Page 546 – AMARIN Baby And Kids – เพื่อลูกฉลาดและมีความสุข

ทะเลาะกับเพื่อน

4 วิธี ช่วยแก้ปัญหา เมื่อลูกทะเลาะกับเพื่อน

 

ทะเลาะกับเพื่อน อีกแล้ว..เมื่อคุณแอบรู้มาว่า ลูกและเพื่อนรักเกิดมีเหตุขัดใจกัน จะปล่อยลูกซึมอย่างนี้ไม่ดีแน่ แม่อย่างเราจะทำอะไรได้บ้างนะ มาดูกัน…

  1. รับฟังด้วยความสนใจเต็มที่

แต่ไม่ด่วนสรุปตัดสินแทนลูก    มีแต่จะเพิ่มความโกรธความเสียใจให้ลูกอีก  วิธีง่ายๆที่จะตอบรับลูกอย่างเข้าใจขณะรับฟังเขาคือพยักหน้า หรือหากจะพูดก็พูดสั้นๆ  เช่น “เรื่องนี้คงทำให้ลำบากใจมากใช่ไหมลูก”

shutterstock_124261480

  1. ถ้าลูกขอความเห็น…

คุณก็แนะนำได้  แต่ถ้าลูกไม่เห็นด้วย อย่ากดดันหรือบังคับให้ลูกคิดตามแบบคุณ จะทำให้ลูกเสียใจมากขึ้นและถ้าเหตุขัดกันนั้นลูกคุณเป็นฝ่ายผิด (ชัดๆ) ช่วยชี้ให้ลูกมองในมุมของเพื่อนดูบ้าง

shutterstock_84656320

  1. ไม่รีบร้อนเข้ายุ่งเกี่ยว

เตือนตัวเองไว้ว่าห้ามกดโทรศัพท์ถึงเพื่อนลูกหรือพ่อแม่ของเพื่อนลูกคนนั้นเพื่อแก้ปัญหาเชียว เพราะไม่ได้ช่วยอะไรแน่ๆ

shutterstock_59859379

  1. คุณก็เคย…

รับฟังลูกแล้ว ก็เล่าให้เขาฟังบ้างว่าตอนอายุเท่าเขา คุณก็เคยทะเลาะกับเพื่อนรักนะเรื่องประมาณนี้น่ะ…จะช่วยลูกได้มากทีเดียว

shutterstock- 1

 อ่านเรื่อง “4 วิธี ช่วยแก้ปัญหา เมื่อลูกทะเลาะกับเพื่อน” คลิกหน้า 2

แม้ไม่ใช่ที่หนึ่ง แต่ลูกโตก็มั่นใจในตัวเองได้

ดร.โรนี่ โคเฮน แซนด์เลอร์  ผู้เขียนหนังสือ “Trust Me, Mom-Everyone Else Is Going!” อธิบายว่า “ก่อนเข้าวัยรุ่น  เด็กวัยนี้จะเริ่มลดนิสัยโอ้อวดและมองโลกตามจริงมากขึ้น วันหนึ่งเขาก็จะรู้ความจริงว่า มีเพื่อนที่วิ่งเร็วกว่าเขา มีเด็กวัยเดียวกันที่สุดป็อป หรือมีคนที่สอบได้คะแนนดีกว่า…เขาไม่ใช่คนเก่งที่หนึ่ง…อย่างที่พ่อแม่ทุกคนบอกลูกทุกคนมาตั้งแต่เล็กๆ อีกแล้ว

“แม้ว่าสำหรับคุณแล้วลูกคือตัวละครเอกตลอดกาล แต่หากคุณเอาแต่พูดว่าลูกเล่นบอลเก่งที่สุด ทั้งๆ ที่แค่เงื้อเท้าจะจับบอลก็โดนตัดลูกไปโน่นแล้ว ลูกมีแต่จะเซ็งเปล่าๆ ถึงแม้ว่าลูกคุณจะไม่ใช่คนเก่ง เป็นที่หนึ่ง หรือสุดยอดในเรื่องอะไร เด็กทุกคนก็มีความมั่นใจในตัวเองได้ และรู้ไหมว่า…คุณนั่นแหละมีส่วนสำคัญอย่างมาก

•  ให้ความสำคัญกับความมุ่งมั่นตั้งใจมากกว่าผลลัพธ์

อะไรจะมีประโยชน์กับลูกมากกว่ากัน  ระหว่างรอให้ลูกสอบได้เกรด 4  แล้วปรบมือยินดี กับทุกครั้งที่ลูกสนใจบทเรียนหรือกระตือรือร้นอ่านหนังสือก็ชื่นชมให้ลูกรับรู้

•  ชูจุดเด่น

อธิบายให้ลูกรู้ว่าคุณเห็นข้อดีอะไรของเขา เช่น “ถึงลูกจะวิ่งไม่เร็ว  แต่ลูกส่งบอลให้เพื่อนได้แม่นมากนะหรือ “แม้ลูกมีเพื่อนน้อย  แต่เพื่อนที่ลูกมีก็รักลูก  เพราะลูกมีน้ำใจช่วยเหลือเวลาเพื่อนมีปัญหาเสมอ” หรือ “ลูกไม่พูดคำหยาบกับเพื่อนเลยนะ” ยิ่งคุณชมลูกได้ชัดเจนมากขึ้นเท่าไร คำชมก็จะยิ่งมีความหมายกับลูกมากขึ้นเท่านั้น

• เลิกเปรียบเทียบ

ไม่ว่าจะกับพี่น้องเพื่อนคนไหน หรือแม้แต่เด็กข้างบ้านไม่ได้ช่วยให้ลูกรู้สึกดีหรอก

•  ชวนทำสิ่งที่ลูกถนัด

ถ้าหากลูกรู้สึกว่าตัวเองไม่เก่ง หรือขาดความมั่นใจอย่างมาก ชวนเขาไปทำกิจกรรมที่เขาถนัดหรือทำแล้วมีความสุข (เพราะมักจะหมายถึงเขาทำได้ดี) เช่น เกมที่เขาเล่นได้ดีมาก หรือสอนน้องทำการบ้าน เป็นต้น

•  แบ่งปันประสบการณ์

ลูกจะรู้สึกยินดีมากถ้าได้รู้ว่าคุณเองก็เคยผิดหวังและแน่นอน พวกเขาต้องอยากรู้แน่ๆ ว่าคุณเอาชนะความรู้สึกนั้นได้อย่างไร ผู้เชี่ยวชาญแนะนำเสมอว่าวิธีหนึ่งที่ได้ผลดีในการช่วยเหลือลูกก่อนวัยรุ่นหรือวัยรุ่นเมื่อเขาประสบปัญหาอะไรก็ตาม  คือได้รู้ว่าพ่อแม่ก็เคยเจอเรื่องแบบเดียวกัน  และผ่านมาได้อย่างไร ลูกมักจะรู้สึกดีขึ้นเสมอ  เพราะอย่างน้อยก็เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าคุณเข้าใจหัวอกเขาแน่ๆ

 

บทความโดย: กองบรรณาธิการนิตยสารเรียลพาเรนติ้ง

Tags

ชวนเพื่อนลูกไปเที่ยวด้วย ต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง?

• ถามความเห็นก่อน ให้ทุกคนในครอบครัวเลือก 3 สิ่งที่อยากทำที่สุดระหว่างไปเที่ยว จะชวนวัยรุ่นทำอะไร  ก็ต้องทำในสิ่งที่เขาสนใจ

 
• ให้เขาศึกษาข้อมูลเอง พอรู้ว่าอยากทำอะไร ก็ให้เขาไปศึกษาหาข้อมูล ยิ่งหาข้อมูลมาก ความอยากไปทริปก็มีมาก

 
• ให้เขามีส่วนร่วม เช่น ช่วยอ่านแผนที่ หรือแต่งตั้งเป็นช่างภาพประจำทริปไปเลย วิธีนี้จะทำให้ลูกรู้สึกมีส่วนร่วมในการตัดสินใจและรู้ว่ามีหน้าที่รับผิดชอบไปในตัวด้วย

 
• ให้อิสระ ถึงใครต่อใครตื่นเต้นรีบลุกแต่เช้าไปเดินเที่ยวชายหาด ลูกวัยนี้อาจจะอยากนอนตื่นสายซะงั้น หรือไม่เขาก็อยากเดินเล่นตามสบาย (คนเดียว) ระหว่างที่คุณช็อปปิ้ง

 
• พบกันครึ่งทาง ลูกโตก็ต้องการพื้นที่ส่วนตัวบ้าง คุณอาจจะเลือกห้องพักที่เป็นสัดส่วนเสียหน่อย และคงยากที่จะให้ลูกตัดขาดจากเพื่อนในยุคเทคโนโลยีสะพัดซะขนาดนี้ให้เวลาลูกได้โทรศัพท์  หรือเล่นคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก ได้เปิดเข้าเฟซบุ๊คบ้าง

 
• หากิจกรรมดีๆ ทำ เลือกกิจกรรมที่จะสร้างประสบการณ์น่าประทับใจให้ทุกคนในครอบครัว อาจจะพายเรือคายัคร่วมกัน หรือนั่งเรือดูโลมา เป็นต้น

 

 

บทความโดย: กองบรรณาธิการนิตยสารเรียลพาเรนติ้ง
ที่มาภาพ : Shutterstock

ขี้ลืม

ขี้ลืม หรือ สมาธิสั้น ..ลูกทำอะไรๆ หายตลอด

ขี้ลืม หรือ สมาธิสั้น กันแน่เดี๋ยวก็ลืมผ้าเช็ดตัวไว้ที่สระว่ายน้ำ เดี๋ยวก็ลืมกระเป๋าไว้บนรถโรงเรียน ทำไมขี้ลืมได้ขนาดนี้เนี่ย…ลูกฉัน!  เอาละ ก่อนที่คุณแม่จะอารมณ์เสียไปมากกว่านี้ ลองมาหาวิธีแก้ไขอาการขี้ลืม ที่คุณจะนำไปปรับใช้กับลูกคุณดีกว่า กันไว้ดีกว่าแก้

วิธีแก้ลูกขี้ลืม
วิธีป้องกันการลืมของลูก

เทคนิคกันลืม

  • จัดระบบกันลืม โดยทำรายการของทุกอย่างที่ต้องใช้ที่โรงเรียนและช่วยกันเช็คให้ครบก่อนลูกออกจากบ้าน ทำสำเนาให้เขาเก็บใส่กระเป๋านักเรียนชุดหนึ่งด้วย จะได้เอาไว้เช็คอีกทีตอนขากลับ และอย่าถือของให้ลูก เพราะเขาจะระมัดระวังมากยิ่งขึ้นถ้าถือเอง
  • เพิ่มความใส่ใจ เมื่อทำของหาย เด็กๆ มักพูดว่า ช่างเถอะค่ะ หนูไม่ชอบยางลบก้อนนั้นอยู่แล้วละŽ ฉะนั้นพาลูกไปเลือกซื้อเสื้อผ้าหรือเครื่องเขียนกับคุณด้วยก็แล้วกัน เขาจะได้สนใจข้าวของเหล่านั้นมากขึ้น
  • สอนให้รู้ถึงคุณค่าของสิ่งของ “เวลาเด็กๆ ทำของหาย พวกเขามักจะลงท้ายง่ายๆ ด้วยคำว่า ‘ก็หนูไม่ได้ชอบมันอยู่แล้ว’” ดร.ชารี่ยัง คูเชนเบคเกอร์ ครูผู้ปกครองตั้งข้อสังเกต เมื่อเป็นอย่างนี้ครั้งต่อไป เวลาจะซื้ออะไรให้ลูก คุณถามเขาได้เลย “ลูกชอบไหม อยากได้ไหม” การซื้อของที่เขาต้องการจริงๆ จะช่วยให้ลูกรู้สึกผูกพันกับสิ่งของและรู้จักรักษาของนั้นมากขึ้น
  • จัดระเบียบ จดรายการสิ่งของที่ลูกเอาใส่กระเป๋าไปด้วยให้ครบถ้วน จากนั้นเช็กกันก่อนที่จะออกจากบ้าน เอารายการให้ลูกพกไปด้วยอีกใบก็ได้ คำแนะนำคือไม่ต้องช่วยถือกระเป๋าให้นะ ลูกจะได้รู้จักระวังตัวมากขึ้น

อ่านต่อ > สิ่งที่แม่ควรทำ เมื่อลูกขี้ลืม และทำของหายบ่อยๆ คลิกหน้า 2

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

ลูกสาวกลัวอ้วน…อีกแล้ว!

เมื่อเร็วๆ นี้ โพลจากสหรัฐอเมริกาพบว่า 80 เปอร์เซ็นต์ ของเด็กสาวชาวอเมริกัน (ที่อายุตั้งแต่ 12 ปีขึ้นไป) มีความกังวลเรื่องไซส์ของเสื้อผ้า

ทั้งนี้เด็กๆ บอกว่า เวลาดูในโทรทัศน์หรือนิตยสารจะพบว่า ดาราฝ่ายหญิงส่วนใหญ่จะมีรูปร่างบอบบาง สวมเสื้อผ้าไซส์เล็กตัวนิด ขาผอมเพรียว ไม่มีไขมันส่วนเกิน และด้วยเหตุผลนี้เอง ทำให้เด็กๆ ในวัยนี้เริ่มอดอาหารเพราะอยากมีรูปร่างที่ดีเช่นสาวๆ พวกนั้นบ้าง

คุณพ่อคุณแม่ไม่น้อยก็คงกำลังเป็นห่วงลูกสาวด้วยเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน การพูดคุยช่วยชี้ให้ลูกๆ เห็นว่าเขามีข้อดีในตัวเองอีกหลายอย่างที่สามารถแสดงให้คนอื่นเห็นและยอมรับในตัวลูกได้ ไม่ได้มีแต่รูปร่างผอมเพรียวเท่านั้น ก็เป็นหนทางหนึ่งที่จะช่วยให้วัยทวีนไม่กังวลกับรูปร่างตัวเองจนเกินไป

 

บทความโดย: กองบรรณาธิการนิตยสารเรียลพาเรนติ้ง

เสื้อผ้า…ปัญหาใหญ่ของวัยแรกรุ่น

           น้องแม็กซ์ ลูกชายวัย 11 ขวบ ใส่อารมณ์ซะคุณแม่ช็อกไปเลย เหตุก็ไม่ใหญ่ไม่โตอะไร เพื่อนๆ เห็นขอบกางเกงในของหนุ่มน้อย แล้วก็แซวกันสนุกปากไป!!

 
ดร.จาน่า จูโวเนน ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาพัฒนาการจาก UCLA อธิบายว่า “เด็กวัยนี้เป็นวัยอยากเข้ากลุ่ม ดังนั้นสำหรับบางคน เสื้อผ้าก็กลายเป็นปัญหาใหญ่ได้ ขณะที่บางคน เรื่องนี้อาจจะไม่สำคัญอะไรเลย ขึ้นอยู่กับว่ากลุ่มจะนิยมอะไร”

 
อย่างไรก็ตาม หากลูกคุณดูเครียดกับเรื่องนี้มาก ดร.จูโวเนนมีแง่มุมดีๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้มาคุยกับคุณ…

 
• ลูกได้ฝึกทักษะเข้าสังคม การทำความเข้าใจความต้องการของกลุ่มก็สำคัญเหมือนกันสำหรับการเข้าสังคม ลองคิดดูสิ ระหว่างลูกรู้ดีว่าใส่อะไรถึงจะดูดี กับไม่รู้อะไรเลย คุณอยากให้เขาเป็นแบบไหนมากกว่า

 
• ลูกได้ฝึกทักษะการวางแผนใช้เงิน นี่เป็นโอกาสที่คุณจะสอนลูกเรื่องการจัดการเงินทองด้วยตัวเอง เป็นการฝึกฝนให้เขารู้จักค่าของเงินและค่าของงานไปในตัว

 
• เป็นโอกาสให้คุณได้มีเรื่องคุยกับลูก แทนที่จะกลายเป็นเรื่องทะเลาะกัน คุณไม่อยากรู้หรือว่า ทำไมสิ่งนั้นจึงสำคัญกับลูกนัก ถามลูกดูสิ บทสนทนาง่ายๆ นี้อาจทำให้คุณได้คุยกับเขาไปไกลถึงพฤติกรรมเสี่ยงอื่นๆ เช่น การใช้ยา ความเห็นเรื่องเพศสัมพันธ์ก็ได้

 
• เป็นโอกาสช่วยลูกเข้าใจเรื่องความเป็นตัวเองได้ การแต่งตัวอาจสำคัญกับการอยู่ในกลุ่ม แต่ก็เป็นโอกาสบอกเขาได้ว่า การแต่งตัวมักเป็นสิ่งสะท้อนลักษณะนิสัย ความเป็นตัวตนของคนนั้นได้เหมือนกันนะ เช่น คุณอาจเริ่มต้นด้วย “ลูกคิดว่าเพราะอะไรแม่ถึงเลือกรถยี่ห้อนี้หรือถือกระเป๋าแบรนด์นี้” บทสนทนานี้จะช่วยให้ลูกได้เรียนรู้ว่าถึงกลุ่มจะมีความสำคัญกับเขา แต่เขาก็สามารถเลือกที่จะเป็นตัวของตัวเองได้

 

 

บทความโดย: กองบรรณาธิการนิตยสารเรียลพาเรนติ้ง

ทำไมลูกสาวคลั่งไคล้ อยากเป็นเจ้าหญิงกันนัก

 
เพราะอะไรสาวน้อยหลายๆ คนถึงต้องคลั่งไคล้ข้าวของเครื่องใช้แบบเจ้าหญิง ดร.วิกกี้ พานาซิโอเน่ ผู้ก่อตั้ง “Better ParentingInstitute” เมลเบิร์น ฟลอริดา สหรัฐอเมริกาอธิบายว่า แม้ว่าเด็กๆ ช่วงวัยนี้แยกแยะความเป็นจริงกับจินตนาการได้ รู้ว่าการเป็นเจ้าหญิงและทำทุกอย่างเหมือนเจ้าหญิงเป็นเพียงความตั้งใจสวมบทบาทสมมุติเท่านั้น แต่การเล่นตามจินตนาการยังคงสำคัญต่อพัฒนาการของวัย

 
คุณแม่หลายคนตั้งข้อสังเกตว่า “จริงๆแล้วในท้องตลาดมีชุดเจ้าหญิงออกวางขายกันมากมายจนทำให้เด็กผู้หญิงไม่มีตัวเลือกอื่นหรือเปล่า” ดร.พานาซิโอเน่ จึงมีคำแนะนำว่าถึงจะเป็นอย่างนั้น คุณพ่อคุณแม่ก็สามารถหาชุดแต่งกายแนวอื่นเป็นทางเลือกได้ เช่นชุดหมอ ชุดนักวิทยาศาสตร์

 
หากคุณห่วงว่าลูกสาวจะอยากเป็นเจ้าหญิงเพราะเสียงชื่นชมความสวยน่ารัก เมื่อลูกสวมชุดเจ้าหญิงน้อยๆ นอกจากจะชมว่า “ลูกสวยจังเลย!” คุณก็เสริมคำชมอื่นๆ ได้ด้วย เช่น“ลูกเป็นเจ้าหญิงที่น่ารักและเฉลียวฉลาดด้วย เพราะลูกรู้วิธีทำให้คนรอบข้างอารมณ์ดี หัวเราะได้” ที่สำคัญ ความจริงที่คุณควรระลึกไว้เสมอก็คือ คุณคือแบบอย่างที่สำคัญที่สุดสำหรับลูกไม่ใช่ซินเดอเรลลา…!

 

 

บทความโดย: กองบรรณาธิการนิตยสารเรียลพาเรนติ้ง

เคล็ดลับพาลูกออกงานปาร์ตี้

           ชัดเจนมากว่าเขาไม่พร้อมจะร่วมวงสังสรรค์ด้วยตัวคนเดียวนี่ไม่ใช่เรื่องของพัฒนาการถดถอยกลับไป “ติดหนึบ” กับแม่เหมือนตอนเล็กๆ แต่เป็นเรื่องที่ว่า…ลูกรู้สึกไม่สบายใจและหวาดกลัวเวลาที่ต้องอยู่ในบรรยากาศที่เต็มไปด้วยผู้คนที่ไม่สนิทหรือไม่รู้จักดีพอ

 
หน้าที่ของคุณคือ ต้องทำให้ลูกเอาชนะความกลัวนี้ไปให้ได้และเรียนรู้ที่จะสนุกสนานกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ครั้งหน้าเอาใหม่ดูนะ

 
• ลองบอกโปรแกรมให้ลูกรู้ “งานนี้ลูกจะได้เล่นเกมสนุกๆ ได้กินพิซซ่าอร่อยๆ กับเค้กด้วย”  เขาน่าจะรู้สึกอุ่นใจขึ้น เพราะพอคาดเดาสถานการณ์ได้ว่าจะต้องเจออะไรหรือใครบ้าง

 
• ถึงวันงาน คุณยังเดินเข้างานและอยู่เป็นเพื่อนให้เวลาลูกอุ่นเครื่องก่อนสักครู่ก็ยังได้ จากนั้นก็ช่วยหาเพื่อนๆ ให้สักคนหรือสองคนหรือจะไปหากิจกรรมในงานที่ลูกชอบ อย่าลืมแนะวิธีแก้ปัญหาเฉพาะหน้า เช่น  เขาจะถามทางไปห้องน้ำได้จากใคร เป็นต้น

 
เมื่อแนะนำทุกอย่างเรียบร้อยแล้วบอกลูกไปว่า  คุณอาจจะไม่อยู่สัก 20 นาที เพื่อไปจัดการธุระบางอย่าง และกลับมาตามเวลานัดหมาย เมื่อมีปาร์ตี้ครั้งต่อไป คุณอาจเพิ่มเวลาอยู่ห่างจากลูกให้มากขึ้น แน่ใจได้เลยว่าทำแบบนี้บ่อยครั้งเข้า ลูกจะเรียนรู้ที่จะใช้เวลาสนุกๆ ด้วยตัวเองโดยแทบไม่ได้สังเกตเลยว่าคุณไม่ได้อยู่ที่นั่นด้วย ทีนี้คุณและลูกก็สนุกสนานกับงานนอกบ้านได้ทั้งคู่แล้วละ

 

 

บทความโดย: กองบรรณาธิการนิตยสารเรียลพาเรนติ้ง

“เวลา” สิ่งสำคัญสำหรับลูกวัยรุ่น

Q: ดูเหมือนว่าช่วงนี้คุณครูจะให้การบ้านลูกชายวัย 11 ขวบเยอะขึ้นเพราะลูกโทร.หาเกือบทุกวัน อ้อนให้กลับไปช่วยทำการบ้าน ดิฉันพยายามอธิบายให้เขาเข้าใจว่าดิฉันทำงานหนัก คงกลับไปช่วยไม่ได้ แต่ดูเขาจะไม่เข้าใจและคอยโทร.หาซ้ำๆ ทุกวัน ดิฉันควรแก้ปัญหานี้อย่างไรดีคะ

คุณหมอสุริเดว  ทรีปาตี กุมารแพทย์และรักษาการผู้อำนวยการสถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล มีคำตอบให้

ก่อนอื่น หมอขอตั้งคำถามให้คุณแม่กลับไปวิเคราะห์ 3 ข้อ

1. อยากให้คุณแม่ทบทวนตัวเอง

“สมมุติเดือนหนึ่งเราหาเงินได้ 100 บาท เราจำเป็นต้องหาเงินให้ได้เต็ม 100 บาทหรือเปล่า  จะลดเหลือแค่ 80 บาท อีก 20 บาทที่ไม่ได้นั้นเปลี่ยนมาเป็นใช้เวลาอยู่กับลูกแทนได้ไหม”

2. เวลาที่เจอลูก

“ในหนึ่งสัปดาห์ คุณแม่มีเวลาเจอลูกมากน้อยแค่ไหน การใช้ชีวิตร่วมกันมีพอหรือไม่” บางบ้านคุณพ่อคุณแม่ทำงานหนักในวันจันทร์-ศุกร์ แต่วันเสาร์-อาทิตย์ก็ชดเชยให้ลูกอย่างเพียงพอ ทำให้ลูกรู้สึกอบอุ่นปลอดภัย และไม่กังวลได้ “ในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ เราไม่ควรใช้ชีวิตแบบตัวใครตัวมัน แต่ควรใช้เวลาอยู่ด้วยกันให้คุ้มค่า ความสัมพันธ์ที่มีคุณค่ามีความหมายต่อกัน และสร้างต้นทุนชีวิตที่ดีให้ลูก”

3. ช่วยเรื่องการบ้านลูกอย่างไร

“คุณเคยถามตัวเองหรือไม่ว่า จะช่วยอะไรเรื่องการบ้านของลูกได้บ้าง” อาจจะมองหาเพื่อนบ้านที่ไว้ใจได้ เพื่อให้ลูกไปขอความช่วยเหลือ และปรึกษายามที่พ่อแม่ไม่อยู่

เทคนิคการทำการบ้านที่คุณแม่ควรนำมาใช้กับวัยนี้คือ  ไม่ควรใช้เวลาทำนานเกิน 30 นาที  เพราะเด็กๆจะเสียสมาธิและลุกลี้ลุกลน  ถ้าหากลูกทำไม่เสร็จภายใน 30 นาที  ให้เปลี่ยนไปทำกิจกรรมอย่างอื่น แล้วค่อยกลับมาทำอีกครั้ง  จะดีกว่าให้ลูกทำรวดเดียวจนเสร็จ

“เด็กที่อายุน้อยกว่า 14 ปี วุฒิภาวะยังไม่ดีพอ กระบวนการตัดสินใจและกระบวนการคิดยังไม่สมบูรณ์ เวลาเขาอยู่คนเดียว ไม่แปลกที่จะรู้สึกเหงา บางเรื่องเขาจึงยังอยากได้คำปรึกษาจากพ่อแม่ ลูกอาจจะไม่ได้อยากได้แค่คำปรึกษาเรื่องการบ้าน แต่อยากได้คำปรึกษาเรื่องวิถีชีวิตด้วย เวลาเด็กไปโรงเรียนต้องเจอปัญหาหลายอย่าง และเขาก็อยากให้คุณพ่อคุณแม่ได้รับฟังปัญหาของเขา

“สำหรับสถานการณ์นี้ ลูกอาจจะพยายามใช้การบ้านมาเป็นข้ออ้าง เหมือนเขารู้สึกว่าเจอหน้าทุกครั้ง คุณต้องถามเรื่องการบ้านเขาเลยคิดว่าความรักของคุณต้องส่งผ่านด้วยการบ้าน เพราะฉะนั้นหมอต้องบอกว่าลูกของคุณกำลังส่งข้อความบางอย่างผ่านการทำการบ้าน แต่จริงๆ แล้วสิ่งที่ลูกต้องการคือความรักจากคุณ

“สุดท้าย หมออยากเตือนคุณพ่อคุณแม่ทุกท่านว่า วัยรุ่นคือวัยที่คุณควรต้องผ่านความรักไปให้เขาให้เต็มที่ เพราะนี่คือช่วงสุดท้ายที่เขาจะเรียกร้องความรัก แต่เมื่อเข้าสู่วัยรุ่นตอนกลางและตอนปลาย เขาจะไม่เรียกร้องอีกแล้ว และพอถึงตอนนั้นพ่อแม่นั่นแหละต้องเป็นฝ่ายวิ่งตามลูก และถ้าหากคุณไม่ให้ความรักกับลูกในวันนี้ คุณอาจจะต้องเป็นฝ่ายเสียใจในอนาคตก็ได้”

 

บทความโดย: กองบรรณาธิการนิตยสารเรียลพาเรนติ้ง

กาเฟอีนทำลูกโตช้าจริงหรือ?!

ลูกสาววัย 8 ขวบชอบดื่มกาแฟเย็นใส่นมมากเลยค่ะ ดิฉันเคยได้ยินมาว่า กาเฟอีนในกาแฟและชาจะทำให้เด็กโตช้า ควรให้ลูกเลิกดื่มกาแฟไปเลยดีกว่าไหมคะ

 

สารกาเฟอีนในชากาแฟอาจทำให้หนูๆ กระสับกระส่าย หงุดหงิดฉุนเฉียวง่าย คลื่นไส้อาเจียน หัวใจเต้นแรง ความดันโลหิตสูง และนอนไม่หลับ ฯลฯ แต่สารเคมีชนิดนี้ไม่ได้ส่งผลเสียหรือเป็นอุปสรรคต่อการเจริญเติบโตของลูก

อย่างไรก็ตาม กุมารแพทย์และผู้เชี่ยวชาญก็ยังไม่แนะนำให้เด็กๆ ดื่มชากาแฟหรือเครื่องดื่มที่มีกาเฟอีนอยู่ดี เพราะแม้จะไม่ได้ส่งผลโดยตรง แต่หากดื่มบ่อยๆ จนติดเป็นนิสัย อาจทำให้หนูๆ กินอาหารชนิดอื่นได้น้อยลง ทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารน้อยเกินไปจนเติบโตได้ไม่เต็มที่ ยิ่งถ้าเป็นกาแฟใส่นมที่มีทั้งน้ำตาลและนมข้นหวานซึ่งมีแคลอรีสูง อาจเป็นปัจจัยก่อให้เกิดโรคอ้วนได้ด้วย

ถึงลูกจะชอบดื่มกาแฟมาก แต่ก็มีวิธีช่วยเขาเลิกดื่มได้ คุณอาจเริ่มเปลี่ยนจากกาแฟใส่นมมาเป็นนมรสกาแฟ เมื่อลูกเริ่มชินแล้วจึงค่อยๆ เปลี่ยนมาเป็นนมรสจืดหรือน้ำผลไม้คั้นสดแทน ถ้าจะให้ดีคุณพ่อคุณแม่ก็ควรเลิกดื่มกาแฟด้วย เพราะมีเด็กหลายคนที่หันมากินอาหารบางชนิดตามผู้ใหญ่รอบตัว

 

บทความโดย: กองบรรณาธิการนิตยสารเรียลพาเรนติ้ง

ลูกกินผักบ่อยแค่ไหน

61%  วันละครั้ง…สุดยอด

 
24%  สัปดาห์ละหนก็เก่งแล้ว…ก็ยังดี

 
6%  นานน้านจะกินสักต้น…เป็นบุญของแม่จริงๆ

 
9%  ไม่มีทางหรอก  แม่ล้อเล่น

 

ผู้เชี่ยวชาญแนะนำไว้ว่า  ถ้าเข็นขนาดไหนลูกก็ไม่ยอมกินผักเสียที คุณแม่สามารถเริ่มต้นด้วยผักผลไม้ที่มีรสหวานเพราะเด็กๆ จะรู้สึกพอใจกับรสสัมผัสที่ได้รับมากกว่าผักรสจืดที่กินได้ยากกว่าเริ่มต้นง่ายๆ ด้วยสตรอว์เบอร์รี่ เชอร์รี่ส้มสายน้ำผึ้งหวานๆ ส่วนผักก็อาจจะเป็นมะเขือเทศหรือข้าวโพดค่ะ

 

บทความโดย: กองบรรณาธิการนิตยสารเรียลพาเรนติ้ง

 

ไม่อยากให้ลูกไปบ้านเพื่อน

บอกตรงๆ จะดีที่สุดค่ะ  บอกลูกได้เลยว่า “เป็นสิทธิตามหน้าที่ของแม่ที่จะเลือกคนที่จะอยู่กับลูกตอนที่แม่ไม่อยู่ ซึ่งแม่ก็อยากให้คนนั้นพร้อมดูแลลูก หรือบอกลูกได้ว่าอะไรควรหรือไม่ควรทำ และตอนนี้แม่ยังไม่วางใจว่าครอบครัวของเพื่อนสนิทลูกคนนี้จะพร้อมอย่างที่แม่ว่ามา”

 
ลูกอาจจะไม่ชอบใจกับคำอธิบายนี้ แต่ “ในฐานะแม่” คุณต้องทำ คุณไม่เพียงแต่จะต้องคอยสังเกตเพื่อนของลูก แต่ยังต้องคอยสังเกตพ่อแม่ของเพื่อนลูกด้วย นอกจากนี้ลูกวัยนี้ก็โตพอที่จะเข้าใจได้ว่าพ่อแม่ทุกคนมีวิธีการดูแลสมาชิกในบ้านไม่เหมือนกับพ่อแม่ของเขา กฎของแต่ละบ้านย่อมแตกต่างกัน จึงไม่ใช่เรื่องโหดร้ายอะไรหรอก “ที่กฎของบ้านเพื่อนลูกยังไม่ใช่สำหรับคุณ  กฎของบ้านเพื่อนอาจยืดหยุ่นมากเกินไปสำหรับคุณดังนั้นก็ให้ลูกเล่นที่บ้านเราน่าจะดีกว่า”

 
ที่สำคัญอย่าลืมตบท้ายกับลูกด้วยว่า “นี่เป็นความลับระหว่างหนูกับแม่นะ  อย่าให้เพื่อนของลูกรู้ เพราะเขาอาจจะรู้สึกไม่ดีและคิดว่าเราไม่ชอบครอบครัวเขานะจ๊ะ” ไม่อย่างนั้น ด้วยความซื่อของเด็กวัยนี้ เขาอาจเผลอโพล่งบอกเพื่อนไปตรงๆ “เราไปเล่นบ้านเธอไม่ได้แล้วละ แม่เราไม่ชอบแม่เธอ”…! !

 

 

บทความโดย: กองบรรณาธิการนิตยสารเรียลพาเรนติ้ง

Tags

“ส่วนสูง” เรื่องกวนใจสำหรับลูก

หากช่วงนี้ลูกรู้สึกกังวลใจเพราะเพื่อนๆกำลังสนุกกับการล้อเลียนเรื่องส่วนสูง “เฮ้ยโย่ง… อากาศข้างบนเป็นไงบ้าง” “ยัยจิ๋ววันนี้ไม่ไปนอนกลางวันกับเด็กอนุบาลเหรอ” เด็กวัยนี้บางคนจู่ๆ ก็สูงพรวด ขณะที่บางคนก็รู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองไม่สูงขึ้นเลย คุณพ่อคุณแม่สามารถบรรเทาความกังวลในจิตใจลูกได้ค่ะ

1. พูดกันตรงๆ

ในโลกความจริง คนส่วนใหญ่มักตัดสินกันที่รูปลักษณ์ภายนอก เพราะฉะนั้นคำพูดทำนองอย่าใส่ใจเรื่องนี้เลย เช่น “คนอื่นเขาไม่สนใจหรอกว่าลูกจะสูงเท่าไร” ไม่ได้ช่วยให้ความรู้สึกของลูกดีขึ้น เลี่ยงเสียจะดีกว่า หากพูดอย่างเข้าใจ “ยากมากใช่ไหมจ๊ะลูก ที่จะยอมรับเหตุการณ์นี้ได้” อย่างน้อยก็ช่วยให้ลูกรู้สึกว่าคุณเข้าใจความรู้สึกของเขาและคุณยังเสริมด้วยเรื่องจริงได้ เช่น ใช้ข้อบกพร่องด้านรูปร่างของคุณเองที่ทำให้คุณรู้สึกเป็นกังวลกับสายตาคนอื่น เป็นตัวอย่างให้ลูกเห็นว่า แม้แต่ผู้ใหญ่ก็ยังมีกังวลกับรูปร่างหน้าตาเหมือนกันนะ

2. แก้ไขสถานการณ์

การพูดกลับด้วยอารมณ์ขันนิดๆ ก็ไม่เลวนัก  “แล้วข้างล่างล่ะ  หายใจออกไหม” การล้อกลับจะช่วยให้เพื่อนๆ เลิกพูดไปได้เหมือนกัน

3. ควรสนใจเรื่องไหนกว่ากัน

ในความเป็นจริงเรื่องของส่วนสูงเป็นเรื่องที่พยากรณ์กันไม่ได้ แต่เด็กๆ สามารถพัฒนาร่างกายได้ด้วยวิธีต่างๆ เช่น ถึงไม่สูงก็เป็นคนคล่องแคล่วว่องไวได้  ดูเวลาไปเดินเล่นกับเพื่อนๆ กับครอบครัวสิ

4. ทำกิจกรรมต่างๆ

เช่น ร่วมทีมกีฬา เข้าชมรมเต้นรำ ฯลฯ ก็เป็นโอกาสให้คุณได้สอนลูกว่า เขาสามารถภูมิใจและมั่นใจในตัวเองมากกว่าจะสนใจแต่เรื่องตัวเองจะสูงหรือไม่สูง

 

บทความโดย: กองบรรณาธิการนิตยสารเรียลพาเรนติ้ง

เมื่อลูกโต…อาละวาด! จัดการอย่างไร

เราอาจคาดหวังว่าเด็กก่อนวัยรุ่นควรจะมีเหตุผลและเป็นผู้ใหญ่แต่ความจริงพวกเขาก็ยังเป็นเด็กที่เก็บอารมณ์หิว เหนื่อย หรือผิดหวังของตัวเองเอาไว้ไม่มิด วิธีที่จะป้องกันไม่ให้ฉากแบบนี้เกิดขึ้นก็คือ…

 
• บอกล่วงหน้า ความผิดหวังเสียใจจะเกิดขึ้นเมื่อสิ่งต่างๆ ไม่เป็นไปตามแผนที่วางไว้ คุณจึงควรบอกลูกว่าอะไรจะเกิดขึ้นหลังจากความเปลี่ยนแปลงนั้นๆ ด้วย กรณีของคุณแม่จิ๋ว เธออาจบอกกับน้องนนท์ว่า “วันนี้แม่ต้องไปทำงานก่อน แต่เราจะไปสวนสนุกกันวันพรุ่งนี้แทน”

 
• ช่วยผ่อนคลาย ชวนลูกทำกิจกรรมที่เขาชอบ เช่น เล่นกีฬา หรือทำงานศิลปะ เพื่อเปลี่ยนอารมณ์เสียๆ ให้สดใสขึ้น

 
• อย่าเพิ่งชี้แจงเหตุผลตอนบรรยากาศยังร้อน ถึงจะเป็นผู้ใหญ่แล้วก็ยังยากจะหยุดฟังเหตุผลตอนที่อารมณ์พุ่งปรี๊ด ดังนั้นอย่าเพิ่งสอนหรืออบรมลูกในตอนที่เขากำลังร้องไห้ ปล่อยให้เขาสะอึกสะอื้นให้พอเสียก่อน

 
• วางแผนแก้ไข เมื่อลูกเย็นลงแล้ว ค่อยมานั่งคุยกันว่า ครั้งต่อไป ลูกควรรับมือกับสถานการณ์แบบนี้อย่างไร อย่าลืมบอกลูกว่า เขามีสิทธิ์ที่จะเลือกเรียนรู้และปรับตัวให้เป็นผู้ใหญ่ หรือกลับไปทำตัวแบบเด็กเตาะแตะ แต่เขาควรรู้ด้วยว่า ผลที่ได้รับจากปฏิกิริยาทั้งสองแบบนี้ย่อมแตกต่างกัน

 

 

บทความโดย: กองบรรณาธิการนิตยสารเรียลพาเรนติ้ง

Tags

วิธีจัดการ ลูกทำของหายบ่อยๆ

• เล่นเกมตามหาของ บอกให้ลูกลองทบทวนความจำดีๆ ก่อนหน้านี้ไปที่ไหนมาบ้าง และให้ลองตามหาของชิ้นนั้นดู กติกาคือ ให้ลูกหาเองเท่านั้น ไม่มีการช่วย แต่ถ้าหาไม่เจอจริงๆ คุณก็ลองให้ลูกพาไปตรงจุดที่ทำหายดู

 
• ลงโทษบ้าง ถ้าหากลูกทำชุดว่ายน้ำตัวใหม่ล่าสุดหาย ก็ควรจะต้องทนสวมชุดเก่าไปอีกนานหน่อยละ “นี่เป็นผลแห่งการกระทำที่เห็นได้ทันที” คูเชนเบคเกอร์ แนะนำ

 

 

บทความโดย: กองบรรณาธิการนิตยสารเรียลพาเรนติ้ง

Tags

พาลูกเรียนรู้และเข้าใจ “เรื่องร้าย”

เมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์อย่างนี้ สิ่งแรกที่พ่อแม่ต้องรับมือคือ การดูแลความรู้สึกเจ็บปวดของลูกๆ จากภาวะเจ็บป่วยหรือการเสียชีวิตที่จะเกิดขึ้น ซึ่งแน่นอนว่าเป็นเรื่องยากทีเดียว ขณะเดียวกันก็เป็นหน้าที่ของคุณอีกเช่นกันที่จะช่วยให้ลูกเข้าใจ และเรียนรู้สถานการณ์ร้ายแรงนี้

 
ลูกวัยนี้โตพอแล้วที่จะเข้าใจความหมายของคำว่า “ตาย” เพียงแต่มันอาจจะยังเป็นเรื่องน่าสับสนและน่ากลัวอยู่บ้าง ยิ่งถ้าหากคุณปล่อยให้เขาต้องทำความเข้าใจด้วยตัวเอง มาช่วยเขาทำความเข้าใจกันดีกว่า

 
• อธิบายอาการป่วยของคุณย่า เลือกคำพูดที่ไม่ยากจนเกินไปนัก แต่ก็ไม่เกินจริง เช่น “เมื่อคนเราอายุมากขึ้น ร่างกายก็จะไม่แข็งแรงอีกแล้ว และบางทีก็เจ็บป่วยมากๆ ได้ อย่างเป็นมะเร็ง เป็นโรคที่จะทำให้เสียชีวิตจ้ะ” อย่าลืมให้รายละเอียดที่ควรจะให้ เช่น “คุณย่าจะไม่มีผม ผอมลง และอาจจะอ่อนแอ ไม่มีแรงเล่นกับหนูแบบเดิมแล้ว”

 
• เปิดโอกาสให้ลูกได้ถาม และคุณควรตอบอย่างตรงไปตรงมาที่สุดด้วย

 
• สำคัญกว่านั้น ควรพาลูกๆ ไปเยี่ยมคุณย่าอย่างสม่ำเสมอ ถ่ายรูปด้วยกัน เขียนจดหมายถึงกันบ้าง เพื่อสร้างความทรงจำที่ดีให้ลูกน้อย เผื่อว่าอนาคตจะไม่มีท่านอยู่อีกต่อไปแล้ว

 

 

บทความโดย: กองบรรณาธิการนิตยสารเรียลพาเรนติ้ง

วิธีแนะนำเมื่อลูกชอบอ่านการ์ตูน

ลูกชอบอ่านการ์ตูนมาก แต่พอต้องมาอ่านหนังสือที่เต็มไปด้วยตัวอักษรกลับตกม้าตายซะงั้น เป็นอย่างนี้ มาดูคำแนะนำจากจิตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอย่างคุณหมอประเสริฐกัน!

เพราะการอ่านก็คือการอ่าน ไม่ว่าคำต่างๆ ในหน้ากระดาษจะมาเป็นแบบตัวอักษรหรือเป็นภาพ นอกจากนี้การอ่านหนังสือการ์ตูนหรือนิยายภาพกราฟิกยังเป็นการส่งเสริมทักษะการอ่านให้ลูกเรียนรู้ได้ดีขึ้นด้วย มิเชล กอร์แมนผู้เขียน “Getting Graphic! Using Graphic Novels to Promote Literacy with Preteens and Teens” อธิบาย และภาพต่างๆ ในหนังสือก็เป็นนัยของเนื้อหาแบบหนึ่งที่ช่วยต่อเติมความเข้าใจจากการอ่านได้ อย่างไรก็ตาม ลองมาดูการ์ตูนที่ลูกอ่านหน่อยก็ไม่เลวนะ

1. เรื่องแบบไหนที่ลูกสนใจ

บางทีดูจากปกคุณอาจไม่รู้ ลองถามเขาเล่นๆ ก็ได้ว่า เป็นเรื่องของอะไร อย่างน้อยคุณจะได้รู้แนวที่ลูกชอบ

2. ดูสำนักพิมพ์

ลองสังเกตดูว่าสไตล์เรื่องที่ลูกชอบนั้นเป็นหนังสือของสำนักพิมพ์อะไร ถ้าหากว่าสำนักพิมพ์นั้นผ่านมาตรฐานของคุณ ต่อไปลูกจะได้เลือกซื้อหนังสือได้ง่ายขึ้น

3. ลองอ่านด้วย

แฟนการ์ตูนญี่ปุ่น ลองอ่านไปด้วยก็จะดีไม่น้อย แต่หากไม่สามารถทำได้ สิ่งที่ควรทำคือ ไม่ให้ลูกหมกมุ่นกับการ์ตูนมากเกินไปจนกระทบกิจกรรมจำเป็นอื่นๆ ที่เขาต้องทำก็แล้วกัน

 

บทความโดย: นพ.ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ จิตแพทย์แผนกจิตเวช โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์

สอนวัยใสให้รู้จักจัดระเบียบ

เจอเสียงร้องแบบนี้บ่อยๆ ไม่ว่าคุณแม่ใจเย็นคนไหนก็ต้องประสาทเสีย ก็เพราะวัยนี้น่าจะรู้จักหาของเองได้แล้ว แต่ไหงพวกเขาถึงขี้หลงขี้ลืมยิ่งกว่าคุณยายเสียอีกละเนี่ย

 
ปัญหาอยู่ที่ การจัดระเบียบ ถ้าเด็กๆ รู้จักเก็บข้าวของให้เป็นที่ พวกเขาก็จะหาสมบัติของตัวเองเจอได้ง่ายขึ้นเรามี 3 เทคนิคเจ๋งๆ จากผู้เชี่ยวชาญมาฝากให้ลองใช้ดู

 
1. เรียนรู้จากการลงมือทำ “เด็กๆ เรียนรู้จากการลงมือปฏิบัติได้ดีกว่าการสั่งสอน ฉะนั้น เลิกทำความสะอาดห้องให้ลูกวัยทวีน และปล่อยให้พวกเขาจัดระเบียบห้องของตัวเองได้แล้ว” ดอนนา สแมลลิน ผู้เขียน “A to Z Storage Solutions” ควบตำแหน่งคุณแม่ลูกสามแนะนำ

 
2. ศิลปะ “การจัดระบบ” การทำอะไรซ้ำๆ สร้างความเคยชินจนกลายเป็นความทรงจำได้ หัวใจหลักของเทคนิคนี้คือ “จงเก็บของทุกชิ้นเข้าที่เดิมทุกครั้ง” โซเนีย ทอมลิน คุณแม่ลูกแฝด ผู้เป็นเจ้าของบริษัทจัดการระบบแห่งหนึ่งในเมืองพลาโน รัฐเทกซัส สรุปสั้นๆ ว่า “รถของเล่นทุกคันควรมีที่จอดรถของมันเองค่ะ”

 
3. ใกล้มือเข้าไว้เป็นดีที่สุด “คำถามแรกที่คุณควรถามตัวเองก็คือ ‘ฉันใช้เจ้านี่ที่ไหนนะ’” ซาแมนตา มอส คุณแม่ลูกหนึ่ง ผู้เขียน “Where’s My Stuff ” เปิดเผยเทคนิคของเธอ

 
ถ้าลูกต้องทำการบ้านในห้องรับแขกทุกวัน ก็ให้เขาเก็บสมุดการบ้าน เครื่องเขียน และกระเป๋านักเรียนไว้ในห้องนั้น นอกจากลูกจะไม่ต้องขนข้าวของไปมาแล้ว ยังช่วยให้เขาหาของได้ง่ายขึ้น (และตะโกนเรียกคุณให้ช่วยหาน้อยลงด้วย)

 

 

บทความโดย: กองบรรณาธิการนิตยสารเรียลพาเรนติ้ง