Page 499 – AMARIN Baby And Kids – เพื่อลูกฉลาดและมีความสุข

ลูกแพ้นมวัว กินนมอะไรดี นมสำหรับเด็กแพ้นมวัว

นมทางเลือกสำหรับเด็กแพ้นมวัว

ถึงแม้ลูกแพ้นมวัว แต่คุณแม่ไม่ต้องเป็นกังวลว่าลูกไม่ได้ดื่มนมวัวแล้วจะไม่ได้รับสารอาหารเพียงพอนะคะ เพราะยังมีอาหารอื่นที่ให้สารอาหารอย่างในนมวัวแต่มีโอกาสเสี่ยงแพ้น้อยกว่า เช่น ผัก ผลไม้ ข้าว เนื้อหมู และเนื้อไก่ (อ่านเพิ่มเติม แพ้นมวัว…ไม่น่ากลัวอย่างที่คิด)

ปัจจุบันมีนมสูตรพิเศษมากมายสำหรับเด็กแพ้นมวัวซึ่งเติมสารอาหารต่างๆ ลงไปครบถ้วนไม่ต่างจากนมวัว เพียงแต่ไม่มีโปรตีนที่อาจทำให้ลูกเกิดอาการแพ้เท่านั้นค่ะ

4 นมทางเลือก เพื่อ ลูกแพ้นมวัว

1. นมวัวสำหรับเด็กแพ้นม

เป็นนมวัวที่ผ่านกระบวนการย่อยโปรตีนแล้ว ให้มีขนาดเล็กลงกว่าโปรตีนในนมวัวและนมถั่วเหลือง จนตัวภูมิแพ้ในร่างกายของเด็กดักจับไม่เจอ ทำให้ไม่เกิดปฏิกิริยาแพ้นมวัวรวมถึงนมถั่วเหลืองด้วย ในท้องตลาดจะมีอยู่สองชนิด คือ สูตร Protein hydrolysate และสูตร Extensively protein hydrolysate แบบหลังจะมีโปรตีนขนาดเล็กกว่าแบบแรก จึงมีความเสี่ยงในการแพ้นมต่ำกว่า

ลูกแพ้นมวัว กินนมอะไรดี นมสำหรับเด็กแพ้นมวัว

2. นมที่ผลิตจากกรดอะมิโน

เป็นสูตรนมที่มีโปรตีนที่ผ่านขบวนการย่อยเป็นกรดอะมิโน ซึ่งเป็นหน่วยย่อยของโปรตีนที่เล็กที่สุด ปราศจากความเสี่ยงที่ทำให้เกิดอาการแพ้ 100% สำหรับเด็กที่กินนมสูตร Extensively protein hydrolysate แล้วยังมีอาการแพ้อยู่ ข้อเสียคือมีราคาแพงมาก และรสชาติไม่ดีนัก

อ่านต่อ “นมทางเลือกสำหรับเด็กแพ้นมวัว ชนิดที่ 3-4” หน้า 2

    อาหารอีกหลายอย่างที่เด็กแพ้นมวัวจะเสี่ยงแพ้ด้วย

    หากตรวจแล้วว่าลูกมีอาการแพ้นมวัวอย่างแน่นอน วิธีรักษาที่คุณหมอนริศราแนะนำ คือ การหลีกเลี่ยงนมวัวและอาหารที่มีส่วนผสมของนม เพื่อไม่ให้ร่างกายถูกกระตุ้นจนเกิดอาการแพ้ จนกว่าอาการแพ้นมวัวจะหายไปเองเมื่อลูกเติบโตขึ้นค่ะ แต่ไม่ใช่แค่นมวัวเท่านั้นที่เด็กแพ้นมวัวต้องระวัง ยังมีอาหารอีกหลายอย่างที่เด็กแพ้นมวัวมีความเสี่ยงว่าจะแพ้ด้วย ซึ่งคุณหมอแนะนำให้คุณพ่อคุณแม่หลีกเลี่ยงหรือคอยสังเกตอาการอย่างใกล้ชิดค่ะ

    • นมแพะ นมวัวและนมแพะจัดอยู่ในกลุ่มที่ให้โปรตีนใกล้เคียงกัน ดังนั้นเด็กที่แพ้นมวัวจะแพ้นมแพะด้วยถึง 90% เพียงแต่ว่านมแพะจะย่อยง่ายกว่า ทำให้เด็กที่มีปัญหาเรื่องระบบการย่อยอาหาร ดื่มนมแพะแล้วมีอาการปวดท้องหรือไม่สบายท้องน้อยกว่า แต่ก็ยังไม่เหมาะกับเด็กที่มีปัญหาเรื่องแพ้นมวัวอยู่ดี
    • ถั่วเหลือง เด็กที่แพ้นมวัวบางกลุ่มอาจแพ้ถั่วเหลืองด้วย ฉะนั้นหากคุณแม่อยากให้ลูกกินถั่วเหลืองควรปรึกษาคุณหมอด้วยเพราะเด็กแพ้นมวัวอาจสามารถรับประทานนมที่สกัดจากโปรตีนถั่วเหลืองหรือผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลืองได้เป็นกรณีๆ ไปค่ะ
    • อาหารในกลุ่มเสี่ยง เช่น ถั่วลิสง ไข่ แป้งสาลี ปลา และอาหารทะเล เด็กแพ้นมวัว ประมาณ 30% มีโอกาสแพ้อาหารอย่างอื่นร่วมด้วย คุณหมอจึงแนะนำให้ทดสอบอาการแพ้จากอาหารเหล่านี้ควบคู่ไปด้วย

    เมื่อทดสอบแล้วแม้ผลทดสอบเป็นลบ การให้ลูกเริ่มลองรับประทานอาหารในกลุ่มนี้ ยังควรอยู่ในคำแนะนำของแพทย์อยู่ดี และมักจะแนะนำให้ลองกิน เมื่อเด็กกินอาหารอื่นที่มีโอกาสแพ้ได้น้อยกว่า ได้หลายๆ ชนิดแล้ว อย่าง ข้าวเจ้า หมู ไก่ ผัก ผลไม้ เพราะเป็นสัญญาณบ่งบอกว่า ลำไส้ของเด็กแข็งแรงดีแล้ว จึงจะเริ่มอาหารในกลุ่มเสี่ยง

    หากผลทดสอบเป็นบวก ก็คงต้องหลีกเลี่ยงกันไปก่อน อย่างไรก็ตามคุณหมอฝากไว้ว่า “ไม่อยากให้คุณพ่อคุณแม่กลัวจนเกินไปนะคะ เพราะส่วนใหญ่มักจะกินได้โดยปลอดภัยค่ะ หมอทุกท่านมักจะอยากให้น้องกินอาหารที่ไม่แพ้ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อประโยชน์ทางด้านโภชนาการของเด็กค่ะ”

     

    จากคอลัมน์ Kid Health นิตยสารเรียลพาเรนติ้ง ฉบับเดือนสิงหาคม 2558
    เรื่องโดย อ.พญ.นริศรา สุรทานต์นนท์ผู้เชี่ยวชาญด้านแพ้อาหารในเด็ก หน่วยภูมิแพ้และภูมิคุ้มกัน ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
    เรียบเรียงโดย กองบรรณาธิการ
    ภาพโดย Shutterstock

      อาการแพ้นมวัว

      อาการแพ้นมวัว เป็นอย่างไร? อันตรายถึงชีวิตหรือไม่?


      อาการแพ้นมวัว เป็นอาการที่พบได้บ่อยในเด็กทารกและเด็กเล็ก ซึ่งเด็กแต่ละคนจะแสดง อาการแพ้นมวัว ต่างกัน ทำให้คุณพ่อคุณแม่หลายท่านไม่แน่ใจว่าสิ่งที่ลูกเป็นอยู่นั้นใช่ อาการแพ้นมวัว หรือเปล่า ถ้าใช่ ควรจะทำอย่างไร?

      อาการแพ้นมวัว เป็นอย่างไร? อันตรายถึงชีวิตหรือไม่

      แพ้นมวัวคืออะไร?

      เป็นอาการแพ้อาหารชนิดหนึ่ง ซึ่งอาการแพ้อาหารนั้นเกิดจากการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันที่ผิดปกติ โดยร่างกายจะคิดว่าโปรตีนจากนมที่เราทานเข้าไปนั้นเป็นสารอันตรายต่อร่างกาย ต้องป้องกัน ร่างกายจึงไปกระตุ้นการผลิตสารแอนติบอดี้ชนิด Immunoglobulin E ขึ้นมาเพื่อป้องกัน เมื่อลูกทานนมวัวเข้าไปเพิ่มอีก แอนติบอดี้ที่ร่างกายสร้างไว้ก็จะทำงานโดยการส่งสัญญาณให้ระบบภูมิคุ้มกันปล่อยสารฮีสทามีนและสารเคมีอื่น ๆ ออกมา จนเกิดเป็นอาการแพ้

      โปรตีนในนมวัวที่ทำให้เกิดปฏิกิริยาแพ้ได้มี 2 ชนิดหลัก คือ โปรตีนเคซีนที่พบได้จากนมในส่วนที่เป็นไขนมข้นแข็ง และโปรตีนเวย์ซึ่งพบในส่วนที่เป็นของเหลวหลังจากนมจับตัวเป็นไขแล้ว

      ผื่นแพ้ในทารก
      อาการแพ้นมวัวในทารก

      อาการแพ้นมวัว เป็นอย่างไร?

      คุณหมอ (อ.พญ.นริศรา สุรทานต์นนท์ผู้เชี่ยวชาญด้านแพ้อาหารในเด็ก หน่วยภูมิแพ้และภูมิคุ้มกัน ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย) อธิบายว่า “อาการแพ้นมวัวก็เหมือนกับการแพ้อาหารทั่วไป และอาการแสดงจะไม่เท่ากันขึ้นอยู่กับแพ้มากหรือแพ้น้อย เด็กแพ้นมวัวมักจะมีอาการมากกว่าหนึ่งอย่าง หากคุณพ่อคุณแม่สงสัยลองสังเกตดูนะคะ

      • อาการทางระบบทางเดินอาหาร
        • ปวดท้อง
        • อาเจียน ท้องเสีย
        • ถ่ายเป็นมูกเลือด
        • ไม่โตตามวัยเพราะระบบการดูดซึมอาหารผิดปกติ
      • อาการทางผิวหนัง
        • ผื่นลมพิษ
        • ผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง
      • อาการทางระบบทางเดินหายใจ
        • มีเสมหะเรื้อรัง หายใจไม่สะดวก หายใจเสียงดังวี๊ด
        • เจ็บป่วยบ่อยไม่สบายง่าย

      สำหรับอาการการแพ้นมวัวมัก จะมีระยะเวลาเกิดอาการเป็น 2 แบบ คือ 1.อาการเกิดแบบรวดเร็ว (Rapid onset) คือ  อาการจะเกิดทันทีหลังได้รับนมวัว 2.อาการเกิดแบบช้า (Delayed หรือ Slower onset) คือ เกิดอาการแพ้ค่อยเป็นค่อยไป อาจเกิด 7 ถึง 10 วัน หลังจากได้รับนมวัว อาการที่พบส่วนใหญ่จะเป็นแบบที่เกิดอาการช้า โดยจะมีอาการถ่ายเหลว อาจมีเลือดปนมากับอุจจาระด้วย อาเจียน ไม่อยากรับอาหาร หงุดหงิด ปวดท้อง

      Tips:  คุณพ่อคุณแม่ควรสังเกตให้ดีว่าอาการที่ลูกเป็นอยู่นั้นคืออาการแพ้นมวัวหรือภาวะขาดเอนไซม์ย่อยแล็กเทส (น้ำตาลชนิดหนึ่งที่พบในนมวัว) ภาวะขาดเอนไซม์ย่อยแล็กเทสนั้นจะทำให้เกิดอาการปวดท้อง ท้องอืด หรือท้องเสีย หลังจากทานผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนม แต่อาการแพ้นมวัวจะมีอาการที่รุนแรงกว่ามาก

       

      เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

      อ่านต่อ ทำไม อาการแพ้นมวัวถึงอันตรายถึงชีวิต?

        แพ้นมวัว…ไม่น่ากลัวอย่างที่คิด

        “เด็กแพ้นมวัวจะมีอาการให้เราเห็นได้หลากหลาย ความรุนแรงในเด็กแต่ละคนต่างกัน บางคนเป็นไม่เยอะไม่นานก็หาย บางคนอาจแพ้นานจนโต หรือแพ้แบบรุนแรงโอกาสอันตรายถึงชีวิตก็มี แต่เหล่านี้สามารถตรวจพบและเฝ้าระวังได้ไม่ยากเลยค่ะ” คุณหมอนริศรา สุรทานต์นนท์ ผู้เชี่ยวชาญด้านแพ้อาหารในเด็ก เริ่มต้นอธิบายให้คุณพ่อคุณแม่อุ่นใจ เพราะเด็กที่แพ้นมส่วนใหญ่แพ้ไม่ค่อยรุนแรง สังเกตอาการได้ง่าย การตรวจรักษาทำได้ไม่ยาก ที่สำคัญมีโอกาสหายเป็นปกติ

        ขอเพียงหมั่นสังเกตและพาลูกไปตรวจรักษากับหมอผู้เชี่ยวชาญอาการแพ้นมวัวก็ไม่น่ากลัวอย่างที่คิดเลยค่ะ

        แพ้นมวัว ไม่แพ้ไปตลอด

        “เด็กส่วนใหญ่แพ้นมแล้วจะมีอาการถ่ายผิดปกติหรือถ่ายเป็นเลือดทำให้คุณพ่อคุณแม่รู้สึกกังวล แต่สุขภาพโดยทั่วไปยังแข็งแรงดีน้ำหนักก็ขึ้นปกติ พอผ่านไปสัก 6 เดือนหรือ 1 ปีก็หายแพ้ สามารถกลับมาดื่มนมวัวได้ หรือเด็กที่แพ้นมแล้วมีอาการผื่นแพ้ แต่พอโตขึ้นสักประมาณ 1-2 ขวบอาการแพ้หายก็มีมาก

        “ถ้าเด็กแพ้นมที่มีอาการรุนแรง ร่างกายจะแสดงอาการแพ้หลายระบบ เติบโตช้า บางกรณีอาจมีความดันโลหิตต่ำหรือที่เรียกว่า ภาวะช็อคเมื่อดื่มนม หรือดื่มนมแล้วมีเลือดออกในปอด แต่เด็กที่มีอาการแพ้รุนแรงแบบนี้จะมีอยู่แค่ 10-20% เท่านั้น และ ไม่ว่าจะแพ้มากแพ้น้อย รุนแรงหรือไม่รุนแรง เด็กทุกคนมีโอกาสหายจากการแพ้นมวัวทุกคนค่ะ

        “หมอมองว่าเด็กที่แพ้นมวัวยังโชคดีกว่าแพ้อย่างอื่นนะคะ เพราะโตแล้วมีโอกาสหายสูงมาก คนที่แพ้ไม่มาก อายุ 3 ขวบก็น่าจะหาย คนที่แพ้รุนแรงส่วนใหญ่ก็มักหายขาดได้เมื่ออายุประมาณ 6-7 ขวบ โอกาสที่เด็กจะแพ้นมตลอดชีวิตมีน้อยมาก ประมาณ 1% เท่านั้นเองค่ะ ถึงอย่างนั้นหมอไม่แนะนำให้คุณพ่อคุณแม่ทดลองให้ลูกที่มีอาการแพ้นมทดลองดื่มนมด้วยตัวเองเพื่อทดสอบว่าหายแพ้หรือยังนะคะ ควรทำการทดสอบอีกครั้งและดื่มนมโดยมีคุณหมอสังเกตการณ์อยู่ด้วยจะปลอดภัยที่สุด

         

        จากคอลัมน์ Kid Health นิตยสารเรียลพาเรนติ้ง ฉบับเดือนสิงหาคม 2558

        เรื่องโดย อ.พญ.นริศรา สุรทานต์นนท์ ผู้เชี่ยวชาญด้านแพ้อาหารในเด็ก หน่วยภูมิแพ้และภูมิคุ้มกัน ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

        เรียบเรียงโดย กองบรรณาธิการ

        ภาพโดย Shutterstock

          เด็กไฮเปอร์ ไม่ชอบให้กอด

                 เด็กในกลุ่มออทิสติกอาจมีอาการไวเกินต่อประสาทสัมผัส (Hypersensitivity) ร่วมด้วย อาการไวเกินทำให้ทนต่อการรับรู้ประสาทสัมผัสบางอย่างไม่ได้ อาการของลูกคุณแม่เด่นที่เรื่องสัมผัสและเสียงเมื่อทนสัมผัสไม่ได้เลยไม่ชอบ ให้คนมากอด

           

                         “เรื่องที่กลุ้มใจคือ..ลูกไม่ยอมให้กอดค่ะ” คุณแม่เริ่มต้นเล่าปัญหาที่อยากมาปรึกษาหมอ

                         คุณแม่เล่าให้ฟังว่ารู้สึกแย่มากที่ลูกชายอายุ 5 ขวบคนนี้ไม่มีท่าทีจะยอมให้แม่กอดง่ายๆ สถานการณ์เป็นอย่างนี้มาตั้งแต่ลูกยังเป็นทารกที่เวลาแม่จะกอดลูกก็มักทำตัวไหลหนี

                         โตขึ้นแม้จะไม่เลื้อยไหล แต่ก็กลายเป็นทำตัวแข็ง แม่ไปกอดทีไรก็คล้ายกอดท่อนไม้มากกว่าได้ความรู้สึกเหมือนกอดลูก

                         คิดในมุมคนเป็นแม่ก็น่าเห็นใจ เพราะแม่ที่ไหนก็อยากกอดลูก ธรรมชาติสรรค์สร้างมาให้การกอดและสัมผัสกันเป็นสิ่งจำเป็นในการสร้างความผูกพันอันยั่งยืนระหว่างแม่-ลูก

                         คุณแม่บอกว่ายิ่งไปอ่านบทความแนวเลี้ยงลูกให้ดีก็ยิ่งทุกข์ใจ เพราะเล่มไหนๆ เขาก็พูดตรงกันว่าตอนลูกยังเล็กต้องกอดลูกเยอะๆ ลูกจะได้รู้สึกอบอุ่นและมั่นใจ โตขึ้นไปจะได้จิตใจมั่นคง

                         ถ้าฉันทำไม่ได้นี่แปลว่าอะไร? ฉันเป็นแม่ที่ดีไม่ได้ใช่ไหม?

                         ตัวคุณพ่อเองก็เจอปัญหาซึ่งดูจะหนักกว่าด้วยซ้ำ เพราะพอไปกอดทีไรไม่ใช่แค่ตัวแข็ง แต่ถึงขั้นอาละวาดโวยวาย

                         สิ่งที่พ่อต่างจากแม่คือพ่อไม่ค่อยเครียดเท่าไร ไม่ยอมให้กอดก็ไม่สนใจ ยังไงพ่อก็จะกอดซะอย่าง บางครั้งดูเหมือนพ่อจะสนุกซะด้วยซ้ำที่แหย่ลูกเล่นได้ด้วยการไปแกล้งกอด

                         หมอฟังปัญหาคุณแม่ด้วยความตั้งใจ ถามคำถามเพิ่มอีกหน่อยก็ได้ความว่าลูกชายนอกจากไม่ชอบให้ใครกอดแล้วยังทนเสียงดังไม่ค่อยได้ ฝนตกฟ้าร้องทีไรจะนั่งปิดหูทุรนทุราย

                         ส่วนเสื้อผ้าก็ใส่ได้เฉพาะรุ่นที่ผ้านุ่มเป็นพิเศษเท่านั้น รุ่นที่ผ้าแข็งสากจะไม่ยอมใส่ หรือถ้าไปบังคับให้ใส่จะหงุดหงิดไปทั้งวันดังนั้นเลยชอบใส่แต่เสื้อผ้าตัวเดิมซ้ำๆ ก็คือเสื้อลายรถไฟโธมัสตัวนั้นเวลาเล่นก็จะชอบเล่นแต่ของเล่นชิ้นเดิมๆ โดยเฉพาะรถไฟโธมัส หรือเวลาไม่เล่นก็ชอบพูดชอบเล่าแต่เรื่องโธมัสเช่นเดียวกัน สุดท้ายเลยเข้าใจว่าที่แท้เขามีอาการกลุ่มออทิสติกนี่เอง

                         เด็กในกลุ่มนี้อาจมีอาการไวเกินต่อประสาทสัมผัส (Hypersensitivity) ร่วมด้วย อาการไวเกินทำให้ทนต่อการรับรู้ประสาทสัมผัสบางอย่างไม่ได้ โดยประสาทสัมผัสทั้ง 5 ของคนเราก็คือภาพ เสียง กลิ่น รส และสัมผัส อาการของลูกก็เด่นที่เรื่องสัมผัสและเสียงนั่นเอง เมื่อทนสัมผัสไม่ได้เลยไม่ชอบให้คนมากอด

                         นอกจากนี้การที่คุณพ่อไม่เข้าใจไปหยอกเล่นด้วยการกอดแรงๆ ก็ยิ่งทำให้เด็กรู้สึกอึดอัดไม่พอใจจนกลายเป็นอาละวาด ครั้งต่อไปเวลามีใครทำท่าว่าจะสัมผัสตัว เขาจะยิ่งต่อต้าน

                         วันนี้เริ่มต้นหมอเลยต้องแนะนำให้คุณพ่อเข้าใจและเลิกแหย่ลูกเล่นด้วยการกอด แล้วช่วยกันหาวิธีเล่นกับลูกที่จะทำให้ได้สนุกกันทั้งสองคน ไม่ใช่พ่อสนุกอยู่ข้างเดียว

                         ต่อมาก็ต้องปลอบใจคุณแม่ ปรับทัศนคติเสียใหม่ว่าลูกไม่ให้กอดไม่ได้แปลว่าลูกไม่รักหรือคุณแม่เป็นแม่ที่ไม่ดีแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะภาวะบางอย่างที่ติดตัวเขามาแต่เกิดที่ทำให้เขามีบุคลิกลักษณะแบบนี้ อย่าได้เสียใจน้อยใจไปเลย

                         แม้ลูกคนนี้จะไม่ชอบให้ใครกอด แต่เขาก็เป็นออทิสติกที่ไม่ได้มีอาการรุนแรงแต่อย่างใด เขายังอยากอยู่ใกล้ๆ พ่อแม่ อยากให้พ่อแม่สนใจเขาคุยกับเขา เล่นกับเขา

                         ถ้าอย่างนั้นเราลองถามเขาดูดีไหม ว่าถ้าเราอยากจะแสดงความรักกับเขา เขาจะอยากให้เราทำอย่างไร จะให้แค่พูดบอก หรือจะให้จับมือ จับแขน จับศีรษะ หรือจับตัวได้แค่ไหน หรือถ้าพ่อแม่จะกอดจะให้กอดด้วยน้ำหนักเท่าใดลูกถึงจะยังรู้สึกดี

                         เรื่องนี้สอนให้รู้ว่าเลี้ยงลูกไม่มีสูตรสำเร็จ ตำราเลี้ยงลูก(หรือ Real Parenting) จะอ่านก็อ่านไป แต่ถึงเวลาใช้จริงคงต้องประยุกต์ให้เป็น

           

          จากคอลัมน์ Kid happy school นิตยสารเรียลพาเรนติ้ง ฉบับเดือนสิงหาคม 2558
          เรื่องโดย ผศ.นพ.ณัทธร พิทยรัตน์เสถียรจิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น ภาควิชาจิตเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คุณพ่อน้องข้าวหอมและน้องน้ำมนต์
          เรียบเรียงโดย กองบรรณาธิการ
          ภาพโดย Shutterstock

            Tags

            การทำกิฟท์ยังมีอยู่หรือไม่?

            การทำกิฟท์ยังมีอยู่หรือไม่?

            วิธีการทำ กิฟท์ (GIFT: Gamete intrafallopian transfer) ที่ช่วยให้ผู้มีบุตรยาก มีลูกกันสมใจที่เคยได้ใช้กันนั้น ปัจจุบันไม่นิยมทำและเลิกทำกันมานานแล้ว เพราะวิธีทำกิฟท์ต้องผ่าตัดผ่านทางหน้าท้อง คือเราจะเก็บไข่มาแล้วนำอสุจิมาวางไว้รอบๆ ไข่ให้ผสมกัน เมื่อผสมเสร็จแล้วก็ใส่หลอด แล้วเจาะรู ฉีดเข้าไปในปีกมดลูก ขั้นตอนยุ่งยากและต้องเจ็บตัวมาก และสมัยก่อนกระบวนการทางห้องทดลองยังไม่ดีเหมือนปัจจุบัน แต่ขณะนี้กระบวนการในห้องปฏิบัติการต่างๆ มีความทันสมัย แม่นยำ และได้ผลดี จึงไม่นิยมทำกิฟท์ และเปลี่ยนมาเป็น ไอวีเอฟ อิ๊กซี่ และบลาสโตซิสท์ กันในปัจจุบันนั่นเอง

            วิทยาศาสตร์ช่วยให้ตัวอ่อนฝังหรือตั้งครรภ์ไม่ได้

            สิ่งสำคัญที่อยากให้คู่สมรสทุกท่านที่ใช้เทคโนโลยีช่วยในการมีลูกได้เข้าใจ นอกจากการที่วิทยาศาสตร์ไม่สามารถบังคับให้ไข่กับอสุจิปฏิสนธิกันได้แล้วนั้น หลังจากทำไอวีเอฟ อิ๊กซี่ และบลาสโตซิสท์แล้วเมื่อนำกลับไปใส่หรือหยอด วิทยาศาสตร์ก็ยังไม่สามารถบังคับให้ตัวอ่อนฝังในมดลูกคุณแม่ได้ เนื่องจากการนำตัวอ่อนไปใส่ ไม่ใช่การนำไปฝัง หลายท่านมักเข้าใจว่าเวลานำตัวอ่อนใส่คืนให้ หมอจะเอาไปฝัง ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิด เพราะหมอจะนำไปหยอดในจุดที่ตัวอ่อนควรจะฝังเท่านั้น แต่การจะฝังในมดลูกหรือไม่อยู่ที่ตัวลูกกับตัวของคุณแม่ที่ต้องมีความพร้อมอย่างเหมาะสมจึงจะเกิดการฝังหรือตั้งครรภ์เป็นผลสำเร็จ

             

            จากคอลัมน์ Get Pregnant นิตยสารเรียลพาเรนติ้ง ฉบับเดือนสิงหาคม 2558

            เรื่องโดย นพ.สันธา ศรีสุภาพ หัวหน้าหน่วยผู้มีบุตรยาก โรงพยาบาลราชวิถี

            เรียบเรียงโดย กองบรรณาธิการ

            ภาพ Shutterstock

              บลาสโตซิสท์ ช่วยให้มีลูกคืออะไร

              คราวนี้เรียลพาเรนต์สขอนำเสนอวิธีการล่าสุดที่ช่วยแก้ปัญหาคู่สมรสที่มีบุตรยาก นั่นคือ การทำ บลาสโตซิสท์ มาอธิบายให้เข้าใจกันมากยิ่งขึ้นค่ะ

              บลาสโตซิสท์ เป็นวิธีการทางการแพทย์อีกแบบหนึ่งที่ช่วยให้คู่สมรสมีลูกได้สำเร็จ โดยมีขั้นตอนและวิธีการเริ่มต้นเพื่อให้ได้ไข่ คล้ายการทำไอวีเอฟ และอิ๊กซี่ คือจะใช้การกระตุ้นและเตรียมไข่ของฝ่ายหญิงก่อน เมื่อไข่พร้อม เราก็จะทำขั้นตอนการเก็บไข่ คือนำเข็มไปดูดไข่ในช่องคลอดออกมา แต่วิธีการต่อจากนี้จะต่างกัน นั่นคือ หากทำไอวีเอฟ ก็จะนำสเปิร์มไปใส่ไว้ข้างๆ ไข่ที่เก็บมาได้ แล้วรอให้สเปิร์มวิ่งเข้าไปเจาะเพื่อผสมกับไข่เอง แต่หากทำวิธีอิ๊กซี่ เราจะนำสเปิร์มมาแล้วใช้เครื่องมือจับใส่เข้าไปในไข่ให้เลย โดยไม่ต้องรอให้สเปิร์มวิ่งเข้าไปหาไข่ จากนั้นก็รอกระบวนการที่ไข่กับสเปิร์มเกิดการปฏิสนธิกันเอง วิธีการทำบลาสโตซิสท์ก็จะใช้วิธีการตั้งต้นเหมือนกับไอวีเอฟ และอิ๊กซี่เช่นกัน เพียงแต่ต่างกันเรื่องช่วงเวลาการเลี้ยงตัวอ่อนเท่านั้น

              อธิบายง่ายๆ ก็คือ หลังจากที่เราทำไอวีเอฟ หรืออิ๊กซี่ แล้ว เมื่อเกิดการปฏิสนธิกันเรียบร้อย เราก็จะรู้แล้วว่ามีการผสมกันเกิดขึ้นกี่คน คุณพ่อคุณแม่จะมีลูกมากี่คน หรือภาษาทางการแพทย์เรียกว่าตัวอ่อน ซึ่งเราถือว่าเขามีชีวิตแล้ว แต่ปกติการทำไอวีเอฟ และอิ๊กซี่ เราจะเลี้ยงตัวอ่อนในห้องปฏิบัติการอยู่ประมาณ 2-3 วัน เมื่อเห็นว่าสมบูรณ์ดี ก็จะนำตัวอ่อนนี้กลับไปหยอดคืนในมดลูก เพื่อให้ตัวอ่อนไปฝังตัวอยู่ในผนังมดลูก จนเกิดการตั้งครรภ์ขึ้น แต่หากตัวอ่อนไม่ฝังในมดลูก หรือที่เรียกว่า ‘หลุด’ ก็เป็นสิ่งที่เทคนิคทางการแพทย์ควบคุมไม่ได้ ต้องหาสาเหตุเพื่อป้องกันแก้ไขกันต่อไป

              กลับมาที่การเลี้ยงตัวอ่อน จากเดิมที่เราเคยเลี้ยงเขาไว้ 2-3 วันเพื่อดูความสมบูรณ์ ปัจจุบันมีเทคนิคใหม่ คือการเลี้ยงตัวอ่อนต่อไปให้นานขึ้นอีกประมาณ 2-3 วัน วิธีนี้เรียกว่าการทำ บลาสโตซิสท์ (Blastocyst Culture) คือให้ตัวอ่อนโตขึ้นมาในระยะที่เรียกว่า “บลาสโตซิสท์” ซึ่งเป็นการเรียกชื่อระยะการพัฒนาหรือเติบโตของตัวอ่อนในจุดหนึ่ง บลาสโตซิสท์จะได้เปรียบกว่าการทำไอวีเอฟและอิ๊กซี่ เนื่องจาก 2 วิธีแรกตัวอ่อนที่เลี้ยงไว้จะมีอายุเพียง 2-3 วัน ก็จะนำไปหยอดคืนในมดลูกของคุณแม่แล้ว แต่ บลาสโตซิสท์ตัวอ่อนจะอยู่ในความดูแลของหมอประมาณ 5 วัน แล้วจึงนำไปใส่ให้อยู่กับคุณแม่ต่อไป ซึ่งในบางทฤษฎีก็ชี้ว่าจะสามารถดูแลให้ตัวอ่อนแข็งแรงสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น ก่อนที่จะให้ไปอยู่ในมดลูกคุณแม่ แต่อย่างไรก็ตามวิธีการต่างๆ ก็มีข้อจำกัดบางอย่างอยู่ แพทย์จึงต้องวินิจฉัยถึงความเหมาะสมก่อนที่จะทำแต่ละวิธีเสมอ

              ข้อดีของการทำบลาสโตซิสท์คือ หมอจะได้เห็นศักยภาพของเด็กหรือตัวอ่อนที่เขาจะโตต่อไปอีกระยะเวลาหนึ่ง จนมาถึงระยะ บลาสโตซิสท์ ซึ่งจะเป็นช่วงที่มีความสมบูรณ์ค่อนข้างมาก เนื่องจากในบางครั้ง การที่ตัวอ่อนเติบโตได้อายุ 2-3 วัน อาจจะบอกได้ยากว่าเขาจะโตต่อไปจนแข็งแรงสมบูรณ์ดีเต็มที่แค่ไหน แต่การที่เราเลี้ยงตัวอ่อนให้นานขึ้น จะสังเกตและรู้ว่าเขาจะหยุดเจริญเติบโตหรือเปล่า ดังนั้น บลาสโตซิสท์ จึงมีข้อดีกว่าวิธีอื่นในแง่ที่เราจะได้เห็นการเติบโตสมบูรณ์ของตัวอ่อนได้มากขึ้น

               

              จากคอลัมน์ Get Pregnant นิตยสารเรียลพาเรนติ้ง ฉบับเดือนสิงหาคม 2558

              เรื่องโดย นายแพทย์สันธา ศรีสุภาพ หัวหน้าหน่วยผู้มีบุตรยาก โรงพยาบาลราชวิถี

              เรียบเรียงโดย กองบรรณาธิการนิตยสารเรียลพาเรนติ้ง

              ภาพโดย Shutterstock

                คลิปเด็ก 5 ขวบเล่นเปียโน มหัศจรรย์แค่ไหนนั้น ให้ข้ามไปดูนาทีที่ 2.58

                คลิปที่มีผู้เข้าชมกว่า แสนวิว เป็นบทสัมภาษณ์เด็กชายชาวจีนวัย 5 ขวบ ชื่อ Ryan wang โชว์สเต็ปลีลาเล่นเปียโนโดยที่ผู้ใหญ่ยังอึ้ง เด็กชายเล่าว่ามีคุณแม่เป็นครูสอน และเมื่อพิธีกรถามว่ารู้จักเพลง และวิธีเล่นได้อย่างไร เด็กชายตอบว่า ผมรักเปียโน ผมชอบเปียโน พอเอามือวางนิ้วมันก็เล่นไปได้เอง ช่างมหัศจรรย์มาก

                 

                อยากรู้ว่าจะสุดยอดขนาดไหนนั้น ข้ามไปดูนาทีที่ 2.58 กันได้เลย

                 

                 

                  Tags

                  พี่ชายสุดฮา เซอร์ไพร้สวันเกิดน้องสาวด้วยทุเรียน

                  การทำหน้าที่ชาย สิ่งที่ดีที่สุดก็คือ คอยดูแล เทคแคร์และปกป้องน้องสาว และในคลิปวีดีโอนี้ถือเป็นการกระทำของพี่ชายตัวอย่างที่แสนดีเลยทีเดียว เพราะเนื่องจากเป็นวันเกิดน้องสาว พี่ชายไม่สามารถหาเค้กให้ได้ แต่ก็มีทุเรียนมาให้น้องเป่าเทียนจนได้ และก็ไม่ใช่ทุเรียนธรรมดาซะด้วย!! แต่เป็นทุเรียนก้านยาว งานนี้ทำเอาน้องสาวตัวน้อยเซอร์ไพร้สุดๆ น่าจะรักและฮาขนาดไหนไปชมกันค่ะ

                   


                  ขอบคุณคลิปวีดีโอจาก : fuller70

                   

                    รู้ไหม “แม่หลังคลอด” ต้องได้รับการคนดูแลเป็นพิเศษทั้งเรื่องร่างกายและอารมณ์

                    แม่หลังคลอด มีหลายสิ่งเกิดขึ้นกับมาก แต่น้อยรายนักที่จะสังเกตเห็น เพราะลำพังแค่เรื่องเจ้าตัวน้อยก็ยุ่งวุ่นวายจนหัวหมุนอยู่แล้ว จึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมหลายๆคนถึงขอเว้นวรรคเรื่องของตัวเอง พอรู้ตัวอีกที ความเครียดก็เข้าจู่โจมแล้ว เมื่อบวกกับอาการอดนอน กินไม่เต็มที่ทุกมื้อ และฮอร์โมนที่ขึ้นแรงลงแรงยิ่งกว่าราคาทองคำเข้าไปด้วยแล้วล่ะก็ทำเอาแม่แทบทรุด ผิวก็เยิน ผมก็ร่วง อย่าปล่อยให้ตัวเองจมดิ่งไปลึกขนาดนั้น ควรแบ่งเวลาให้กับตัวเองบ้าง ฉวยจังหวะช่วงที่ลูกนอนหลับนี่แหละ ดูแลเติมเต็มความสุขให้ตัวเองอย่างเต็มที่


                    แม่หลังคลอด สังเกตดูสิ อะไรที่เปลี่ยนแปลงไป

                    ดาวน์โหลด

                    ผิวหน้า+ผิวกาย งานนี้ต้องโทษเจ้าฮอร์โมนตัวดี ที่ทำให้ผิวเปลี่ยนแปลงมากมายขนาดนี้ ไม่ว่าจะเป็น ฝ้าตามโหนกแก้ม และหน้าผาก ผิวหน้า ผิวกายหมองคล้ำ เกิดสิว ผื่นคัน รวมถึงผิวแห้ง

                    วิธีแก้ ปัญหาแย่ๆ เหล่านี้

                    1.กินอาหารบำรุงผิวให้ครบ 5 หมู่

                    เพื่อซ่อมแซมผิวหนังส่วนที่สึกหรอในร่างกาย โดยเฉพาะวิตามินอีและวิตามินซี ช่วยผลัดเซลล์ผิวส่วนที่หมองคล้ำให้จางลงได้

                    กินอาหารไม่ครบหมู่ ลูกน้ำหนักน้อย ต่ำกว่าเกณฑ์

                     

                    2. หลีกเลี่ยงการอาบน้ำอุ่นจัด

                    เพราะจะทำให้ผิวหนังสูญเสียความชุ่มชื้นและเกิดการระคายเคือง

                    shutterstock_111766250

                     

                    3. พักผ่อนให้เพียงพอ

                    ฟังดูยากแต่คงต้องพยายามทำกันสักนิด เพื่อให้ร่างกายซ่อมแซมเซลล์ที่สึกหรอ และสร้างเซลล์ใหม่ ๆ ขึ้นมา

                    shutterstock_174157748

                    4. ออกกำลังกายเบา ๆ

                    เช่น เดินช้า ๆ หรือการเล่นโยคะท่าง่ายๆ เพื่อช่วยให้กล้ามเนื้อหน้าท้อง และกล้ามเนื้อต้นขา กระชับขึ้น โดยคุณแม่ที่คลอดธรรมชาติ ควรพักประมาณ 2-3 อาทิตย์ก่อนแล้วจึงเริ่มออกกำลังกาย ส่วนคุณแม่ที่ผ่าคลอดควรพักประมาณ 1 เดือน

                    shutterstock_223850779

                    ่อ่านเรื่อง “รู้ไหม “แม่หลังคลอด” ต้องได้รับการคนดูแลเป็นพิเศษทั้งเรื่องร่างกายและอารมณ์” คลิกหน้า 2

                      สุขภาพดีกับกระเป๋าตุง

                      พ่อตุ๊ต๊ะ: เคยมีคนพูดว่า “สุขภาพดีกับกระเป๋าตุง” คือเรื่องเดียวกัน ได้อย่างไรกันครับ ผมเป็นคนสนใจเรื่องสุขภาพ พอมีครอบครัว สมาชิกเพิ่มขึ้น เลยสนใจเรื่องนี้เป็นพิเศษ

                      อ.วรากรณ์ : การมีสุขภาพดีหมายถึงการไม่เจ็บออดๆ แอดๆ มีโรคนั่นมีโรคนี่โผล่ขึ้นมาอยู่เรื่อยๆ การมีสุขภาพดีบางส่วนมาจากพันธุกรรม แต่ส่วนใหญ่น่าจะมาจากพฤติกรรม ลองจินตนาการดูว่า ถ้ากินหวานสุดๆ มาแต่ยังเด็กๆ แถมชอบอาหารประเภทแป้งและไขมัน เช่น ไอศกรีม ขนมเค้ก จั๊งค์ฟู้ด ข้าวขาหมู (ตรงมีมันมากเป็นพิเศษ) ฯลฯ แต่ไม่ชอบการออกกำลังกายทั้งปวง รวมไปถึงขาดความรู้เรื่องโภชนาการที่ดีอีกด้วย โตขึ้นจะเป็นภาระทางการเงินต่อครอบครัวอย่างไร

                      การมีสุขภาพดีทำให้ไม่เสียเงินทองเพื่อรักษาความเจ็บป่วยโดยไม่จำเป็น ไม่ต้องนอนโรงพยาบาลหรือหาแพทย์บ่อยกว่าที่ควรจะเป็น เมื่อความจริงมีอยู่ว่าเงินที่ไม่ต้องจ่ายออกไปหนึ่งบาทก็คือเงินที่ออมได้หนึ่งบาท ดังนั้นการไม่ต้องจ่ายเงินเพื่อความป่วยไข้จึงเป็นเงินที่เหลือในมือ

                       

                      พ่อตุ๊ต๊ะ: ถ้าเช่นนั้นคนมีสุขภาพดี ไม่ต้องจ่ายเงินค่ารักษาพยาบาล ประหยัดเงินได้ แล้วมันทำให้กระเป๋าตุงได้อย่างไร

                      อ.วรากรณ์: เมื่อมีสุขภาพดี…

                      อย่างแรก ก็ไม่เสียเงินรักษาพยาบาลดังกล่าวแล้ว

                      สอง ทำให้มีช่วงเวลาของการทำงานทำมาหากินยาวขึ้น ไม่ป่วยจนทำงานไม่ได้หรือเสียชีวิตก่อนเวลาอันควร การมีช่วงเวลาที่ยาวเช่นนี้ก็ช่วยทำให้ “กระเป๋าตุง” มากขึ้น

                      สาม ทำให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่สามวันดีสี่วันไข้ จนทำมาหากินไม่สะดวกและทำงานหนักก็ไม่ได้จนเสียโอกาสในการหารายได้

                      และสี่ การดูแลสุขภาพดีของพ่อแม่เป็นตัวอย่างที่สำคัญแก่ลูก

                      อันลูกนั้นโดยทั่วไปมักเลียนแบบพฤติกรรมของพ่อแม่โดยไม่รู้ตัว การซึมซับรับตัวอย่างที่ดีในการดูแลสุขภาพจะทำให้ลูกมีคุณภาพร่างกายและคุณภาพชีวิตที่ดีและถือเป็นรากฐานที่ดีของลูกหลานในชั่วคนต่อๆ ไปด้วย

                      การสอนให้ลูกเรียนรู้มีค่านิยมรักษาสุขภาพจึงเท่ากับว่าพ่อแม่ได้มอบสมบัติที่มีค่าให้ลูกติดตัวตลอดไป สถานการณ์ทั้งหมดนี้จะช่วยทำให้ครอบครัวมีสุขภาพดี “กระเป๋าตุง” เมื่อเปรียบเทียบกับกรณีตรงกันข้าม

                       

                      พ่อตุ๊ต๊ะ: ในฐานะหัวหน้าครอบครัว ผมควรทำอย่างไรบ้างเพื่อให้ลูกไม่เป็นภาระทางการเงินแก่คุณพ่อคุณแม่และช่วยให้ครอบครัว “กระเป๋าตุง” จากการมีสุขภาพดี โดยไม่แนะนำให้ผมซื้อประกันสุขภาพครับ  

                      อ.วรากรณ์: ต้องยอมรับว่าเด็กจะมีสุขภาพดีนั้นไม่ใช่เพราะความบังเอิญ หากเพราะ…

                      (1) พ่อแม่นำพาให้ลูกบริโภคอาหารที่มีประโยชน์ เช่น ผัก ผลไม้มากเป็นพิเศษ พร้อมกับอาหารครบหมู่ ไม่ชี้นำให้ลูกกินอาหารหวานอุดมด้วยโปรตีนและไขมันมากเกินไป

                      (2) พ่อแม่สร้างวินัยในการบริโภคให้แก่ลูกโดยไม่ปล่อยให้กินตามใจปาก อย่าวางใจปล่อยให้ครูเป็นผู้สอนแต่เพียงฝ่ายเดียว

                      (3) พ่อแม่ควรอธิบายให้เห็นความเชื่อมต่อของการกินอาหารผิดโภชนาการและผลที่เกิดตามมา (“you are what you eat”)

                      ทั้งสามเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายในยุคปัจจุบัน แต่ถ้ามันเป็นเรื่องง่ายๆ ฟ้าดินเขาก็คงจะไม่ปล่อยให้ท่านสองคนเป็นผู้ร่วมนำเขาเข้ามาในโลกหรอก

                      Life Quote!

                      “สุขภาพดีทำให้มีช่วงชีวิตที่ยาวขึ้นและมีประสิทธิภาพมากขึ้นในการทำมาหากิน ตลอดจนไม่เสียเงินเกินควรกับการรักษาพยาบาล ดังนั้น ‘สุขภาพดี’ และ ‘กระเป๋าตุง’ จึงเป็นเรื่องเดียวกัน”

                      Money Tip!

                      “ความจริงมีอยู่ว่าเงินที่ไม่ต้องจ่ายออกไปหนึ่งบาทก็คือเงินที่ออมได้หนึ่งบาท ดังนั้นการไม่ต้องจ่ายเงินเพื่อความป่วยไข้จึงเป็นเงินที่เหลือในมือ”

                       

                      บทความโดย: รศ.ดร.วรากรณ์ สามโกเศศ ผู้เท่าทันเงินทองและคุณปู่ของหลานสาวคนเดียว

                      ภาพ: shutterstock

                        สีทาบ้านอันตราย

                        สีทาบ้านอันตราย มีสารตะกั่ว ส่งผลต่อสมองลูกน้อย

                        สีทาบ้านอันตราย เพราะมีสารตะกั่วที่เป็นพิษในสิ่งแวดล้อม ก่ออันตรายต่อสุขภาพอย่างร้ายแรงโดยเฉพาะเด็ก ซึ่งมีผลต่อทุกระบบของร่างกาย ถ้าได้รับสารตะกั่วในปริมาณมากจะมีผลโดยตรงต่อระดับสติปัญญา สมอง และระบบประสาทอย่างถาวร โดยเฉพาะเด็กอายุน้อยกว่า 6 ขวบ

                        Continue reading “สีทาบ้านอันตราย มีสารตะกั่ว ส่งผลต่อสมองลูกน้อย”

                          [Mom diary แม่โอ] ถูก-ผิด คิดไม่ยาก

                          ในโลกที่ “ความถูก ความผิด เริ่มละลายปนกัน จนแบ่งขอบเขตไม่ค่อยชัดเจนนอกจากศีลธรรมขั้นพื้นฐานแล้ว เราจะสอนให้ลูกรู้จักแยกแยะว่า อะไรถูก อะไรผิด ได้อย่างไร? อืม…ฟังแล้วเหมือนยาก แต่จริงๆ แล้ว พอไหวค่ะ!

                          มองโลกให้ครบ

                          ก่อนจะรู้ว่า “ถูกและผิด” ต่างกันอย่างไรนั้น เด็กๆ ต้องเรียนรู้ที่จะ “มองโลกให้ครบ 360 องศา” ซะก่อน วิธีสอนลูกก็คือ เมื่อลูกมีเรื่องมาร้องเรียน ดิฉันจะไม่ปักธงว่า ใครผิดใครถูก แต่จะใช้เวลาซักไซ้ไล่เรียง… การไต่ถามเรื่องราว ไม่ใช่ “การจับผิดลูก” แต่เป็นการ “ช่วย” ให้ลูกเรียนรู้ที่จะ “ลำดับเหตุการณ์และเรียบเรียงเนื้อความ” ให้ถูกต้อง จากที่เคยเล่าแต่ฉากดราม่าเคล้าน้ำตาของตัวเอง ก็จะกลายเป็นค่อยๆ เล่าว่า ตัวเองก็มีส่วนเล่นเป็นผู้ร้ายอยู่หลายฉากเหมือนกันแฮะ! อารมณ์ที่พลุ่งพล่านจึงสงบลง และมีดวงตาที่ “ยอมรับความจริง” และ “เห็นความถูกต้อง” ได้ด้วยตัวเองค่ะ… เราไม่จำเป็นต้อง “บังคับ” ให้ลูกเห็นความถูกต้อง แต่จง “ช่วย” ให้เขาเห็นความถูกต้องนั้นด้วย “ตัวเอง” ลูกจึงสามารถแยกแยะความถูกผิดในชีวิตได้

                          ผลถูก วิธีต้องถูก

                          ดิฉันย้ำเสมอว่า “ถ้ามั่นใจว่าตัวเองเป็นฝ่ายถูก ก็ต้องเลือกวิธีที่ถูกต้องด้วย จึงจะได้ผลลัพธ์เป็นความถูกต้อง” …. หากโดนแกล้งมา ต้องไม่แกล้งกลับ เพราะจากที่เคยเป็นฝ่ายถูก ก็จะกลายเป็นฝ่ายผิดเสมอกัน… หลังจากบ่มเพาะและฝึกกันมานาน ลูกๆ จึงซึ้งดีว่า การคิดเช่นนี้จะช่วยให้ “มีสติ และอดทนอดกลั้น” มากขึ้น จากที่เคยรู้สึกว่า ต้องเอาคืนในทันที ก็จะยับยั้งชั่งใจได้ว่า ถ้าต้องการพิสูจน์ความถูกต้องของตัวเองล่ะก็ คงต้องหาวิธีอื่นที่สร้างสรรค์แล้วล่ะ

                          แน่นอนว่าตอนกำลังโมโหอยู่ลูกจะหาออกที่ “ถูกต้อง” ไม่เจอหรอกค่ะ เราจึงต้องเริ่มจากการ “รับฟังความรู้สึก” ที่เขามี ต่อให้ดราม่าเข้าข้างตัวเองก็อย่าไปเพิ่งขัดจังหวะ… เมื่อลูกมั่นใจว่า เราเข้าใจเขาแล้ว จึงค่อยแลกเปลี่ยนความคิดกับลูกว่ามีทางออกที่ “สร้างสรรค์” อะไรให้เลือกบ้าง วันหนึ่งจึงลูกกลับมาเล่าว่า เขาเลือกไม่เอาคืนเพื่อน แต่ขอให้เพื่อนคนอื่นเป็นพยานกับสิ่งที่เกิดขึ้นแทน พอครูไต่สวน จึงได้รับความยุติธรรม ลูกรู้สึกเลยว่าคุ้มค่ามากที่ “เลือกวิธี” ถูกต้อง เพื่อ “รับผล” ถูกต้องค่ะ เย้!

                          ความถูกต้อง ไม่มีในคนพาล

                          ดิฉันเคยอ่านนิทานอีสปเรื่อง “หมาป่ากับลูกแกะ” ให้ลูกฟัง เรื่องมีอยู่ว่าหมาป่าหาเรื่องอยากกินลูกแกะ ส่วนลูกแกะก็ให้เหตุผลสารพัดว่า ทำไมจึงไม่ควรกินมัน แต่สุดท้ายหมาป่าก็จับลูกแกะกินอยู่ดี! อ่านจบปุ๊บ เด็กๆ สงสัยปั๊บว่า ทำไมจบแบบนี้ล่ะ! ก็ให้เหตุผลแล้วนี่! แต่ในที่สุดก็เข้าใจว่า จงอย่าเสียเวลาคุยกับคนพาล เพราะ “ความถูกต้อง” ไม่มีในคนพาลนั่นเอง… สิ่งที่นำมาสอนลูกก็คือ

                          หนึ่ง จงอย่าทำตัวเป็น “คนพาล” ที่อ้างความชอบธรรมให้กับตัวเอง ทั้งที่รู้ว่ากำลังทำผิด

                          สอง หากตกอยู่ในสถานะของลูกแกะ ก็จงอย่าเสียเวลาคุยหรือให้เหตุผลกับคนพาล ทางออกที่ถูกต้องก็คือ จงเดินจากไปซะ… คนพาลเหมือนเหวมืด เราไม่จำเป็นต้องกระโดดลงไปเพื่อพิสูจน์ความกล้า แค่ก้าวข้ามผ่านก็พอ… นิทานเรื่องนี้จึงสอนให้ลูกแยกแยะได้อีกขั้นว่า การหลีกเลี่ยงจากสิ่งที่ไร้เหตุผล ไม่ใช่ความพ่ายแพ้ แต่เป็นการ “ใช้สติ” ค่ะ

                          จริงวันนี้ จริงวันหน้า

                          ดาวพลูโตเคยอยู่ในระบบสุริยะของเราจากนั้นก็โดนไล่ออกไป และเพิ่งได้รับเชิญกลับมาอย่างสมเกียรติอีกครั้งไม่นานมานี้… วิทยาศาสตร์จึงสอนให้ลูกๆ เรียนรู้สัจธรรมข้อหนึ่งว่า “ทฤษฎี ความถูกต้อง ความจริง ในวันนี้ สามารถถูกล้มล้างด้วย ความถูกต้องและความจริงในวันหน้าได้” เราจึงต้องสอนลูกให้พร้อม “เปิดใจยอมรับ” ความเปลี่ยนแปลงของความรู้ และความถูกต้อง “ใหม่” ด้วยนะคะ… ถูกผิด คิดไม่ยากเลย จริงไหมคะ

                           

                          บทความโดย : ชิดชนก ทองใหญ่ ณ อยุธยา

                          ภาพ : shutterstock

                            Moodz Restaurant & Wine Bar (มูดส์)

                            แม้จะอยู่ริมถนนทองหล่อ แต่บรรยากาศสบายๆ และธีมสีเขียวน้ำทะเลที่ใช้ ทำให้เรานึกถึงทะเลได้แทบจะในทันที เห็นร้านหรู ดูสวยสะอาดตา น่าเข้ามานั่งแบบนี้ ไม่ต้องกลัวออกไปแล้วกระเป๋าจะแบนนะคะ เพราะราคาอาหารเมื่อเทียบกับร้านอื่นๆในย่านทองหล่อด้วยกัน ถือว่าไม่ได้แพงมาก แถมพอชั่งน้ำหนักกับความอร่อยเข้าไปด้วยแล้ว ยอมพลีเลยค่ะ แต่ละจานอร่อยขั้นสุด ถึงจะเป็นอาหารสไตล์อิตาเลี่ยน-เฟรนช์ ก็ไม่รู้สึกเลี่ยนเลย โดยเฉพาะ Squid Carbonara ที่ใช้หนวดปลาหมึกทำแทนเส้นสปาเก็ตตี้ จานนี้ใครเห็นเป็นกรี๊ดทุกรายค่ะ 390 บาท ส่วนจานอื่นๆที่อยากแนะนำ Tuna Tartare 300 บาท จานนี้ใช้ทูน่าสด ใครไม่ชอบขอผ่านได้ Spiced Snow Fish ปลาหิมะย่าง เผ็ดนิดหน่อย ไม่มาก (สอบถามราคาได้ที่ร้าน) และ Club Sandwish ซึ่งขนาดใหญ่มาก แนะนำว่า ถ้าสั่งมาแล้ว ควรสั่งจานหลักอีกแค่ 2 ก็พอค่ะ นอกจากอาหารแล้ว เครื่องดื่มก็เป็นซิกเนเจอร์ของที่นี่เช่นเดียวกัน อย่าลืมสั่ง Virgin Bellini 130 บาท มาเรียกความสดชื่นกันด้วยนะ

                            Moodz Restaurant & Wine Bar (มูดส์)
                            ปากซอยทอง หล่อ 10 เปิดบริการทุกวัน ยกเว้นวันจันทร์ อังคาร – ศุกร์ เปิดบริการ 12.00 – 23.00 น. เสาร์ – อาทิตย์ 11.00-23.00 น. โทร. 0 2 170 8440 (ใส่โลโก้เฟสบุ๊ค) moodzthailand ใช้บริการ valet parking ได้ที่นี่

                            Moodz (1) Moodz (2) Moodz (3) Moodz (4) Moodz (5)

                             

                             

                             

                             

                             

                            เรื่องจากคอลัมน์ : Eating Out นิตยสารเรียลพาเรนต์ส ฉบับเดือนสิงหาคม 2558
                            Photo : จักรพงษ์ นุตาลัย, กัญชนิกา เมืองวงษ์ ผู้ช่วยช่างภาพ : วัชราภรณ์ เกษรจันทร์

                              Tags

                              Osha Thai Restaurant & Bar (โอชา)

                              เห็นชื่อร้านธรรมดาแบบนี้ ดีกรีไม่ใช่เล่น เพราะเป็นร้านอาหารไทยต้นตำรับสุดหรูจากซานฟรานซิสโก สหรัฐอเมริกา ภายในตกแต่งอลังการงานวิจิตร ทั้งที่นั่งลักษณะคล้ายบาตรใบใหญ่ ชฎาขนาดยักษ์ และภูเขาทองด้านหลังบาร์ ซึ่งบริเวณชั้นล่าง ในมื้อค่ำมีการใช้เทคนิค 3D Mapping โดยนำภาพบางส่วนบางตอน จากวรรณคดีไทยเรื่อง “รามเกียรติ์ “ มาจัดฉายเหนือเพดาน ความตื่นตาตื่นใจยังไม่หมดเพียงเท่านี้ ให้สังเกตการพรีเซนต์ของอาหารแต่ละจานด้วย เพราะที่นี่ใช้สไตล์ โมเลคูล่า กาสโทรโนมี ที่นำหลักการทางวิทยาศาสตร์ เคมี และฟิสิกส์ มาใช้ในการทำอาหาร ความแปลกแหวกแนวจึงบังเกิด แม้ทุกอย่างฟังดูประหลาด แต่รสชาติที่ได้น่าทึ่ง ถึงเครื่อง ถึงรสชาติอาหารไทยแท้ๆเลยเชียวล่ะ ไม่ว่าจะเป็น ขนมจีนน้ำยาปูภูเก็ต เชียงใหม่ข้าวซอยเนื้อวากิว ข้าวมันไก่โอชา ข้าวผัดน้ำพริกลงเรือหางยาว (ทั้งหมดนี้บรรจุในเซ็ทอาหารกลางวันจานละ 285 บาท + 100 บาท มีอาหารว่าง แนะนำ ไข่ซุวี +100 บาท มีขนม แนะนำโอเลี้ยงเครมบรูเล่ และ + 50 บาท กับน้ำสมุนไพร แนะนำ น้ำมะตูม) กุ้งแช่น้ำปลา 380 บาท

                               

                              Osha Thai Restaurant & Bar (โอชา)
                              ถ.วิทยุ หัวมุมซอยร่วมฤดี เปิดให้บริการทุกวัน เวลา 11.30 – 14.30 น. และ 18.00 -24.00 น. สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมหรือ สำรองที่นั่ง โทร. 0 2256 6555 สามารถจอดรถได้ที่ตึก Royal Residence Park

                               

                              osha (1) osha (2) osha (3) osha (4) osha (5) osha (6)

                              เรื่องจากคอลัมน์ : Eating Out นิตยสารเรียลพาเรนต์ส ฉบับเดือนสิงหาคม 2558
                              Photo : จักรพงษ์ นุตาลัย, กัญชนิกา เมืองวงษ์ ผู้ช่วยช่างภาพ : วัชราภรณ์ เกษรจันทร์

                                Tags

                                ฝนมาครานี้ ดูแลผมยังไงดีเนี่ย!

                                ฝนมาครานี้ ดูแลผมยังไงดีเนี่ย!

                                เข้าสู่ฤดูฝนอย่างเป็นทางการแล้ว หลังจากร้อนต่อเนื่องมานาน ในช่วงนี้เส้นผมเราคงเลี่ยงโดนฝนได้ยาก บางทีกางร่มแล้วก็ยังไม่รอด ทางที่ดีที่สุด เมื่อเราเจอฝนให้รีบสระผมทันที เพราะน้ำฝนชะล้างสิ่งสกปรกและเชื้อโรคในอากาศลงมาด้วย นอกจากทำให้ไม่สบายแล้ว ยังเกิดความชื้นที่เส้นผมและหนังศีรษะอีกต่างหาก

                                ล้อมกรอบ
                                S.O.S ฟื้นฟูผมชนิดเร่งด่วน
                                ถ้าใครไม่สะดวกสระผม ณ ขณะนั้น วิธีแก้อย่างเร่งด่วน คือ นำทิชชู่ หรือ ผ้าขนหนูซับบริเวณหนังศีรษะ และเส้นผมเบาๆ จากนั้นพยายามหาพัดลม หรือ ไดร์เป่าผม (ถ้ามี) เป่าให้ผมแห้ง เพื่อป้องกันการเกิดรังแคได้ในอนาคต จากนั้นใช้หวีซี่ห่างๆ หวีเบาๆ เพื่อไม่ให้ผมพันกัน และไม่เกิดอาการชี้ฟูหลังจากผมแห้ง แต่ถ้าห้ามไม่ทัน ผมฟูฟ่องไปแล้ว ให้นำครีมบำรุง หรือ ออยล์ที่มี ลูบเส้นผมบางๆ
                                วิธีดูแลผมช่วงฤดูฝน อย่างยั่งยืน
                                1.
                                ทุกครั้งที่เปียกฝน เมื่อกลับไปถึงบ้านต้องสระผมทันที แต่ถ้ากังวลว่าสระผมบ่อย ผมจะเสีย ให้ใช้ผลิตภัณฑ์ชนิดอ่อนโยน ที่สระได้เกือบทุกวัน พอสระผมเสร็จแล้ว ซับด้วยผ้าขนหนูให้แห้งหมาดๆ ใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงเส้นผม ชนิดไม่ต้องล้างออกชโลมเส้นผม โดยเว้นบริเวณโคนไว้เพื่อป้องกันความมันบนหนังศีรษะ แล้วใช้ไดร์เป่าผมเน้นช่วงโคนผมให้แห้งสนิท เพื่อป้องกันความชื้น โดยเป่าจากบนลงล่างเพื่อให้เกล็ดผมไม่เปิดและเรียงตัวสวย จากนั้นใช้เซรั่มบำรุงหลังไดร์อีกครั้ง หากเราขี้เกียจเป่าผม เข้านอนทั้งผมยังชื้น อาจเกิดปัญหาตามมาสารพัด ทั้งเกิดเชื้อรา รังแค เส้นผมเปราะขาดง่าย ที่สำคัญ ผมมีกลิ่นเหม็นอับ
                                2. หมักผมสัปดาห์ละ 1 – 2 ครั้ง เพื่อบำรุง เส้นผม อย่างล้ำลึก ใช้ปลายนิ้วนวดหนังศีรษะในลักษณะวงกลมให้ทั่วเพื่อกระตุ้นการไหลเวียนโลหิต และช่วยให้การผลิตน้ำมันจากรากผมไม่มีสะดุด
                                3. พยายามอย่าจัดแต่งทรงผมเยอะ เมื่อไหร่ที่ผมเปียก ทั้งหมดนี้จะไหลเยิ้มตามมาด้วย พยายามปล่อยเส้นผมให้โล่งๆ ระบายอากาศได้จะดีกว่า แต่ถ้าเลี่ยงไม่ได้ สำหรับผมยาว แนะนำให้ถักเปีย รวบหางม้าตึง หรือมัดกลมๆเป็นก้อนซาลาเปา เพราะเวลาโดนฝน ผมก็จะยังคงอยู่ทรงและสวยได้ตลอดวัน ส่วนผมสั้น ทำเป็น wet look แนวเซอร์ไปเลยค่ะ
                                4. บำรุงเส้นผมจากภายใน ด้วยการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เช่น ผักและผลไม้ที่มีวิตามินเอ บี ซี และอี เพราะวิตามินเหล่านี้มีประโยชน์ต่อเส้นผมและช่วยบำรุงผมให้แข็งแรงเงางามขึ้น

                                 

                                จากคอลัมน์ Beauty นิตยสารเรียลพาเรนต์ส ฉบับเดือนสิงหาคม 2558
                                ภาพจาก shutterstock

                                  ลูกไม่ยอมดูดนมแม่

                                  อยู่ๆ ทารกก็ไม่ยอมกินนมแม่

                                  Q. ลูกชายกินนมแม่มาตลอดจนอายุ 6 เดือนแต่ช่วงนี้ ลูกไม่ยอมดูดนมแม่ กินแต่น้ำเยอะมาก จะเป็นอะไรไหม อยากให้ลูกกลับมากินนมเหมือนเดิมได้หรือไม่ ทำอย่างไรดีคะ

                                  ลูกน้อยของคุณแม่อาจปกติหรือไม่ก็ได้ค่ะ เนื่องจากตามปกติแล้ว เด็กวัย 4-6 เดือนจะเริ่มกินนมลดลง เพราะห่วงเล่นมากขึ้น เริ่มปรับตัวกับโลกได้แล้วไม่เหมือนช่วง 3 เดือนแรกเพิ่งเกิดใหม่ๆ ทำอะไรไม่เป็นนอกจากกินนมอย่างเดียว ทำให้น้ำหนักขึ้นพรวดๆ แต่เมื่อลูกเริ่มโตขึ้น ลูกเริ่มฉลาด กลัวว่าถ้ากินอิ่มเกินไปจะเผลอหลับแล้วไม่ได้เล่นจึงกินนมเท่าที่จำเป็นจริงๆ น้ำหนักจะขึ้นแค่ 15-20 กรัม/วัน แต่สิ่งมีชีวิตถ้าไม่ป่วยก็จะไม่ปล่อยให้ตัวเองอดจนเป็นอันตรายแน่นอน

                                  ลูกกินแต่น้ำ
                                  ลูกไม่ยอมดูดนมแม่ ไม่กินนม กินแต่น้ำเปล่า

                                  ดังนั้นถึงแม้ว่าลูกกินนมลดลงเมื่อเทียบกับ 3 เดือนแรกแต่น้ำหนักขึ้นตามเกณฑ์ ปัสสาวะปกติก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง แต่ถ้าอยากให้ลูกกินนมเพิ่มขึ้น อาจใช้วิธีพาเข้ามุมสงบเงียบไม่มีเสียงดัง เสียงคนพูดคุย มาทำให้ลูกวอกแวก ก็อาจทำให้ลูกกินนมได้ดีเหมือนเดิมค่ะ

                                  อ่านต่อ “เมื่อเริ่มอาหารเสริม ลูกต้องการนมและน้ำมากแค่ไหน?” หน้า 2