Page 498 – AMARIN Baby And Kids – เพื่อลูกฉลาดและมีความสุข

ควันหลงจากวันแม่ ^_^

จากวันแม่ที่ผ่านมา เว็บไซต์ นิตยสาร Real Parents ไปเจอกลอนวันแม่น่ารักๆ จึงขอนำมาฝากค่ะ … เป็นกลอนวันแม่ที่เด็กน้อยของหมอหนุ่ยเขียนให้แม่มาฝาก ช่างน่ารัก เห็นภาพ กินใจแม่อย่างหมอจริงๆค่ะ เลยขอหมอหนุ่ยมาฝากคุณแม่ทุกท่าน (หมอหนุ่ยขอจากคุณแม่และนักประพันธ์ตัวน้อยแล้วว่าจะขอนำมาเผยแพร่ค่ะแต่ขอสงวนนามนะคะ) มีภาพวาดประกอบด้วย ^^

“คุณแม่ดุจเทพสร้าง คนศูนย์กลางการปกครอง
ใครเถียงเจอกระบอง ไม้แขวนเสื้อสะบัดชัย”
…….

>> เรื่องใหญ่ๆนอกบ้าน แม่ๆยกให้คุณพ่อค่ะ แต่การปกครองในบ้านหลังเล็กๆของเราเป็นของคุณแม่ เนาะ จะได้ไม่ต้องสะบัดชัยด้วยไม้แขวนเสื้อ คริคริ ^_^

ส่วนลูกๆเป็นศูนย์รวมดวงใจอยู่แล้วค่ะ

หมอมดแดง


เครดิตภาพและเนื้อหา :
https://www.facebook.com/452215124942310/photos/a.452617651568724.1073741828.452215124942310/501849976645491/?type=1&theater

    โรคแปลก “โมยาโมยา” ที่พ่อแม่ต้องรู้จัก!

    จากข่าวล่าสุดที่ “น้องซีดี-กฤตไน เลาหประสาท” ที่รับบทเป็น “ตือ” จากภาพยนตร์ ตุ๊กแกรักแป้งมาก ล่าสุดน้องป่วยเป็นโรคโมยาโมยา โรคที่เกิดจากการอุดตันของหลอดเลือดสมอง ซึ่งเป็นโรคที่พบได้ 1 ในล้านคน และต้องทำการผ่าตัดเปิดกะโหลกต่อหลอดเลือดสมองฝั่งซ้าย . . . โดยคุณแม่ของน้องซีดีได้โพสต์ Instagram : cd_kittanai ขอรับบริจาคเลือดให้กับน้อง ดังนี้ “คุณแม่และน้องซีดี ขอรับบริจาคเลือด เพื่อรักษาโรคโมยาโมยา โดยการผ่าตัดเปิดกะโหลก ต่อหลอดเลือดสมองฝั่งซ้าย 1 ในล้านที่คนไทยจะเจอโรคนี้ ขอผู้ใหญ่ใจดี มาบริจาคได้ตั้งแต่ วันที่ 23-24-25-26 ส.ค.58 เลือด กรุ๊ป บี ที่ รพ.รามาธิบดี ห้องบริจาคเลือด ศูนย์การแพทย์ตึกพระเทพ ชั้น 3 หรือ บริจาคได้ที่ คลังเลือด ตึกเก่า อาคาร 1 ชั้น 2 เวลา 8.30-16.30น .@ แจ้งชื่อ ดช..กฤตไน เลาหปราสาท HN.5004301 ( เบอร์คุณแม่ 061 362 6595 )”

    11831740_712892942149175_4893548144396374684_n

    ทำความรู้จักกับโรค “โมยาโมยา (Moyamoya disease)”

    โรคโมยาโมยา – โรคที่เกิดจากการอุดตันของหลอดเลือดสมอง มีอัตราส่วนการเกิดโรคนี้เพียง 1 ในล้านคน โดยพบว่ามีอาการอุดตันของผนังหลอดเลือดแดงคาโรติด ซึ่งเป็นหลอดเลือดสำคัญที่ลำเลียงเลือดเข้าไปเลี้ยงสมอง หรืออาจพบว่า หลอดเลือดแดงคาโรติดตีบตันจนทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองได้ยากกว่าปกติ คำว่า “โมยาโมยา” มาจากภาษาญี่ปุ่น แปลว่า กลุ่มควันบุหรี่ เนื่องจากเมื่อหลอดเลือดสมองเกิดการอุดตันจนส่งเลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ ต่อความต้องการ หลอดเลือดสมองอื่นๆ จะเข้ามาเป็นกองหนุนเพื่อลำเลียงเลือดเข้าไปเลี้ยงสมอง จนทำให้เกิดเส้นเลือดสมองรายล้อมคล้ายกลุ่มควัน

    moyamoyavessle

     

    ลักษณะของโรคโมยาโมยา

    สาเหตุของโรค – อาจมาจากความผิดปกติของถ่ายทอดทางพันธุกรรม หรือความผิดปกติที่เกิดจากโรคเนื้องอกทางพันธุกรรม โรคกลุ่มดาวน์ซินโดรม โรคไทรอยด์เป็นพิษ โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด หรือโรคหลอดเลือดแดงในไตตีบ เป็นต้น

    พบบ่อยในวัยเด็ก แต่มีโอกาสเกิดโรคเพียง 1 ในล้านคน – รายงานจากสถาบันสุขภาพแห่งชาติสหรัฐอเมริกาว่าโรคนี้เกิดบ่อยในเด็ก และก็เกิดกับผู้ใหญ่ได้ ส่วนมากพบในญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา ยุโรป ออสเตรเลีย และแอฟริกา

    สังเกตอาการที่อาจเป็นโรคโมยาโมยา – ระยะเริ่มแรก อาจมีอาการชัก ปวดศีรษะอย่างรุนแรง หรือมีลักษณะอาการของภาวะเส้นเลือดในสมองตีบตัน เช่น การเคลื่อนไหวร่างกายที่ผิดปกติไป กล้ามเนื้ออ่อนแรง สูญเสียความสามารถในการใช้หรือเข้าใจคำพูด สมองขาดเลือดชั่วคราว ความจำด้อยประสิทธิภาพ

    การรักษาโรคในทางการแพทย์ – ทำการผ่าตัดสมอง เพื่อเพิ่มเลือดไปเลี้ยงส่วนสมองที่ขาด หรือทำบายพาสในส่วนหลอดเลือดสมองที่ตีบตันเพื่อขยายหลอดเลือดให้ ลำเลียงเลือดเข้าสู่สมองมากขึ้นก็ได้ ทั้งนี้ผลการรักษาโรคโมยาโมยาในผู้ป่วยเด็กจะมีเปอร์เซ็นต์ดีกว่าผลการรักษา ในผู้ป่วยผู้ใหญ่ ทว่าแพทย์ก็ไม่สามารถการันตีผลการรักษาได้ 100% ว่าภายหลังจากการผ่าตัดแล้ว อาการของคนไข้จะกลับมาเป็นปกติได้หรือไม่ เพราะการรักษาขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย รวมทั้งอาการของคนไข้แต่ละบุคคลด้วย


    เครดิต: รูป moyamoya

    เรื่อง

      [Blogger-ซาร่า คาซิงกินี] ตอนที่ 3 ตั้งใจให้นมลูกครบปี

      แม็กซ์เวลล์เป็นเด็กที่กินนมเก่งมาก และซาร่าก็ตั้งใจไว้ว่าจะให้นมเขาไปเรื่อยๆ จนกว่าเขาจะเลิกกินไปเอง ทุกวันนี้ก็ทำมาได้ปีกว่าแล้วค่ะ

       

      เริ่มแรกศึกษาจากเว็บไซต์ และแฟนเพจคุณหมอชื่อดัง หรือเพจนมแม่ต่างๆ ซื้อหนังสือมาอ่านบ้าง แต่ที่ได้ผลดีคือไปที่คลินิกนมแม่ มีเพื่อนที่เป็นหมอนมแม่คอยให้คำปรึกษา เดี๋ยวนี้ช่องทางการศึกษาเรื่องนมแม่มีเยอะค่ะ ง่าย และสะดวกมาก

       

      โชคดีที่เราไม่มีปัญหาเรื่องน้ำนมเลย จะมีก็ช่วงนี้ที่พี่แม็กซ์เริ่มกัดหัวนมเล่น เพราะฟันน้องกำลังขึ้น เขาคงจะหมั่นเขี้ยว กินไปเล่นไป ตามวัยเด็ก แต่ซาร่าไม่ท้อนะคะ เพราะรู้ว่าน้ำนมแม่มีสารอาหารจำเป็นต่อลูกเยอะมาก และนมแม่ก็เป็นนมที่ดีที่สุดสำหรับลูก

       

      อีกเรื่องที่ส่งผลจากนมแม่ไปสู่ลูก คือการแพ้อาหาร ซาร่าจะระวังเรื่องการรับประทานของตัวเองมาก อย่างน้ำอัดลม ก็จะเลิกไปเลย (จะกินก็ต่อเมื่ออยากมากๆ แต่จะดื่มให้น้อยที่สุด) ส่วนอาหารทะเล เช่น ปลาหมึก ซาร่าก็ต้องงดค่ะ เพราะเคยกินปลาหมึกแล้วลูกอึเป็นสีเขียว และดูไม่สบายตัว เพราะฉะนั้นอาหารที่จะผ่านจากน้ำนมไปสู่ลูกที่ทำให้ลูกแพ้ เราก็จะไม่กินค่ะ

        ห้ามบีบหัวนมเด็กทารก

        หยุดความเชื่อที่ผิด บีบหัวนมลูก ตั้งแต่เล็ก อย่าทำ!

        มีกระแสในโลกออนไลน์ที่ได้ยินกันมาเวลาอาบน้ำลูกสาว ให้เอามือ บีบหัวนมลูก แถมยังให้บีบทุกวันตั้งแต่ยังเล็ก ด้วยความเชื่อที่ว่าจะทำให้หัวนมไม่บอด เมื่อโตขึ้นก็จะสามารถให้นมลูกได้ …ทั้งๆ ที่ไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้อง เรามาดูคำตอบจากคุณหมอกันค่ะ

        การ บีบหัวนมลูก

        ทารกหญิงแรกเกิด
        บีบหัวนมเด็กเล็ก

         

        นพ.พงษ์ศักดิ์ น้อยพยัคฆ์ กุมารแพทย์พัฒนาการเด็ก คณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช ชี้แจงว่า การไปบีบหัวนมเด็กเล็กนั้นไม่ถูกต้อง หมอไม่แนะนำให้ทำและเป็นความเชื่อที่ผิดค่ะ เพราะการที่ผู้หญิงหัวนมบอดหรือไม่ และพร้อมจะให้นมลูกได้หรือเปล่า ส่วนใหญ่เราจะไปเห็นในช่วงที่ใกล้คลอด หรือตั้งครรภ์ โดยเป็นช่วงที่เริ่มสร้างน้ำนม เพราะช่วงนั้นเต้านมและหัวนมจะขยายใหญ่ จึงจะเห็นได้ชัดเจน แต่ในเด็กผู้หญิงเล็กๆ เราจะไม่เห็นชัดเจน

        ส่วนกรณีที่คุณผู้หญิงหรือคุณแม่ตั้งครรภ์มีหัวนมบอด คุณหมอหรือพยาบาลก็จะมีวิธีการช่วยไม่ให้หัวนมบอด หรือช่วยดึงหัวนมออกมา จนทำให้คุณแม่สามารถให้นมลูกน้อยได้ ดังนั้นคุณแม่จึงไม่ต้องกังวลใจ เพราะปัจจุบันมีวิธีการดูแลช่วยเหลือ แก้ไขได้เป็นอย่างดี

        เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

        อ่านต่อ >> “ทำไมทารกแรกเกิดจึงมีเต้าโตและมีน้ำนมไหล? พร้อมวิธีดูแล”
        คลิกหน้า 2

          เชิญชวนทุกครอบครัวเข้าถึงแพทย์ได้แสนง่าย ด้วย “RAMA Appointment”

          เรื่องดีๆ ที่ต้องบอกต่อ! จากนี้ไปคุณพ่อคุณแม่ยุคใหม่จะไม่ต้องเหนื่อยกับการโทร.นัดแพทย์ หรือเลื่อนนัดหมายกับรพ.ของรัฐอีกต่อไป เพราะล่าสุดโรงพยาบาลรามาธิบดี เปิดตัว แอปพลิเคชัน “RAMA Appointment” เพิ่มช่องทางการสื่อสารกับผู้ใช้บริการ จะนัดแพทย์ เลื่อนนัด เตือนนัด หรือความรู้สุขภาพต่างๆ จะใช้ได้ง่ายด้วยปลายนิ้วแตะค่ะ

          ถือได้ว่า โรงพยาบาลรามาธิบดีเป็นโรงพยาบาลแรกของภาครัฐที่ร่วมกับ EGA หรือ สำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) พัฒนาการช่องทางการสื่อสารกับประชาชนทั่วไป โดยใช้แอปพลิเคชั่น อำนวยความสะดวกดูรายการนัดหมายและขอเลื่อนนัดหมายได้ด้วยตนเอง สะดวกรวดเร็วได้ทุกที่ ทุกเวลา ผ่านสมาร์ทโฟน

          EGArama-resize-24-1

          โดยผู้ใช้งานทั่วไปที่ยังไม่ได้สมัครสมาชิกสามารถเข้าถึงข้อมูลทั่วไปของโรงพยาบาล เช่น ข้อมูลข่าวสารของโรงพยาบาล, RAMA Channel และข้อมูลอื่นๆ ส่วนผู้ใช้บริการที่เป็นสมาชิกแล้วสามารถดูรายการนัดหมายของตัวเอง แจ้งขอเลื่อนนัดหมายได้ ตลอดจนสามารถเปลี่ยนข้อมูลส่วนบุคคลได้อีกด้วย เช่น Username และ Password และในส่วนของเจ้าหน้าที่พยาบาล ก็สามารถทำการโต้ตอบการเลื่อนนัดหมายได้ เป็นต้น

          สำหรับขั้นตอนการเข้าใช้งานสำหรับผู้ใช้บริการที่มีประวัติเป็นผู้ป่วยของโรงพยาบาลรามาธิบดีและประชาชนทั่วไป สามารถสมัครสมาชิกเพื่อใช้บริการ โดยจะมีการยืนยันข้อมูลบุคคลกับฐานข้อมูลทะเบียนราษฏร์ โดยใช้ข้อมูลสำหรับการตรวจสอบ ดังนี้

          1. เลขบัตรประจำตัวประชาชน 13 หลัก
          2. ชื่อ
          3. นามสกุล
          4. ชื่อบิดา และ ชื่อมารดา

          โดยในระยะแรกนี้การสมัครสามาชิกสงวนสิทธิ์เฉพาะคนไทยเท่านั้น เนื่องจาก Verify ข้อมูลได้เฉพาะกับทะเบียนราษฎร์ กรมการปกครอง

          สามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน “RAMA Appointment” ได้แล้ววันนี้ ทาง

          • ระบบปฏิบัติการ iOS

          สำหรับ iOS 7.0 ขึ้นไป จาก App Store โดยค้นหาคำว่า “รามา, รามาธิบดี, นัดหมาย, เลื่อนนัด, rama appointment”

          • ระบบปฎิบัติการ Android

          สำหรับ Android 4.0 ขึ้นไป ดาวน์โหลดได้จาก Google Play โดยค้นหาคำว่า “rama app, ramaapp, rama appointment, รามา นัดหมาย, รามา เลื่อนนัด, เลื่อนนัด”

          นอกจากนี้ยังสามารถดาวน์โหลดผ่าน GAC หรือ Government Application Center ซึ่งเป็นแอปพลิเคชันกลางของภาครัฐได้อีกด้วย

          Rama App 1
          คลิกที่ภาพเพื่อขยาย

           

          เรียบเรียงโดย : กองบรรณาธิการนิตยสารเรียลพาเรนติ้ง

            ครอบครัว “มนต์นมสด”

            ครอบครัว “มนต์นมสด”
            อบอุ่น แข็งแรง ด้วยสายใยรักจากพ่อแม่

            เช้าวันอาทิตย์ต้นเดือนมิถุนายน เรียลพาเรนติ้งมีนัดพูดคุยกับครอบครัวของคุณโก้ เจ้าของธุรกิจมนต์นมสดรุ่นที่สอง บ้านของคุณโก้หลังไม่เล็กไม่ใหญ่จนเกินไป ไม่ได้ตกแต่งมากมาย ดูเรียบง่ายแต่อบอุ่นเหมือนสมาชิกในครอบครัว ทันทีที่ทีมงานเข้าไปในบ้านก็เห็นน้องอัน ลูกสาวคนโตของคุณโก้วิ่งออกมาต้อนรับในชุดคลุมเจ้าหญิงอย่างร่าเริง น้องเอมลูกสาวคนเล็กที่คุณโอ๋อุ้มออกมาต้อนรับ แม้จะยังอยู่ในวัยเบบี๋ก็ส่งเสียงอ้อแอ้คล้ายจะกล่าวทักทายด้วย ทำให้ทีมงานอดยิ้มตามไม่ได้เลย

            นมแม่ไม่เคยแพ้

            แม้จะเป็นครอบครัวที่ทำธุรกิจนมวัว แต่ใครเลยจะรู้ว่าน้องอันมีอาการแพ้นมวัวด้วย คุณโอ๋เล่าให้ฟังว่า ถึงอาการแพ้ของน้องอันจะไม่หนักมาก แต่ครอบครัวก็ช่วยกันดูแลและใช้นมแม่เพิ่มภูมิต้านทานให้ลูกน้อยได้ค่ะ

            “ตอนยังเล็กน้องอันมีผื่นสีแดงขึ้นตามหน้าตามตัว ใครๆ บอกว่าเป็นผดไฟหลังคลอด เดี๋ยวก็หาย แต่โอ๋ดูอยู่สักพักก็ยังไม่หาย เวลาอุ้มน้องอันจะชอบเอาหน้ามาถูกับตัวเรา ผู้ใหญ่จะบอกว่านั่นคือเขาคันนะ โอ๋เลยคิดว่าไม่น่าใช่ผื่นธรรมชาติของเด็กแรกเกิดแล้วล่ะ เลยพาไปหาหมอ พอรู้ว่าแพ้นมวัว จึงให้นมน้องอันนานขึ้น เพราะได้ยินมาว่านมแม่จะช่วยรักษาภูมิแพ้ แล้วก็ได้ผลจริงๆ ค่ะ แถมพอคลอดน้องเอม น้องอันก็ได้กินนมแม่อีกรอบ ตอนนี้น้องอันเลยแข็งแรงมาก ไม่มีปัญหาสุขภาพเลยค่ะ”

            “เขาตัวใหญ่นะครับ น้องอันอายุแค่ 2 ขวบ 7 เดือน แต่เขาสูงเกือบ 95 ซม.แล้ว” คุณโก้พูดอย่างภูมิใจในลูกสาวคนเก่ง

             

            ลูกมีวินัยด้วยคุณแม่คนเก่ง

                        เมื่อทีมงานถามถึงเรื่องราวในครอบครัว คุณโก้ยิ้มเขินแล้วตอบในทันที “ที่จริงแล้วผมไม่ใช่คนหลักในการเลี้ยงลูกเลยครับ เพราะผมเลิกงานดึก กว่าจะถึงบ้านลูกๆ ก็หลับกันแล้ว จะมีเวลาบ้างเฉพาะช่วงเช้า แต่โอ๋ยังคงเป็นหลักอยู่ดี เพราะโอ๋จะเป็นคนมีระเบียบ และเลี้ยงลูกเก่งมากครับ น้องอันเลยเป็นเด็กที่รู้เวลาและมีระเบียบไปด้วย”

            “โอ๋จะสอนให้น้องอันมีวินัยค่ะ” คุณโอ๋แนะเคล็ดลับสอนวินัยลูกน้อย “โอ๋จะใช้หนังสือนิทานที่เกี่ยวกับชีวิตประจำวันช่วยสอนพยายามให้น้องอันทำกิจวัตรประจำวันเป็นสเต็ปทุกวัน หนึ่งทุ่มน้องอันจะรู้ว่าได้เวลาเข้านอนแล้ว โอ๋จะร้องเพลงหรืออ่านหนังสือนิทานให้ฟัง ไม่เกินหนึ่งชั่วโมงเขาหลับยาวถึงเช้า ที่น้องอันทำแบบนี้ได้เพราะโอ๋ฝึกเขาตั้งแต่เล็กๆ พอถึงเวลานอนจะดับไฟให้เขารู้ว่านี่คือเวลากลางคืน รู้ว่าต้องนอนแล้วนะ น้องเอมถึงจะยังเล็กแต่โอ๋ก็ฝึกเขาเหมือนกันค่ะ ทำให้เขาหลับยาวได้ไม่ค่อยตื่นงอแงกลางดึกเลยค่ะ แต่ถ้าวันไหนโอ๋ปล่อยให้เขาดูการ์ตูน เขาจะงงจำสเต็ปไม่ได้ ต้องพาไปล้างหน้าแปรงฟันอีกรอบเพื่อทวนสเต็ปค่ะ ถึงจะยอมเข้านอน”

             

            เมื่อคุณพ่อต้องออกโรงแทนคุณแม่

            “ช่วงที่โอ๋ไปคลอดน้องเอม ผมต้องหยุดงานเลยนะ เพราะไม่มีใครพาน้องอันเข้านอนได้ โอ๋ลองให้ผมซ้อมไว้ก่อนแล้ว แต่น้องอันไม่ค่อยยอมให้ความร่วมมือ พอโอ๋ไปคลอดคราวนี้น้องอันเจอภาวะจำยอมแล้วครับ (หัวเราะ) คืนแรกนี่น่ากลัวมากปกติเขาไม่อาเจียนง่ายๆ นะครับ แต่คืนนั้นนี่ร้องไห้จนอาเจียนเลย กลายเป็นเจองานยากตั้งแต่คืนแรก (หัวเราะ) แต่คืนที่สองเข้านอนง่ายขึ้น พอคืนที่สามสบายเลย ผมร้องเพลงกล่อมอยู่แค่ 20 นาทีก็หลับแล้ว วันไหนเหนื่อยมากหลับได้ตั้งแต่ 15 นาทีแรก ภูมิใจครับ(ยิ้ม)”

            “เมื่อก่อนผมเคยคิดว่าผู้ชายไม่จำเป็นต้องหัดเปลี่ยนผ้าอ้อมหรือเลี้ยงลูกจริงๆ แต่จริงๆ แล้วผู้ชายฝึกทำไว้ก็ไม่เสียหาย ผมว่าดีด้วยซ้ำ เพราะคนเป็นแม่เหนื่อยนะ ถ้าผมเป็นผู้หญิงผมคงไม่ยอมมีลูก (หัวเราะ) แม่เป็นเพศที่เสียสละจริงๆ ครับ มีอยู่ช่วงหนึ่งผมได้หยุดงานยาว ระหว่างที่อยู่บ้านแล้วต้องดูแลลูกผมรู้สึกเลยว่าเหนื่อยเนอะ ทำงานสบายกว่า (หัวเราะ) อยู่กับลูกมีความสุขนะครับ แต่ผมว่าเลี้ยงลูกใช้พลังงานสูงกว่าทำงาน เหนื่อยกายไม่ใช่เหนื่อยใจ และเป็นความเหนื่อยที่ให้ความสุขครับ”

             

            ให้ลูกรักเติบโตอย่างถ่อมตน

                        “ผมว่าเรื่องการเคารพผู้อื่น มารยาท หรือการถ่อมตัว เรื่องพวกนี้สำคัญกว่าความรู้นะ เพราะเรื่องสัมมาคารวะมันอยู่ในชีวิตประจำวัน มันคือการวางตัวเพื่อให้ดำเนินชีวิตในสังคมได้” คุณโก้เริ่มต้นเล่าที่มาที่ไปของความคิดนี้ “ในบ้านผมจะมีพนักงานและป้าแม่บ้านอยู่เยอะมาก แต่ก่อนผมลังเลว่าควรจะสอนน้องอันให้เคารพพวกเขาหรือเปล่า เพราะมุมหนึ่งพวกเขาเป็นผู้ใหญ่สำหรับน้องอัน แต่อีกมุมหนึ่งพวกเขาเป็นพนักงานสำหรับผม ก็ไม่รู้จะสอนลูกยังไง จนวันหนึ่งผมเห็นน้องอันตะโกนเรียกพี่เลี้ยงเสียงดังมาก ผมรู้สึกเลยว่าน้องอันดูก้าวร้าว ตั้งแต่นั้นผมตัดสินใจยอมถอยออกมาจากความคิดที่แบ่งแยกเจ้านายลูกน้อง เพราะถึงเขาเป็นลูกน้องเรา แต่เขาก็เป็นผู้ใหญ่ที่น้องอันควรไหว้และเคารพ”

            “หลักสำคัญที่ผมใช้เลี้ยงลูกเลยคือสอนให้เขาเป็นเด็กมีมารยาท เป็นคนดี มีความอ่อนน้อมถ่อมตน และให้ห่างจากเทคโนโลยี เพราะเทคโนโลยีเป็นสิ่งสำเร็จรูปเกินไป ทำให้เด็กขาดจินตนาการผมคิดว่าของพวกนี้เด็กเรียนรู้ได้ไวอยู่แล้ว เพราะอย่างนั้นไม่ต้องรีบให้เขาเล่นหรือไม่ต้องไปเสนอให้เขาก่อนก็ได้ โตขึ้นเดี๋ยวเขาก็เรียนรู้ที่จะใช้เทคโนโลยีได้เองครับ”

             

            Family Profile
            ครอบครัววนิศรกุล

            พ่อโก้ –ธนากูลเจ้าของธุรกิจมนต์นมสด สาขาหน้าศาลาว่ากลาง กรุงเทพฯ แม่โอ๋ – พรศรี คุณแม่มือโปร ดูแลน้องอันและน้องเอม 24 ชั่วโมงน้องอัน –วรินธิดา วัย 2 ขวบ 7 เดือน เด็กหญิงผู้แพ้นมวัว แต่ร่างกายแข็งแรงมาก!
            และน้องเอม – ธัญชนก วัย 4 เดือน เจ้าตัวน้อยชันคอได้ครั้งแรกในวันที่ทีมงานไปสัมภาษณ์ด้วยนะ!

             

            125-story-of-us 125-story-of-us-2 125-story-of-us-3

              Tags

              ถ้าผู้ใหญ่กินนมวัวไม่ได้ จะทำอย่างไรดี

              หลักในการเลือกดื่มนมและอาหารทดแทนสำหรับผู้ใหญ่ที่ต้องการแคลเซี่ยมและวิตามินดีเพื่อเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรงแต่ไม่สามารถดื่มนมวัวได้

              • ดื่มนมถั่วเหลืองที่เสริมแคลเซี่ยม เพราะในนมถั่วเหลืองไม่มีน้ำตาลแล็คโตสที่ทำให้มีอาการผิดปกติ ทั้งยังทำให้ลูกเห็นว่าผู้ใหญ่ก็ดื่มนมเหมือนกันแต่เป็นนมคนละแบบ
              • กินชีสหรือโยเกิร์ตแทนนม เพราะในโยเกิร์ตมีการเติมแบคทีเรียทำให้มีการสร้างน้ำย่อยสำหรับย่อยน้ำตาลแล็คโตสได้
              • ผักบางชนิดที่มีลำต้นตั้งตรงจะมีปริมาณแคลเซี่ยมมาก เช่น บร็อคโคลี่ ผักโขม ผักคะน้า เป็นต้น

               

              คุณแม่จะเห็นว่าจากคำถามเพียงคำถามจากมุมมองเล็กๆ ของลูกก็ทำให้เราได้ย้อนกลับมาทบทวนและปรับเปลี่ยนรูปแบบการดื่มนมได้ และหากเราสนใจและรับฟังลูกน้อย โดยไม่รีบไปพูดอธิบายหรือโน้มน้าวให้เขาเชื่อฟังเราในฐานะที่เป็นผู้ใหญ่เพียงด้านเดียว   เราก็จะได้ร่วมกันคิดเพื่อแก้ได้อีกหลายปัญหา   ทำให้เราตระหนักรู้ถึงประโยชน์จากการคิดต่างค่ะ

              จากคอลัมน์ Family Positive Parenting นิตยสารเรียลพาเรนติ้ง ฉบับเดือนสิงหาคม 2558
              บทความโดย พญ.นลินี เชื้อวณิชชากร กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการเด็ก
              ภาพ : Shutterstock

                Tags

                ตกเตียงจนตาบอด

                อุทาหรณ์! ลูก “ตาบอด” หลังตกลงมาจากเตียง

                เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่ประเทศดูไบ เมื่อเด็กน้อยวัย 10 เดือน ตกเตียงจนตาบอด โดยคุณแม่เล่าว่า ได้ให้ลูกน้อยนอนหลับอยู่กับพี่สาวของเธอบนเตียง และเพียงแค่ลุกหายไปเข้าห้องน้ำ เมื่อคุณแม่กลับมา ก็พบว่าลูกสาวคนเล็กอยู่ในสภาพหัวตก และกระแทกพื้น คุณแม่จึงรีบพาส่งโรงพยาบาล

                Continue reading “อุทาหรณ์! ลูก “ตาบอด” หลังตกลงมาจากเตียง”

                  “มีแต่เด็กที่ต้องกินนมหรือ?”

                  สวัสดีค่ะคุณหมอ คุณแม่อยากปรึกษาคุณหมอเกี่ยวกับนมสำหรับลูกและสมาชิกในครอบครัว เหตุเกิดจากลูกอายุ 3 ขวบต่อต้านไม่ยอมดื่มนมวัว เพราะเขาให้เหตุผลว่าถ้านมดีจริง ทำไมมีเขาเพียงคนเดียวที่ยังดื่มนมอยู่ ไม่เห็นคุณพ่อหรือคุณแม่ หรือแม้แต่ผู้ใหญ่คนอื่นในบ้านดื่มนมกันเลย คุณแม่ฟังแล้วก็เห็นด้วยกับลูก แต่ก็ไม่แน่ใจว่านมจะยังมีประโยชน์หรือเป็นโทษสำหรับผู้ใหญ่กันแน่ เพราะเวลาที่คุณตาดื่มจะมีปัญหาท้องอืดค่ะ และเราได้รับสารอาหารอะไรที่สำคัญจากการดื่มนม
                             

                  คุณหมอยินดีกับลูกของคุณแม่ด้วย ที่เขามีคุณแม่ที่น่ารักเปิดใจและพร้อมรับฟังมุมมองที่แตกต่างของลูกค่ะ  บ่อยครั้งที่ผู้ใหญ่มักพูดอธิบายเหตุผลกับเด็ก โดยไม่ได้เปิดใจฟังเขา (เพราะเชื่อว่านี่คือการเลี้ยงลูกอย่างมีเหตุผล) แต่เมื่อเรารับฟังมุมมอง (เล็กๆ) ของเขาบ้าง นอกจากจะทำให้เราฉุกคิดถึงมุมมองที่แตกต่างไปแล้ว ยังทำให้ลูกกล้าที่จะเล่าและพูดคุยต่อรองกับผู้ใหญ่ แทนการต่อต้าน (แบบหัวชนฝา) หรือคล้อยตาม (แบบงงๆ เพียงเพราะคนพูดเป็นผู้ใหญ่กว่า)

                  เรื่องการดื่มนม ไม่ใช่แค่สำหรับเด็กเท่านั้น เพราะนมวัว หรือนมจากสัตว์อื่นๆ ถือว่าเป็นอาหารที่ทุกเพศ ทุกวัยสามารถดื่มได้ ยกเว้นในรายที่มีปัญหาแพ้นม หรือผู้ที่ไม่มีน้ำย่อยสำหรับย่อยน้ำตาลในนม ซึ่งพบภาวะนี้ได้ในผู้ใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวเอเชีย จะทำให้มีอาการท้องอืด ปวดท้อง ผายลมบ่อย หรือถ่ายเหลวหลังดื่มนมวัว แต่ผู้ใหญ่บางคนไม่มีปัญหาหากดื่มนมวัวเข้าไปเพียงเล็กน้อย

                   

                  ทวนอีกรอบ…

                  นมยังมีประโยชน์กับผู้ใหญ่นะ

                  สารอาหารหลักที่มีในนมวัวนั้น มีคุณค่าทางโภชนาการที่ผู้ใหญ่ต้องการได้รับค่ะ เรามาดูกันว่า มีอะไรบ้าง

                  • แคลเซี่ยมและวิตามินดี นมวัวจัดเป็นอาหารที่ให้แคลเซี่ยมและวิตามินดีสูงและเป็นแหล่งอาหารหลัก โดยเราอาจดื่มน้ำนมโดยตรง หรือกินผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนม เช่น เนยแข็ง โยเกิร์ต ก็จะได้รับแคลเซี่ยมและวิตามินดีตามที่ตั้งใจไว้เช่นกัน

                   

                  • ไขมันและวิตามันที่ละลายได้ในไขมัน หากเป็นนมวัวที่ยังไม่ผ่านกระบวนการใดๆ จัดว่านมมีไขมันชนิดอิ่มตัวในปริมาณที่สูง ซึ่งเป็นแหล่งพลังงาน ดังนั้นจึงมีนมหลายยี่ห้อที่ปรับลดปริมาณไขมันลงเพื่อให้ผู้ใหญ่หรือเด็กโตที่ไม่จำเป็นต้องได้รับไขมันในปริมาณมากๆ แล้วดื่มได้

                   

                  • โปรตีน ในนมวัวมีโปรตีนในปริมาณสูงเช่นกัน แต่สำหรับเด็กโตหรือผู้ใหญ่ที่กินอาหารอื่นเป็นหลัก มักได้รับโปรตีนเพียงพอแล้วจากอาหาร

                   

                  • น้ำตาล นมวัวมีน้ำตาลแล็คโตสที่มีเฉพาะในนมวัวเท่านั้น ซึ่งเป็นปัญหาทำให้มีอาการไม่พึงประสงค์ได้ในผู้ใหญ่ที่ไม่มีน้ำย่อยสำหรับย่อยน้ำตาลชนิดนี้

                   

                  อย่างที่ทราบกันว่าการสนับสนุนให้ผู้ใหญ่ดื่มนมวัว เนื่องจากต้องการเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง ป้องกันภาวะกระดูกพรุน โดยสารอาหารที่สำคัญ คือ แคลเซี่ยมและวิตามินดี แต่ในกรณีที่ผู้ใหญ่คนนั้นไม่สามารถดื่มนมวัวได้ก็มีแนวทางในการแก้ปัญหาดังกล่าว

                   

                  จากคอลัมน์ Family Positive Parenting นิตยสารเรียลพาเรนติ้ง ฉบับเดือนสิงหาคม 2558
                  บทความโดย พญ.นลินี เชื้อวณิชชากร กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการเด็ก
                  ภาพ : Shutterstock

                   

                    Tags

                    รู้ยัง? เบบี๋ชอบคุยกับเบบี๋ด้วยกันมากกว่าพ่อแม่นะ

                    จากงานวิจัยล่าสุดของมหาวิทยาลัยแมคกิลล์ ประเทศแคนาดา พบว่า เด็กทารกวัย 6 เดือนชอบฟังเสียงเด็กทารกด้วยกันมากกว่าเสียงของพ่อแม่ ซึ่งนักวิจัยเชื่อว่านี่คือจุดเริ่มต้นที่จะช่วยให้เด็กๆ หัดพูดเป็น อีกทั้งยังเป็นการค้นพบวิธีใหม่ที่จะช่วยเด็กที่มีปัญหาด้านการได้ยินได้อีกด้วย

                    สำหรับวิธีทดลองคือวัดว่าเสียงใดดึงความสนใจของเด็กทารกที่ยังพูดอ้อแอ้ไม่ได้ได้นานกว่ากัน ระหว่างเสียงผู้ใหญ่เพศหญิงกับเสียงเด็กทารก ด้วยเครื่องสังเคราะห์เสียงแบบพิเศษ ซึ่งผลปรากฏว่า เด็กทารกที่ได้ยินเสียงผู้ใหญ่ จะมีให้ความสนใจเพียงสั้นๆ และมีสีหน้าที่เรียบเฉย ในขณะที่เมื่อได้ยินเสียงเด็กทารกด้วยกัน เด็กจะเริ่มยิ้มและพยายามขยับปากเพื่อพูดตาม

                    โดยธรรมชาติแล้วเด็กมักจะหัดออกเสียงเมื่ออยู่ตามลำพัง เพราะการหัดพูดสำหรับเด็กทารกนั้นต้องอาศัยระยะเวลานานในการขยับปากและเปล่งเสียงออกจากเส้นเสียง เพื่อเรียนรู้และเลือกเสียงด้วยตัวของเขาเอง ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่อย่าเพิ่งน้อยใจไปว่าลูกไม่ชอบเสียงของตัวเอง เคล็ดลับง่ายๆ คือ เวลาจะพูดคุยกับลูกก็ปรับโทนเสียงให้สูงขึ้นคล้ายกับเด็กทารกก็จะช่วยดึงความสนใจของลูกน้อยได้ และยังเป็นการปูพื้นฐานเรื่องทักษะการพูดต่อไปในอนาคตได้อีกด้วย

                     

                    บทความโดย: กองบรรณาธิการนิตยสารเรียลพาเรนติ้ง

                    ภาพ: shutterstock

                      Kumon step by step stickers

                      Kumon step by step stickers (สองเล่มแรกตาม Level Chart)
                      แบบฝึกหัดสติ๊กเกอร์ที่ออกแบบเฉพาะเด็กอายุตั้งแต่ 2 ขวบ
                      แบบฝึกหัดสำหรับเด็กเล็ก Style Kumon First step ช่วยกระตุ้นการเรียนรู้ในเด็กเล็ก ซึ่งน้อง ๆ สามารถทำกิจกรรมร่วมกันระหว่างคุณแม่ หรือคุณพ่อ ได้ฝึกคำศัพท์ภาษาอังกฤษง่าย ๆ สร้างสมาธิ ฝึกสัมพันธ์ระหว่างสายตาและกล้ามเนื้อมัดเล็กด้วยความสนุกสนาน
                      สมุดมี 2 แบบ At the Zoo บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับสัตว์ในสวนสัตว์
                      และ Trains, Planes, and More เป็นศัพท์ง่าย ๆ เกี่ยวกับพวกยานพาหนะ
                      สมุดสีสันสดใส แผ่นสติ๊กเกอร์ใหญ่ได้ใจมาก ๆ ค่า
                      ขนาด A 4 มี 32หน้าและแผ่นสติ๊กเกอร์ 6 ใบ ราคาเล่มละ 200 บาทเท่านั้นค่า

                        Tags

                        [Mom diary แม่โอ] รักแม่ “ที่สุด” ในโลก

                        ไม่นานมานี้เปรมระลึกถึงพระคุณแม่เข้าขั้นลึกซึ้ง จนบรรยายว่า “รักแม่ที่สุด ไม่รู้จะอยู่ยังไงถ้าไม่มีแม่…” อืม… ฟังแล้วสัมผัสได้ถึงปริมาณความรักที่ลูกมีให้ แต่ขณะเดียวกันก็คิดว่า สงสัยเราจะมาผิดทางซะแล้ว… ต้องรีบปรับทัศนวิสัยโดยด่วน เพื่อให้ความรักของแม่เป็นดั่งแรงส่งให้ลูกทะยานไปข้างหน้า แทนที่จะฉุดรั้งจนลูกไร้แรงแม้จะยืนด้วยตัวเอง

                        “แม่” คือ ตำแหน่งที่สั้นมาก แต่รั้งความยิ่งใหญ่ชนิดที่พ่อต้องแอบยืนค้อนอยู่อย่างเงียบๆ (อิๆ) ก็แหม… กว่าจะได้รางวัล “ที่หนึ่งในใจลูก” มาครอบครองหลายสมัย แม่ก็ต้องพิสูจน์ความรักด้วยการอุ้มชูลูกในท้องเป็นเวลาเก้าเดือน อดหลับอดนอน ดูแลใกล้ชิด และปรากฏตัวอยู่ในเกือบทุกกิจกรรมชีวิตของลูกน้อยตั้งแต่วันแรกที่เขาลืมตา…

                        ด้วยเหตุนี้จักรวาลน้อยๆ ของลูกจึงมีแม่เป็นดั่ง “ดวงอาทิตย์” ที่เปล่งแสงอันอบอุ่น และแผ่แรงดึงดูดสุดแสนมั่นคงปลอดภัย ลูกจึงใช้ชีวิตไร้กังวลเมื่ออยู่ในวงโคจรของแม่ จึงไม่แปลกที่วูบหนึ่งลูกอาจรู้สึกว่าหากวันหนึ่งไร้ซึ่งแสงอาทิตย์แล้ว โลกใบน้อยของเขาจะหมุนต่อไปได้อย่างไร…

                        ที่เห็นว่าเริ่มไม่เข้าทีก็เพราะ ดิฉันนึกไม่ถึงเลยว่า กิจกรรมชีวิตของลูกที่ไม่ค่อยได้พบปะสังคมอื่นนอกจากญาติใกล้ชิด โดยมีแม่เต็มเวลาคนนี้เป็นทั้งเพื่อนเล่นและเป็นทุกอย่าง จะทำให้ลูกมองเอกภพอันกว้างใหญ่ไพศาลนี้ เหลือเพียงแค่ระบบสุริยจักรวาลอันประกอบไปด้วยแม่ แม่ และ แม่เท่านั้น… แต่! ข้อดีของอาชีพแม่ก็คือ แม้จะผิดพลาด หรือไม่ผ่านโปร เราก็มีโอกาสแก้ตัวและเริ่มต้นใหม่เสมอ ฮ่าๆๆ! เอาล่ะ…ได้เวลาผ่อนคลายแรงดึงดูดของดวงอาทิตย์กันแล้วค่ะ

                        ก่อนปริมเปรมจะเข้าอนุบาล ดิฉันมีเพื่อนบ้านแสนสวยและใจดีคนหนึ่ง เธอมักนำซุปอร่อยๆ มาฝาก และพาลูกสาววัยใกล้เคียงมาเล่นด้วย สิ่งที่ดิฉันประทับใจแต่ลืมทำตามอย่างน่าเสียดายก็คือ บางครั้งเธอไม่ได้นั่งเล่นด้วยกัน แต่จะปล่อยให้ลูกของเธอมาเล่นกับปริมเปรมอย่างอิสระ เมื่อครบเวลาแล้วจึงมารับกลับบ้าน… “การหายตัวไปของแม่” ระหว่างที่ลูกได้เล่นอย่างมีความสุขนั้น คือ วิธีสอนอย่างเป็นรูปธรรมให้ลูกมั่นใจว่า แม้ “ไม่มีแม่” เขาก็ปลอดภัย และสามารถ “อยู่ได้ดีด้วยตัวเอง” โดยไม่ต้องกลัวว่าจะโดนทิ้ง เพราะเดี๋ยวแม่ก็มารับ คุณแม่ที่มีลูกยังเล็ก ลองใช้วิธีนี้ดูก็ได้ค่ะ นอกจากเปิดโอกาสให้ลูกได้ฝึกปรับตัวกับสังคมแล้ว ยังเสริมสร้างความมั่นใจให้โลกของลูกอีกด้วย

                        สำหรับคุณแม่ที่เลยป้ายนั้นมานานแล้ว (อย่างดิฉัน แหะๆ) ยังยูเทิร์นทันค่ะ ลองเพิ่มกิจกรรมชีวิตที่เปิดโอกาสให้ลูกได้ “ขยายวงโคจร” และ “ค้นพบจักรวาลใหม่ๆ” ด้วยตัวเองดูสิคะ… ปริมสนใจเรียนดนตรีและเลือกกีตาร์คลาสสิก ส่วนเปรมขอเรียนเทนนิส…ตอนแรกทั้งคู่อยากเรียนด้วยกัน แต่หลังจากใช้ชีวิตกับลูกแฝดมาเป็นเวลาสิบปี ดิฉันมั่นใจว่า บางครั้งการปล่อยให้ลูกแต่ละคนได้ “โคจรอย่างอิสระ” โดยไร้ซึ่ง “ดาวแฝดบริวาร” มาหมุนรอบๆ จะทำให้โลกของเขาฉายฉานได้สวยงามกว่า… ความคิดนี้ถูกตอกย้ำอีกครั้ง เมื่อมีโอกาสได้คุยกับลูกแต่ละคนในต่างวาระ ทั้งคู่ยอมรับว่าอยากมีความสามารถพิเศษที่แตกต่างและไม่เหมือนอีกคน ดิฉันจึงตัดสินใจให้เรียนคนละอย่าง โดยบอกว่า ถ้าตั้งใจเรียนครบหนึ่งปีแล้ว จะพิจารณาให้เรียนเสริมอีกอย่างได้… ความเพียร และการอดทนรอคอย เป็นสิ่งที่ต้องฝึกฝนนะจ๊ะ

                        จากตอนแรกที่กลัวๆ กล้าๆ เพราะต้องไปเรียนคนเดียวโดยไม่มีเปรม และไม่มีแม่รอหน้าห้อง ปริมก็สามารถก้าวข้ามความกลัว และกลับมาเล่าให้ฟังว่าสนุกกับการเรียนกีตาร์ขนาดไหน ปริมรู้สึกภูมิใจที่ได้เล่าเรื่องราวและแบ่งปันประสบการณ์ใหม่ที่เพิ่งค้นพบ… ส่วนเปรมเองก็เพลิดเพลินกับโลกเทนนิส โลกที่มีเขากับครูในคอร์ท ตีข้ามบ้าง ติดเน็ตบ้างแต่ไร้ซึ่งความกังวลว่า ต้องทำให้ดีกว่าอีกคน เปรมอยู่ในโลกของตัวเองได้อย่างเต็มเท้า และไม่ร้องขอให้แม่มาเชียร์ข้างสนามเหมือนเก่า… ความมั่นใจในโลกที่มีตัวเขากับจักรวาลใหม่ๆ ที่ห่างไกลแรงดึงดูดของแม่นี่เอง จะทำให้เขากล้าผละจากวงโคจรเดิมๆ และทะยานสู่จักรวาลกว้างไกลด้วย “แรงส่งของตัวเอง” เมื่อถึงวันนั้น แม่ทุกคนย่อมสุขใจและพร้อมส่องแสงวิบๆ เป็นกำลังใจอยู่ห่างๆ แม้ลูกจะมองเห็นหรือไม่ก็ตาม…

                         

                        จากคอลัมน์ Mom Diary นิตยสารเรียลพาเรนติ้ง ฉบับเดือนสิงหาคม 2558

                        เรื่องโดย : คุณชิดชนก ทองใหญ่ ณ อยุธยา

                        ภาพ : Shutterstock

                          Overtraining ซ้อมกีฬาหนักเกิน

                          คุณรู้หรือไม่ “คุณพ่อคุณแม่จำนวนไม่น้อย ยังเข้าใจผิดเรื่องการส่งเสริมความสูงของลูก โดยเฉพาะกลุ่มที่เห็นลูกมีแววเป็นนักกีฬา อยากให้ลูกสูง เพราะความสูงเป็นปัจจัยสำคัญของหลายๆ ชนิดกีฬา จึงส่งเสริมด้วยการให้ฝึกซ้อมอย่างเข้มข้น หรือ Overtraining โดยที่พ่อแม่มักจะลืมไปว่าร่างกายของเด็กต่างจากผู้ใหญ่ และผลที่ได้มักจะตรงกันข้าม”

                          นี่คือข้อสังเกตจาก คุณหมอประวีร์ สิริเธียรทรรศน์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์การกีฬา และแพทย์ประจำสโมสรฟุตบอลลบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ซึ่งได้ดูแลนักกีฬาจำนวนมากอย่างใกล้ชิด จึงอยากฝากข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องการฝึกซ้อมกีฬาที่มีผลต่อความสูงของเด็กๆ มาบอกคุณพ่อคุณแม่กันค่ะ

                           

                          Overtraining คืออะไร

                          Overtraining คือการฝึกซ้อมที่หนักเกินไป ทำให้ร่างกายเด็กยิ่งอ่อนแอลง มีส่วนกระทบต่อช่วงเวลาการเติบโตของเด็กและส่งผลให้กระดูกหยุดเติบโตเร็วกว่าที่ควร กลายเป็นผู้ใหญ่ที่เตี้ย “เด็กบางคนที่เป็นนักกีฬาหรือหวังจะเอาดีทางนี้ มีตารางการซ้อมทั้งเช้า เย็น บางคนกว่าจะได้กลับบ้านทำการบ้าน ได้เข้านอนก็เที่ยงคืน และต้องรีบตื่นแต่เช้ามาซ้อมต่อ ทำให้พักผ่อนได้ไม่เพียงพอแทนที่ลูกจะสูง เขากลับไม่สูง”

                           

                          เกิดจากความเข้าใจผิด

                          การฝึกนักกีฬาเด็กกับนักกีฬาผู้ใหญ่นั้นต่างกันสิ้นเชิง “ในต่างประเทศจะไม่เร่งให้นักกีฬาเป็นแชมป์ตั้งแต่เด็ก เพราะรู้ว่าเด็กจะต้องฝึกซ้อมหนักเกินไป ต่อไปก็จะไม่สูง ซึ่งมีผลต่อการอาชีพนักกีฬาอยู่แล้ว แต่เขาจะยืดระยะเวลาเพื่อให้กระดูกโตเต็มที่ แล้วค่อยๆ ไปเพิ่มการฝึกเมื่อโตขึ้นหรือถึงเวลาที่เหมาะสม พูดง่ายๆ ว่าเขาหวังเป็นแชมป์เมื่อโต แต่บ้านเราคิดกลับกัน”

                           

                          อยากให้ลูกสูงควรทำอย่างไร

                          “ความสูงของเด็กเป็นเรื่องที่มีหลายปัจจัยเป็นตัวกำหนดจากทั้งพันธุกรรมและปัจจัยแวดล้อม ส่วนของพันธุกรรมนั้น ทำอะไรไม่ได้ ถึงจะรู้พ่อสูงเท่านี้ แม่สูงเท่านี้ เราเพียงคาดการณ์ว่าลูกจะสูงเท่าใด แต่ก็ไม่ใช่สูตรสำเร็จและผลแม่นยำ

                          สิ่งที่พ่อแม่ทำได้และควรทำอย่างเข้าใจคือ ปัจจัยแวดล้อม โดยเฉพาะเรื่องของโภชนาการและการพักผ่อนอย่างเพียงพอ ถ้าทำได้เหมาะสมจะส่งผลต่อระบบฮอร์โมนต่างๆ ที่ส่งเสริมการเจริญเติบโต ลูกจะสูงเท่าที่เขาจะสูงได้ครับ”

                           

                          จากคอลัมน์ Kid Smart  นิตยสารเรียลพาเรนตื้ง ฉบับเดือนสิงหาคม 2558
                          เรื่องโดย ผศ.ดร นพ.ประวีร์ สิริเธียรทรรศน์ รองผู้อำนวยการ ศูนย์ Royal Life โรงพยาบาลกรุงเทพ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์การกีฬา
                          ภาพโดย shutterstock

                            เคล็ดลับเพิ่มความสูง

                            เคล็ดลับเพิ่มความสูง เมื่อถึงช่วง “ยืดตัว”

                            ยังจำได้ไหม ตอนที่เจ้าตัวเล็กยังเป็นเบบี๋ คุณคงเคยนึกอยากมีเวทมนตร์เสกให้ลูกโตภายในข้ามคืน! วันเวลาผ่านไป เวทมนตร์ยังไม่มี แต่ธรรมชาติจะช่วยให้ฝันคุณแม่ใกล้ความเป็นจริงได้ในช่วง “Growth spurts” นั่นเอง! คราวนี้เราจะมาแนะ เคล็ดลับเพิ่มความสูง ให้ลูกในช่วงนี้ซึ่งเป็นช่วงที่ดีที่สุดกัน Continue reading “เคล็ดลับเพิ่มความสูง เมื่อถึงช่วง “ยืดตัว””

                              ตรวจหาภูมิแพ้นมวัวทำได้หลายวิธี

                                     วิทยาการสมัยใหม่ทำให้มีวิธีวินิจฉัยอาการแพ้หลายวิธี คุณหมอนริศราแนะนำวิธีตรวจโดยคุณหมอผู้เชี่ยวชาญไว้ดังนี้

                              • SkinTest:เป็นการทดสอบด้วยการหยดนมลงบนผิวหนัง ใช้ปลายเข็มเล็กๆ เกลี่ยนมให้ซึม แล้วรอดูปฏิกิริยาจากอาการแพ้ ข้อเสียของการทดสอบแบบนี้ คือ หากต้องการตรวจหาอาการแพ้หลายอย่างก็ต้องทำหลายจุด ใช้เวลาทดสอบและแปลผลประมาณครึ่งชั่วโมง แต่ค่าใช้จ่ายไม่แพงและตรวจได้หลายอย่างต่อการจ่ายเพื่อทำทดสอบหนึ่งครั้ง แต่การทำ Skin Test จะแปลผลไม่ได้หากเด็กกินยาแก้แพ้ค่ะ
                              • เจาะเลือด : การเจาะเลือดตรวจภูมิแพ้วิธีนี้สะดวกรวดเร็ว ข้อเสียคือมีค่าใช้จ่ายสูงกว่า เพราะคิดค่าใช้จ่ายแยกในการตรวจหาอาการแพ้แต่ละอย่าง ยิ่งตรวจหลายอย่างก็ยิ่งจ่ายแพง แต่ให้ผลแม่นยำใกล้เคียงกับการทำ Skin Test
                              • ทดลองดื่มนม : ให้เด็กค่อยๆ ดื่มนมโดยมีคุณหมอคอยสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด อาจใช้เวลามากหน่อยแต่วิธีนี้จะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อเด็กที่ใกล้หายแพ้นม เด็กที่แพ้ไม่รุนแรง และเด็กที่สงสัยว่ามีอาการแพ้นมวัวแต่ตรวจด้วยวิธีอื่นแล้วไม่ปรากฏผลค่ะ

                               

                               

                               

                              จากคอลัมน์ Kid Health นิตยสารเรียลพาเรนติ้ง ฉบับเดือนสิงหาคม 2558
                              เรื่องโดย อ.พญ.นริศรา สุรทานต์นนท์ผู้เชี่ยวชาญด้านแพ้อาหารในเด็ก หน่วยภูมิแพ้และภูมิคุ้มกัน ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
                              เรียบเรียงโดย กองบรรณาธิการ
                              ภาพโดย Shutterstock

                                Kid Safety- สีทาบ้านที่ปลอดภัย…มี แต่ยังวางใจไม่ได้

                                สีทาบ้านที่ปลอดภัย…มี แต่ยังวางใจไม่ได้

                                ราวกลางเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ทางมูลนิธิบูรณะนิเวศ ระบุว่า ในขณะนี้บรรดาสีน้ำมันทาบ้าน ทาอาคารโทนสีขาวที่ปลอดสารตะกั่วจาก ร้อยละ 29 (การสำรวจเมื่อปี 2556) เพิ่มเป็น ร้อยละ 68 (การสำรวจเมื่อปี 2558) และโทนสีสดประเภทปลอดสารตะกั่วจากที่มีเพียง ร้อยละ 2 ( ปี 2556) เพิ่มเป็นร้อยละ 24 ( ปี 2558) อีกทั้งบริษัทสีบางรายถึงกับเลิกใช้สารตะกั่วผสมไปเลย แต่ที่ทำให้ยังสบายใจไม่ได้เต็มที่คือ สีของบางบริษัทยังพบค่าของตะกั่วในปริมาณที่สูงมาก แถมยังไม่ได้แก้วิธีการใช้ข้างกระป๋องสีอีก โดยยังมีข้อความระบุไว้ว่า “ใช้ตกแต่งในอาคารและบ้านเรือน!”

                                 

                                สีทาบ้านเข้าถึงตัวเด็กได้อย่างไร

                                สาเหตุที่เด็กได้รับสารตะกั่วคือ การกินแผ่นสีที่หลุดออกมาโดยไม่รู้อิโหน่อิเหน่ หรือการหลุดร่อนของสีตามผนังของอาคารต่างๆแล้วฟุ้งเป็นฝุ่นกระจายอย่างมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า และปัจจัยสำคัญที่ทำให้เด็กเสี่ยงยิ่งขึ้นคือ เด็กมีพฤติกรรมเสี่ยงในการเอาของเข้าปาก รวมถึงมีกิจกรรมต่างๆ บนพื้นที่ปนเปื้อนด้วยสารตะกั่ว เช่น การคลาน การเล่นตามพื้นดิน”

                                ภัยของสารตะกั่ว อันตรายร้ายแรงต่อเด็ก!

                                • กรณีที่ได้รับในปริมาณมากอาจส่งผลถึงขั้นชัก สมองบวม เสียชีวิต โดยเฉียบพลันทันใด หรือ
                                • เป็นภัยสะสมหากได้รับทีละน้อยแต่บ่อยๆ พิษเรื้อรังทำให้เกิดอาการ ท้องผูก-เบื่ออาหาร-ปวดท้อง-ซีด และที่สำคัญ

                                คือการทำลายเซลล์สมอง สารตะกั่วที่เพิ่มขึ้นในเลือด ไอคิวจะลดลง โดยเฉพาะเด็กต้องระวังการได้รับสารตะกั่วอย่างมาก เพราะเด็กมีความเสี่ยงต่อการได้รับพิษจากตะกั่วมากกว่าผู้ใหญ่ เพราะความสามารถในการดูดซึมสารตะกั่วเข้าสู่ร่างกายของเด็กมีมากกว่าผู้ใหญ่ถึง 5 เท่า องค์การอนามัยโลก ระบุว่า “ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ไม่ควรมีสารตะกั่วอยู่ในเลือดแม้แต่น้อย”

                                 

                                ป้องกันแต่แรกสำคัญที่สุด

                                • จากการสำรวจพบว่ามากกว่าครึ่งหนึ่งของสีน้ำมันในท้องตลาดอุดมด้วยสารตะกั่ว ที่นิยมใช้เพราะเป็นสีสดสวยแถมยังติดทนติดนาน บ้านทาสีน้ำมันและอยู่อาศัยกันมานาน จึงต้องพึงระวังการหลุดร่อนของสีตามฝาผนัง ที่เจ้าลูกตัวน้อยอาจหยิบๆจับๆเข้าปาก แม้แต่เศษสีที่เป็นสะเก็ดติดอยู่ตามขอบหน้าต่าง เด็กน้อยอาจแกะเล่นแล้วหยิบใส่ปากได้เช่นกัน
                                • ยุคนี้มีทางเลือกอันปลอดภัย ที่นอกจากจะเลือกสีน้ำไร้สารตะกั่วไม่ใช้สีน้ำมันแล้ว การ “ไม่ต้องทาสีผนังเลย”โดยเลือกใช้สไตล์ปูนฉาบเรียบ ซึ่งก็ดูอินเทรนไม่เบาครับ
                                • แผ่นสีตามกำแพง หรือผนังอาจหลุดร่วงลงพื้นแล้วเป็นฝุ่นฟุ้งกระจายไปในอากาศและตกลงเป็นฝุ่นบนพื้น ดังนั้นไม่ควรกวาด ไม่ควรใช้เครื่องดูดฝุ่น เพราะจะทำให้ปลิวฟุ้ง แต่ให้ ใช้ผ้าชุบน้ำหมาดๆเช็ดพื้นแล้วเช็ดให้เกลี้ยง
                                • หากมีการขูดสีเก่าเพื่อทาใหม่(ใช้สีไร้สารตะกั่ว) ควรใช้ช่างผู้ชำนาญการ และจะต้องกันเด็กๆรวมทั้งคุณแม่ตั้งครรภ์ให้อยู่ห่างๆสถานที่นั้นๆให้มากๆอาจารย์ชาญณรงค์ ไวยพจน์   หน่วยวิศวกรรมความปลอดภัย มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์กล่าวว่า การดำเนินงานที่เกี่ยวกับการก่อสร้าง ต้องคำนึงถึงการควบคุมมลภาวะจากการก่อสร้าง สีที่เกิดจากการก่อสร้างมิให้ถูกปลดปล่อยออกไปสู่สภาพแวดล้อมภายในชุมชน รวมทั้งการตกค้างเป็นฝุ่นสีภายในบ้าน การป้องกันสารพิษต่อชีวิตของคนงานก่อสร้าง เพราะเป็นกลุ่มผู้ที่ต้องจับ หรือสัมผัสสารพิษต่างๆ โดยตรง เสี่ยงภัยต่อสารพิษต่างๆ มากกว่าใครๆ

                                ดังนั้นต้องมีมาตรการป้องกันสารตะกั่วเข้าสู่ร่างกายทั้งทางผิวหนัง ทางเดินหายใจ และการปนเปื้อนในอาหาร น้ำดื่ม การจัดการขยะที่มาจากการก่อสร้างอย่างถูกวิธี (Construction Waste Management) เพื่อมิให้ไปก่อมลพิษต่อผู้อื่นต่อไป

                                • คุณพ่อบ้านท่านใด ที่ทำงานเป็นช่างสี ช่างซ่อมรถ ช่างเชื่อม ทำงานด้านเครื่องยนต์ ด้านถลุงแร่ ซ่อมท่อ อาชีพดังกล่าวอาจจะมีฝุ่นผงตะกั่วหรือสารโลหะหนักอื่นๆเกาะติดกับเสื้อผ้าได้ เมื่อเข้าบ้านหรือก่อนจะกอดลูกๆให้ถอดเสื้อลงถังซักผ้าก่อนนะครับ เพื่อลดความเสี่ยงที่ลูกๆจะสูดฝุ่นผงตะกั่วโดยไม่รู้ตัว

                                 

                                “ในบ้านเราปัญหา “สารตะกั่ว” ยังคงเป็นภัยคุกคามที่มองไม่เห็น ขณะที่ทางการแพทย์ทั่วโลกระบุอย่างชัดเจนว่า “ไม่มีระดับสารตะกั่ว ที่ปลอดภัยต่อสุขภาพ” ซึ่งตรงกับข้อสรุปขององค์การอนามัยโลกที่ประกาศว่า “ปริมาณสารตะกั่วในร่างกายที่ปลอดภัย คือ 0 ไมโครกรัมต่อกิโลกรัมของน้ำหนักตัว นั่นคือ…ร่างกายคนเรานั้น ไม่ควรมีสารตะกั่วเลยแม้แต่นิดเดียว..”

                                 

                                จากคอลัมน์ Kid Health นิตยสารเรียลพาเรนติ้ง ฉบับเดือนสิงหาคม 2558
                                เรื่องโดย รศ.นพ.อดิศักดิ์ ผลิตผลการพิมพ์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเพื่อสร้างเสริมความปลอดภัยและป้องกันการบาดเจ็บในเด็ก โรงพยาบาลรามาธิบดี
                                เรียบเรียงโดย กองบรรณาธิการ
                                ภาพโดย beeclassic