“ไข้กาฬหลังแอ่น” โรครุนแรง ลุกลามไว อาจเสียชีวิตได้ใน 24 ชั่วโมง ใกล้ตัวกว่าที่คิด เพียงแม่รู้ทัน ช่วยป้องกันลูกน้อย
ใคร ๆ จะคิดว่าโรคเก่าแก่อย่าง ไข้กาฬหลังแอ่น เป็นเรื่องไกลตัว แต่ความจริงแล้วโรคนี้ ถ้าติดเชื้อแล้ว โรคลุกลามไว หรืออันตรายอาจถึงชีวิตใน 24 ชั่วโมง [1] แม้เป็นโรคที่เกิดขึ้นไม่บ่อย แต่ความรุนแรง และผลกระทบของโรคที่ตามมาร้ายแรงกว่าที่คุณพ่อคุณแม่จะรับไหว [2]
ตั้งแต่มีลูก คุณแม่อย่างเราเปลี่ยนไปหันมาใส่ใจทุกเรื่องโดยเฉพาะเรื่องสุขภาพเพื่อให้ลูกน้อยปลอดภัยที่สุด ถึงแม้จะพยายามหลีกเลี่ยงไม่ให้ลูกสัมผัสกับเชื้อโรคเพียงใด ยังมีโอกาสที่ลูกเจ็บป่วยได้ เพราะระบบภูมิคุ้มกันของทารกยังอ่อนแอ [3] วิธีการป้องกันหรือลดความเสี่ยงการติดเชื้อไข้กาฬหลังแอ่น หลีกเลี่ยงการสัมผัสน้ำมูก น้ำลายของผู้ป่วย และลดการอยู่ในสถานที่แออัด [4] และหนึ่งในวิธีที่คุณแม่จะสามารถปกป้องลูกน้อยจากโรคได้ด้วย คือการเข้ารับวัคซีนไข้กาฬหลังแอ่นตามกำหนด [5]
มารู้จัก ไข้กาฬหลังแอ่น โรคร้ายที่ถูกมองข้าม
ไข้กาฬหลังแอ่น ไม่ใช่โรคเด็กที่พบได้บ่อย ๆ [2] ในทารกและเด็กเล็กเหมือนกับหวัด ไข้หวัดใหญ่ หรืออาร์เอสวี ที่เกิดขึ้นได้ตลอดทั้งปี [6-8] แต่มีอาการเบื้องต้นคล้ายกัน [9-12] จนทำให้คุณแม่มองข้ามและคิดว่ารักษาไม่นานก็หาย ทำให้ลูกไม่ได้เข้ารับการรักษาจนสายเกินไป

โรคไข้กาฬหลังแอ่นเป็นโรคติดต่อร้ายแรง เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งทำให้เกิดการติดเชื้อในกระแสเลือด เยื่อหุ้มสมองอักเสบ หรือพบทั้งสองภาวะร่วมกัน โดยสายพันธุ์ที่พบมากที่สุดคือ ไข้กาฬหลังแอ่นสายพันธุ์บี [2] โรคนี้ติดต่อทางการสัมผัสน้ำลาย สารคัดหลั่ง และการสัมผัสใกล้ชิด [13] สำหรับประเทศไทยพบว่ามีเด็กและวัยรุ่นป่วยจากโรคนี้ 20 – 30 คนต่อปี [14] แต่ความรุนแรงของโรคมีโอกาสทำให้ลูกป่วยหนักเข้าโรงพยาบาลและเสียชีวิตภายใน 24 ชั่วโมง [1]
อาการของโรคไข้กาฬหลังแอ่น ที่แม่ต้องรู้
หลังจากลูกได้รับเชื้อจะฟักตัวอยู่ในบริเวณลำคอโดยไม่แสดงอาการ [15] คุณแม่จึงยังไม่สังเกตเห็นอาการผิดปกติในช่วงแรก เมื่ออาการของโรคจะรุนแรงขึ้น เริ่มมีไข้ หนาวสั่น อ่อนเพลีย ปวดเมื่อย หลังจากนั้นเชื้อจะเริ่มลุกลามอย่างรวดเร็ว โดยสังเกตพบผื่นแดงและลุกลามเป็นจ้ำเลือด หากเชื้อรุนแรงขึ้นอาจมีภาวะลิ่มเลือดอุดตัน จนปลายแขนขาดเลือดทำให้สูญเสียนิ้ว แขนขา หรืออาจเกิดภาวะช็อกได้ [15,16]
กรณีที่เชื้อลุกลามเข้าสู่สมองจะส่งผลให้เยื่อหุ้มสมองอักเสบ ลูกจะมีอาการปวดหัวรุนแรง ซึม และชัก [15,16] และอาจเสียชีวิตได้อย่างรวดเร็วภายใน 24 ชั่วโมง [1] โดยอัตราการเสียชีวิตจากไข้กาฬหลังแอ่นสูงถึง 10-15% เลยทีเดียว ส่วนเด็กที่รอดชีวิต 1 ใน 5 อาจพิการ เช่น แขนขาขาด หูหนวก สมองช้า พัฒนาการของเด็กก็จะลดลง [13,16]

ทารกแรกเกิดเสี่ยงสูง ป้องกันได้ด้วยวัคซีน
เด็กทุกคนมีโอกาสป่วยด้วยโรคไข้กาฬหลังแอ่นได้ หากเป็นทารกแรกเกิดหรือเด็กเล็กที่อายุน้อยกว่า 2 ปีจะมีความเสี่ยงมากที่สุด [2] เพราะระบบภูมิคุ้มกันยังไม่สมบูรณ์จึงรับเชื้อได้ง่าย และอาการุนแรง [3] แม้ว่าทารกอายุก่อน 6 เดือนจะไม่ค่อยออกนอกบ้าน แต่มีโอกาสรับเชื้อจากอุ้ม กอด หอมของคนในครอบครัว [4] ยิ่งเด็กวัยนี้ยังไม่พูดบอกอาการป่วยของตัวเองให้รับรู้ได้ กว่าคุณพ่อคุณแม่จะรู้ตัวอาจสายเกินไป
สำหรับการป้องกันโรคไข้กาฬหลังแอ่น ด้วยวิธีหลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดจากคนแปลกหน้า หรือคนในครอบครัว เมื่อกลับมาบ้าน ควรอาบน้ำทำความสะอาดร่างกายก่อนกอดหอมลูกน้อย และอีกหนึ่งวิธีที่คุณไม่ควรมองข้ามคือ พาลูกไปรับวัคซีนไข้กาฬหลังแอ่น [4,5]
สมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทยมีคำแนะนำให้พิจารณาวัคซีนป้องกันโรคไข้กาฬหลังแอ่น เป็นวัคซีนทางเลือกให้กับเด็กกลุ่มเสี่ยง ได้แก่ทารกและเด็กเล็ก ตั้งแต่อายุ 2 เดือน -2 ปีและเด็กกลุ่มเสี่ยงจากโรคประจำตัวและยาบางชนิดที่ใช้ [2] โปรดรับคำปรึกษาและข้อมูลเพิ่มเติมจากกุมารแพทย์ในทุกโรงพยาบาล เพื่อสร้างเกราะกันภัยจากโรคไข้กาฬหลังแอ่นตั้งแต่เนิ่น
เอกสารอ้างอิง
- Apicella, M. A., et al. (2025). Epidemiology of Neisseria meningitidis infection. UpToDate. Retrieved September 19, 2025, from https://www.uptodate.com/contents/epidemiology-of-neisseria-meningitidis-infection.
- Pediatric Infectious Disease Society of Thailand. (2025). Recommendations for meningococcal vaccination in Thai children and adolescents. Bangkok: PIDST. Retrieved September 19, 2025, from https://pidst.or.th/A1527.html
- Georgountzou, A., et al. (2017). Postnatal Innate Immune Development: From Birth to Adulthood. Front. Immunol, 8(957), 1-16.
- Department of Disease Control. (2023). Annual epidemiological surveillance report 2023 (pp. 26-30). Department of Disease Control.
- Centers for Disease Control and Prevention. (2024, February 1). Clinical Overview of Meningococcal Disease. Retrieved September 19, 2025, from https://www.cdc.gov/meningococcal/hcp/clinical/index.html
- Yasopa, O., et al. (2024). Epidemiology of influenza patients in Thailand between A.D. 2014-2021. Institute for Urban Disease Control and Prevention Journal, 9(2), 1-40.
- Thongpan, I., et al. (2020). Respiratory syncytial virus infection trend is associated with meteorological factors. Scientific Reports, 10(1), 10931.
- Fry, A.M., et al. (2011). Human Rhinovirus Infections in Rural Thailand: Epidemiological Evidence for Rhinovirus as Both Pathogen and Bystander. PLoS ONE, 6(3), 317780.
- Centers for Disease Control and Prevention. (2024, August 30). Meningococcal Disease Symptoms and Complications. Retrieved September 19, 2025, from https://www.cdc.gov/meningococcal/symptoms/index.html
- Centers for Disease Control and Prevention. (2024, August 26). Signs and Symptoms of Flu. Retrieved September 19, 2025, from https://www.cdc.gov/flu/signs-symptoms/index.html
- Centers for Disease Control and Prevention. (2025, July 8). Symptoms and Care of RSV. Retrieved September 19, 2025, from https://www.cdc.gov/rsv/symptoms/index.html
- Centers for Disease Control and Prevention. (2024, October 15). About Common Cold. Retrieved September 19, 2025, from https://www.cdc.gov/common-cold/about/index.html#cdc_disease_basics_symptoms-signs-and-symptoms
- Mbaeyi, S., et al. (2021). Meningococcal disease. Epidemiology and prevention of vaccine-preventable diseases (14th ed.). Public Health Foundation. Retrieved September 19, 2025, from https://www.cdc.gov/pinkbook/hcp/table-of-contents/chapter-14-meningococcal-disease.html
- กระทรวงสาธารณสุข. (2015, มีนาคม 8). สธ. ย้ำประชาชนไทยไม่มี โรคไข้กาฬหลังแอ่น ระบาด ไทยพบผู้ป่วยน้อยมาก ปีละ 20 – 30 ราย. สืบค้นเมื่อวันที่ 19 กันยายน, 2025, จาก https://pr.moph.go.th/online/index/news/71379
- Pace, D., Pollard, A. J. (2012). Meningococcal disease: Clinical presentation and sequelae. Vaccine, 30S, B3-9.
- American Academy of Pediatrics. (2021). Red Book: 2021–2024 report of the Committee on Infectious Diseases (32nd ed., pp. 519-532). American Academy of Pediatrics.
Non-promotional material I NP-TH-MNU-WCNT-250006 I 09/25