนที่ใหญ่ ดังนั้นหมวกที่หนักจะทำให้เกิดการหักของกระดูกต้นคอเมื่อเกิดการชนกระแทกได้

                    ใส่อุปกรณ์เสริมความปลอดภัยแบบจัดเต็ม

                    เริ่มหัดขี่เมื่อไรดี เด็กสองขวบเริ่มให้นั่งรถเด็กเล่น รถม้าที่มีลูกล้อแต่ใช้ขาไถได้ แต่หากต้องปั่นก็อายุสามขวบครับ จะปั่นได้แล้วไม่ว่าสองล้อที่มีล้อทรงตัวเสริมหรือจักรยานสามล้อก็ตามแต่ แต่ถ้าจะเอาล้อทรงตัวออกก็ต้องเป็นเด็กที่มีความสามารถของสมองในด้านการประสานงานกล้ามเนื้อและการทรงตัวได้ดี ซึ่งต้องประมาณห้าขวบครับ เริ่มหัดเร็วกว่านั้นก็อาจล้มง่าย อย่างไรก็ตามอย่าให้ฝึกหัดเอง หรือหัดกับเพื่อนๆ เด็กโตนะครับ ควรหัดโดยผู้ใหญ่ บนพื้นที่ที่ปลอดจากการจราจร ใส่อุปกรณ์เสริมความปลอดภัยแบบจัดเต็มครับ ไม่ว่าจะเป็นหมวกนิรภัย สนับเข่า สนับศอก วางคนคอยป้องกันการล้มตามทางสั้นๆ สิบเมตร ยี่สิบเมตรแรกไว้ เพราะผู้ช่วยพยุงรถด้านหลังอาจวิ่งตามไม่ทัน หากเด็กสามารถขี่ทรงตัวผ่านระยะนี้ได้แล้วมักผ่านไปได้ด้วยดีครับ ฝึกขี่จักรยานไม่จำเป็นต้องเจ็บ ไม่จำเป็นต้องได้แผลครับ

                      Kid Safety – วันนี้จักรยานของลูกคุณปลอดภัยแล้วรึยัง?

                      วันนี้จักรยานของคุณปลอดภัยแล้วรึยัง? อาจสอนลูกว่าการมีจักรยานสวยๆ ใหม่ๆ นั้นยังไม่พอ เพราะการมีจักรยานที่ปลอดภัยนั้นสำคัญกว่า จึงต้องหมั่นตรวจสอบอยู่เสมอ หรือทุกครั้งก่อนจะขึ้นขี่ครับ ลองให้ลูกสำรวจจักรยานคู่ใจของเขาดูนะครับ ถ้าพบว่ามีลักษณะต่อไปนี้ ก็จะต้องรีบแก้ไข เพิ่มเติม

                      1. จักรยานที่ไม่มีกระจกส่องหลัง ลองหาเพิ่มเติมดูครับ และฝึกให้เด็กโตหัดมองจะช่วยเพิ่มความปลอดภัยครับ
                      2. จักรยานที่ไม่มีไฟหรืออุปกรณ์สะท้อนแสงทั้งหน้าและหลัง ต้องไปหาซื้อเพิ่มเติม ใช้ไฟแบบใส่ถ่านเปิดสวิทช์เองด้วยมือก็ได้ครับ ติดตั้งง่าย
                      3. จักรยานที่ไม่มีตะกร้าใส่ของหน้ารถ ทำให้เด็กต้องจับแฮนด์จักรยานเพียงมือเดียว ในขณะที่อีกมือหนึ่งต้องหิ้วของพะรุงพะรัง
                      4. จักรยานหลายคันกระดิ่งไม่ดัง เบรคเสีย ดอกยางหมด แฮนด์เบี้ยว แต่ก็ยังขี่กันอย่างสนุกสนาน
                      5. เด็กหลายคนต้องขี่จักรยานที่ “โตเกินตัว” ดูแล้วน่าหวาดเสียว และน่าเวทนา จนต้องตั้งคำถามเอากับคนที่ซื้อให้เด็กว่า …จะหาจักรยานขนาดที่เหมาะสมกับลูกไม่ได้เชียวหรือ?
                      6. ไม่ใส่ใจกับลมยางของรถ ว่าจะอ่อนหรือแข็งเกินไปหรือไม่
                      7. มักจะแข่งกัน “โชว์ลีลา” เช่น ยกล้อ ปล่อยแฮนด์ โยกซ้ายป่ายขวาขณะขี่รถ มากกว่าแข่งกันในเรื่องของความปลอดภัย หรือมีมารยาทในการขับขี่

                      นับตั้งแต่การกำเนิดของรถจักรยาน 2 ล้อ คันแรกเมื่อ 205 ปีก่อน (พ.ศ.2343)  จวบจนกระทั่งยุคดิจิทัล จักรยานก็ยังคงเป็นขวัญใจของคนทั่วโลก ด้วยความที่เป็นสิ่งประดิษฐ์ของมนุษย์ที่ไม่ซับซ้อน ไม่เป็นพิษภัยหรือให้มลภาวะแก่สิ่งแวดล้อม ซ้ำยังเป็นสิ่งส่งเสริมสุขภาพร่างกายและจิตใจ

                      จักรยานจึงเป็นเหมือน “เพื่อนคู่ชีพ” ที่น่ารักของมนุษย์ เพียงแต่มนุษย์เองนี่แหละ ที่ใช้เพื่อนรักรายนี้อย่างแสนประมาท จนนำภัยมาสู่ตนเอง และเด็กๆ อย่างคาดไม่ถึง…

                       

                      ที่มาจากคอลัมน์ : Kid Safety ฉบับเดือนเมษายน 2554

                      เรื่องโดย : รองศาสตราจารย์ นพ. อดิศักดิ์ ผลิตผลการพิมพ์

                      ที่มาภาพจาก : shutterstock

                        รักแท้มีอยู่จริง! 5 คู่ แม่-ลูกดารา กับรักแสนบริสุทธิ์ ในวันแม่ปีนี้

                        รักแท้มีอยู่จริง!
                        5 คู่ แม่-ลูกดารา กับรักแสนบริสุทธิ์ ในวันแม่ปีนี้

                        1.คุณแม่เมย์ กับ น้องมายู
                        เป็นปีแรกที่น้องมายูไหว้แม่ ถึงหนูจะตัวเล็กอยู่อยู่แต่หนูก็ไหว้ได้แม่นะคะ
                        Cr : IG mayfuang

                        image

                        2.คุณแม่หนิง กับ น้องณิริน
                        คุณแม่หนิงตื้นตัน ครั้งแรกที่น้องณิรินกราบเท้า ยิ่งตอกย้ำความเป็นแม่มากขึ้นค่ะ
                        Cr : IG ningpanita

                        image

                        3.คุณแม่เอ๋ กับ น้องภูดิศ
                        พวงมาลัยพวงโตๆ กับกราบสวยๆที่ตักเเม่ ประเพณีน่ารักๆ และความรักที่ยิ่งใหญ่ของคู่นี้ค่ะ
                        Cr : IG aey_pornthip

                        image

                         

                        4.คุณแม่เป้ย กับ น้องโปรด
                        น้องโปรดขอหอมแม่ฟอดใหญ่ๆ กับพวงมาลัยดอกมะลิสวยๆ ให้คุณแม่เป้ยสำหรับวันเเม่ปีนี้ค่ะ
                        Cr : IG ppanward

                        image

                        5.คุณแม่นานา กับน้องบีน่าและบรู๊คลิน
                        พวงมาลัยน้อยๆ น้องบีน่าและบรู๊คลินตัวน้อยๆ
                        พร้อมจูบแม่ เเค่นี้คุณแม่นานาก็สุขใจเหลือเกินค่ะ
                        Cr : IG nanarybena

                        image

                        image

                          Kid Safety – 3 ข้อแนะนำ ก่อนพาลูกขึ้นเครื่อง

                          3 ข้อแนะนำ ก่อนพาลูกขึ้นเครื่อง

                          ข้อ 1 กฎการห้ามนำของเหลวทุกชนิด ทำให้ทุกสนามบินไม่อนุญาตให้นำของเหลวทั้งหลายขึ้นเครื่อง นั่นจึงรวมทั้งบรรดานมจืด นมหวาน หรือนมเปรี้ยว ทั้งๆที่นมคืออาหารจำเป็นสำหรับเด็กทุกๆคน ( ทารกคนใดที่ดื่มนมแม่จึงขอแสดงความยินดีด้วย ) แต่ไม่ต้องตกใจกลัวลูกจะไม่ได้รับนม เพราะ “นมผง”ยังนำขึ้นเครื่องได้อยู่ ฉะนั้นยามที่ลูกหิวนม จึงเรียกขอน้ำอุ่นจากพนักงานบนเครื่องได้เลยครับ

                          ข้อ 2 เตรียมอาหารโปรดของลูกไปด้วย แม้ว่าบนเครื่องบินย่อมจะมีการเสิร์ฟอาหารให้อยู่แล้ว แถมหลายคนยังติดใจกับความเอร็ดอร่อย แต่อย่าเหมาว่าลูกๆของเราจะอร่อยด้วย     หรือแม้แต่สายการบินจะเตรียมอาหารสำหรับเด็กไว้ แต่เด็กๆหลายคนกลับไม่แตะเลยแม้แต่น้อย (รสชาติอาจไม่คุ้นลิ้น) ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่เห็นทีอาจต้องเตรียมอาหารโปรดของลูกแป็กใส่อับไปด้วยครับ ไม่งั้นพวกเขาอาจทรมาน หรืองอแงด้วยความหิว

                          ข้อ 3 ระวังลูกหลง..ทั้งในสนามบิน กระทั่งบนเครื่องบินนั้นเต็มไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตาต่างชาติต่างภาษา ลองคิดดูนะครับว่า หากลูกของเราพลัดหลงขึ้นมาคงต้องสับสนวุ่นวายใหญ่โตแน่ๆ งั้นเพื่อความปลอดภัยในเบื้องต้น ให้เตรียมป้ายกระดาษ(เคลือบพลาสติก)คล้องเชือกห้อยคอ(หรือจะใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อก็ได้ครับ) โดยป้ายนั้นให้ เขียน(ทั้งภาษาไทย และภาษาอังกฤษ) ชื่อลูก ชื่อผู้ปกครอง ที่อยู่ และเบอร์โทรศัพท์ทั้งที่บ้าน(และมือถือของเรา)และจุดหมายปลายทาง

                          การสังเกตเห็นลูกได้โดยง่ายท่ามกลางฝูงชนซึ่งเป็นผู้ใหญ่แทบทั้งนั้น   ด้วยการจับลูกๆใส่เสื้อผ้าสีแปร๊ดๆ ก็เป็นไอเดียที่เข้าท่าเข้าตาไม่น้อยเลย…

                           

                          บทความโดย กองบรรณาธิการเรียลพาเรนติ้ง
                          ภาพ shutterstock
                           

                            Kid Safety 5 ข้อห้าม อย่าแกล้งน้องหมาแบบนี้นะ

                            หลายๆบ้านเลี้ยงลูกหมาลูกแมวตั้งแต่แรกคลอด แล้วเติบโตขึ้นมาพร้อมๆกับเด็กๆในบ้านจนกลายเป็นเพื่อนรักที่ใกล้ชิดกันแทบตลอดเวลา แต่หลายครั้งอีกเช่นกัน ที่เด็กน้อยกลับโดนเจ้าเพื่อนรักส่าขย้ำฝังเขี้ยวจนบาดเจ็บ ซึ่งโดยมากเกิดจากการที่เด็กเล็กเข้าไปกอดปล้ำฉุดดึงพวกมันในเวลาที่ไม่เหมาะสม ทำให้มันตกใจหรือโกรธ เช่นมันกำลังหลับปุ๋ย กำลังก้มหน้าก้มตากินอาหาร กำลังเจ็บป่วย …หากลูกยังเป็นเด็กเล็กยังไม่ค่อยรู้ภาษา เมื่อเข้าใกล้สัตว์เลี้ยงจะต้องคอยดูลูกไม่ให้คลาดสายตา แต่ถ้าโตขึ้นอีกนิดพอฟังรู้เรื่อง ก็ต้องสอนลูกอยู่เสมอว่า….

                            1 หมาหลับอย่าแหย่ เจ้าหนูของเราบางคนชอบจังเลยที่จะเอาไม้ไปแยงไปแหย่สัตว์เลี้ยงที่กำลังหลับ เด็กอาจคิดว่าจะปลุกมันให้ตื่นมาเล่นกัน โดยไม่รู้ว่าจะทำให้มันตกใจ

                            2 หมาหิวอย่ายั่ว เด็กบางคนอาจเห็นเป็นเรื่องสนุกที่จะดึงหางมันหรือดึงจานข้าวในขณะที่มันกำลังหิว

                            3 หมากัดกันอย่ายุ่ง อาจเพราะต้องการให้พวกมันเลิกทะเลาะกัน หรือเข้าช่วยเจ้าหมาของตนที่กำลังโดนเล่นงาน เลยเข้าไปแทรกกลางวง ผลก็คือโดนลูกหลงโดนพวกมันฟัดไปด้วย

                            4 หมาให้นมลูกอย่ากวน ต้องห้ามโดยเด็ดขาดเลยนะครับ เพราะพวกมันจะจะนึกว่าจะไปแย่งลูกทำร้ายลูก เลยต้องสู้เพื่อปกป้องลูกของมัน

                            5 หมาเห่าอย่าวิ่ง ข้อนี้สำหรับไปเจอเจ้าหมาที่ไม่ใช่สัตว์เลี้ยงของเรา แล้วโดยมันเห่าใส่ หรือทำท่าน่ากลัวเหมือนจะเข้ามากัด เราต้องอย่าวิ่งหนีเพราะไม่มีทางวิ่งทันพวกมันแน่ วิธีแก้ไขสถานการณ์ก็คือ ให้ยืนนิ่งๆครับ เก็บแขนแนบลำตัว แล้วก็อย่าไปจ้องตาสู้ แล้วครู่เดียวเจ้าหมามันก็เลิกใส่ใจและล่าถอยไปเอง

                             

                            เรื่อง : รศ.ดร.อดิศักดิ์ ผลิตผลการพิมพ์

                            จากคอลัมน์ Kids’ Safety นิตยสารเรียลพาเรนติ้งฉบับเดือน กุมภาพันธ์ 2553 เรื่อง “สอนเด็ก อย่าเล่นผิดวิธี”

                             

                              รองเท้าเด็ก crocs

                              รองเท้าเด็ก crocs ซื้อมา 1,790 บาท ขาย 700 บาท ใส่เพียง 1 ครั้ง ไม่ได้เดินกับพื้น สภาพ 99% เพราะใส่ตอนลูกยังเดินไม่ได้ 08-9770-9897

                                Tags

                                **จำหน่าย**สมุนไพรเพิ่มน้ำนม Fenucaps Plus ปลอดภัย100%มี อย.รับประกัน

                                FenuCaps
                                เป็นสมุนไพรคัดพิเศษ เอามาทำตำรับสูตรเฉพาะเพิ่มน้ำนมเเม่ ปลอดภัยกับเเม่เเละเด็ก สินค้าเราผลิตในด้วยกรรมวิธีที่ปลอดภัยจนได้มาตรฐาน GMP
                                ผ่านการฆ่าเชื้อด้วยรังสีแกมม่า(มาตราฐานเดียวกันที่ส่งออกไป ยุโรป) และได้รับการรับรองจาก อย.ค่ะ จึงมั่นใจได้ในความปลอดภัย?

                                เบื้องต้น
                                เเนะนำให้ทานต่อเนื่องอย่างน้อย 4-6 สัปดาห์ ควรทานต่อเนื่องจนหมดกระปุก ทานแล้วให้หมั่นระบายน้ำนมออกจากเต้าบ่อยๆ
                                เพราะต้องอาศัยการกระตุ้นทางกายภาพร่วมด้วยหากทานอย่างเดียวแต่ปั๊มนมไม่บ่อย สิ่งที่เราทานไปก็จะไม่มีประสิทธิภาพเลยจ้า

                                ระยะเวลาเห็นผลปริมาณน้ำนมที่คุณแม่จะได้
                                ขึ้นอยู่กับฮอร์โมนและความมีวินัย
                                ในการปั้มนมของเราบางคนเห็นผลตั้งแต่กระปุกแรก ขณะที่บางคนก็ต้องทาน 2-3 กระปุกถึงจะค่อยๆ เห็นผล เนื่องจาก Fenucaps เป็นสมุนไพร 100%
                                ไม่มีส่วนผสมของสารสังเคราะห์หรือสารเคมีที่ช่วยเร่งปฎิกริยาใดๆ จึงอาจเห็นผลช้ากับคุณเเม่บางคน เเต่ปลอดภัยทั้งเเม่เเละลูก
                                ไม่มีสารตกค้างแน่นอนค่ะ

                                วิธีรับประทาน

                                1กระปุกมี100 แคปซูล ทานได้ 11-15วัน
                                แยกตามความต้องการดังนี้
                                -ต้องการกู้น้ำนม ทานครั้งละ 3 แคปซูล ก่อนอาหาร 15-30นาที ทั้ง3มื้อ
                                -ต้องการกระตุ้นการสร้างน้ำนม ทานครั้งละ 2 แคปซูล ก่อนอาหาร 15-30นาที ทั้ง3มื้อ
                                -ต้องการบำรุงน้ำนม(เมื่อพอใจในปริมาณน้ำนมที่คงที่) ทานก่อนนอน วันละ 1 เม็ด ก่อนนอน

                                กรรมวิธีสกัด Spray Dryer เทคโนโลยีการผลิตมาตราฐานยุโรป

                                ตอบคำถามที่ว่า Fenucaps Plus โดย สมุนไพรบ้านอาจารย์ เเตกต่างจาก ผลิตภัณฑ์เพิ่มน้ำนมตัวอื่นอย่างไร?
                                Fenucaps Plus เป็นสมุนไพรชนิดสกัด เเล้วเอามาทำตำรับสูตรเฉพาะ สำหรับเพิ่มน้ำนมเเม่ โดยใช้เทคนิควิธีที่เป็นมาตราฐานขั้นสูงของทางยุโรป
                                เรียกว่า Spray dryer ซึ่งจะทำให้ตัวสมุนไพรสามารถถูกดูดซึมได้ง่าย ไม่มีสารตกค้างในร่างกาย ทำงานได้ประสิทธิภาพดีกว่า
                                เห็นผลชัดเจน ปลอดภัยทั้งเเม่เเละเด็ก ในทุกขั้นตอนการผลิต ควบคุมเเละดำเนินงานด้วยเภสัชกรวิชาชีพ ตามข้อบังคับ ของ อย.
                                เเละตามมาตราฐานการผลิตขั้นสูงของ GMP จึงมั่นใจได้ว่าสินค้าที่ออกจำหน่ายเป็นสินค้าที่ดีที่สุดที่เราคัดสรรมาเเล้วค่ะ

                                สนใจสั่งซื้อหรือสอบถาม ID Line : nanzy1984 หรือ โทรมาได้ตลอดค่ะ 080-977-5611 แนนค่ะ
                                ยินดีให้คำปรึกษาเรื่องน้ำนมนะคะ คุณแม่น้ำนมน้อยหรือต้องการกู้น้ำนม ปรึกษาได้เลยค่ะ แอดไลน์มาคุยกันนะคะ

                                  Tags