Page 16 – AMARIN Baby And Kids – เพื่อลูกฉลาดและมีความสุข

สุดยอด เครื่องทำอาหาร อัจฉริยะ เปลี่ยนแม่บ้านแกงถุง ให้เป็นเชฟมืออาชีพ

หากคุณเป็นคนที่ทำอาหารไม่เก่ง แต่อยากให้ลูกได้รับประทานอาหารสดใหม่ อร่อยๆ จากวัตถุดิบคุณภาพ ที่คุณคัดสรรมาเอง ไม่ยากค่ะ เพราะไม่ว่าใครก็เป็นเชฟได้ ด้วยสุดยอด เครื่องทำอาหาร อัจฉริยะ ที่สามารถเปลี่ยนแม่บ้านแกงถุง ให้เป็นเชฟมืออาชีพ ได้เพียงปลายนิ้วสัมผัส

ทีมบรรณาธิการ Amarin Baby & Kids กำลังพูดถึง Thermomix นวัตกรรมหุ่นยนต์ทำอาหารสุดล้ำจากประเทศเยอรมนี ที่จะมาเปลี่ยนชีวิตคุณแม่ที่ทำอาหารไม่เก่งให้กลายเป็นเชฟคนเก่งของลูกน้อย ความสุดจัดของเครืองนี้อยู่ตรงที่สามารถทำสารพัดเมนูทั้งคาว หวาน ได้อย่างง่ายดาย

 

เครื่องทำอาหาร อัจฉริยะ ครบจบในเครื่องเดียวมีอยู่จริง

  • เครื่องทำอาหาร Thermomix มีมากกว่า 20 ฟังก์ชั่น ครบครัน ตอบทุกโจทย์ความต้องการของคุณแม่ เครื่องเดียวทำได้ทั้งผสม ปั่น บด ชั่ง-ตวง นึ่ง ตุ๋น กวน สับ ตี นวด ทำวิปปิ้ง ทำซอส อุ่นร้อน ทำอาหารให้สุก รวมไปถึงนวดแป้ง และอีกหลายฟังก์ชั่น
  • ช่วยประหยัดเวลา ประหยัดแรง ในการเตรียมและทำอาหาร สะดวก รวดเร็ว และที่สำคัญได้อาหารที่อร่อย น่ารับประทาน ฝีมือระดับเชฟเลยทีเดียว
  • มาพร้อมสูตรอาหารจากทั่วโลก กว่า 90,000 สูตร เพียงเลือกเมนูที่ต้องการ และทำตามที่เครื่องบอกทีละขั้นตอน เพียงเท่านี้ก็สามารถสร้างสรรค์สารพัดเมนูแสนอร่อยเพื่อลูกน้อยและทุกคนในครอบครัวได้แล้ว

 

  • ประหยัดพื้นที่ใช้สอย เหมาะสำหรับบ้านที่มีพื้นที่จำกัด เพราะ Thermomix สามารถแทนที่อุปกรณ์ครัวได้ถึง 24 ชนิดในเครื่องเดียว
  • สะดวกในการเก็บล้างทำความสะอาด ตอบโจทย์บ้านที่ชอบทำอาหาร แต่ไม่อยากเหน็ดเหนื่อยกับการเก็บล้าง ด้วย Thermomix เพียงเครื่องเดียว คุณแม่ไม่ต้องเก็บล้างอุปกรณ์ครัวมากมายจนหมดแรงอีกต่อไป
  • มีฟังก์ชั่น Pre-Clean ทำความสะอาดเครื่องอัตโนมัติ ช่วยให้เครื่องสะอาดได้ถึง 90% แบบไม่ต้องเปลืองแรงคุณแม่

 

ด้วยนวัตกรรมสุดล้ำที่ช่วยให้ชีวิตคุณแม่ง่ายขึ้นและสามารถเลี้ยงลูกอย่างมีความสุขแบบนี้ ทีมบรรณาธิการ พิจารณาแล้วว่าเข้าตามหลักเกณฑ์ในสาขา Innovation ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคุณแม่ยุคใหม่ เพื่อช่วยให้คุณแม่ดูแลลูกน้อยได้อย่างเหมาะสม และยังเป็นคุณแม่ที่มีความสุขไปพร้อมกัน ทั้ง Inventionการเป็นนวัตกรรมที่ได้รับการประดิษฐ์ คิดค้น และสร้างสรรค์ใหม่ที่สร้างขึ้นให้ใช้งานได้จริง Initiative นวัตกรรมสำหรับแม่ลูกที่เกิดจากไอเดียใหม่ และ Valuable นวัตกรรมสำหรับแม่ลูกทรงคุณค่าที่มีทั้งประสิทธิภาพ และเอิ้อประโยชน์ต่อการเลี้ยงลูกของพ่อแม่ยุคใหม่

Amarin Baby & Kids จึงคัดเลือกให้ Thermomix ได้รับรางวัลนวัตกรรมหุ่นยนต์ทำอาหาร BEST INNOVATIVE MULTI FUNCTION KITCHEN ROBOT สาขา Innovation จาก “Amarin Baby & Kids Awards 2023”

สามารถติดต่อ Thermomix Thailand เพื่อชมการสาธิตเครื่อง หรือทดลองใช้ เครื่องทำอาหาร อัจฉริยะ สอบถามรายละเอียดไปได้ที่ โชว์รูม Thermomix Thailand ทองหล่อซอย 9

Facebook : Thermomix Thailand

Instagram : Thermomix_thailand
Website : www.Thailand.Vorwerk-Thermomix.com

สำหรับผู้ที่สนใจเข้ามาลอง Demo ลงทะเบียนได้ที่ https://forms.gle/8edKDPrWk3ikrGcT9

โรงเรียนไผทอุดมศึกษา

โรงเรียนไผทอุดมศึกษา โรงเรียนต้นแบบ เน้นกิจกรรม สร้างสมองเด็กให้แข็งแรงตั้งแต่เล็กๆ

โรงเรียนไผทอุดมศึกษา โรงเรียนที่พัฒนาศักยภาพเด็กโดยมุ่งเน้นการเรียนรู้รูปแบบบูรณาการ และเปิดโอกาสให้เด็กๆ ได้เรียนรู้ตามความสนใจ ความถนัด และพัฒนาไปตามความสามารถของตน

ชื่อ โรงเรียนไผทอุดมศึกษา แปลว่า แผ่นดินที่ทำให้เกิดการศึกษา ก่อตั้งขึ้นเพื่อให้เป็นสถานศึกษาของประเทศ สร้างทรัพยากรมนุษย์ให้มีคุณภาพ เป็นโรงเรียนต้นแบบดีๆที่เน้นให้เด็กๆกระจายกันเป็นกลุ่มและเป็นผู้นำในการทำกิจกรรม หัดตั้งคำถามและค้นหาคำตอบ ทดลองอย่างอิสระโดยมีคุณครูเป็นที่ปรึกษา การเรียนการสอนน่าสนใจขนาดนี้ School Visit จึงอยากพาคุณพ่อคุณแม่มาทำความรู้จักโรงเรียนแห่งนี้กันแบบเจาะลึกที่ โรงเรียนไผทอุดมศึกษากันค่ะ

โรงเรียนไผทอุดมศึกษา เปิดสอนตั้งแต่ระดับชั้นเตรียมอนุบาล – มัธยมศึกษาปีที่ 3 ก่อตั้งโดย พล.ต.อ.เผ่า และ คุณหญิงอุดมลักษณ์ ศรียานนท์ เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2514 ด้วยอุดมการณ์ที่จะสร้างสถานศึกษาที่ดีมีคุณภาพ พัฒนาศักยภาพเป็นรายบุคคล มุ่งเน้นการเรียนรู้รูปแบบบูรณาการ เน้นการเรียนรู้ที่นักเรียนเป็นศูนย์กลางที่มีคุณครูเป็นที่ปรึกษา หน้าที่ของครูคือ  การสังเกต บันทึก และประเมินโดยใช้วิธีที่หลากหลาย ประเมินต่อเนื่อง และ feedback  ผลคือทำให้เกิดการพัฒนาตัวนักเรียนเอง และปรับปรุงคุณภาพการเรียนการสอนของตัวคุณครูเองเช่นเดียวกัน

โรงเรียนไผทอุดมศึกษา โรงเรียนไผทอุดมศึกษา โรงเรียนไผทอุดมศึกษา

บรรยากาศรอบๆ โรงเรียน

การเรียนรู้แบบบูรณาการของเด็กอนุบาล

 

สมรรถนะสู่ศักยภาพ (ของแต่ละคน )

หลักสูตรฐานสมรรถนะเพื่อพัฒนาระบบการศึกษา เป็นหลักสูตรที่โรงเรียนในต่างประเทศใช้มาระยะหนึ่งแล้ว ซึ่งที่แรกคือ ประเทศแคนาดา (รัฐควิเบก) ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2541  แต่สำหรับโรงเรียนในประเทศไทย หลักสูตรนี้เป็นเรื่องค่อนข้างใหม่สำหรับหลายๆโรงเรียน แนวคิดที่ยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลางนี้เองที่จะช่วยเปิดโอกาสให้เด็กๆได้เรียนรู้ตามความสนใจ ความถนัด และพัฒนาไปตามความสามารถของตน โรงเรียนไผทอุดมศึกษา ใช้หลักสูตรสมรรถนะเพื่อพัฒนาระบบการศึกษาและจัดรูปแบบการเรียนการสอนโดยใช้ Active Learning ตั้งแต่ระดับชั้นเตรียมอนุบาล วัย 2-3 ปี  เพื่อปลุกจิตวิญญาน  “นักกิจกรรมตัวน้อย  โดยใช้รูปแบบกิจกรรมต่างๆ

รู้เรา – รู้จักตัวเอง ดูแลตนเอง, ของใช้ส่วนตัว | รู้จักอารมณ์ – จิตใจ โดยใช้ทักษะการเคลื่อนไหว

รู้โลก – ปลูกฝังจริยธรรม ผ่านการเรียนรู้รอบด้าน ชุมชน, สิ่งแวดล้อม, วัฒนธรรม และประเพณี

สื่อสาร – หลักภาษาและทักษะการสื่อสาร

สร้างสรรค์ – จากสถานการณ์จำลอง การทำอาหาร งานประดิษฐ์ ศิลปะ และดนตรี

โรงเรียนไผทอุดมศึกษา โรงเรียนไผทอุดมศึกษา โรงเรียนไผทอุดมศึกษา

นักกิจกรรมตัวน้อย ชั้นเตรียมอนุบาล

 

ส่วนเด็กอนุบาล อายุ 3-6 ปี เน้นกิจกรรมปลุกจิตวิญญาณนักวิทย์ตัวน้อย ด้วยการบูรณาการเพื่อ “พัฒนาพหุปัญญา”

สิ่งสำคัญในการสร้างประสบการณ์ในวัยนี้คือ การเรียนรู้แบบโครงงาน หรือ Project-Based Learning  ที่จะช่วยพัฒนาเด็กๆด้านหลายๆด้าน ช่วยส่งเสริมการคิด-ฟัง-พูด-ลงมือปฏิบัติ เพราะประสบการณ์สอนไม่ได้ แต่สร้างได้

  • นักวิทยาศาสตร์ ถ้าสงสัย ต้องทดลอง จึงจะเกิดผลลัพธ์ = ประสบการณ์
  • สร้างพหุปัญญา หรือ ความรู้ความสามารถหลายด้าน เพราะแต่ละคนมักมีปัญญาด้านใดด้านนึงที่โดดเด่นกว่าเสมอ การกระตุ้นที่ดีและสม่ำเสมอจะทำให้เด็กๆเกิดปัญญา “หลาย หรือ รอบด้าน ผลลัพธ์จากการให้เด็กๆได้ลงมือปฏิบัติ  นอกเหนือจะออกมาในรูปแบบพัฒนาการ ความสามารถและทักษะต่างๆแล้ว  ยังสามารถสะท้อนได้ว่าเด็กชอบหรือไม่ชอบอะไรตั้งแต่ยังเล็กเมื่อค้นพบตัวเองแล้วการต่อยอดเติมเต็มให้ความถนัดโดดเด่นจะไม่ใช่เรื่องยาก

 

เด็กประถม  : ปลุกความเป็นเลิศอันหลากหลาย ตามจุดมุ่งหมายของแต่ละคน

เด็กๆจะได้รับการกระตุ้นให้ “ใช้หลายวิธีคิด” คุณครูจะสอนวิธีคิดหลายแบบ แล้วแต่เด็กๆจะเลือกใช้ตามถนัด ใช้วิธีนี้กับทุกรายวิชาเช่น  “กลยุทธ์การบวกและลบ”  เด็กๆสามารถเลือกใช้วิธีเหล่านี้ได้ทั้งแบบนับนิ้ว  วาดรูป  กรอบสิบ (Ten Frames) หรือทำให้เป็นสิบ แบบคิดในใจ ความคิด(เห็น) ของเด็กๆจะสะท้อนความชอบและตัวตนของเขาคุณครูจะสังเกต ฟัง บันทึก ร่องรอยของความคิดและการเรียนรู้ของแต่ละคน  สุดท้ายจะประมวลออกมาเป็นพัฒนาการของเด็กเมื่อๆเจอสิ่งที่ใช่! แล้ว  คุณครูจะสามารถช่วยกันพัฒนาให้พวกเขาไปถึงศักยภาพอันสูงสุดของตัวเองได้

 

โรงเรียนไผทอุดมศึกษา โรงเรียนไผทอุดมศึกษา โรงเรียนไผทอุดมศึกษา

 การเรียนแบบ Active learning ของเด็กๆ

 

โรงเรียนไผทอุดมศึกษา โรงเรียนไผทอุดมศึกษา โรงเรียนไผทอุดมศึกษา

ผลงานงานฝีมือของนักเรียน ทั้งในคลาสและในโครงงาน

 

 

เด็กมัธยมต้น

รับไม้ต่อจากชั้นประถมศึกษา แต่เข้มข้นขึ้นตามวัย เตรียมพร้อมที่จะลงลึกถึงสาขาที่ชอบและใช่ในช่วงมัธยมปลาย แต่การเรียนรู้แบบโครงงานแบบ Real มากขึ้น  โดยพี่ๆจะได้ออกค่ายลงพื้นที่ทำกิจกรรม  เช่น

“ Project ผจญภัย 7 คาบสมุทร” เปิดโลกทัศน์การค้นหาเพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อมทางทะเล  ณ  อำเภอสัตหีบ  จังหวัดชลบุรี

“ Project วีรบุรุษนายท้ายเรือ พันท้ายนรสิงห์ ” ณ  จังหวัดสมุทรสาคร

 

“สมอง” ไม่ใช่แค่เรื่องวิชาการ

ที่โรงเรียนไผทอุดมศึกษา เน้นการสร้างสมองให้แข็งแรงตั้งแต่เล็กๆ หากจะสร้างคน ต้องเริ่มตั้งแต่ปฐมวัย (2-7 ปี) เพราะเป็นช่วงเวลาทองสำหรับการเรียนรู้ การเจริญเติบโตของสมองเกิดขึ้นในวัยก่อนอนุบาล และการพัฒนาสมองในช่วงวัยนี้จะส่งผล

สืบเนื่องยาวนานไปตลอดชีวิต…พูดแบบบ้านๆ คือ…วัยเด็กเป็นยังไง ก็เป็นผู้ใหญ่อย่างนั้น เพราะว่า…สมองของเด็กๆจะโอบรับและซึมซับประสบการณ์ทุกอย่างที่เข้ามาปะทะ และหล่อหลอมเป็นพฤติกรรมติดตัวเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ สมองที่พร้อม = สมองที่แข็งแรงทั้งทางด้านจิตใจ อารมณ์ จะทำให้เด็กๆมีทัศนคติที่ดีต่อการเรียนรู้ คือ “ความมุ่งมั่น และ ไม่ย่อท้อ”

 

การประเมินผลอย่างสร้างสรรค์

  • เน้นประเมินกระบวนการเรียนรู้หรือระหว่างทางในการเรียนรู้นั่นเอง เช่น ระหว่างการทำกิจกรรม เรียนรู้ด้วยตนเอง หรือการแลกเปลี่ยนความรู้กับเพื่อน จัดว่าเป็นการประเมินที่มองเห็นคุณค่าในความพยายามของแต่ละคน
  • ผลสอบ คือการวัดถูก-ผิด ไม่ได้เป็นคำตอบสุดท้าย ไม่ได้เป็นสัดส่วนหลักในการประเมินค่ะ
  • การประเมินอย่างสร้างสรรค์นี้จะสร้างทัศนคติที่ดีต่อการเรียนของเด็กๆ เพราะเน้นการพัฒนามากกว่าการตัดสินที่ผลการเรียน

 

โรงเรียนไผทอุดมศึกษา

กิจกรรมว่ายน้ำ

โรงเรียนไผทอุดมศึกษา โรงเรียนไผทอุดมศึกษา โรงเรียนไผทอุดมศึกษา

     ห้องสมุดของโรงเรียน อัดแน่นไปด้วยหนังสือคุณภาพ

โรงเรียนไผทอุดมศึกษา

คุณพริ้มพราย สุพโปฎก (ประธานกรรมการบริหารและผู้รับใบอนุญาต)

โรงเรียนไผทอุดมศึกษา

คุณรัชยา  สุพโปฎก (ผู้อำนวยการฝ่ายนวัตกรรม)

 

Mommy’s Love This !  ถูกใจแม่

  • Active Learning กระตุ้นคิด สร้างนิสัยใฝ่รู้ ค้นหาคำตอบ ลองได้ทุกเรื่องให้หายสงสัย ภายใต้การดูแลความปลอดภัยของคุณครูค่ะ
  • โรงเรียน “มุ่งมั่น” ในการพัฒนาศักยภาพเป็นรายบุคคล โดยไม่มีเด็กๆคนไหนถูกปล่อยไว้ข้างหลังเลยค่ะ
  • ใส่ใจการพัฒนาสมองตั้งแต่เล็กๆ กิจกรรม อาหาร สภาพแวดล้อมเอื้อต่อการพัฒนาสมองเป็นอย่างดี
  • De-Schooling การทำให้โรงเรียนไม่เหมือนโรงเรียน เด็กๆจะมีทัศนคติที่ดีต่อการมาโรงเรียนค่ะ
  • ศูนย์เพื่อนเด็ก (นักจิตวิทยา) ดูแลเด็กนักเรียนทั่วไป รวมไปถึงเด็กที่มีพัฒนาการไม่สมดุล เพราะจิตใจที่เข้มแข็งเองก็คือส่วนหนึ่งของการเรียนรู้

 

5 สิ่งที่ทำให้เด็กๆอยากมาโรงเรียนทุกวัน

  1. FUN : Board Games | E-Sports เล่นคนเดียว หรือเล่นเป็นกลุ่มก็จัดไป คุณครูก็เล่นด้วยนะคะ
  2. EDUTAINMENT : Tiktoker Youtuber  Film-Producer  อยากลองอะไร  ทำอะไร  โรงเรียนให้ทุกอย่าง  ก็เพราะมันเป็นประสบการณ์
  3. ทุกวิชา ไม่มีคำว่าน่าเบื่อ  เพราะบูรณาการทุกศาสตร์กันจริงๆ  ก็ต้องมีถูกจริตกันบ้างล่ะ
  4. De-Schooling โรงเรียนไม่ใช่แค่  คุณครู  กระดาน  การบ้าน  แต่เป็นเหมือนห้องทดลอง  ให้ได้มามองอะไรใหม่ๆ
  5. การสอบ ไม่ใช่คำตอบสุดท้ายอีกต่อไป  เพราะมาเรียนเพื่อรู้  ไม่ได้มาเรียนเพื่อสอบ

 

 

 

โรงเรียนไผทอุดมศึกษา ค่าเทอม  ค่าธรรมเรียมการศึกษาและค่าธรรมเนียมอื่นๆ ประจำปีการศึกษา 2567

  • หลักสูตร  HUB  ระดับชั้นเตรียมอนุบาล  28,500  บาทต่อเทอม
  • หลักสูตร  Inspire  ระดับชั้น อ.1-3  35,000  บาทต่อเทอม
  • หลักสูตร  Inspire ระดับชั้น ป.1-6  41,000  บาทต่อเทอม
  • หลักสูตร  Inspire Gifted  ระดับชั้น ป.1-6  45,000  บาทต่อเทอม
  • หลักสูตร  International  ระดับชั้น ป.1-6  80,000  บาทต่อเทอม

ข้อมูลที่อัพเดทและละเอียด กรุณาสอบถามเพิ่มเติมโดยตรง

 

ที่อยู่

โรงเรียนไผทอุดมศึกษา

เลขที่ 201 ถนนวิภาวดีรังสิต  เขตหลักสี่  กรุงเทพมหานคร

โทร. 0-2521-1457-8
FAX. 0-2551-2233
http://www.patai.ac.th
E-Mail : [email protected]

 

Editor : แม่พลอยผิง

ภาพ : ฤทธิรงค์ จันทองสุข


อ่านต่อบทความน่าสนใจ

DHA

DHA สารอาหารที่คุณแม่ยุคใหม่ ไม่ควรพลาด

สมอง เป็นอวัยวะแรกๆ ที่ทารกเริ่มสร้างตั้งแต่เดือนแรกที่ปฏิสนธิ ดังนั้นแล้วเหล่าคุณแม่จึงควรให้ความสำคัญต่อพัฒนาการ ของสมองในลูกน้อยๆ ตั้งแต่ยังไม่คลอดออกมา จนถึง 3 ปีแรก ซึ่งเป็นช่วงสำคัญต่อพัฒนาการของสมองเด็กๆ โดยมีการศึกษาค้นพบว่า 40% ของกรดไขมันในสมอง และ 60% ของกรดไขมันในประสาทตา มี DHA เป็นส่วนประกอบ จึงทำให้สารอาหารชนิดนี้ สำคัญเป็นอย่างมากต่อสมองและสายตา

แต่! มีเรื่องที่น่าตกใจคือ จากงานวิจัยพบว่าในทุกวันนี้ ไม่ว่าจะเป็น เด็ก ผู้ใหญ่ รวมถึงคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ล้วนแต่ได้รับ DHA ที่ไม่เพียงพอ จึงส่งผลต่อพัฒนาการทางสมองและสายตา รวมถึงก่อให้เกิดปัญหาทางสมองและสายตาตามมาด้วย เมื่อ DHA มีความสำคัญขนาดนี้แล้ว เราจึงควรไปทำความรู้จักกันเสียหน่อยดีกว่าค่ะ ว่าแท้จริงแล้วคืออะไร และควรได้รับในปริมาณเท่าไหร่จึงจะเพียงพอต่อพัฒนาการที่ดี

DHA สารอาหารสำคัญ ตั้งแต่ในครรภ์ จนถึงสูงวัย

DHA หรือชื่อเต็มคือ Docosahexaenoic Acid เป็นกรดไขมันชนิดหนึ่งในกลุ่ม โอเมก้า 3 ที่มีความสำคัญอย่างมาก เพราะร่างกายไม่สามารถผลิตได้เอง ได้รับจากการทานอาหารเท่านั้น  โดยอาหารที่มี DHA เป็นจำนวนมากคือ ในกลุ่มปลาทะเล เช่น ปลาทูน่า ปลาแมคคอเรล ปลาแซลมอน เป็นต้น

ความสำคัญของ DHA คือ มีเป็นส่วนประกอบของทุกเซลล์ ช่วยในการทำงานของระบบประสาทและสมอง รวมถึงสายตา จึงมีความสำคัญต่อทุกเพศ ทุกวัย และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ หญิงให้นมบุตร และทารก จนถึง 3 ขวบ ซึ่งหากได้รับไม่เพียงพอ อาจส่งผลให้เกิดปัญหาต่อสมองและสายตาได้

สำหรับทารกที่ได้รับ DHA ไม่เพียงพอ อาจก่อให้เกิดปัญหาได้ต่อทั้งสมอง และสายตา คือ

  1. มีไอคิวลดต่ำลง
  2. พัฒนาการช้า ทั้งในด้านการอ่าน และการเขียน
  3. อาจเกิดโรคสมาธิสั้น และขาดการยับยั้งชั่งใจ จนเกิดปัญหากลายเป็นเด็กก้าวร้าว
  4. การมองเห็นลดลง หรืออาจเป็นโรคตาบอดกลางคืน

ดังนั้นแล้ว องค์การอนามัยโลก WHO จึงมีคำแนะนำให้คุณแม่ตั้งแต่เริ่มตั้งครรภ์ จนกระทั่งหลังคลอด และช่วงให้นมลูกน้อย ควรได้รับ DHA ในปริมาณ 200-300 มิลลิกรัมต่อวัน และเพิ่มได้ถึง 500 มิลลิกรัม ในช่วง 3 เดือนสุดท้ายก่อนคลอด

ทำไมต้องเสริม DHA ตั้งแต่ในครรภ์ ?

คำตอบนั้นง่ายมาก เนื่องจากทารกในครรภ์จะได้รับ DHA ผ่านทางรกอาหารเพื่อนำไปใช้พัฒนาตัวอ่อนนั่นเอง ไม่ว่าจะเป็นในด้าน

  • ช่วยในการสร้างเซลล์สมอง
  • ช่วยในพัฒนาการทางสมองของทารก
  • ช่วยในการพัฒนาระบบประสาท และตา

ซึ่ง DHA ไม่เพียงสำคัญต่อพัฒนาการเท่านั้น แต่ยังช่วยเพิ่มน้ำหนักตัว และลดความเสี่ยงการคลอดก่อนกำหนดอีกด้วย โดยในช่วง 3 เดือนสุดท้ายก่อนคลอด ทางองค์การอนามัยโลก WHO แนะนำให้คุณแม่ควรได้รับ DHA เพิ่มขึ้นก็เป็นผลมาจากการที่ เป็นช่วงที่ทารกต้องการ DHA ในปริมาณสูง เพื่อเสริมพัฒนาการสมอง ระบบประสาท และสายตา เพื่อเตรียมพร้อมจะออกมาเจอหน้าคุณพ่อ คุณแม่แล้วค่ะ

DHA

เมื่อคลอดออกมาแล้ว ความต้องการ DHA ของคุณแม่ และคุณลูกยังไม่จบ เพราะในช่วง 3 ปีแรก และในช่วงที่ยังให้นมลูก คุณแม่ และเด็กๆ ยังต้องการ DHA ปริมาณ 300 มิลลิกรัมต่อวัน เพื่อมอบสารอาหารที่สำคัญต่อพัฒนาการในช่วงเวลาทองของเด็กๆ ซึ่งมีผลทดสอบทางการแพทย์ว่า เด็กๆ ที่ได้รับ DHA ในปริมาณที่เพียงพอ ตั้งแต่ใน 5 เดือนแรกในครรภ์ จนถึงวัยกินนมแม่ เมื่อเข้ารับการทดสอบสติปัญญาในวัย 4 ขวบ พบว่า มีพัฒนาการที่ดีกว่าเด็กที่คุณแม่ไม่ได้รับ DHA ในช่วงตั้งครรภ์ และให้นมบุตร

DHA ไม่เพียงดีต่อคุณลูก แต่ยังสำคัญต่อคุณแม่

DAH ไม่เพียงสำคัญต่อพัฒนาการของทารกตั้งแต่ในครรภ์เท่านั้น แต่ยังสำคัญต่อคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ด้วย คือ

  • ช่วยบำรุงสมอง สายตา และระบบประสาทของคุณแม่
  • ช่วยบำรุงหัวใจ และหลอดเลือด
  • เสริมภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย ทำให้ไม่ป่วยง่าย และป้องกันการติดเชื้อ
  • ลดภาวะซึมเศร้าระหว่างตั้งครรภ์ และหลังคลอด ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญสำหรับจิตใจคุณแม่เลยนะคะ เพราะหากเกิดขึ้นอาจส่งผลต่อการดูแลลูกๆ ได้นะคะ

DHA เลือกยังไงให้ปลอดภัย ได้ประโยชน์

เพราะ DHA มีความสำคัญขนาดนี้แล้ว การเลือกให้คุณแม่ในช่วงตั้งครรภ์ และเด็กๆ จึงควรต้องเลือกอย่างระมัดระวัง และอ่านฉลากเพื่อความมั่นใจ โดยมีคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญคือ

  1. เลือกที่ได้รับการรับรองมาตรฐานการผลิต ต้องเป็นผลิตภัณฑ์ที่ผลิตด้วยมาตรฐานยาที่ได้รับการรับรอง เพื่อมั่นใจได้ว่า ปราศจากสารปนเปื้อนซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพ และทำให้เกิดโรคร้ายแรง เช่น ปรอท ตะกั่ว สารหนู และเชื้อโรคต่าง ๆ
  2. สกัดจากปลาทะเลน้ำลึก ควรเลือกที่ผลิตจากปลาทะเลน้ำลึก และเพื่อคุณค่าทางสารอาหาร และความบริสุทธิ์ปลอดภัยไร้สารปนเปื้อน ควรเลือกเป็นปลาทะเลน้ำลึกในเขตหนาว เช่น จากไอซ์แลนด์ เป็นต้น ที่ไม่เพียงเป็นทะเลที่บริสุทธิ์ แต่ยังให้ DHA ในปริมาณสูง
  3. มาจากปลาทูน่า เนื่องจากในน้ำมันปลาทูน่ามีองค์ประกอบที่พอเหมาะของ DHA และ EPA ซึ่งเป็นสารสำคัญในการส่งเสริมการทำงานของ DHA ในสัดส่วน 25 : 7 จึงช่วยเสริมพัฒนาการของสมองและสายตาได้เป็นอย่างดี
  4. ผลิตภายใต้มาตรฐานยาระดับสากล แน่นอนว่าผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานสากลย่อมทำให้การบริโภคมั่นใจได้ดีกว่า โดยมาตรฐานที่ควรได้รับคือ
    1. GMP จากประเทศไทย
    2. BfArM จากประเทศเยอรมนี
    3. TGA จากประเทศออสเตรเลีย

เห็นเกณฑ์การเลือกซื้อแบบนี้แล้ว เหล่าแม่ๆ พ่อๆ ที่เตรียมจะไปซื้อผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร DHA มาเสริมพัฒนาการอาจกำลังปวดใจ ว่าแล้วจะไปหาจากไหน แอดมีแนะนำนะคะ ก็คือ DHA จากบ้าน MEGA We care ซึ่งไม่เพียงได้รับมาตรฐานยาสากล และผลิตภายใต้การรับรองมาตรฐานการผลิตเท่านั้น แต่ยังมีสัดส่วนองค์ประกอบที่ควรถ้วนในสัดส่วนที่พอดี

DHA

DHA ผลิตจากน้ำมันปลาทูน่า ที่มี DHA 125 มิลลิกรัม และ EPA 35 มิลลิกรัม ไม่เพียงเท่านั้นยังมีวิตามินอีอีกด้วย สำหรับปริมาณที่แนะนำคือ

  • คุณแม่ที่เริ่มตั้งครรภ์จนถึงใกล้คลอด รับประทาน 1-2 แคปซูล /วัน
  • คุณแม่ที่ให้นมบุตร รับประทาน 1-2 แคปซูล / วัน
  • เด็กน้ำหนักตัว 3-5 กก. รับประทาน 1-2 แคปซูล /วัน

โดยรับประทาน ครั้งละ 1 แคปซูล วันละ 2-3 ครั้ง พร้อมอาหาร

เพียงเท่านี้ ก็สามารถดูแลลูกน้อยตั้งแต่ในครรภ์ ไปพร้อมกับให้คุณแม่ได้ดูแลตัวเอง ได้อย่างมั่นใจในมาตรฐานและความปลอดภัยได้แล้วค่ะ

สามารถหาซื้อได้ง่ายที่  : https://shopee.co.th/universal-link/product-i.935275963.23018132580?deep_and_web=1&utm_campaign=s935275963_ss_th_webs_dhawebsite&utm_source=website&utm_medium=seller&utm_content=dhawebsite&smtt=9

เครื่องปั๊มนม

เปิดตัวนวัตกรรม เครื่องปั๊มนม 2 รุ่นใหม่! ฉีกทุกกฎในการปั๊มนม

เมื่อวันที่ 28 มกราคม 2567 ผู้ผลิตและจัดจำหน่าย เครื่องปั๊มนม แบรนด์ไทยยอดฮิตอย่าง “Attitude Mom” นำโดย นางสาวสุรีย์ คุณมงคลวุฒิ กรรมการผู้บริหาร Attitude Mom จัดงาน “New World of Breast Pump 2024”เครื่องปั๊มนม

เครื่องปั๊มนม

เพื่อส่งมอบนวัตกรรมใหม่ ๆ ให้ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ของคุณแม่แบบไม่มีสะดุด พร้อมเปิดตัว 2 ผลิตภัณฑ์ใหม่ล่าสุด อย่าง เครื่องปั๊มนม ไฟฟ้า Attitude Mom รุ่น Galaxy lll และ เครื่องปั๊มนมไร้สายแบบนอนปั๊ม Attitude Mom รุ่น Sleep Well ฉีกทุกกฎในการปั๊มนม ให้คุณแม่นอนปั๊มได้สบายกว่า พร้อมร่วมฟังทริคการเลี้ยงดูลูกจากคุณแม่ซุปตาร์ “คุณก้อย รัชวิน”

เครื่องปั๊มนม

และยังมีเหล่าคุณแม่อินฟลูเอนเซอร์ยุคใหม่ อาทิ คุณแอร์ ภัณฑิลา ฟูกลิ่น, คุณน้ำฝน พัชรินทร์ วิทยาปัญญานนท์, คุณน้ำฝน อัญรินทร์ หิรัญพรฐานนท์ หรือ คุณน้ำฝน กุลณัฐ ตบเท้าเข้าร่วมงานอย่างคับคั่ง

นอกจากนี้ยังมีการมอบรางวัล “Attitude Mom Partner Of The Year 2024” ซึ่งจัดขึ้นเป็นปีแรก เพื่อเป็นการตอบแทนความตั้งใจของตัวแทนคู่ค้าและพาร์ทเนอร์ทั้งในไทยและต่างประเทศ โดยแบ่งรางวัลออกเป็น 5 ประเภท ได้แก่

1. Best Social Media Channel ช่องทางโซเซียลที่ดีที่สุด
ได้แก่ Baby Outlet

2. Best Seller ช่องทางคู่ค้าที่ขายดีที่สุดในปีที่ผ่านมา
ได้แก่ Pump Nom Happy

3. Best Performance รางวัลการดำเนินการดีที่สุด
ได้แก่ Central Department Store

เครื่องปั๊มนม
4. Best Performance On Social Media รางวัลการดำเนินการช่องทางโซเซียลที่ดีที่สุด
ได้แก่ theAsianparent Thailand

5. Best Performance Marketing รางวัลการดำเนินการด้านการตลาดดีที่สุด
ได้แก่ Lazada

6. Best Online Sale รางวัลยอดขายสูงสุดในช่องทางออนไลน์
ได้แก่ Shopee

🐑 Follow us🐑
Line Official : @attitudemom
Instagram : attitudemom_thailand
Youtube : Attitude Mom Thailand Official
Tiktok : attitudemom_thailand

#เครื่องปั๊มนมที่คุณแม่เลือก #แม่นักปั๊ม #Attitudemom #Mirrorlight #Littleplusproll #นมแม่ #breastpump #เครื่องปั๊มนม #นมแม่ดีที่สุด #ปั๊มนม #Easylifell #Plentitude #Plentydrinkplus #SleepWell #SleepPump #GalaxyIII #เครื่องปั๊มนมแบบนอนเจ้าแรกของโลก

นิทาน แสนสนุก สร้างความสัมพันธ์ที่ดีในครอบครัว

รู้หรือไม่ นิทานช่วยสร้างความสัมพันธ์ในครอบครัว และช่วยพัฒนาให้ลูกเก่ง

คุณพ่อคุณแม่รู้หรือไม่ว่า ช่วงที่สามารถเสริมพัฒนาการลูกน้อยได้อย่างเต็มประสิทธิภาพคือ ช่วง 0-6 ปี ซึ่งช่วงนี้จะต้องดูแลเอาใจใส่เด็กๆ เป็นอย่างมาก ทั้งเรื่องร่างกายและจิตใจ ทาง Prudential Thailand และ UNICEF Thailand  เห็นถึงความสำคัญของเรื่องนี้ ที่ผ่านมาจึงร่วมมือกันแนะนำแนวทางการดูแลเด็ก ๆ ผ่านแคมเปญ เลี้ยงถูกลูกดี ตามแนวทางการดูแลเด็กอย่างเอาใจใส่ 5 ด้านไว้มากมายและเป็นประโยชน์อย่างมาก ให้คุณพ่อคุณแม่ ผู้ดูแลเด็กทำตามได้ง่ายๆ เพื่อส่งเสริมพัฒนาการของเด็กเล็ก

ทาง Prudential Thailand และ UNICEF Thailand เล็งเห็นถึงความสำคัญของนิทาน ซึ่งถือเป็นเครื่องมือหนึ่งที่ช่วยเสริมสร้างพัฒนาการให้เด็กช่วงวัยนี้ได้ดีที่สุดขึ้นมา จึงได้มีการจัดทำหนังสือนิทานกุ๋งกิ๋ง นิทาน แสนสนุก ที่เด็ก ๆ ชื่นชอบเป็นตอนพิเศษ ชื่อว่า วันแสนสนุกของกุ๋งกิ๋ง โดยจะไม่เหมือนกับหนังสือนิทานกุ๋งกิ๋งตอนอื่นๆ เพราะหนังสือนิทานเล่มนี้มีการสอดแทรกแนวทางการเลี้ยงดูเด็ก ๆ อย่างเอาใจใส่ 5 ด้าน ผ่านสถานการณ์ที่หลากหลายเพื่อเป็นความรู้ให้กับทั้งพ่อแม่ และ ตัวเด็ก ๆ เอง และที่สำคัญ หนังสือนิทานเล่มนี้ไม่มีจำหน่ายที่ไหน มีเฉพาะกิจกรรมแจกฟรี ในช่วงวันเด็กที่ผ่านมา

เรามาดูกันค่ะว่า แนวทางการดูแลเด็กอย่างเอาใจใส่ 5 ด้านนี้มีอะไรบ้าง

1. มีสุขภาพดี – จากในหนังสือนิทานจะเห็นว่ากุ๋งกิ๋งเป็นเด็กอารมณ์ดี พ่อแม่ดูแลและส่งเสริมให้มีสุขภาพดีทั้งกายและใจ ใช้เวลาครอบครัวอย่างมีคุณภาพ ชวนเล่นและพูดคุยกับกุ๋งกิ๋งอย่างสม่ำเสมอ

 

2. มีโภชนาการเพียงพอ – ให้ลูกได้รับประทานอาหารอย่างเหมาะสมตามช่วงวัยและ เสริมพัฒนาการได้ด้วยเช่นในหนังสือนิทาน จะมีตอนหนึ่งที่กุ๋งกิ๋งทำอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายกับคุณพ่อ และยังกินข้าวพร้อมหน้าทั้งครอบครัวอีกด้วย

 

3. การปกป้องคุ้มครองและความปลอดภัย – คุณพ่อคุณแม่สามารถทำได้ตั้งแต่ลูกลืมตาดูโลกเลยค่ะ โดยการที่เด็กมีพื้นที่ปลอดภัยสำหรับเล่นตามพัฒนาการ รวมถึงคุณพ่อคุณแม่และผู้ปกครองเอง ก็มีหน้าที่ที่ต้องดูแลความปลอดภัยของเด็กได้อย่างใกล้ชิด เหมือนกุ๋งกิ๋งที่ไปเล่นที่สนามเด็กเล่น ก็จะมีพ่อแม่คอยสังเกตอยู่เสมอ

 

4. โอกาสเข้าถึงการเรียนรู้ ทั้งที่บ้าน และสถานพัฒนาเด็ก – การที่เด็กได้มีปฏิสัมพันธ์กับบุคคล สิ่งของ หรือสิ่งแวดล้อมรอบตัว จะส่งผลต่อพัฒนาการสมองของเด็กๆ กุ๋งกิ๋งได้ทำกิจกรรมต่าง ๆ ทั้งในและนอกบ้าน เช่น ทำอาหาร พูดคุย อ่านหนังสือนิทานกับพ่อแม่ หรือการออกไปทำกิจกรรมเสริมพัฒนาการนอกบ้านที่สนามเด็กเล่น

 

  1. การดูแลตอบสนองอย่างใส่ใจ ต่อความต้องการและความรู้สึกของเด็ก – การดูแลแบบตอบสนอง หรือ Responsive Caregiving ช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดคือช่วง 0-2 ขวบ หากคุณพ่อคุณแม่เข้าใจ และตอบสนองสัญญาณต่างๆ ได้อย่างเหมาะสม ก็จะช่วยส่งเสริมแนวทางอีก 4 ด้านที่กล่าวมาอีกด้วย พ่อแม่ของกุ๋งกิ๋งมีวิธีเลี้ยงดูแบบตอบสนองต่อเด็กเป็นอย่างดี สังเกตสัญญาณต่าง ๆ และตอบสนองอย่างเหมาะสมในทุกเหตุการณ์ ไม่ว่าจะเป็นการให้โอกาสกุ๋งกิ๋งตัดสินใจ การคอยสังเกตกุ๋งกิ๋งไม่ว่าจะกุ๋งกิ๋งจะทำอะไร ทำให้กุ๋งกิ๋งมีความเขื่อมั่นในตนเองและกล้าที่จะรับผิดชอบในสิ่งที่ตนเองตัดสินใจ

 

การอ่านนิทานให้ลูกฟัง เป็นกิจกรรมครอบครัวที่มีประสิทธิภาพมาก ๆ ค่ะ คุณพ่อคุณแม่สามารถใช้เวลาร่วมกันในการอยู่กับลูก สร้างปฏิสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ตอบคำถามที่ลูกสงสัยในนิทาน เป็นการสื่อสารสองทางระหว่างกัน นอกจากนี้นิทานยังช่วยปลูกฝังความคิดบวกและนิสัยรักการอ่าน กระตุ้นพัฒนาการ ฝึกสมาธิ และส่งเสริมจินตนาการของเด็กๆ ให้กุ๋งกิ๋งเป็นตัวอย่างของเด็กๆ ที่จะบอกความต้องการในเรื่องต่างๆ การร่วมกันทำกิจกรรมในครอบครัว และการตัดสินใจด้วยตัวเอง

 

และล่าสุดในวันเด็กแห่งชาติเมื่อ 13 มกราคม 2567 ที่ผ่านมา ถือว่าเป็นวันพิเศษของเด็กๆ ทาง Prudential Thailand และ UNICEF Thailand ได้ร่วมกันจัดกิจกรรมกับทาง TK Park อุทยานการเรียนรู้ ที่ห้างสรรพสินค้าเซนทรัลเวิลด์ มาพร้อมกับกิจกรรมมากมายที่ให้เด็ก ๆ และผู้ปกครองได้ร่วมสนุกกัน รวมถึงมีการแจกหนังสือนิทาน “วันแสนสนุกของกุ๋งกิ๋ง” ภายในงานอีกด้วย

หากใครที่พลาดโอกาสได้รับหนังสือนิทานเมื่อช่วงวันเด็กที่ผ่านมา
ยังสามารถไปติดตามได้ที่ Facebook Prudential Thailand

https://pruthai.life/FYVX 

มาเลี้ยงลูกให้ถูก ให้ลูกดีไปด้วยกัน ทุกวันแฮปปี้กว่า

Tags

Anglo Singapore International School

Anglo Singapore International School โรงเรียนนานาชาติ หลักสูตรสิงคโปร์และสหราชอาณาจักร ตอบโจทย์ทุกการเรียนรู้

Anglo Singapore International School โรงเรียนที่ตั้งใจฟูมฟักและสร้างแรงบันดาลใจ มุ่งมั่นสร้างประสบการณ์ หลักสูตรที่ผสมผสานผลลัพธ์ทางวิชาการที่เข้มข้นและสนับสนุนผู้เรียนอย่างเหมาะสม เพื่อแสดงศักยภาพได้อย่างเต็มที่และเติบโตเป็นผู้นำของสังคม

Anglo Singapore International School

School visit ครั้งนี้เรามาเปิดรั้วเยี่ยมชมโรงเรียนที่มีสถานที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองสุดยอด หนึ่งในทำเลที่ยอดเยี่ยมที่เหล่าผู้ปกครองต่างมองหาให้ลูกกันค่ะ โรงเรียนแห่งนี้มีชื่อว่า โรงเรียนนานาชาติแองโกลสิงคโปร์ ที่ตั้งอยู่ท้ายซอยสุขุมวิท 31 ซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงเรียนสาขาแรก ตลอดระยะเวลาการเติบโตอย่างต่อเนื่องกว่า 20 ปีที่ผ่านมานั้น ทำให้ โรงเรียนนานาชาติแองโกลสิงคโปร์ ได้ขยายสาขาเพิ่มขึ้นจำนวน 2 แห่ง คือ โรงเรียนนานาชาติแองโกลสิงคโปร์ สุขุมวิท 64 และ โรงเรียนนานาชาติแองโกลสิงคโปร์ จังหวัดนครราชสีมา เริ่มต้นจากเป็นโรงเรียนขนาดเล็กจากนักเรียนเพียง 4 คน ที่มีการเรียนการสอนให้ชาวสิงคโปร์ที่พำนักอาศัยในประเทศไทย

โดยมุ่งเน้นมาตรฐานทางวิชาการตามหลักสูตรสิงคโปร์และหลักสูตรสหราชอาณาจักร ทำให้โรงเรียนนานาชาติแองโกลสิงคโปร์เติบโตทั้งขนาดและขยายระดับชั้นในการจัดการเรียนการสอนและพัฒนาแนวปฏิบัติในการจัดการศึกษาเสมอมา จนในปัจจุบันนี้จำนวนนักเรียนทั้ง 3 สาขามีจำนวนมากกว่า 1,600 คน ประกอบด้วยนักเรียน 20 สัญชาติ  และด้วยค่านิยมหลักของโรงเรียน คือ ความหมั่นเพียร ความเคารพ ความรับผิดชอบ และความก้าวหน้า ที่มาพร้อมกับความเป็นเลิศทางด้านวิชาการทำให้โรงเรียนแห่งนี้เป็นสถานศึกษานานาชาติชั้นนำในแวดวงการศึกษานานาชาติของประเทศไทยอีกด้วย

บรรยากาศภายในโรงเรียนนั้นเต็มไปด้วยสีสันที่สะดุดตา การตกแต่งอาคาร บริเวณโรงเรียน รวมถึงห้องเรียนที่ช่วยกระตุ้นให้บรรยากาศการเรียนการสอนดูสนุกและน่าเรียนรู้ ไม่ว่าจะเป็น สนามกีฬา สนามเด็กเล่น ห้องสมุด ห้องเรียนรู้ต่างๆ ที่ออกแบบให้ดูสดใสและสอดคล้องกับหลักสูตรการเรียนในทุกระดับชั้น และด้วยสถานที่ตั้งที่อยู่ใจกลางเมืองและแนวคิดการเรียนการสอนที่ดีขนาดนี้ ทีมแม่ ABK พามาดูกันค่ะว่าโรงเรียนนานาชาติแองโกลสิงคโปร์ มีแนวคิดและหลักสูตรอะไรกันบ้าง

ความหมั่นเพียร ความรับผิดชอบ ความเคารพ ความก้าวหน้า 4 หัวใจหลักของแองโกล

การประสบความสำเร็จในชีวิตนั้น เราต่างรู้ดีกว่าบางครั้งมาจากคุณลักษณะนิสัยพื้นฐานบางประการที่ประกอบรวมกันเป็นความแข็งแรงทางความคิด เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเรียนรู้และทำให้เด็กๆ มีวิธีการนำพาตัวเองไปสู่เส้นทางความสำเร็จของตนตามทีฝันและปรารถนาไว้ ดังนั้นเป้าหมายสำคัญและค่านิยมหลักของโรงเรียนนานาชาติแองโกลจึงมีหัวใจหลักที่เป็นสิ่งหล่อหลอมคุณภาพของนักเรียนในทุกๆช่วงวัยตามระดับชั้น รวมถึงทุกๆพื้นที่ของโรงเรียนนานาชาติแองโกลบอลสิงคโปร์ทั้ง 3 สาขา ดังนี้

  1. มุ่งปลูกฝัง “ความหมั่นเพียร” ตั้งใจเรียนอย่างบากบั่นและสำเร็จทุกเป้าหมาย
  2. มุ่งหมายให้ใช้ชีวิตด้วย “ความรับผิดชอบ”ต่อธรรมชาติและสังคมเพื่อความยั่งยืน
  3. มุ่งหวังให้มี “ความเคารพ” ต่อผู้อื่นทั้งในและนอกโรงเรียน
  4. ต่อยอด “ความก้าวหน้า”สู่การเป็นผู้เรียนที่เป็นนักคิด มีความสร้างสรรค์และเป็นนักเรียนรู้ภาษาที่ประสบความสำเร็จ

Anglo Singapore International School Anglo Singapore International School

เรียนเพื่อคิด คิดเพื่อเรียนรู้

เรียนเพื่อคิด คิดเพื่อเรียนรู้ คือคติพจน์ของโรงเรียน ที่เน้นให้ความสำคัญกับการเรียนรู้และกระบวนการคิดวิเคราะห์ ซึ่งเป็นแนวคิดและหัวใจสำคัญสำหรับการศึกษาสมัยใหม่ ที่สอดแทรกอยู่ในหลักสูตรการเรียนการสอนและกิจกรรมต่างๆ การที่เด็กๆได้รับการส่งเสริมด้านการคิดนั้นก่อให้เกิดเป็นทักษะที่จำเป็นสามารถประยุกต์ใช้ในยุคปัจจุบันได้เป็นอย่างดี อีกทั้งทางโรงเรียนเชื่อมั่นว่าการส่งเสริมทักษะการคิดนั้นเป็นกุญแจสำคัญที่สามารถดึงศักยภาพที่ยอดเยี่ยมภายในของนักเรียนออกมาได้อย่างเต็มที่จนตลอดเส้นทางการเรียนรู้จนประสบความสำเร็จในชีวิต

Anglo Singapore International School Anglo Singapore International School

หลักสูตรปฐมวัย

ความสามารถอันโดดเด่นของนักเรียนผ่านการส่งเสริมคุณลักษณะที่มีความหลากหลาย เพื่อให้เด็กนักเรียนมีความพร้อมทั้งด้านความรู้และความสำเร็จเป็นรายบุคคล ซึ่งมีงานวิจัยเปิดเผยว่าคุณภาพการศึกษาในระดับปฐมวัยจะช่วยสร้างรากฐานของความสำเร็จทางด้านวิชาการในอนาคตตลอดเส้นทางจนกว่าจะจบการศึกษา ซึ่งที่นี่นั้นมีมีหลักสูตรบูรณาการเรียนการสอนระดับปฐมวัยตามหลักสูตรการศึกษาแห่งชาติสิงคโปร์อย่างครบถ้วน ทั้งด้านการคิด การเรียนรู้อย่างสร้างสรรค์ รวมถึงด้านร่างกาย กิจกรรมทางด้านกีฬา กิจกรรมสันทนาการต่างๆ รวมถึงสถานที่ที่กว้างขวาง อุปกรณ์และห้องเรียนที่มีสีสันสดใส  ล้วนออกแบบมาให้เด็กนักเรียนได้เรียนรู้ผ่านการเล่นอย่างเหมาะสมตามวัยอย่างแน่นอนค่ะ

 

หลักสูตรระดับชั้นประถมศึกษา

สำหรับหลักสูตรประถมศึกษาของที่นี่นั้นมีเอกลักษณ์ที่ผสมผสานความแข็งแรงทางด้านวิชาการของหลักสูตรแห่งชาติสิงคโปร์เข้ากับการจัดการเรียนแบบองค์รวมที่เน้นการเรียนอย่างมีความสุข แบบการเรียนการสอนที่ออกแบบขึ้นเพื่อให้นักเรียนเป็นผู้มีความคิดสร้างสรรค์ มีส่วนร่วมและมีทักษะการสื่อสาร เน้นการสร้างความรู้รอบด้านเพื่อเตรียมพร้อมสู่ความสำเร็จในทุกมิติ หลักสูตรประถมศึกษาของแองโกลให้ความสำคัญกับวิชาหลัก ได้แก่ ภาษาอังกฤษ คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และภาษาอื่นๆ นอกจากนี้ยังมีวิชาเสริมที่ช่วยสร้างความรู้และทักษะสำคัญแก่นักเรียนและนับได้ว่าเป็นหลักสูตรที่ดีที่สุดหลักสูตรหนึ่งสำหรับโรงเรียนนานาชาติในกรุงเทพมหานครที่ออกแบบขึ้นเพื่อตอบโจทย์การเรียนรู้ที่เป็นประโยชน์ในโลกแห่งการเปลี่ยนแปลง

Anglo Singapore International School Anglo Singapore International School Anglo Singapore International School Anglo Singapore International School

หลักสูตรระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นและมัธยมศึกษาตอนปลาย

โรงเรียนนานาชาติแองโกลสิงคโปร์มีหลักสูตรระดับชั้นมัธยมศึกษาที่ออกแบบมาเพื่อส่งเสริมให้ผู้เรียนมีความรอบรู้โดยการจัดการศึกษาที่มุ่งเน้นผลสัมฤทธิ์ด้านความเป็นเลิศทางวิชาการเพื่อเตรียมพร้อมสู่ความสำเร็จในอนาคต เป็นหลักสูตรที่ออกแบบผสมผสานขึ้นจากจุดเด่นของแนวคิดหลักสูตรแห่งชาติสิงคโปร์และหลักสูตรเคมบริดจ์ โดยให้ความสำคัญกับวิชาหลัก ได้แก่ วิชาคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และภาษาอังกฤษ พร้อมกับการมุ่งเน้นสร้างแรงบันดาลใจในการเรียนรู้และสร้างความท้าทายแก่นักเรียนให้สามารถพัฒนาตัวเองได้อย่างเต็มศักยภาพ มีทักษะที่จำเป็นต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกปัจจุบัน

 Junior College (JC)

นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายเป็นการเรียนการสอนที่เข้มข้นมากยิ่งขึ้น มีรูปแบบการเรียนที่ช่วยพัฒนาประสบการณ์การเรียนรู้และฝึกฝนความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการเข้าศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัย และในระดับ Junior College นี้นั้น นักเรียนจะได้เรียนรู้รายวิชาที่หลากหลายมากขึ้น อาทิเช่น คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ มนุษยศาสตร์ ธุรกิจ และศิลปะ ซึ่งตลอดการเรียนการสอนนั้นเด็กนักเรียนจะได้เรียนทั้งเนื้อหาและทักษะตามกรอบการศึกษาหลักสูตร IGCES ที่มีความโดดเด่น สามารถช่วยส่งเสริมและพัฒนานักเรียนก้าวสู่การประสบความสำเร็จต่อไปอย่างมั่นคง

ความภาคภูมิใจของโรงเรียนนานาชาติแองโกลสิงโปร์

จุดประสงค์สำคัญอีกประการหนึ่งที่ไม่เพียงมุ่งมั่นให้เป็นโรงเรียนชั้นนำในพื้นที่กรุงเทพมหานครเท่านั้นแต่ยังคงมุ่งขยายสู่พื้นที่อีกๆในประเทศไทยด้วย ด้วยความมั่นใจในหลักคิดที่ยืนยันตัวตนของที่นี่คือ Uniquely Anglo อันแสดงถึงเอกลักษณ์และความโดดเด่นของโรงเรียนนานาชาติแองโกลสิงคโปร์ ด้วยเสียงยืนยันคุณภาพจากผู้ปกครองที่ให้ความเชื่อมั่น ทำให้นานาชาติแห่งนี้ภาคภูมิใจในเรื่องประสบการณ์และคุณภาพในการจัดการศึกษาแก่นักเรียน สรุปเป็นประเด็นดังนี้

  1. ความเป็นเลิศทางด้านวิชาการ
  2. การบรรลุความสำเร็จของผู้เรียน
  3. หลักสูตรของโรงเรียน
  4. ระบบการดูแลนักเรียนทุกระดับชั้น
  5. กลวิธีการสอน

 

นอกจากเสียงยืนยันคุณภาพจากผู้ปกครองแล้ว ผลลัพธ์จากหลักสูตรการศึกษาที่ออกแบบมาเพื่อผู้เรียนได้อย่างยอดเยี่ยมนั้นวัดผลได้จากเข้าเรียนในระดับมหาวิทยาลัยของผู้เรียน ซึ่งนักเรียนที่นี่สามารถมุ่งสู่มหาวิทยาลัยชั้นนำแนวหน้าทั้งในและต่างประเทศ อาทิ สิงคโปร์ สหราชอาณาจักร สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น จีน และอีกหลายประเทศทั่วโลก และอีกความภาคภูมิใจหนึ่งของโรงเรียนคือนักเรียนมากกว่าร้อยละ 30 ที่จบการศึกษาจากที่นี่ได้เข้าศึกษาต่อทางด้านการแพทย์ศาสตร์ และอีกกว่าร้อยละ 30 ที่เรียนต่อทางด้านวิศวกรรมศาสตร์และวิทยาศาสตร์อีกด้วย

Anglo Singapore International School

Anglo Singapore International School Anglo Singapore International School Anglo Singapore International School

Mommy’s Love This

หากคุณแม่กำลังมองหาโรงเรียนนานาชาติที่มีสถานที่ตั้งอยู่ใจกลางเมือง มีหลักสูตรการเรียนการสอนที่ได้มาตรฐานและมีผลลัพธ์การันตีคุณภาพที่ยอดเยี่ยมอยู่ ไม่ควรพลาดเลยค่ะ ที่จะมาเยี่ยมชมโรงเรียนนานาชาติแองโกลสิงคโปร์แห่งนี้ ไม่เพียงแค่หลักสูตรที่ตั้งใจออกแบบมาเพื่อสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของโลกปัจจุบัน ที่นี่นั้นให้ความสำคัญกับการค้นหาและสร้างตัวตนของนักเรียน จึงทำให้รูปแบบการเรียนนั้นเน้นการคิด วางแผน ลงมือปฎิบัติจริง และมีทักษะพื้นฐานที่จำเป็นต่อการเรียนรู้ กิจกรรมทั้งในและนอกห้องเรียนที่ช่วยกระตุ้นและดึงศักยภาพของนักเรียนออกมาอย่างมากที่สุด เพื่อให้เด็กๆได้ค้นพบเป้าหมายและมีความรู้ ความสามารถ ความพร้อมต่อไปสำหรับอนาคต และนอกจากหลักสูตรที่ได้มาตราฐานทางวิชาการตามหลักสูตรสิงคโปร์และหลักสูตรสหราชอาณาจักรแล้วนั้น ต้องบอกว่าบรรยากาศภายในโรงเรียนน่าเรียนมากๆไม่แพ้กัน อาคารสถานที่กว้างขวาง ห้องเรียนและอุปกรณ์การเรียนที่ครบครันทุกด้าน บอกได้เลยว่าเด็กๆที่ได้เรียนที่นี่จะได้เรียนรู้อย่างสนุกและมีความสุขแน่นอน หากคุณพ่อคุณแม่มองหาโรงเรียนที่มีความพร้อมทุกด้านแบบนี้ school visit ของเราขอแนะนำ โรงเรียนนานาชาติแองโกลสิงคโปร์ เป็นตัวเลือกอันดับแรกๆ ที่ไม่ควรพลาดค่ะ

Anglo Singapore International School โรงเรียนนานาชาติแองโกลสิงคโปร์ มีอัตราค่าเล่าเรียนโดยประมาณ (ขึ้นอยู่กับระดับชั้น) ต่อปี  350,000 – 740,000 บาท

การรับสมัครนักเรียน

สามารถติดต่อเยี่ยมชมโรงเรียนหรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ แองโกลสิงคโปร์ สาขาสุขุทวิท 64

ANGLO SINGAPORE INTERNATIONAL SCHOOL

No. 1 Soi Sukhumvit 64, Bang Chak, Pha Khanong Bangkok 10260 Thailand

Email : [email protected]

+66(0)23311874 / +66(0)23311875

FB : Anglo Singapore International School, Sukhumvit 64

แองโกลสิงคโปร์ สาขาสุมวิท 31

ANGLO SINGAPORE INTERNATIONAL SCHOOL

No. 108/2-3 Soi Sukhumvit 31 (Sawatdi), Sukhumvit Road, Klongtan Nua, Wattana, Bangkok 10110

+66(0)26623105 / +66(0)26623106  /  086-340-8288 และ 086-306-8788

Email : [email protected]

FB : Anglo Singapore International School, Sukhumvit 31

 

 

เวิร์คช็อป ศิลปะ

เครือเจริญโภคภัณฑ์ ทรู คอร์ปอเรชั่น และ มูลนิธิออทิสติกไทย ร่วมกันเปิดพื้นที่ “ARTSTORY Creative Hub” พื้นที่แบ่งปันจินตนาการ และความคิดสร้างสรรค์ เวิร์คช็อป ศิลปะ ให้กับผู้สนใจ

เครือเจริญโภคภัณฑ์ และ ทรู คอร์ปอเรชั่น จับมือ มูลนิธิออทิสติกไทย เปิด “ARTSTORY Creative Hub” ชูศักยภาพศิลปิน ARTSTORY ร่วมแบ่งปันจินตนาการ และความคิดสร้างสรรค์ให้กับผู้สนใจ ด้วยกิจกรรม เวิร์คช็อป ศิลปะ มุ่งขับเคลื่อนสังคมเท่าเทียม ภายใต้แนวคิด “Co-Creating Inclusive Society”

19 มกราคม 2567: เครือเจริญโภคภัณฑ์ และ บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น โดยทรูปลูกปัญญา จับมือมูลนิธิออทิสติกไทย  เดินหน้าต่อยอดโครงการพัฒนาศักยภาพและคุณภาพชีวิตบุคคลออทิสติกอย่างต่อเนื่อง ส่งเสริมให้ก้าวข้ามขีดจำกัดของตนเอง และสามารถใช้ชีวิตร่วมกับบุคคลทั่วไปได้อย่างไร้รอยต่อ ด้วยการเปิดพื้นที่ “ARTSTORY Creative Hub” ให้บุคคลทั่วไปได้เข้าร่วม เวิร์คช็อป ศิลปะ ประเภทต่างๆ กับศิลปินออทิสติก ณ มูลนิธิออทิสติกไทย ราชพฤกษ์ มุ่งหวังให้เป็นพื้นที่ต้นแบบของการสร้างสังคมแห่งความเท่าเทียม พร้อมเปิดรับสมัครผู้ที่สนใจเวิร์คช็อปได้แล้วตั้งแต่วันนี้ เป็นต้นไป

นายชูศักดิ์ จันทยานนท์ ประธานมูลนิธิออทิสติกไทย กล่าวว่า “ARTSTORY Creative Hub” เป็นหนึ่งความพยายามของมูลนิธิฯ ในการนำเสนอรูปธรรมของการสร้างสังคมแห่งความเท่าเทียม หรือ Inclusive Society อย่างแท้จริง ด้วยการเปิดโอกาสให้บุคคลทั่วไปและน้องๆ ศิลปินออทิสติก ได้ทำงานศิลปะร่วมกัน จุดประกายความคิดสร้างสรรค์ ตลอดจนการเรียนรู้ และยอมรับศักยภาพของกันและกัน โดยศิลปินออทิสติก จะร่วมเป็นวิทยากรถ่ายทอดเทคนิคและทักษะทางศิลปะ พร้อมกับเติมพลังใจให้แก่ทุกคนอย่างมืออาชีพ ซึ่งกระบวนการดังกล่าวจะช่วยสร้างความเข้าใจ ตวามตระหนักรู้และการยอมรับศักยภาพของบุคคลออทิสติกในเชิงประจักษ์และเป็นรูปธรรม

“ARTSTORY Creative Hub ไม่เพียงเป็นพื้นที่สะท้อนถึงการเสริมสร้างสังคมแห่งความเท่าเทียม แต่ยังสมารถสร้างประโยชน์ให้กับน้องๆ ออทิสติก และผู้ที่เข้าร่วมกิจกรรมเองได้ด้วย  โดยเวิร์คช๊อปที่เราจัดขึ้นจะช่วยให้เด็กๆ ออทิสติก มีพัฒนาการด้านต่างๆดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของสมาธิ การสื่อสาร ความมั่นใจ ทักษะทางสังคม ตลอดจนโอกาสการทำงานสร้างสรรค์ที่จะนำมาซึ่งสร้างรายได้ เพื่อเลี้ยงดูตัวเองและครอบครัวได้อย่างยั่งยืน ส่วนที่ผู้ที่เข้าร่วมเวิร์ค    ช๊อปก็จะได้พัฒนาทักษะด้านศิลปะ ความคิดสร้างสรรค์ ตลอดจนความตระหนักรู้ในสังคมอีกด้วย “

ดร.เนตรชนก วิภาตะศิลปิน หัวหน้าสายงานกลยุทธ์องค์กรและ ด้านการศึกษา บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น “เครือเจริญโภคภัณฑ์ และ ทรู คอร์ปอเรชั่น ได้เล็งเห็นและตระหนักถึงความสำคัญของการเปิดโอกาสให้คนในสังคมทุกกลุ่ม รวมถึงกลุ่มเปราะบางได้เข้าถึงโอกาสในการพัฒนาคุณภาพชีวิต ครอบคลุมทั้งการศึกษา บริการ การพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ ตลอดจนการจ้างงานเพื่อนำไปสู่การมีคุณภาพชีวิตที่ดี สามารถพึ่งพาตัวเองได้อย่างยั่งยืน

“การเปิด ARTSTORY Creative Hub ในวันนี้ ก็เป็นอีกหนึ่งความร่วมมือระหว่างเครือฯ และมูลนิธิฯ  ในการต่อยอดธุรกิจเพื่อสังคม ภายใต้แบรนด์ Artstory โดยเครือฯ ได้ให้การสนับสนุนงบประมาณ พร้อมร่วมนำเสนอแนวคิดการเปิดพื้นที่ co-creating inclusive society แห่งแรกของประเทศ  รวมถึงการออกแบบตกแต่งและการวางแผนงานบริหารและดำเนินธุรกิจของ ARTSTORY Creative Hub อีกด้วย

เครือเจริญโภคภัณฑ์และทรู คอร์ปอเรชั่น มุ่งหวังที่จะให้พื้นที่แห่งนี้เป็นต้นแบบของการอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างเกื้อกูล เคารพในความแตกต่างและการยอมรับศักยภาพของบุคคลออทิสติก ผ่านประสบการณ์การทำงานศิลปะร่วมกับน้องๆ ศิลปินออทิสติก แบ่งปันจินตนาการและแรงบันดาลใจร่วมกัน เราก็หวังว่ากิจกรรมเล็กๆ ที่เกิดขึ้นในพื้นที่แห่งนี้ จะเป็นจิ๊กซอสำคัญที่นำไปสู่ภาพใหญ่ นั่นคือการสร้างสรรค์สังคมแห่งความเท่าเทียมให้เกิดขึ้นอย่างแท้จริง”

มาดูภาพบรรยากาศการ เวิร์คช็อป ศิลปะ โดยศิลปินออทิสติก และพี่เลี้ยงที่คอยแนะนำสื่อมวลชนผู้เข้าร่วมพิธีเปิดในครั้งนี้กันค่ะ

บรรยากาศการ เวิร์คช็อป ศิลปะ

บรรยากาศ เวิร์คช็อป ศิลปะ

นอกจากจะได้เพลิดเพลินกับเวิร์คช็อปงานศิลปะแล้ว ผู้ที่เข้ามาทำกิจกรรมใน ARTSTORY Creative Hub ยังจะได้รับบริการเครื่องดื่มจากทรูคอฟฟี่ ที่รังสรรค์โดยฝีมือบุคคลออทิสติก โดยมีเครื่องดื่มพิเศษ “ส่งรัก” เป็นซิกเนเจอร์เมนู เกิดจากการนำไซรัปผลไม้ อย่างลิ้นจี่และสตรอว์เบอร์รี่ ผลไม้ที่เป็นตัวแทนแห่งความรัก มาผสานกับส้มยูซุ ซึ่งเป็นตัวแทนแห่งความสุข มาผสมรวมกัน ได้เป็นเครื่องดื่มที่มีความสดชื่น มีกลิ่นอายของความรัก และความโรแมนติกรวมอยู่ในแก้วเดียว เหมือนความสุขและความรัก ที่น้องๆ ออทิสติกต้องการส่งมอบให้กับทุกคน พร้อมเสริ์ฟที่ทรูคอฟฟี่ สาขามูลนิธิออทิสติกไทยที่เดียวเท่านั้น แม่ไข่มุกลองชิมแล้ว บอกเลยว่า อร่อย สดชื่นมากๆ ค่ะ ^^

เมนู “ส่งรัก” ลิ้นจี่และสตรอว์เบอร์รี่ ผสานกับส้มยูซุ รสชาติสดชื่น สั่งได้เมื่อมา เวิร์คช็อป ศิลปะ ที่ทรูคอฟฟี่ มูลนิธิออทิสติกไทย เท่านั้น
ใครอยากอุดหนุนผลงานศิลปินออทิสติก ภายใน Art Story Creative Hub มีร้านขายของที่ระลึกฝีมือศิลปิน สามารถเป็นของฝากกลับบ้านไปด้วยค่ะ

สำหรับผู้ที่สนใจร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างสรรค์สังคมแห่งความเท่าเทียม สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่

Line : @ARTSTORYSTORE / Facebook Fanpage : Artstory by AutisticThai

หรือโทร. 080-962-4661

Tags

Mothery หมอนรองให้นม 11 องศา พัฒนาโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อการเข้าเต้าอย่างถูกวิธี

คุณแม่ที่ตั้งใจเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ให้สำเร็จ นอกจากจะต้องเรียนรู้การเข้าเต้าอย่างถูกวิธีแล้ว จำเป็นต้องมี หมอนรองให้นมดี ๆ สักใบที่จะช่วยให้การเข้าเต้าเป็นเรื่องง่าย ไม่เมื่อยล้า ไม่ปวดแขน หรือปวดหลังจากการอุ้มลูกเข้าเต้าเป็นเวลานาน ทั้งนี้ หมอนรองให้นม ก็มีให้เลือกมากมายหลากหลายยี่ห้อ แล้วจะเลือกแบบไหนดี?

หากพิจารณาจากประสบการณ์ของทีมบรรณาธิการแม่ตัวจริงแล้ว เราจะเลือก หมอนรองให้นม ที่ลูกนอนได้มั่นคง ไม่นิ่มยวบ หรือทำให้ลูกน้อยเลื่อนหล่นจากหมอนได้ง่าย ความสูงของหมอนพอดีให้ลูกดูดนมแม่ได้อย่างสบาย รวมถึงช่วยให้แม่นั่งได้อย่างสบาย ไม่ปวดเมื่อย เมื่อต้องนั่งให้นมในท่าเดิมเป็นเวลานาน

ทีมบรรณาธิการ Amarin Baby & Kids ได้ทดลองใช้ หมอนรองให้นม Mothery  ซึ่งบอกได้เลยว่า ตอบโจทย์คุณแม่ให้นมมาก เพราะถูกพัฒนาร่วมกับบุคลากรทางแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ การวิจัยทดลอง พัฒนาผลิตภัณฑ์ และร่วมคิดค้นองศาธรรมชาติที่ดีที่สุดมากกว่า 100 ครั้ง เพื่อให้ได้องศาที่ดีที่สุดในการให้นม อีกทั้งยังผ่านการทดลองกับคุณแม่คนไทยกว่า 100 คน เพื่อปรับรูปทรงให้เข้ากับสรีระคนไทยมากที่สุด ซึ่งสังเกตได้ง่าย ๆ จากจุดเด่นเหล่านี้

จุดเด่นของ หมอนรองให้นม Mothery

  • ถูกออกแบบให้เอียง 11 องศา ซึ่งเป็นองศาที่เหมาะสมที่สุดในการให้นม ช่วยให้ลูกน้อยเอียงหน้าเข้าหาเต้านมของแม่ได้อย่างถูกต้อง ได้แก่ ท่าอุ้มนอนขวางบนตัก , ท่านอนขวางบนตักแบบประยุกต์ และท่ารักบี้ ทำให้ลูกกินนมได้เต็มอิ่ม
  • ดีไซน์แบบ U-Curve เพิ่มปีกยาวตัวหมอนลึกไปถึงหลัง ทำให้หมอนไม่หลุดออกจากตัวคุณแม่ และมีที่วางแขนลดอาการปวดเมื่อยและบาดเจ็บของข้อมือจากการประคองลูกเป็นเวลานาน ซึ่งเป็นต้นเหตุของอาการข้อมืออักเสบ
  • Back Support หมอนรองหลัง สายคล้องด้านหลัง รัดกระชับ ปรับระดับได้ตามขนาดเอว ทำให้การให้นมไม่ต้องเอามือประคองหมอนรองให้นมเพิ่มความสะดวกสบาย ช่วยให้คุณแม่นั่งพิงได้อย่างสบาย ลดอาการปวดหลังเมื่อต้องนั่งให้นมลูกเป็นเวลานาน

 

  • Leg Support หมอนรองตัก ทำจากเม็ดโฟมน้ำหนักเบา ซึ่งมีคุณสมบัติเด่นที่กระจายแรงได้ดี ปรับรูปทรงให้เข้ากับท่าทางของคุณแม่ได้อย่างอิสระ ช่วยปรับเพิ่มความสูงของหมอนให้ลูกน้อยอยู่พอดีกับเต้านม คุณแม่จึงนั่งสบาย นั่งถูกวิธีระหว่างเข้าเต้า จึงช่วยลดอาการปวดคอ จากการที่ต้องโน้มตัวลงมา รวมทั้งยังช่วยลดอาการปวดขาจากการนั่งขัดสมาธิ หรือเขย่งขาอีกด้วย
  • ตัวเบาะมั่นคง นุ่ม แน่น ไม่ยวบ คืนตัวได้ดี ไม่เสียทรง ด้วยคุณสมบัติของฟองน้ำ Polyurethane ช่วยให้ลูกนอนได้มั่นคง นอนดูดนมได้มากขึ้น
  • เนื้อผ้าคอตตอนและโพลีเอสเตอร์ บุด้านใต้ทำจากวัสดุ 3D โพลีเอสเตอร์ ช่วยระบายอากาศได้ดี ไม่อับชื้น จึงรู้สึกเย็นสบายทั้งคุณแม่และลูกน้อยขณะใช้งาน
  • มาพร้อมสิ่งอำนวยความที่รู้ใจแม่ ปลอกหมอนสามารถถอดซักได้ มีช่องเก็บของด้านข้าง มีที่เก็บสายรัดเอวเมื่อไม่ใช้ เป็นต้น

นอกจากประสิทธิภาพเกินราคาแล้ว แบรนด์ Mothery ยังให้ความสำคัญกับความสวยงามด้วยการออกแบบให้มีหลากสีสัน และมีลวดลายสวยๆ ให้คุณแม่ได้เลือกใช้ตามสไตล์ที่ชอบอีกด้วย

ด้วยเหตุผลทั้งหมดนี้ ทีมบรรณาธิการ Amarin Baby & Kids จึงคัดเลือกให้หมอนรองให้นม Mothery ได้รับรางวัล BEST NURSING PILLOW 2023 สาขา Editor’s Choice จาก “Amarin Baby & Kids Awards 202

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม และโปรโมชั่นดีๆ ของหมอนรองให้นม Mother สามารถติดตามได้ที่เฟซบุ๊ค

www.facebook.com/Motheryofficial

โรงเรียนอนุบาลแสงโสม

เปิดหลักสูตร โรงเรียนอนุบาลแสงโสม รร. 3 ภาษา พัฒนานักเรียนทั้ง IQ และ EQ ที่ดี พร้อมศึกษาต่อชั้นประถมศึกษา อย่างมีความสุข

โรงเรียนอนุบาลแสงโสม โรงเรียนอนุบาล 3 ภาษา ที่พัฒนาให้นักเรียนมีทั้ง IQ และ EQ ที่ดี พร้อมในการศึกษาต่อชั้นประถมศึกษาได้อย่างมีความสุข

School Visit วันนี้เรามีโอกาสได้เข้าไปเยี่ยมชม โรงเรียนอนุบาลแสงโสม โรงเรียนอนุบาลเก่าแก่ย่านประชาชื่น ที่เปิดสอนมานานกว่า 40 ปี คุณภาพที่ดีของโรงเรียนทำให้เกิดการบอกต่อ แบบปากต่อปาก จนปัจจุบันโรงเรียนอนุบาลแสงโสมมีนักเรียนกว่า 800 คนแล้ว

โรงเรียนอนุบาลแสงโสม ก่อตั้งขึ้นเมื่อปีพ.ศ. 2527 โดยอ.แสงโสม ริ้วตระกูล โดยมีจุดมุ่งหมายตามเอกลักษณ์ของโรงเรียน คือ ” ลูกน้อยแจ่มใส ได้วิชา ” เน้นให้นักเรียนมาโรงเรียนอย่างมีความสุข และพัฒนาอย่างเต็มศักยภาพ ปัจจุบันอนุบาลแสงโสมสาขาประชาชื่น เปิดสอนระดับชั้นอนุบาล1-3 แบบ 3 ภาษา คือ ไทย อังกฤษ จีน และยังมีแผนกอนุบาลและประถมศึกษาที่สาขาสัมมากรอีกด้วย

โรงเรียนอนุบาลแสงโสม เรียนและเล่น พัฒนาไปพร้อมกัน

หลักสูตรของโรงเรียนใช้ระบบศูนย์การเรียนและใช้การบูรณาการมีการเรียนรู้โดยผ่านการลงมือทำ ปูพื้นฐานแน่น เปิดสอน 3 โปรแกรม คือ IEP. / MEP. และภาคปกติ สําหรับโปรแกรม IEP. หรือ Intensive English Program ช่วยพัฒนาศักยภาพทางภาษาอังกฤษและวิชาการของนักเรียนได้เป็นอย่างดีโดยมี Native English Speaking Teacher เป็น Homeroom Teacher คู่กับคุณครูไทยและมีครูผู้ช่วยไทยอีก 2 คน เนื้อหาหลักสูตร เหมือนกับภาคภาษาไทย แต่สอนเป็นภาษาอังกฤษ 70% ซึ่งทําให้เป็นจุดแข็งของโปรแกรม IEP ส่วนหลักสูตร MEP เรียนภาษาอังกฤษกับครูต่างชาติ สัปดาห์ละ 11 คาบ และภาคปกติเรียนภาษาอังกฤษกับครูต่างชาติ สัปดาห์ละ 6 คาบ

นอกจากนี้ยังมีวิชาเสริมต่างๆอย่างครบครัน เช่น ทดลองวิทยาศาสตร์ Conversation พลศึกษา ว่ายนํ้า ดนตรี เมโลเดี้ยน คอมพิวเตอร์ คณิตศาสตร์ ความพร้อมทางเชาวน์ปัญญา และสร้างเสริมประสบการณ์ชีวิต ศิลปะวาดภาพบนกําแพงสร้างสรรค์ เพื่อเสริมสร้างจินตนาการให้กับนักเรียน มีวิชา Cooking เมนูที่ได้ฝึกกล้ามเนื้อมัดเล็กต่างๆ เช่น ปั้นบัวลอย ปั้นขนมต้ม ส่วนวิชาภาษาจีน เด็กๆจะได้เรียนกับเหล่าซือทุกสัปดาห์ เพื่อให้นักเรียนได้วิชาการต่างๆ เพื่อเตรียมพร้อมในการเข้าชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ในการสอนเน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลางและใช้สื่อการสอนที่หลากหลาย น่าสนใจ นอกจากนี้ยังมี Interactive Digital Display หรือ Ipad ยักษ์ เข้ามาใช้ ทำให้เด็กๆตื่นเต้นที่ได้เขียนหน้าจอขนาดใหญ่เหมือนตนเองกำลังเล่นเกมมากกว่า เป็นการสอนที่เด็กได้สนุกและมีความรู้ไปพร้อมๆกัน ช่วยพัฒนาผู้เรียนอย่างเต็มศักยภาพ

 จุดรับส่งนักเรียนช่วงเช้ามีหลายจุด ทั้งในซอยและด้านหน้าโรงเรียน ที่สำคัญมีคุณครูคอยรับนักเรียนทุกจุดจึงปลอดภัยหายห่วง
โรงเรียนอนุบาลแสงโสม
กิจกรรมหน้าเสาธงช่วงเช้า
สนามเด็กเล่นปูหญ้าเทียม ใช้งานได้อเนกประสงค์
โรงเรียนอนุบาลแสงโสม
โรงเรียนอนุบาลแสงโสม
เด็กๆได้เรียนกับครูต่างชาติ หลากหลายวิชา ทั้งวิชา Cooking วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ หรือ พลศึกษา ฯลฯ ทำให้เรียนรู้ภาษาอังกฤษอย่างเป็นธรรมชาติ
วิชาภาษาจีนเด็กๆจะได้เรียนกับเหล่าซือแบบใกล้ชิดและสนุกสนานไปกับ Interactive Digital Display หรือ Ipad ยักษ์ ด้วย
ห้องเรียนคอมพิวเตอร์ แบบ 1 ต่อ 1
สระว่ายน้ำระดับความสูงเพียง 40 cm. ปลอดภัยกับเด็กเล็ก

ทุกเทอมเด็กๆนักเรียนทุกระดับชั้น จะได้เรียนแบบโครงงาน หรือ “Project Approach” โดยให้นักเรียนโหวตเลือกเรื่องที่ตนเองสนใจอยากจะเรียน สามารถทำได้ทั้งแบบกลุ่มและแบบเดี่ยว นักเรียนจะได้ลงมือทําด้วยตนเองจากประสบการณ์จริงได้สัมผัสของจริง ได้ความรู้หลากหลายแขนงทั้งวิชาศิลปะ คณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ เช่น เรื่องดอกไม้ทานได้ พืชน้ำ สัตว์ทะเล ยานพาหนะต่างๆ ทําให้นักเรียนเรียนรู้อย่างเพลิดเพลิน สนุกและได้ความรู้ เมื่อสิ้นสุดโครงงาน ทางโรงเรียนจะจัดนิทรรศการโครงงาน เชิญผู้ปกครองมาร่วมกิจกรรมเข้าร่วมฟังเด็กพรีเซนต์งานของตนเอง ช่วยให้ผู้ปกครองทราบว่าตลอดระยะเวลาทั้งเทอมที่ผ่านมา เด็กๆได้เรียนรู้อะไรมาบ้าง

ส่วนกิจกรรมต่างๆก็มีครบครัน เช่น กิจกรรมพ่อแม่อาสา ผู้ปกครองจะอาสาเข้ามาสอนเรื่องที่เด็กอยากรู้และเหมาะกับเด็กๆ รวมไปถึงอาชีพต่างๆ เพื่อเปิดประสบการณ์ใหม่ให้กับนักเรียน นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมกีฬาสี ทัศนศึกษา การแสดงประจําปีเพื่อส่งเสริมการกล้าแสดงออกของนักเรียน

โรงเรียนอนุบาลแสงโสม
วันนิทรรศการโครงงาน ผู้ปกครองเข้าร่วมทำกิจกรรมกับเด็กๆได้
โรงเรียนอนุบาลแสงโสม
กิจกรรมพ่อแม่อาสา ผู้ปกครองเข้ามาเล่าเรื่องที่เด็กๆสนใจและอาชีพต่างๆ

การออกแบบพื้นที่ต่างๆเน้นความปลอดภัยเป็นสําคัญ 

ที่โรงเรียนอนุบาลแสงโสม เชื่อว่าการเล่นเป็นการเปิดสมอง ดังนั้นทุกวันจะจัดตารางสอนให้มีการเล่นทุกวัน ทั้ง เครื่องเล่นสนามกลางแจ้ง ขับรถขาไส หรือ เล่นสนามหญ้าสัมผัสธรรมชาติ ซึ่งนักเรียนจะได้พัฒนากล้ามเนื้อใหญ่ ได้ เสริมสร้างอารมณ์และสติปัญญาไปพร้อมๆกัน เป็นการส่งเสริมให้เด็กๆมาโรงเรียนอย่างมีความสุข ซึ่งเป็นจุดมุ่งหมายสําคัญของอนุบาลแสงโสม คือการ พัฒนาให้นักเรียนมีทั้ง IQ และ EQ ที่ดี พร้อมในการศึกษาต่อชั้น ประถมศึกษาได้อย่างมีความสุข

สนามเด็กเล่นขนาดใหญ่ใจกลางโรงเรียนปูพื้นด้วยหญ้าเทียมที่มีพื้นผิวนิ่ม ช่วยลดการเกิดอุบัติเหตุ มีการระบายนํ้าได้ดี พื้นที่ ต่างๆออกแบบให้เป็นแหล่งเรียนรู้ เช่น บนพื้นเพนท์ลายตัวอักษรภาษาอังกฤษ A-Z เด็กๆสามารถเรียนรู้ได้ตั้งแต่เข้าโรงเรียน หรือบนกําแพง ทาสีเป็น Whiteboard เพื่อให้นักเรียนได้วาดภาพแสดงความคิดสร้างสรรค์ได้อย่างเต็มที่ มีเนินสนามหญ้าจริง ให้นักเรียนวิ่งเล่นเพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อมัดใหญ่ นอกจากนี้ยังมีห้องนุ่มนิ่มหรือห้องหนูน้อยพาเพลิน เพื่อให้นักเรียนได้ออกกําลัง เล่นอย่างสนุกสนาน ปลดปล่อยพลังและเพลิดเพลินอย่างปลอดภัยในห้องแอร์เย็นฉ่ำอีกด้วย

โรงเรียนอนุบาลแสงโสม
ห้องนุ่มนิ่มหรือห้องหนูน้อยพาเพลิน เด็กๆได้เล่นปีนป่ายกันอย่างเต็มที่และปลอดภัย
ทางเดินแสนสนุก เพนท์ลวดลายกราฟฟิกและตัวอักษรต่างๆ เด็กๆได้กระโดดเล่นออกกำลังแถมได้ความรู้เรื่องตัวอักษรภาษาอังกฤษไปในตัว
ผนังบางจุดของโรงเรียน กลายเป็น White board ให้เด็กๆวาดภาพได้ตามจินตนาการ
บางจุดของโรงเรียนมีเนินสนามหญ้าจริง ให้เด็กวิ่งเล่น และออกกำลังด้วยด้วยการวิ่งขึ้นลงไปมา
โรงเรียนอนุบาลแสงโสม
สนามเด็กเล่น มีอุปกรณ์ครบครัน สำหรับเด็กๆ
ห้องน้ำสะอาด มีพื้นกันลื่น ส่วนอ่างล้างมือเป็นแบบเท้าเหยียบสะอาดและปลอดภัยกับเด็กๆ

Mommy’s Love This ! ถูกใจแม่ 

  1. จำนวนครูที่มากถึง 4 คน ต่อ นักเรียน 25-26 คน ทำให้รู้สึกได้เลยว่าเด็กๆจะได้รับการดูแลอย่างทั่วถึงแน่นอน
  2. ช่วงเช้า มีจุดรับส่งนักเรียนมากถึง 9 จุด ( มี 9 ประตู ) มีคุณครูคอยรับนักเรียนทุกจุด ทำให้การส่งเด็กๆช่วงเช้าค่อนข้าง ลื่นไหลมากๆ และเมื่อถึงเวลานักเรียนเข้าเรียนแล้วประตูจะถูกล็อคทั้งหมด เหลือเพียงประตูเดียวที่เปิดอยู่โดยมี รปภ. คอยเฝ้าตลอดเวลา และมีกล้องวงจรปิดแทบทุกจุดของโรงเรียน
  3. สนามเด็กเล่นกระจายอยู่ตามมุมต่างๆของโรงเรียน ทำให้เด็กๆเลือกเล่นได้ตามใจชอบไม่แออัด
  4. โรงเรียนสะอาดได้มาตรฐาน เพราะหลังจากนักเรียนกลับบ้านหมดแล้ว มีการอบโอโซนฆ่าเชื้อในทุกห้องเรียน ซึ่งเป็นการฆ่าเชื้อระดับโรงพยาบาล และฉีดพ่นยาฆ่าเชื้อโรคในทุกห้องประกอบทุกเย็น ส่วนห้องน้ำล้างทำความสะอาดทุกวัน
    • ในทุกวันศุกร์เย็นคุณครูจะทำความสะอาดใหญ่ เช่น เช็ดเตียงด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ ล้างของเล่นทุกอย่างด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ ล้างดินสอ-สี เช็ดโต๊ะ เก้าอี้ ตู้ ด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ ล้างฟิลเตอร์แอร์ ฟิลเตอร์เครื่องกรองอากาศ ล้างพัดลม
    • และทุกวันเสาร์พนักงานจะทำความสะอาดใหญ่โดยขัด ฆ่าเชื้อเครื่องเล่นสนาม ล้างระเบียงทางเดิน บันได ราวบันได ห้องน้ำ และลานทุกอาคาร รวมถึงวางเครื่องโอโซนฆ่าเชื้อในห้องประกอบ ล้างไส้กรองน้ำ และล้างกล่องสบู่เหลวทุกจุด
  5. ทุกปี ผู้ปกครองจะได้รับจุลสารแสงโสม บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับเด็กๆและกิจกรรมในแต่ละปี มีทั้งรูปภาพและบทความจากคุณครู เก็บไว้ให้เด็กๆดูตอนโตได้ด้วย
  6. เด็กดี ไหว้สวย ไหว้แบบแสงโสม เด็กนักเรียนที่นี่ไหว้สวย เจอผู้ใหญ่ก็จะยกมือไหว้โดยไม่ต้องบอก ที่โรงเรียนมีประกวดไหว้สวย ประกวดกราบพระ เพื่อสนับสนุนให้เด็กรู้จักมารยาทที่ดีอีกด้วย

อัตราค่าเล่าเรียน ปี 2567

  • หลักสูตรปกติ ราคา 49,900 บาท ต่อเทอม
  • หลักสูตร IEP. ราคา 68,900 บาท ต่อเทอม
  • ค่าแรกเข้า 8,000 บาท ( ราคารวมค่าชุดนักเรียน )

เปิดให้เยี่ยมชมโรงเรียน วันจันทร์-ศุกร์ เวลา 8.00-16.00 น. และวันอาทิตย์ เวลา 10.00-16.00 น.

ที่อยู่

เลขที่ 6 ซอย ประชาชื่น 32 แขวงวงศ์สว่าง เขตบางซื่อ กรุงเทพมหานคร 10800

โทรศัพท์: 0-2585 -5316, 0-2585-6433

https://kindergarten.sangsomschool.com

Editor : แม่เลม่อน

ภาพ : อภินัยน์ ทรรศโนภาส

โรงเรียนเขมะสิริอนุสสรณ์

พาทัวร์! โรงเรียนเขมะสิริอนุสสรณ์ โรงเรียนหญิงล้วนชื่อดังย่านฝั่งธนฯ

โรงเรียนเขมะสิริอนุสสรณ์ โรงเรียนสตรีเก่าแก่ย่านบางพลัด ที่สร้างเยาวชนหญิงให้มีความเป็นเลิศทางวิชาการ มีกิริยามารยาทงดงามแบบไทย และสร้างความสามัคคีระหว่าง เพื่อนพี่น้อง

เช้าวันที่ท้องฟ้าปลอดโปร่ง แสงอาทิตย์ทอดยาวกระทบผิวน้ำเจ้าพระยา เรือบรรทุกและเรือโดยสารสัญจรกันหนาตาตามช่วงเวลาเร่งด่วนของวัน สภาพการจราจรบนถนนยังเป็นที่หนึ่งแห่งความแน่น เป็นเหตุให้ผู้คนเลือกที่จะเดินไปตามถนน บ้างก็เดินไปขึ้นรถไฟฟ้า บ้างก็มุ่งหน้าไปลงเรือ ภาพของนักเรียนหญิงเดินเลี้ยวเข้าไปยังโรงเรียนพร้อมเสียงอันสดใสบอกเป็นนัยว่า School Visit วันนี้ ทีมแม่ ABK เดินทางมาถึงจุดมุ่งหมายแล้วที่ โรงเรียนเขมะสิริอนุสสรณ์

โรงเรียนเขมะสิริอนุสสรณ์ ก่อตั้งเมื่อวันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2475 เดิมตั้งอยู่ในวังพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นทิวากรวงศ์ประวัติ (ต้นราชสกุล-เกษมศรี)  ปัจจุบันเปิดทำการสอนโดยรับนักเรียนสตรีเข้าเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ถึง มัธยมศึกษาปีที่ 6 โดยเปิดรับสมัครทั้งนักเรียนไปกลับและนักเรียนประจำ

โรงเรียนเขมะสิริอนุสสรณ์ โรงเรียนเขมะสิริอนุสสรณ์ โรงเรียนเขมะสิริอนุสสรณ์ โรงเรียนเขมะสิริอนุสสรณ์ โรงเรียนเขมะสิริอนุสสรณ์

บรรยากาศโรงเรียน ทั้งอาคารเรียนและสนามกีฬา ดูสะอาดและเป็นระเบียบเรียบร้อย

 

The Perfect Combination | ศาสตร์ผสมผสานสดใหม่สำหรับเด็กๆ

Active Learning มาแล้ว! หลักสูตรฐานสมรรถนะพร้อมลุย! เป็นส่วมผสมของทักษะและสมรรถนะที่แทรกสาระทางวิชาการแทรกด้วย หรือเป็นที่รู้จักกันว่า “บูรณาการ” นั่นเอง

  • เป็นการเรียนผ่านกิจกรรม บูรณาการศาสตร์ต่างๆ จาก 3 วิชาหลักได้แก่ ภาษาไทย วิทยาศาสตร์ การงาน วิชาโครงงานบูรณาการ หรือที่เรียกว่า Class Project กิจกรรมจะแตกต่างกันไปตามช่วงเวลา (แต่สอดคล้องกับหน่วยการเรียนรู้ที่กำหนดไว้) คุณครูเป็นเพียงผู้เตรียมกิจกรรมไว้
  • เด็กๆจะเป็นผู้นำกิจกรรมเอง จะได้เรียนรู้จากปัญหา (แต่ละคนปัญหาไม่เหมือนกันซะด้วย) และหาทางแก้ไขปัญหา
  • เพราะธรรมชาติของเด็กคือ การเรียนรู้ที่ไม่หยุดนิ่ง ทางร่างกายก็เช่นกัน ประสาทสัมผัสทุกอย่างยิ่งใช้งาน-ยิ่งพัฒนา ประสบการณ์ตามมาอย่างเห็นๆ เมื่อเด็กๆเรียนด้วยความสนุกสนาน ก็ยิ่งทำให้พวกเขาอยากเรียน ความเป็น Life Long Learner ก็จะถูกปลูกฝังเข้าไปโดยไม่รู้ตัว
  • ปีการศึกษาหน้า (พ.ศ. 2567) พี่ๆป.4-5 ปีการศึกษานี้เตรียมตัวรอรับความสนุกในปีหน้าได้เลยเพราะหลักสูตรฐานสมรรถนะจะขยายไปใช้ตั้งแต่ชั้น ป.1-6

 

โรงเรียนเขมะสิริอนุสสรณ์ โรงเรียนเขมะสิริอนุสสรณ์ โรงเรียนเขมะสิริอนุสสรณ์

วันนี้เด็กๆได้ทำเมนูแซนด์วิช โดยออกไปซื้อวัตถุดิบเองจากตลาด

 

โรงเรียนเขมะสิริอนุสสรณ์ โรงเรียนเขมะสิริอนุสสรณ์

แปลงผักที่เด็กๆลงมือปลุกปั้นกันมาเองตั้งแต่เก็บกวาดพื้นที่สนามเด็กเล่นเก่า ..แต่ผักไม่โตตามที่คาดไว้ เด็กๆจึงต้องออกไปซื้อวัตถุดิบจากตลาดแทน ได้เรียนรู้หลายประสบการณ์เลยนะเนี่ย!

 

Soft Skills – Life Long Learners

เพราะทุกอย่างไม่ได้จบแค่ทักษะด้านวิชาการ เราไม่ได้เรียนไปเพื่อสอบแต่เราเรียนไปเพื่อนำไปใช้ การพัฒนาสมรรถนะด้านต่างๆของเด็กๆจึงมาแรงแซงทุกโค้ง เพราะคนที่เก่งสมรรถนะจะนำความรู้และประสบการณ์ไปปรับใช้ในชีวิตได้ดีกว่าคนเก่งตำรา

(อย่าลืมว่าความรู้ ตัวตำราเอง ทฤษฎีต่างๆก็เปลี่ยนไปได้ถ้ามีการค้นพบใหม่ๆ) จัดไปค่ะ ทีมแม่ ABK ข้อ wrap up ความสำคัญของ Soft Skills มาให้ทุกท่านแล้วดังนี้

 

  • Communication คุยกับตัวเอง พูดกันในกลุ่ม แสดงความคิดเห็นกันให้ห้อง ถามคำถามคุณครู โต้วาทีกันบ้าง ยิ่งสื่อสารมากยิ่งรู้มาก มุมมองและองค์ความรู้ใหม่ๆเกิดขึ้นได้ก็เพราะความคิดที่แตกต่างนี่แหละค่ะ
  • Critical Thinking and Creativity แพทเทิร์นนี้จับมือเดินคู่ไปกับการสื่อสารเลยค่ะ เพราะเป็น “การคิดอย่างเป็นแบบแผน” ความสงสัยทำให้เกิดคำถาม-ตามมาด้วยการวิเคราะห์ปัญหา-นำพามาสู้การแก้-แล้วต่อยอดไอเดียใหม่ๆในที่สุด
  • Emotional Intelligence ความฉลาดและความสามารถในการจัดการอารมณ์ สำคัญนะคะ เพราะส่งผลต่อการทำงานร่วมกันอย่างมีความสุขและประสบความสำเร็จค่ะ
  • Management การจัดการ บริหารเวลา และความสามารถในการตัดสินใจ อย่างเหมาะสมตามวัยและวุฒิภาวะของเด็กๆ
  • Collaboration การทำงานร่วมกันกับ คุณครู-เพื่อน-พี่-น้อง-คุณพ่อคุณแม่ อย่างมีประสิทธิภาพ
  • Adaptability ความสามารถในการปรับตัว ให้เข้ากับสถานการณ์และการเปลี่ยนแปลงตามหน้างานที่เกิดขึ้น

 

Soft Skills ที่แข็งแรงจะทำให้เด็กๆมีทัศนคติที่ดีต่อการเรียนรู้ เพราะไม่ต้องลำบากในการท่องจำ แต่เปลี่ยนเป็น “ลองทำ” คุณลักษณะที่ติดตัวไปอย่างนี้จะทำให้เด็กๆ จัดการกับความสงสัยและคำถามของตัวเองได้เมื่อโตขึ้น และนั่นคือพฤติกรรมของ Life Long Learner ผู้ที่สามารถเรียนรู้ได้ตลอดชีวิต เหตุเพียงเพราะไม่ปล่อยให้คำถามหรือข้อสงสัยมาสกัดดาวรุ่งเอาไว้

โรงเรียนเขมะสิริอนุสสรณ์ โรงเรียนเขมะสิริอนุสสรณ์

 กิจกรรมมักดึงให้เด็กๆเกิดสมาธิอย่างเป็นธรรมชาติ

 

โรงเรียนเขมะสิริอนุสสรณ์ โรงเรียนเขมะสิริอนุสสรณ์

การสื่อสารจะตามมาเองผ่านการเรียนรู้ ช่วยเหลือระหว่างกัน

 

กิริยามารยาทงดงามแบบไทย

“มารยาท  หมายถึง กิริยา วาจาที่สุภาพเรียบร้อย ที่บุคคลพึงปฏิบัติในสังคมโดยมีระเบียบแบบแผน อันเหมาะสมตามกาลเทศะ”

  • คุณครูจะเป็นแบบอย่างในการปลูกฝัง ด้านกิริยาให้เรียบร้อย เช่น การยืน การเดิน การนั่ง การรับของส่งของ การทำความเคารพ การใช้ภาษาไทยให้ถูกต้อง และด้านวาจาให้ไพเราะ  เช่น  การทักทาย การสนทนา การใช้คำพูด การฟัง การใช้เครื่องมือสื่อสาร รวมทั้งการวางตัวในพิธีการต่าง ๆ ตามอัตลักษณ์ของทางโรงเรียน
    • พิธีไหว้ครู (แบบพราหมณ์-นักเรียนชั้น ม.ปลาย)
    • ทำบุญตักบาตรในวันพระ
    • การเทิดพระคุณเนื่องในโอกาสวันสำคัญต่างๆ
  • กิริยามารอันงดงามแบบไทยนี้เป็นเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่โดดเด่นซึ่งทำให้ประเทศเราได้รับการกล่าวขานว่าเป็น “The Land of Smile” หรือ รอยยิ้มที่มาพร้อมกับการยกมือไหว้ที่น่าประทับใจ
  • ความหลากหลายทางด้านวัฒนธรรมมีผลต่อความคิดและพฤติกรรมของเด็กไทยมากยิ่งขึ้น แต่เราสามารถผสมผสานและปรับให้เข้ากับความเป็นไทยได้ ตามแบบฉบับเขมะสิริค่ะ

โรงเรียนเขมะสิริอนุสสรณ์ โรงเรียนเขมะสิริอนุสสรณ์

บรรยากาศห้องเรียน

 

โรงเรียนกุลสตรีที่ Activity แน่น

กิจกรรมต่างๆจะปรับไปตามยุคสมัย ทางโรงเรียนจะฟังเสียงของเด็กๆเสมอ  มีชมรม “เฉพาะทาง” เพิ่มขึ้นมากมาย ได้แก่ ชมรม Cover-Dance (ทางโรงเรียนก็เชิญไปเต้นเปิดกิจกรรมต่างๆ) ชมรม Cost play ชมรมถ่ายภาพ ชมรมดนตรี ทุกกิจกรรมในชมรมก็เป็นการบูรณาการศาสตร์ต่างๆเข้าไปด้วยและก็สร้าง Social Skills ให้แก่เด็กๆด้วย

ขั้นตอนการดำเนินงาน

  • เด็กๆจะเป็นผู้นำในการทำกิจกรรมเอง โดยมีพี่ๆเป็นผู้ และมีคุณครูที่ปรึกษาคอยดูแลในการดำเนินกิจกรรม
  • ทำการนำเสนอบนเวที
  • การเลือกชมรม
  • พี่นำน้อง น้องตามพี่ ทำกิจกรรมตามที่ได้วางแผนงานไว้ เพราะจะมีการประเมินผลเช่นกัน เพื่อการเรียนรู้
  • ผลผลิตจากชมรม จะนำเสนอผลงานในวันวิชาการเพื่อแสดงผลงานทางวิชาการ (ออกบูธในวันวิชาการ-จัดขึ้นในสัปดาห์ที่ 3 ของเดือนมกราคม)

โรงเรียนเขมะสิริอนุสสรณ์ โรงเรียนเขมะสิริอนุสสรณ์ โรงเรียนเขมะสิริอนุสสรณ์ โรงเรียนเขมะสิริอนุสสรณ์

กิจกรรมศิลปะ ดนตรี กีฬา การงาน เรียบง่ายแต่สนุกและสร้างสรรค์ไม่เป็นรองใครเช่นกันค่ะ

 

คุณครูก็ต้องพร้อม

ในการสร้างให้เด็กๆเป็น Life Long Learner แล้ว คุณครูเองก็ต้องเป็นแบบอย่างเช่นกัน ถ้าหากผู้หญิงอย่าหยุดสวย ศักยภาพคุณครูก็ต้องไม่หยุดพัฒนาเช่นกัน การพัฒนาบุคคลากรครูของโรงเรียนเขมะสิริอนุสสรณ์ อยู่ในรูปแบบชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (PLC : Professional Learning Community) คือ การที่ครู ผู้บริหาร ได้มาแบ่งปันแนวคิดเพื่อพัฒนาแนวทางการสอน และสร้างสภาพแวดล้อมในการเรียนรู้ที่เหมาะสม ที่จะช่วยให้นักเรียนทุกคนสามารถบรรลุศักยภาพสูงสุดของตนเองได้

  • ช่วยให้ครูมีโอกาสปรับปรุงการเรียนการสอนได้โดยตรง
  • สร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นระหว่างสมาชิกในทีม
  • ช่วยให้ครูติดตามงานวิจัยและเครื่องมือเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นใหม่สำหรับห้องเรียน : จะทำให้ครูมีโอกาสเรียนรู้จากกันและกันอย่างต่อเนื่อง ทั้งในและนอกโรงเรียน ผ่านช่องทางหรือแพลตฟอร์มที่หลากหลาย
  • ช่วยให้ครูสะท้อนความคิด : การเรียนรู้จากคนอื่น ๆ ในวง PLC ทำให้ครูสามารถไตร่ตรองถึงการปรับวิธีการสอน และปรับวิธีการปฏิบัติของตนเอง และยิ่งในวง PLC มีความคิดเห็นที่แตกต่างหลากหลายมากเท่าไหร่ ครูก็จะยิ่งมีโอกาสที่จะเพิ่มคุณค่าในการทำงานของตัวเองมากขึ้นเท่านั้นค่ะ

 

Mommy’s Love This!

  • ใช้การสอนแบบ Active Learning รับรองว่าเด็กๆจะมีเรื่องกลับไปเล่าให้คุณพ่อคุณแม่ฟังอย่างสนุกสนานแน่นอน
  • มีทั้งชั้นเรียนปกติ (ป.1-ม.6) และชั้นเรียน IEP (ป.1-ม.3) ทั้งหมดล้วนทำกิจกรรมในระดับชั้นร่วมกัน เข้าเรียน ป.1 เติบโตร่วมกันไป 12 ปีเลยค่ะ
  • มีกิจกรรมนอกห้องเรียนมากมาย และหลากหลาย เช่น ป.1ไปตลาดกรุงธน, ป.2 บำเพ็ญประโยชน์ให้ชุมชน และ ป.3 ไปจ่ายตลาด รวมไปถึงการเรียนเพื่อไปเป็นผู้ประกอบการตั้งแต่เด็ก
  • กิริยามารยาทงดงามแบบไทย แต่ความคิดทันสมัย กล้าคิด กล้าสื่อสาร
  • คุณครูพัฒนาตัวเองตลอดเวลาด้วย ชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (PLC : Professional Learning Community) การเรียนการสอนและกิจกรรมจะสดใหม่หมุนไปพร้อมกับโลก

โรงเรียนเขมะสิริอนุสสรณ์ โรงเรียนเขมะสิริอนุสสรณ์ โรงเรียนเขมะสิริอนุสสรณ์ โรงเรียนเขมะสิริอนุสสรณ์

ห้องสมุดขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยหนังสือมากมาย

 

5 สิ่งที่ทำให้เด็กๆอยากมาโรงเรียนทุกวัน

  1. Active Learning-สุข สนุก เรียนผ่านกิจกรรมที่เด็กๆทุกคนตั้งตารอคอย
  2. เพื่อนหญิง พลังหญิง อยู่รวมกันอย่างสบายใจ เป็นเพื่อนกันไปจนโตเลยค่ะ
  3. คุณครูเป็นมิตร เข้าหา เข้าใจ ใกล้ชิด เป็นอีกหนึ่งพื้นที่ปลอดภัยให้แก่เด็กๆ
  4. กิจกรรมและชมรมคือพื้นที่ให้เด็กๆลงมือปฏิบัติ แสดงความคิด ความเป็นตัวเองอย่างอิสระ Class Project จะกลายเป็นหนึ่งในความภาคภูมิใจของเด็กๆ
  5. ห้องสมุดและห้องทักษะชีวิต สถานที่ให้สาระและความสนุก อ่านเขียน เรียนเล่น อย่างสบายใจ

 

โรงเรียนเขมะสิริอนุสสรณ์

คุณครูชนิดา ตันไพบูลย์ ผู้อำนวยการโรงเรียนเขมะสิริอนุสสรณ์

 

 

โรงเรียนเขมะสิริอนุสสรณ์ ค่าเทอม

สำหรับค่าธรรมเนียมการศึกษา (โดยประมาณ)

ห้องเรียนปกติ (นักเรียนไป-กลับ) ป.1-ม.6 ประมาณ 26,500-28,100 บาทต่อเทอม

ห้องเรียน IEP (นักเรียนไป-กลับ) ป.1-ม.3 ประมาณ 54,000-56,100 บาทต่อเทอม

ห้องเรียนปกติ (นักเรียนประจำ) ป.3-ม.6 ประมาณ 50,400-54,800 บาทต่อเทอม

ห้องเรียน IEP (นักเรียนประจำ) ป.3-ม.3 ประมาณ 78,100-81,200 บาทต่อเทอม

ค่าลงทะเบียนแรกเข้า

60,000 – 95,000 บาท

 

ที่อยู่

โรงเรียนเขมะสิริอนุสสรณ์

เลขที่ 210 ถนนราชวิถี แขวงบางยี่ขัน เขตบางพลัด กรุงเทพมหานคร 10700

โทรศัพท์ :02-4242244,02-4245777,02-4242255,02-4245377-79

E-mail : [email protected] , Line: @khemasiri

โรงเรียนเขมะสิริอนุสสรณ์ (khemasiri.ac.th)

 

Editor : แม่พลอยผิง

ภาพ : ธนายุต วิลาทัน


นม UHT

รีวิวจัดเต็ม นม UHT กล่องแรกของลูกวัย 1 ขวบ ที่มีสารอาหารช่วยพัฒนาสมองสูง

พอลูกเริ่มวัยขวบ คุณพ่อคุณแม่ได้มีหาข้อมูลเลือก นม UHT กล่องแรกให้ลูกกันไว้แล้วหรือยังคะ ถ้ายังไม่มี วันนี้ทีมแม่ ABK มาแนะนำให้ค่ะ ขอบอกว่าเป็นนมกล่องระดับพรีเมียม สารอาหารสมองจัดเต็ม เหมาะที่จะเป็นนมกล่องแรกของลูกวัย 1 ขวบขึ้นไป เสริมให้ลูกดื่มบำรุงร่างกาย สมอง และภูมิคุ้มกัน เพื่อที่จะได้พร้อมเรียนรู้ในทุกวันค่ะ

การเริ่มนมกล่องแรกให้ลูก สิ่งสำคัญที่คุณพ่อคุณแม่ต้องคำนึงถึงเป็นอันแรกเลยก็คือในเรื่องของสารอาหารค่ะ เด็กที่เข้าสู่วัย 1 ขวบ จะมีพัฒนาการอย่างก้าวกระโดดในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นพัฒนาการด้านร่างกาย พัฒนาการสมองการเรียนรู้ เด็ก ๆ ในช่วงวัยนี้ร่างกายมีความต้องการสารอาหารที่หลากหลายและเพิ่มขึ้นอย่างมากค่ะ โดยเฉพาะสารอาหารที่ช่วยส่งเสริมการทำงานของสมอง ซึ่งลูกควรได้รับอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้พัฒนาการสมองการเรียนรู้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เวลาที่ลูกได้เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ก็จะสามารถเรียนรู้ จดจำได้อย่างรวดเร็ว และแม่นยำ

7 สารอาหารควรเสริมให้ลูก ยิ่งกิน ยิ่งดีต่อสมอง และภูมิคุ้มกัน ช่วยลูกเติบโตแข็งแรงสมวัย

ร่างกายเจริญเติบโตดี มีสมองการเรียนรู้ดี ก็ต้องดูแลให้ลูกมีสุขภาพที่แข็งแรงไปพร้อมกันด้วยนะคะ มาดูกันค่ะว่ามีสารอาหารอะไรบ้างที่ควรส่งเสริมให้ลูกรักของคุณพ่อคุณแม่ได้รับอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้มีความพร้อมสมบูรณ์ทั้งร่างกาย สมอง และภูมิคุ้มกัน

ดีเอชเอ  ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการรับส่งข้อมูลระหว่างเซลล์ประสาท ช่วยให้สมองจำได้ดี ร่างกายไม่สามารถสร้างดีเอชเอขึ้นเองได้ จำเป็นต้องได้รับจากอาหารเท่านั้นค่ะ ซึ่งแหล่งอาหารของดีเอชเอคือ นมแม่ ปลาทะเลน้ำลึก ปลาน้ำจืด สาหร่ายทะเล เป็นต้น

โอเมก้า 369 ช่วยบำรุงสมอง สายตา อีกทั้งเสริมสร้างการเชื่อมต่อของโครงข่ายใยประสาทของเซลล์สมอง พบในปลาทะเล อะโวคาโด้ ไข่แดง และธัญพืช เป็นต้น

สฟิงโกไมอีลิน เป็นสารอาหารชนิดหนึ่งที่พบมากในนมแม่ สฟิงโกไมอีลินมีส่วนสำคัญอย่างมากในการช่วยสร้างไมอีลินในสมอง ซึ่งมีผลต่อการทำงานของสมองให้คิดเร็ว เรียนรู้ไว

วิตามินซี มีหน้าที่ช่วยให้การทำงานของระบบภูมิคุ้มกันให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ  วิตามินซีจะเข้าไปช่วยลดสารอนุมูลอิสระและการอักเสบของระบบร่างกายภายใน แหล่งอาหารของวิตามินซี พบมากใน ส้ม ฝรั่ง กีวี่ ผลไม้ตระกูลเบอรี่ เป็นต้น

วิตามินบี 12  ช่วยเสริมสร้างการทำงานของระบบประสาทและสมอง พบในอาหารทะเล ตับ ชีส นม และไข่ เป็นต้น

โฟเลต(วิตามินบี 9)  มีส่วนช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดงตามปกติ ช่วยสร้างความเจริญเติบโตของร่างกายและสมอง แหล่งอาหารของโฟเลต พบมากในผักสดใบเขียว อะโวคาโด หล่อไม้ฝรั่ง มะเขือเทศ ถั่วเมล็ดแห้ง ธัญพืชไม่ขัดสี เป็นต้น

แคลเซียม ช่วยในการทำงานของกระดูกและฟัน แหล่งอาหารของแคลเซียม พบมากใน นม ชีส โยเกิร์ต ผักใบเขียว(คะน้า บร็อคโคลี่) ไข่ไก่ เป็นต้น

เด็ก ๆ ที่ได้รับสารอาหารที่หลากหลาย และได้รับในปริมาณที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย จะช่วยให้ร่างกายมีการเจริญเติบโตดี มีสุขภาพที่แข็งแรง และสมองมีการเรียนรู้ได้อย่างดีค่ะ

เทียบสารอาหารนม UHT นมกล่องแรก ตัวปังระดับพรีเมียมสำหรับเด็ก 1 ขวบ+ มีสารอาหารสมองสูง

นม UHT

นม UHT

นม UHT

นม UHT ที่ทีมแม่ ABK นำมาฝากนี้ คุณพ่อคุณแม่พอจะเลือกนมกล่องแรกให้ลูกกันได้แล้วหรือยังคะ ต้องบอกว่านม UHT ทั้ง 6 กล่องนี้ เต็มไปด้วยสารอาหารสำคัญต่อสมอง ภูมิคุ้มกัน ดื่มแล้วดีได้ประโยชน์กับลูกอย่างแน่นอนค่ะ

ทีมแม่ ABK ขอแนะนำนมกล่อง UHT เป็นแบรนด์ที่อยู่คู่ครอบครัวไทยมาอยากยาวนาน และเด็ก ๆ ก็ชอบดื่มกันค่ะ นั่นก็คือ ฟรีสแลนด์คัมพิน่า ประเทศเนเธอร์แลนด์ ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการและพัฒนาการเด็กได้คิดค้น นมที่มีสารอาหารบำรุงสมองเด็กที่จำเป็นครบถ้วน ช่วยบำรุงพร้อมส่งเสริมพัฒนาการสมอง ร่างกาย และสร้างภูมิคุ้มกัน  สำหรับ FOREMOST OMEGA 369 GOLD 1 PLUS นมกล่องแรกของลูก ที่มีสารอาหารบำรุงสมอง และเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ช่วยให้ร่างกายเจริญเติบโตสมบูรณ์แข็งแรงสมวัย


ติดตามบทความน่าสนใจเกี่ยวกับแม่และเด็กได้ที่

Facebook https://www.facebook.com/AmarinBabyAndKids/

เพลินมอนเตสซอรี่

เพลินมอนเตสซอรี่ โรงเรียนวิถีมอนเตซอรี่ ที่เคารพ ดูแล ให้ความรู้และสร้างแรงบันดาลใจให้กับเด็ก

ใครกำลังสนใจอยากให้ลูกเรียน โรงเรียนวิถีมอนเตสซอรี่ วันนี้ School Visit มีโรงเรียนเล็กๆ แต่อบอุ่นย่านทวีวัฒนามาฝากค่ะ เพลินมอนเตสซอรี่

เปิดสอนเด็ก อายุ 18 เดือน -6 ปี ที่ใช้แนวทางการศึกษา​วิถีมอนเตสซอรี โดยใช้หลักสูตรนานาชาติ Montessori Australia Curriculum ก่อตั้งโดย ครูปิ่น-ธิดารัตน์ รัตนเลิศ เจ้าของโรงเรียนและคุณแม่ Fulltime ที่เลี้ยงลูกด้วยตนเองด้วยวิถีมอนเตสซอรี่มาตลอดระยะเวลาหลายปี ครูปิ่นผ่านการอบรมเชิงปฏิบัติการหลักสูตรมอนเทสซอริสำหรับเด็กอายุ 0-3 ปีจากสมาคมมอนเตสซอรี่แห่งประเทศไทย จบการศึกษา Primary Montessori Teacher Training (for 3-6 year old) และ AMI Orientation Course (6-12 year old) จาก Association Montessori Internationale (AMI) และอยากสร้างคอมมูนิตี้คุณพ่อคุณแม่ ที่มีความสนใจในด้านเดียวกัน โดยปรับเปลี่ยนบ้านให้เป็นที่เรียนมอนเตสซอรี่ เริ่มจากเปิด Playgroup กลุ่มเด็กเล็กๆ เรียนเพียงสัปดาห์ละครั้ง จนปัจจุบัน ได้จดเป็นสถานรับเลี้ยงเด็กที่สามารถดูแลเด็กได้ตั้งแต่ 0-6 ขวบได้อย่างถูกกฎหมายในบ้านของตนเอง กว่า 6 ปีที่ผ่านมา บ้านหลังนี้ก็กลายเป็นบ้านหลังที่ 2 ของเด็กๆ ที่มาเรียนแล้วมีความสุข และได้พัฒนาตนเองอย่างเป็นธรรมชาติ

เด็กๆเล่นอิสระตามมุนต่างอย่างมีความสุข

เคารพ•ดูแล•ให้ความรู้•สร้างแรงบันดาลใจ

เพราะเราเชื่อว่า เด็กแต่ละคนเป็นบุคคลที่มีศักยภาพไม่จำกัด เราจะเป็นผู้ช่วยให้เด็ก ๆ แต่ละคนตั้งแต่เด็กเล็กไปจนถึงเด็ก 6 ขวบ ได้พึ่งพาตนเอง เป็นอิสระ บรรลุเป้าหมาย ก้าวไปไกลกว่าการเรียนรู้ในห้องเรียน ที่นี่ทุกๆเช้าเด็กจะได้เล่นอย่างอิสระ ไม่ว่าจะเป็นที่สนามเด็กเล่น หรือในสวน ในสิ่งแวดล้อมมอนเตสซอรีที่ได้จัดเตรียมไว้อย่างสมบูรณ์ ได้หัดสังเกตธรรมชาติ ทำงานสวน หรือเก็บไข่ไก่ หลังจากนั้น จะเป็น กิจกรรมวงกลม ร้องเพลง ฟังนิทาน และเข้าห้องเรียน ซึ่งเด็กๆสามารถเลือกได้ว่าจะเรียนหรือเบรกทานอาหารว่างก่อน โดยเลือกของว่างที่อยากทานด้วยตนเอง ได้นั่งทานและล้างจานเองอีกด้วย

ที่เพลินมอนเตสซอรี่ มีหลากหลายมุมหลากหลายหมวดให้เด็กๆเลือกเล่นอิสระ มีห้องเตาะแตะ หมวดการดูแลตนเอง ดูแลสิ่งแวดล้อม การเตรียมอาหาร ภาษา ศิลปะ ดนตรี ตากับมือประสานกัน เป็นต้น สำหรับห้องพี่ๆ 3-6 ขวบ จะมีหมวดชีวิตประจำวัน หมวดประสาทรับรู้ หมวดคณิตศาสตร์ หมวดภาษา หมวดวัฒนธรรม

การสอนแบบมอนเตสซอรี่เน้นตัวเด็กเป็นหลักคือ Follow The Child เด็กมีสิทธิที่จะรู้และมีสิทธิที่จะเลือก คุณครูหรือผู้ปกครองจะเป็นผู้คอยสังเกตและสนับสนุนด้วยใจสบายๆ ไม่แทรกแซง เคารพเด็กและปล่อยให้เขาได้เรียนรู้ด้วยตัวเอง ไม่ต้องเร่งเรียน เพราะเด็กแต่ละคนมีความพร้อมไม่เหมือนกัน ให้เด็กๆเรียนรู้จากสิ่งแวดล้อมรอบ ๆ ตัว ทำให้เด็กเกิดความอยากรู้ อยากเห็นและพัฒนาการทุก ๆ ด้านในเวลาเดียวกัน สิ่งแวดล้อมภายในจะถูกจัดวางตามหมวดหมู่ต่างๆ เรียนรู้ที่จะแก้ไขปัญหาด้วยตนเอง เช่น ถือของอย่างไรไม่ให้หล่น รินน้ำอย่างไรไม่ให้หกหรือล้นออกจากแก้ว เป็นการปูพื้นฐานหลายๆวิชาทั้งคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ งานบ้านง่ายๆอย่างการการปอกแอปเปิ้ล กลายเป็นสิ่งที่ทำให้เด็กได้รับรู้ประสาทสัมผัสหลายๆอย่าง ทั้งสีของแอปเปิ้ลที่แตกต่างกันในแต่ละลูก กลิ่นของแอปเปิ้ลและรูปทรงต่างๆ ได้เรียนรู้การมองเห็น การชิมรส การได้ยิน การดมกลิ่น เป็นความรู้สึกที่ใช้ประสาทสัมผัสร่วมกัน ได้เรียนรู้วิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์แบบง่ายๆ และยังสร้างความรู้สึกมีคุณค่าในตัวเองให้กับเด็กๆ ด้วย

บรรยากาศห้องเรียนที่แสนจะอบอุ่นและเชื้อเชิญให้เด็กๆอยากเข้ามาใช้งาน

โซนอาหารและของว่าง ที่เด็กๆสามารถเลือกทานเองได้ตามต้องการ หัดช่วยเหลือตัวเองจากงานบ้านแบบง่ายๆ

การเล่นอิสระวิถีมอนเตส คุณครูจะจัดวางของเล่นไว้ในถาดไม้ เมื่อเล่นเสร็จเด็กจะนำมาเก็บไว้ที่เดิม และจึงเล่นถาดต่อไป ช่วยให้เด็กหัดใช้อุปกรณ์ร่วมกีบผู้อื่น

 

คุณครูมีแผนการเรียนการสอนและไกด์ไลน์ว่าเด็กอายุเท่าไหร่ควรเรียนอะไรบ้าง อยู่โซนไหน แนะนำอุปกรณ์ให้กับเด็ก และคอยสังเกตว่าเมื่อแนะนำแล้วเด็กสนใจหรือไม้ ถ้าไม่สนใจก็เป็นสิทธิของเขา วันหนึ่งที่เขากลับมาสนใจ ก็กลับมาดูกันใหม่และสังเกตว่าเด็กสนใจอะไร ทำอะไรได้ดี ทางโรงเรียนก็จะเสริมสิ่งที่เด็กสนใจ และมีหลักสูตรที่ชัดเจน ไม่ใช่ว่าเล่นตามใจชอบเพียงอย่างเดียว ที่นี่เคารพเด็ก ถ้ายังไม่สนใจ ก็แค่รอ เมื่อไหร่ที่สนใจเด็กก็มีสิทธิทำซ้ำจนพอใจ จนเกิดการพัฒนา เด็กต้องได้เล่นของเล่นที่เป็นของจริง เพื่อจะได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริง โดยเริ่มจากง่ายไปยากเป็นลำดับขั้นตอน อุปกรณ์ต่างๆจะมีเฉพาะสำหรับวางอุปกรณ์ เพื่อที่เด็กจะได้จัดเก็บอุปกรณ์เข้าที่ให้เรียบร้อย เมื่อเล่นเสร็จ ช่วยให้เด็กมีวินัยและรู้จักการเรียนรู้การใช้อุปกรณ์ร่วมกันกับผู้อื่น

 

เพลินมอนเตสซอรี่ – ห้องเรียนมอนเตสวิถีธรรมชาติ

ที่เพลินมอนเตสซอรี่ไม่ได้เน้นเฉพาะห้องเรียนเท่านั้น แต่บริเวณรอบๆบ้าน ก็เป็นสิ่งแวดล้อมที่เหมาะกับการเรียนรู้ของเด็กๆ เพราะเชื่อว่าการเรียนรู้ไม่ได้มีแค่เฉพาะในห้องเรียนเท่านั้น อยากให้เด็กได้สัมผัสธรรมชาติให้มากที่สุด ทั้งแปลงผัก ต้นไม้ พื้นหญ้า เล้าไก่ บ้านกระต่าย บ่อทราย และสนามเด็กเล่น ออกแบบมาเพื่อให้เด็กๆเรียนรู้อย่างมีความสุข ที่นี่ให้เด็กเล่นที่สนามหรือนอกห้องเรียนค่อนข้างเยอะ เพราะอยากให้เด็กสงสัย แต่การสงสัยต้องไม่ได้เกิดจากการบอก แต่เกิดจากการเห็น เช่น วันนี้ต้นลำไยเพิ่งมีดอก อยู่มาตั้งนานทำไมเพิ่งได้ทานลำไยนะ ทำไมเมื่อวันก่อนต้นหญ้ายาวแต่วันนี้ต้นหญ้าแห้งไปแล้ว เป็นสิ่งที่ครูไม่ได้บอกแต่การที่เด็กได้ออกมาเจอสิ่งแวดล้อมเดิมที่เปลี่ยนแปลงไป กระตุ้นให้เด็กสงสัย เรียนรู้และตั้งคำถามด้วยตนเอง ผู้ใหญ่อาจจะคิดว่าการทำอะไรซ้ำๆดูน่าเบื่อ แต่เด็กมีประสาทสัมผัสที่ละเอียดกว่า จึงทำให้เขาสามารถเรียนรู้ในสิ่งแวดล้อมเดิมได้ดี และความเบื่อนั้นก็สำคัญ ควรปล่อยให้เด็กได้รู้จักความเบื่อบ้าง ไม่ต้องคอยเติมความสุขให้ตลอดเวลา เพราะเมื่อไหร่ที่เขาเจอความทุกข์เขาจะไม่รู้จักและหาทางออกไม่เป็น

เพลินมอนเตสซอรี่

เพลินมอนเตสซอรี่

เรียนรู้นอกห้องเรียน ทั้งทำสวน เก็บไข่ ปลูกผักและเล่นปีนป่าย เด็กจะได้ทดลองทำเองทุกขั้นตอน

  เพลินมอนเตสซอรี่

เพลินมอนเตสซอรี่

เพลินมอนเตสซอรี่

เพลินมอนเตสซอรี่

เพลินมอนเตสซอรี่

บรรยากาศมุมต่างๆภายในโรงเรียน

 

โปรแกรมต่างๆที่ เพลินมอนเตสซอรี่

ที่เพลินมอนเตสซอรี่ มีแพคเกจที่หลากหลาย ผู้ปกครองสามารถเลือกได้ตามความต้องการของตนเอง

โปรแกรม Parents &toddlers เป็นเพลย์กรุ๊ปสำหรับผู้ปกครองและเด็กวัยหัดเดินสำหรับเด็กอายุ 1.6-3 ปี และโปรแกรมมอนเตสซอรี่โฮมสคูล เป็นทั้งแบบมาบางวัน แบบครึ่งวันและเต็มวัน สำหรับเด็กอายุ 18 เดือนจนถึงชั้นอนุบาล เพราะทางโรงเรียนเชื่อว่าประสบการณ์ในโรงเรียนของเด็กๆ ควรเต็มไปด้วยความเข้าใจ ส่งเสริมความอยากรู้อยากเห็น การสำรวจ ความเป็นอิสระและความสนุกสนาน

 

สำหรับเด็กวัย 18 เดือน -3 ขวบ มีกิจกรรมกลุ่มร่วมกับพ่อแม่ผู้ปกครอง

สำหรับ เด็กวัย 18 เดือน -6 ขวบ มีคลาสเตรียมอนุบาล – อนุบาล 3 ทั้งแบบมาร่วมกิจกรรมทั้งแบบครึ่งวันและเต็มวัน

ช่วยให้เด็กๆได้พัฒนาการพึ่งพาตนเอง ระเบียบวินัยในตนเอง ได้รับอิสระภาพภายในขอบเขต รวมทั้งได้บริหารกล้ามเนื้อมือให้แข็งแรง เพื่อให้มือเล็กๆ พร้อมที่จะจับดินสอเมื่อถึงเวลา มีครูต่างชาติคอยเสริมภาษาอังกฤษให้เป็นไปอย่างธรรมชาติ และคุณครูจะส่งรายงานทุกเดือนว่าเด็กๆทำกิจกรรมอะไรบ้าง มีการประเมินเด็กทุกเทอม และมี Portfolio ให้เมื่อจบการศึกษา

เพลินมอนเตสซอรี่

 ครูปิ่น – ธิดารัตน์ รัตนเลิศ

 

Mommy’s Love This ! ถูกใจแม่

  1. ที่นี่สะอาด และปลอดภัย เพราะติดเครื่องฟอกอากาศ Hepa filter ทุกห้อง ติดตั้งเครื่องฆ่าเชื้อระบบ UVC โอโซน O3
  2. ทำความสะอาดอุปกรณ์และห้องเรียนหลังเรียนเสร็จทุกรอบ
  3. ทางโรงเรียนส่งครูอบอรมเกี่ยวกับ CPR ทุกคน จึงมั่นใจได้ว่าเด็กๆจะปลอดภัย
  4. เด็กที่นี่จะพูดภาษาอังกฤษได้อย่างเป็นธรรมชาติ เพราะมี Teacher คอยพูดคุยกับเด็กๆอยู่ตลอดเวลา
  5. กิจกรรมหลากหลาย เหมาะสมกับช่วงวัย และเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์ขนาดพอดีสำหรับเด็กๆ ของทุกอย่างเลือกตามความเหมาะสมโดยคำนึงถึงเด็กๆ และศักยภาพของเด็กเป็นหลัก

 

อัตราค่าเล่าเรียน

รายเดือน

  • 24,000บาท รายเทอม (4 เดือน) 90,000.บาท

รายครั้ง

  • เรียน 4 ครั้ง ค่าเรียน 6,000 บาท
  • เรียน 10 ครั้ง 12,000 บาท
  • เรียน 20 ครั้ง 20,000 บาท

สนใจนัดเยี่ยมชมสถานที่ โดยนัดหมายล่วงหน้า เปิดเยี่ยมชมเฉพาะวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 15:30-16:30น.

เปิดรับสมัครเด็ก ๆ1.6-3+ขวบ และผู้ปกครองมาเรียนรู้ร่วมกัน ในคลาส Parents and toddlers playgroup

 

คลาสเรียน เปิดให้ลงชื่อทุกต้นสัปดาห์

  • วันอังคาร เช้า 9:30am-11:30am
  • วันพฤหัส เช้า 9:30am-11:30am
  • วันเสาร์ เช้า 9:30am-11:30am

 

ที่อยู่

  • 36/6 ซอยทวีวัฒนา 14
  • 13°46’17.6″N 100°20’38.7″E
  • https://goo.gl/maps/WnsRbPC4EjP2
  • เปิด​รับสมัคร​เด็กๆมาร่วมเรียน เตรียมอนุบาล – อนุบาล3 จำนวนจำกัด สำหรับปี 2566 (18เดือน-6ขวบ)
  • เรียนทุกวันจันทร์-ศุกร์ 8.30-15:00 น.
  • (หยุดเสาร์-อาทิตย์)
  • https://plearnmontessori.com/

Editor : แม่เลม่อน

ภาพ : ธนายุต วิลาทัน, ภูเบศ บุญเขียว


 

เก็บของเล่น

3 วิธีได้ผลจริง สอนลูก เก็บของเล่น ลูกยอมทำโดยง่าย

การสร้างวินัยเชิงบวกอย่างการสอนให้ลูก เก็บของเล่น เล่นของเล่นเสร็จแล้วเก็บให้เรียบร้อยด้วย ประเด็นนี้เหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย

หากอยากฝึกให้ลูกเก็บของเล่นที่ตัวเองเล่น จะต้องใช้เวลาและการฝึกฝนให้ลูกเรียนรู้จนเป็นนิสัย การให้เด็กๆได้ทำอะไรด้วยตัวเองคือการฝึกเรื่องความรับผิดชอบ ซึ่งมีส่วนช่วยให้พวกเขารู้จักจัดการชีวิตของตัวเองอย่างเป็นระบบ รวมถึงฝึกทักษะจัดการอารมณ์ การสร้างวินัยเหล่านี้ให้ลูกตั้งแต่ยังเล็กจะเป็นเกราะชั้นดีให้ลูกน้อยเติบโตขึ้นมาอย่างมีคุณภาพ

สอนลูกอย่างไรให้ เก็บของเล่น เล่นแล้วเก็บ

1. ใครเล่น คนนั้นเก็บ

สร้างกฎเล็กๆ ในครอบครัวว่าถ้าใครเป็นคนเริ่มหยิบออกมาเล่น ก็ต้องเก็บเอง แม้เริ่มแรกอาจยากสักหน่อย พ่อแม่อาจต้องอดทนและฝึกรอคอยไปด้วยกันกับลูก ไม่ควรอารมณ์เสียหรือหงุดหงิดใส่ลูกเมื่อเขาอาจเก็บของช้าไม่ทันใจ แต่ควรให้กำลังใจ และรอชื่นชมเมื่อลูกทำสำเร็จ

2. ใครเก็บ คนนั้นได้เล่น

การที่ลูกเอาของเล่นออกมาเล่นแล้วไม่ยอมเก็บ ถือเป็นหนึ่งในวิธีแสดงอำนาจเหนือกว่าพ่อแม่ ครูหม่อม – ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ปนัดดา ธนเศรษฐกร ผู้ช่วยผู้อำนวยการด้านศูนย์พัฒนาเด็กปฐมวัย สถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล แนะนำว่า พ่อแม่สามารถเก็บของเล่นแทนลูกได้ แต่ให้เก็บไว้ในที่สูงที่ลูกหยิบไม่ถึง และเมื่อลูกร้องขอจะเล่นอีก ก็ให้ใช้วิธีถามลูกว่าครั้งที่แล้วใครเป็นคนเก็บ ถ้าลูกอยากเล่น ก็ยอมให้เล่นด้วย แต่ต้องช่วยกันเก็บก่อน เพราะครั้งที่แล้วลูกไม่ได้เก็บ เป็นการให้ลูกยอมทำตามกฎที่เราตั้งไว้ ถ้าลูกไม่ยอมเล่น ก็ไม่เป็นไร เพราะถือว่าลูกได้รับการสอนแล้ว ลูกก็จะจดจำได้ว่าการจะเล่นของเล่นได้ ต้องอยู่ในกฎกติกาตามนี้

3. เก็บของเล่น เก็บที่ไหน เก็บอย่างไร

ควรกำหนดพื้นที่ใช้งานให้ชัดเจน เด็กจะเรียนรู้ว่าหากเล่นคือพื้นที่นี้ หากจะรับประทานอาหารต้องไปห้องครัว หรืออยากนอนต้องไปห้องนอน พ่อแม่สามารถสร้างกฎเบาๆ ให้ลูกเรียนรู้ได้ตั้งแต่ยังเล็ก

หากบ้านมีพื้นที่จำกัด ลองมองหาสักมุมไว้เป็นพื้นที่กิจกรรม อาจกั้นคอกเป็นพื้นที่ของลูก หรือแบบง่ายๆเลยคือปูพรมหรือเสื่อรองคลานสักผืน ก็จัดมุมให้ลูกได้แล้ว สำคัญที่สุดคือการจัดพื้นที่จัดเก็บ โดยหากล่องหรือลังมาสักใบแล้วอาจชวนเด็กๆ ลงมือแยกประเภทของเล่น ด้วยการแปะกระดาษหรือทำสัญลักษณ์แยกประเภทไว้ ให้เขาสามารถแยกหมวดหมู่ของเล่นด้วยตัวเอง

 

ไอเดียจัดพื้นที่จัด เก็บของเล่น ให้ลูก

ตู้ลิ้นชักแบ่งช่อง เป็นของต้องมีในบ้านที่มีเด็กเล็ก นอกจากช่วยจัดระเบียบให้บ้านดูเรียบร้อยแล้ว ตู้แบบนี้ยังช่วยให้เด็กๆ สามารถคิดต่อยอดได้เองว่าจะเอาอะไรวางไว้ตรงไหนในแต่ละช่อง ช่วยฝึกฝนทักษะการคิดวิเคราะห์เรื่องรูปทรง ขนาด และพื้นผิวสัมผัสของของเล่นที่เขามี โดยพ่อแม่ไม่ควรไปกดดันหรือบังคับ ก็จะช่วยให้ลูกรู้สึกว่าการเก็บของเป็นเรื่องสนุก

 

สร้างพื้นที่ส่วนตัว ผู้ใหญ่อย่างเราชอบการมีพื้นที่ส่วนตัว เด็กๆ ก็ไม่ต่างกัน แต่พื้นที่ส่วนตัวนั้นต้องอยู่บนพื้นฐานของความปลอดภัย และยังอยู่ในสายตาผู้ใหญ่ด้วย พื้นที่ส่วนตัวสำหรับเด็กช่วยสร้างจินตนาการ และช่วยสร้างความมั่นใจหากในอนาคตลูกต้องอยู่ห่างผู้ปกครองบ้างหรืออยู่คนเดียว เขาจะได้ฝึกทักษะการพึ่งพาตนเอง ซึ่งก็ไม่จำเป็นต้องสร้างห้องใหม่ เราชอบไอเดียการทำมินิเต็นท์ โดยหาเต็นท์เล็กๆ ของเด็กมาวางในห้องนอน หรือเลือกซื้อที่ครอบเตียงขนาดเล็กๆ ให้เด็กๆได้เล่นในโลกส่วนตัวแบบที่ยังอยู่ในสายตาพ่อแม่

เต็นท์คลุมเตียงลวดลายสัตว์ทะเล รุ่น คูร่า จาก IKEA

 

เก็บของแบบเคลื่อนย้ายได้ บางครั้งเด็กๆ ยังรู้สึกอยากเล่นของเล่นบางชิ้นอยู่ ไม่อยากเก็บเข้าที่ในทันที ลองหาชั้นวางหรือกล่องเก็บแบบที่เคลื่อนย้ายได้ ให้ลูกสามารถเก็บของและยกย้ายไปกับเขาได้ ก็จะสะดวกและไม่ต้องคอยตามหาของ หรือเรียกให้ผู้ใหญ่มาช่วยหยิบให้ หากเลือกแบบที่สวยๆ หน่อยก็วางตกแต่งห้องได้ในตัวด้วย

ที่เก็บของแบ่งช่องบุผ้าตาข่าย รุ่น ทิเกร์ฟินก์

 

บ้านคุณนัยนารถ โอปนายิกุล – คุณยอด ตันติอนุนานนท์

ลิ้นชักเก็บของหลากสีสัน ใช้สีเป็นตัวแบ่งประเภทของที่จัดเก็บด้านใน ฝึกให้เด็กๆได้แยกของแบบเป็น หมวดหมู่

 

บ้านคุณภาคภูมิ หอมสุวรรณ-คุณธันยวดี วะสีนนท์

กระโจมน้อยๆ ที่กลายเป็นโลกส่วนตัวของเด็กๆ แบ่งมุมจัดวางชั้นให้ลูกได้เรียนรู้การจัดเก็บหนังสือ

 

บ้านคุณวิฑูรย์ พูลไชย และคุณสุกัญญา ลิมปิษเฐียร

มุมทำการบ้านริมหน้าต่างที่แอบซ่อนการจัดเก็บไว้ด้านล่าง

 

บ้านคุณอาชวี ณ นคร และดร.พิพัฒน์ เหลืองนถมิตชัย

จัดเก็บของเล่นใส่กล่องอีกที หากลูกเล่นแล้วไม่ยอมเก็บ ให้ยกกล่องของเล่นขึ้นไว้ที่สูงๆ ถ้าลูกอยากเล่นต้องทำข้อตกลงกันก่อน

 


เรื่อง : Pete-Prim’s Mom

ภาพ : IKEA, คลังภาพบ้านและสวน

 

 

ตกแต่งห้องนอน

How to ตกแต่งห้องนอน เสริมพัฒนาการที่ดี ให้ลูกนอนหลับสบายตลอดคืน

สำหรับการจัด ตกแต่งห้องนอน ให้ลูกทารก ซึ่งเป็นวัยที่ต้องการพื้นที่ในการพักผ่อนที่เฉพาะตัว คุณพ่อคุณแม่หลายท่านอาจยังไม่รู้ว่าจะต้องเริ่มตกแต่งจากตรงไหน ทีมแม่ ABK มีคำแนะนำดีๆ ในการจัดห้องนอนให้ลูกทารกมาฝากค่ะ

แปลนห้องที่ลูกสบายกาย แม่สบายใจ

แปลนห้องเด็กที่ดี เริ่มตั้งแต่การเลือกตำแหน่งของห้อง ดูทิศทางลมและแสงแดดที่ผ่านเข้ามาในห้อง ควรเลือกห้องที่มีการถ่ายเทอากาศที่ดี หรือเลือกห้องที่อยู่ทางทิศใต้หรือทิศเหนือ ทิศใต้มีข้อดีคือ ห้องจะมีแสงธรรมชาติตลอดทั้งปี สามารถปลูกต้นไม้ด้านนอก เพื่อช่วยลดความร้อน รวมถึงช่วยเปิดรับลมได้มาก อากาศไหลเวียนดี มีแสงดีตลอดวัน ส่วนทิศเหนือ ข้อดีคือแสงแดดไม่จัด ทำให้เหมาะกับการใช้งานช่วงกลางวันได้แบบไม่ร้อนจนเกินไป สามารถเปิดหน้าต่างรับแสงธรรมชาติหรือเปิดรับลมได้ดี

การจัดวางเฟอร์นิเจอร์ที่ใช่

ห้องเด็กอ่อนมีระยะเวลาการใช้งานที่จำกัด เพราะเด็กๆโตขึ้นทุกวัน ดังนั้นเฟอร์นิเจอร์ที่ใช้ควรเป็นแบบลอยตัว ยกย้ายหรือปรับเปลี่ยนได้ง่าย ซึ่งเฟอร์นิเจอร์ในห้องนี้ หลักๆแล้ว คือ เปลเด็กอ่อน โต๊ะเปลี่ยนผ้าอ้อม ตู้หรือชั้นวางแบบมีล้อเลื่อนสำหรับจัดเก็บของใช้หลัก อย่าง ผ้าอ้อมสำเร็จรูป ผ้าอ้อม สำลี หรืออุปกรณ์ทำความสะอาด ตู้ลิ้นชักเก็บของเล่นหรือชั้นวางหนังสือ และสุดท้ายเก้าอี้สำหรับนั่งให้นม ซึ่งเป็นมุมผ่อนคลายของแม่และลูก หากจัดวางใกล้หน้าต่าง ลูกน้อยก็ได้รับแสงแดดยามเช้าไปในตัว ทั้งหมดเป็นเฟอร์นิเจอร์หลักที่ควรมีในห้องนี้

อุณหภูมิของแสงไฟในห้องเด็ก

เวลาที่ตั้งโจทย์ออกแบบ ตกแต่งห้องนอน ของลูก พ่อแม่อาจจะนึกถึงเรื่องสีสันในห้อง วัสดุผ้าบุและเฟอร์นิเจอร์ต่างๆมาก่อนเป็นอันดับต้นๆ แต่จริงๆแล้วสิ่งสำคัญของห้องเด็กเล็ก คือเรื่องแสงไฟ แสงสว่างในห้องเด็ก เรื่องที่เหมือนจะเล็กแต่ไม่เล็ก เพราะแสงกับเด็กมีผลต่อพฤติกรรมของลูกน้อยในแต่ละช่วงเวลา อารมณ์ของลูก วงจรในการนอน และไม่ใช่แค่เด็กเท่านั้น แต่คุณแม่เองก็ต้องการการพักผ่อน รวมถึงกิจกรรมอื่นๆเช่น ช่วงเวลาให้นม หรือช่วงเวลาเปลี่ยนแพมเพิส หรืออุ้มเรอ แสงไฟที่แตกต่างกันมีผลกับการใช้งาน ของแม่และลูกทั้งนั้น

ตกแต่งห้องนอน

ความต่างของกลางวันและกลางคืน

ในเด็กทารกแสงสว่างมีความสำคัญมาก เพราะทารกยังไม่รู้จักกลางวันและกลางคืน คุณแม่สามารถสร้างการรับรู้ช่วงเวลาและกำหนดการนอนให้กับลูกได้ บางบ้านอยากให้เด็กๆนอนดีทั้งกลางวันกลางคืน ปิดม่านทึบจนเวลากลางวันหายไป เมื่อเด็กนอนเต็มอิ่มในช่วงวันกลางคืนอาจไม่อยากนอน ดังนั้นจึงต้องจัดแสงในช่วงกลางวันให้มีแสงสว่างลอดเข้ามาได้ งีบกลางวันเป็นระยะ ส่วนกลางคืนจัดแสงให้เปลี่ยนไป แสงโทนสีเหลือง ช่วยให้เด็กจดจำอุณหภูมิสี และรับรู้ช่วงเวลาและช่วยให้นอนยาวในช่วงกลางคืนได้

ตกแต่งห้องนอน

⁃ ช่วงกลางวัน เลือกใช้แสงธรรมชาติเป็นหลัก ตกแต่งห้องนอน โดยเปิดรับแสงจากภายนอก ออกแบบเป็นม่านสองชั้น แบบโปร่งแสงและทึบแสง ช่วงกลางวันระหว่างที่ลูกตื่น มีกิจกรรมอื่น เช่น เล่นของเล่น สังเกตหรือมองสิ่งของต่างๆ คุณแม่ที่ต้องเปลี่ยนผ้าอ้อม จัดการกับขวดนมหรือของใช้อื่นๆ สามารถใช้แสงธรรมชาติควบคู่กับแสงจากหลอดไฟในโทนสีแบบคูลไลท์เป็นโทนสีขาวที่ดูอุ่นสบายตา แต่สามารถตอบรับกิจกรรมที่ต้องใช้ความระมัดระวังได้อย่างดี

⁃ ช่วงกลางคืน ตกแต่งห้องนอน ด้วยการเติมรายละเอียดของไฟตกแต่งเฉพาะจุด เพิ่มในส่วนที่มีผลกับการใช้งาน เช่น โคมไฟข้างเตียงเลือกแบบที่สามารถปรับแสงไฟได้ เลือกแสงสีวอร์มไวท์ และปรับแสงให้พอดีไม่สว่างจนเกินไป และเช่นเดียวกันกับในส่วนของมุมเก้าอี้ให้นมและโต๊ะเปลี่ยนผ้าอ้อม หากเป็นไปได้ควรจัดวางไว้ใกล้กัน เลือกใช้เป็นโคมไฟตั้งพื้นให้ระยะของแสงไฟอยู่สูงขึ้นมา เพื่อการใช้งานสะดวกและมองเห็นได้ชัด ปลอดภัยขณะเปลี่ยนผ้าอ้อม พอปรับกิจกรรมเป็นการให้นมและอุ้มเรอ ควรปรับแสงสว่างลงแต่ก็ไม่ควรมืดจนเกินไป เพราะจังหวะที่อุ้มกล่อม แม่อาจจะเดินไปเดินมา เว้นที่ว่างและวางของให้น้อยหน่อยในมุมนี้ เพื่อแม่ที่อ่อนเพลียและง่วงนอน จะได้พักไปพร้อมกันกับลูกด้วย

ตกแต่งห้องนอน
ตกแต่งห้องนอน ของทารก มุมทำงานของแม่

Nursing Area ถือว่าเป็นมุมทำงานหลักงานของแม่ลูกเล็ก งานของแม่ในที่นี้ คือการเปลี่ยนผ้าอ้อม การให้นม การจัดการอุปกรณ์ต่างๆทั้งเครื่องปั๊มนม เสื้อผ้าและผ้าอ้อมที่ใช้แล้วและยังไม่ได้ใช้ มุมของใช้เกี่ยวกับการทำความสะอาดลูก มุมนี้จึงประกอบไปด้วย โต๊ะเปลี่ยนผ้าอ้อม ตู้หรือรถเข็นขนาดเล็กสำหรับจัดเก็บของใช้ และเก้าอี้เอนนอนให้นมแน่นอนว่าแสงไฟจึงมีความสำคัญมากกับมุมนี้ แต่ไม่ได้หมายถึงสว่างจนแสงจ้า แต่สว่างเพียงพอแบบที่ปลอดภัยในการหยิบจับของและการจัดการเนื้อตัวลูก ดังนั้นแสงสีขาวแบบคูลไลท์ ซึ่งแสงขาวที่ยังมีความนวลตา จะเหมาะกับมุมนี้ และยังให้ความสว่างแบบไม่หลอกตา และสบายตากับเด็กด้วย

ตกแต่งห้องนอน

โคมไฟห้อยเพดานหรือโคมไฟหัวเตียง สำคัญมากกับห้องเด็ก เปิดแสงไม่สว่างเกินไป ให้เด็กๆจดจำแสงและอุณหภูมิสี เพื่อให้แยกกลางวันกลางคืนได้ และมีการนอนอย่างมีคุณภาพ

ตกแต่งห้องนอน
เตียงเด็กอ่อน ที่ออกแบบมาให้วางชิดเตียงแม่สามารถแกว่งได้ รุ่น “Cozee XL” ที่สามารถปรับรูปแบบการใช้งานได้ 5 แบบ
ตั้งแต่แรกเกิด จนโตและปรับเป็นโซฟาได้ ดีไซน์คุณภาพรางวัล European Product Design Award และ IDA Design Awards” ใช้กันยาวๆแบบคุ้มๆ

ตกแต่งห้องนอนแบรนด์ Tutti Bambini จาก www.mellowforkids.com

 

ตกแต่งห้องนอน

มุมโต๊ะเปลี่ยนผ้าอ้อม ควรออกแบบแสงไฟที่เพียงพอในมุมนี้ เพราะมีการใช้งานวันละหลายครั้งตั้งแต่เช้าจรดค่ำ หรือทั้งคืนในเด็กเล็ก ช่วงวันเลือกวางการใช้งานนี้ไว้ใกล้กับหน้าต่างหรือช่องแสงเพื่อให้ได้แสงธรรมชาติ ส่วนกลางคืนควรมีโคมไฟตั้งพื้นเสริม เพิ่มเติมนอกจากไฟหลักของห้องด้วย

โต๊ะเปลี่ยนผ้าอ้อมทำจากพลาสติก HDPE Food Grade ไม่เป็นอันตรายต่อเด็ก สามารถกันน้ำ จึงวางอ่างอาบน้ำเด็กได้ มีช่องเก็บของใหญ่ จุของใช้ประจำวัน และมีล้อเข็นเคลื่อนย้ายง่าย ล้อล็อคได้ หมุนได้360องศา จาก bebeplay

https://bebeplay.co/products/bebeplay

 

แสงไฟ ตกแต่งห้องนอน กับความปลอดภัยในห้อง

แสงไฟแบบเฉพาะจุด มีความสำคัญมากกับห้องนี้ เพราะแสงสีวอร์มไวท์ของโคมไฟประดับ ช่วยให้ห้องมีความสงบและสบายตา แต่ต้องมีการออกแบบที่พอดีไม่มากจนเกินไป และเลือกใช้แบบเฉพาะจุด

แสงไฟประเภทนี้ช่วยเสริมการใช้งานให้ปลอดภัยขึ้น เป็นตัวช่วยที่เน้นการใช้งานเพิ่มจากแสงไฟดาวน์ไลท์หลักของห้อง จึงควรออกแบบแสงไฟประเภทนี้ให้สัมพันธ์กับการใช้งานของแม่และลูก เพราะห้องนี้เองก็มีความขัดแย้งในการใช้งานแบบเบาๆ อยู่ด้วย คือ ใจแม่ก็อยากจะจัดเก็บของยามลูกหลับบ้าง แต่ลูกเองก็อยากได้ความเงียบสงบยามนอน ดังนั้นควรเลือกวางโคมไฟตกแต่งในมุมหลักๆที่มีการใช้งานประจำวัน คือ มุมข้างเก้าอี้ให้นม มุมเปลี่ยนเสื้อผ้าและแพมเพิส โต๊ะข้างเตียง หรืออาจจะใช้เป็นไฟประดับเหนือหัวเตียงอีกจุดก็เป็นลูกเล่นที่น่ารัก ให้ลูกๆได้ฝึกมองหาแสงไฟ และฝึกสังเกตได้ในตัว

ตกแต่งห้องนอน
แสงธรรมชาติ มีความสำคัญไม่แพ้กัน ให้พระอาทิตย์ปล่อยพลังงานธรรมชาติ ช่วยให้ลูกได้รับวิตามินดี และแสงแดดอ่อนยามเช้าที่ไม่เกินสิบโมงเช้านะ แต่เชื่อเถอะมุมเก้าอี้โยกแบบนี้ ทั้งให้นม กล่อมลูกและแม่ได้งีบหลับไปด้วยกัน แน่นอน เก้าอี้โยกให้นมรุ่น “Oscar Rocking Chair” ที่ออกแบบให้ตอบรับสรีระของแม่ขณะนั่งให้นม นั่งสบายและไม่ปวดหลัง

ตกแต่งห้องนอน
โคมไฟห้อยเพดาน รุ่น“ Trollbo” สีเขียวอ่อน สบายตา จาก อิเกีย
https://www.ikea.com/th/th/p/trollbo-pendant-lamp-light-green-80346875/

 

ตกแต่งห้องนอน
โคมไฟLED เหมาะใช้ยามค่ำวางหัวเตียง รุ่น “Spiken” สามารถปรับแสงได้ 7สี จาก อิเกีย

https://www.ikea.com/th/th/p/spiken-led-night-light-otter-shaped-battery-operated-multicolour-90469149/

 

อย่างไรก็ตาม เรื่องอุณหภูมิของแสง ก็ถือว่ามีความสำคัญในการตกแต่งห้องนอนเด็กเล็ก การเลือกลักษณะของแสงให้พอดีกับห้อง จะช่วยให้เด็กๆ มีช่วงเวลาการตื่นและนอนหลับที่เป็นเป็นระบบ รวมถึงความปลอดภัยของพ่อและแม่ หรือผู้ดูแล ทั้งหมดนี้จะช่วยเสริมสร้างพัฒนาการที่ดีให้กับลูกๆได้ค่ะ


อ่านต่อบทความอื่นน่าสนใจ

‘รพ. ไทยนครินทร์ ’ พร้อมเคียงข้างพ่อแม่ แผนกกุมารเวชกรรมโฉมใหม่ สดใส พร้อมให้บริการเต็มรูปแบบตามมาตรฐานสากล

โรงพยาบาล ไทยนครินทร์ เผยโฉมใหม่ ‘แผนกกุมารเวชกรรม ชั้น L’ ปรับภูมิทัศน์ให้สวยงาม สร้างบรรยากาศอบอุ่นต่อผู้รับบริการเด็ก พร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกทางการแพทย์ แยกโซนเด็กป่วย-เด็กสุขภาพดี ดูแลอย่างใกล้ชิดจากกุมารแพทย์ทั่วไปและกุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านกุมารเวชศาสตร์  คำนึงถึงความสะอาดและความปลอดภัยเป็นสำคัญ เพิ่มความมั่นใจการรับบริการ

            นายแพทย์กำพล วีรกาญจนา หัวหน้าแพทย์แผนกกุมารเวชกรรม โรงพยาบาลไทยนครินทร์ กล่าวว่า “แผนกกุมารเวชกรรม หรือแผนกเด็ก โรงพยาบาลไทยนครินทร์ เปิดให้บริการดูแลและบำบัดโรครักษาต่างๆ ในผู้ป่วยเด็กตั้งแต่แรกคลอดจนถึงอายุ 15 ปี โดยการดูแลอย่างใกล้ชิดจากกุมารแพทย์ทั่วไปและกุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางแต่ละสาขา เช่น โรคติดเชื้อ โรคหัวใจ โรคต่อมไร้ท่อและวัยเจริญพันธุ์ โรคภูมิแพ้ และทารกแรกเกิด เป็นต้น

นายแพทย์กำพล วีรกาญจนา
หัวหน้าแพทย์แผนกกุมารเวชกรรม โรงพยาบาลไทยนครินทร์

“ล่าสุดทางแผนกกุมารเวชกรรม ได้มีการปรับปรุงพื้นที่ให้บริการผู้ป่วยนอก (OPD) ใหม่ ภายใต้คอนเซปต์ ‘Customer Journey’ เน้นสร้างประสบการณ์การรับบริการที่อบอุ่น เป็นมิตร (Friendly) กับผู้รับบริการเด็กๆ ด้วยสีสันสดใส ลวดลายสัตว์น่ารักๆ ที่เด็กๆ คุ้นเคย ทำให้รู้สึกผ่อนคลาย ไม่รู้สึกว่า การมาหาคุณหมอไม่น่ากลัว ไม่เหมือนมาโรงพยาบาลฯ ครับ

“นอกจากการตกแต่ง ปรับภูมิทัศน์แล้ว สิ่งสำคัญที่ทางแผนกกุมารเวชกรรมให้ความสำคัญคือ ความสะอาด และความปลอดภัย ทุกพื้นที่จะมีการทำความสะอาดฆ่าเชื้อโรคทุกชั่วโมง มีแยกโซนเด็กป่วย และเด็กสุขภาพดี (Well Baby Clinic) สำหรับน้องที่มีนัดรับวัคซีน หรือตรวจประเมินพัฒนาการตามช่วงวัย จะแยกพื้นที่รับบริการชัดเจน ลดความกังวลว่าลูกน้อยจะป่วยหรือติดเชื้อได้

“ในส่วนของคุณพ่อคุณแม่ที่มีความกังวลเมื่อลูกน้อยเจ็บป่วยยามวิกาล ทางแผนกกุมารเวชกรรม โรงพยาบาลไทยนครินทร์ มีกุมารแพทย์ทั่วไปและกุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง 24 ชม. ประจำอยู่ที่ห้องฉุกเฉิน โดยเป็นกุมารแพทย์ที่จบวุฒิบัตรกุมารเวชศาสตร์ ซึ่งมีความรู้ความชำนาญในการดูแลรักษาภาวะฉุกเฉินและความเจ็บป่วยของเด็กในยามวิกาล

“แผนกุมารเวชกรรม โรงพยาบาลไทยนครินทร์ พร้อมดูแลเด็กๆ ด้วยความเอาใจใส่ทั้งก่อนรักษา ระหว่างการเข้าพักรักษาและหลังการรักษา บริการตรวจประเมิน วิเคราะห์ รักษา เพื่อป้องกันโรค ฟื้นฟูสุขภาพ และให้คำปรึกษาอย่างใกล้ชิด เพราะความสุขสูงสุดของคุณพ่อคุณแม่คือการที่ลูกสุขภาพแข็งแรง เติบโต มีพัฒนาการและศักยภาพสมวัย”

แผนกกุมารเวชกรรม ตั้งอยู่บริเวณชั้น L โรงพยาบาลไทยนครินทร์ บนถนนเทพรัตน (บางนา – ตราด กม.3.5) เขตบางนา สอบถามเพิ่มเติมหรือนัดหมายโทร. 0-2340-7777 หรือ https://thainakarin.co.th/

 

 

ติดต่อสอบถามข้อมูลได้ที่
แผนกสื่อสารการตลาด
โรงพยาบาลไทยนครินทร์
โทร. 0-2340-7777
Website: www.thainakarin.co.th
Facebook: Thainakarin Hospital

 

Tags

โรงเรียนกฤตศิลป์วิทยา โรงเรียนเล็กๆที่เปี่ยมไปด้วย “คุณภาพและพลัง”

ความสุขเล็กๆในการเดินทางยามเช้า คือ การสวนทางกับารจราจรที่ติดขัดอันเป็นสัญลักษณ์ของกรุงเทพ

ช่วงเวลาที่มุ่งหน้าสู่ชานเมือง อาคารสูงซิกเนเจอร์ของเมืองหลวงจะบางตาลงมาก พื้นที่สีเขียวตามธรรมชาติพบเห็นได้มากขึ้น ชุมชน ร้านค้า ที่พักอาศัยปรากฏอยู่อย่างไม่แออัด เสียงใบไม้ไหวตามแรงลมและเสียงนกร้องอันสดใสได้ยินชัดเจนในยามเช้า แม้จะไม่เงียบสงัดแต่รู้สึกถึงความสงบสดชื่น เป็นเวลาเช้าที่ความวุ่นวายไม่สามารถก่อกวนจิตใจ นี่คือการเดินทางมาสู่ โรงเรียนกฤตศิลป์วิทยา ของ School Visit วันนี้ค่ะ

โรงเรียนกฤตศิลป์วิทยา เปิดสอนตั้งแต่ระดับชั้นอนุบาลปีที่ 1- ประถมศึกษาปีที่ 6 ก่อกำเนิดด้วยใจ จากจิตวิญญาณครู ในปี พ.ศ. 2502 โดย อาจารย์ปราณี ไบรนางกูร จากที่ดินเช่าย่านเอกมัย สู่โรงเรียนริมถนน ย่านอ่อนนุช-ลาดกระบัง จนปัจจุบันย้ายมาตั้งอยู่ที่ถนนสุขาภิบาล 2 ซอย 5 เขตประเวศ กรุงเทพมหานคร สิ่งที่น่าทึ่งคือ เด็กๆและผู้ปกครองทุกคนนับพันกว่าชีวิตเลือกที่จะ “ย้ายตามโรงเรียน” ทีมแม่ ABK จะพามาเยี่ยมชมโรงเรียนเล็กๆที่เปี่ยมไปด้วย “คุณภาพและพลัง” แห่งนี้กันค่ะ

ทางเข้าหน้าโรงเรียน

บรรยากาศรอบๆโรงเรียน

 

หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย “คิดและทำใหม่ สไตล์กฤตศิลป์”

ทางโรงเรียนใช้หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พ.ศ. 2560 ผสมผสานแนวคิดและกิจกรรมเสริมสมรรถนะรอบด้านในการพัฒนาเด็กๆทางด้านกายภาพ (ร่างกาย สติปัญญา อารมณ์ สังคม) และสุขภาพจิต ตามแนวคิดของคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย การศึกษาของทุกหลักสูตรได้รับการออกแบบมาเพื่อพัฒนาเด็กๆ แต่สิ่งสำคัญคือการทำให้ประสบการณ์เป็นจริงขึ้นมา

ผอ.ฐานันดร์ ไบรนางกูร หรือ คุณครูพี่กอล์ฟ ของเด็กๆกำลังถูกเด็กๆรายล้อม

Active Learning เรียนรู้เชิงรุก

พี่ชั้นประถมกำลังฟังบรรยายจากวิทยากร (เจ้าหน้าที่ตำรวจ)

ประสบการณ์..ต้องสร้าง

เป็นธรรมดาที่เด็กเล็กจะขาดประสบการณ์เพราะชีวิตเพิ่งจะเริ่มต้น เด็กๆยังไม่มีโอกาสเผชิญหน้าและเรียนรู้จากสถานการณ์ ความท้าทาย และการโต้ตอบที่หลากหลาย แต่ประสบการณ์จะเพิ่มมากขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป เมื่อพวกเขาเริ่มเติบโต, เริ่มสำรวจ, สะสมความรู้และความเข้าใจ โรงเรียนกฤตศิลป์วิทยาจัดให้! ประสบการณ์ ก็สร้างได้

กิจกรรมเสริมประสบการณ์ (Cognitive)

ทางโรงเรียนภาคภูมิใจนำเสนอ แนวทางการสอนแบบร่วมมือรวมพลัง 5 ขั้นตอน หรือ 5 Steps

Collaboration Teaching Approach

1.นำเสนอสิ่งเร้าและระบุคำถามสำคัญ

คุณครูจะไม่ปล่อยให้การเรียนรู้เข้าสู่โหมด dead air เด็กๆต้องได้เห็นเป็นรูปธรรม(สิ่งเร้า) เด็กๆจึงจะเกิดคำถาม การซักถามจากคุณครูเป็นการต่อยอดและขยายความสงสัย ความสนใจให้แผ่กิ่งก้านสาขา ชวนให้เด็กๆ อธิบายอย่างสนุกสนาน สอดแทรกเนื้อหาสาระที่ต้องเรียนรู้ อยู่ๆเด็กๆก็ซึมซับและเข้าใจโดยไม่รู้ตัว

คุณครูกระตุ้นให้เกิดคำถามด้วยเทคนิคต่างๆ

 

2.Learning by Doing เป็นขั้นที่สำคัญที่สุด

ตาดู หูฟัง สมองคิด และลงมือทำเองเพื่อให้ได้ข้อมูล ในเวลาเดียวกันคือการ Exercise ประสาทสัมผัส การลงมือปฏิบัติจะทำให้เด็กๆเข้าใจเนื้อหาสาระได้ตามแบบที่แต่ละคนเข้าใจ

ไม่ลองไม่รู้ ต้องลงมือเรียนรู้

 

3.อภิปรายและสร้างความรู้

ข้อมูล เนื้อหาและสารสำคัญที่แต่ละคนรวบรวมมา ไม่ว่ามากหรือน้อย จะนำมาอภิปรายภายในกลุ่ม

ซึ่งในกลุ่มจะคละเด็กๆที่มีความถนัดแตกต่างกันอยู่ภายในกลุ่ม เพื่อให้เด็กๆช่วยเหลือกัน เติมเต็มส่วนที่ขาดเหลือกันไป

เด็กๆอภิปรายผลการเรียนรู้ตามแบบที่ตนเองเข้าใจ

 

4. สื่อสารและสะท้อนคิด (การสื่อสาร-ทักษะสำคัญในศตวรรษที่ 21)

Feeling เด็กๆรู้สึกอย่างไรกับการเรียนรู้ ชอบหรือไม่ เพราะอะไร

Found เด็กๆค้นพบอะไร

Lesson เด็กๆได้รับประสบการณ์อะไรจากกิจกรรม

Feature เด็กๆจะนำความรู้ไปใช้อย่างไรในอนาคต

เด็กๆนำเสนอสิ่งที่เรียนรู้และสะท้อนคิดกิจกรรม

5. ประยุกต์และตอบแทนสังคม เชื่อมโยง Project-Based Learning ในตอนท้ายของแต่ละหน่วย

Extension เด็กๆนำความรู้ไปบอกต่อคุณพ่อคุณแม่ เล่าให้คนอื่นฟัง

Invention เด็กๆแปลงความรู้เป็นอีกศาสตร์ เช่น วาดรูปประกอบ อัดคลิปอธิบาย ได้หมด

Innovation เด็กๆสามารถสร้างนวัตกรรมใหม่ได้! แต่ไม่ต้องตกใจค่ะ สำหรับชั้นเด็กเล็กๆ Innovation คือการศึกษาอย่างลึกซึ้ง

ทั้งหมดนี้คือ Competency-Based การเรียนรู้เพื่อสร้างสมรรถนะของเด็กๆ โดยใช้เวลาและวิธีการยืดหยุ่นตามธรรมชาติของเด็กๆแต่ละคน ซึ่งจะทำให้เด็กๆไม่เบื่อการเรียนรู้และสามารถนำไปปฏิบัติจริงและพัฒนาไปเป็นผู้นำการเรียนรู้ด้วยตัวเองในอนาคตได้ค่ะ

Extension เด็กๆนำความรู้ไปบอกต่อ

Invention เด็กๆแปลงความรู้ออกมาเป็นภาพวาดตามความเข้าใจ

 

ไม่ได้เรียนเพื่อสอบ แต่เรียนเพื่อนำไปใช้ในชีวิตจริง

การเรียนการสอนเพื่อเด็กๆจะนำไปใช้ได้ในชีวิตจริงมีวิธีการที่หลากหลายและยืดหยุ่นมากๆ คุณครูต้องสร้างแรงจูงใจให้เด็กๆอยากเรียน และต้องรู้ประสบการณ์เดิมของเด็กๆว่าพร้อมจะเรียนสิ่งต่อไปหรือไม่ โดยวิธีการสอนมีถึง 14 วิธีการให้คุณครูเลือกที่จะนำไปปรับใช้ : บรรยาย, สาธิต, ทดลอง, Deduction, Induction, ไปทัศนศึกษา, การอภิปรายกลุ่มย่อย, การแสดงละคร, การแสดงบทบาทสมมุติ, ใช้กรณีศึกษา, เล่นเกมส์, ใช้สถานการณ์จำลอง, ใช้ศูนย์การเรียน และใช้บทเรียนแบบโปรแกรม คุณครูจะแบ่งนักเรียนออกเป็นกลุ่มๆ ละ 4 คน (แนวคิดของ ศ.ดร.มานาบุ ซาโตะ) เพื่อให้ได้ดูแลเพื่อนและร่วมกันเรียนรู้ ทุกคนอยากมีส่วนร่วมในการเรียน ประกอบด้วย ผู้เรียนรู้ไว 1 คน, ปานกลาง 2 คน และ ผู้เรียนรู้ช้า 1 คน โดยบูรณาการหลักธรรม พรหมวิหาร 4 ในการทำงานร่วมกันในกลุ่ม เมตตา กรุณา มุทิตา แสดงความยินดี (Cheer up ให้กำลังใจเพื่อนที่อ่อนที่สุด) อุเบกขา คือ “ไม่สั่ง ไม่สอน ไม่บอกคำตอบ ตั้งใจฟัง ชวนเพื่อนคิด เชียร์ให้เพื่อนทำ” วิธีการนี้การันตีด้วย รางวัลนวัตกรรมดีเด่นกรุงเทพมหานคร จากการทำงานบนหลักธรรมพรหมวิหาร 4

 

FUN FIND FOCUS

ที่โรงเรียนมีกิจกรรมสนุกๆ ตามแนวคิด FUN FIND FOCUS ของโรงเรียนสาธิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สร้างมาเพื่อให้เด็กๆได้พบเป้าหมาย

  • FUN อะไรๆต้องเริ่มต้นด้วยความสนุก
  • FIND เมื่อมีความสุขจากการเรียน เด็กๆก็จะ “ค้นพบสิ่งที่ตัวเองชอบหรือถนัด” โรงเรียนจึงจัดกิจกรรม 16 ฐานต่อเทอม หรือ 32 ฐานกิจกรรมต่อปีการศึกษา เด็กๆได้เข้าทุกฐานค่ะ สุดท้ายเด็กๆจะได้สะท้อนกลับว่า หนูรู้สึกชอบ รู้สึกดีกับกิจกรรมไหน หรือไม่ชอบ เพราะอะไร คือการค้นหาความชอบและตัวตนของตัวเอง เน้นฐานอาชีพในสนามบินสุวรรณภูมิซึ่งอยู่ในบริบทท้องถิ่น (มีอาชีพมากมาย หลากหลายทุกสาขาวิชาชีพ ปฏิบัติงานทั้งกลางวันและกลางคืน)
  • FOCUS มุ่งเป้าหมาย
  • FULFILLMENT เติมเต็มด้วยความร่วมมืออย่างเหนียวแน่นระหว่างบ้านและโรงเรียน มวลประสบการณ์ทั้งหมดนี้ทางโรงเรียนยินดีสร้างให้เพื่อที่เด็กๆจะได้มีโอกาสพบตัวจริงในตัวเอง

วิธีการสอนแบบทดลอง

วิธีการสอนแบบสาธิต

กลุ่มทำงาน4คน บูรณาการหลักธรรมพรหมวิหาร4

กิจกรรมตามแนวคิด FUN FIND FOCUS

คุณอาวินน์ อินทรศวร รองผู้อำนวยการโรงเรียน

 

Mommy LoveThis! ถูกใจแม่

ที่โรงเรียนมีค่าย Multiple Intelligence ช่วงปิดเทอม เปลี่ยนวันว่างให้เป็นวันว้าวและไม่ว่าง เด็กๆคนไหนชอบวิชาการ โรงเรียนมีคลาสวิชาการ เด็กๆคนไหนชอบเรียนกีฬา งานฝีมือ ลงมือปฎิบัติ โรงเรียนก็มีจัดให้ ตามใจผู้เรียน

English Conversation in classroom ใช้ภาษาอังกฤษตลอดคาบเรียน integrate เข้าไปอย่างเป็นธรรมชาติ เน้นให้เด็กๆกล้าสื่อสาร โดยไม่ต้องกลัวว่าจะถูกหรือผิด ผลลัพธ์คือเด็กๆกฤตศิลป์สามารถสื่อสารได้ใกล้เคียงกับ Native Speaker แต่ผู้ปกครองจ่ายค่าเทอมแบบไทยๆ

การใช้ AI ให้เป็นประโยชน์ ไม่ใช่เพื่อการเขียนโปรแกรมหรือการเรียน Coding แต่ใช้สำหรับการเรียนการสอนซ่อมเสริมสำหรับเด็กๆที่ความสามารถทางวิชาการไม่ดี เพื่อไม่ให้มีใครถูกทอดทิ้งอยู่เบื้องหลัง เพราะวิชาการไม่เก่งไม่ได้แปลว่าไร้ความสามารถ อาจจะชำนาญด้านใดอื่นๆ

ความสัมพันธ์บ้านและโรงเรียนแน่นแฟ้น สบายใจ รายงานรูปภาพแน่นทั้งวัน

ที่โรงเรียนมีกิจกรรมมากมายกว่า 32 ฐาน หนึ่งในนี้ต้องมีที่ลูกๆชอบบ้างแหละ!

 

อัตราค่าเล่าเรียน ปีการศึกษา 2567 (โดยประมาณ 1 ปีการศึกษามี 2 เทอม)

  • อนุบาล 1 : 13,000 บาท ต่อเทอม
  • อนุบาล 2-3 : 10,500 บาท ต่อเทอม
  • ประถมศึกษา : 14,400 บาท ต่อเทอม

ข้อมูลเพิ่มเติมกรุณาสอบถามทางโรงเรียนโดยตรง

 

ที่อยู่

  • โรงเรียนกฤตศิลป์วิทยา
  • เลขที่ 20/27 หมู่ที่ – ซอย 5 ถนน สุขาภิบาล 2
  • แขวงและเขตประเวศ กรุงเทพมหานคร 10250
  • โทร. 02-714-4717-9
  • http://www.facebook.com/Schoolkts/
  • http://www.krittasilphwittaya.com/

 

Editor : แม่พลอยผิง

ภาพ : ฤทธิรงค์ จันทองสุข

 

 

พร้อมเป็นคุณแม่มือใหม่ เตรียมตัว “ฝากครรภ์คุณภาพ”

เมื่อทราบข่าวว่า ได้เป็นว่าที่คุณแม่ป้ายแดง คุณแม่หลายๆท่าน คงตื่นเต้นและกังวลกับการตั้งครรภ์อยู่ไม่น้อย ยิ่งท้องแรกความกังวลอาจจะมากเป็นพิเศษ แต่!! อย่ากังวลจนเกินไปนะคะ มาค่ะ…เรามาเตรียมตัวเพื่อลูกน้อยกับ การ “ฝากครรภ์คุณภาพ” กันนะคะ

ทำไม “การฝากครรภ์” จึงมีความสำคัญ

คุณแม่มือใหม่ ต้องให้ความสำคัญกับการฝากครรภ์คุณภาพเป็นพิเศษ พิถีพิถันเพื่อการดูแลทั้งตัวเองและลูกน้อยให้แข็งแรง เพื่อลูกน้อยที่จะเกิดขึ้นมา เป็นของขวัญชิ้นที่งดงามที่สุด และแสนพิเศษเพื่อคุณภาพชีวิตของเด็กเอง ที่กำลังจะลืมตาขึ้นมาเป็นสมาชิกใหม่ของครอบครัว ให้ได้มีสุขภาพร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรง และเป็นอนาคตที่สำคัญของสังคม

ทราบหรือไม่ว่า ?

  • อัตราการเสียชีวิตของมารดาตั้งครรภ์ทั่วโลก 157 ต่อ 100,000 คน (0.157%) ในปี 2020 (ข้อมูลจาก WHO)
  • 10-20% ของทุกการตั้งครรภ์ อาจเป็นการตั้งครรภ์ที่ผิดปกติ
  • 2-14% มีโอกาสเป็น โรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์
  • 6% อาจมีภาวะความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์
  • 2-8% อาจมีภาวะครรภ์เป็นพิษ
  • 10% อาจมีภาวะคลอดก่อนกำหนด

ดังนั้น “การฝากครรภ์” จึงมีความสำคัญกับทั้งคุณแม่และลูกน้อยมากๆ เพื่อการเตรียมตัว และดูแลตัวเอง ให้พร้อมรับมือกับความเสี่ยงที่อาจมากับโรคที่ไม่คาดคิด ซึ่งอาจทราบได้จากตอนตั้งครรภ์จากการเจาะเลือด หรือตรวจปัสสาวะ เพื่อทำการติดตามการรักษาควบคู่ไม่ให้เป็นพาหะส่งถึงลูกน้อย

“การฝากครรภ์คุณภาพ” หมายถึง

การฝากครรภ์ครั้งแรกก่อน 12 สัปดาห์และการฝากครรภ์อย่างน้อย  5 ครั้งตลอดระยะการตั้งท้อง เพื่อให้มารดาและทารกได้รับการบริการทางสุขภาพที่ครบถ้วนและดีที่สุด ระหว่างตั้งท้องซึ่งก็จะส่งผลต่อเนื่องไปจนถึงหลังคลอดลูกด้วย

ความสำคัญของการฝากครรภ์

  • ดูแลรักษาสุขภาพของแม่ และทารกในครรภ์ ให้ราบรื่นตลอดการตั้งครรภ์ และการคลอด
  • คลอดบุตรที่มีสุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์
  • ลดอัตราการเสียชีวิต และภาวะแทรกซ้อนของแม่และเด็ก
  • วินิจฉัย ป้องกัน และรักษาความผิดปกติ และภาวะแทรกซ้อนได้ทันท่วงที

การดูแลหญิงตั้งครรภ์ ขั้นพื้นฐานตลอดการตั้งครรภ์ ประกอบด้วย

  1. การสอบถามประวัติ
  2. การตรวจร่างกายและตรวจครรภ์
  3. การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
  4. การประเมินเพื่อการดูแลสุขภาพ และป้องกันโรค ตรวจคัดกรอง และรักษา

การนับอายุครรภ์

  • นับจากวันแรก ของประจำเดือนรอบสุดท้าย
  • คำนวณอายุครรภ์ จากการอัลตราซาวด์

การตรวจที่สำคัญใน ไตรมาสที่ 1

  • การสอบถามข้อมูลทั่วไป เพื่อประเมิน และเช็คประวัติคุณแม่/คุณพ่อ โดยละเอียด
  • ประวัติส่วนตัว/ครอบครัว
  • ประวัติการเจ็บป่วย
  • ประวัติทางสูติกรรม

การตรวจร่างกายและตรวจครรภ์

  • ชั่งน้ำหนัก วัดส่วนสูง คำนวณค่าดัชนีมวลกาย (BMI)
  • วัดความดันโลหิต
  • ตรวจร่างกายทั่วไป
  • ตรวจครรภ์ด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง (อัลตราซาวด์) เพื่อประเมินอายุครรภ์โดยแพทย์
  • ให้ความรู้ความเข้าใจ เกี่ยวกับปัจจัยเสี่ยงของการตั้งครรภ์ ข้อควรระวังต่าง ๆ
  • การตรวจทางห้องปฏิบัติการ เพื่อวินิจฉัยเรื่องต่าง ๆ
  • เจาะเลือดตรวจ Lab I หญิงตั้งครรภ์ ค้นหาโรคหรือความเสี่ยงแฝง
  • CBC for Hct/Hb MCV, DCIP, VDRL , Anti-HIV, HBsAg, Blood group ABO, Rh
  • เจาะเลือดสามี เพื่อคัดกรองธาลัสซีเมีย, ซิฟิลิสและโรคเอดส์
  • CBC, MCV, DCIP, VDRL, Anti-HIV
  • ตรวจปัสสาวะ หา protein sugar และ bacteria

สำหรับการตรวจในไตรมาสที่ 1

  • เพื่อการประเมินคุณแม่ และลูกน้อย เพื่อวางแผนการดูแลรักษาตั้งแต่เริ่มต้น
  • ให้วัคซีนป้องกันโรคคอตีบ-บาดทะยัก (ขึ้นอยู่กับประวัติการได้รับวัคซีนในอดีต)
  • ให้ยาเสริมธาตุเหล็ก กรดโฟลิก และแคลเซียม รวมถึงวิตามินในรายที่จำป็น
  • ประเมินสุขภาพจิต ให้คุณแม่ไม่เครียด สบายใจตลอดการตั้งครรภ์
  • ประเมินการสูบบุหรี่ ทั้งของหญิงตั้งครรภ์และสามีหรือคนในครอบครัว
  • บันทึกข้อมูลการฝากครรภ์และผลการตรวจ ในสมุดบันทึกสุขภาพแม่และเด็ก และเวชระเบียน ซึ่งมีความสำคัญมากจนถึงครบกำหนดการคลอด

การตรวจที่สำคัญใน ไตรมาสที่ 2

ช่วงอายุครรภ์ 14 -18 สัปดาห์ ให้คำปรึกษาและตรวจเลือดเพื่อตรวจคัดกรองกลุ่มอาการดาวน์ต่าง ๆ

การตรวจคัดกรอง

  • อัลตราซาวด์
  • เจาะวัด ระดับสารเคมีในเลือดมารดา
  • เจาะเลือดมารดาเพื่อวิเคราะห์จากสารพันธุกรรมดีเอ็นเอของทารก (Fetal cell-free DNA)

การตรวจวินิจฉัย

  • การเจาะเนื้อรก
  • การเจาะน้ำคร่ำ
  • การเจาะเลือดจากสายสะดือทารกในครรภ์

**อายุครรภ์ 24 -28 สัปดาห์ ตรวจเลือดคัดกรองโรคเบาหวานในหญิงตั้งครรภ์ ทุกราย (50 g. Glucose challenge test) หากเป็นกลุ่มเสี่ยง ให้คัดกรองตั้งแต่ฝากครรภ์ครั้งแรก เพื่อป้องกันโรคเบาหวานที่อาจจะส่งผลกับทารกในครรภ์

วัคซีนที่จำเป็น โดยแพทย์จะประเมินโดยละเอียด

  • บาดทะยัก
  • ไข้หวัดใหญ่
  • โรคไอกรน (วัคซีนเสริม)
  • วัคซีน COVID-19 : ตั้งแต่ 12 สัปดาห์ขึ้นไป

การตรวจที่สำคัญใน ไตรมาสที่ 3

  • เจาะเลือดตรวจทางห้องปฏิบัติการ ( LAB II ) ได้แก่ Hb/Hct, VDRL, Anti HIV
  • การให้คำแนะนำแก่หญิงตั้งครรภ์ และคุณพ่อในการช่วยระมัดระวังคุณแม่ ก่อนถึงกำหนดคลอด เพื่อการช่วยกันดูแลตัวเอง และประเมินอาการสำคัญต่าง ๆ
  • การสังเกตการดิ้นของทารกในครรภ์ พร้อมทั้งสอนให้นับจำนวนครั้งของการดิ้นของทารก
  • การสังเกตอาการสำคัญ ที่ต้องมาโรงพยาบาลเพื่อการคลอด เช่น เจ็บครรภ์คลอด มีน้ำเดิน มีมูกเลือด หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ ที่ต้องมาโรงพยาบาลโดยเร็ว เช่น เลือดออกทางช่องคลอด ทารกดิ้นน้อยลง ปวดศีรษะ ตาพร่ามัว เจ็บจุกแน่นบริเวณใต้ชายโครงขวา มีไข้ เป็นต้น
  • ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น เช่น การเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนด เลือดออก น้ำเดิน
  • ส่งเสริมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ การดูแลเต้านม ประโยชน์นมแม่
  • วางแผนการคุมกำเนิด หลังคลอด เพื่อการปฏิบัติตัวที่ถูกต้อง
  • วางแผนการคลอด, ตรวจภายในประเมินเชิงกราน, อัลตราซาวด์ดูท่า น้ำหนักทารกในครรภ์โดยละเอียด เพื่อประเมินการเตรียมคลอดให้ปลอดภัย

คุณแม่จะเห็นได้ว่า ตลอดการตั้งครรภ์ในทุกไตรมาส จะมีการตรวจที่สำคัญในทุกช่วง ดังนั้นการตรวจเพื่อติดตามตลอดการตั้งครรภ์ จึงมีความจำเป็น ที่สำคัญที่สุดของเตรียมตัว “ฝากครรภ์คุณภาพ” นั้น ประโยชน์ที่ได้รับจะเกิดกับลูกน้อย ในเรื่องของการตรวจดูพัฒนาการในด้านต่าง ๆ ทั้งสุขภาพทั้งกาย และสุขภาพจิตที่สมบูรณ์แข็งแรง เมื่อทารกคลอดออกมา “การฝากครรภ์คุณภาพ” จึงถือว่ามีความสำคัญอย่างยิ่ง ที่คุณแม่ทุกท่านควรตระหนัก และไม่ควรละเลย

 

บทความโดย นายแพทย์นพเมศฐ์ ศรีจารุสิทธิ์

สูตินรีแพทย์ โรงพยาบาลพริ้นซ์ สุวรรณภูมิ

Tags

การดูแลตัวเอง หลังคลอด ที่คุณแม่ต้องรู้

“หลังการคลอดบุตรใหม่ๆ” คุณแม่คงรู้สึกโล่งใจที่การคลอดผ่านไปได้ด้วยดี แต่อาจมีความกังวลใจต่อการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายจากการ “ตั้งครรภ์” และ “การคลอด” ซึ่งโดยปกติแล้วสภาพร่างกายของคุณแม่หลังคลอดจะกลับเข้าสู่สภาวะปกติภายใน 6-8 สัปดาห์ รวมทั้งแผลที่เกิดจากการคลอดก็จะหายดีในช่วงระยะเวลานี้ด้วย ทั้งนี้ หากคุณแม่มีความเข้าใจและดูแลตนเองหลังคลอดได้เป็นอย่างดี ก็จะช่วยให้ทุกอย่างราบรื่นขึ้น ซึ่งการดูแลตนเองหลังคลอดนั้นมีอยู่หลายด้าน ดังนี้

  1. ด้านจิตใจ

หลังคลอดใหม่ๆ ปริมาณฮอร์โมนในร่างกายของคุณแม่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทั้งคุณแม่ยังต้องปรับตัวกับบทบาทใหม่ อ่อนเพลียจากการคลอด กังวลใจกับสรีระของตนเอง และการเลี้ยงลูก จึงอาจทำให้รู้สึกเครียด หงุดหงิด หรือความซึมเศร้าแบบไม่มีเหตุผล ซึ่งเรียกว่า “ภาวะซึมเศร้าหลังคลอด” ดังนั้น คุณพ่อจึงหรือคนใกล้ชิดจึงเป็นบุคคลสำคัญ หากได้ช่วยแบ่งเบาภาระในการเลี้ยงดูบุตร และดูแลงานบ้านแทนคุณแม่ ก็จะช่วยให้คุณแม่มีสุขภาพจิตที่ดีขึ้น รู้สึกมั่นใจและได้รับความรักอย่างเต็มที่

  1. ด้านร่างกาย
  • การดูแลแผล แผลฝีเย็บ ปกติแล้วคุณหมอจะเย็บด้วยไหมละลาย ซึ่งหลังคลอดประมาณ 7 วัน แผลก็จะหาย แต่อาจจะรู้สึกเจ็บนานประมาณ 2 สัปดาห์ การทำความสะอาดสามารถใช้น้ำและสบู่ล้างจากด้านหน้าไปด้านหลัง และซับให้แห้งทันที ควรเปลี่ยนผ้าอนามัยบ่อยๆ ไม่ควรสวนล้างช่องคลอดหรืออาบน้ำในอ่าง กรณีคุณแม่เป็นริดสีดวงทวาร หากมีอาการปวดอาจจะประคบด้วยถุงน้ำแข็ง ใช้ครีมหรือยาเหน็บตามแพทย์สั่ง ดื่มน้ำและรับประทานผัก ผลไม้ที่มีกากใยสูง เพื่อลดอาการท้องผูก
  • แผลผ่าตัด คุณหมอจะเย็บด้วยไหมละลาย ไม่ต้องตัดไหม ปิดไว้ด้วยพลาสเตอร์กันน้ำ คุณแม่สามาร อาบน้ำได้ แต่ถ้าสังเกตว่ามีน้ำซึมเข้าแผล ให้เปลี่ยนพลาสเตอร์ปิดแผลใหม่ทันที แผลจะหายในเวลาประมาณ 7 วัน หากเจ็บแผลขณะเคลื่อนไหว คุณแม่อาจจะใช้ผ้ารัดหน้าท้องช่วยพยุงไว้ จะช่วยให้รู้สึกสบายขึ้น
  • น้ำคาวปลา คือ น้ำคร่ำปนกับเลือดที่ออกจากแผลในมดลูกไหลออกมาทางช่องคลอด ในช่วง 3 วันแรก จะมีสีแดงเข้ม จากนั้นสีจะจางลงเรื่อยๆ คล้ายกับสีน้ำล้างเนื้อ แล้วค่อยๆ เปลี่ยนเป็นมูกสีเหลืองๆ ตามปกติจะมีอยู่ประมาณ 2-3 สัปดาห์ ควรทำความสะอาดด้วยน้ำและสบู่ทุกครั้งหลังการปัสสาวะหรืออุจจาระ และเปลี่ยนผ้าอนามัยบ่อยๆ
  • การฟื้นตัวของมดลูก ระหว่างตั้งครรภ์ มดลูกจะขยายตัวใหญ่ขึ้นกว่าปกติ แต่หลังคลอดมดลูกก็จะหดตัวลงจนมีขนาดปกติและกลับเข้าสู่ตำแหน่งในอุ้งเชิงกราน ที่คนทั่วไปเรียกว่า “มดลูกเข้าอู่” ซึ่งจะใช้เวลาประมาณ 4-6 สัปดาห์ หากมีอาการปวดมดลูกสามารถรับประทานยาแก้ปวดได้
  • การดูแลเต้านม โดยทั่วไปคุณแม่จะมีขนาดของเต้านมที่ใหญ่ขึ้น และมีอาการคัดตึงในวันที่ 2-3 หลังคลอด ซึ่งเกิดจากภาวะที่ต่อมน้ำนมเริ่มผลิตน้ำนม เวลาอาบน้ำควรงดฟอกสบู่บริเวณลานนม เพื่อให้น้ำมันธรรมชาติที่ผิวหนังสร้างขึ้นยังคงอยู่ จะช่วยลดความเจ็บขณะลูกดูดนม หากมีอาการนมคัดแต่ยังไม่มีน้ำนม ให้ใช้ผ้าชุบน้ำเย็นประคบเต้านม และทานยาแก้ปวดได้ พยายามให้ลูกดูดนมบ่อยๆ เพื่อกระตุ้นให้มีการสร้างน้ำนมเร็วขึ้น หากมีน้ำนมไหลแล้ว ให้ใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นประคบเต้านมก่อนให้นมลูก ก็จะช่วยให้การไหลเวียนเลือดบริเวณเต้านมดีขึ้น ใช้สำลีชุบน้ำต้มสุกเช็ดทำความสะอาดหัวนมและลานนมทุกครั้ง ทั้งก่อนและหลังให้นมลูก
  • การรับประทานอาหาร คุณแม่หลังคลอดยังคงต้องรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ เหมือนในระยะตั้งครรภ์ เพราะต้องใช้พลังงานในการฟื้นฟูร่างกายของคุณแม่เองและผลิตน้ำนมสำหรับเลี้ยงลูก ควรรับประทานอาหารประเภท ผัก ผลไม้ เนื้อสัตว์ ไข่ นม ลดอาหารประเภทแป้ง ไขมัน และของหมักดอง งดเครื่องดื่มประเภทชา กาแฟ น้ำอัดลม และเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ การรับประทานยาควรได้รับคำแนะนำจากคุณหมอ เพราะยาบางชนิดหลั่งออกทางน้ำนมได้ โดยเฉพาะในช่วง 1 สัปดาห์แรก ควรปรึกษาแพทย์ว่าต้องงดยาใดบ้าง
  • การพักผ่อน ช่วงที่พักฟื้นในโรงพยาบาล คุณแม่จะได้พักผ่อนเต็มที่ แต่เมื่อกลับบ้านแล้ว ช่วงที่คุณพ่อคุณแม่ต้องปรับตัวกับวิถีชีวิตใหม่ ต้องดูแลตัวเอง ดูแลลูก และครอบครัว จึงควรจัดสรรเวลาในการทำกิจกรรมต่างๆ ให้เหมาะสม เช่น ทำความสะอาดเสื้อผ้าและของใช้ลูกวันละ 1 ครั้ง ควรมีเวลางีบหลับพักผ่อนขณะลูกหลับ เพื่อไม่ให้คุณแม่เหนื่อยล้าหรืออ่อนเพลียเกินไป
  • กิจกรรมที่คุณแม่ “ไม่ควรทำ” ในช่วง 6 สัปดาห์แรกหลังคลอด
  • ไม่ควรยกของที่มีน้ำหนักมากกว่าน้ำหนักของทารก
  • ไม่ควรออกแรงเบ่งมากๆ หรือนานๆ
  • ไม่ควรเดินขึ้น-ลงบันไดบ่อยๆ
  • ไม่ควรขับรถโดยไม่จำเป็น
  • ไม่ควรออกกำลังกายหักโหม ทำได้เฉพาะท่ากายบริหารเบาๆ
  • การมีเพศสัมพันธ์ คุณแม่อาจมีความรู้สึกทางเพศลดลงเนื่องจากความอ่อนเพลีย กังวล และความไม่สบายกาย หรือเจ็บแผล จึงควรงดการมีเพศสัมพันธ์ในช่วง 4-6 สัปดาห์แรกหลังคลอด หรือจนกว่าจะได้รับการตรวจสุขภาพหลังคลอด และวางแผนคุมกำเนิดแล้ว
  • การตรวจหลังคลอด แพทย์จะนัดคุณแม่ให้มาตรวจสุขภาพ 4-6 สัปดาห์หลังคลอด เช่น
    • ตรวจความสมบูรณ์ของร่างกาย
    • ตรวจดูสภาพของปากมดลูกและอวัยวะภายในอุ้งเชิงกราน หรือแผลผ่าตัดหน้าท้องกรณีผ่าตัดคลอด
    • ตรวจความเสี่ยงมะเร็งปากมดลูก
    • ให้คำแนะนำเรื่องการวางแผนครอบครัว และคุมกำเนิดที่เหมาะสมในช่วงหลังคลอด

 

อาการผิดปกติหลังคลอด ที่ควรรีบมาพบแพทย์

  • มีไข้สูงโดยไม่ทราบสาเหตุ
  • น้ำคาวปลามีกลิ่นเหม็น หรือมีสีแดงสดตลอด 15 วันหลังคลอด
  • ปวดท้องน้อย เจ็บปวด หรือแสบขัดเวลาปัสสาวะ
  • ปวดศีรษะรุนแรง
  • เต้านมบวมแดง อักเสบ หัวนมแตกเป็นแผล
  • แผลฝีเย็บ หรือแผลผ่าตัดอักเสบ บวม แดง หรือมีหนอง

คุณแม่ที่ให้นมบุตรแต่ประสบปัญหาน้ำนมอุดตัน ไหลช้า ทางรพ.บี.แคร์ฯ ขอแนะนำแพ็กเกจสลายท่อน้ำนมอุดตัน (สำหรับคุณแม่ให้นมบุตร) ให้การดูแลโดยทีมนักกายภาพบำบัดผู้เชี่ยวชาญ การรักษาประกอบด้วย ใช้เครื่องอัลตราซาวนด์กระตุ้นเปิดท่อน้ำนม วางแผ่นประคบร้อน นวดกระตุ้นเปิดท่อน้ำนม

  • สำหรับ 2 ข้าง / ครั้ง ราคา 1,800 บาท
  • สำหรับ 1 ข้าง / ครั้ง ราคา 990 บาท

สั่งซื้อหรือดูรายละเอียดเพิ่มเติม คลิก >> https://www.bcaremedicalcenter.com/promotion-detail/124

หรือศึกษาวิธีการนวดกระตุ้นน้ำนมด้วยตนเอง คลิก >> https://www.bcaremedicalcenter.com/Articles-detail/109

หรือติดต่อศูนย์กายภาพบำบัด ชั้น 1 อาคารศรีสุพรรณ เปิดบริการเวลา 08.00 – 18.00 น. ติดต่อ 02 532 4444 ต่อ 4101

สามารถเข้ารับบริการได้ตั้งแต่วันนี้ – 31 ธันวาคม 2566 (กรุณานัดหมายล่วงหน้า อย่างน้อย 1 วัน)

Tags