Page 548 – AMARIN Baby And Kids – เพื่อลูกฉลาดและมีความสุข

สอนวัยใสให้รู้จักจัดระเบียบ

เจอเสียงร้องแบบนี้บ่อยๆ ไม่ว่าคุณแม่ใจเย็นคนไหนก็ต้องประสาทเสีย ก็เพราะวัยนี้น่าจะรู้จักหาของเองได้แล้ว แต่ไหงพวกเขาถึงขี้หลงขี้ลืมยิ่งกว่าคุณยายเสียอีกละเนี่ย

 
ปัญหาอยู่ที่ การจัดระเบียบ ถ้าเด็กๆ รู้จักเก็บข้าวของให้เป็นที่ พวกเขาก็จะหาสมบัติของตัวเองเจอได้ง่ายขึ้นเรามี 3 เทคนิคเจ๋งๆ จากผู้เชี่ยวชาญมาฝากให้ลองใช้ดู

 
1. เรียนรู้จากการลงมือทำ “เด็กๆ เรียนรู้จากการลงมือปฏิบัติได้ดีกว่าการสั่งสอน ฉะนั้น เลิกทำความสะอาดห้องให้ลูกวัยทวีน และปล่อยให้พวกเขาจัดระเบียบห้องของตัวเองได้แล้ว” ดอนนา สแมลลิน ผู้เขียน “A to Z Storage Solutions” ควบตำแหน่งคุณแม่ลูกสามแนะนำ

 
2. ศิลปะ “การจัดระบบ” การทำอะไรซ้ำๆ สร้างความเคยชินจนกลายเป็นความทรงจำได้ หัวใจหลักของเทคนิคนี้คือ “จงเก็บของทุกชิ้นเข้าที่เดิมทุกครั้ง” โซเนีย ทอมลิน คุณแม่ลูกแฝด ผู้เป็นเจ้าของบริษัทจัดการระบบแห่งหนึ่งในเมืองพลาโน รัฐเทกซัส สรุปสั้นๆ ว่า “รถของเล่นทุกคันควรมีที่จอดรถของมันเองค่ะ”

 
3. ใกล้มือเข้าไว้เป็นดีที่สุด “คำถามแรกที่คุณควรถามตัวเองก็คือ ‘ฉันใช้เจ้านี่ที่ไหนนะ’” ซาแมนตา มอส คุณแม่ลูกหนึ่ง ผู้เขียน “Where’s My Stuff ” เปิดเผยเทคนิคของเธอ

 
ถ้าลูกต้องทำการบ้านในห้องรับแขกทุกวัน ก็ให้เขาเก็บสมุดการบ้าน เครื่องเขียน และกระเป๋านักเรียนไว้ในห้องนั้น นอกจากลูกจะไม่ต้องขนข้าวของไปมาแล้ว ยังช่วยให้เขาหาของได้ง่ายขึ้น (และตะโกนเรียกคุณให้ช่วยหาน้อยลงด้วย)

 

 

บทความโดย: กองบรรณาธิการนิตยสารเรียลพาเรนติ้ง

วันนี้ ” ลูกชาย ” อ่านหนังสือหรือยัง

            โดยมีผลการวิจัย ระบุว่า   21 เปอร์เซ็นต์ของบรรดาหนุ่มน้อย เริ่มอ่านเมื่ออายุได้ 9 ขวบ และ 15 เปอร์เซ็นต์เริ่มอ่านเมื่ออายุได้ 11 ขวบ ส่วนที่เหลือมีบ้างที่ยังอ่านหนังสือไม่แตกฉานแม้เมื่ออายุ 14 ปี (ในขณะที่สถิติของเด็กวัย 10 – 12 ปีที่เล่นเกมเป็นกลับเพิ่มสูงถึง 86 เปอร์เซ็นต์!)

 
เพราะฉะนั้น เราแนะนำว่าคุณแม่ควรฝึกให้ลูกๆ เริ่มอ่านหนังสือกันตั้งแต่วันนี้ดีกว่า ไม่ใช่เฉพาะลูกชายนะคะ ลูกสาวก็ไม่ควรงดเว้น ”

 

 

บทความโดย: กองบรรณาธิการนิตยสารเรียลพาเรนติ้ง

” กระโดดเชือก ” วิธีออกกำลังแสนง่าย แต่ได้เหงื่อ

การกระโดดเชือกเป็นการออกกำลังกายที่ง่ายและได้เหงื่อ หนูๆ เล่นเองคนเดียวได้ที่บ้าน  โดยใช้พื้นที่ไม่มากนัก  แถมยังไม่ต้องเสียเงินซื้อหาอุปกรณ์แพงๆ มีแค่เชือกกระโดดที่แข็งแรงแน่นหนาสักเส้นก็พอแล้ว รู้อย่างนี้แล้ว มาฝึกกระโดดเชือกกันดีกว่า

 
1  เลือกความยาวให้เหมาะ วิธีวัดความยาวของเชือกกระโดดเริ่มจากแบ่งครึ่งเส้นเชือก ให้ลูกยืนทับจุดกึ่งกลางเชือก  ดึงปลายเชือกทั้งสองข้างขึ้นมาความยาวที่เหมาะสมคือ ปลายเชือกจะต้องพอดีกับรักแร้ของลูก หากเชือกสั้นเกินไปจะทำให้ลูกสะดุดเวลากระโดด และถ้ายาวเกินไปก็จะตวัดหมุนได้ยาก

 
2  ฝึกการเคลื่อนไหว ลองให้ลูกถือเชือกกระโดดโดยให้เส้นเชือกอยู่ทางด้านหลังติดกับส้นเท้า แล้วค่อยๆ ตวัดเชือกข้ามศีรษะกลับมาด้านหน้าให้ชนหัวนิ้วเท้า ยังไม่ต้องกระโดด ลองทำซ้ำหลายๆ ครั้งจนลูกเริ่มคุ้นมือ

 
3  กระโดดกันเลย ฝึกเหมือนข้อ 2 แต่ให้ลูกกระโดดข้ามเชือกไปด้วย โดยอาจจะกระโดดแล้วหยุดก่อนในครั้งแรกๆ เมื่อลูกจับจังหวะได้แล้วจึงค่อยกระโดดต่อเนื่องครั้งละ 3 – 4 รอบ คุณพ่อคุณแม่อาจจะอยู่ข้างๆ และกระโดดไปด้วยกัน  เพื่อช่วยให้ลูกจับจังหวะได้ดีขึ้น

 
4   เพลงเก่าช่วยได้ จำการเล่น “โอเพียว” สมัยยังเด็กกันได้ไหม เพลงนี้เหมาะใช้เป็นเพลงประกอบจังหวะสำหรับการกระโดดมากๆ ถ้าที่บ้านมีเด็กโตหรือผู้ใหญ่หลายคน ลองชวนมาเล่นด้วยกันก็สนุกไปอีกแบบ

 
5   อย่าลืมเรื่องความปลอดภัย เชือกกระโดดไม่ได้เป็นอุปกรณ์ที่อันตรายก็จริง แต่เวลาที่เหวี่ยงเชือกก็อาจฟาดโดนคนอื่นๆ  โดยเฉพาะน้องเล็กๆ ได้อย่าลืมเตือนหนูๆ ให้ระวัง ไม่กระโดดเชือกใกล้กับผู้อื่นเกินไปด้วยล่ะ

 

 

บทความโดย: กองบรรณาธิการนิตยสารเรียลพาเรนติ้ง

Tags

ถึงเวลาสวมบราแล้วนะลูก

คำตอบคือ “ให้ลูกวัดขนาดหน้าอกด้วยตัวเอง” คุณหมอลิซ่า แรคก์ อายุรแพทย์จากศูนย์ทารกแรกเกิดมหาวิทยาลัยแฮกเกนแซค ในนิวเจอร์ซีย์ แนะนำให้คุณชวนลูกสาวมาวัดขนาดหน้าอกตัวเองแบบมือโปรกัน

 
คุณแม่อาจถามว่า แล้วเมื่อไรถึงจะใช่เวลาที่ควรวัด คำตอบคือเมื่อเริ่มสังเกตเห็นหัวนมผ่านเสื้อผ้าที่สวมอยู่ทุกวัน และหากคุณไม่อยากให้ใครมาใกล้หน้าอกลูกสาว คุณสามารถช่วยลูกวัดได้เองที่บ้าน โดยวิธีวัดคือ

 
1. หาความกว้างของรอบอก (ตัวเลขที่ตามขนาดของคัพ เช่น A70 A75 เป็นต้น) ซึ่งก็คือความกว้างของตัวบรา โดยวัดตรงบริเวณใต้รอบอก

 
2. หาขนาดของเต้า (เรียกกันว่า คัพ มีตั้งแต่ AA, A, B ไปถึง E) โดยวัดรอบอกให้ผ่านหัวนม ได้เท่าไรมาลบกับข้อ 1

 
ถ้าต่างกันไม่ถึง  นิ้วจะเป็นคัพ AA ถ้าต่างกันตั้งแต่  1 นิ้วจะเป็นคัพ A ทุกครึ่งนิ้วที่ต่างกันก็ขยับเป็นคัพต่อไป หรือจะเอาตัวเลขที่วัดได้ไปบอกพนักงานขายอีกครั้งก็ได้

 

 

บทความโดย: กองบรรณาธิการนิตยสารเรียลพาเรนติ้ง

Tags

อ๊ะ อ๊ะ ! ป่วยการเมืองนี่ลูก

พอคุณแม่ตรวจดูอาการ เอ…ไม่ได้เป็นอะไรหนักหนาสักหน่อย ลูกแอบป่วยการเมืองหรือเปล่านะ เรื่องนี้มีสาเหตุค่ะ

 
“ความเครียดสัมพันธ์กับอาการเจ็บป่วยของเด็กก่อนวัยรุ่นมากกว่าทุกวัยค่ะ” นพ.จิล กริม แพทย์จากเมืองออสติน รัฐเทกซัสให้คำอธิบาย ความกดดันจากโรงเรียนทำให้เด็กๆ หลายคนมีอาการป่วยเรื้อรังในช่วงเปิดเทอมใหม่ หากอาการป่วยนั้นไม่ชัดเจน เช่นปวดหัว แต่ไม่มีไข้ หรือปวดท้องเล็กน้อยโดยไม่ได้อาเจียนหรือท้องเสีย ก็บอกให้ลูกไปโรงเรียนก่อนแล้วค่อยกลับมาตรวจกันใหม่หรือไปหาคุณหมอตอนเย็น แต่ถ้าลูกยังยืนยันขอหยุด ก็ปล่อยให้แกนอนพักเงียบๆ สัก 10 นาทีเพื่อดูอาการ (ความจริงแล้วคือเปิดโอกาสให้ลูกได้สงบสติอารมณ์สักหน่อยนั่นเอง)

 
อย่างไรก็ตาม บางครั้งหนูๆ ก็ไม่สามารถบังคับร่างกายของตนได้จริงๆ หากเป็นแบบนี้ การพูดคุยหรือปรึกษาอาจไม่ได้ผลร้อย เปอร์เซ็นต์ คุณพ่อคุณแม่คงต้องยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือ โดยใช้เทคนิคแก้ไขอาการป่วยจากความเครียดดังต่อไปนี้

 
• ยาลดกรด ส่วนใหญ่แล้วอาการปวดท้องจากความเครียดมักทำให้เกิดกรดในกระเพาะอาหาร ส่งผลให้รู้สึกแน่นหรือเจ็บแปล๊บ ถ้าลูกรู้สึกแบบนี้อาจให้เขากินยาลดกรดหรือยาธาตุเพื่อลดอาการจุกเสียด สำหรับเด็กผู้หญิงบางราย การกินแคลเซียมเสริมก็สามารถช่วยแก้ไขได้ แต่ควรปรึกษาแพทย์ก่อน

 
• อาหารที่มีกากใย แนะนำให้ลูกกินผักและผลไม้ให้มากขึ้นเพื่อช่วยลดอาการท้องผูก ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญอย่างหนึ่งของอาการปวดท้อง

 
• สอนให้ลูกรู้จัก “ระบาย” ความรู้สึก ออกมาเป็นคำพูด หากความกังวลสั่งสมอยู่ในใจมากเกินไปอาจระบายออกมาเป็นอาการป่วยได้โดยอัตโนมัติ ดังนั้นเมื่อลูกบ่นว่าปวดนั่นปวดนี่ หรืองอแงไม่อยากไปโรงเรียน อย่าเพิ่งคาดคั้นหรือดุว่า แต่พยายามหาเวลาพูดคุยกับลูกให้มากขึ้น เพื่อให้ลูกรู้ว่าคุณเข้าใจความรู้สึกของเขาและพร้อมจะช่วยเหลือ

 
• ออกกำลังกายให้มากขึ้น การออกกำลังเป็นทางระบายความเครียดที่ดีที่สุดทางหนึ่ง หลังกลับจากโรงเรียน ลองชวนลูกเล่นแบดมินตัน ขี่จักรยาน หรือเดินเร็วๆ รอบหมู่บ้าน จะช่วยฟื้นอารมณ์ของหนูๆ ได้ดีขึ้น

 

 

บทความโดย: กองบรรณาธิการนิตยสารเรียลพาเรนติ้ง

Tags

ลูกชักเบื่อชั้นประถม

ในสายตาผู้ใหญ่ เด็กวัยเรียนแสนสบายมีแต่เรื่องสนุก แต่สำหรับหนูๆ โดยเฉพาะขาโจ๋จอมซนทั้งหลายอาจไม่รู้สึกอย่างนั้น ทำไมน่ะหรือ “ช่วงอนุบาลเป็นช่วงที่เด็กๆ ได้เรียนรู้การเข้าสังคม สร้างเพื่อนใหม่ หรือฝึกทักษะการใช้ชีวิต แต่เมื่อขึ้นชั้นประถม พวกเขาต้องเริ่มต้น ‘เรียน’ อย่างจริงจังมากขึ้น” เพค ไทร์ ผู้เขียน “The Trouble with Boys” อธิบายเพิ่มเติมบรรยากาศการแข่งขัน รวมไปถึงตารางเรียนและการบ้านที่เพิ่มขึ้นเบียดเวลาเล่นและชั่วโมงกิจกรรมสนุกๆ ให้ลดลงอย่างเห็นได้ชัด

 

ไม่แปลกที่เด็กผู้ชายวัยซนจะอึดอัดเพราะไม่ได้ปล่อยพลังงานไปกับการเล่น นอกจากนี้พัฒนาการด้านระบบของพวกเขายังช้ากว่าของเด็กผู้หญิง หนุ่มน้อยทั้งหลายจึงรู้สึกว่า การเรียนชั้นประถมนั้นไม่สนุกเอาเสียเลยคุณพ่อคุณแม่อย่าเพิ่งกังวล เรามีทางแก้ไขเพื่อลดความรู้สึกแง่ลบแบบนี้มาฝาก

 
พูดคุย + ชี้แนะ  ถ้าปกติคุณคุยกับลูกเรื่องชีวิตในแต่ละวันอยู่แล้ว ลองถามรายละเอียดเกี่ยวกับแต่ละวิชาเรียนมากขึ้น เช่น “วันนี้มีเรียนเลขนี่นา หนูทำได้ไหม” หรือ “ชั่วโมงศิลปะวันนี้ ครูให้ทำอะไรจ๊ะ” เปิดโอกาสให้เขาพูดคุยและระบายความคับข้องใจ อย่าลืมชมเชยเมื่อลูกทำได้ดี และแนะนำในวิชาที่เขาไม่ถนัด

 
เพิ่มเวลาผ่อนคลาย  ตอนเย็นหลังกลับจากโรงเรียน อย่าเพิ่งบังคับให้ลูกนั่งทำการบ้านหรือจัดตารางเรียนพิเศษจนแน่นเอี๊ยด ลองปล่อยให้เขาได้วิ่งเล่นหรือออกกำลังกายอย่างเต็มที่เพื่อเป็นการปลดปล่อยพลัง เด็กๆ จะได้รู้ว่า อย่างน้อยหนึ่งวันเขาก็มีเวลาได้เล่นตามใจชอบ จะช่วยลดความเครียดยามที่ต้องนั่งเรียนหนังสือลงได้

 
ขอความช่วยเหลือจากคุณครู หากลูกออกอาการหงุดหงิดหรือมีพฤติกรรมเปลี่ยนจากสมัยอนุบาลแบบหน้ามือเป็นหลังมือ อาจต้องขอความช่วยเหลือจากคุณครูประจำชั้นให้คอยสังเกตเวลาอยู่ในห้องเรียน ว่าลูกมีปัญหาด้านการเรียนหรือเข้ากับกลุ่มเพื่อนไม่ได้หรือไม่ หากใช่ ก็คงต้องแก้ให้ตรงจุด แต่ถ้าไม่มีปัญหาอะไร (เขาเพียงแค่เบื่อและยังปรับตัวไม่ได้) ลองเสนอให้คุณครูเพิ่มเวลาพักระหว่างวิชาสัก 5 – 10 นาที จะช่วยให้หนุ่มๆ วัยซนรู้สึกว่ามีเวลาอิสระมากขึ้นอีกหน่อย

 

 

บทความโดย: กองบรรณาธิการนิตยสารเรียลพาเรนติ้ง

Tags

ลูกโตชอบโกรธแล้วหนี ทำอย่างไรดีล่ะ

ลูกโตชอบโกรธแล้วหนี ทำอย่างไรดีล่ะ

Q. จะทำอย่างไรกับลูกสาวขี้งอนดีคะ แม่ดุปุ๊บเป็นผลุนผลันร้องไห้ ขี่จักรยานลับหายไปบ้านเพื่อนทุกที

คุณหมอโทนี เมเยอร์ จิตแพทย์จากศูนย์สุขภาพออโรราในมิลวอร์คกี้ สหรัฐอเมริกา แนะนำว่า ควรปล่อยลูกไปก่อน “เราทุกคนล้วนมีช่วงเวลาที่อยากหลีกหนีจากสถานการณ์ที่ทำให้รู้สึกแย่” อย่าเพิ่งขึ้นเสียงร้องเรียกหรือลงโทษ ที่ลูกวิ่งหนี ปล่อยให้เขาร้องไห้เงียบๆ จนพอใจ (ในขณะที่คุณเองก็ได้ปรับใจให้เย็นลงไปพร้อมกัน) แล้วจึงค่อยกลับมาคุยกันด้วยเหตุผล

เมื่อสงบศึกกันแล้ว บอกลูกว่า เขามีสิทธิหลบไปสงบสติอารมณ์และทบทวนข้อขัดแย้งคนเดียว แต่ไม่มีสิทธิ์ออกไปนอกบ้านโดยไม่ได้รับอนุญาต เพราะอาจเกิดอันตรายขึ้นได้ทุกเมื่อ หลังจากนั้น ลองมอบตัวเลือกที่ปลอดภัยในบริเวณบ้าน ซึ่งจะไม่มีสมาชิกคนอื่นไปกวน เช่น ในห้องนอน ในโรงรถ ในสวน ฯลฯ ให้แทน

 

บทความโดย: กองบรรณาธิการนิตยสารเรียลพาเรนติ้ง

ภาพ: Shutterstock

ช่วยลูกทำการบ้าน

สอนทำการบ้านวันหยุด แบบไหน ไม่ยืดเยื้อ

 
• กำหนดระยะเวลาการทำการบ้านให้ชัดเจนใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง ควรเป็นช่วงที่ลูกไม่มีกิจกรรมที่อยากทำ และคุณพ่อคุณแม่ว่างพอจะสอนพวกเขาได้ เวลาที่เราแนะนำ คือช่วง 10.00 น. – 12.00 น. (หลังรายการการ์ตูนภาคเช้าจบ) และช่วง 15.00 น. – 17.00 น. (แดดร้อนเกินกว่าจะออกไปเล่นนอกบ้าน)

 
• ของรางวัลให้ตั้งตารอ ไม่จำเป็นต้องติดสินบนด้วยของเล่นอยู่ร่ำไป เปลี่ยนมาล่อใจด้วยกิจกรรมที่เด็กๆ ชื่นชอบ เช่น อาหารกลางวันมื้ออร่อย  หรือการออกไปว่ายน้ำที่สระใกล้บ้านในตอนเย็น ฯลฯ

 
• ในกรณีที่คุณวางแผนเที่ยวต่างจังหวัดในช่วงสุดสัปดาห์ อย่าลืมเล่าถึงกิจกรรมสนุกๆ ที่ลูกจะได้ทำ และตบท้ายว่า “ถ้าหนูทำการบ้านเสร็จตั้งแต่คืนวันศุกร์ หนูก็จะไม่ต้องเอาการบ้านไปด้วย แถมเรายังมีเวลาเล่นน้ำทะเลนานขึ้นตอนเย็นวันเสาร์ด้วยนะ”

 

 

บทความโดย: กองบรรณาธิการนิตยสารเรียลพาเรนติ้ง

Tags

วิธีแชร์ห้องนอนอย่างสันติ

ช่วงนี้แหละที่คุณพ่อคุณแม่จะต้องเริ่มปวดหัวกับปัญหา “เสือสองตัวอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้”โดยเฉพาะถ้าลูกสองคนมีบุคลิกต่างกัน คนหนึ่งเป็นพวกเจ้าระเบียบอีกคนติดนิสัยง่ายๆ อยู่แบบรกๆ ได้สบายคงไม่วายได้ยินเสียงทะเลาะเบาะแว้งทุกวี่วัน

 
อย่าเพิ่งกุมขมับ แผนสงบศึกต่อไปนี้อาจช่วยผ่อนหนักให้เป็นเบาได้บ้าง

 
• แบ่งพื้นที่ ให้ลูกสองคนมีพื้นที่ส่วนตัวในห้องเท่าๆ กัน ถ้าจอมแสบทั้งคู่นอนเตียงเดี่ยวอยู่แล้วก็ยิ่งง่าย เพียงแค่เลื่อนเตียงไปติดผนังห้องคนละด้าน ถ้าจะให้ดี ควรแบ่งตู้เสื้อผ้า โต๊ะทำการบ้าน กล่องเก็บของเล่นหรือชั้นหนังสือแยกกันต่างหาก แล้วปล่อยให้แต่ละคนจัดการข้าวของของตัวเองไป

 
• ถ้าห้องมีพื้นที่มากพอ…ลองขึงเชือกแล้วกั้นห้องด้วยผ้าม่านผืนบางๆ เวลาอยากมีห้องส่วนตัวก็แค่ดึงม่านมาปิด อยากนั่งเมาท์หรือเล่นด้วยกันเมื่อไรก็ค่อยดึงม่านออกเทคนิคนี้ใช้ได้กับพี่น้องต่างเพศที่ยังต้องอยู่ห้องเดียวกัน หรือเวลาที่พ่อแม่ต้องใช้กฎไทม์เอ๊าต์กับลูกคนหนึ่ง แต่อีกคนก็ต้องใช้ห้องเดียวกันได้อีกด้วย

 
• ถ้ามีพื้นที่น้อย…ลูกต้องนอนเตียงใหญ่เตียงเดียว ตู้เสื้อผ้าหลังเดียว หรือใช้โต๊ะทำการบ้านตัวเดียวกัน อาจแบ่งพื้นที่ด้วยหมอนข้าง หรือแบ่งเสื้อผ้าเก็บใส่ลิ้นชักคนละชั้น ส่วนราวแขวนก็แบ่งครึ่ง แล้วใช้ไม้แขวนเสื้อคนละสี และแบ่งเวลาใช้โต๊ะทำการบ้านคนละ 2 ชั่วโมงต่อวัน (ดูจากตารางเรียนและเวลานอนของลูกแต่ละคนเป็นหลัก)

 
• ตั้งกฎประจำห้อง นั่งประชุมตั้งกฎการใช้ห้องนอนร่วมกัน และกำหนดบทลงโทษสำหรับการฝ่าฝืน เช่น ห้ามเอาขนมเข้ามากินในห้อง หรือเดินย่ำเท้าเปียกๆ ออกมาจากห้องน้ำ ฯลฯ กฎข้อสำคัญคือ ห้ามหยิบของเล่น หนังสือ หรือเสื้อผ้าของพี่หรือน้องไปใช้ก่อนที่เจ้าของจะอนุญาต แล้วเอาแผ่นกระดาษที่เขียนกฎนี้ไปติดไว้ที่ประตูเพื่อช่วยเตือนใจ

 

 

 

 

บทความโดย: กองบรรณาธิการนิตยสารเรียลพาเรนติ้ง

Tags

สอนลูกให้อาบน้ำคนเดียว

ในสายตาของเด็กวัยนี้ การอาบน้ำในอ่างโดยมีคุณคอยใช้ฟองน้ำถูตัวให้กลายเป็นเรื่องของเบบี๋ไปเสียแล้ว พวกเขาเริ่มอยากอาบน้ำฝักบัวหรืออยากจะอาบคนเดียวบ้าง (ประมาณว่าเริ่มรู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้ใหญ่พอ และทำความสะอาดตัวเองได้ดีแน่ๆ นั่นเอง) ซึ่งจริงๆ แล้วลูกวัยนี้สามารถอาบน้ำเองได้ แต่ก็ต้องมีคุณช่วยจัดการบางอย่างเพื่อความมั่นใจว่าลูกจะอาบน้ำคนเดียวได้อย่างปลอดภัย

1. พิถีพิถันกับผลิตภัณฑ์อาบน้ำ

เช่น เลือกผลิตภัณฑ์ที่ไม่ระคายเคืองตา  เพื่อป้องกันการร้องกรี๊ดๆ (เพราะแสบตา) จนทำให้คุณอดใจไม่อยู่ต้องเดินกลับไปดู

2. ใส่ขวดให้เหมาะมือ

เทสบู่หรือแชมพูใส่ขวดขนาดเล็กเพื่อให้ลูกน้อยถือและบีบใช้ได้ง่ายด้วยตัวเอง

3. เรื่องต้องสอน

วิธีปรับอุณหภูมิของเครื่องทำน้ำร้อนทั้งร้อนและเย็น แต่แน่นอนว่าคุณต้องเป็นคนตั้งและปรับอุณหภูมิให้เขาก่อน จนกว่าลูกจะสูงถึงตัวเครื่อง

4. ของอันตรายเก็บให้พ้นมือ

อย่างมีดโกน ครีมโกนหนวด หรือสเปรย์ทำความสะอาดต่างๆ ควรเก็บออกจากห้องน้ำหรือจนกว่าลูกจะหมดช่วงอยากรู้อยากสำรวจต่อไปแล้ว

5. ติดตั้งเพื่อความปลอดภัย

ผ้ายางกันลื่นมาปูทับบนพื้นกระเบื้องของห้องน้ำกันไม่ให้ลูกน้อยหกล้ม

6. เลิกสบู่เหลว

ถึงวัยนี้ลูกควรจะเลิกใช้สบู่เหลวได้แล้ว เพราะอาจทำให้เขาลื่นหกล้มได้ เลือกสบู่ก้อนเล็ก ลวดลายน่ารักให้เขาลองใช้จะเหมาะกว่า

 

บทความโดย: กองบรรณาธิการนิตยสารเรียลพาเรนติ้ง

ภาพ: Shutterstock

สารพันวิธีช่วย เมื่อลูกรักหมดกำลังใจ

แน่นอนว่า การบังคับจิตใจลูกคงไม่ใช่ทางออกที่เหมาะสม ลองฟังเทคนิคจากดอกเตอร์โจเอล ฟิช ผู้เขียน “101 Ways to be a Terrific Sports Parent” ดูก่อน

 
• ใช้ความสำเร็จเล็กๆ สร้างความสำเร็จใหญ่ๆ ชมเชยทุกความสำเร็จของลูกอย่างจริงใจ ไม่ว่าเรื่องนั้นจะเป็นเรื่องเล็กๆ แค่การทำลายสถิติการวิ่งของตัวเอง เรียนรู้เดาะบอลใหม่ๆ ได้ การมีน้ำใจนักกีฬา ฯลฯ คุณก็สามารถเอ่ยชมเขาได้ทั้งนั้น “หนูเป็นลูกทีมมีความรับผิดชอบมาก แม่ภูมิใจในตัวหนูจ้ะ”

 
• วิเคราะห์ (แต่ไม่วิจารณ์) ข้อผิดพลาด แทนที่จะนับว่า การแข่งครั้งนี้ลูกทำแต้มได้เท่าใด ลองมาคุยกันว่า เขาจะปรับปรุงตรงจุดไหนเพื่อให้เล่นได้ดีขึ้นดีกว่า

 
• ลดความคาดหวังลงหน่อย เราเห็นนักกีฬามือโปรในโทรทัศน์มามาก ไม่แปลกหรอกที่จะคาดหวังว่าลูกของเราจะเป็นอย่างนั้นบ้าง แต่อย่าลืมว่าพวกเขายังอายุไม่ถึง 10 ขวบเลยนะ ลดๆ ความคาดหวังลงสักนิด ทุกคนจะสนุกกับการแข่งขันได้อย่างสบายใจขึ้นเยอะ

 
• ให้ลูกหยุดพัก เมื่อความสนใจของเขาต่อสิ่งนั้นๆ ดูจะน้อยลง เมื่อมีเรื่องใหม่ๆ ให้เด็กวัยนี้พบเจอและค้นหาแทบทุกวัน พวกเขาจึงอาจจะสนใจกีฬาที่เคยชอบน้อยลง หรืออยากเปลี่ยนไปลองทำอย่างอื่นบ้าง นั่นไม่ได้หมายความว่า ลูกของเราเป็นคนโลเลหรือไม่จริงจังหรอกนะ

 

 

บทความโดย: กองบรรณาธิการนิตยสารเรียลพาเรนติ้ง

Tags

แอบเสียใจ ลูกรัก พ่อ มากกว่า แม่

เด็กๆ เขาก็มี “หัวใจหลายห้อง” เหมือนเราๆ ผู้ใหญ่นี่แหละ ค่ะ เพียงแต่พวกเขายังไม่เรียนรู้ที่จะแบ่งความสนใจหรือเอาใจใส่ใครหลายๆ คนพร้อมกัน

 
ดังนั้นถ้ามีคนที่รักอยู่พร้อมกัน 2 คน พวกเขาจึงจัดอันดับแล้วทุ่มให้คนที่ชอบมากกว่าจนเหมือนจะเมินอีกคนไปเสีย

 
ทำไมเด็กๆ จึง (เหมือนจะ) รักพ่อมากกว่าแม่

 
บทบาทในครอบครัว ส่วนใหญ่แม่จะเป็น “นายจ่าคุมกฎ” หรือ “คุณนายระเบียบ” คอยห้ามคอยสั่งให้ลูกทำสิ่งต่างๆ ถ้าเทียบกับพ่อซึ่งมีเวลาให้น้อยกว่า แต่สนุกสนานมากกว่า (แถมตามใจมากกว่า) หนูๆ เลยชอบเวลาที่อยู่กับพ่อมากกว่าเวลาที่อยู่กับแม่

 
ถ้าอยากได้ตำแหน่ง “ขวัญใจ” คืนบ้าง

 
ลองทำตัวให้สนุกสนานและผ่อนคลายขึ้นอีกหน่อย ชวนลูกเล่นหรือทำกิจกรรมต่างๆ หลังจากทำการบ้านเสร็จ มีส่วนร่วมมากขึ้น ตอนที่พ่อ – ลูกเตะฟุตบอลกัน คุณอาจทำหน้าที่เป็นผู้รักษาประตู หรือดึงลูกเข้ามาในกิจกรรมของคุณ เช่น ให้พวกเขาช่วยเด็ดผักระหว่างที่คุณกำลังทำอาหาร ช่วยเลือกของเวลาไปช็อปปิ้ง ฯลฯ

 
ถึงแม้ว่าทำแล้วยังดูเหมือนลูกยัง “ติด” พ่อมากกว่า ก็ไม่เป็นไรหรอก เพราะถ้าถึงเวลาที่หนูๆ ต้องการใครสักคนขึ้นมาจริงๆ แม่จะเป็นตัวเลือกอันดับหนึ่งโดยอัตโนมัติ

 

 

บทความโดย: กองบรรณาธิการนิตยสารเรียลพาเรนติ้ง

Tags

หลากวิธี ช่วยย่นระยะคิดถึง ปู่ย่าตายาย กับ หลานรัก

            โดยเฉพาะถ้าหากอยู่กันคนละจังหวัด และเด็กๆ ในวัยนี้ก็ไม่เก่งในเรื่องคุยโทรศัพท์เสียด้วย เพราะไม่รู้จะคุยอย่างไร เช่นเดียวกัน คุณปู่คุณย่าก็อาจจะไม่เก่งเรื่องเทคโนโลยี ทำให้เป็นเรื่องยากที่จะติดต่อกัน และนี่คือวิธีง่ายๆ ที่ช่วยให้คนในครอบครัวได้สนิทสนมกันโดยไม่ต้องกังวลเรื่องระยะทางอีก

 
• สปีคเกอร์โฟนก็มีประโยชน์ เวลาคุยกันทางโทรศัพท์ ลองเปิดสปีคเกอร์โฟนเพื่อคุณจะได้ช่วยเสริมเวลาที่ลูกๆ มีอาการ “ถามคำตอบคำ” กับคุณตาคุณยาย (อาการนี้มักเกิดขึ้นกับคำถามที่หลีกเลี่ยงไม่ได้อย่าง วันนี้ที่โรงเรียนเป็นอย่างไรบ้าง) การสนทนาจะได้ลื่นไหลเป็นธรรมชาติมากขึ้น

 
• ถ่ายรูป ซื้อกล้องถ่ายรูปราคาไม่แพงให้เด็กๆ ได้ถ่ายรูปตัวเอง รวมถึงสิ่งที่พบเห็นในชีวิตประจำวันที่ปู่ย่าตายายไม่มีโอกาสได้เห็น เช่น ข้าวของเครื่องใช้ไปโรงเรียน เพื่อนสนิท ตลอดจนเตียงเล็กๆ ที่พวกเขาใช้นอน แล้วให้พวกเขาเขียนคำบรรยายกำกับแต่ละรูป พวกคุณปู่จะต้องชอบใจแน่ๆ

 
• ใช้การอ่านมาเสริม อีกหนึ่งวิธีที่จะสร้างความผูกพันระหว่างกัน คือการให้พวกท่านอ่านหนังสือให้ลูกของคุณฟังผ่านทางโทรศัพท์ โดยเฉพาะถ้าเป็นหนังสือเล่มโปรด กลับกันเมื่อลูกๆ สามารถอ่านหนังสือได้เองแล้ว ก็เป็นเรื่องที่ดีที่จะให้ลูกๆ ได้โชว์ทักษะการอ่านให้คุณปู่ฟังบ้าง

 
• ใช้อินเทอร์เน็ตช่วย ถ้าหากว่าคุณปู่คุณย่ายังเปรี้ยวและเข้าใจเรื่องอินเทอร์เน็ตได้ดี คำแนะนำของเราคือสร้างบล็อกของครอบครัวขึ้นมาเลย (เลือกแบบส่วนตัวนะ) คุณจะได้โหลดรูปสวยๆ โพสต์คลิปวิดีโอเก๋ๆ และยังอัพเดทข้อมูลต่างๆ ระหว่างกันได้ด้วย

 

 

บทความโดย: กองบรรณาธิการนิตยสารเรียลพาเรนติ้ง

Tags

วิธีแนะนำลูกแสดง “ความเห็นต่าง” อย่างเหมาะสม

รู้จักแสดง ความเห็นต่างอย่างเหมาะสม

 
ดร.ไมร์น่า ชูวร์ ผู้เขียนหนังสือ “Thinking Parent, Thinking Child” อธิบายว่า “ตอนเป็นเด็กก็มักจะคิดหรือเชื่อตามคำผู้ใหญ่พูด แต่พอเข้าวัยทวีน ลูกคุณเริ่มตั้งคำถามหรือมีความสงสัยต่อเรื่องอำนาจหรือกติกา นั่นแสดงว่าลูกคุณกำลังเริ่มพัฒนาค่านิยมเรื่องต่างๆ แล้ว”

 
อย่างเหตุการณ์นี้ เมื่อครูไม่อนุญาตให้เด็กๆ เล่นบอลช่วงพัก แคลร์ ลูกสาวอายุ 9 ขวบเล่าให้แม่ฟังว่า เธอไม่เห็นด้วยและต่อต้านด้วยการชวนเพื่อนๆ มายืนตะโกนเรียกร้อง “พวกหนูจะเล่นบอล เล่นบอล!!”

 
วิธีนี้ก็ดูน่าสนุก มีสีสันดีสำหรับเด็กๆ แต่ไม่น่าจะใช่วิธีที่ดีหรือเหมาะสม แม่จึงแนะนำอีกวิธีหนึ่ง ให้แคลร์ลองเขียนจดหมายถึงครูใหญ่เพื่อขออนุญาตเล่นบอลในช่วงเวลาพัก พร้อมบอกเหตุผลประกอบ แคลร์ทำตาม…

 
ได้ผล! ครูใหญ่อนุญาต นอกจากวิธีในเรื่องนี้แล้ว คุณพ่อคุณแม่ยังสามารถช่วยลูกให้รู้จักวิธีการแสดง “ความเห็นแตกต่าง” อย่างมีประสิทธิภาพและวิธีที่เหมาะสมอื่นๆ ได้อีก

 
มองมุมคนอื่น ช่วยให้ลูกมีโอกาสคิดถึงเหตุผลของการตั้งกฎกติกาต่างๆ แก้ปัญหาให้เหมาะสม แนะนำวิธีที่ทำได้จริงและรับมือกับความเห็นของผู้ตั้งกฎ

 
จัดลำดับความสำคัญ เป็นไปไม่ได้ที่คนเราจะต่อต้านทุกเรื่อง ลองช่วยลูกจัดลำดับความสำคัญของบรรดาเรื่องที่เขาไม่เห็นด้วยดู เริ่มด้วยคำถามง่ายๆ “ลูกคิดว่าเรื่องนี้สำคัญสำหรับลูกมากแค่ไหน จาก 1 ถึง 10 ลูกให้เท่าไร” จากนั้นค่อยๆ ถามถึงวิธีการที่เขาคิด ถ้าไม่เหมาะสม คุณอาจถามถึงผลที่ตามมา และนำไปสู่การถามคำถามถึงวิธีการอื่นๆ และคุณอาจเสนอวิธีให้เขาลองพิจารณา

 
การรู้จักจัดลำดับความสำคัญจะช่วยให้ลูกรู้ว่า “เขาสามารถเลือกได้” คือเลือกจัดการกับเรื่องที่เขาไม่เห็นด้วยมากๆ และจำเป็นจริงๆ กับตัวเขา ลูกจะรู้สึกผ่อนคลายขึ้น เพราะรู้สึกว่าตัวเองจัดการกับปัญหาได้

 

 

บทความโดย: กองบรรณาธิการนิตยสารเรียลพาเรนติ้ง

Tags

ชั่งใจให้หนัก ก่อนซื้อโทรศัพท์ให้ลูก

ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่คิดจะซื้อโทรศัพท์ให้ลูก ขณะเดียวกันก็รับรู้อานุภาพอันทรงพลังของโทรศัพท์มือถือมาไม่น้อยจนทำให้เกิดความไม่แน่ใจ ผู้เชี่ยวชาญเลยมีคำถามมาเป็นตัวช่วยทบทวนให้ชัดเจนก่อนตัดสินใจ

ลูกจำเป็นต้องใช้โทรศัพท์จริงหรือ

คุณกำหนดการใช้งานได้จริงหรือ

โดยเฉพาะสามารถจำกัดการใช้งานของลูกได้ ควรกำหนดวงเงินและไม่อนุญาตให้ลูกใช้มากจนเกินไป นอกจากนี้ คุณสามารถทำให้ลูกเข้าใจได้ว่าใช้โทรศัพท์ในชั้นเรียน หรือเล่นกลางดึกไม่ได้

คุณควบคุมเรื่องเงินได้แน่

คุณสอนให้ลูกรู้จักคุณค่าและมูลค่าของโทรศัพท์มากพอที่จะรักษาได้ และค่าใช้จ่ายทุกครั้งที่กดโทรศัพท์ ลูกเข้าใจได้ว่าเขาจะใช้โทรศัพท์ก็ต่อเมื่อจำเป็นจริงๆ ไม่ใช่ใช้อย่างพร่ำเพรื่อจนค่าโทรศัพท์บานปลาย

ลูกมีความรับผิดชอบเพียงพอแล้วหรือ

โทรศัพท์มือถือทำอะไรได้หลายอย่าง ลูกมีโอกาสที่จะได้รับข้อความหรือภาพไม่เหมาะสม ลูกคุณพร้อมรับข้อมูลที่จะหลั่งไหลเข้ามาอย่างเท่าทันพอแล้วหรือ และลูกรู้ว่ายังมีสิ่งอื่นรอบตัวที่น่าสนใจมากกว่าการอยู่กับหน้าจออย่างเดียวแล้วหรือ

หากตอบว่าจำเป็นจริงๆ

ขอให้ถามต่อไปว่าสำหรับลูกเล็กควรเป็นโทรศัพท์แบบไหน ให้เขามีไว้เพื่ออะไร ควรต่ออินเตอร์เน็ตได้หรือไม่ และลูกจะเข้าใจและยอมรับขอบเขตที่คุณให้ได้จริงๆ

 

บทความโดย: กองบรรณาธิการนิตยสารเรียล พาเรนติ้ง

cover-skill

พ่อแม่จัด “กิจกรรมนอกหลักสูตร” ให้ลูกวัยประถมได้

ความจริงกิจกรรมนอกหลักสูตรถือเป็นแบบทดสอบเรื่องการแบ่งเวลาสำหรับหนูๆ วัยนี้เลยละค่ะ เมื่อขึ้นชั้นมัธยม พวกเขาจะมีกิจกรรมหลากหลายจนแบ่งเวลาไม่ถูก ดังนั้นจึงควรฝึก “เลือก” ทำสิ่งที่สนใจจริงๆ เสียตั้งแต่ตอนนี้

สิ่งที่ต้องคำนึงคือ กิจกรรมนอกหลักสูตรเหล่านี้ต้องเป็นสิ่งที่เด็กสนใจอยากเรียนรู้  และ ตารางกิจกรรมจะต้องไม่อัดแน่นเกินไป จนลูกเหนื่อยหรือไม่มีเวลาว่าง เพราะสุดท้ายเด็กๆ จะทนไม่ไหว งอแงขอเลิกหรือเรียนรู้ได้ไม่ดีเท่าที่ควร

เลือกกิจกรรม ลองทำตามขั้นตอนต่อไปนี้

frugal-activities-children1-900x220

  1. หากิจกรรมต่างๆ ที่น่าสนใจ จดลงบนกระดาษ
  2. นั่งจับเข่าคุยกับลูก ว่าเขาสนใจอยากเรียนหรือทำกิจกรรมอะไรมากที่สุด 3 อันดับแรก (พ่อแม่ไม่ได้เลือกให้ก็จริง แต่ก็เสนอความเห็นหรือแนะนำได้นะ)
  3. จูงมือกันไปทัวร์ ดูสถาบันที่จัดกิจกรรมเหล่านั้น เพื่อให้เด็กๆ ได้เห็นด้วยตาเขาเอง ถ้าได้พูดคุยสอบถามรายละเอียดจากครู ผู้ปกครอง หรือเด็กที่เรียนอยู่ก่อนจะตัดสินใจลงทะเบียนได้ก็จะดีมาก
  4. อย่าเพิ่งเรียนแบบเต็มพิกัด ลองลงคอร์สเริ่มต้นก่อนสัก 1 คอร์ส บางสถาบันอาจมีชั่วโมงทดลอง (เรียนระยะสั้นและเสียค่าใช้จ่ายน้อยกว่า)
  5. เด็กๆ อาจลองทำกิจกรรมมากกว่าหนึ่งกิจกรรมก็ได้ หากจัดตารางลงตัว ทางที่ดีควรเป็นกิจกรรมที่แตกต่างกันและสอดคล้องกับชีวิตในแต่ละวัน เช่น เรียนว่ายน้ำสลับกับคอร์สศิลปะในช่วงเย็นระหว่างสัปดาห์ (ถือเป็นการผ่อนคลายหลังจากเรียนหนังสือมาทั้งวัน) และเรียนภาษาอังกฤษในครึ่งบ่ายวันเสาร์
  6. หลังจากจบคอร์สแรก กลับมานั่งคุยกันว่า ลูกรู้สึกอย่างไร หากเขาเริ่มเบื่อหรือรู้สึกว่าเหนื่อยเกินไป อาจตัดกิจกรรมบางอย่างออก หรือปรับเปลี่ยนตารางใหม่ตามความเหมาะสม อย่าลืมว่าต้องเอาใจคนเรียนเป็นหลัก

หากเป็นไปได้ เก็บช่วงเวลาหลังจากทำกิจกรรม เช่น ช่วงค่ำระหว่างสัปดาห์ หรือวันอาทิตย์เป็น ช่วงเวลาสำหรับครอบครัว ที่สมาชิกทุกคนจะพักผ่อนพร้อมหน้ากันและปล่อยให้เด็กๆ ได้เล่นสนุกตามใจชอบบ้างก็จะดีที่สุดค่ะ

 frugal-activities-children5-900x396

ลูกทำกิจกรรมเยอะไปจะไหวหรอ?

จากการศึกษาของมหาวิทยาลัยแมริแลนด์พบว่า ไม่น่าเป็นห่วงอะไร นักวิจัยได้ทำการทดสอบเด็กวัย 9 – 12 ปีที่มีกิจกรรมหลากหลายอย่าง และวัดระดับความเครียดของพวกเขา… ผลปรากฏว่า

“เด็กที่มีกิจกรรมปานกลางไปจนถึงมาก ต่างไม่ได้เครียดอะไร แถมยังเป็นการส่งเสริมทักษะการเข้าสังคม และเสริมสร้างความเชื่อมั่นในตนเองให้พวกเขาอีกด้วย” ดร.ซานดร้าฮอฟเฟิร์ธ หัวหน้าโครงการวิจัยอธิบาย และสิ่งสำคัญของการให้วัยนี้ทำหลายๆ อย่างก็คือการผสมผสานกิจกรรมให้เหมาะสมนั่นเอง

“ถ้าหากเล่นกีฬาหลายอย่างเกินไป ก็อาจจะทำให้เด็กเครียด ควรจะมีการผสมกันระหว่างเล่นกีฬา เรียนหนังสือ และกิจกรรมเพื่อผ่อนคลายอย่างพอดี” นอกจากนี้คุณพ่อคุณแม่ต้องสังเกตลูกว่า ดูเหนื่อยหรือเครียดบ้างหรือเปล่า ถ้าเป็นอย่างนั้นเมื่อไร ก็คงต้องถึงเวลามาคุยกันสักทีว่าจะเปลี่ยนอะไรบ้างไหม

สรุปว่า…การให้ลูกทำกิจกรรมต่างๆ นั้น ต้องอยู่ในความพอดีนั่นเอง

banner300x250

บทความโดย: กองบรรณาธิการเว็บไซต์ AMARIN Baby & Kids
ภาพ : Pinterest

ฝึกนิสัยกินดี ให้ลูกวัย 7-12 ปี

เทคนิคสอนลูกก่อนวัยรุ่นให้กินง่ายกินดี มีอะไรบ้าง ตามไปดูกัน

เสริมแคลเซียมให้เพียงพอ

ร่างกายเด็กวัยทวีนเติบโตอย่างรวดเร็ว แคลเซียมจึงเป็นสารอาหารที่ขาดไม่ได้ เตรียมปลา ผักใบเขียว ผลิตภัณฑ์จากนม (นม โยเกิร์ต ชีส) และถั่วเหลือง (นมถั่วเหลือง เต้าหู้) เป็นวัตถุดิบในอาหารหรือของว่างมื้อต่อไปได้เลย

ดื่มน้ำอัดลมและน้ำหวานแต่น้อย

เครื่องดื่มเหล่านี้อุดมด้วยน้ำตาลและแคลอรี ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคอ้วน ลองพยายามฝึกให้ลูกดื่มน้ำเปล่าแทนที่จะเรียกหาแต่น้ำอัดลมดีกว่า

อย่าบังคับจิตใจ

หากลูกติดมันฝรั่งทอดหรือขนมหวานไปเรียบร้อยแล้ว อย่าบังคับให้เขา “เลิกยา” ในทันที เสิร์ฟเคี้ยวซีเรียลธัญพืช ผลไม้อบกรอบ หรือขนมที่มีแคลอรีน้อยลงหน่อย แล้วค่อยๆ ลดลงทีละน้อย

ทำอาหารให้หลากหลาย

ในแต่ละมื้อควรมีทั้งของโปรดที่ลูกชอบและของใหม่ๆ ที่เขายังไม่เคยกิน ตั้งกติกาว่า ทุกคนจะต้องกินอาหารให้ครบทุกจานจึงจะสามารถเติมของโปรดเพิ่มได้

หลีกเลี่ยงอาหารหนักระหว่างมื้อ

ซึ่งจะทำให้ลูกอิ่มเกินไปจนกินอาหารมื้อต่อไปได้ไม่มาก (แล้วก็หิวเร็วอีกไม่รู้จบ) หยิบของว่างเบาๆ มาให้เขารองท้องไปก่อน หรือถ้าลูกหิวมากๆ อาจจะเลื่อนเวลารับประทานอาหารให้เร็วขึ้นนิดหน่อยก็ได้

อย่าตักอาหารให้ลูกมากเกินไป

การกินอาหารให้หมดจานเป็นนิสัยที่ควรทำ แต่ก็ต้องระวังไม่กินมากเกินไปด้วย คุณพ่อคุณแม่ควรตักอาหารแบบพอดีๆ เมื่อลูกขอเพิ่มจึงค่อยเติมให้ทีละนิด อย่าลืมเปลี่ยนนิสัยจากการซื้ออาหารหรือขนมถุงใหญ่มาเป็นขนาดเล็กลงหรือแบบที่ต้องแกะกินทีละชิ้น

กำหนดที่ “หม่ำ”

หากลูกจะหม่ำขนมหรือของว่างควรกินให้เป็นที่ เช่น โต๊ะอาหารหรือในห้องครัว เลี่ยงการกินขนมหน้าโทรทัศน์ คอมพิวเตอร์ หรือระหว่างนั่งรถ เพราะลูกจะเพลินกับกิจกรรมอื่นๆ จนไม่ทันสังเกตว่า กินขนมไปมากแค่ไหนแล้ว

ระวังการกินแบบรีบๆ

เด็กวัยทวีนที่มีกิจกรรมมากมายมีแนวโน้มที่จะ “กินอะไรก็ได้เมื่อหิว” หากพ่อแม่ไม่ได้เตรียมอาหารที่ถูกสุขลักษณะไว้ใกล้มือ พวกเขาก็จะหันไปหาฟาสต์ฟู้ดที่กินง่ายและเร็วมาใส่ท้องแทน

พ่อแม่เป็นตัวอย่างที่ดีที่สุด

อย่าลืมเปลี่ยนนิสัยการรับประทานของคุณให้ถูกสุขลักษณะมากขึ้นด้วย ถ้าหากพ่อแม่ยังเลือกกินหรือรับประทานของที่ไม่มีประโยชน์อยู่ เด็กๆ ก็มีข้ออ้างทำตามน่ะสิ

 

บทความโดย: กองบรรณาธิการนิตยสารเรียลพาเรนติ้ง

blog ครอบครัว

[Blogger พ่อเอก-31] จะไม่ทิ้งเจ้าไว้ ในโลกเสมือน

          วันที่เขียนต้นฉบับนี้ เจ้าปูนปั้นอายุกำลังย่างเข้า 1 ปี 9 เดือนแล้ว เราบอกได้ว่าตลอด 20 เดือนนับแต่เจ้าปูนปั้นเกิดมาจนถึงตอนนี้ จำนวนครั้งที่เจ้าปูนปั้นได้นั่งดูทีวีเป็นเรื่องเป็นราวน่าจะนับครั้งได้ ไม่เกินจำนวนนิ้วมือ

          ในตอนที่แล้ว ผมได้ทิ้งท้ายว่า ‘หม่าม๊ากับผมจะไม่ดูทีวี ในเวลาที่เจ้าตัวป่วนยังไม่หลับ เพราะเกรงว่าเจ้าตัวป่วนจะเห็นภาพและเลียนแบบอะไรที่ไม่ดี’ เพราะเราเห็นพลังในการจดจำและเลียนแบบของเจ้าตัวป่วนมาแล้ว

นอกจากนั้น เราเลือกที่จะเชื่อและเลี้ยงเจ้าปูนปั้นให้ห่างจากทีวี เพราะมีการศึกษาว่า การทิ้งเด็กไว้หน้าทีวีจะทำให้พัฒนาการบางอย่างช้าลง โดยเฉพาะในเรื่องการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนรอบข้าง และการพูด (โดยปกติแล้วปะป๊าเป็นคนติดทีวีมากทีเดียว ไม่ได้ติดละคร แต่เวลาพิมพ์งาน หรืออ่านหนังสือก็ยังชอบเปิดทีวีควบคู่ไปด้วย พวกรายการกีฬา ข่าว สารคดี เป็นต้น)

คำว่าทีวี ในที่นี้ ผมหมายรวมถึง ไอแพด ไอโฟน หรืออะไรก็แล้วแต่ที่มีลักษณะเดียวกัน ผมไม่เถียงเลยว่า การปล่อยให้เด็กอยู่กับของเหล่านั้น มันช่วยทำให้เลี้ยงเจ้าตัวเล็กได้ง่ายขึ้น เพราะเด็กๆ ก็จะอยู่นิ่ง เมื่อมีภาพเคลื่อนไหวที่เขาสนใจ ทำให้คุณพ่อคุณแม่สามารถปลีกตัวไปทำธุระอย่างอื่นได้ แต่สิ่งเหล่านั้นมันเป็นการสื่อสารด้านเดียว เด็กได้ดูได้มองแต่อาจจะไม่ได้เข้าใจ ไม่ได้ซักถามพูดคุย (บางครั้งง่วง เหนื่อยมากๆ ก็อยากจะเปิดทีวี ให้เจ้าตัวป่วนนั่งจุมปุ๊กแล้วเราจะได้งีบซะหน่อยเหมือนกัน 555)

คำถามผมคือ ‘นั่นใช่ข้อแลกเปลี่ยนที่คุ้มค่าและถูกต้องหรือเปล่า’

เราเองก็ไม่ได้ ปฏิเสธว่าสิ่งของเหล่านั้น มีแต่โทษ เพราะถ้าใช้ให้เหมาะสมก็มีประโยชน์อยู่เช่นกัน ยอมรับว่า เราก็ใช้ไอโฟน ไอแพด เปิดเพลงเพื่อให้เจ้าปูนปั้นหัดฟัง ใช้สอนภาษา รวมไปถึงบางครั้งเราก็จะหาคลิปการ์ตูนเรื่อง Cars เปิดให้เจ้าปูนปั้นดู เพราะถ้าได้เห็นสายตาเปี่ยมสุขตอนที่เจ้าปูนปั้นดูการ์ตูน Cars บางทีก็ทำให้เราก็ลังเลเหมือนกัน (เจ้าปูนปั้น ได้ท่าหมุนตัวมาจาก Mater ในการ์ตูน Cars นี่แหละฮะ)

แต่ประสบการณ์ที่ผ่านมา ทำให้เราเชื่อว่า เราได้ทำสิ่งที่ถูกแล้ว

เราเป็นครอบครัวเดี่ยว อยู่กันเพียง 3 คน คือ ปูนปั้น หม่าม๊าและ ปะป๊า ดังนั้นการต้องไปทานข้าวข้างนอกกันถือเป็นเรื่องปรกติ และด้วยความซนของเจ้าตัวยุ่ง ช่วงหนึ่งเราก็ใช้วิธีที่จะทำให้เจ้าปูนปั้นไม่ไปสร้างความป่วนในร้านอาหารคือ จับให้นั่งลงแล้วเปิดคลิปที่เขาชอบให้เขานั่งดู ซึ่งก็ทำให้เราสบายขึ้นเยอะ ได้นั่งทานสบายใจ หรือเมื่อช่วงที่เราเดินทางไปเที่ยวรัสเซียกัน 3 คน (อ่านตอน มอสโก เดินทางไกลไปด้วยกัน) เราก็ใช้มุกนี้แทบจะทุกมื้อเมื่อเข้าไปนั่งในร้านอาหาร หรือ เวลาที่เจ้าปูนปั้นงอแงบนรถไฟใต้ดิน เราก็เปิดไอโฟนให้เขาดู เพื่อไม่ให้กวนคนอื่น อีกทั้งสัมภาระตอนเดินทางก็เยอะเลยไม่สะดวกที่จะเล่นอะไรกันเท่าไหร่ จนกระทั่งวันท้ายๆ ของทริป ปะป๊าเริ่มรู้สึกว่า เราเริ่มจะตกเป็นรองเจ้าปูนปั้น เพราะรู้สึกว่า เจ้าตัวป่วนเริ่มติดเป็นนิสัย ถ้าลงนั่งร้านอาหารเมื่อไหร่ ต้องจบที่การเปิดคลิปอยู่เรื่อย ไม่เช่นนั้นจะงอแง เมื่อเริ่มไม่สบายใจ ปะป๊าก็ถามหม่าม๊าว่า  เมื่อกลับไทยเราควรจะลดวิธีนี้ลงเนอะ

และเมื่อกลับมา เราก็ปรับจากเดิมที่จะใช้ ไอแพด ไอโฟน เป็นเครื่องมือจัดการให้เกิดความสงบ เปลี่ยนเป็นเครื่องมือเพื่อที่จะเรียนรู้อะไรใหม่ๆ

เราไม่เปิด ไอแพด ไอโฟนและปล่อยเขาดูคนเดียว เราไม่เปิดเพื่อให้เขานั่งนิ่งๆ แต่เราใช้เวลาให้เป็นรางวัลและเราก็จะนั่งดูไปด้วยกัน คุยกันไป สอนกันไป และ ไม่ได้ให้ดูนาน

ซึ่งเอาเข้าจริงๆ เขาก็ไม่งอแงอะไร ถ้าเราไม่เปิดสิ่งเหล่านั้น แต่เราชวนเขาคุย นั่งเล่นกับเขาด้วยกัน เรียกได้ว่า ตั้งแต่เรากลับมาจากทริป เราจะแทบไม่เปิดคลิปให้ดูเลย ส่วนทีวีแน่นอนปะป๊าหม่าม๊าได้ดูเมื่อเขาหลับแล้วเท่านั้น

ถ้าเรามีเวลาให้ เครื่องมือเหล่านั้นก็ไม่จำเป็นเลย หม่าม๊าบอกผมไว้ตั้งแต่เจ้าปูนปั้นยังไม่เกิดว่า จะไม่ให้เขาดูทีวีจนกว่าจะครบ 2 ขวบ และ เมื่อให้ดู เราก็จะค่อยๆ เพิ่มและนั่งดูไปด้วยกันกับเจ้าปูนปั้น

ผ่านมาปีกว่าที่ได้เรียนรู้การเป็นพ่อ ผมเชื่อจริงๆ ฮะ ว่าเด็กสอนได้ และเขาเข้าใจด้วย  เพียงแต่เขายังเด็ก จึงอาจจะต้องหามีปัจจัยช่วย

1) วิธีในการสอน ที่เราต้องสังเกตเองว่า ลูกเราชอบให้สอนแบบไหน สำหรับที่บ้านเราชอบสอนแบบทำให้เป็นเรื่องสนุก (ไว้จะมาเล่าเรื่องสอนกินข้าว สอนรดน้ำต้นไม้ สอนถูบ้าน เช็ดโต๊ะ)

2)อาจจะต้องใช้เวลามากสักหน่อย

อีกทั้ง 3) ต้องอดทน

4) ต้องรู้จักชมเชยและก็รู้จักการดุและทำโทษ (การทำโทษไม่ใช่ต้องตีให้แรง แต่เราตีให้เขารู้และเข้าใจได้)

          ยังไง ยังไง โลกเสมือนก็สู้โลกจริง ไม่ได้หรอกฮะ

 

 แวะไปดู รอยยิ้มหวานฉ่ำ ที่มีแจกฟรีทุกวันได้ที่

www.facebook.com/Poonpun.Poonpoon นะครับ

 

บทความโดย: บรรทัดที่สิบเอ็ด (พ่อเอก-จิรัฏฐ์ สิริเฉลิมพงศ์)