Page 3 – AMARIN Baby And Kids – เพื่อลูกฉลาดและมีความสุข

โรงเรียนอนุบาลวณลักษณ์ พื้นที่แห่งความร่าเริง รื่นรมย์ สร้างสมองของเด็กไทยสู่ระดับอินเตอร์

เล่นแบบไหนลูกถึงจะเรียนเก่ง? ทีมแม่ ABK มีคำตอบค่ะ!

วันนี้ เราจะพาทุกคนมาเปิดบ้าน โรงเรียนอนุบาลวณลักษณ์ โรงเรียนที่มีอัตลักษณ์ไม่เหมือนใคร ไม่ว่าจะอะไรก็ต้องสนุกไว้ก่อน แล้วการเรียนรู้จะตามมา สติปัญญาก็เฉียบอย่างมีนัยยะ! ที่นี่เป็น โรงเรียนไทยแท้ ๆ แต่คุณภาพของนักเรียน และวิธีคิด รวมไปถึงทักษะภาษา เทียบเท่าโรงเรียนอินเตอร์

โรงเรียนอนุบาลวณลักษณ์
หนุ่มน้อยกับ “กระเป๋าเดินเรียน”

ออกกำลัง / เล่นกลางแจ้ง มีส่วนสำคัญในการสร้างสมองและเจริญเติบโต

ความสนุก คือ จุดเริ่มต้นคนคุณภาพ

“สำหรับเด็ก ๆ แล้วความสนุกต้องมาก่อน” ครูจิ๊บ (ดร.พิมลพรรณ บุรพรัตน์ – ผู้อำนวยการที่แสนอารมณ์ดี) กล่าวไว้
เด็กก็เปรียบเสมือน ผ้าหลากสี และในความหลากหลายนี้ ต่างก็เหมือนกันตรงที่ “ชอบความสนุก” ที่อนุบาลวณลักษณ์ จึงนำเสนอการเรียนรู้ “ให้ถูกจริตของเด็กปฐมวัย” ด้วยวิธีการดังนี้ค่ะ

1. จะเริ่มต้นจากการเล่น = สนุกก่อน ( กายมา )

2. จากนั้นเรียน ( ใจพร้อม )

3. แป๊บ ๆ จบคาบ = เด็ก ๆ ติดลม ทำให้อยากเรียนรู้ต่อ อยากเรียนต่อ (เปิดใจในการเรียนรู้)

การเล่นสำหรับเด็ก คือ การแสดงออกทางกายภาพ ผ่านประสบการณ์และจินตนาการ ของตัวเด็กผสมผสานทักษะการสื่อสาร สะท้อนออกมาเป็นรูปแบบของการเล่น ดังนั้นการเล่นจึงสื่อถึงความเป็นตัวตนของอย่างชัดเจนเลยค่ะ เด็กแต่ละคนเล่นไม่เหมือนกัน ชอบไม่เหมือนกัน ความหลากหลายของแต่ละคน คือ Multiple Intelligences (พหุปัญญา)

ที่นี่ใช้ Differentiated Learning คุณครูจะสังเกต ความถนัด ความสามารถ ที่แตกต่างกันของแต่ละคน ซึ่ง ทักษะที่โดดเด่น – ช่วยผลักดัน ส่วนที่ด้อย – ช่วยปรับและเสริม คุณครูรับบทบาทเป็น Conductor เตรียมให้นักเรียนสนุกกับการเรียนรู้ ในขณะเดียวกันก็ต้องเป็นผู้สังเกตการณ์ตัวฉกาจในการเฝ้าดู Intelligences ของแต่ละคน เพื่อนำมาพัฒนาให้เต็มศักยภาพค่ะ

การพัฒนานักเรียนให้เต็มศักยภาพ (ของตนเอง) เป็นสิ่งสำคัญ และแน่นอนค่ะ ความสามารถไม่ว่าจะด้านใดก็มีจุดเริ่มต้นที่ “สมอง” สมองมี 2 ซีก แบ่งเป็นซีกซ้าย – ขวา มีหน้าที่แตกต่างกัน และควรฝึกให้เค้าทำงานสอดประสานกัน

สมองซีกซ้าย : เป็นส่วนของการควบคุมการใช้เหตุผล ทักษะตัวเลข การใช้ภาษา การคิด การวิเคราะห์ + ควบคุมการทำงานของร่างกายซีกขวา

โรงเรียนอนุบาลวณลักษณ์
Kindermusik คือการเรียนภาษาอังกฤษที่ ใช่! กับเด็กวณลักษณ์มาก สนุก movement เรียนรู้ บูรณาการครบครัน
โรงเรียนอนุบาลวณลักษณ์
ที่นี่มีกลุ่มย่อยในการเรียนรู้ คุณครูสามารถโฟกัส – เสริมเติมเต็มนักเรียนได้อย่างเต็มศักยภาพค่ะ
โรงเรียนอนุบาลวณลักษณ์
Station-based = ฐานเดินเรียน – เปลี่ยนไปตามวิชา นอกจากเป็น a little break ที่เด็กๆ ได้สลับอิริยาบท + ออกเดินทางไปพร้อมกับกระเป๋าเดินเรียนคู่ใจ
โรงเรียนอนุบาลวณลักษณ์
เรียนรู้เรื่องเวลา ก็ต้องมีนาฬิกาส่วนตัว
โรงเรียนอนุบาลวณลักษณ์
หากถามเด็กๆ จะรู้เลยว่านี่เท่ากับ 1 2 3

วิถี โรงเรียนอนุบาลวณลักษณ์ กับความปัง (ของสมอง) ด้านวิชาการ

4 สาระหลักของวณลักษณ์ที่จัดการเรียนรู้ทุกวัน (ที่เปลี่ยนธีมการเรียนรู้ทุกเดือน) ได้แก่

กิจกรรมคุยกันยามเช้า

พัฒนา Interpersonal Intelligence หรือ ความฉลาดด้านมนุษยสัมพันธ์นั่นเองค่ะ เป็นการละลายพฤติกรรมที่เปิดโลกทัศน์ของเด็กๆ ขยายขอบเขตของประสบการณ์

1. รับรู้ – เรียนรู้ เรื่องราวเก่า – ใหม่

2. รับบทบาทเป็นทั้งผู้พูด – ผู้ฟัง รู้จักอดทนรอคอย ฝึกความฉลาดทางทางอารมณ์ไปในตัว

3. ปรับ จูน ความรู้สึกที่หลากหลายของเด็กๆ + รวมถึง attitude ในแต่ละวัน ก่อนจะระเบิดพลังในการเรียนรู้

ทั้งหมดนี้เป็น “ข้อมูล” ชั้นยอดให้คุณครูทราบถึงอารมณ์เด็ก ๆ ในวันนั้น เพื่อการ “เข้าถึง และ ดูแล” เด็ก ๆ ให้เหมาะสม ซึ่งความยืดหยุ่น ไหวพริบ ความเข้าอกเข้าใจ นั้นก็เป็นเอกลักษณ์สำคัญที่คุณครูที่นี่ต้องมีค่ะ

สนุกกับภาษา

สำหรับวิชา ภาษาไทย สอนในรูปแบบกิจกรรม Play & Learn ส่วนวิชา ภาษาอังกฤษ (จุดเด่นของโรงเรียนเลยนะคะ) เด็ก ๆ จะได้เรียนภาษาอังกฤษ ด้วยหลักสูตร Scholastic World of English เรียน ฟัง พูด อ่าน เขียนภาษาอังกฤษ ด้วยระบบ phonics สัปดาห์ละ 3 คาบ และสนุกไปกับ Kindermusik สัปดาห์ละ 1 คาบ เป็นการเรียนภาษาอังกฤษผ่านบทเพลง บทกลอน โดย ครูชาวต่างชาติ เด็ก ๆ จะได้ร้อง-รำ-ทำเพลง เล่นเกมส์ ทำกิจกรรมอย่างสนุกสนาน

คณิตคิดเป็นภาพ

  • ที่วณลักษณ์ “ตัวเลขต้องจับต้องได้” นักเรียนจะเข้าใจถึงที่มาที่ไป ผ่านการอธิบายด้วยกิจกรรมและสื่อการสอน ซึ่งสัมผัสได้ด้วยมือและเห็นได้ด้วยตาจริง ๆ
  • เกิดการเชื่อมโยงจากสื่อที่จับต้องได้ไปสู่กระบวนการคิดเป็นภาพ
  • การจำเป็นภาพ ยิ่งพัฒนาเซลล์สมอง เด็ก ๆ จะสร้างภาพในความคิดได้
  • แน่นอนค่ะว่า คณิตคิดเป็นภาพ ของเรานี้ตอบโจทย์ Logical Math Intelligence ความด้านตรรกะและคณิตศาสตร์นั่นเอง
Theme การเรียนรู้เปลี่ยนทุกเดือน เดือนนี้เกี่ยวกับผลไม้ค่ะ วิชาภาษาไทยก็ prop เพียบนะคะ
เชื่อมโยงกับการเรียนพยัญชนะ ม.ม้า นักเรียนกำลังวาดต้นมะพร้าวค่ะ

เรื่องดนตรีเด็กๆ จะเรียนเครื่องเคาะก่อน (อุปกรณ์น่ารักไม่ไหวอ่ะ!)

เรียนและเบรค เรียนและเล่น สลับกันไปทั้งวัน

พลานามัย (ข้อนี้สำคัญมากค่ะ ตอบโจทย์เรื่อง เล่นอย่างไรให้เรียนเก่ง)

สมองส่วนหน้า (Frontal lobe) สมองที่ทำหน้าที่ในการควบคุมกล้ามเนื้อ และการเคลื่อนไหวของร่างกายเป็นสมองส่วนเดียวกันกับสมองที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการควบคุมความคิด ความจำ และสติปัญญา ดังนั้นการจัดกิจกรรมที่ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของร่างกาย จะทำให้สมองส่วนหน้า (Frontal lobe) เกิดการใช้งานเพิ่มขึ้น ส่งผลให้สมองส่วนนี้เกิดการพัฒนา และทำงานได้ดียิ่งขึ้น พละ และ อนามัย นี้คือการสร้างเสริม Bodily Kinesthetic Intelligence หรือ ความฉลาดทางด้านร่างกาย สนุกด้วย สุขภาพแข็งแรงด้วย สติปัญญาดีด้วย

…คราวนี้ทุกคนหายสงสัยไหมคะว่า ทำไมเด็กที่วณลักษณ์จึงต้อง “เดินเรียน” และเล่นกีฬาทุกวัน
แล้วคุณพ่อคุณแม่อย่าลืมพาเด็ก ๆ ไปออกกำลังกันบ่อย ๆ นะคะ..

สมองซีกขวา : ควบคุมการใช้อารมณ์ ความคิดสร้างสรรค์ ความจำ ศิลปะและดนตรี + การทำงานของร่างกายซีกซ้าย
วิถีวณลักษณ์ กับ สมองส่วนความสร้างสรรค์

แม้จะไม่ได้จัดกิจกรรมทุกวันแต่ก็เป็นสาระการเรียนรู้ที่สำคัญที่เติมเต็ม “ความเป็นมนุษย์” ให้สุข + สมบูรณ์ ที่ก็ขาดไม่ได้ ได้แก่

  • ศิลปะยามบ่าย – Spatial Intelligence ความฉลาดด้านมิติสัมพันธ์ ช่วยเสริมสร้าง EQ + Innovation
  • ดนตรีมีชีวิต – Musical Intelligence ความฉลาดทางดนตรี หากเป็นเครื่องดนตรีเด็ก ๆ จะเริ่มจากเครื่องเคาะ มีการเล่นและเล่านิทานสองภาษาในคาบด้วยเช่นกันค่ะ
  • นักวิทย์ตัวน้อย – Naturalistic Intelligence ความฉลาดด้านรู้จักธรรมชาติ เริ่มจาก รู้จักตนเอง – บุคคล – สถานที่ – ธรรมชาติ + สิ่งต่างๆรอบตัว – จนไปถึงการทดลองโครงการบ้านนักวิทยาศาสตร์ตัวน้อย
  • ทักษะชีวิต – Intrapersonal Intelligence ความฉลาดด้านการเข้าใจตัวเอง เน้นเพื่อการนำไปใช้ในชีวิตจริง

เมื่อทุกอย่างมาหล่อหลอม – รวมกัน – อย่างสมดุล เด็กๆ จึงเติบโตมาเป็น “คนคุณภาพ” ที่ทุกครอบครัวชื่นใจและภูมิใจค่ะ

ทุกคนจะมีรองเท้าวิ่งสะดวกเตรียมพร้อมที่โรงเรียน แล้วนี่ก็กำลังจะไปเล่นกลางแจ้งค่ะ

โรงเรียนมีพื้นที่สีเขียวมากมาย การปรับปรุงพื้นที่หรือสร้างอะไรใหม่จะต้องคงไว้ซึ่งไม้ยืนต้นดั้งเดิมเสมอ

Mommy love this! ถูกใจแม่

1. เพราะเด็กแต่ละคนมีความถนัด ความสามารถแตกต่างกัน ใช้เวลาในการเรียนรู้ไม่เท่ากัน พหุปัญญาจึงตอบโจทย์การพัฒนาเฉพาะบุคคล

2. การเรียนรู้แบบ learning by doing หรือ การสังเกตพฤติกรรมการเล่น เรียนรู้ เป็นข้อมูลอย่างดี คุณครูจะนำมาวิเคราะห์เพื่อช่วยผลักดัน เพิ่มเติมองค์ความรู้อย่างเหมาะสม

3. สร้าง self-acknowledge (รู้จักตัวเอง) และเมื่อได้รับการสนับสนุนที่ดี เด็ก ๆ จะมั่นใจ ภูมิใจ และเห็นคุณค่าในตัวเอง

4. แนวทางการสอน – ยืดหยุ่นรอบด้าน เพื่อตอบสนองความต่างกันของศักยภาพนักเรียน ไม่ได้มีการกำหนดตายตัวต้องสอนตามตำรา แต่มีการประยุกต์ใช้ศาสตร์ที่หลากหลาย แนวคิด ปรัชญาอื่น ๆ ที่จะเป็นประโยชน์ต่อผู้เรียนรู้สูงสุด (เช่น Montessori / Whole Languages / ทฤษฎีพหุปัญญา ฯลฯ)

5. คุณครูคุณภาพ คุณครูต้องเรียนจบคณะครุศาสตร์ หรือ ศึกษาศาสตร์โดยตรง

6. โรงเรียนจัดการเล่นให้เหมาะสม ทั้งเล่นก่อนเข้าเรียนวิชาการ และยังมีวิชา P.E. ทุกวัน ทำให้ กล้ามเนื้อมัดใหญ่ มัดเล็ก ใช้งานสอดประสาน คล่องแคล่ว

7. บูรณาการหน้างานจริง เช่น นักเรียนหาคำตอบไม่ได้จริง ๆ คุณครูก็จะแทรกขึ้นมาว่า “ลองไปขอถาม…(อีกคน) ดูไหม” คราวนี้เด็ก ๆ ก็จะจดจำได้ขึ้นมาแล้วค่ะว่า การถาม คือการขอความช่วยเหลือ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะทำให้ตัวเองหาคำตอบได้

ครูจิ๊บ หรือ ดร.พิมลพรรณ บุรพรัตน์ นอกจากจะเป็นผู้อำนวยการโรงเรียนและที่ปรึกษากิตติมศักดิ์หลายองค์กรและสถาบันแล้ว ยังเป็นนักสะสมของเล่นที่เคยลงกินเนสบุ๊คไทยแลนด์มาแล้ว (นักสะสมชุดของเล่นแฮปปี้มีล)

sneak peek แอบดูห้องเรียนใหม่! 1สี – สำหรับ – 1วิชา (8 สาระการเรียนรู้ = 8 สี) ซึ่งเมื่อรวมกันก็จะเกิดความเรนโบว์ขึ้นมา
เน้นด้านการกีฬามากๆ ค่ะ ที่โรงเรียนมีทั้ง สระว่ายน้ำ |สนามเทนนิส และ สนามแบดมินตัน

บรรยากาศร่มรื่นและความวินเทจของโรงเรียน

โรงเรียนอนุบาลวณลักษณ์ มีอัตราส่วนครูต่อนักเรียน
เตรียมอนุบาล 1:4 และ อนุบาล 1:6 (จำนวนจำกัด) ไม่เกิน 12 คน/ห้อง
ดูแลเด็กๆ ตั้งแต่ชั้นเตรียมอนุบาล จนถึงอนุบาล 3 (1.5 – 6 ปี)

ค่าเล่าเรียน
เริ่มต้นที่ 888 บาทต่อวัน (6 คาบเรียน )
หากผู้ปกครองประสงค์ที่สนใจเยี่ยมชมโรงเรียน หรือ พาเด็กๆ มาทดลองเรียน (Join Class)
สามารถสอบถามเพิ่มเติม หรือ ติดต่อตามรายละเอียดด้านล่าง

ที่อยู่
โรงเรียนอนุบาลวณลักษณ์
94/3 หมู่ 3 ถนนวิภาวดีรังสิต แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900
Facebook : อนุบาลวณลักษณ์
Line : wanaluxline
โทรศัพท์ : 02-589-1998, 090-585-1998

บทความ : แม่พลอยผิง

ภาพ : ฤทธิรงค์ จันทองสุข


โรงเรียนอื่น ๆ ที่น่าสนใน

โรงเรียนอนุบาลวณลักษณ์

แม่รู้ดี เด็กผ่าคลอด เติบโตแข็งแรงสมวัย เริ่มได้ตั้งแต่วันแรก

จากความเข้าใจที่ว่า เด็กผ่าคลอด มักอ่อนแอ ป่วยง่าย ทำให้คุณแม่หลายคนกังวลใจว่าการไม่ได้เลือกการคลอดธรรมชาติ ลูกน้อยจะไม่ได้รับจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์จากช่องคลอด ซึ่งกระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันในลำไส้ ซึ่งจะเป็นเกราะป้องกันให้ลูกปลอดภัยจากโรคภัยต่าง ๆ

นมแม่ เป็นอาหารอย่างแรกที่นอกจากจะช่วยให้ลูกอิ่มท้องแล้ว ยังมีสารอาหารสำคัญที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโต พัฒนาการของสมอง รวมถึงระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย คุณแม่สามารถให้นมแม่เป็นอาหารหลักต่อเนื่องถึง 6 เดือน แล้วเสริมด้วยอาหารตามโภชนาการ จนอายุเกินหนึ่งขวบปี จึงเปลี่ยนให้กินอาหารเป็นหลัก และนมเป็นส่วนเสริมแทน

ในช่วงเวลานี้ คุณแม่ยังคงต้องดูแลเรื่องโภชนาการและพฤติกรรมการกินของลูกอย่างใกล้ชิด เพราะยิ่งลูกเติบโตและออกไปเรียนรู้โลกกว้างมากขึ้นเท่าไร ก็มีโอกาสที่ลูกเจ็บป่วยได้มากขึ้นเช่นกัน การเลือกผลิตภัณฑ์นมที่เหมาะสมกับวัยและร่างกายของลูกน้อยจึงเป็นส่วนเสริมที่คุณแม่ไม่ควรมองข้าม

เอนฟาโกร เอพลัส ซี-ไบโอม สูตร 3 ตัวช่วยเสริมโภชนาการ เด็กผ่าคลอด

ลูกน้อยอายุ 1 ขวบขึ้นไปที่ได้รับนมแม่น้อยลงอาจทำให้คุณแม่กังวลใจเรื่องสุขภาพ ความจริงแล้วสามารถใช้นมที่มีสารอาหารครบถ้วน โดยเฉพาะโพรไบโอติกและใยอาหารที่ช่วยเสริมการทำงานของภูมิคุ้มกันในลำไส้ของลูกให้ยังแข็งแรง เพื่อสร้างกองทัพต่อสู้กับเชื้อโรคต่างๆได้ดี

สำหรับนมที่ทีมแม่ ABK แนะนำให้เป็นอีกทางเลือกคือ ผลิตภัณฑ์นม เอนฟาโกร เอพลัส ซี-ไบโอม สูตร 3 สำหรับเด็กอายุ 1ขวบขึ้นไป ซึ่งเป็นสูตรเฉพาะที่มี MFGM (Milk Fat Globule Membrane) เยื่อหุ้มอนุภาคไขมันในนม ซึ่งมีโปรตีนและไขมันหลายชนิดเป็นองค์ประกอบหลัก ทำให้ลูกน้อยได้รับสารอาหารเต็มที่ นอกจากนี้ยังมีสารอาหารที่ช่วยในการพัฒนาการทางสมอง เช่น ดีเอชเอ สฟิงโกไมอีลิน ฟอสโฟลิปิด โคลีน ทอรีน วิตามินบี 12 สูง และวิตามินบี มีกรดไลโนลีนิก (โอเมก้า 3) กรดไลโนลีอิก (โอเมก้า 6) และกรดโอลีอิก (โอเมก้า 9)

เอนฟาโกร เอพลัส ซี-ไบโอม สูตร 3 มีให้เลือกทั้งแบบนมผงสำหรับชงดื่มที่บ้าน และแบบพร้อมดื่มในวันที่ลูกต้องออกไปทำกิจกรรมนอกบ้าน คุณแม่สามารถเลือกให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของลูกน้อยได้ เพราะนอกจากความห่วงใยแล้วนี่คือเกราะป้องกันที่คุณแม่พร้อมมอบให้ลูกในทุกวัน

ศึกษาข้อมูลผลิตภัณฑ์เพิ่มเติมได้ที่ https://www.enfababy.com/enfagrow-c-biome

    ไอเท็มน่าใช้ Philips Avent Natural Response ขวดนมและจุดนมที่รู้ใจลูกน้อยเสมือนดูดจากอกแม่

    การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่เป็นประสบการณ์ที่สวยงามและมีคุณค่า แต่ในบางครั้ง คุณแม่อาจจำเป็นต้องใช้ขวดนมเพื่อให้ลูกกินนมแม่จากขวดนม Philips Avent Natural Response คือขวดนมและจุกนมที่ออกแบบมาเพื่อมอบประสบการณ์การดูดนมที่ใกล้เคียงกับการดูดนมจากอกแม่มากที่สุด ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย ปลอดภัย และดีไซน์ที่ใส่ใจในรายละเอียด ขวดนมและจุกนมรุ่น Natural Response จาก Philips Avent นี้จึงเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับคุณแม่ที่ต้องการให้ลูกน้อยได้รับประโยชน์สูงสุดจากการดื่มนม

    Philips Avent ได้รับความไว้วางใจจากคุณแม่ทั่วโลกมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2527 (ค.ศ. 1984) ด้วยผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการออกแบบและพัฒนาอย่างพิถีพิถัน โดยได้รับแรงบันดาลใจจากธรรมชาติ ผสานกับการวิจัยทางคลินิกอย่างครอบคลุม เพื่อให้มั่นใจได้ว่าผลิตภัณฑ์ทุกชิ้นมีคุณภาพและปลอดภัยสำหรับลูกน้อย

    ขวดนม Philips Avent Natural Response ทางเลือกที่ใกล้เคียงการให้นมแม่มากที่สุด

    สำหรับคุณแม่ที่ต้องการให้ลูกน้อยได้รับประสบการณ์การดูดนมที่ใกล้เคียงกับการดูดจากอกมากที่สุด ขวดนม Philips Avent รุ่น Natural Response คือตัวเลือกที่น่าสนใจ ด้วยดีไซน์จุกนมที่เป็นเอกลักษณ์ ทำให้ลูกน้อยสามารถดูดนมได้อย่างเป็นธรรมชาติ

    ทำไมขวดนมและจุกนม Philips Avent รุ่น Natural Response จึงเป็นตัวเลือกที่ดี?

    ขวดนมรุ่นนี้ถูกออกแบบมาเพื่อตอบสนองต่อจังหวะการดูดนมตามธรรมชาติของลูกน้อย ช่วยให้การเปลี่ยนจากการดูดนมแม่มาเป็นขวดนมเป็นไปอย่างง่ายดาย ลดปัญหาการสับสนระหว่างเต้านมและขวดนม นอกจากนี้ ยังช่วยลดอาการโคลิคและอาการไม่สบายท้อง

    จุดเด่นของขวดนม Philips Avent Natural Response

    สลับการดูดนมจากเต้านมแม่และขวดนมได้ง่าย:

    • ขวดนมออกแบบมาตามหลักสรีรศาสตร์ จับมุมไหนก็ถนัดมือ
    • จุกนมออกแบบมาให้มีรูปทรงคล้ายหน้าอกแม่ ทำให้ลูกน้อยรู้สึกคุ้นเคยและดูดนมได้อย่างเป็นธรรมชาติ
    • น้ำนมจะไหลเมื่อลูกน้อยออกแรงดูดเท่านั้น ทำให้ลูกน้อยสามารถควบคุมจังหวะการดูด กลืน และหายใจได้เหมือนกับการดูดนมจากอกแม่

    ประโยชน์ที่ได้จากการใช้ขวดนมและจุกนม Philips Avent รุ่น Natural Response

    • จับถือได้ง่าย: ออกแบบมาให้เหมาะกับมือเล็กๆ ของลูกน้อย
    • ทำความสะอาดและประกอบง่าย: ส่วนประกอบน้อยชิ้น ทำให้สะดวกต่อการใช้งาน
    • ป้องกันน้ำนมหยด: ดีไซน์จุกนมป้องกันการไหลของน้ำนมโดยไม่จำเป็น ลดการสำลัก
    • มีจุกนมหลายขนาด: เลือกอัตราการไหลของน้ำนมที่เหมาะสมกับช่วงวัยของลูกน้อย
    • ใช้งานร่วมกับผลิตภัณฑ์ Philips Avent อื่นๆ ได้: สามารถใช้กับขวดนมและอุปกรณ์อื่นๆ ของ Philips Avent ได้
    • ปลอดสาร BPA: ผลิตจากวัสดุที่ปลอดภัยต่อลูกน้อย

    นอกจากนี้ ขวดนม Philips Avent ยังเป็นขวดนมที่ตอบโจทย์ ทั้งแม่ลูกที่ต้องการความคุ้มค่า ทนทาน ใช้งานได้ยาวนานเป็นพิเศษ เพราะขวดนมรุ่น Natural Response PPSU ขวดสีชา ใสเหมือนแก้ว น้ำหนักเบา เด็ก ๆ จับได้อย่างถนัดมือ และขวดนมรุ่นนี้ยังใช้วัสดุเกรดพรีเมียมนำเข้าจากยุโรป แข็งแรง ทนทาน และมีคุณสมบัติทนความร้อนสูงถึง 180 องศา สามารถใช้ร่วมกับเครื่องนึ่งหรือเครื่องอุ่นนมได้อย่างสบายใจ สะดวกมากสำหรับคุณแม่มือใหม่

    ส่วนจุกนม Philips Avent รุ่น Natural Response ก็เป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับคุณแม่ที่ต้องการจุกนมที่ให้ความรู้สึกเป็นธรรมชาติ ลดปัญหาอาการโคลิค และป้องกันนมหก ด้วยคุณสมบัติที่ออกแบบมาเพื่อตอบสนองต่อการดูดของลูกน้อยอย่างแท้จริง จุกนมรุ่นนี้จึงเป็นตัวช่วยที่ดีในการดูแลลูกน้อย ความพิเศษของ Philips Avent รุ่น Natural Response ยังไม่หมดแค่นี้ เพราะ Philips AVENT ได้คว้ารางวัล Editor’s Choice สาขาผลิตภัณฑ์ขวดนมและจุกนมยอดเยี่ยมแห่งปี 2024 จาก Amarin Baby & Kids AwardsPhilips AVENT ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านผลิตภัณฑ์สำหรับเด็กอ่อน ด้วยการคว้ารางวัล Editor’s Choice สาขา BEST BABY BOTTLE & NIPPLE PRODUCT จาก Amarin Baby & Kids Awards 2024 ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันถึงคุณภาพและความไว้วางใจที่ผู้บริโภคมีต่อผลิตภัณฑ์ขวดนมและจุกนมของ Philips AVENT

    ซึ่งรางวัล Editor’s Choice จาก Amarin Baby & Kids Awards เป็นรางวัลที่มอบให้กับผลิตภัณฑ์สำหรับแม่และเด็กที่ได้รับการคัดเลือกจากทีมบรรณาธิการผู้เชี่ยวชาญ โดยพิจารณาจากคุณภาพ นวัตกรรม และความคุ้มค่าของผลิตภัณฑ์ ซึ่งการที่ Philips AVENT ได้รับรางวัลนี้ แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของแบรนด์ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพสูงและตอบโจทย์ความต้องการของแม่และเด็กได้อย่างแท้จริง

    หากคุณแม่กำลังมองหาผลิตภัณฑ์ขวดนมและจุกนมที่ดีที่สุดสำหรับลูกน้อย Philips AVENT คือตัวเลือกที่ไม่ควรพลาด

    การป้อนนมลูกน้อย ที่ใกล้เคียงกับธรรมชาติ ด้วยขวดนมและจุกนมเสมือนนมแม่ คลิก https://www.philips.co.th/c-m-mo/baby-bottles-nipples

      Infolife Fiber จบปัญหาท้องผูก เสริมภูมิคุ้มกันแข็งแรงให้ลูกน้อย

      คุณพ่อคุณแม่หลายท่านคงกังวลใจ เมื่อลูกน้อยมีปัญหาท้องผูก ไม่ชอบทานผัก ทำให้ระบบขับถ่ายไม่ดี แถมยังส่งผลต่อภูมิคุ้มกันอีกด้วย ปัญหาเหล่านี้จะไม่มากวนใจอีกต่อไป เพราะ Infolife Fiber Immu Plus (อินโฟว์ไลฟ ไฟเบอร์ อิมมูพลัส) พร้อมเป็นตัวช่วยสำคัญ ที่จะเข้ามาดูแลระบบขับถ่ายของลูกน้อยให้เป็นปกติ พร้อมเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง

      ผลกระทบของอาการท้องผูกในเด็ก…ปัญหาสุขภาพ จิตใจ และพัฒนาการ

      อาการท้องผูกในเด็กเป็นปัญหาที่พบได้บ่อย และหากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ได้รับการรักษา อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตของเด็กๆ

      1. ปัญหาสุขภาพทางกาย

      • ริดสีดวงทวารและแผลปริขอบทวารหนัก : การเบ่งอุจจาระเป็นเวลานานอาจทำให้เกิดริดสีดวงทวารและแผลปริขอบทวารหนัก ซึ่งทำให้เด็กเจ็บปวดและมีเลือดออกขณะขับถ่าย
      • อุจจาระอุดตัน : ในกรณีที่รุนแรง อุจจาระอาจแข็งและอุดตันในลำไส้ใหญ่ ทำให้เด็กปวดท้องอย่างรุนแรงและต้องได้รับการรักษาทางการแพทย์
      • ผลต่อพัฒนาการของร่างกาย : เมื่อเด็กท้องผูกมากจะรับประทานอาหารไม่ค่อยได้ อาจส่งผลให้เด็กมีน้ำหนักตัวน้อย ตัวเล็ก และขาดสารอาหารได้

      2. ปัญหาทางด้านจิตใจ

      • ความเครียดและความวิตกกังวล : อาการท้องผูกอาจทำให้เด็กเกิดความเครียดและความวิตกกังวล โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเด็กมีประสบการณ์เจ็บปวดจากการขับถ่าย
      • ความกลัวการเข้าห้องน้ำ : เด็กบางคนอาจกลัวการเข้าห้องน้ำเนื่องจากกลัวความเจ็บปวด ทำให้เด็กพยายามกลั้นอุจจาระ
      • ปัญหาทางด้านอารมณ์ : การที่เด็กท้องผูก ถ่ายลำบากจนกลายเป็น โรคท้องผูกเรื้อรัง หรืออาจจะทำอุจจาระเปรอะเปื้อน จะทำให้พวกเค้าเกิดความหวาดระแวง สูญเสียความเชื่อมั่นในตนเอง หรือกลายเป็นพฤติกรรมเก็บกดทางอารมณ์ได้

      3. ผลกระทบต่อพัฒนาการ

      • การเรียนรู้ : อาการท้องผูกอาจทำให้เด็กไม่มีสมาธิและหงุดหงิด ส่งผลต่อการเรียนรู้และการทำกิจกรรมต่างๆ
      • การเข้าสังคม : เด็กที่ท้องผูกอาจรู้สึกอับอายและหลีกเลี่ยงการเข้าสังคม เนื่องจากกลัวการเกิดอุบัติเหตุขณะทำกิจกรรม

      ฉะนั้นหากสงสัยว่าลูกมีอาการท้องผูก อันดับแรกควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสม นอกจากนี้ คุณพ่อคุณแม่ควรส่งเสริมให้ลูกรับประทานอาหารที่มีกากใยสูง ดื่มน้ำให้เพียงพอ และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันอาการท้องผูก

      Infolife Fiber Immu Plus อินโฟว์ไลฟ ไฟเบอร์ อิมมูพลัส ทางเลือกใหม่เพื่อสุขภาพลำไส้ที่ดีของลูกน้อย

      อาการท้องผูกในเด็กเป็นปัญหาที่พบได้บ่อย และไม่ควรมองข้าม เพราะหากปล่อยไว้อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพและพัฒนาการของเด็กในระยะยาวได้ Infolife Fiber Immu Plus คือผลิตภัณฑ์ใยอาหารธรรมชาติสำหรับเด็กที่พัฒนาขึ้นเพื่อช่วยแก้ปัญหานี้ ด้วยส่วนผสมของ Postbiotic และ Prebiotic ที่ทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพในการปรับสมดุลระบบทางเดินอาหาร ช่วยให้ลำไส้ของลูกน้อยทำงานได้เต็มที่ ลดอาการท้องผูก และส่งเสริมสุขภาพโดยรวม

      จุดเด่นของ Infolife Fiber Immu Plus

      • ใยอาหารธรรมชาติ: ผลิตจากใยอาหารธรรมชาติที่ละลายง่ายในน้ำร้อนหรือเย็น สามารถผสมในอาหารและเครื่องดื่มหลากหลายชนิดโดยไม่เปลี่ยนรสชาติ
      • Postbiotic และ Prebiotic: ส่วนผสมของ Postbiotic และ Prebiotic ช่วยส่งเสริมการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ดีในลำไส้ ปรับสมดุลระบบขับถ่าย และเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน
      • อ่อนโยนต่อระบบทางเดินอาหาร: ไม่ทำให้ปวดบิดเหมือนยาระบาย ช่วยให้อุจจาระนิ่ม ขับถ่ายง่าย และเป็นธรรมชาติ
      • สำหรับเด็กทานยาก: ไม่มีรส ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น ทำให้ง่ายต่อการผสมในเมนูโปรดของลูกน้อย
      • ปริมาณใยอาหารสูง: ในอินโฟว์ไลฟ ไฟเบอร์ อิมมูพลัส 1 ซอง จะมีใยอาหาร 5 กรัม เทียบเท่ากับการรับประทานผักในปริมาณมาก

      Infolife Fiber Immu Plus เหมาะสำหรับ

      • เด็กที่มีปัญหาท้องผูก
      • เด็กที่ไม่ชอบทานผัก
      • เด็กที่มีปัญหาในการขับถ่าย

      Infolife Fiber Immu Plus ไม่เพียงแต่เป็นผลิตภัณฑ์ที่ช่วยแก้ปัญหาท้องผูกในเด็กเท่านั้น แต่ยังเป็นตัวช่วยสำคัญที่ทำให้คุณพ่อคุณแม่คลายความกังวลใจ และมอบสุขภาพที่ดีให้กับลูกน้อยได้อย่างยั่งยืน ด้วยรางวัล Editor’s Choice สาขา BEST KIDS FIBER DIETARY SUPPLEMENT จากงาน Amarin Baby And Kids Awards 2024 เป็นเครื่องการันตีถึงคุณภาพและความไว้วางใจจากบรรณาธิการผู้เชี่ยวชาญด้านแม่และเด็ก

      แม้ว่าการรับประทานผักผลไม้จะเป็นสิ่งที่ดี แต่ในบางครั้งปริมาณใยอาหารที่ได้รับอาจไม่เพียงพอ อินโฟว์ไลฟ ไฟเบอร์ อิมมูพลัส มีปริมาณใยอาหารเข้มข้นกว่าการทานผักผลไม้ทั่วไป และยังมี Postbiotic ที่ช่วยเสริมการทำงานของระบบลำไส้และภูมิคุ้มกันสำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่ต้องการตัวช่วยที่ดีสำหรับดูแลสุขภาพลำไส้ของลูกน้อยที่มีความอ่อนโยนและมีประสิทธิภาพ อินโฟว์ไลฟ ไฟเบอร์ อิมมูพลัส คือตัวช่วยที่ดี

      ปัญหาท้องผูกในเด็กเป็นเรื่องที่คุณพ่อคุณแม่ไม่ควรมองข้าม เพราะอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพและพัฒนาการของลูกน้อยในระยะยาว การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ใยอาหารธรรมชาติอย่าง Infolife Fiber Immu Plus เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ปลอดภัยและอ่อนโยนต่อระบบขับถ่ายของเด็กๆ

      หากคุณพ่อคุณแม่ท่านใดสนใจข้อมูลเพิ่มเติม หรือต้องการคำแนะนำในการดูแลสุขภาพระบบขับถ่ายของลูกน้อย สามารถติดต่อสอบถามได้ที่ช่องทางเหล่านี้

      Facebook: Infolife Fiber Thailand

      Website: https://infolifefiber.com/?fbclid=IwZXh0bgNhZW0CMTAAAR1BEHmaDtxpDdVcYa1L3nGWASM-21u_dkZTGx4mCZuTyUiMTCtLou3FRlU_aem_ErEyl5aUX0aSZpj_EPFw3g

      อินโฟว์ไลฟ ไฟเบอร์ อิมมูพลัส พร้อมเป็นตัวช่วยให้ลูกน้อยของคุณมีระบบขับถ่ายที่ดี สุขภาพแข็งแรง และเติบโตอย่างมีความสุข

        นมโคแท้ 100% รสจืด

        ประโยชน์ของ นม UHT นมโคแท้ 100% รสจืด ที่ลูกวัยขวบควรได้รับ

        หากพูดถึงอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย “นม” คือ อาหารอย่างหนึ่งที่ได้รับความนิยม ตั้งแต่เด็กจนโต เพราะประโยชน์ของนมนั้นมีมากมาย อุดมไปด้วยสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย เช่น โปรตีน แคลเซียม วิตามินและเกลือแร่ต่างๆ ช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง โดยเฉพาะเด็กๆ วัยที่กำลังเจริญเติบโต นมจะมีช่วยเสริมสร้างการเจริญเติบโตของร่างกาย ส่งเสริมพัฒนาการทางด้านสมอง แต่ก็ควรกินนมร่วมกับการกินอาหารให้ครบ 5 หมู่ตามหลักโภชนาการด้วยนะคะ

        นมกล่อง UHT หรือ นมโคแท้ 100% รสจืด เป็นนมสำหรับเด็กอายุ 1 ปีขึ้นไป ซึ่งคุณแม่ยุคใหม่ควรเลือกนมที่มีสารอาหารที่หลากหลายและเหมาะกับลูกน้อยในแต่ละช่วงวัย ทีมแม่ ABK จึงมีนมกล่องเด็กตัวตึงมาแนะนำ บอกเลยว่าสารอาหารครบ ลูกได้ประโยชน์เต็มกล่องแน่นอน

        โฟร์โมสต์ นมโคแท้ 100% รสจืด

        (Foremost 100% UHT Plain Milk)

        นมวัว โฟร์โมสต์ UHT รสจืด ที่สุดแห่งนมโคแท้ 100% ที่คุณพ่อคุณแม่ไว้ใจ คัดสรรคุณภาพเพื่อเด็กและทุกคนในครอบครัวผลิตจากนมโคแท้ 100% มาตรฐาน Gold Standard ที่ได้จากเหล่าแม่วัวพันธุ์ดีซึ่งเลี้ยงดูตามหลักสูตรพัฒนาคุณภาพน้ำนม 7 Diamonds สร้างสรรค์เป็นนมกล่องที่อุดมด้วยคุณค่าทางโภชนาการ แคลเซียมสูง อีกทั้งเต็มไปด้วยวิตามิน โปรตีน และแร่ธาตุต่าง ๆ ที่ช่วยให้ลูกน้อยเจริญเติบโตสมวัย บำรุงร่างกายและสมองสำหรับคนทุกช่วงวัย บรรจุในกล่องกะทัดรัด พกพาไปดื่มง่ายได้ทุกที่ทุกเวลา

        คุณประโยชน์จากสารอาหาร

        โฟร์โมสต์ นมยูเอชที รสจืด หอม
        อร่อยเข้มข้น ได้ประโยชน์จากนมโคแท้ 100%

        • โอเมก้า 3, 6, 9 และวิตามินบี 12 = มีส่วนช่วยในการทำงานปกติของระบบประสาทและสมอง
        • โปรตีนและกรดอะมิโนจำเป็น 9 ชนิด = จำเป็นต่อการเจริญเติบโตและช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกาย
        • แคลเซียมและฟอสฟอรัส = มีส่วนช่วยในกระบวนการสร้างกระดูกและฟันที่แข็งแรง
        • วิตามินดีและวิตามินเค = มีส่วนช่วยคงสภาพปกติของกระดูก
        • วิตามินบี 1 = มีส่วนช่วยในการทำงานตามปกติของระบบประสาทและกล้ามเนื้อ
        • วิตามินบี 2 = มีส่วนช่วยให้ร่างกายได้รับพลังงานจากคาร์โบไฮเดรต โปรตีน และไขมันตามปกติ
        • วิตามินเอ = ช่วยในการคงสภาพการมองเห็น
        • ไอโอดีน = มีส่วนช่วยในการสร้างฮอร์โมนไทรอยด์และการทำงานของไทรอยด์ตามปกติ

        วิธีรับประทาน

        1. เขย่ากล่องนมก่อนดื่ม
        2. ควรดื่มนมให้หมดในทันที หลังเปิดกล่องนม
        3. สามารถนำนมยูเอชทีไปแช่เย็นเพื่อเพิ่มความอร่อยกลมกล่อมมากยิ่งขึ้น
        4. สามารถนำนมยูเอชทีไปประยุกต์ในเมนูอาหารสำหรับเด็กเพื่อเพิ่มความอร่อย เติมคุณค่าทางสารอาหารให้ทุกมื้อ

        วิธีเก็บรักษา

        1. ควรเก็บนมยูเอชทีไว้ในอุณหภูมิปกติ
        2. ไม่ควรซ้อนกล่องนมยูเอชที หรือลังนมยูเอชทีหลายชั้น เพราะอาจทำให้กล่องนมเสียหาย
        3. สามารถเก็บนมยูเอชทีได้นาน 6 เดือน โดยไม่ต้องแช่เย็น (ตรวจสอบวันหมดอายุบนฉลากผลิตภัณฑ์)

        #โฟร์โมสต์ #โฟร์โมสต์รสจืด #โฟร์โมสต์นมโคแท้ #นมวัว #นมโค #ForemostThailand

        หาซื้อได้แล้ววันนี้ที่ 7-11, Lotus’s, Big C, Tops, CJ MORE, Makro ซูเปอร์มาร์เก็ต และร้านค้าทั่วไป

        • สนใจผลิตภัณฑ์ และอ่านข้อมูลเพิ่มเติม: https://bit.ly/3QAqPKM
        • สั่งซื้อออนไลน์ พร้อมจัดส่งถึงบ้าน คลิกเลย: https://bit.ly/41dojPC

          โฟร์โมสต์ โอเมก้า สมาร์ท โกลด์ ตอบโจทย์ พัฒนาการรอบด้านของลูกวัยขวบ+

          เมื่อลูกน้อยเติบโตขึ้น โภชนาการที่เหมาะสมตามวัยก็เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในช่วงวัยขวบปี ซึ่งเป็นช่วงแห่งการพัฒนาทั้งทางร่างกายและสมอง “โฟร์โมสต์ โอเมก้า สมาร์ท โกลด์” สูตรใหม่ ในกล่องสีทอง จึงถูกพัฒนาขึ้นเพื่อตอบโจทย์ความต้องการทางโภชนาการที่เปลี่ยนแปลงไปของลูกน้อยวัยนี้ ด้วยสารอาหารที่หลากหลายและจำเป็นต่อพัฒนาการรอบด้าน เพื่อให้ลูกน้อยเติบโตสมวัยและมีพัฒนาการอย่างเต็มที่

          เมื่อลูกน้อยก้าวเข้าสู่วัย 1 ขวบ ถือเป็นช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ พัฒนาการของเด็กวัยนี้จะก้าวกระโดดอย่างเห็นได้ชัดในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านร่างกาย สติปัญญา ภาษา และสังคม การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ล้วนเป็นรากฐานสำคัญสำหรับการเติบโตและเรียนรู้ของลูกน้อยในอนาคต คุณพ่อคุณแม่จึงมีบทบาทสำคัญในการทำความเข้าใจและส่งเสริมพัฒนาการของลูกน้อยอย่างเหมาะสม เพื่อให้เขาเติบโตอย่างมีความสุขและเต็มศักยภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของโภชนาการ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญต่อการพัฒนาทั้งร่างกายและสมอง ซึ่งแน่นอนว่าลูกควรได้รับโภชนาการสารอาหารที่มีประโยชน์อย่างครบ 5 หมู่ในมื้ออาหาร และลูกในวัยขวบนอกจากอาหารมื้อหลักแล้ว ก็ยังจำเป็นต้องได้รับการเสริมให้ดื่มนมทุกวันด้วยนะคะ

          นมโฟร์โมสต์ โอเมก้า สมาร์ท โกลด์ คว้า Editor’s Choice สาขา BEST UHT MILK AWARD จากงาน Amarin Baby & Kids Awards 2024 ซึ่งจัดโดยเว็บไซต์ Amarin Baby & Kids สื่อชั้นนำด้านแม่และเด็กในประเทศไทย โฟร์โมสต์ โอเมก้า สมาร์ท โกลด์ ได้รับการคัดเลือกจากทีมบรรณาธิการของ Amarin Baby & Kids ให้เป็นสุดยอดนมยูเอชทีสำหรับเด็ก

          • คุณค่าทางโภชนาการสูง โฟร์โมสต์ โอเมก้า สมาร์ท โกลด์ อุดมไปด้วยสารอาหารที่จำเป็นต่อพัฒนาการของเด็กวัยเรียนรู้ เช่น ดีเอชเอ สฟิงโกไมอีลิน โอเมก้า 3,6,9 และวิตามินบี 12 ซึ่งมีส่วนช่วยในการทำงานตามปกติของระบบประสาท รวมถึงแคลเซียมที่ช่วยในการเจริญเติบโต
          • ตอบโจทย์ความต้องการของเด็กวัยเรียนรู้ นมยูเอชทีโฟร์โมสต์ โอเมก้า สมาร์ท โกลด์ ได้รับการพัฒนาสูตรให้มีสารอาหารเสริมพัฒนาการมากกว่า 23 ชนิด เพื่อให้เหมาะสมกับเด็กวัยเรียนรู้ ซึ่งเป็นวัยที่ต้องการสารอาหารที่หลากหลายเพื่อสนับสนุนพัฒนาการทั้งทางร่างกายและสมอง

          นมโฟร์โมสต์ โอเมก้า สมาร์ท โกลด์ สูตรใหม่ ที่ดีกว่าเดิม

          คุณพ่อคุณแม่ที่มีลูกอยู่ในช่วงวัยขวบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วง 4 ขวบปีแรกของชีวิต เป็นช่วงที่สมองของลูกถูกพัฒนาขึ้นได้มากถึง 85% ซึ่งการเสริมนมที่มีเฉพาะแคลเซียมเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอกับเด็กๆ ในช่วงวัยนี้ ดังนั้นเพื่อให้ตอบโจทย์ความต้องของเด็กช่วงวัยขวบ โฟร์โมสต์ โอเมก้า สมาร์ท โกลด์ 1 พลัส ได้มีการคิดค้นพัฒนาและยกระดับคุณค่าสารอาหารไปอีกขั้นด้วยการผสานคุณค่าสารอาหารเสริมพัฒนาการสมองมากกว่า 5 ชนิด ในกล่องเดียว

          • DHA ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานของเซลล์สมอง
          • สฟิงโกไมอีลิน เสริมประสิทธิภาพการส่งสัญญาณระหว่างเซลล์สมอง
          • โอเมก้า 3 บำรุงการทำงานของเซลล์สมอง
          • MFGM เสริมการเชื่อมต่อระหว่างเซลล์สมอง
          • โคลีน ช่วยสร้างสารสื่อประสาทที่เกี่ยวข้องกับความจำและการเรียนรู้
          • วิตามินบี 12 มีส่วนช่วยในการทำงานของระบบประสาทและาสมอง

          เพื่อให้ดีครบจบในกล่องเดียว นมโฟร์โมสต์ โอเมก้า สมาร์ท โกลด์ ยังให้ความสำคัญกับภูมิคุ้มกันแข็งแรงของร่างกายให้กับเด็กๆ ด้วยสารอาหารสำคัญที่คัดมาเป็นพิเศษนั่นก็คือ

          • GOS BIO-ACTIVE (กอส ไบโอ-แอคทีฟ) เป็นพรีไบโอติค ที่ผลิตด้วยเอมไซม์พิเศษเฉพาะ ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรงจากภายใน ช่วยให้ลำไส้ทำงานดี และขับถ่ายได้ง่าย
          • วิตามินซี มีส่วนช่วยในการทำหน้าที่ตามปกติของระบบภูมิคุ้มกัน
          • วิตามินอี มีส่วนช่วยในการปกป้องเซลล์จากอนุมูลอิสระ

          โฟร์โมสต์ โอเมก้า สมาร์ท โกลด์ สูตรใหม่ เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่ต้องการดูแลพัฒนาการของลูกน้อยวัย 1 ขวบอย่างครบถ้วน ด้วยสารอาหารสำคัญที่ครบครันในกล่องเดียว ไม่ว่าจะเป็น

          1. พัฒนาสมองและการเรียนรู้ ส่งเสริมพัฒนาการทางสมองและการเรียนรู้ให้สมวัย
          2. เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันที่ดีให้ลูกน้อย
          3. การเจริญเติบโตแข็งแรง สนับสนุนการเจริญเติบโตที่แข็งแรงสมวัย

          โฟร์โมสต์ โอเมก้า สมาร์ท โกลด์ สูตรใหม่ จึงเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยที่จะทำให้ลูกน้อยเติบโตขึ้นอย่างแข็งแรงและมีพัฒนาการที่ดีในทุกๆ วันค่ะ

          คุณพ่อคุณแม่สามารถติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ คลิก www.foremostthailand.com

            ให้ของขวัญลูกอย่างไร แบบใส่ใจ…คลายกังวล

            ในยุคสมัยที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา นอกจากความรัก ความอบอุ่น และเวลาจากคุณพ่อคุณแม่ซึ่งถือเป็นสิ่งสำคัญขั้นพื้นฐานสำหรับเด็กทุกคนแล้ว ยังมีเด็กหลายคนอาจต้องการของขวัญสักชิ้นจากคุณพ่อคุณแม่ การซื้ออะไรให้ลูกนั้น อาจกลายเป็นการบ้านข้อใหญ่ว่าจะให้อะไรกับลูกดีที่เหมาะสมและคุ้มค่า

            แนวคิดดีๆ จาก ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น นายแพทย์ชาตรี วิฑูรชาติ ได้ให้ 4 หลักคิด ที่ควรคำนึงก่อนซื้อของขวัญให้ลูกรัก ไว้ดังนี้

            4 หลักคิด ก่อนการซื้อของขวัญ

            1. เลือกของที่ใช้ประโยชน์ได้ เป็นของที่ใช้ประโยชน์ได้จริงจะทำให้ผู้รับมีความสุขและรู้สึกว่าของขวัญนั้นมีคุณค่า
            2. ให้ของขวัญที่สื่อถึงความรัก เป็นของที่แสดงถึงความห่วงใย ให้ความสำคัญ และมีความหมาย
            3. ไม่เน้นมูลค่าหรือราคา ให้เน้นความใส่ใจ และประโยชน์ใช้สอยมากกว่าราคาของสินค้า
            4. เป็นกิจกรรมสร้างสรรค์ที่ทำร่วมกัน เพราะการให้ของขวัญกับเด็กอาจไม่จำเป็นต้องเป็นสิ่งของเสมอไป การพาลูกไปเข้าร่วมกิจกรรมที่หลากหลาย ช่วยให้ลูกมีโอกาสค้นหาตัวตน และส่งเสริมเพื่อพัฒนาได้

            อีกหนึ่งตัวเลือกหากจะหาของขวัญสักชิ้นที่สื่อถึงความรัก ความใส่ใจของคุณพ่อคุณแม่ และช่วยปกป้อง ดูแลอนาคตลูกรักของเรา แนะนำแบบประกัน กรุงเทพ แฮปปี้ คิดส์ ประกันสะสมทรัพย์ที่มีระยะเวลาคุ้มครอง 99 ปี มีระยะเวลาการออม 20 ปี ซึ่งถือเป็นของขวัญล้ำค่าคุ้มครองรอบด้าน

            • รับเงินคืนการันตีตลอดสัญญา ถึงอายุ 98 ปี ปีละ 1% ของจำนวนเงินเอาประกันภัย
            • รับเงินก้อน 20% เพื่อเป็นของขวัญให้ลูกน้อย ในปีกรมธรรม์ที่ 20
            • ครบกำหนดสัญญารับเงินผลประโยชน์พร้อมเงินคืนพิเศษ 220% ของจำนวนเงินเอาประกันภัย
            • อุ่นใจกับหลักประกันที่เป็นมรดกตกทอดสู่ลูกหลานในอนาคตได้
            • รับผลประโยชน์เงินก้อน 50% ของจำนวนเงินเอาประกันภัย หากผู้ชำระเบี้ยประกันภัยเสียชีวิตหรือทุพพลภาพสิ้นเชิงถาวร

            ผู้ที่สนใจสามารถสมัครทำประกันได้ผ่านตัวแทนประกันชีวิตและที่ปรึกษาการเงิน กรุงเทพประกันชีวิต และดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์กรุงเทพประกันชีวิต https://bla.bangkoklife.com/BK_HappyKids_ABK

            หรือติดต่อ Call Center โทร. 02-777-8888

            ผู้เขียน: คุณสิริธนภักสร มิ่งสมรธนินธร, AFPT

            ผู้บริหารส่วนสนับสนุนและวิชาการ บมจ. กรุงเทพประกันชีวิต

              อนุบาลกุ๊กไก่ เรียนรู้จากการเล่นและประสบการณ์จริง พัฒนาเด็กรอบด้านแบบองค์รวม

              โรงเรียนอนุบาลเล็ก ๆ ที่เราจะมาแนะนำในวันนี้ เป็นโรงเรียนที่มีความเชี่ยวชาญเรื่องเด็กปฐมวัยมาก ๆ ค่ะ แถมรูปแบบหลักสูตรและการเรียนการสอนก็ทันสมัยอยู่ตลอด แม้ว่าจะเปิดสอนมาแล้วกว่า 48 ปีก็ตาม ที่สำคัญยังเป็นโรงเรียนที่มุ่งมั่นในการพัฒนาครูอย่างสม่ำเสมอ พัฒนาเด็กอย่างรอบด้าน ทั้งทางร่างกาย อารมณ์ สังคม และสติปัญญา อย่างเป็นองค์รวม ทั้งหมดที่กล่าวมานี้รวมอยู่ที่นี่ค่ะ

              โรงเรียนอนุบาลกุ๊กไก่ โรงเรียนอนุบาลกุ๊กไก่ ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2520 และเปิดสอนในระดับชั้นเตรียมอนุบาล – อนุบาล 3 สำหรับเด็กวัย 2-6 ปี ตั้งอยู่ย่านพระราม 4 เขตคลองเตย บนเนื้อที่ประมาณ 2 ไร่ ที่นี่เน้นสอนให้เด็กเตรียมความพร้อม และเรียนรู้จากการลงมือทำ เด็กต้องได้คิด ได้พูด ตั้งแต่เริ่มแรก และนอกจากได้การลงมือทำแล้ว ยังได้เรียนรู้เรื่องการวิเคราะห์ วินัย เพื่อให้รู้จักการกรองข้อมูลต่าง ๆ ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญในการสร้างทักษะการเรียนรู้ เพราะโรงเรียนเชื่อมั่นว่า เด็กจะเรียนรู้ได้ดีก็เมื่อได้ลงมือทำกิจกรรมและได้รับประสบการณ์ตรง

              หลอมรวมทฤษฎีต่างๆ มาไว้ในหลักสูตร

              โรงเรียนอนุบาลกุ๊กไก่ได้นำทฤษฎีต่าง ๆ ทั่วโลกและวิธีการสอนมาปรับใช้ในหลักการจัดการศึกษา เช่นBrain Based Learning (การเรียนรู้ตาม ผลวิจัยต่าง ๆ เกี่ยวกับสมอง) Multiple Intelligence (พหุปัญญา หรือ ความฉลาดที่มีหลายด้าน ซึ่งทุกคนมีทุกด้านมากน้อยในแต่ละด้านต่างกันไป) Constructivism และ Constructionism (ทฤษฎีการสร้างความรู้ด้วยตนเอง Learning by Doing) EF หรือ Executive Functions การพัฒนาทักษะของสมองส่วนหน้า 3 ด้าน เป็นต้น

              ซึ่งทฤษฎีต่างๆ จะถูกนำมาใช้ในการจัดสิ่งแวดล้อมและการเรียนรู้ให้เด็ก ๆ นอกจากนี้ยังมีนวัตกรรมต่าง ๆ ที่น่าสนใจ ที่เด็ก ๆ จะได้เรียนดังต่อไปนี้

              • Thematic Learning หรือการเรียนรู้ตามหน่วยการเรียนรู้เกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ รอบตัวเด็ก โดยเรียนรู้จากสิ่งที่ใกล้ตัวเด็กมากที่สุดออกไปสู่โลกกว้างขึ้น
              • Project Approach (โปรเจคแอพโพรช) เป็นการเรียนรู้อย่างลุ่มลึกเกี่ยวกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่เด็กสนใจและเลือกที่จะเรียนรู้กันเอง ได้ลงมือสำรวจ สัมผัส ทดลอง สืบค้น คิดหาคำตอบ และแก้ปัญหา โดยมีครูเป็นผู้สนับสนุน การเรียนรู้เปรียบเสมือนการเสริมสร้างทักษะวิจัยแบบง่าย ๆ ที่เด็กได้ใช้ทักษะต่าง ๆ ลงมือเรียนรู้ด้วยตนเองต่อไปได้จนเป็นผู้ใหญ่
              • Creative Curriculum เป็นวิธีการเรียนรู้ผ่านการเล่นเสรี โดยจัดสิ่งแวดล้อมภายในและภายนอกห้องเรียนให้เด็กเลือกที่จะเล่นและเรียนรู้อย่างเสรีผ่านการเล่น
              • Montessori เป็นวิธีการเรียนรู้ที่เด็กเลือกการเรียนรู้จากกิจกรรมหลากหลายด้วยตนเอง มีอุปกรณ์เฉพาะในการฝึกทักษะเด็กในด้านต่างๆ ซึ่งโรงเรียนอนุบาลกุ๊กไก่เลือกนำอุปกรณ์บางอย่างของ Montessori มาให้เด็กได้ใช้ฝึกทักษะ
              • STEAM เป็นการฟูมฟักความรู้ความเข้าใจในโลกรอบตัว โดยเด็กได้เรียนรู้ทักษะของวิชาต่าง ๆ ไปด้วยอย่างแยบยล และลงมือเรียนรู้ด้วยตัวเด็กเอง ทักษะวิชาคือ Science หรือ วิทยาศาสตร์ Technology หรือ เทคโนโลยี Engineering หรือวิศวกรรมศาสตร์ Mathematics หรือ คณิตศาสตร์ เด็กเรียนรู้ STEM ผ่านการเล่น การทดลอง และ Arts (ศิลปะรูปแบบต่างๆ)

              เด็ก ๆ ได้เรียนรู้ที่จะทำงานร่วมกัน
              สำรวจธรรมชาติรอบ ๆ โรงเรียน

              ศิลปะรูปแบบ Process Art จุดเด่นที่ไม่เหมือนใคร

              ที่โรงเรียนอนุบาลกุ๊กไก่ ให้เด็ก ๆ ได้เรียนรู้ศิลปะ Process Art คือ ศิลปะที่เน้นกระบวนการเป็นสิ่งสำคัญมากกว่าผลลัพท์ ป็นการเรียนรู้ที่มีประโยชน์กับเด็กมาก ๆ ทั้งได้ทดลอง สร้างสรรค์ เสริมสร้างทักษะการคิดและตัดสินใจ ช่วยให้เกิดความเข้าใจในสิ่งต่าง ๆ รอบตัวเด็ก และศิลปะจะกลายเป็นสิ่งที่สนุกสำหรับเด็ก

              เด็ก ๆ จะได้ลงมือวาดเองหรือทำงานศิลปะด้วยตนเอง โดยที่ไม่มีแบบให้ดูค่ะ เป็นศิลปะแบบปลายเปิด หมายถึงจะทำอย่างไรก็ได้ตามที่เด็กจะคิดทดลอง ไม่มีความคาดหวังในผลงานว่าต้องออกมาเป็นอย่างนู้นอย่างนี้ ไม่มีข้อจำกัดเรื่องเวลา จะทำนานแค่ใดก็ได้ ทำตอนไหนก็ได้ ไม่อยากทำก็พักไว้ก่อน เด็ก ๆ จะได้ทดลองทำด้วยวิธีต่าง ๆ ใช้อุปกรณ์และสื่อหลาย ๆ อย่าง ตามแต่ใจเด็ก เช่น ทดลองใช้กาว หรือกระดาษแบบต่าง ๆ ได้ค้นพบวิธีใหม่ วัสดุใหม่ ด้วยตนเอง เช่น เรียนรู้เองว่ากาวแบบไหนจะใช้กับวัสดุแบบไหน กระดาษแบบใดโดนกาวมาก ๆ จะเป็นอย่างไร

              การเรียนรูปแบบนี้ จะไม่มีการบอกกล่าวตัดสินผลงานของเด็ก แต่ยอมรับและเคารพผลงานของเด็ก ๆ ทุกคนทุกชิ้นผู้ใหญ่จะต้องเชื่อมั่นในตัวเด็ก ว่าเขาสามารถทำได้ แม้ว่าหลายครั้งเด็กอาจจะไม่สามารถทำตามแผนได้ เขาก็จะสามารถยืดหยุ่นความคิดและแก้ปัญหาได้ด้วยตนเอง

              Process Art ช่วยเรื่อง หรือ EF อย่างไร

              กระบวนการในการทำศิลปะรูปแบบนี้ เด็กจะมีอิสระในการทำผลงาน ไม่มีถูกไม่มีผิด จึงทำให้เด็ก ๆ มีความมั่นใจในการทำ และสามารถจดจ่อทำกิจกรรมได้ระยะเวลานาน ซึ่งเป็นทักษะกำกับตนเองที่ดี สามารถที่จะเรียนรู้ที่จะใช้สื่อต่าง ๆ และวางแผนในการเลือกใช้สื่ออุปกรณ์ ด้วยตนเอง ช่วยพัฒนาและใช้ทักษะการคิดแก้ปัญหาได้ดี และมีทักษะในการทำงานกับเพื่อน มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ การคิดวางแผน การมีเป้าหมาย รวมถึงเมื่อลงมือกระทำ เมื่อทำ Process Art ที่เน้นกระบวนการไปเรื่อย ๆ แล้ว เด็กจะสามารถควบคุมอารมณ์และมีความพยายามทำให้สำเร็จได้ดีขึ้นเรื่อย ๆ

              ด้านภาษาและการอ่านเขียน

              การอ่านเขียน โรงเรียนจะเน้นเรียนรู้ผ่านการเล่น และให้เรียนรู้จากสิ่งรอบตัวเด็ก หรือสิ่งที่เด็กสนใจ ให้เด็ก ๆ ได้ซึมซับ อาจจะเลือกพูดคุยเกี่ยวกับผลงานของตน และเพิ่มตัวหนังสือให้กับผลงานของตนเอง (เขียนเอง หรือ บอกให้ครูเขียนให้)

              ที่โรงเรียนอนุบาลกุ๊กไก่เชื่อว่า การใช้ภาษาไทยเป็นภาษาหลักในโรงเรียนมีความสำคัญยิ่งต่อการเรียนรู้ของเด็กที่เติบโตในประเทศไทยและอยู่ในบริบทสิ่งแวดล้อมที่ใช้ภาษาไทย เด็กจะสามารถ คิด พูด อธิบาย ได้อย่างมีประสิทธิภาพ บอกเล่าสิ่งต่าง ๆ ที่ตนเองคิด ต้องการสื่อสารได้ดีมากขึ้น ส่วนวิชาภาษาอังกฤษ โรงเรียนจัดให้มีครูเจ้าของภาษา (native English speaking teachers) เข้าไปเล่นกับเด็กในช่วงเช้า ครั้งละ 2 ชั่วโมง สัปดาห์ละ 2-3 วัน และสอนภาษาอังกฤษคาบละ 20-30 นาทีตามความเหมาะสมกับอายุ เพื่อให้เด็ก ๆ สามารถซึมซับภาษาตามธรรมชาติ นอกจากนี้โรงเรียนยังมีหลักสูตรเสริมภาษาอังกฤษ (Extra English Program) ที่ผู้ปกครองสามารถเลือกให้เด็กได้ ซึ่งสอนโดยครูต่างชาติที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลักเช่นกัน

              Teacher นั่งเล่นกับเด็ก ๆ เพื่อสร้างความคุ้นเคย
              เรียนดนตรี ในรูปแบบ ยูริธึมมิก (Eurhythmic) ใช้ความรู้สึกกับเสียงเพลง
              “ครูไก่” วิวรรณ สารกิจปรีชา ผู้อำนวยการและเจ้าของโรงเรียนอนุบาลกุ๊กไก่ และบุตรสาว คุณ “แวว” วรมน สารกิจปรีชา ที่เข้ามาช่วยบริหารโรงเรียนอนุบาลกุ๊กไก่ในปัจจุบัน

              Mommy Love This! ถูกใจแม่

              1. ที่นี่มีหลักสูตรการเรียนการสอนที่ทันสมัยและเป็นที่ยอมรับของชาวต่างชาตินะคะ จะเห็นว่ามีเด็กต่างชาติมาเรียนกันค่อนข้างเยอะเลยค่ะ เพราะหลักสูตรที่น่าสนใจและได้เรียนภาษาไทยด้วย
              2. สัดส่วนการครูต่อเด็ก ๆ ค่อนข้างเยอะ ครู 3-4 คนต่อเด็ก 20-24 คน เพราะที่นี่เน้นให้ครูฟังเด็ก และยังเป็นครูที่จบปฐมวัยทั้งหมด ดูแลเด็กทั่วถึงแน่นอนค่ะ
              3. มี Native Teacher มาพูดคุยกับเด็ก ๆ ทั้งช่วงเวลาเรียน สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง และ ทุก ๆ เช้า เพื่อทำความคุ้นเคย รวมถึงมี Extra English หลังเลิกเรียนให้ผู้ปกครองเลือกตามความสนใจด้วย
              4. โรงเรียนไม่เร่งเรียน ให้เด็กเรียนอย่างมีความสุข ตามช่วงวัย
              5. โรงเรียนฝึกให้เด็กช่วยเหลือตัวเองตั้งแต่เล็ก ๆ ทั้งทานอาหาร แปรงฟัง แต่งตัว เลิกแพมเพิส ฝึกวินัยกันตั้งแต่เด็กก็ช่วยแบ่งเบาภาระผู้ปกครองไปได้เยอะเลยค่ะ
              6. โรงเรียนไม่มีการสอบ คุณครูจะประเมินเด็กทุก ๆ วัน จะคอยสังเกตโดยรวมและรายบุคคล ข้อนี้แม่ชอบมากค่ะ
              7. ที่นี่เรียนดนตรี ในรูปแบบ ยูริธึมมิก (Eurhythmic) ใช้ความรู้สึกกับเสียงเพลง ฟังเพลงนี้แล้วอยากออกท่าทางอย่างไร ตามจินตนากรเกี่ยวข้องกับการตั้งใจฟังเสียงอย่างมีสมาธิและตอบสนองต่อองค์ประกอบของดนตรีง่าย ๆ ในเรื่อง จังหวะ ระดับเสียง ความดังเบา ความยาวสั้น เรียนรู้เรื่องจังหวะและโน้ตเพลง เมื่อเด็กสามารถแยกเสียงออกได้ก็จะมีประโยชน์กับการเรียนภาษาและสอดแทรก Classical Music เข้ามาผสมผสาน
              8. โรงเรียนสอนให้เด็ก ๆ ฝึกคิดตลอดเวลา คือ เด็กจะมีความรู้เดิมของตัวเอง หัดคาดคะเน เมื่อได้เรียนรู้เพิ่มเติม ได้ออกไปเจอสิ่งนั้นจริง ๆ ก็กลับมาพูดคุยกันว่าสิ่งที่เราคาดคะเนไว้มันถูกหรือผิดหรือได้ความรู้ใหม่อะไรมาเพิ่มเติมบ้าง

              อัตราเค่าเล่าเรียน

              ค่าแรกเข้า 6,000 บาท

              ค่าธรรมเนียมการศึกษาและค่าอาหาร 58,300 บาท (*หมายเหตุ ราคานี้ยังไม่รวมค่าอุกรณ์การเรียน ค่าเครื่องแบบและอื่น ๆ )

              ที่อยู่ อนุบาลกุ๊กไก่

              3810 ถนนพระราม 4 แขวงคลองตัน เขตคลองเตย กทม.10110 โทร.02-249-0081-3

              Facebook : https://www.facebook.com/kukaikindergarten

              Website : www.kukai.ac.th

                รวม 10 โรงเรียนทางเลือก ที่คัดมาแล้วว่าดีและใช่ พร้อมค่าเทอม ประจำปี 2025

                School Visit วันนี้ทีมแม่ ABK รวบรวม โรงเรียนทางเลือก ดี ๆ ย่านกรุงเทพฯและปริมณฑลมาฝากกันค่ะ บ้านไหนกำลังมองหาโรงเรียนทางเลือกอยู่ ตามไปดูหลักสูตรของแต่ละที่และส่องค่าเทอมกันได้เลย

                1. โรงเรียนเพลินพัฒนา
                โรงเรียนทางเลือก ที่แรก เพลินพัฒนา เป็นโรงเรียนเล็กในโรงเรียนใหญ่ เปิดสอนตั้งแต่ระดับ อนุบาล – มัธยม ให้ความสำคัญกับความเป็นมนุษย์ หัวใจของโรงเรียนคือการสร้างคนให้เป็นคน สร้างคนให้มีคาแรคเตอร์ เพราะรู้ว่าเด็กแต่ละคนต่างกัน ความเก่งเป็นเรื่องสำคัญแต่ไม่ได้สำคัญที่สุด  คุณครูจะช่วยมองทุกมุมทุกด้าน แล้วประกอบกันขึ้น หลอมรวมกันจนเป็นคาแรคเตอร์ของเด็กออกมาที่ชัดเจน สอนให้เด็กรู้จักการแก้ปัญหา และมองปัญหาเป็นเรื่องปกติของชีวิต สำเร็จก็ได้ไม่สำเร็จก็ได้ ทำให้เด็กมีภูมิคุ้มกันที่ดีในโลกอนาคต ชั้นอนุบาลและประถมศึกษา เป็นการปูพื้นฐาน เรียนแบบลงมือทำ Active Learning โดยใช้การบูณาการวิชาทักษะชีวิต กับวิชาการให้เป็นหนึ่งเดียวกัน เด็กมัธยมต้นที่โรงเรียนเพลินพัมนาจะเน้นการค้นหาตัวตน สามารถเลือกวิชาเรียนเพิ่มเติมได้ด้วยตนเอง เรียนให้หลากหลายเพื่อให้หาตนเองให้เจอ พอเป็นมัธยมปลายเป็นเรื่องการต่อยอด มุ่งมั่นไปตามเส้นทาง   และเพราะเด็กทุกคนไม่ได้เพียบพร้อมสมบูรณ์แบบ อาจมีเด็กบางคนที่มีความพร่อง โรงเรียนจึงเกิดโครงการ No one left behind เราจะไม่ทอดทิ้งใครไว้ข้างหลัง  เด็กเหล่านี้จะได้รับการประคับประคอง ช่วยเหลือ แก้ไข เพื่อให้เด็กดำเนินชีวิตต่อได้ และพร้อมจะช่วยเหลือกัน เพื่อให้เด็กได้ไปต่อ

                อัตราค่าเล่าเรียน : ประมาณ 185,000 – 195,000 บาท / ต่อปี
                ( ราคาปรับเปลี่ยนตามสภาพเศรษฐกิจและตามระเบียบการของแต่ละปีการศึกษาค่ะ )
                อ่านต่อได้ที่นี่

                2. โรงเรียนทอรัก

                โรงเรียนทางเลือกย่านสมุทรปราการ เปิดสอนระดับชั้นอนุบาล- ประถม 6 และเปิดทำการสอนมายาวนานกว่า 27 ปี  เน้นสร้างเด็กให้เก่งโดยไม่ต้องเร่งเรียน ให้เด็กเรียนรู้ตามธรรมชาติ การเรียนการสอนในรูปแบบภาษาธรรมชาติ ( Whole Language Approach ) ที่ยึดเด็กเป็นศูนย์กลาง ( Child Centered ) โดยใช้แนวการเรียนการสอนแบบโครงการ ( Project Approach ) และการเรียนการสอนเป็นธีม (Thematic Approach)  เป็นโรงเรียนที่ให้ความสำคัญด้านจิตใจของเด็ก ๆ  และเน้นการปลูกฝังมากกว่าการหวังผลลัพธ์ระยะสั้น การเรียนรู้ของเด็กต้องมาจากความรักและความเมตตาของครูผู้สอน ที่นี่เด็ก ๆ จะเรียนอย่างมีความสุข สนุก รู้สึกปลอดภัย และรักที่จะมาโรงเรียน โรงเรียนไม่ประเมินผลเด็กจากคะแนนสอบเพียงอย่างเดียว  แต่จะประเมินจากพัฒนาการทั้ง 4 ด้าน  คือ สังคม อารมณ์-จิตใจ สติปัญญา และร่างกาย  ด้วยแนวคิดที่ว่า เด็กจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ประสบความสำเร็จหรือเป็นคนเก่งต่อไปนั้น  จะต้องมาจากรากฐานการเรียนรู้อย่างมีความสุขซึ่งจะนำไปสู่  “ การเรียนรู้อย่างต่อเนื่องและตลอดชีวิต”

                อัตราค่าเล่าเรียน : ประมาณ 30,000 – 50,000  บาท / เทอม

                ( ราคาปรับเปลี่ยนตามสภาพเศรษฐกิจและตามระเบียบการของแต่ละปีการศึกษาค่ะ )

                อ่านต่อได้ที่นี่

                3. โรงเรียนอนุบาลบ้านพลอยภูมิ

                โรงเรียนทางเลือกขนาดย่อม ที่เปิดโอกาสให้เด็กเรียนรู้และพัฒนาตนเองอย่างเต็มที่ตามศักยภาพของแต่ละคน  โรงเรียนที่สร้างเด็กให้สุขง่าย ทุกข์ยาก และมีสมดุลในการใช้ชีวิต หลักสูตรของโรงเรียนเป็นการเรียนรู้แบบองค์รวม คือเข้าถึงความจริงของธรรมชาติ ที่สอดคล้องกับ มนุษย์ สังคม ธรรมชาติและเทคโนโลยี เรียนรู้ผ่านกาย ใจ ผ่านการลงมือทำ ผ่านการสร้างเรื่องของกระบวนการคิดให้สัมพันธ์กัน พัฒนาชีวิตให้สามารถตัดสินใจได้ถูกต้อง เด็กๆจะกำกับตัวเองได้ และรู้ว่าอะไรควรหรือไม่ควรทำ  กินเป็นอยู่เป็น ไม่เบียดเบียนผู้อื่น  คือเป้าหมายหลักของโรงเรียน  เด็กที่นี่จะได้เรียนรู้หลากหลาย ทั้งดนตรี ศิลปะ เพราะการพัฒนาเด็กควรพัฒนาสมองทั้งสองซีก เพื่อให้เกิดความสมดุล ไม่ใช่เก่งแต่วิชาการ แต่ต้องสามารถเชื่อมโยงมนุษย์ และธรรมชาติ ได้ด้วย ไม่สุดโต่งไปด้านใดด้านหนึ่ง โรงเรียนพยายามสร้างประสบการณ์ที่หลากหลาย   เปิดโอกาสให้ทดลองเล่น จนเจอสิ่งที่เด็กถนัด แม้จะเจอสิ่งที่ไม่ถนัดก็ไม่หยุดพัฒนา

                อัตราค่าเล่าเรียน : 78,000 บาท / เทอม

                ( ราคานี้ยังไม่รวมค่าแรกเข้า และราคาปรับเปลี่ยนตามสภาพเศรษฐกิจและตามระเบียบการของแต่ละปีการศึกษาค่ะ
                อ่านต่อได้ที่นี่

                4. โรงเรียนไตรพัฒน์

                โรงเรียนไตรพัฒน์ จัดการเรียนการสอนแนววอลดอร์ฟ เปิดสอนตั้งแต่ระดับชั้นอนุบาล 1 – มัธยมศึกษาปีที่ 6 การสอนของที่นี่เน้นให้เด็ก ๆ เรียนรู้จากการลงมือทำ ทำให้เขาสามารถปรับใช้กับชีวิตจริงได้ เช่น ในระดับชั้น ป.3 วัยเด็กที่ทุกคนอยากสร้างบ้านของตัวเอง เราอาจเอาผ้ามาคลุมทำบ้าน แต่ที่โรงเรียนไตรพัฒน์จะให้เด็กลงมือสร้างบ้านจริงๆ จากความรู้การวัดการคำนวนที่เขาเรียนมา เขาจะได้เลื่อย ได้ตอกไม้ ปีนขึ้นหลังคา ทำให้เด็กเห็นความจริงที่จับต้องได้ เด็กจะได้ลงมือทำอย่างจริงจังเวลาเขามาโรงเรียน ทุกสิ่งทุกอย่างจึงเป็นจริงสำหรับเขา หลักสูตรที่นี่เน้นเด็กเป็นศูนย์กลางอย่างแท้จริง มีการศึกษาอย่างลึกซึ้งว่าเด็ก ๆ แต่ละช่วงวัยต้องการอะไร เขาเรียนรู้ด้วยวิธีไหน เขากำลังพัฒนาอะไร และตอบสนองเขาอย่างเต็มที่ทุกด้าน
                อัตราค่าเล่าเรียน : 46,200-55,900 บาท / เทอม

                (ราคาปรับเปลี่ยนตามสภาพเศรษฐกิจและตามระเบียบการของแต่ละปีการศึกษาค่ะ )

                อ่านต่อได้ที่นี่

                5. โรงเรียนจิตเมตต์

                โรงเรียนที่มุ่งมั่นพัฒนาเด็กสู่ความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์และเน้นพัฒนาทักษะชีวิต ให้เด็กเติบโตอย่างเป็นธรรมชาติท่ามกลางธรรมชาติ และมองเห็นคุณค่าในตนเอง เปิดสอนตั้งแต่ระดับชั้นเตรียมอนุบาล – อนุบาล 3หลักสูตรของโรงเรียนจะถูกออกแบบขึ้นมาจากพื้นฐานทักษะชีวิตและธรรมชาติของเด็กในแต่ละช่วงวัย โดยคำนึงถึง พัฒนาการ 4 ด้าน  EF (Executive Function) และ SELF เพื่อให้เด็กเติบโตไปด้วยความพร้อมทั้งกายและใจ ได้ใช้ศักยภาพของเขาอย่างเต็มที่ที่สุด เด็กจะรู้หน้าที่ มีความรับผิดชอบของตนเองและผู้อื่น สามารถช่วยเหลือตนเองและอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้ โรงเรียนจิตตเมตต์ ไม่ประเมินหรือวัดผลแบบให้คะแนน ให้เกรดในกิจกรรมใด ๆ เด็ก ๆ มีศักยภาพในการประเมินตัวเองอยู่ตลอดเวลาทั้งในขณะที่เล่นหรือทำกิจกรรม เช่น การเล่นปีนป่ายเค้าประเมินตัวเองว่าร่างกายและใจของเขาพร้อมหรือไม่พร้อมแค่ไหน ทำได้ ไม่ได้ วันนี้ไม่ได้พรุ่งนี้ลองทำใหม่จนสำเร็จ, เด็กจะได้ประเมินตัวเองว่าเขาสามารถทำตามแผนต่าง ๆ ได้หรือไม่ ถ้าทำไม่ได้เด็กก็จะรู้ด้วยตัวเอง แล้วเริ่มคิดเองได้ว่า ครั้งหน้าควรจะเข้าฐานให้เร็วขึ้นหรือจบอันนี้เพื่อที่จะไปทำอย่างอื่นได้ตามเป้าหมาย การที่เด็กได้โอกาสในการประเมินตัวเองจะนำไปสู่พัฒนาการที่ดี มีทักษะ EF และ SELF ให้แข็งแรง

                อัตราค่าเล่าเรียน 83,230 บาท / เทอม
                ( ราคานี้ยังไม่รวมค่าแรกเข้า และราคาปรับเปลี่ยนตามสภาพเศรษฐกิจและตามระเบียบการของแต่ละปีการศึกษาค่ะ

                อ่านต่อได้ที่นี่

                6. ศูนย์การเรียนปฐมภูมิธรรม

                เปิดสอนตั้งแต่ระดับชั้น ประถม 1 – 6  มีทุกอย่างครบครันเหมือนโรงเรียนทั่วไปตามนโยบายเรื่องการศึกษา สอนทั้งรายวิชาพื้นฐานทั่วไปและรายวิชาเพิ่มเติม ซึ่งเป็นหลักสูตรที่โรงเรียนออกแบบขึ้นเอง มีความยืดหยุ่นและเน้นกระบวนการมากกว่าเนื้อหา ที่สำคัญคือเป็นหลักสูตรที่ทำให้เด็กมีความสุขในการเรียน  จุดเด่นของโรงเรียน คือ การสร้างเด็ก ให้เป็นเด็กธรรมดา ที่มีความสุขได้ ซึ่งเป็นแก่นแท้ของชีวิต เรียนรู้ความจริงของความเป็นธรรมดาบนพื้นฐานของธรรมชาติ  เด็ก ๆ จะได้ฝึกดูแลตนเองและดูแลผู้อื่น รู้จักตนเอง ชอบ รัก หวัง และอยากเป็นสิ่งใด รู้ศักยภาพและเป้าหมายของตนเอง มีความมุ่งมั่นที่จะทำสิ่งนั้น ๆ ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญที่จะทำให้เด็กรักตัวเอง และมีความพยายามที่จะพัฒนาตนเอง  ไม่เพียงแค่เรียนรู้ที่จะผ่านการทดสอบเท่านั้น แต่ยังเรียนรู้ที่จะเข้าใจความหมายที่แท้จริงของทุกอย่าง ทำงานอย่างไรและทำไม เพื่อทำความเข้าใจในสิ่งที่พวกเขาสัมผัส เพื่อนำความเข้าใจนี้ไปใช้ในสถานการณ์จริง  

                อัตราค่าเล่าเรียน: 85,000 บาท / เทอม

                (ราคาดังกล่าวยังไม่รวมค่าแรกเข้า ค่าใช้จ่ายอื่นๆ และค่าธรรมเนียมการเรียนการสอนจะปรับขึ้นประมาณ 5 -10 % ต่อปีการศึกษา )

                อ่านต่อได้ที่นี่

                7. โรงเรียนทอสี

                โรงเรียนทอสีเปิดสอนตั้งแต่ระดับเตรียมอนุบาล – ประถมศึกษาปีที่ 6 ย่านสุขุมวิท การจัดการเรียนการสอนใช้วิธีบูรณาการคุณธรรมและจริยธรรมเข้าไปในบทเรียน ให้เด็กๆ ได้ซึมซับวิถีพุทธในชีวิตประจำวันอย่างเป็นธรรมชาติและเรียนรู้รอบด้านทั้งการเรียนและการใช้ชีวิต สอนให้รู้จักความสุขแบบง่ายๆ ไม่ต้องไปแก่งแย่งหรือแข่งขันกับใคร แต่ให้แบ่งปันกับตัวเองในวันนี้  เด็ก ๆ จะพร้อมเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดีมีความสุขพร้อมเผื่อแผ่ให้คนรอบข้างและสังคม เป็นโรงเรียนที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว โรงเรียนทอสีจะทำงานร่วมกันกับพ่อแม่ผู้ปกครอง เพราะเชื่อมั่นว่า การเรียนรู้ที่ดีต้องไม่ใช่อยู่แค่เพียงในห้องเรียนหรือโรงเรียนเท่านั้น บ้านก็เป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยทำให้เด็กได้เรียนรู้และมีพัฒนาการที่ดีขึ้น ถ้าคุณอยากให้ลูกเรียนดี มีความสุขและมีคุณธรรมไปพร้อม ๆ กัน รับรองว่าโรงเรียนนี้ตอบโจทย์แน่นอน

                อัตราค่าเล่าเรียน :  68,550- 82,450 บาท / เทอม

                (ราคาดังกล่าวยังไม่รวมค่าแรกเข้าและราคาปรับเปลี่ยนตามสภาพเศรษฐกิจและตามระเบียบการของแต่ละปีการศึกษาค่ะ )

                อ่านต่อได้ที่นี่

                8. ศูนย์การเรียนศิริ์รัถยา

                โรงเรียนเรียบง่ายสไตล์วอลดอร์ฟ ที่เชื่อมโยงการเรียนรู้ระหว่างชีวิตธรรมดา ธรรมชาติ และมนุษย์ เปิดสอนตั้งแต่ระดับชั้นอนุบาล – ประถมศึกษาปีที่ 6  ที่เน้นให้เด็ก ๆ ได้ใช้พลังทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นสติปัญญา ด้านศิลปะ และด้านการปฏิบัติตามศักยภาพของตนเองโดยผ่านกิจกรรม 3 อย่างคือ กิจกรรมทางกาย ผ่านอารมณ์ -ความรู้สึกและผ่านการคิด พัฒนาตามวัยและไม่เร่งเรียน แต่เรียนในสิ่งที่ต้องรู้ ซึ่งทุกอย่างคือทักษะชีวิต ใช้ชีวิตใกล้ชิดธรรมชาติตามพื้นฐานปัจจัยสี่ของมนุษย์ อาหาร ยา เครื่องนุ่งห่ม ที่พักอาศัย วัตถุยิ่งน้อยเด็ก ๆ ยิ่งเรียนรู้มาก ลง-ลึก-ซึ้ง-ตั้งใจ-อดทน อันเป็นคุณสมบัติที่ดีของ “Long Life Learner” เป็นโรงเรียนที่ไม่มีประโยคคำสั่ง ใช้วิธีการการเชิญชวนแนวบวก ใช้สัญญาณในการยุติและเริ่มกิจกรรมต่าง ๆ ใช้การร้องเพลงแทนการบอกให้ทำ การออกคำสั่ง วิธีนี้เองที่ทำให้เด็ก ๆ รู้สึกไม่กลัวโลก ไว้ใจ สร้างความอบอุ่น อ่อนโยน

                อัตราค่าเล่าเรียน :  31,500 – 34,500 บาท / เทอม

                (ราคาดังกล่าวยังไม่รวมค่าแรกเข้า และราคาปรับเปลี่ยนตามสภาพเศรษฐกิจและตามระเบียบการของแต่ละปีการศึกษาค่ะ )

                อ่านต่อได้ที่นี่

                9. โรงเรียนวรรณสว่างจิต

                โรงเรียนวรรณสว่างจิตเป็นโรงเรียนทางเลือกอันดับต้น ๆ เปิดสอนระดับชั้นเตรียมอนุบาล-ประถม 6 บนพื้นที่กว้างขวางกว่า 10 ไร่ ริมถนนพระราม 2 ที่นี่ใช้หลักสูตรผสมผสานจากหลาย ๆ แนวทางมาทดลองใช้ให้เหมาะสมกับเด็ก ๆ ทั้ง Montessori, Waldorf, Whole Language, Project Approach  จนกลายเป็นหลักสูตรเฉพาะของโรงเรียนวรรณว่างจิต ที่โรงเรียนจะยึดหลักของวอลดอร์ฟ (Waldorf) ในการดูแลบ้านเด็กเล็ก (2-3 ปี) การปรับใช้ Whole Language และ Project Approach ในระดับชั้นอนุบาล และ การใช้หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานของกระทรวงศึกษาธิการ ผ่านการเรียนรู้แบบบูรณาการแบบโครงการ (Project Approach) ในระดับชั้นประถม แต่ยังคงได้กลิ่นอายของ Montessori ในกิจกรรมต่าง ๆ ของเด็ก ๆ  และยังเป็นโรงเรียนที่มีสภาพแวดล้อมที่ดีที่สุดแห่งหนึ่ง ที่นอกจากจะร่มรื่นเต็มไปด้วยต้นไม้หลากหลายพันธุ์ที่แค่ได้เดินสำรวจก็เรียนรู้ได้มากมายแล้ว ห้องเรียนที่นี่ยังเปิดกว้างรับอากาศธรรมชาติอีกด้วย

                อัตราค่าเล่าเรียน : 30,000-40,000 บาท / เทอม

                (ราคาปรับเปลี่ยนตามสภาพเศรษฐกิจและตามระเบียบการของแต่ละปีการศึกษาค่ะ )

                อ่านต่อได้ที่นี่

                10. โรงเรียนปัญโญทัย

                อีกหนึ่งสุดยอดโรงเรียนทางเลือกหลักสูตรวอลดอร์ฟ ที่ยึดมั่นในหลักการของรูดอล์ฟ สไตเนอร์ โดยปรับให้สอดคล้องกับบริบทของสังคมและเยาวชนไทย มุ่งหมายให้เด็ก ๆ ได้เรียนรู้รอบด้าน balance ทั้งร่างกาย จิตใจ สติปัญญา เพื่อให้เด็ก ๆ เติบโตและพรั่งพร้อมไปด้วยคุณสมบัติที่ดีของมนุษย์ตามแบบฉบับของแต่ละคน

                เด็ก ๆ เติบโตอย่างเรียบง่าย ตามพัฒนาการที่สมวัย ได้เล่น ได้เรียน ได้ลงมือทำ รู้จักผิดพลาดและเรียนรู้ที่จะแก้ไข ท่ามกลางบรรยากาศ – ธรรมชาติที่ “ปรุงแต่ง” น้อย เมื่อรากแก้วแข็งแรงแล้ว การต่อยอดเข้าไปในโลกยุคใหม่จะทำให้เด็ก ๆ ไม่สั่นคลอนหรือแกว่งไปตามกระแส และสามารถคงไว้ซึ่งคุณค่าและความงดงามของ “ การเป็นมนุษย์ ” เรียนรู้ผ่านการลงมือปฏิบัติให้เป็นทักษะชีวิตอย่างแท้จริง โดยที่เด็ก ๆ จะไม่รู้เลยว่าแต่ละงานที่ทำอยู่นั้นคือ ทักษะของแต่ละรายวิชานอกจากนี้โรงเรียนยังปลูกฝังด้านอารมณ์และความรู้สึกให้แก่เด็ก ๆ ผ่านจริยธรรม ศีลธรรม อีกด้วย

                อัตราค่าเล่าเรียน :  32,000-36,000 บาท / เทอม

                (ราคาปรับเปลี่ยนตามสภาพเศรษฐกิจและตามระเบียบการของแต่ละปีการศึกษาค่ะ )

                อ่านต่อได้ที่นี่

                  ผงสมุนไพร Mamoon เพื่อลูกน้อยผิวใส ไกลผื่น สมุนไพรดูแลผิว สำหรับทุกคนในครอบครัว

                  ผิวของลูกน้อย ย่อมต้องการการดูแลเป็นพิเศษ เพราะผิวที่บอบบางเสี่ยงต่ออาการแพ้ได้ง่าย หนึ่งในปัญหาผิวที่มักจะรบกวนเด็กทารก ให้พวกเขาไม่สบายตัวและงอแง ได้แก่ ผื่นผ้าอ้อม หรือ ผื่นเด็ก นั่นเอง เรามีเคล็ดลับให้คุณแม่หมดกังวลกับปัญหาดังกล่าว ด้วยการอาบน้ำพร้อมกับผลิตภัณฑ์ที่จะเป็นตัวช่วยดูแลผิวให้ลูกน้อย ห่างไกลผดผื่น ผิวเนียนนุ่ม แข็งแรง มาฝากกันค่ะ

                  ส่วนผสมจากสมุนไพรและธรรมชาติ

                  ผงสมุนไพรมามูน มีส่วนผสมจากสมุนไพร 2 ชนิดคือ ขมิ้นชันและไพล ซึ่งสมุนไพรไทยทั้ง 2 ชนิดนี้ มีสรรพคุณช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับผิว ลดผด ผื่นคัน ลดการอักเสบต่าง ๆ ช่วยต้านเชื้อรา เชื้อจุลินทรีย์ และแบคทีเรีย รวมทั้งมีสารต่อต้านอนุมูลอิระ ช่วยชะลอการเกิดริ้วรอย ให้ผิวเนียนนุ่ม กระจ่างใส สุขภาพดีอีกด้วย และที่สำคัญคือ ปลอดภัย ไม่มีสารเคมี

                  ผดผื่นในเด็กเล็กตั้งแต่แรกเกิดเป็นเรื่องที่มาควบคู่กัน ไม่ว่าจะผื่นคัน ผดร้อน ผื่นผ้าอ้อม ทั้งยังช่วยดูแลผิวจากรอยยุงกัด รอยดำหรือรอยอักเสบได้อีกด้วย รวมไปถึงสรรพคุณของขมิ้นที่ช่วยให้ผิวกระจ่างใส และดูสุขภาพดี

                  ใครที่ยังไม่เคยใช้ผงสมุนไพรอาบน้ำหรือพอกผิว ไม่ต้องกังวลไป เพราะผงสมุนไพรเนื้อละเอียดที่มีความเข้มข้น เวลาใช้งานจึงใช้ในปริมาณน้อย กระปุกเดียวใช้ได้ยาวนานและผิวเนียนกันได้ทั้งบ้าน ในเด็กเล็กก็ช่วยปลอบประโลมผิว ในวัยผู้ใหญ่ คุณแม่หรือคุณพ่อก็ใช้ดี เพราะจะช่วยเรื่องผิวเรียบเนียบ กระจ่างใส ลดการอักเสบจากยุงและแมลงกัดได้ ลดสิวและชะลอริ้วรอยก่อนวัย

                  สะดวกใช้ ปรับได้ตามสะดวก

                  ผงสมุนไพรมามูน มีการทดสอบการระคายเคืองจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ดังนั้นจึงสามารถปรับการใช้งานได้ตามความชอบใจของแต่ละคน เช่น ในเด็กเล็กสามารถผสมน้ำอาบ พอกผิว หรือพอกตัว ในวัยผู้ใหญ่สามารถใช้ขัดตัวพอกตัว เพื่อช่วยให้ผิวดีขึ้นได้ หรือวัยผู้ใหญ่ที่มีปัญหาเรื่องผื่นแพ้ กลากเกลื้อน เป็นสิวที่ใบหน้าที่ร่างกาย หลัง สามารถใช้ผงสมุนไพรผสมอาบน้ำได้ หรือนำมาขัดผิว พอกตัว เข้าตาเข้าปากไม่อันตราย

                  วิธีใช้ผงสมุนไพรมามูน

                  • ผสมน้ำอาบในอ่างหรือตักอาบ: ผสมผงสมุนไพรปริมาณครึ่งช้อนชาต่อน้ำ 1 อ่างอาบน้ำสำหรับเด็ก หรือผสม 1 ช้อนชา ต่อน้ำปริมาณ 1 อ่างอาบน้ำสำหรับผู้ใหญ่ ใช้น้ำสมุนไพรที่ผสมไว้แทนน้ำอาบ โดยฟอกสบู่ ล้างหน้า สระผมได้ปกติ
                  • ผสมสบู่หรือเจลอาบน้ำ: ผสมผงสมุนไพรปริมาณเท่าเมล็ดถั่วเขียว ต่อสบู่ที่อาบใน 1 ครั้ง หรือจะแบ่งผสมสบู่สำหรับอาบไว้ 1 สัปดาห์ ต่อผงสมุนไพร1/4 ช้อนชา แล้วฟอกตัวอาบน้ำปกติ แล้วผสมใหม่ต่อไป
                  • สำหรับครอบครัวพอกหน้า ใช้ผงสมุนไพรปริมาณ 1/4 ช้อนชา สามารถผสมกับโยเกิร์ต หรือนม หรือน้ำผึ้ง หรือมะขาม หรือน น้ำเปล่า พอกทิ้งไว้ 5-10 นาทีแล้วล้างออก

                  วิธีเก็บรักษาผงสมุนไพรมามูน

                  หลังจากเปิดใช้งานแล้ว ปิดฝาให้สนิททุกครั้ง เพราะเป็นสมุนไพรสดไม่มีสารกันเสีย หากโดนความชื้นจะมีโอกาสในการขึ้นราได้

                  หากกังวลเรื่องการระคายเคือง สามารถผสมผงสมุนไพรกับน้ำแล้วล้างบริเวณช่วงขา เพื่อทดสอบในเบื้องต้นได้จากเหตุผลทั้งหมดนี้ จึงทำให้ ผงสมุนไพรมามูน ได้รับการโหวตจากแม่ผู้ซึ่งใช้จริงกว่า 30,000 คน กับผลิตภัณฑ์สมุนไพรสำหรับเด็ก MOMMY’S CHOICE : BEST HERB PRODUCT FOR KIDS จาก Amarin Baby & Kids Awards 2024

                  ช่องทางการติดต่อ

                  – เฟสบุ้คเพจ: https://www.facebook.com/mamoonbrand

                  – TikTok: https://www.tiktok.com/@mamoonbrand?_t=ZS-8tGo0RRhIS0&_r=1

                  – Shopee: shopee.co.th/mamoon_official

                  – Lazada: https://s.lazada.co.th/s.G4EEF

                  – Line official account: https://lin.ee/U1g7sXj

                  – Instagram: https://www.instagram.com/mamoonbrand.official?igsh=MXJ4b2M4c2Z0ZzJxdg==

                    ชวนลูกสร้างนิสัยรักการแปรงฟัน ด้วยแปรงและยาสีฟันที่ออกแบบพิเศษ สำหรับเด็กแต่ละช่วงวัย

                    หนึ่งในภารกิจสำหรับคุณแม่มือใหม่ การแปรงฟันให้ลูกในวัยที่ลูกยังแปรงฟันเองไม่ได้เป็นสิ่งสำคัญ และในบางบ้านเกิดความกังวล กล้าๆกลัวๆในการจับลูกนอนแปรงฟัน แต่หากเราเลือกผลิตภัณฑ์ที่ใช่ ก็เหมือนมีตัวช่วยที่ดี และทำให้การสอนลูกแปรงฟันด้วยตัวเอง จะกลายเป็นเรื่องท้าทายที่แสนสนุกสำหรับทุกคนในครอบครัว

                    เรื่องช่องปากของเด็กๆ ไม่ใช่เรื่องเล็กๆและพ่อแม่ควรดูแลช่องปากของพวกเขาในทุกช่วงวัย วัยแรกเกิดที่ฟันยังไม่ขึ้น สามารถทำความสะอาดได้ด้วยผ้านุ่มๆเช็ดเหงือกเบาๆหลังลูกดูดนมเสร็จ พอขยับเข้ามาช่วงวัยฟันเริ่มขึ้นตั้งแต่ 6 เดือนเป็นต้นไป ก็ถึงเวลาที่คุณพ่อคุณแม่ต้องจริงจังในการเลือกผลิตภัณฑ์ ทั้งแปรงสีฟันและยาสีฟันที่ดีและอ่อนโยนเหมาะสมกับพวกเขา

                    ด้วยเหตุนี้การเลือกแปรงสีฟันและยาสีฟันให้ลูกจึงเป็นสิ่งที่ควรคำนึงถึง เพื่อทำให้ช่วงเวลาของการแปรงฟันเป็นช่วงเวลาสุขใจทั้งแม่และลูก ดังนั้นควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่ใช่ ปลอดภัย และออกแบบมาอย่างดี หรือการให้พวกเขาได้มีส่วนร่วมในการเลือกเพื่อกระตุ้นและสร้างการเรียนรู้ให้การแปรงฟันกลายเป็นเรื่องธรรมดาของสุขภาวะที่ดีภายในบ้าน สร้างภาพจำให้รู้สึกว่าการแปรงฟันคือเรื่องสนุก ปัจจัยในการเลือกแปรงสีฟันและยาสีฟันให้ลูกมีหลายเหตุผล เช่น ขนาดของแปรงสีฟันที่เหมาะกับแต่ละช่วงวัย ขนาดของปากและฟันเด็ก ขนแปรงที่อ่อนนุ่มแต่ซอกซอนได้ดี แปรงที่ออกแบบมาให้จับถนัดกระชับมือ รวมถึงการเลือกยาสีฟันและแปรงสีฟันที่มีกลิ่นและรสชาตที่เด็กๆชอบ คุณสมบัติของยาสีฟันที่ดี มีไซลิทอลสารความหวานธรรมชาติที่ไม่ทำให้ฟันผุ เป็นต้น

                    ทีมแม่ ABK ขอแนะนำแปรงสีฟันและยาสีฟัน Jordan ให้เป็นแปรงสีฟันและยาสีฟันที่คุณพ่อคุณแม่ควรมีติดบ้าน

                    Amarin Baby & Kids ยกให้ Jordan เป็นแปรงสีฟันและยาสีฟันสำหรับเด็กที่ได้รับรางวัล Editor’s Choice สาขา BEST ORAL CARE PRODUCT FOR KIDS จาก Amarin Baby & Kids Awards 2024

                    แค่แกะแปรงสีฟันสำหรับเด็ก Jordan ออกมาดู ก็รู้สึกตื่นเต้นแล้ว เพราะแปรงสีฟันหน้าตาน่ารักมาก ดีไซน์เก๋ สีสันสดใส ขนาดคุณแม่เห็นแล้วชอบชนาดนี้ ลูกเห็นแล้วต้องชอบแน่นอนค่ะ แปรงสีฟันแต่ละอันมีดีไซน์ที่โดดเด่นมาก เพราะได้รับการออกแบบอย่างใส่ใจทุกขั้นตอนเพื่อเด็กในแต่ละช่วงวัย โดยแบ่งออกเป็นออกเป็น 3 ช่วงวัย ได้แก่

                    เด็กอายุ 0-2 ปี

                    เลือกใช้ขนแปรงนุ่มเป็นพิเศษ มีขอบแปรงสำหรับให้ลูกฝึกกัดได้ด้วย มีคอแปรงสั้น เพื่อป้องกันไม่ให้เผลอแปรงเข้าคอของเด็กลึกเกินไปจนเป็นอันตราย ด้ามจับออกแบบเป็นทรงรี มีรู ช่วยคุณพ่อคุณแม่และลูกน้อยจับถนัดมือ

                    เด็กอายุ 3-5 ปี

                    เด็กในช่วงวัยนี้ เป็นช่วงเวลาทองของการฝึกกิจวัตรประจำวัน คุณพ่อคุณแม่สามารถฝึกให้พวกเขาแปรงฟันเองได้ เพื่อสร้างความมั่นใจและรู้จักรับผิดชอบต่อร่างกายของเขาเอง แต่พ่อแม่ยังต้องเป็นฝ่ายสนับสนุน แปรงซ้ำให้หลังจากพวกเขาแปรงเสร็จแล้ว ดังนั้นแปรงของเด็กช่วงวัยนี้ จึงออกแบบด้ามจับแบบมีรู เพื่อให้จับถนัดมือทั้งผู้ใหญ่และลูกน้อย รวมถึงมีขนแปรงที่นุ่มและแน่นขึ้นเป็น 2 เท่า ปลายมนเพื่อความปลอดภัย เข้าถึงซอกฟันได้เป็นอย่างดี

                    เด็กอายุ 6-9 ปี

                    ช่วงวัยของการโบกมือลากับฟันชุดแรก จึงต้องเลือกแปรงที่มีขนแปรง2 แบบ และมี Magic Tip ที่ทำหน้าที่ในการซอกซอน ทำความสะอาดในส่วนเข้าถึงยาก เหมาะสำหรับการทำความสะอาดทั้งฟันแท้และฟันน้ำนมที่ยังอยู่ ออกแบบด้ามจับทรงสามเหลี่ยม เพื่อให้สามารถหมุนทำความสะอาดฟันได้รอบด้าน

                    จุดเด่นอีกอย่างหนึ่งของแปรงสีฟัน Jordan คือการออกแบบจุดแต้มสีฟ้าบนขนแปรง เพื่อใช้ดูปริมาณยาสีฟันที่ตามที่ทันตแพทย์แนะนำ จึงช่วยให้คุณพ่อคุณแม่สามารถกะปริมาณยาสีฟันได้เหมาะสมกับวัยของลูก ไม่ใช้มากเกินไปหรือน้อยเกินไป

                    สำหรับเด็กๆที่ยังไม่ค่อยเอ็นจอยกับการแปรงฟัน ยาสีฟัน Jordan ก็คิดมาแล้วให้มีความน่ารักตั้งแต่แพ็คเกจภายนอก หลอดสีขาวดูสะอาดตา ตกแต่งด้วยตัวการ์ตูนรูปสัตว์ต่าง ๆ ให้ลูกเพลิดเพลินระหว่างแปรงฟัน ชวนกันแปรงฟันไปด้วย ดูตัวการตูนไปด้วย เป็นช่วงเวลาในการแปรงฟันที่มีความสุขมากขึ้นด้วย

                    ยาสีฟัน เนื้อเจลที่ผลิตจากสารสกัดจากธรรมชาติถึง 97% จึงมั่นใจได้ว่าอ่อนโยนสำหรับเด็กๆ นอกจากนี้ยังเป็น ยาสีฟันเป็นสูตร Low RDA อ่อนโยนและดีต่อการเคลือบฟันของลูกน้อย ทั้งยังหอมกลิ่นผลไม้ รสชาติอร่อย ยิ่งชวนให้ลูกอยากแปรงฟันมากขึ้น Jordan คิดค้นและออกแบบยาสีฟันให้มีปริมาณฟลูออไรด์ที่เหมาะสมสำหรับเด็ก เพราะถึงแม้ว่าฟลูออไรด์จะเป็นสารสำคัญที่ช่วยป้องกันฟันผุ แต่ถ้าลูกได้รับฟลูออไรด์มากจนเกินไปก็อาจทำให้เกิดฟันตกกระ และกลายเป็นสารตกค้างในร่างกายของลูกได้ เด็กอายุ 1 – 5 ปี เป็นวัยที่มีโอกาสกลืนยาสีฟันเข้าไป Jordan จึงออกแบบยาสีฟันให้มีปริมาณฟลูออไรด์ที่ไม่มากเกินไป แต่ใส่ในปริมาณที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพเพียงพอในการป้องกันฟันผุตามที่ทันตแพทย์แนะนำ นอกจากนี้ยังไม่มีสาร SLS ที่ทำให้เกิดฟอง ปราศจากน้ำตาล และสารเคมีอันตราย คุณพ่อคุณแม่จึงมั่นใจว่าฟันของลูกจะได้รับการปกป้องอย่างดีที่สุด สะอาด ปลอดภัยหายห่วงค่ะ

                    ด้วยเหตุผลทั้งหมดนี้ ทีมบรรณาธิการ Amarin Baby & Kids จึงคัดเลือกให้แปรงสีฟันและยาสีฟันสำหรับเด็ก Jordan ได้รับรางวัล Editor’s Choice สาขา BEST ORAL CARE PRODUCT FOR KIDS จาก Amarin Baby & Kids Awards 2024

                      Tags

                      โรงเรียนราชินีบน โรงเรียนที่บ่มเพาะความเป็นกุลสตรีในทุกมิติ

                      School Visit วันนี้จะพาคุณพ่อคุณแม่มาเยี่ยมโรงเรียนดี ๆ ที่มีประวัติยาวนาน ถึง 96 ปี อย่างโรงเรียนราชินีบน เป็นโรงเรียนที่ปลูกฝังเด็ก ๆ ให้มีกิริยามารยาทที่เรียบร้อยและมีความเป็นกุลสตรีที่งามพร้อม และมีคุณภาพของระบบการเรียนการสอนไม่แพ้ใคร ที่สำคัญโรงเรียนราชินีไม่เคยหยุดพัฒนาไม่ว่าจะผ่านมากี่ยุคกี่สมัย ถ้าอยากรู้ว่าหลักสูตรการเรียนการสอนเป็นอย่างไร ตามทีมแม่ ABK มาได้เลยค่ะ

                      จากอดีตสู่ปัจจุบัน

                      จุดเริ่มต้นของโรงเรียนราชินีบน เริ่มในปีพุทธศักราช 2472 โดยสมเด็จพระราชปิตุจฉา เจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์กรมหลวงเพ็ชรบุรีราชสิรินธรทรงบริจาคทุนทรัพย์ส่วนพระองค์ โปรดให้จัดซื้อที่ของพระยามหิบาล และขอพระราชทานที่ของสมเด็จพระศรีสวรินทราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ริมถนนเขียวไข่กา ทั้งสองฝั่งมาสมทบ รวมมีเนื้อที่ 14 ไร่ 43 ตารางวา เพื่อโปรดให้สร้างอาคารที่ทันสมัยที่สุดในสมัยนั้น โดยมีพระราชประสงค์เพื่อเฉลิมพระเกียรติและแสดงความกตัญญูกตเวทีแด่สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถพระบรมราชชนนีพันปีหลวง ด้วยทรงพระราชดำริจะส่งเสริมการศึกษาแก่สตรีให้เท่าเทียบทัดเทียมกับบุรุษในทุกๆ ด้าน

                      ตลอดระยะเวลา 96 ปี ที่ผ่านมาจากอดีตจนถึงปัจุบัน เอกลักษณ์ที่โรงเรียนราชินีบนยังคงยึดถือและดำรงอยู่ คือ “การเป็นกุลสตรีราชินีบน” โดย ดร. พิรุณ ศิริศักดิ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิชาการ ได้ให้ข้อมูล ถึงการส่งต่อความเป็น กุลสตรีราชินีบนว่าได้ผนวกเข้าไปในหลักสูตรการสอน ตั้งแต่ชั้นอนุบาลปีที่ 1 ถึง มัธยมศึกษาปีที่ 6 โดยกุลสตรีราชินีบน จะประกอบไปด้วย

                      • กุลสตรีที่งามพร้อม หมายถึง พฤติกรรมการปฏิบัติที่สะท้อนให้เห็นภาพลักษณ์ที่งดงามทั้งร่างกายวาจาและจิตใจ
                      • กุลสตรีแม่ศรีเรือน หมายถึง พฤติกรรมการปฏิบัติที่สะท้อนให้เห็นถึงความจงรักภักดีต่อสถาบันชาติ
                      • ศาสนาและพระมหากษัตริย์ น้อมนำปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในการดำเนินชีวิต และอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมและประเพณีไทย
                      • กุลสตรีที่ฉลาดรู้สากล หมายถึง พฤติกรรมการปฏิบัติที่สะท้อนการมีทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 อันเป็นสากล
                      • กุลสตรีที่เป็นพลเมืองโลก หมายถึงพฤติกรรมการปฏิบัติตนอย่างรับผิดชอบในฐานะพลเมืองไทยและพลเมืองโลกรู้เคารพสิทธิเสรีภาพของตนเองและผู้อื่น เคารพในกฎกติกาและกฎหมาย มีส่วนร่วมทางสังคมอย่างมีวิจารณญาณ อยู่ร่วมกับผู้อื่นท่ามกลางความหลากหลาย เห็นคุณค่าของศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์มีบทบาทในการตัดสินใจและสร้างการเปลี่ยนแปลงทางสังคม โดยยึดมั่นในความเท่าเทียมเป็นธรรม ค่านิยมประชาธิปไตย และสันติวิธี
                      พระรูปสมเด็จพระราชปิตุจฉา เจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์กรมหลวงเพ็ชรบุรีราชสิรินธร ที่ชาวราชินีบน เคารพบูชา
                      แผ่นโลหะจารึกพระดำรัสของสมเด็จพระราชปิตุจฉา เจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์กรมหลวงเพ็ชรบุรีราชสิรินธร ที่ถือเป็นเอกลักษณ์เฉพาะที่โรงเรียน

                      นอกจากนี้แล้วทางโรงเรียนราชินีบน ได้มีการปรับตัว เพื่อให้เข้ากับยุคสมัยในปัจจุบัน โดยได้พัฒนาเป็นหลักสูตร ให้เหมาะกับ เด็กในแต่ละช่วงวัย โดยในช่วงปฐมวัย ทางโรงเรียนราชินีบนได้พัฒนาหลักสูตร โดยได้ให้ชื่อว่า K STEM กับ 4 สาระ โดยสาระทั้ง4 ที่ทางโรงเรียนจะสอนนั้นจะเริ่มจากเรื่องใกล้ตัว แล้วค่อยๆ ขยายวงกว้างขึ้นออกไป 4 สาระการเรียนรู้ของเด็ก ได้แก่

                      1. การเรียนรู้เกี่ยวกับตัวเด็ก การดูแลและรักษาความสะอาดร่างกายของตัวเอง
                      2. บุคคลและสถานที่แวดล้อมเด็ก โรงเรียนจัดให้เด็ก ๆ ได้เรียนรู้เกี่ยวกับสังคมและมารยาทสังคม
                      3. ธรรมชาติรอบตัว โรงเรียนมีแปลงปลูกผักสวนครัว มีการจำลองการทำนาให้เด็ก ๆ ได้เรียนรู้วิถีชาวนาและโดมบ้านผีเสื้อ ให้เด็ก ๆ เข้าไปใกล้ชิดกับผีเสื้อ และเรียนรู้การเปลี่ยนแปลงในธรรมชาติ
                      4. สิ่งต่าง ๆ รอบตัวเด็ก โรงเรียนได้มีห้องสมุดเพื่อให้เด็ก ๆ ได้ต่อยอดทางความคิดและเล่นได้อย่างอย่างอิสระ
                      โดมผีเสื้อ แหล่งเรียนรู้ธรรมชาติของเด็กๆ

                      เรียนรู้ผ่าน STEM

                      โดยทั้ง 4 สาระ เด็ก ๆ จะได้เรียนรู้ผ่าน STEM ( Science ,Technology, Engineering ,Mathematics ) ได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริงในการค้นหาคำตอบด้วยตัวเอง พร้อมกับสรุปความรู้ที่ได้มาเป็นโครงการและนำเสนอ กับเพื่อน ๆ คุณครู และผู้ปกครอง เพื่อส่งเสริมให้เด็กเกิดความกล้าแสดงออก และความมั่นใจในตัวเอง

                      การส่งเสริมพัฒนาทางด้านร่างกาย

                      ทางโรงเรียนได้มีพื้นที่ให้เด็ก ๆ ได้ออกกำลังกายเพื่อเสริมสร้างและพัฒนา กล้ามเนื้อมัดใหญ่ และ กล้ามเนื้อมัดเล็ก โดย มีทั้ง สนามเด็กเล่น ให้เด็กๆ ได้วิ่งเล่น ปีนป่าย อย่างอิสระ นอกจากนี้ทางโรงเรียนยังมีสระว่ายน้ำขนาดมาตรฐาน ให้เด็ก ๆ ได้ลงเล่นน้ำและเรียนกันตั้งแต่วัยอนุบาล – มัธยมปลาย โดยทางโรงเรียนได้กำหนดให้เฉพาะคุณครูที่สอนว่ายน้ำ ต้องเป็นผู้หญิงเท่านั้น

                      ดร. พิรุณ ศิริศักดิ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิชาการ

                      Mommy’s Love This! ถูกใจแม่

                      1. ทางโรงเรียนได้สอดแทรกเรื่อง กริยา มารยาท การเข้าสังคม รวมถึงขนบธรรมเนียมประเพณีของไทย ให้กับเด็ก ๆ ได้เป็นอย่างดี เด็ก ๆ มีกิริยามารยาทที่อ่อนน้อม
                      2. โรงเรียนมีความใส่ใจด้านความปลอดภัย เนื่องจากเป็นโรงเรียนหญิงล้วน มี รปภ. ด้านหน้า และคุณครูที่สอนในวิชาว่ายน้ำ ที่เจาะจงเป็นคุณครูผู้หญิงเท่านั้น และมีผ้าใบไว้กันแดด
                      3. คุณครูมีความเข้าใจในธรรมชาติของเด็ก และ กระตุ้นการเรียนรู้เพื่อให้เด็กๆ ได้ค้นหาคำตอบด้วยตัวเอง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในตัวเอง รวมถึงการที่เด็กๆ มีโครงงาน เพื่อให้เด็กๆได้กล้าแสดงออก
                      4. โรงเรียนมีวันสำคัญต่างๆ นอกเหนือจากในปฎิทิน เช่นวันทูลกระหม่อน วันพิจิตรจิราภา วันวงศ์ทิพย์สุดา วันสมรศรีโสภา ซึ่งเป็นวันที่ความสำคัญต่อโรงเรียน โดยโรงเรียนจะจัดกิจกรรมเพื่อรำลึกถึง และแสดงความกตัญญูกตเวทิตาต่อพระองค์ท่าน
                      5. เด็ก ๆ จะผูกโบว์ที่ผมต่างสีกัน เพื่อให้ทราบว่าเด็กอยู่ห้องไหน ช่วยให้คุณครูทุกคนในโรงเรียนสามารถสังเกตและจดจำนักเรียนแต่ละห้องได้ง่ายขึ้น
                      6. ที่โรงเรียนราชินีบน รับนักเรียนชายด้วย ตั้งแต่ระดับชั้นอนุบาลจนถึงประถม 6

                      คุณสมบัติผู้สมัคร

                      • ระดับชั้นอนุบาล อายุ 3 ปีบริบูรณ์
                      • ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 อายุ 6 ปีบริบูรณ์

                      เกณฑ์การพิจารณา

                      โรงเรียน มีการทดสอบพัฒนาการ 5 ด้าน ร่างกาย สติปัญญา ภาษาและการสื่อสาร อารมณ์และจิตใจ สังคมและคุณธรรม

                      ที่อยู่ : โรงเรียนราชินีบน เลขที่ 885 ถนนสามเสน แขวงถนนนครไชยศรี เขตดุสิต กทม. 10300

                      ติดต่อ : 02-241-5925

                      เว็บไซต์ : http://www.rajinibon.ac.th

                      Facebook : https://www.facebook.com/rajinibonofficial

                        ยิ่งใหญ่กับ การแข่งขันจักรยานขาไถ ยิ่งใหญ่ระดับเอเชีย

                        “น้องใหญ่-พงษ์พัฒน์”
                        คว้าแชมป์ THE MALL LIFESTORE PRESENTS STRIDER CUP ASIAN CHAMPIONSHIP 2025

                        เปิดสนามการแข่งขันจักรยานขาไถสุดยิ่งใหญ่แห่งปี THE MALL LIFESTORE PRESENTS STRIDER CUP ASIAN CHAMPIONSHIP 2025 โดยความร่วมมือระหว่าง เดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์ และ บริษัท บีเคเค สไตรเดอร์ จำกัด จัดขึ้นเพื่อเฟ้นหาสุดยอดนักแข่งสไตรเดอร์ระดับเอเชีย สนามประจำประเทศไทย พร้อมชิงทุนการศึกษาและถ้วยรางวัลมากมาย

                        การแข่งขันครั้งนี้จัดต่อเนื่องเป็นปีที่ 10 ถือเป็นหนึ่งกิจกรรมดีๆ ที่เดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์ให้ความสำคัญ  ซึ่งการแข่งขันจักรยานขาไถไม่ใช่เพียงแค่กิจกรรมกีฬาเท่านั้น ยังเปิดโอกาสให้เด็กๆ ได้แสดงศักยภาพในการแข่งขัน เสริมสร้างวินัย ความกล้าแสดงออก  รวมทั้งฝึกให้เด็กๆ รู้จักความมุ่งมั่นพยายาม ความอดทน การมีน้ำใจนักกีฬาไปพร้อมกัน และที่สำคัญที่สุด คือ เด็กๆ ได้ค้นพบความสามารถของตนเอง  พัฒนาทักษะและก้าวสู่การเป็นนักกีฬาในเวทีระดับโลกต่อไป

                        การแข่งขัน THE MALL LIFESTORE PRESENTS STRIDER CUP ASIAN CHAMPIONSHIP 2025  ถือเป็นสนามมาตรฐานในร่มที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประเทศไทย  โดยได้จัดแข่งขันเมื่อวันที่ 26 – 27 เมษายนที่ผ่านมา ที่ MCC HALL ชั้น 3  เดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์ บางแค  ซึ่งการแข่งขันแบ่งออกเป็น 13 รุ่น ตามช่วงอายุของผู้เข้าแข่งขัน ได้แก่ รุ่น The Best 12” Strider Rider of Asia 2025 , 12″ Racing  2,3,4 ขวบ, 14X Balance Bike 3 ,4,5,6-7 ขวบ, 12″ Enjoy 2,3 ขวบ รวมถึงประเภททีมอย่าง  12″ Team Relay 3,4 ขวบ , 14X Team Relay 5 – 7 ขวบ  นอกจากประสบการณ์ในการแข่งขัน  ความสนุกสนานและความตื่นเต้นบนสนามแข่งขันแล้ว เด็กๆ ยังได้ฝึกฝนทักษะด้านกีฬา การควบคุมร่างกาย เสริมสร้างความสมดุลผ่านจักรยานขาไถ รวมถึงการเรียนรู้กฎกติกา มารยาทในการแข่งขันและการมีน้ำใจนักกีฬา  งานนี้ ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี มีเด็กและเยาวชนจากทั่วประเทศและต่างชาติ อาทิ จีน, มาเลเชีย, สิงคโปร์, ญี่ปุ่น, เยอรมัน, อินโดนีเชีย ร่วมแข่งขัน  บรรยากาศภายในงาน เต็มไปด้วยความสนุกสนานและเสียงเชียร์จากครอบครัว ผู้ปกครอง และแฟนกีฬาจักรยานขาไถ ที่พร้อมใจกันมาให้กำลังใจนักแข่งตัวน้อยกันอย่างอบอุ่น 

                        น้องใหญ่-พงษ์พัฒน์ เงางาม อายุ 4 ขวบ แชมป์การแข่งขัน THE MALL LIFESTORE PRESENTS STRIDER CUP ASIAN CHAMPIONSHIP 2025  รุ่น 12” The Best Rider of Asia ซึ่ง   คุณพ่อ-พิเชษฐ์ บอกว่า “น้องใหญ่เริ่มเล่นจักรยานขาไถ Strider มาตั้งแต่อายุ 2 ขวบ และร่วมงานแข่งขันของ Strider มาโดยตลอด ครอบครัวได้เห็นถึงพัฒนาการทางด้านร่างกายที่แข็งแรง คล่องแคล่วว่องไว รวมถึงพัฒนาการด้านอื่นๆที่ดีขึ้น ด้วยความชื่นชอบของน้องใหญ่และตั้งใจฝึกซ้อม ทำให้น้องสามารถคว้าแชมป์ของ Strider มาได้หลายสนามอย่างต่อเนื่อง จนมาคว้าแชมป์สนามนี้ซึ่งเป็นสนามที่ใหญ่ที่สุดในการแข่งขัน Strider ได้สำเร็จ”

                        ภายในงาน ยังมีสนาม Adventure ให้เด็กๆได้ฝึกซ้อมทักษะก่อนลงสนามจริง และเปิดโอกาสให้เด็กๆที่สนใจทดลองขี่จักรยานขาไถ โดยมีทีมผู้เชี่ยวชาญด้านจักรยานทรงตัวเด็ก คอยดูแลให้คำแนะนำอย่างใกล้ชิด   รวมทั้งบูธจำหน่ายสินค้าและอุปกรณ์กีฬาราคาพิเศษเฉพาะในงาน  เรียกได้ว่าการแข่งขันครั้งนี้ เป็นก้าวสำคัญในการปลุกปั้นนักกีฬาเยาวชนไทยสู่เวทีระดับโลกในอนาคต  ติดตามกิจกรรมดีๆได้ต่อเนื่องตลอดทั้งปีได้ที่ Facebook: The Mall Lifestore Bangkae

                        #StriderCupAsianChampionship2025

                          หมอเผย! ทักษะสมองเพื่อความสำเร็จ EF ปั้นเด็กยุคใหม่มีความสุข เพื่อความสำเร็จที่เหนือกว่า

                          รู้หรือไม่  IQ ดีอย่างเดียวอาจไม่พอ การเลี้ยงลูกเจนเบต้า อัลฟ่า ต้องมีทักษะสมองเพื่อความสำเร็จ EF ด้วย คุณแม่เตรียมพร้อมหรือยัง

                          เพราะการเลี้ยงลูกไม่เคยหยุดนิ่ง คุณแม่ต้องหมั่นหาความรู้อยู่เสมอเพื่อให้สามารถดูแล และส่งเสริมพัฒนาการของลูกได้อย่างเหมาะสม โดยเฉพาะเด็กยุคใหม่สองเจนเนอเรชั่น คือ เด็กเจนอัลฟ่า วัย 1 – 5 ปี และเด็กเจนเบตา ที่เกิดระหว่างปี 2568 – 2582 ซึ่งจะเป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ของโลกใบนี้ พวกเขากำลังเติบโตในโลกที่แตกต่างจากสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่คุ้นเคย

                          เด็ก ๆ เติบโตมาพร้อมกับเทคโนโลยีขั้นสูงอย่าง AI ซึ่งสัมพันธ์กับการใช้ชีวิตในแต่ละวันตั้งแต่ลืมตาจนเข้านอน พวกเขาจึงฉลาด คิดเร็ว คล่องแคล่ว กล้าคิดกล้าแสดงออก เชื่อในความเท่าเทียม ยอมรับความแตกต่าง และมีความสามารถในการปรับตัวเข้ากับสิ่งต่างๆได้ง่ายขึ้น ขณะเดียวกันการใช้ชีวิตของลูกเจนอัลฟาและเบตากลับยากขึ้น ทั้งจากการแข่งขันสูง สภาพแวดล้อมและโรคภัยที่ต้องเผชิญและแก้ไขอยู่ตลอดเวลา

                          ดังนั้นการเตรียมพร้อมให้ลูก IQ ดี ฉลาดเป็นเลิศ คงไม่เพียงพอที่ช่วยให้ลูก ๆ ก้าวสู่ความสำเร็จและใช้ชีวิตอย่างมีความสุข แต่ต้องมีทักษะสมองเพื่อความสำเร็จ EF ควบคู่กันด้วย แล้ว EF คืออะไร และช่วยให้สร้างทักษะความสำเร็จในอนาคตให้ลูกได้อย่างไร ชวนคุณแม่ๆมารู้จัก EF ไปพร้อมกันค่ะ  

                          Amarin Baby & Kids มีโอกาสพูดคุยกับคุณหมอเด็ก พญ. ปัญญ์ชลี จงไพบูลย์พัฒนะ อนุสาขากุมารเวชศาสตร์พัฒนาการและพฤติกรรม โรงพยาบาลพญาไท 2 เกี่ยวกับข้อมูลและความสำคัญของทักษะสมองเพื่อความสำเร็จ EF ว่ามีส่วนพัฒนาลูก ๆ ได้อย่างไร พร้อมแนะนำวิธีเสริมสร้าง EF ตั้งแต่วันแรกของลูกน้อยที่คุณแม่ทุกคนทำตามได้ไม่ยากเลย

                          Q: ทักษะสมองเพื่อความสำเร็จ EF ที่เด็กเจนอัลฟาและเบต้าต้องมีคืออะไร และมีประโยชน์อย่างไร

                           A: EF เป็นทักษะที่ต้องมีในคนทุกเจนเนอเรชัน แต่ได้รับการพูดถึงบ่อยว่าเป็นทักษะของคนยุคใหม่ เพราะเด็กๆเติบโตในสังคมที่มีการแข่งขันสูง มีเทคโนโลยีใหม่ๆ และต้องเผชิญกับความท้าทายมากมายที่พวกเขาต้องก้าวผ่านไปให้ได้ เด็กๆ ต้องใช้ทักษะเยอะมากกว่าสมัยก่อน สิ่งเหล่านี้ต้องอาศัยความสามารถที่สำคัญอีกอย่างของสมองคือ EF นั่นเอง

                          ทักษะสมองเพื่อความสำเร็จ EF หรือ Executive Function คือความสามารถของสมองส่วนหน้า ทำหน้าที่คล้ายผู้บริหารคอยบริหารจัดการ ควบคุมความคิด อารมณ์ และพฤติกรรมของตัวเองเพื่อทำสิ่งต่าง ๆ ให้บรรลุเป้าหมายได้ โดยพัฒนาตั้งแต่เด็กจนโต หน้าที่หลัก ๆ ของทักษะสมองเพื่อความสำเร็จ EF มี 3 เรื่อง ได้แก่

                          1. สมองจำดี (Working Memory) ความสามารถของสมองในการจดจำใช้งาน เชื่อมโยงและคิดวิเคราะห์ความรู้ใหม่ ๆ เข้าด้วยกัน ซึ่งมีความสำคัญอย่างมาต่อการเรียนรู้ของเด็กทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นการอ่าน เขียน คิดเลข งานศิลปะ และวางแผนการทำงานด้วย

                          2. ความคิดยืดหยุ่น (Cognitive Flexibility) ความสามารถในการคิดจากมุมมองของผู้อื่น มีความเห็นอกเห็นใจ ซึ่งช่วยให้ปรับตัวเข้ากับสังคมและทำงานเป็นทีมได้ ขณะเดียวกันมีความคิดยืดหยุ่น พลิกแพลงวิธีการเก่ง หรือทำงานหลายอย่างได้พร้อมๆ กัน

                          3. ยั้งคิดไตร่ตรอง (Inhibitory Control) ความสามารถในการยับยั้งและควบคุมตัวเองให้ทำสิ่งต่าง ๆ ให้สำเร็จ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องง่าย ๆ อย่างการกินข้าว ทำการบ้าน หรืออ่านหนังสือสอบ เพราะแม้ลูกมีไอคิวดีแต่ถ้าขาดทักษะนี้ วอกแวก หรือขาดความยับยั้งชั่งใจ อาจทำให้เด็กไม่สามารถใช้ศักยภาพที่มีได้เต็มความสามารถ

                          การที่เด็ก ๆ มีทักษะสมองเพื่อความสำเร็จ EF ดีควบคู่กับทั้ง IQ จะเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยผลักดันให้เด็กมีโอกาสประสบความสำเร็จในชีวิตได้ในแบบที่พวกเขาตั้งใจ

                          Q: คุณแม่ส่งเสริมการพัฒนาทักษะสมอง EF ให้ลูกได้ตั้งแต่แรกเกิดได้อย่างไร

                          A: เพราะทักษะสมองเพื่อความสำเร็จ EF เริ่มต้นที่สมอง คุณแม่ควรให้ลูกได้รับสารอาหารมีประโยชน์และพัฒนาสมอง ทั้งจากสารอาหารสำคัญในนมแม่ในช่วง 6 เดือนแรก และรับประทานอาหารครบ 5 หมู่อาหารตั้งแต่มื้อแรกที่เริ่มอาหารตามวัย โดยยังดื่มนมเสริมโภชนาการเพื่อให้ร่างกายและสมองของลูกน้อยได้รับสารอาหารครบถ้วน ควบคู่ไปกับการเลี้ยงลูกเชิงบวก มีการตอบสนองความต้องการของลูกอย่างเหมาะสม ทำให้ลูกรู้สึกว่าได้รับการยอมรับและความรักจากคุณพ่อคุณแม่ ก็สามารถส่งเสริมทักษะสมองเพื่อความสำเร็จ EF ได้

                          Q: MFGM สารอาหารสำคัญต่อการพัฒนาสมองลูกคืออะไร

                          A: MFGM (Milk Fat Globule Membrane) คือ เปลือกหุ้มไขมันที่พบในนมแม่ ทำหน้าที่ห่อหุ้มและขนส่งสารอาหาร ตัว MFGM เอง ประกอบไปด้วย 2 สารอาหารสำคัญ คือ ไขมัน เช่น Phospholipid, Sphingomyelin และ Ganglioside ที่มีความสำคัญต่อการเจริญเติบโตและพัฒนาของเซลล์ประสาท ส่งผลดีต่อพัฒนาการทั้งทางด้านร่างกาย พฤติกรรมและอารมณ์ของเด็ก และโปรตีน ที่เสริมการทำงานของระบบทางเดินอาหาร และระบบภูมิคุ้มกันให้ทำงานดีขึ้น แม้จะไม่ได้รับประทานนมแม่แล้ว คุณแม่สามารถเลือกโภชนาการที่ใช่เสริมให้ลูกน้อยได้เช่นกัน

                          Q: การส่งเสริมให้ลูกมีทักษะความสำเร็จอีกขั้นอย่างทักษะเพื่อความสำเร็จ EF จะส่งผลต่ออนาคตของลูกอย่างไร

                          A: งานวิจัยต่าง ๆ ยืนยันว่าเด็กที่มีทักษะสมองเพื่อความสำเร็จ EF ดีจะส่งผลในระยะยาว ไม่ว่าจะเป็นปัญหาสุขภาพกายและสุขภาพใจน้อยกว่า ประสบความสำเร็จในเรื่องการเรียนและการทำงานมากกว่า รวมถึงการใช้ชีวิตในสังคม การมีเพื่อน หรือการมีคู่ชีวิตเกิดปัญหาน้อย ซึ่งล้วนเป็นผลมาจากการมีพัฒนาการทางสมองที่ดี รู้จักควบคุมตัวเอง เข้าใจความคิดของผู้อื่น ปรับตัวได้ดี จึงเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข

                          สำหรับคุณแม่ที่มองหาทางเลือกทางโภชนาการเพื่อเสริมสร้างสมอง และ ทักษะสมองเพื่อความสำเร็จ EF ทั้งการมีสมองจำดี ความคิดยืนหยุ่น และยั้งคิดไตร่ตรอง ของลูกให้พัฒนาได้เต็มศักยภาพ MFGM เป็นอีกหนึ่งสารอาหารที่สำคัญ มีงานวิจัยพิสูจน์แล้วว่า เด็กที่ได้รับนมแม่มีความเร็วในการประมวลผลของสมองเร็วขึ้นถึง 7 จุด* 


                          เรียบเรียงและตรวจสอบความถูกต้องโดย
                          พญ. ปัญญ์ชลี จงไพบูลย์พัฒนะ
                          กุมารแพทย์ ร.พ.พญาไท 2

                          *Ref. (1) Vargas-Pérez, S., Hernández-Martínez, C., Voltas, N. et al. Effects of Breastfeeding on Cognitive Abilities at 4 Years Old: Cohort Study. IJEC (2024). https://doi.org/10.1007/s13158-024-00396-z

                            Tags