Feed For The Future

Alternative Textaccount_circle
event

“Feed For The Future”โครงการเพิ่มความรู้สู่ความยั่งยืนด้านโภชนศึกษา เพื่อพัฒนาหลักสูตรอบรมแนวใหม่ด้านโภชนาการเพื่อให้ความรู้คุณพ่อคุณแม่ตามศูนย์เด็กเล็กทั่วประเทศ พร้อมเปิดตัวหนังสือคู่มือโภชนาการสำหรับเด็ก “My first cook book + Nutrition guide”เพื่อเป็นคู่มือสำหรับคุณพ่อคุณแม่ยุคใหม่ในการหาข้อมูลเกี่ยวกับโภชนาการที่เหมาะสมสำหรับลูกน้อย โดยได้เชิญคุณแม่คนดังอย่างคุณพอลล่า เทย์เลอร์ บัตเตอรี (ที่ 3 จากซ้าย)และคุณเมย์-ปทิดา กำเนิดพลอย (ที่ 3 จากขวา)มาร่วมแชร์เคล็ดลับวิธีการเลือกโภชนาการ พร้อมโชว์สาธิตทำอาหารเมนูให้ลูก ณ โรงแรมโอเรียนเต็ล เรสซิเดนซ์ กรุงเทพ ถนนวิทยุ

ภายในงานฯ เริ่มจากการพูดคุยถึงโครงการ Feed For The Future  โดยนายเจมส์ โรแลนด์ โจนส์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พีชชี่ วิลเล็จ จำกัด กล่าวว่า “แบรนด์พีชชี่ริเริ่มธุรกิจจากความต้องการแก้ปัญหาด้านอาหารเสริมที่เหมาะกับเด็กจากประสบการณ์ตรงของคนที่เป็นพ่อแม่ เราจึงดำเนินธุรกิจด้วยความมุ่งหวังว่าเด็กไทยจะได้รับโภชนาการที่เหมาะสมตั้งแต่แรกเกิดเหมือนลูกของเรา เพราะเราเชื่อว่าการที่เด็กได้รับประทานอาหารที่มีประโยชน์และถูกสุขลักษณะตั้งแต่ช่วงแรกเริ่มของชีวิตจะส่งผลให้เด็กมีนิสัยการกินที่ดีไปตลอดชีวิต ดังนั้น เราจึงได้ร่วมมือกับนักวิชาการผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารจากภาควิชาโภชนวิทยา คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ในการริเริ่มโครงการ Feed For The Futureขึ้น โดยโครงการนำร่องได้เริ่มดำเนินการตั้งแต่ปลายปี 2557 เป็นต้นมา ด้วยการนำหลักสูตรโภชนศึกษาแนวใหม่ที่พัฒนาขึ้นไปจัดอบรมให้คุณแม่ตามศูนย์เด็กเล็ก 3 แห่ง ได้แก่ ศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียนชุมชนวัดไผ่ตัน, ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กทีปังกรการุณยมิตร และศูนย์พัฒนาเด็กเล็กกรมการสารวัตรทหารบก ทั้งนี้ หลังความสำเร็จของโครงการนำร่อง ทางแบรนด์พีชชี่มีการวางแผนที่จะขยายการดำเนินโครงการอบรมให้ความรู้คุณแม่ในศูนย์เด็กเล็กกว่า 20แห่งทั่วประเทศในปีหน้า และหวังสร้างเครือข่ายแม่ลูกสุขภาพดีภายในปีพ.ศ. 2560 เราเชื่อว่าหากเราดำเนินโครงการFeed For The Future ได้เต็มรูปแบบ ปัญหาทุพโภชนาการในเด็กไทยจะต้องลดลง ปัญหาโรคไม่ติดต่อเรื้อรังจะพบน้อยลง และเด็กๆ จะมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เพื่อพร้อมที่จะเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศต่อไปในอนาคต”

ด้านผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ฉัตรภา หัตถโกศลคณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดลและนักกำหนดอาหารวิชาชีพจากสหรัฐอเมริกากล่าวว่า “เพราะภาวะทุพโภชนาการในเด็กกำลังเป็นปัญหาสำคัญของประเทศไทย พบว่าร้อยละ 60 ของเด็กไทยอยู่ในภาวะขาดสารอาหาร ในขณะที่ร้อยละ 20 ของเด็กไทยอยู่ในภาวะน้ำหนักเกิน และจากการสำรวจพบว่าในปีพ.ศ. 2555 เด็กไทยเสี่ยงเป็นเบาหวานชนิดที่ 2 เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 10 เป็นร้อยละ 15 ในขณะที่ 1 ใน 5 ของเด็กก่อนวัยเรียนเป็นโรคอ้วนแต่กลับขาดสารอาหาร ซึ่งการได้รับโภชนาการที่ไม่ถูกต้องและไม่เพียงพอทำให้เสี่ยงต่อภาวะเชาวน์ปัญญาต่ำ และมีแนวโน้มส่งผลต่อการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรังเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็กอายุ 6 เดือนถึง 3 ปี ปัจจุบันคุณพ่อคุณแม่เข้าใจผิดว่าลูกจะต้องรับประทานแต่นมเพียงอย่างเดียว แต่จริงๆ แล้วเด็กอายุ 6 เดือนก็ต้องการอาหารเสริมจากนมแม่แล้ว อย่างที่เราทราบว่าร่างกายคนเราต้องการอาหารครบ 5 หมู่ คือ คาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมัน วิตามิน และแร่ธาตุ แต่ปริมาณของสารอาหารแต่ละหมู่จะแตกต่างกันตามการเจริญเติบโตของร่างกายและช่วงวัย แต่ปัจจุบันเรากลับพบว่าเด็กไทยอ้วนและเป็นเบาหวานเพิ่มขึ้น นั่นก็เป็นเพราะเด็กได้รับสารอาหารประเภทแป้งมากเกินความต้องการของร่างกาย นั่นอาจมาจากพฤติกรรมการรับประทานอาหารบางชนิดมากเกินไปเช่น ขนมขบเคี้ยว น้ำหวาน น้ำอัดลม รวมถึงอาหารฟาสต์ฟู้ด เป็นต้น แต่ถึงแม้เด็กจะมีน้ำหนักเกิน แต่กลับพบว่าส่วนมากมักมีภาวะขาดสารอาหารอย่างขาดโปรตีน ซึ่งอาจเป็นเพราะโปรตีนที่ได้รับมีปริมาณของกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตไม่เพียงพอหรือเรียกว่าได้รับโปรตีนที่มีคุณภาพน้อยหรือบางรายอาจขาดวิตามินและแร่ธาตุ เพราะไม่ค่อยรับประทานผักและผลไม้ ซึ่งเป็นสารอาหารสำคัญต่อพัฒนาการและการเจริญเติบโต ยกตัวอย่างเช่น วิตามินเอ ในแครอท ส้ม ผักสีเขียว จะช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันและบำรุงสายตา ส่วนวิตามินซี ในผลไม้รสเปรี้ยวหรือผักตระกูลกะหล่ำ จะช่วยลดอนุมูลอิสระในร่างกายและสร้างคอลลาเจนที่จำเป็น สำหรับวิธีแก้ไขเด็กที่ไม่ยอมทานผักหรือผลไม้ คุณพ่อคุณแม่ต้องไม่ถอดใจ หากลูกคายทิ้งก็ต้องรออีก 3-4 วันค่อยป้อนใหม่ ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ เพื่อให้เด็กคุ้นชินกับกลิ่นและรสชาติ หรืออาจจะลองเปลี่ยนวิธีปรุงอาหาร เช่นจากต้มเปลี่ยนเป็นผัดบ้าง ทอดบ้าง ให้มีความหลากหลาย หรือกินเป็นตัวอย่างให้ลูกดู เป็นต้น เราเชื่อว่าหากสามารถเปลี่ยนพฤติกรรมเด็กได้ ปัญหาโภชนาการและปัญหาสุขภาพที่เกิดจากพฤติกรรมการรับประทานอาหารก็จะหมดไปด้วย”

“จะเห็นว่าคุณพ่อคุณแม่คือจุดเริ่มต้นของโภชนาการของลูก เพราะเป็นบุคคลสำคัญที่เป็นผู้เลือกอาหารให้ลูกทาน โดยเฉพาะในช่วง 3 ขวบปีแรก ดังนั้น เราจึงพยายามที่จะส่งต่อความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับโภชนาการให้คุณพ่อคุณแม่เพราะพฤติกรรมการรับประทานในวัยเด็กส่งผลอย่างมากต่อพฤติกรรมการรับประทานเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ จะเห็นว่าหากตอนเด็กใครไม่ทานผัก โตไปก็เป็นผู้ใหญ่ที่ไม่ทานผักเหมือนกัน เราจึงคิดค้นและพัฒนาหลักสูตรการอบรมด้านโภชนาการให้ความรู้คุณพ่อคุณแม่แนวใหม่ ด้วยการใช้สื่อการสอนแบบรูปภาพแทนตำราตัวหนังสือ การให้คุณพ่อคุณแม่ได้ฝึกลงมือปฏิบัติจริง และวิธีประยุกต์ความรู้เข้ากับชีวิตประจำวัน ซึ่งจากการศึกษาพบว่าแม่ที่เข้าร่วมโครงการFeed For The Futureได้รับการอบรมมีระดับความรู้ทางด้านโภชนาการเด็กเล็ก ทัศนคติ และแบบแผนการกิน รวมถึงระดับสารอาหารของทั้งแม่และเด็กเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ รวมไปถึงตัวเด็กมีพัฒนาการด้านร่างกายตามเกณฑ์ในแต่ละวัยด้วย”ผศ.ดร.ฉัตรภา กล่าวเพิ่มเติม

จากนั้นถึงช่วงไฮไลท์ของงาน คือ ช่วงเปิดตัวคู่มือโภชนาการสำหรับเด็ก My first cook book + Nutrition guideด้วยแฟชั่นโชว์จากเชฟตัวน้อย ซึ่งคู่มือโภชนาการดังกล่าวจัดทำขึ้นด้วยความร่วมมือจากทีมงานผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้คำแนะนำด้านโภชนาการสำหรับทารกและเด็กเล็กตั้งแต่วัย 6 เดือนถึง 3 ปี มาพร้อมสูตรทำอาหารแสนง่ายมากกว่า 80 เมนู โดยรายได้ทั้งหมดจากการจำหน่ายหนังสือเล่มนี้จะนำไปสมทบทุนในโครงการ Feed For The Futureเพื่อดำเนินการตามแผนงานที่วางไว้ในปีหน้าด้วย

ปิดท้ายด้วยคุณแม่คนดังคุณพอลล่า เทย์เลอร์ บัตเตอรี ที่ควงลูกสาวคนสวยน้องไลลา และลูกชายสุดน่ารักน้องลูก้า และคุณแม่คนสวยอย่างคุณเมย์-ปทิดา กำเนิดพลอย ที่มากะลูกสาวตัวน้อยน้องมายู เพื่อมาแชร์เคล็ดลับการเลือกโภชนาการให้ลูกและโชว์ฝีมือการทำอาหารอย่างเมนูฟรุ๊ตตี้คัพเค้กและสปาเกตตี้คาโบนาราแสนอร่อย

สำหรับผู้ที่สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโครงการFeed For The Futureและคู่มือMy first cook book + Nutritionguide สามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์ www.peachy.co.thและ www.facebook.com/peachybabyfood

 

เรื่องที่คนอ่านมากสุด

keyboard_arrow_up