
มาทำความรู้จัก วอล์ดอร์ฟ ฉบับเข้าใจง่ายใน 5 นาที
วันนี้เราจะพาไปท่องโลกแห่งความแตกต่างของโรงเรียนวอลดอร์ฟ ทุกคนจะได้รู้ว่า เด็กๆ เรียนรู้และเติบโตอย่างไร? โรงเรียน “วอล์ดอร์ฟ” ตอบโจทย์คุณพ่อคุณแม่หรือไม่? และ ลูกเรา “ใช่” กับวอลดอร์ฟหรือเปล่า? เตรียมตัวให้พร้อมสำหรับเรื่องราวอบอุ่น เรียบง่าย ที่เปี่ยมไปด้วยจินตนาการกันได้เลยค่ะ
จุดเริ่มต้นของ วอล์ดอร์ฟ: เมื่อโรงงานยาสูบกลายเป็นโรงเรียน
ในปี ค.ศ. 1919 หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 1 นักปรัชญาชาวออสเตรียชื่อ รูดอล์ฟ สไตเนอร์ (Rudolf Steiner) ได้ก่อตั้งโรงเรียนวอลดอร์ฟแห่งแรกเพื่อตอบสนองความต้องการสังคมหลังสงคราม เป็นแนวทางการศึกษาใหม่ที่ เน้นการเยียวยา ฟื้นฟูสังคม ผ่านศิลปะและปรัชญา นักเรียนกลุ่มแรกคือลูกของคนงานในโรงงานยาสูบวอลดอร์ฟ – แอสโทเรีย (Waldorf-Astoria) ประเทศเยอรมนี เพื่อให้เด็ก ๆ ได้รับการศึกษาที่ดีและครอบคลุมทุกด้านจริง ๆ
โรงเรียนที่ไม่เหมือนใคร
วอลดอร์ฟต้องการให้เด็กๆ ได้เติบโตอย่างที่ควรจะเป็นจริงๆ ไม่พยายามเพิ่มสิ่งเร้าและกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นให้เกินวัย ดังนั้นการดูแล, สื่อการสอน-อุปกรณ์-ข้าวของเครื่องใช้ และสภาพแวดล้อม จะมีความเรียบง่ายมาก ๆ แตกต่างจากระบบการเรียนที่เราคุ้นเคยกัน มาดูกันว่า เด็ก ๆ เรียนอย่างไรกันบ้าง
- เรียนผ่านการเล่นและศิลปะ
เด็ก ๆ จะได้เรียนรู้ผ่านการลงมือทำจริง ๆ ไม่ใช่แค่การท่องจำ เช่น ได้ปั้นดิน, วาดรูป, ร้องเพลง, เล่นดนตรี, ทำงานบ้าน หรือทำอาหาร เพราะศิลปะช่วยกระตุ้นจินตนาการ ความคิดสร้างสรรค์ ทักษะชีวิตได้ดีที่สุด


- ไม่ต้องเครียดเรื่องเกรด
โรงเรียนวอลดอร์ฟไม่มีการสอบ ไม่มีเกรด และไม่มีการบ้าน
- ธรรมชาติคือห้องเรียน
เด็ก ๆ จะได้ออกไปเรียนรู้นอกห้องเรียนบ่อย ๆ ได้สัมผัสธรรมชาติจริง ๆ เช่น การทำสวน, เลี้ยงสัตว์ หรือทำนา ห้องเรียน คือ ความเรียบง่ายแสนสุข



หลักสูตรจะถูกออกแบบมาให้เหมาะกับพัฒนาการของเด็กแต่ละช่วงวัย เช่น เด็กเล็ก (อนุบาล) จะเน้นการเล่น, การดูแลตนเอง และนิทาน ส่วนเด็กโตจะค่อย ๆ เริ่มเรียนวิชาการที่ซับซ้อนขึ้น

- ครูอยู่กับนักเรียนนาน
ครูประจำชั้นจะสอนเด็ก ๆ ตั้งแต่ประถมจนถึงมัธยม เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นและเข้าใจตัวตนของเด็กแต่ละคนอย่างลึกซึ้ง
การเรียนรู้แต่ละช่วงวัย

ช่วงประถม (ป.1 – ป.6)
ช่วงนี้เน้นการเรียนรู้ผ่าน ศิลปะ นิทาน และกิจกรรมที่ใช้มือทำ เพื่อพัฒนาความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการ เด็กๆ จะได้เรียนวิชาต่าง ๆ เช่น คณิตศาสตร์และภาษา ผ่านการวาดรูป ร้องเพลง หรือเล่านิทาน แทนการท่องจำ ทำให้การเรียนรู้เป็นเรื่องสนุกและเป็นธรรมชาติ


มัธยม (ม.1 – ม.6)
เมื่อเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น การเรียนรู้จะเริ่มเน้นการ พัฒนาความคิดเชิงวิเคราะห์ มากขึ้น วิชาต่างๆ จะถูกสอนโดยเชื่อมโยงกับชีวิตจริง เช่น การเรียนฟิสิกส์ผ่านการสร้างสะพาน หรือการเรียนเคมีผ่านการทดลองในห้องปฏิบัติการ นอกจากนี้ยังมีการเรียนรู้ศิลปะและการแสดงอย่างต่อเนื่องเพื่อพัฒนาทักษะทางสังคมและอารมณ์
การศึกษาต่อมหาวิทยาลัย
คาแร็กเตอร์ของเด็ก วอลดอร์ฟ โดดเด่นในด้าน
- ทักษะการคิดวิเคราะห์ แก้ปัญหา
- มีความคิดสร้างสรรค์สูง
- ความอดทนพยายาม – ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค
ซึ่งเป็นสิ่งที่มหาวิทยาลัยและตลาดแรงงานยุคใหม่ต้องการ ทำให้เด็กที่จบจากโรงเรียนวอลดอร์ฟสามารถเลือกเรียนต่อได้ในหลายสาขาวิชา ไม่ว่าจะเป็นวิทยาศาสตร์ ศิลปะ หรือสังคมศาสตร์ เพราะพวกเขามีพื้นฐานที่แข็งแกร่งและมีความสามารถในการปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมที่หลากหลายได้ดี
วอล์ดอร์ฟ เหมาะกับลูกคุณหรือไม่ ?
- ลูกชอบทำกิจกรรมมากกว่านั่งเรียน ลูกสนุกกับการได้ลงมือทำสิ่งต่าง ๆ เช่น การวาดรูป ปั้นดิน หรือทำอาหาร
- ลูกมีจินตนาการสูง ชอบการเล่าเรื่อง แต่งนิทาน หรือสร้างโลกในแบบของตัวเอง
- เรียนรู้ช้าๆ ไม่รีบ ต้องการเวลาในการซึมซับสิ่งต่าง ๆ และไม่ชอบการแข่งขัน
- ลูกสนใจธรรมชาติ ชอบใช้เวลาอยู่กลางแจ้ง ชอบสังเกตต้นไม้ แมลง หรือสัตว์ต่าง ๆ
เตรียมตัวอย่างไร ? สำหรับการไป วอล์ดอร์ฟ
การจะตัดสินใจเลือกโรงเรียนให้ลูกสักแห่ง โดยเฉพาะโรงเรียนที่มีแนวทางเฉพาะอย่าง วอลดอร์ฟ ถือเป็นเรื่องใหญ่สำหรับพ่อแม่เลยค่ะ พ่อแม่ต้อง เข้าใจและพร้อม ที่จะเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้ของลูกด้วยเช่นกัน
- ต้องเข้าใจปรัชญา ก่อนตัดสินใจ พ่อแม่ต้องเปิดใจและเข้าใจแนวทางของวอลดอร์ฟอย่างแท้จริง
- ร่วมกิจกรรมกับโรงเรียน พ่อแม่อาจจะต้องเข้าร่วมเวิร์คช็อปหรือกิจกรรมที่โรงเรียนจัดขึ้น
- พักหน้าจอ แล้วมาเล่น มาใช้ชีวิตจริง โดยปกติแล้ว หลักสูตรวอลดอร์ฟจะเน้นให้เด็กๆ ใช้ชีวิตและเรียนรู้จากโลกจริง สื่อ /เครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ค่อนข้างรบกวนการเรียนรู้ตามวัย (แต่เด็กๆ ก็ได้ใช้งานนะคะ เมื่อถึงวัยที่เหมาะสม)
- ต้องไม่เปรียบเทียบลูกกับเด็กระบบการศึกษาอื่น ถ้าเน้นวิชาการจ๋าๆ ที่นี่จะไม่ตอบโจทย์ค่ะ โรงเรียนวอลดอร์ฟไม่ได้เน้นการสอบวัดผลแบบทั่วไป ดังนั้นอาจต้องทำความเข้าใจว่าลูกจะเก่งในด้านที่ต่างออกไป
ถ้าลูก ๆ เหมาะกับแนวทางนี้ การเลือกโรงเรียนวอลดอร์ฟเป็นเหมือน “ของขวัญ” ที่เน้นการเติบโตจากภายในให้กับลูก การเรียนรู้ของลูกจะเปี่ยมไปด้วยความสุขและความคิดสร้างสรรค์ ที่สำคัญเค้าจะเติบโตและใช้ชีวิตในอนาคตได้อย่างแข็งแกร่ง อดทน ไม่ย่อท้อลองศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมจากโรงเรียนโดยตรงและอาจจะนัดเข้าไปเยี่ยมชมโรงเรียนเพื่อดูบรรยากาศจริงก่อนตัดสินใจนะคะ
ลิสต์โรงเรียนวอล์ดอร์ฟในกรุงเทพฯและปริมณฑล
- โรงเรียนไตรพัฒน์ อ่านบทความได้ที่ https://www.amarinbabyandkids.com/school-visit/tripat-school/
- โรงเรียนปัญโญทัย อ่านบทความได้ที่ https://www.amarinbabyandkids.com/school-visit/panyotai-waldorf-school-2/
- ศูนย์การเรียนศิริ์รัถยา อ่านบทความได้ที่ https://www.amarinbabyandkids.com/school-visit/siratthaya/
- บ้างกางใจ ( ผสมผสานระหว่างวอล์ดอร์ฟและมอนเตสซอรี่ ) อ่านบทความได้ที่ https://www.amarinbabyandkids.com/school-visit/baankangjai/
- โรงเรียนวรรณสว่างจิต ( ผสมผสานวอล์ดอร์ฟในหลักสูตร ) อ่านบทความได้ที่ https://www.amarinbabyandkids.com/school-visit/wansawangchit-school/
บทความโดย
แม่พลอยผิง