เมื่อฉันติด โรคซิฟิลิส มาจากสามี จนสูญเสียลูกในครรภ์

Alternative Textaccount_circle
event

 

 

ตอนนั้นฉันท้องได้ประมาณ 14 สัปดาห์ ฉันดูแลทะนุถนอมเขาเหมือนแม่ตั้งท้องทั่ว ๆ ไป เย็นวันหนึ่ง สามีฉันโทรมาบอกว่า คืนนี้เขาต้องกลับบ้านมืด เพราะมีลูกค้าสำคัญมาและต้องพาไปทานข้าว ฉันก็ไม่ได้ว่าอะไร อนุญาตให้เขาไป เพราะมันเป็นเรื่องปกติที่คนตำแหน่งหน้าที่การงานขนาดนี้ จะต้องดูแลลูกค้าสำคัญ อีกอย่าง เขาก็ไม่เคยมีประวัติเจ้าชู้ที่ไหน เหล้าก็ไม่กิน บุหรี่ก็ไม่สูบ เพราะฉะนั้นหมดห่วงได้!

เกือบสองเดือนผ่านไป ฉันรู้สึกว่า มีบางอย่างผิดปกติกับตัวของฉันเอง มือของฉันเริ่มมีตุ่มเม็ดขึ้น ตอนนั้นฉันนึกว่า ฉันอาจจะแพ้น้ำยาล้างจานก็เป็นได้ แต่มันไม่ใช่ ตุ่มที่ว่านี้มันเริ่มใหญ่และรามไปทั่ว ฉันเริ่มมีไข้ต่ำ ๆ ปวดหลัง … ฉันรู้เลยว่า นี่ไม่ใช่อาการปกติแล้วแน่ ๆ ฉันจึงบอกให้สามีพาฉันไปหาคุณหมอทันทีในวันรุ่งขึ้น

พอมาถึงโรงพยาบาล คุณหมอก็ทำการตรวจอย่างละเอียด คำแรกที่คุณหมอถามเลยก็คือ “ในระหว่างตั้งครรภ์ เคยมีเพศสัมพันธ์กันหรือไม่?” ฉันก็เลยบอกว่า “ไม่ค่ะ มีมากสุดก็แค่จูบกันเท่านั้น”

คุณหมอถามต่ออีกว่า “แล้วในช่วงนั้น คุณแม่มีแผลในปาก หรือร้อนในอะไรไหม” ฉันก็บอกว่า “มีค่ะ ตอนนั้นฉันร้อนในที่ปากเล็กน้อยเท่านั้น” จากนั้นคุณหมอก็เงียบ … พร้อมกับพูดว่า “ผมสงสัยว่า คุณแม่กำลังเป็นโรคชนิดหนึ่ง ซึ่งโรคดังกล่าวนั้น ติดต่อจากการมีเพศสัมพันธ์ หรือไม่ก็จากการสัมผัสผ่านทางแผลในปาก นั่นหมายถึงว่า คุณพ่อหรือคุณแม่นั้น เป็นโรคนี้อยู่”

“มันคือโรคอะไรคะหมอ รักษาหายไหม แล้วลูกในท้องจะเป็นอะไรไหมคะ?” ฉันถามคุณหมอทันที ด้วยความกังวลใจ เพราะเป็นห่วงลูกในท้องอีกคน ซึ่งในระหว่างนั้น สามีของฉันหน้าซีดมากค่ะ เขาเงียบ ไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ ทั้งสิ้น

“โรคซิฟิลิส รักษาได้ครับ แต่ก็มีโอกาสกลับมาเป็นได้ใหม่เช่นกัน ส่วนลูกในครรภ์นั้น อาจจะต้องขอตรวจให้ละเอียดอีกครั้งหนึ่ง ถามว่าอันตรายหรือไม่ … อันตรายมาก เพราะนั่นอาจทำให้ทารกที่เกิดมาพิการตั้งแต่กำเนิดเลยก็เป็นได้ แต่หากโชคร้ายหน่อยก็คือ อาจเกิดภาวะแท้ง ได้เลยเช่นกัน” คุณหมอกล่าว

อ่านต่อเนื้อหาเรื่องราวของคุณแม่เพิ่มเติม >>

เรื่องที่คนอ่านมากสุด

keyboard_arrow_up