Page 540 – AMARIN Baby And Kids – เพื่อลูกฉลาดและมีความสุข

ลูกชายกินเหมือนกระเพาะรั่ว ทำไงดี

มีข้อมูลจากสถาบันสุขภาพแห่งชาติของสหรัฐอเมริกาพิสูจน์แล้วว่า อาการกินไม่ยั้งของลูกชายวัยรุ่นมีจริง งานวิจัยทำการศึกษาหนุ่มน้อยวัย 8 – 17 ปี 204 คน พบว่าในวัยเดียวกัน เด็กชายจะกินมากกว่าเด็กหญิง ในช่วงวัยรุ่นตอนต้น (9 ขวบครึ่งโดยประมาณ) เด็กๆ จะกินอาหารวันละประมาณ 1,300 แคลอรี เฉพาะมื้อกลางวันเด็กผู้ชายก็กินมากกว่าเด็กผู้หญิงอยู่หลายร้อยแคลอรีแล้ว และในช่วงวัยรุ่นตอนปลาย เด็กชายจะกินมากกว่าเด็กหญิงอยู่ถึง 1,900 แคลอรีทีเดียว

 
“วัยทวีนเป็นช่วงเวลาการเจริญเติบโตค่ะ และเด็กผู้ชายก็ต้องการสารอาหารจำนวนมาก” ดร.ลอเร็น ชูเมคเกอร์ ผู้วิจัยกล่าว ตราบใดที่น้ำหนักของหนุ่มน้อยคนนี้ยังไม่มากเกินไป และเขาได้กินอาหารที่ดีต่อสุขภาพ มีสารอาหารที่เหมาะสม คุณแม่ก็ไม่ต้องกังวลมากหรอกค่ะ

 

 

 

บทความโดย: กองบรรณาธิการนิตยสารเรียลพาเรนติ้ง

ฝึกลูก…กระโดดน้ำ

ถ้าจะลงในสระน้ำลึก ลูกของคุณต้องว่ายน้ำได้แข็งในระดับหนึ่ง อย่างน้อยก็ต้องว่ายจากกลางสระไปถึงบันไดริมสระได้ ทั้งยังควรจะทรงตัวอยู่ในน้ำได้อย่างน้อย 1 นาที  นอกจากนี้อย่าลืมเตือนลูกด้วยว่า ถ้าจะกระโดดน้ำ ต้องแน่ใจว่ารอบๆ ตัวไม่มีใครขวางทางอยู่นอกจากนี้ควรตรวจสอบให้แน่ใจว่ากระดานที่ลูกจะใช้เหมาะสมสำหรับเด็กอายุเท่าไร
ฝึกฝนกันเถอะ เริ่มต้นด้วยการให้เจ้าหนูนั่งที่ขอบสระ ก้มหน้าลงสองแขนเหยียดตรงไปข้างหน้า (แนบไปกับหู) นิ้วโป้งเกี่ยวกันไว้ ถ้าคล่องแล้วท่าต่อไปก็คือ ให้ลูกยืนที่ขอบสระย่อเข่าลง โก่งก้น และใช้นิ้วเท้าเป็นตัวผลักขอบสระ เพื่อดันให้ตัวเองพุ่งไปข้างหน้า ท่าสุดท้ายคือ ท่ายืน เป็นท่าที่ยากที่สุด และลูกควรจะเชี่ยวชาญในท่าสองท่าก่อนหน้านี้เสียก่อน จึงจะทำท่านี้ได้

 

 

บทความโดย: กองบรรณาธิการนิตยสารเรียลพาเรนติ้ง

ชวนวัยใส มาคลายเครียดกัน

ให้ความรักสม่ำเสมอ นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียลอสแอนเจลิส ค้นพบว่า เวลาเด็กๆ เครียด การได้รับอ้อมกอดอุ่นๆจากแม่ จะช่วยให้พวกเขามีระดับภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้น ช่วยเรื่องความเข้มแข็งทางใจ และผ่อนคลายความเครียดได้ด้วย

 
ฝึกลมหายใจ การหายใจลึกๆ จะช่วยให้ร่างกายลดความกดดันลงลองสอนให้ลูกรู้จักกำหนดลมหายใจด้วยการหายใจเข้า กลั้นหายใจนับ 1 – 5  จากนั้นจึงค่อยๆ ผ่อนลมหายใจออก นับ 1 – 5 หายใจเข้าอีกครั้ง และแม้ว่าจะรู้สึกดีขึ้นแล้ว เด็กๆ ก็ยังสามารถหายใจลึกๆ ช้าๆต่ออีกสัก 5 นาที

 
นอนหลับให้เพียงพอ “การนอนหลับมีผลสำคัญต่อเรื่องของอารมณ์” พอล บัลลาส จาก “American Academy of Child & Adolescent Psychiatry” บอก “และช่วงเวลาก่อนเข้านอนก็เป็นช่วงที่สำคัญที่สุด เด็กๆ ควรต้องมีเวลาผ่อนคลาย เพื่อจะได้นอนหลับได้ลึกมากขึ้น” เพราะฉะนั้นก่อนเข้านอนคืนนี้ ลองอ่านหนังสือหรือเปิดเพลงเบาๆ สบายๆ ให้ลูกฟังนะคะ

 

 

บทความโดย: กองบรรณาธิการนิตยสารเรียลพาเรนติ้ง

เคล็ดลับ…ฝึกสาวน้อยนอนคนเดียว

• ค่อยเป็นค่อยไป โดยมีคุณร่วมอยู่เสมอ อาจจะให้เธอช่วยเลือกสีทาห้อง  วอลล์เปเปอร์ปิดผนังลายสวยๆ แล้วค่อยๆ ย้ายของเข้าห้องทีละชิ้นสองชิ้น แทนที่จะย้ายตูมทีเดียว เด็กๆ มักอ่อนไหวกับสถานที่ใหม่ๆ และต้องการเวลาปรับตัวมากกว่าที่คุณคิด

 
• พูดเรื่องดีๆ เช่น การย้ายห้องใหม่ จะช่วยทำให้ลูกได้กลายเป็น“ผู้ใหญ่ตัวน้อยๆ” เพราะลูกสามารถตัดสินใจตกแต่งห้องในแบบที่ชอบได้ (แต่ต้องอย่างมีเหตุผลนะ) และยังมีเวลาส่วนตัวไม่ต้องถูกน้องกวนอีกต่อไป และอีกหลายเรื่องที่คุณรู้ใจลูกว่าพูดแล้ว เขาต้องสนใจอยากนอนคนเดียว (ก็เรื่องนั้นแหละ)

 
• ถ้าลูกไม่พอใจจริงๆ เป็นเรื่องธรรมดาที่ลูกจะรู้สึกว้าเหว่ ไม่สบายใจบ้างในช่วงคืนแรกๆ ที่ต้องนอนคนเดียว บางคนอาจถึงขั้นอยากย้ายกลับทันที อาจลองถามลูกดูว่า “ต้องทำแบบไหนลูกถึงจะนอนคนเดียวได้อย่างสบายใจล่ะจ๊ะ” หรือ  “ลูกอยากได้โคมไฟสวยๆ หรือภาพของแม่วางข้างเตียงไหม” แต่บางคนก็อยากให้แม่นอนเป็นเพื่อนอย่างน้อย 10นาทีก่อนเข้านอน ลองดูว่าวิธีไหนจะเหมาะกับลูกของคุณนะคะ

 

 

บทความโดย: กองบรรณาธิการนิตยสารเรียลพาเรนติ้ง

แค่ “กอด” สุขภาพใจ+กาย ก็แข็งแรง

อ้อมกอดและการจุ๊บ ล้วนแต่เป็นสิ่งที่ช่วยเสริมสร้างอารมณ์ในทางบวก ทำให้ลูกมีสุขภาพแข็งแรง และเพิ่มความมั่นใจในตัวเองได้มากขึ้น เราอยากให้คุณแม่เพิ่มเติมความรักให้แก่ลูกๆ ด้วยการกอดกันค่ะ!

• กอดเมื่อยามลูกเสียใจ

ดร.เคนเน็ธ รูบิน ผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการมนุษย์จากมหาวิทยาลัยแมริแลนด์ คอลเลจ  พาร์ค  อธิบายว่า “ส่วนใหญ่แล้วความพ่ายแพ้มักจะให้บทเรียนชีวิตกับเด็กๆ ได้มากกว่าชัยชนะ ดังนั้นเมื่อลูกทำผิดพลาดขอให้คุณเข้าใจและพร้อมจะอยู่กับลูกด้วยอ้อมกอดและความรัก”

• กอดเมื่ออยากกอด

ทุกช่วงเวลาที่ดี หรือแม้แต่เวลาเครียดๆ หรือหลังการทะเลาะครั้งใหญ่เวลาก่อนออกจากบ้านไปทำงาน ก่อนนอน หรือเวลาลูกเสียใจ หรือตอนลูกทำให้คุณหัวเราะได้ระหว่างรับประทานมื้อเย็น  ทุกช่วงขณะล้วนเป็นเหตุผลที่คุ้มค่าของการกอดแล้วละ หรือจะกอดในรถระหว่างรถติดไฟแดงก็ได้ ไม่มีข้อห้ามใดๆ เลย

• ปรับเปลี่ยนวิธีแสดงความรัก

ถ้าหากว่าลูกเริ่มรู้สึกเขินๆ เวลาถูกกอดหรือจูงมือ  คุณแม่อาจจะเปลี่ยนวิธีการแสดงออกเป็นการขยี้ผมยุ่งๆ ลูบหัวเบาๆ ชวนลูกเต้นรำ หรือยิ้มให้บ่อยขึ้นก็ได้เหมือนกัน

 

บทความโดย: กองบรรณาธิการนิตยสารเรียลพาเรนติ้ง

3 ข้อต้องทำ ก่อนปล่อยลูกโตอยู่บ้านคนเดียว

คุณมีธุระจะต้องออกไปข้างนอก แต่ลูกวัยทวีนกำลังนั่งปั่นการบ้านส่งครู และคุณก็สงสัยว่า…จะเป็นอะไรไหมถ้าจะปล่อยลูกไว้คนเดียวแบบนี้

คำตอบคือ เป็นไปได้อยู่แล้วค่ะ แต่นั่นหมายความว่า ลูกจะต้องทำตามกติกาที่คุณวางไว้ และสามารถตัดสินใจเองได้ดีในระดับหนึ่ง รวมถึงควบคุมตัวเองได้แล้วด้วย นอกจากนี้มีปัจจัยอะไรอีกที่คุณแม่ควรนึกถึงอีกบ้างนะ?

1. ทดสอบความสามารถ

ลองถามคำถามต่างๆ เช่น ลูกจะทำอย่างไรถ้าหากบุรุษไปรษณีย์มา มีเพื่อนอยากมาเยี่ยมหรือแม้แต่มีคนแปลกหน้ามาเคาะประตูให้เธอได้ตอบและได้ฝึกตัดสินใจ

2. ตั้งกฎบ้าง

คุณต้องชัดเจนกับเรื่องที่ลูกทำได้ และเรื่องที่คุณไม่อนุญาตให้ทำระหว่างที่เขาอยู่คนเดียว ยกตัวอย่างเช่น กฎสำคัญคือ ลูกต้องไม่เปิดประตูต้อนรับใครเด็ดขาด แม้ว่าคนที่มาเยี่ยมจะเป็นเพื่อนหรือคนรู้จักก็ตาม นั่นหมายถึงเรื่องโทรศัพท์ด้วย ปล่อยให้เข้าระบบฝากข้อความไป นอกเสียจากว่าลูกจะมีมือถือหรือคุณระบุเวลาที่จะโทร.หาอย่างชัดเจน เรื่องการใช้เตาแก๊สและอุปกรณ์อันตรายในครัวก็ควรเป็นเรื่องที่ต้องระวัง

3. อย่าไปนานนัก

ครั้งแรกๆ คุณไม่ควรไปนานเกินครึ่งชั่วโมง และถ้าคุณมีลูกสองคน อย่าได้บอกให้น้องฟังคำสั่งของพี่เพราะอาจเป็นการรับผิดชอบที่มากเกินไปสำหรับลูกคนโต และยังอาจเป็นชนวนการทะเลาะที่รุนแรงด้วย เคล็ดลับง่ายๆ เมื่อปล่อยให้ลูกอยู่บ้านคนเดียว  ลองแปะเบอร์โทร.ของคุณยายหรือเพื่อนบ้านที่ไว้ใจได้ไว้ข้างโทรศัพท์  เพราะลูกอาจจะลืมได้เมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินที่ต้องการความช่วยเหลือ

 

บทความโดย: กองบรรณาธิการนิตยสารเรียลพาเรนติ้ง

ลูกพร้อมหรือยัง กับหนังเขย่าขวัญ!

ลองอ่านเทคนิคดีๆ จากจิตแพทย์ จอฟฟรีย์ อี พุตต์ จากโรงพยาบาลเด็กในโอไฮโอดูค่ะ

 
สแกนเนื้อหาก่อน เด็กวัยนี้เริ่มเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องผีหรือการถูกหลอกเล็กๆ น้อยๆ ได้แล้ว แต่เนื้อหาของหนังหรือละครก็ไม่ควรจะบีบคั้นจิตใจหรือพูดถึงความตาย ตลอดจนเรื่องวิตถารมากเกินไป รวมถึงไม่ควรจะมีเสียงรุนแรงตลอดเรื่อง (พวกดนตรีบีบคั้นนิดๆ หายใจหายคอไม่ทันทั้งหลายนั่นแหละตัวดี!) นอกจากนี้ ตอนจบก็ควรจะเป็นแบบแฮ็ปปี้เอนดิ้ง อย่าให้เป็นโศกนาฏกรรมมากเกินไป

 
เช็กเรตติ้ง หากจะดูดีวีดีคุณอาจเช็กเรตติ้งจากข้างกล่อง แต่ทางที่ดีแนะนำให้คุณพ่อคุณแม่เป็นฝ่ายเฝ้าระวังดูก่อนจะดีกว่าแล้วค่อยตัดสินใจว่าจะให้ลูกดูหรือไม่

 
คอยสังเกตลูกไปด้วย ถ้าดูหนังแล้วลูกนอนไม่หลับ หรือวิตกกังวลเวลาต้องอยู่คนเดียว ก็เป็นสัญญาณบอกได้ว่าเขาอาจยังไม่พร้อม หรือถ้าดูอยู่ด้วยกันแล้วสังเกตว่าลูกเริ่มมีอาการกลัวหรือเครียด ก็ปิดทีวีเสียดีกว่า

 

 

บทความโดย: กองบรรณาธิการนิตยสารเรียลพาเรนติ้ง

จับเข่าคุย เรื่อง “แตกหนุ่ม” กับลูก

“วัยแตกหนุ่ม ” เป็นเรื่องสับสนไม่น้อยสำหรับเด็กผู้ชาย แต่ก็มีพ่อแม่ส่วนใหญ่มักคิดว่าไม่ใช่เรื่องสำคัญมาดูกันค่ะว่า คุณแม่จะช่วยอะไรเรื่องนี้ได้บ้าง

พูดก่อนเกิดก็ได้ ไม่จำเป็นที่จะต้องรอให้เกิดอาการแตกหนุ่มเสียก่อนแล้วค่อยพูดหรอกค่ะ พูดกันก่อนแต่เนิ่นๆ ก็ได้ ส่วนใหญ่เด็กผู้ชายมักจะอยากพูดคุยก่อนที่ร่างกายของพวกเขาจะเปลี่ยนไป (ส่วนใหญ่เด็กชายจะเริ่มแตกหนุ่มในวัย 9 – 15 ปี) ลองถามลูกดูก็ได้ว่าเวลาเรียนครูสอนอะไรเกี่ยวกับเรื่องวัยแตกหนุ่มบ้าง จากนั้นลองเพิ่มเติมเนื้อหาที่ครูไม่ได้บอกเข้าไป (จินตนาการง่ายๆ ตอนเด็กๆ คุณเคยอยากรู้อะไรบ้าง ใส่ไปได้…ไม่ผิดหรอก)
เมื่อถึงวัยแตกหนุ่ม รูปร่างเขาจะเริ่มเปลี่ยน เสียงเริ่มแตก เขาอาจเงียบขรึมไป คุณสามารถช่วยคลายกังวลให้ลูกชายได้ด้วยการอธิบายให้เขารู้ถึงการเปลี่ยนแปลง เช่น ลูกอัณฑะของลูกจะเริ่มขยายก่อน หลังจากนั้นอวัยวะเพศถึงจะขยายตาม หรือหน้าอกขยายด้วย การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ก็เพราะการทำงานของฮอร์โมน เหตุการณ์เหล่านี้เป็นเรื่องปกติที่จะดำเนินไป แต่ที่สุดแล้วทุกอย่างจะเข้าที่

 

 

บทความโดย: กองบรรณาธิการนิตยสารเรียลพาเรนติ้ง

3 วิธีฝึกวินัยที่ดีให้กับลูก

คุณแม่ทุกคนย่อมอยากฝึกฝนลูกให้มีนิสัยน่ารัก ไปไหนใครๆ ก็เอ็นดู มี 3 เคล็ดลับสำคัญที่คุณแม่ไม่ควรพลาดหากต้องการฝึกวินัยลูกให้ได้ผล

1. ใช้คำชมเชยเข้าช่วย

คุณแม่คนไหนที่กลุ้มใจว่าลูกไม่ยอมพูดคำว่า “ขอบคุณ” หรือ “ขอโทษ” สิ่งสำคัญคือ คุณเองต้องพูดเป็นตัวอย่างให้ลูกได้ยิน ได้เห็นสถานการณ์ที่คุณพูด และให้ชมทุกครั้งที่ลูกทำสิ่งที่ดี ที่น่ารัก เช่น พูด “ขอบคุณ” หรือ “ขอโทษ”

เคล็ดลับง่ายๆ ในการฝึกคือ ลองแบ่งงานบ้านให้ลูกทำ เช่น ช่วยจัดโต๊ะ หรือเก็บจาน หลังจากลูกทำงานเล็กๆ น้อยๆ ได้น่าพอใจ คุณก็พูดชมลูก จะทำให้เขารู้สึกดี เมื่อฝึกบ่อยๆ เข้า รับรองว่าเขาจะเข้าใจความหมายของคำคำนั้นได้ดีทีเดียวค่ะ

2. ไม่โต้ตอบกับอารมณ์โกรธ

สถานการณ์ยอดฮิต เมื่อใดที่คุณแม่ปฏิเสธไม่ยอมซื้อของเล่นให้ ลูกเป็นต้องทำหน้าหงุดหงิด ไม่พอใจทุกครั้งไป ที่ร้ายหน่อยอาจจะถึงกับลงดิ้นกันเลยทีเดียว แนะนำให้คุณบอกลูกไปตรงๆ “แม่รู้นะว่าลูกไม่พอใจ ไม่ชอบใจ แต่ลูกจะแสดงออกแบบนี้ไม่ได้”

ถ้าหากสถานที่นั้นไม่อันตราย คุณอาจจะบอกลูกว่า “เดี๋ยวแม่ไปเข้าห้องน้ำก่อน พอกลับมา หวังว่าลูกจะโอเคขึ้นแล้วนะจ๊ะ” คุณต้องให้เวลาลูกได้อยู่คนเดียว และมีโอกาสคิด ที่สำคัญคือ ห้ามโต้ตอบพฤติกรรมแย่ๆ ของลูกด้วยท่าทางแบบเดียวกันเด็ดขาด ยิ่งถ้าลูกอยู่ในภาวะอาละวาด การไม่โต้ตอบคือการฝึกฝนที่ดีที่สุด หลังจากให้เขาได้มีโอกาสสงบสติอารมณ์แล้ว ก็ลองแนะนำหนทางที่ดีที่จะแสดงออกถึงอารมณ์โกรธให้เขาได้รู้ค่ะ

3. ลูกมีส่วนในการฝึกวินัยได้

เราขอเสนอสถานการณ์ง่ายๆ คือ ถ้าหากลูกไม่พอใจกับกิจกรรมและเวลาก่อนนอนที่คุณกำหนด อาจจะต้องมาพูดคุยกัน ถ้าหากลูกมีเหตุผลที่ดีพอ คุณอาจจะประนีประนอมกันได้ เช่น ให้โอกาสลูกดูโทรทัศน์หรือใช้คอมพิวเตอร์ได้ในเวลาที่เหมาะสม เคล็ดลับคือ เวลาพูดกันเรื่องวินัย ไม่ควรคุยกันก่อนนอน ให้พูดตั้งแต่เช้าๆ เลยจะดีกว่า

ทุกครั้งที่ลูกช่วยงานบ้าน อย่าลืมพูดคำว่า “ขอบคุณมากจ้ะลูก ช่วยแม่ได้มากเลยนะ” วิธีนี้จะช่วยเสริมทักษะด้านมารยาทให้ลูกได้ในทางอ้อม

 

บทความโดย: กองบรรณาธิการนิตยสารเรียลพาเรนติ้ง

วิธีเลือกแว่นกันแดด… ให้ลูก

เช็กรายละเอียดต่างๆ อย่าเลือกเฉพาะแค่ดูสวยถูกใจ แต่ต้องเลือกเฉดสีที่ช่วยปกป้องถนอมดวงตา อย่างน้อยๆ ก็ควรป้องกันรังสียูวีได้ 99 เปอร์เซ็นต์ และช่วยกรองแสงปกติได้ตั้งแต่ 75 – 90 เปอร์เซ็นต์

 
เลือกที่แข็งแรง เป็นเลนส์ที่ไม่แตกง่ายเพราะเด็กวัยนี้ชอบทำกิจกรรม บางทีอาจจะเผลอทำแตกได้ง่าย

 
ราคาพอควร แว่นกันแดดที่ราคาถูกมากจนเกินไปอาจจะไม่มีประโยชน์ โดยทั่วไปแล้ว เมื่อแดดส่องหน้า ตาดำจะหรี่ลงโดยอัตโนมัติ หากสวมแว่นกันแดดที่ไม่มีคุณสมบัติปกป้องรังสียูวี (แต่สามารถป้องกันแสงได้) นัยน์ตาก็จะอยู่ในภาวะปกติ ทำให้ต้องรับรังสีไปเต็มๆ

 
เป็นตัวอย่างที่ดีให้แก่ลูก คุณแม่เองก็ต้องสวมแว่นกันแดดด้วย แรกๆ ลูกอาจจะรำคาญบ้าง แต่เด็กๆ มักจะใช้เวลาปรับตัวไม่นาน และอย่าลืมหมวกและครีมกันแดดด้วย โดยเฉพาะถ้าต้องไปทะเลหน้าร้อน

 

 

 

บทความโดย: กองบรรณาธิการนิตยสารเรียลพาเรนติ้ง

Tags

3 วิธีปลุกลูกอย่างมีชั้นเชิง

เพราะนาฬิกาในร่างกายของเจ้าหนูวัยนี้เปลี่ยนแปลงไป ถ้าคุณแม่สังเกต พวกเขาจะนอนดึกมากขึ้น และตื่นสายกว่าเดิม แต่คุณแม่ก็คงไม่อยากให้ลูกนอนขี้เซาจนไปโรงเรียนสาย มาดูวิธีปลุกลูกอย่างมีชั้นเชิงกันดีกว่า

 
เปลี่ยนเสียงนาฬิกาปลุก จากที่เคยใช้เสียงร้องแหลมๆ ของนาฬิกา ลองเปลี่ยนเป็นปลุกด้วยเพลงโปรดของลูก และให้เวลาลูกน้อยได้นอนฟังเพลงอยู่บนเตียงสัก 15 นาที จะช่วยผ่อนคลาย ทำให้ลูกเริ่มต้นวันอย่างมีความสุข

 
ใช้อาหารมาช่วย ทอดไส้กรอกร้อนๆ ขนมปัง ไข่ดาวหอมๆ เตรียมไว้…วัยทวีนจัดอยู่ในกลุ่มกินแหลก เอาของกินมาล่อเมื่อไรเสร็จทุกที…แล้วอย่าลืมหยอดเขาด้วยว่า “ถ้าลูกตื่นได้เช้าขึ้น จะได้กินอาหารเช้าอร่อยๆ ก่อนไปเรียนทุกวันไงละจ๊ะ”

 
ให้ความไว้วางใจ เช่น บอกลูกว่า “ลูกโตพอที่จะตื่นนอนเองแล้ว แม่จะปลุกครั้งเดียวนะ หลังจากนี้ ลูกก็จัดการเองได้แล้ว แม่ไว้ใจลูก” หลังจากตื่นสาย ไปโรงเรียนสายไม่กี่ครั้ง เชื่อเถอะ ลูกจะเรียนรู้ได้เองว่าการไปโรงเรียนสายเป็นเรื่องน่าอาย และเขาจะไม่อยากเจอมันอีกเลยด.ญ.ญาณิศา ตั้งจิตร์มั่นคง

 

 

บทความโดย: กองบรรณาธิการนิตยสารเรียลพาเรนติ้ง

Tags

ช่วยลูกบอกลาเพื่อนสนิท

• รับฟัง เปิดโอกาสให้ลูกได้ระบายความรู้สึกในใจออกมาอย่างเต็มที่ ดร.เกล เฮย์แมน นักพัฒนาการเด็กจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียในซานดิเอโก ยกตัวอย่าง “เป็นเรื่องน่าเศร้านะ ที่ลูกกับแนนจะไม่ได้ใช้เวลาด้วยกันอีกแล้ว”และควรให้เวลาลูกได้ระบายความรู้สึก อย่าเพิ่งรีบตัดบท แม้ว่าสุดท้ายคุณจะส่งคำปลอบใจไม้ตายให้ลูก “คนนิสัยน่ารักอย่างลูกแม่จะต้องมีเพื่อนใหม่ที่น่ารักอย่างแนนแน่นอนจ้ะ”

 
• หากิจกรรมใหม่ๆ ให้ลูกทำ อาจจะพาลูกไปเล่นกีฬา สอนวาดรูปเล่นเกมต่างๆ แต่ต้องไม่กดดันลูกมากจนเกินไป และไม่ใช่คำสั่งดร.เฮย์แมนกล่าวเตือน เป็นเรื่องที่ดีที่จะเบี่ยงเบนความสนใจลูกไปที่อื่น แต่ไม่ดีแน่ถ้าหากคุณคิดจะหาอะไรมาแทนที่ ทั้งที่ความรู้สึกของเขายังไม่พร้อม เรื่องแบบนี้ต้องให้เวลาลูกทำใจจะดีกว่า

 
• สอนวิธีการติดต่อเพื่อน เป็นโอกาสที่ดีที่คุณจะได้สอนลูกให้ใช้บรรดาโซเชียลเน็ตเวิร์คให้เป็นประโยชน์ อาจจะสอนให้ลูกส่งเมลหรือเล่นสไกป์ ที่สามารถเห็นหน้าเห็นตาเพื่อนเก่าได้ แต่สุดท้ายแล้วสิ่งสำคัญก็คือ ให้เวลาลูกและเป็นกำลังใจให้เขาก้าวต่อไปค่ะ ด.ช.ปฏิภาณ บุญเจริญสุขกุล

 

 

บทความโดย: กองบรรณาธิการนิตยสารเรียลพาเรนติ้ง

Tags

ถึงเวลาปล่อยลูกไปโรงเรียนเอง ได้หรือยัง

กรณีที่โรงเรียนอยู่ใกล้ๆ บ้าน คุณแม่อาจจะเริ่มสงสัยว่า ลูกพร้อมหรือยังนะที่จะเดินไปโรงเรียนคนเดียว…

จริงๆ แล้ว การเดินไปโรงเรียนด้วยตัวเองจะช่วยให้ลูกรู้สึกเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น และยังเหมือนเป็นการออกกำลังกายไปในตัวด้วย แนนซี่ พัลเลน ซูเฟิร์ท ผู้ช่วยผู้อำนวยการศูนย์เส้นทางปลอดภัยสู่สถานศึกษาแห่งชาติ แนะนำวิธีเตรียมความพร้อมก่อนส่งลูกไปโรงเรียนเองไว้ดังนี้

1. เขียนแผนที่

โดยยึดตามเส้นทางเท้าสายหลัก  ซึ่งอาจไม่ตรงกับทางเดินรถของคุณ  เลือกเส้นทางที่ข้ามถนนน้อยๆ การจราจรไม่วุ่นวาย และควรเป็นถนนที่มีไหล่ทางสำหรับคนเดิน

2. ทดลองเดินไปด้วยกัน

เดินไปส่งลูกที่โรงเรียนในช่วง 2 – 3 อาทิตย์แรก เพื่อประเมินดูว่าเขามีความระมัดระวังมากแค่ไหน เข้าใจวิธีดูสัญญาณไฟขณะข้ามถนนหรือไม่ “แม้ว่าคุณจะขับรถไปส่งลูกอยู่ทุกวัน แต่มันไม่เหมือนกับการเดินไปส่ง” หรืออาจใช้วิธีให้เขาเดินไปโรงเรียนพร้อมกับเพื่อนพ่อแม่ของเพื่อน หรือพวกนักเรียนรุ่นพี่ก็ได้

3. เตรียมแผนการสื่อสาร

คุณอาจซื้อโทรศัพท์มือถือให้เขาสักเครื่อง เพื่อที่เขาจะได้ติดต่อคุณเมื่อมีเหตุจำเป็น เพียงแต่ต้องมีข้อตกลงว่า ไม่มีการพิมพ์แชทหรือคุยโทรศัพท์ระหว่างเดินซึ่งอาจทำให้เขาใจลอยและเป็นอันตรายได้

 

บทความโดย: กองบรรณาธิการนิตยสารเรียลพาเรนติ้ง

7 เคล็ดลับ ชวนลูกน้อยปลูกผัก

1. พาลูกไปเลือกผักกัน จะปลูกอะไรดี เลือกชนิดที่ปลูกง่ายขึ้นง่ายดีกว่าเลือกชนิดยากๆ ตัวอย่างก็เช่น ผักกาดขาว กวางตุ้ง ผักบุ้งจีน สามอย่างนี้ขึ้นแน่นอนค่ะ

 
2. ชวนกันทำป้ายชื่อผัก ด้วยอุปกรณ์ต่างๆ และอาจจะมีวาดรูปเล่นสีสวยๆ กันเล็กน้อยรับรองว่าลูกน้อยชอบแน่ๆ

 
3. สอนลูกช่วยกันรดน้ำ แต่ระวังอย่าให้เยอะเกินไป จะกลายเป็นเล่นน้ำสงกรานต์ไป

 
4. สอนวิธีการเก็บผัก อย่างใกล้ชิด แนะนำว่าผักนี้คืออะไร เก็บอย่างไร เป็นผักประเภทใบ หรือประเภทหัว เขาจะได้เลือกวิธีเก็บได้ถูกต้อง

 
5. มาทำหุ่นไล่กาตัวเล็กๆ เล่นกันเถอะ เชื่อว่าสนุกแน่

 
6. ชี้ให้ดูตัวหนอน ไส้เดือน ผีเสื้อ และสัตว์ชนิดอื่นๆ ในบริเวณแปลงผัก เป็นการ สอนให้รู้จักสัตว์ต่างๆ เพิ่มไปด้วยในตัว

 
7. เมื่อเก็บพืชผลได้แล้ว อย่าลืมเอา มาปรุงอาหารกัน นะคะ เชื่อว่ามื้อนั้นต้องอร่อยที่สุด

 

 

บทความโดย: กองบรรณาธิการนิตยสารเรียลพาเรนติ้ง

Tags

อยากทำสวนครัว แต่ไม่มีที่ ง่ายนิดเดียว

ผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลสวนแนะนำว่า เริ่มต้นลองหาถังพลาสติกใบใหญ่ เส้นผ่านศูนย์กลางสัก 12 นิ้ว (ประมาณ 1 ไม้บรรทัด) เลือกแบบที่แห้งง่าย ไม่อมน้ำ (ดินที่อมน้ำเกินไปจะทำให้พืชไม่เจริญเติบโต) และเลือกมุมที่แสงแดดส่องถึง นอกจากนี้คุณอาจจะใช้วัตถุดิบอื่นๆ มาประยุกต์ได้ เช่น กล่องนม ตะกร้า ถังทรงกระบอก หรือแม้แต่ถังขยะที่ไม่ใช่แล้ว (เจาะรูตรงก้นถังจะทำให้ระบายน้ำได้ดีขึ้นค่ะ) ถ้าหากนึกสนุกก็ชวนลูกๆ เพ้นต์รูปสวยๆ ด้วยก็จะยิ่งน่าสนใจมากขึ้นค่ะ

 

บทความโดย: กองบรรณาธิการนิตยสารเรียลพาเรนติ้ง

Tags

เมื่อลูกสาวอยากย้อมผมสีทอง

แม่ก็รู้ว่าลูกอยากค้นหาตัวตน อยากเป็นตัวเอง อยากสวย แต่เรื่องอย่างนี้บางทีแม่ก็ตัดสินใจยากเหมือนกันนะลูก…

คำแนะนำของเราคือ คุยกันค่ะ เพื่อให้เขาเข้าใจว่าพ่อแม่จะอนุญาตให้เขาทำได้มากแค่ไหน หรือมีความเป็นไปได้อย่างไร ประเด็นสำคัญของการพูดคุยคือ วิธีการพูด อาจเริ่มต้นด้วยการถามสิ่งที่เขาต้องการทำ เช่น “ลูกอยากทำอะไรบ้าง” และแทนที่จะตั้งคำถามหรือใช้คำพูดที่ตัดสินหรือสรุปไปล่วงหน้าแล้ว อาจใช้คำพูดอย่างนี้ เช่น “แม่ไม่แน่ใจนะ” หรือ “เพราะอะไรหนูถึงอยากทำล่ะลูก” เป็นต้น

เพราะการพูดคุยอย่างนี้ทำให้คุณมีโอกาสสอนลูกให้รู้ว่า การย้อมสีผมเส้นผมของเขาต้องถูกสารเคมีต่างๆ สีที่เหมาะสมจะทำ การดูแลรักษา ไปถึงเรื่องราคาเพื่อประกอบการตัดสินใจ และอีกเรื่องสำคัญต้องบอกเขาด้วยคือ “เตรียมคำตอบให้คุณปู่คุณย่า คุณตาคุณยายด้วยนะจ๊ะ”

ที่สุดแล้วหากไม่สามารถให้ลูกทำได้จริงๆ ก็ต้องระวังคำพูดกันหน่อย “แม่เข้าใจนะ แต่แม่ว่า…คุณครูคงไม่อนุญาตแน่ๆ เลย” และ “ถ้าลูกจะไปแอบทำ ลูกก็ต้องรับผิดชอบด้วยตัวเอง เช่น ต้องใช้เงินเก็บตัวเอง และถ้าเมื่อไรที่หนูเบื่อ หนูต้องยุ่งยากอีกทีนะ” เป็นต้น

 

บทความโดย: กองบรรณาธิการนิตยสารเรียลพาเรนติ้ง

3 เคล็ดเสริมทักษะขีดเขียนให้ลูกวัยเรียน

เชื่อว่าคุณแม่หลายคนหนักใจที่ลูกไม่ยอมเขียนหนังสือ เรื่องนี้มีทางออก ไม่ยากค่ะ แค่ต้องปลดล็อกจินตนาการเสียหน่อย และให้โอกาสลูกได้เขียนในสิ่งที่ชอบเท่านั้นแหละ การเขียนก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป

1. เขียนเรื่องของสัตว์เลี้ยง

เจนนี่ เทรค นักเขียนเรื่อง “Don’t forget to Write” แนะนำให้คุณแม่เริ่มต้นด้วยการใช้สัตว์ต่างๆ เป็นตัวละคร ไม่ว่าจะเป็นหมา แมว หรือแม้แต่ปลาตัวน้อยๆ ในโหลแก้ว ก็เป็นตัวละครได้ทั้งนั้นค่ะ

2. เรื่องแนวอวกาศ

เรื่องที่เขียนไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องจริงเสียทั้งหมด ลองให้ลูกได้แต่งเรื่องสนุกจากจินตนาการ เชื่อว่าเด็กๆ จะต้องชอบ ลองเริ่มต้นกับลูกว่า “ถ้ากินทอฟฟี่แท่งนี้หมด ลูกจะไปอยู่บนดาวอังคารนะ! เพี้ยง! ตอนนี้อยู่บนดาวอังคารแล้ว มันมีอะไรบ้างล่ะ ลองเขียนออกมาสิ” นอกจากเขียนแล้วอาจจะวาดรูปร่วมไปด้วยก็ได้ เช่น ลิงอวกาศจะหน้าตาเป็นยังไงนะ บนอวกาศจะมีแมงมุมบ้างไหม

3. ใช้ตัวช่วย

มีวิธีการลับทักษะการเขียนให้คมมากขึ้น เช่น คุณอาจจะถ่ายภาพสวยๆ หรือหยิบภาพจากนิตยสารเล่มโปรดให้ลูกดู แล้วให้เขาลองต่อยอดจินตนาการจากสิ่งเหล่านี้ดูก็ได้

 

คุณแม่ที่อยากให้ลูกเขียนหนังสือเก่งๆ อาจใช้เคล็ดลับต่อยอดจินตนาการจากบรรดาเทพนิยายทั้งหลาย เช่น คนแคระทั้งเจ็ดจะคิดยังไงกับสโนวไวท์นะ บ้านขนมหวานแสนสวยของแม่มดหน้าตาเป็นแบบไหน มีลูกกวาดแบบไหนบ้าง เป็นต้น

 

บทความโดย: กองบรรณาธิการนิตยสารเรียลพาเรนติ้ง

สมองเรียนรู้ได้เต็มที่ เมื่อผ่านการ ” เล่น “

ช่วงแรกเกิดถึง 10 ขวบถือเป็นช่วงสำคัญที่สุดสำหรับการเรียนรู้ เห็นได้จากเด็กๆ เรียนรู้ภาษาต่างประเทศและดนตรีได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย คุณพ่อคุณแม่ทราบไหมคะว่า เด็กปกติเมื่อคลอดมานั้นเกิดมาพร้อมกับจำนวนเซลล์สมองที่เพียงพอต่อการดำรงชีวิตเรียนรู้สิ่งต่างๆ หากเขาได้ฝึกการคิด การปฏิบัติ และใช้สมองในการแก้ปัญหา สมองจะยิ่งสร้างใยประสาทเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นที่มาของความรู้ความสามารถทั้งหลายที่พ่อแม่อยากเห็นลูกมีนั่นเอง แต่ส่วนใหญ่เราจะใช้สมองน้อยกว่าประสิทธิภาพสมองที่มีอยู่

 
จะทำอย่างไรให้ลูกๆ ใช้สมองได้อย่างเต็มที่ ก่อนอื่นจะต้องรู้ว่า สมองจะเรียนรู้ได้ในเวลาที่อารมณ์เป็นบวก ดังนั้นการได้เรียนรู้ผ่านการเล่นเด็กจะรู้สึกสนุก ผ่อนคลาย สมองก็เรียนรู้ได้อย่างเต็มที่

 
Expert said! ทำอย่างไรถึงจะเรียนด้วยความสนุก

 
คนสำคัญที่ขาดไม่ได้ในงานนี้คือ คุณพ่อคุณแม่ ที่จะสรรหากลยุทธ์หลากหลายเพื่อให้ลูกมุ่งสนใจสิ่งที่กำลังเรียนรู้อยู่ สร้างความท้าทาย ความสนุกสนาน ที่สำคัญคือ ให้ลูกได้เชื่อมโยงสิ่งที่เรียนรู้กับชีวิตจริงเสมอ เมื่อเขาเห็นจริงว่าความรู้นั้นมีประโยชน์กับเขา ความอยากรู้ก็จะยิ่งเพิ่มขึ้น โดยคุณพ่อคุณแม่ร่วมเล่นด้วย แต่มีข้อแม้ว่า หากลูกตอบผิดหรือทำในสิ่งที่ผู้ใหญ่มองว่าไม่เข้าท่า อย่าใจร้อนตำหนิเขา เพราะบรรยากาศผ่อนคลายจะหายไป อารมณ์บวกหาย สมองก็ไม่อยากเรียนรู้

 
ดร.สุธาวัลย์ หาญขจรสุข ศูนย์พัฒนาอัจฉริยภาพเด็ก  มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร

 
เรียนวิชาการให้สนุกต้องมีเทคนิค

 

คณิตศาสตร์

 
อนุบาล เช่น เรียนเรื่อง “จำนวน” ด้วยขนมลูกชุบ ให้เด็กหยิบตามจำนวน ฝึกการรวมสิ่งของ (การบวก) การหักลบ ได้เห็นกันชัดๆ เด็กๆ จะรู้สึกสนุก ส่วนใหญ่คงจะต้องหักลบกันบ่อย เพราะหายไปอยู่ในท้องเด็กๆ นั่นเอง

 
ประถมต้น เช่น เรียนเรื่อง “เรขาคณิต” ด้วยการตัดกระดาษสีเป็นรูปเรขาคณิตต่างๆ สามเหลี่ยม สี่เหลี่ยม แล้วนำมาปะติดเป็นภาพ

 
ประถมปลาย เช่น เรียนเรื่อง “เศษส่วน” ด้วยพิซซ่า ให้แบ่งพิซซ่าออกเป็นส่วนๆ จาก  เป็น  และง่ายมากที่จะให้เปรียบเทียบว่าระหว่าง  กับ  แบบใดได้ชิ้นใหญ่กว่ากันเรียนสนุกแบบนี้เพิ่มพลังสมองอย่างไร

 
การได้ลงมือปฏิบัติ คิด และสรุปเป็นองค์ความรู้ของตัวเอง เหล่านี้เป็นการเชื่อมโยงสมองซีกซ้ายและซีกขวาให้ทำงานประสานกัน ทำให้ศักยภาพในการเรียนเพิ่มขึ้นค่ะ

 
ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ

 
อนุบาล เช่น เรียน “พยัญชนะ” ด้วยการใช้นิ้วจุ่มสีน้ำแล้วลากเป็นพยัญชนะ หรือผลัดกันเขียนพยัญชนะที่หลังหรือบนฝ่ามือ

 
ประถมต้น เช่น เรียน “มาตราตัวสะกด” โดยใช้เชือกแปลงร่าง ให้เด็กนำเชือกมาขดเป็นคำต่างๆ ที่สะกดด้วยแม่กบ แล้วนำมาแต่งประโยคหรือเรื่องราวจะช่วยให้จำตัวสะกดที่ไม่ตรงกับมาตราได้ง่ายผ่านการใช้มือสัมผัส การเห็นและการพูด

 
เรียนสนุกแบบนี้เพิ่มพลังสมองอย่างไร

 
การใช้ประสาทสัมผัสหลายด้านร่วมกันนอกจากจะทำให้เด็กสนุกและเกิดความเข้าใจที่ไม่ใช่ความทรงจำที่มาจากการท่องจำแล้ว ยังเป็นการกระตุ้นกล้ามเนื้อสมองหลายๆ ส่วนให้ตื่นตัว เซลล์สมองมีการสื่อสารกันมากขึ้นและเกิดการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อีกด้วย

 
วิทยาศาสตร์

 
วัยอนุบาล เรียนเรื่อง “การจมการลอยของวัตถุ” ด้วยการทดลองหย่อนของลงในน้ำแล้วดูว่าจะจมหรือลอย โดยคุณพ่อคุณแม่ควรตั้งคำถามกระตุ้นให้เด็กสังเกต และคิดตามไปด้วย เช่น “เพราะอะไร…ก้อนหินจึงจมน้ำ แต่ทำไมตุ๊กตาเป็ดลอยน้ำได้”

 
ประถมปลาย เรียนเรื่อง “พลังงานกล” ที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนที่ของวัตถุ โดยการประดิษฐ์พาหนะจากเศษวัสดุ เช่น กล่องนม และใช้แรงยืดของยางหรือสปริงทำให้เคลื่อนที่ได้เรียนสนุกแบบนี้เพิ่มพลังสมองอย่างไร

 
ความสงสัย อยากรู้อยากเห็น เป็นลักษณะพื้นฐานของนักวิทยาศาสตร์

 
ดังนั้นการกระตุ้นให้เด็กเกิดคำถาม จินตนาการ สำรวจ ทดลอง ผ่านทางการเล่น ทำให้เซลล์สมองสร้างเครือข่ายเส้นใยสมองใหม่ๆ แตกแขนงเชื่อมติดต่อกันมากยิ่งขึ้น ทำให้เด็กสามารถสร้างความหมายและความรู้ขึ้นมาได้

 

 

บทความโดย: ดร.สุธาวัลย์ หาญขจรสุข