เปรียบเทียบ

วิธีเลี้ยงลูกให้ได้ดี ต้องหยุด เปรียบเทียบ ลูกกับคนอื่น!

Alternative Textaccount_circle
event
เปรียบเทียบ
เปรียบเทียบ

ปัญหาความนับถือตนเองต่ำมักมีรากฐานมาจากภูมิหลังในวัยเด็ก ดังนั้นอย่าทำให้ลูกรู้สึกว่าตนด้อยค่ากว่าคนอื่น แม้คุณไม่ต้องการให้พวกเขาเชื่อมั่นในตัวเองจนเกินงามหรือหลงตัวเอง แต่คุณคงไม่ต้องการให้พวกเขารู้สึกไร้ค่าด้วยการนำพวกเขาไปเปรียบเทียบกับพี่น้องหรือลูกของเพื่อน การที่ลูกของคุณถูกเปรียบเทียบจะทำลายความนับถือตนเองของพวกเขา ที่น่าเสียใจ คือ พ่อแม่หลายคนกลับมองว่าหากลูกไม่ดีหรือไม่เก่งหมือนเด็กคนอื่นๆ คือ การสะท้อนถึงคุณค่าของตัวพ่อแม่เอง ทั้งที่ชีวิตของลูกควรจะเป็นของลูก  ซึ่งต่อไปนี้คือเหตุผลสำคัญ ที่พ่อแม่ไม่ควรเปรียบเทียบลูกกับคนอื่น เพราะอาจทำให้เกิดผลเสียหลายประการต่อตัวลูกได้

1.  ลดความภาคภูมิใจและความมั่นใจในตัวเอง

เมื่อใดก็ตามที่คุณเปรียบเทียบลูกของคุณกับเด็กคนอื่น ความมั่นใจของพวกเขาจะค่อยๆ หมดไป และถ้าคุณต้องการพัฒนาทักษะการเป็นพ่อแม่ของคุณ คุณควรหลีกเลี่ยงการทำเช่นนั้น ไม่เช่นนั้น ลูก ๆ ของคุณจะเริ่มเชื่อว่าพวกเขาไม่ดีพอและทำให้พวกเขาสงสัยในคุณค่าของตนเอง พวกเขาอาจเริ่มสงสัยว่าทำไมพวกเขาไม่สามารถทำในสิ่งที่เด็ก ๆ ที่พวกเขาถูกเปรียบเทียบทำได้ ซึ่งจะทำให้พวกเขาตั้งคำถามถึงความสามารถของตนเอง ความสงสัยในตนเองนี้จะลดความมั่นใจในตนเองและอาจเริ่มเชื่อว่าตนเองไม่สามารถทำบางสิ่งได้ แม้ว่าพ่อแม่จะไม่เคยตั้งใจทำให้ลูกรู้สึกด้อยค่า แต่การเปรียบเทียบอย่างต่อเนื่องอาจทำให้ลูกรู้สึกไม่คู่ควร

ความนับถือตนเองต่ำอาจส่งผลต่อสุขภาพจิตของลูกคุณ ซึ่งจะส่งผลอย่างมากต่อชีวิตโดยรวมของพวกเขาเมื่อพวกเขาเติบโตขึ้น ทางที่ดีควรทำให้พวกเขารับรู้ว่าคุณภูมิใจในความสำเร็จและความพยายามของพวกเขาและกระตุ้นให้พวกเขาทำงานหนักอย่างต่อเนื่องโดยไม่เปรียบเทียบความสำเร็จของพวกเขากับความสำเร็จของผู้อื่น สิ่งนี้จะไม่เพียงสร้างความมั่นใจในตนเอง แต่ยังช่วยให้พวกเขายอมรับในสิ่งที่พวกเขาเป็นได้ง่ายขึ้น

หยุดเปรียบเทียบลูกกับคนอื่น
หยุดเปรียบเทียบลูกกับคนอื่น

2. สร้างความเครียดให้ตัวเด็กมากเกินไป

การเปรียบเทียบลูกของคุณกับคนอื่นอยู่เสมอๆ จะทำให้พวกเขาเครียด พวกเขาอาจรู้สึกว่าจำเป็นต้องทำงานหนักเกินไปเพื่อให้ได้รับการยอมรับจากคุณ ซึ่งสิ่งนี้สร้างความเสียหายอย่างมากต่อความเป็นอยู่ที่ดีของพวกเขา พวกเขาจะรู้สึกกดดันที่ต้องพยายามแสดงให้คุณเห็นว่าพวกเขาทำได้ดีพอๆ กับเด็กที่คุณกำลังเปรียบเทียบ ซึ่งจะทำให้พวกเขาเหนื่อยและหมดแรง ภาระที่พวกเขารู้สึกว่าจะสร้างความประทับใจให้กับคุณอาจทำให้พวกเขาเครียดมากจนถึงขนาดที่อาจส่งผลต่อผลการเรียนและด้านอื่นๆ ในชีวิตของพวกเขา

หากคุณรู้สึกว่าลูกของคุณสามารถเรียนได้ดีขึ้น บอกพวกเขาว่าคุณรู้ว่าลูกสามารถทำได้ดีกว่านี้ และหาวิธีทำให้พวกเขาทำงานหนักขึ้นโดยไม่ทำให้พวกเขารู้สึกว่าพวกเขาไม่ดีเท่าคนอื่น ท้ายที่สุดแล้ว เด็กทุกคนมีความสามารถที่แตกต่างกันและเรียนรู้ในระดับที่ต่างกัน หน้าที่พ่อแม่คือ เรียนรู้ว่าอะไรคือแนวทางที่ดีที่สุดเพื่อให้ลูกของคุณเกิดความพยายามขึ้นโดยไม่ทำให้พวกเขารู้สึกเป็นรอง หากทำได้บุตรหลานของคุณจะรู้สึกเครียดน้อยลงและพวกเขาจะทำได้ดีขึ้นด้วยตัวของเขาเอง

3. การ เปรียบเทียบ จะยิ่งลดความพึงพอใจที่คุณมีต่อลูก

ในฐานะพ่อแม่ หากคุณเปรียบเทียบลูกของคุณกับลูกคนอื่นอยู่เรื่อยๆ คุณอาจเริ่มรู้สึกว่าลูกของคุณไม่ดีพอ คุณอาจเริ่มเห็นลูกของคนอื่นดีกว่าลูกของคุณเองและนี่เป็นสิ่งที่อันตรายอย่างยิ่ง เป็นเรื่องปกติที่พ่อแม่ต้องการให้ลูกเก่ง เมื่อคุณเริ่มเปรียบเทียบพวกเขากับเด็กคนอื่นๆ คุณอาจเริ่มตั้งคำถามถึงความสามารถของพวกเขา แม้ว่าครั้งหนึ่งคุณเคยมีความสุขกับผลการเรียนของลูก แต่เมื่อคุณเห็นว่าผลการเรียนของลูกคนอื่นดีกว่า คุณอาจเริ่มตั้งคำถามกับตัวเองในฐานะพ่อแม่และแม้แต่ลูกของคุณ คุณอาจเริ่มรู้สึกไม่พอใจกับลูกของคุณเอง ดังนั้น คุณต้องเรียนรู้ที่จะชื่นชมลูกของคุณและยอมรับความสามารถของพวกเขา การเป็นพ่อแม่เป็นงานที่ยากอยู่แล้ว และการเปรียบเทียบลูกของคุณกับเด็กคนอื่น ๆ จะยิ่งทำให้มันยากขึ้น ตระหนักว่าคุณโชคดีพอที่มีโอกาสเลี้ยงดูลูก และพอใจกับสิ่งที่พวกเขาเป็น

4. การ เปรียบเทียบ อาจส่งเสริมให้ลูกเป็นคนขี้อิจฉา

การถูกเปรียบเทียบกับเด็กคนอื่นๆ อาจทำให้ลูกของคุณพัฒนาความรู้สึกเกลียดชังและอิจฉาริษยาต่อเด็กคนอื่นๆ หากพวกเขานึกถึงวิธีที่พวกเขาไม่สามารถทำหรือประสบความสำเร็จในสิ่งที่เด็กคนอื่นๆ ทำได้ พวกเขาอาจเริ่มไม่ชอบหรืออิจฉาเด็กคนอื่นๆ พวกเขาอาจเริ่มปฏิบัติต่อเด็กอีกคนอย่างเปิดเผยเพียงเพราะรู้สึกอิจฉาพวกเขา แม้ว่าเด็กอีกคนจะเป็นพี่น้องของพวกเขาก็ตาม ดังนั้นจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะแสดงให้พวกเขาเห็นว่าพวกเขาไม่จำเป็นต้องพัฒนาความรู้สึกดังกล่าว โดยการไม่เปรียบเทียบกับเด็กคนอื่น

5. สร้างปัญหาความสัมพันธ์ในครอบครัว

ในที่สุด เมื่อเด็กเบื่อหน่ายที่จะถูกเปรียบเทียบ พวกเขาอาจเริ่มแยกตัวเองออกจากพ่อแม่โดยสิ้นเชิง อาจเป็นได้ว่าพวกเขาคิดว่าไม่ว่าจะพยายามมากแค่ไหน ก็จะมีคนอื่นที่ทำผลงานได้ดีกว่าพวกเขา  คุณจะพบว่าลูกของคุณเลิกล้มเลิกและไม่พยายามทำอะไรอีกต่อไป สิ่งนี้อาจสร้างความเสียหายอย่างมากต่อลูกของคุณเนื่องจากอาจส่งผลต่อพัฒนาการทางจิตใจของพวกเขา นอกจากนี้ พวกเขาอาจเริ่มทำตัวห่างเหินจากคุณ เนื่องจากพวกเขาไม่ต้องการได้ยินคุณพูดถึงเด็กคนอื่นๆ ที่พวกเขาคิดว่าดีกว่าพวกเขา ลูกของคุณอาจเลิกเปิดใจกับคุณและปิดกั้นตัวเองจากชีวิตของคุณโดยสิ้นเชิง

ต่อไปนี้เป็นข้อปฏิบัติง่ายๆ บางประการที่จะช่วยให้ผู้ปกครองเลิกนิสัยนี้ได้

1. เข้าใจว่าการ เปรียบเทียบ ไม่ใช่แนวทางที่ดี

บางครั้งพ่อแม่ตั้งสมมติฐานที่ไม่เหมาะสม ว่าการเปรียบเทียบลูกกับคนอื่น ๆ อยู่เสมอ จะเพิ่มแรงผลักดันและศักยภาพของพวกเขา หารู็ไม่ว่ามันเป็นสิ่งที่ผิดอย่างร้ายแรง โปรดระลึกไว้เสมอว่าลูกของคุณจะทำได้ดีเพียงใดนั้นเป็นความรับผิดชอบของคุณแต่เพียงผู้เดียว ก่อนอื่น สิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับคุณคือต้องรู้ว่ามีปัจจัยหลายอย่างที่เอื้อต่อพัฒนาการของเด็ก ซึ่งรวมถึงความสามารถทางร่างกายและจิตใจและสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ของเขาด้วย หากลูกของคุณมีปัญหาในการทำความเข้าใจบทเรียนหรือเรียนรู้บางสิ่ง ให้พูดคุยกับพวกเขาและพยายามทำให้มันง่ายขึ้น

2. สร้างความไว้วางใจซึ่งกันและกัน

หากลูกของคุณไม่เชื่อใจคุณ แสดงว่าคุณเป็นพ่อแม่ที่ไม่ดี และการเปรียบเทียบตลอดเวลาจะไม่มีทางสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจที่ลูกมีให้คุณได้เลย  หากคุณทำให้ลูกรู้สึกว่าพวกเขาเป็นภาระของคุณ พวกเขาก็จะไม่ไว้ใจคุณ ดังนั้นคุณต้องสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจด้วยการแสดงความเชื่อมั่นในตัวลูก ให้กำลังใจพวกเขา และรับฟังพวกด้วยความเข้าใจเสมอเมื่อใดก็ตามทีพวกเขาต้องการ

3. เรียนรู้ที่จะชื่นชมเอกลักษณ์ของลูกคุณ

แทนที่จะพยายามให้ลูกของคุณเลียนแบบลูกชายของเพื่อน หรือคนอื่นๆ ตลอดเวลา จะดีกว่าไหมถ้าคุณเริ่มสังเกตและมองหาความสามารถของลูกคุณเองโดยไม่ต้องนำไปเปรียบเทียบกับใครๆ  ชมเชยพวกเขาและให้รางวัลหากพวกเขาเมื่อทำสิ่งต่างๆ ได้ด้วยตัวเอง ทั้งในแง่ของความพยายาม หรือผลงานที่ดีในแบบของลูกคุณเอง

อย่าเปรียบเทียบลูกกับคนอื่น
อย่าเปรียบเทียบลูกกับคนอื่น

4. มีความอดทน

เรียนรู้ที่จะมีความอดทนกับลูกของคุณและไม่กดดันพวกเขามากเกินไปที่จะทำบางสิ่งบางอย่าง  ในท้ายที่สุดให้มุ่งเน้นไปที่เชิงบวก ไม่ว่าลูกจะทำได้ดีหรือแย่กว่าใคร การเปรียบเทียบนั้นฝังแน่นอยู่ในธรรมชาติของมนุษย์ แต่สิ่งสำคัญสำหรับพ่อแม่คือต้องระลึกไว้เสมอว่า เมื่อพวกเขาทำสิ่งนี้กับลูก (และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพวกเขาบอกให้ลูกรู้ว่ากำลังทำสิ่งนี้) พวกเขากำลังวางรากฐานสำหรับความรู้สึกที่ไม่ดีในตนเองให้กับลูกโดยไม่รู้ตัว

ดังนั้น แทนที่จะเปรียบเทียบลูกของคุณ จงชื่นชมกับจุดแข็งของพวกเขา  ช่วยพวกเขาพัฒนาความสามารถเฉพาะตัว ให้เกิดความรู้สึกภาคภูมิใจในตัวตนของพวกเขา การเสริมแรงทางบวกดีกว่าการเปรียบเทียบทางลบเสมอ การฉลองให้กับบุตรหลานของคุณจะช่วยปลุกแรงผลักดันตามธรรมชาติให้พวกเขาประสบความสำเร็จมากขึ้น มีความทะเยอทะยานมากขึ้น เชื่อมโยงทางอารมณ์ความรู้สึกกันมากขึ้น และเห็นอกเห็นใจกันมากขึ้น

กุญแจสำคัญคือการให้กำลังใจลูกของคุณ อย่ามุ่งความสนใจไปที่ด้านใดด้านหนึ่ง เช่น ผลการเรียน ซึ่งเด็ก A ทำได้ไม่ดีเท่าเด็ก B แต่ อย่าลืมชี้ประเด็นอื่น เช่น การให้ความช่วยเหลือและใจดี ซึ่งเด็ก A ทำได้ดีมากกว่า เด็ก B เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม การเปรียบเทียบ หากทำในลักษณะที่ถูกต้อง หรือทำในเชิงบวก จะสามารถส่งเสริมเด็กได้ ซึ่งต่อไปนี้เป็นวิธีการเปรียบเทียบในเชิงบวกที่คุณสามารถลองนำไปปฏิบัติได้

1. กำหนดมาตรฐานแทนการ เปรียบเทียบ

ขอบคุณความพยายาม แม้ว่าพวกเขาจะปลอดภัยกว่าการสอบครั้งก่อนเล็กน้อย สิ่งนี้สร้างความมั่นใจ ชื่นชมความพยายาม แม้ว่าเขาจะได้คะแนนมากกว่าการสอบครั้งก่อนถึง 2 คะแนนก็ตาม สิ่งนี้จะช่วยสร้างความมั่นใจในตัวเองให้กับลูฏของคุณ

2. ให้กำลังใจเพื่อรับมือกับความอ่อนแอ

ถามว่าลูก ๆ ของคุณต้องการความช่วยเหลือหรือไม่ แสดงให้เห็นว่าคุณพร้อมเสมอที่จะสนับสนุนพวกเขา ไม่ใช่คอยซ้ำเติมหรือเปรียบเทียบ

3. ยกย่องจุดแข็ง

ไม่ว่างานใดๆ ก็จตามที่ลูกของคุณทำได้ดี จงชื่นชมลูฏด้วยความจริงใจ

4. อย่าตั้งความคาดหวังไว้สูงเกินไป

เช่น ถ้าลูกสาวของคุณอยากเป็นนักเขียน อย่าบังคับให้เธอต้องไปเรียนวิศวะ แม้ลูกของคุณอาจจะเฉลียวฉลาดในสายตาของคุณ แต่หากพวกขาดซึ่งความถนัด ความชอบ และความสนใจด้วยใจจริง หรือที่เรียกว่า Passion  สิ่งนี้ย่อมเป็นอันตรายต่อความสำเร็จในทุกๆ ด้านของลูก เนื่องจากพวกเขาต้องจำใจทำในสิ่งที่ไม่ได้รักอย่างแท้จริง

5. ให้การสนับสนุนและมอบความรักอย่างไม่มีเงื่อนไข

หากลูกของคุณทำคะแนนได้ไม่ดี อย่าทำให้พวกเขารู้สึกว่าพวกเขาทำให้คุณผิดหวังหรืออับอาย หน้าที่ของพ่อแม่คือการสนับสนุนลูกของคุณเสมอ มีส่วนร่วมในการพูดคุย ให้กำลังใจ กระตุ้นให้พวกเขาฝึกฝนมากขึ้น และชื่นชมในความพยายามของพวกเขาในที่สาธารณะเสมอ โปรดจำไว้ว่าเด็กทุกคนมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และมีระดับความสนใจที่แตกต่างกัน ที่สำคัญคือ มีจุดแข็งและจุดอ่อนที่ต่างกัน

ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.myparentingjournal.comhttps://www.care.com

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

เรื่องที่คนอ่านมากสุด

keyboard_arrow_up