ยัดเยียดการเรียนให้ลูกมากเกินไป จนลูกน้อยสติขาด
“ลูกอย่าทำตัวไร้สาระได้รึเปล่า ตอนนี้เพื่อนๆ ลูกอยากทำอะไรก็ปล่อยเขาไป การ์ตูนมีแต่ความรุนแรง ไม่เสริมความรู้อะไรเลย เราได้เปรียบ เราใช้เวลาทบทวน และเรียน ในขณะที่คนอื่นเขาไร้สาระ ลูกลองคิดดู เมื่อลูกโตขึ้นจะเป็นนายของคนพวกนี้ และคนพวกนี้จะไม่เหนือลูกเด็ดขาด”
คุณพ่อคุณแม่ต่างก็คิดว่าสิ่งที่ทำคือสิ่งที่ดีที่สุด และให้ในสิ่งที่ดีที่สุดกับลูก ที่คนทั่วไปให้ไม่ได้ด้วยซ้ำไป
![]()
ระยะเวลาผ่านไป เด็กน้อยต้องติวเข้าเรียนชั้น ป.1 ทำให้เวลาเล่นเหลือน้อยลงไปทุกที ในที่สุดเด็กก็ทนไม่ได้ โกรธจนตัวสั่น และพูดว่า
“หนูจะเป็นคนไม่ดี หนูเบื่อที่สุดแล้ว หนูอยากเล่นฟุตบอล อยากวิ่งเล่น อยากดูการ์ตูน อยากอ่านขายหัวเราะ พ่อแม่ก็ไม่อนุญาตให้ทำ หนูเกลียดพ่อแม่ ทำไมต้องบังคับ ทำไมต้องอาย ทำไม? หนูจะเป็นคนชั่ว”
เด็กน้อยตะโกน รัวคำพูดที่ติดในใจมาตลอดหลายปี ทั้งร้องไห้ หน้าแดง กำหมัดแน่น ขว้างข้าวของเสียงดัง ในระหว่างนั้นพ่อและแม่ก็ใช้เสียงดังเพื่อหยุดพฤติกรรม แต่ก็ไม่ได้ผล ยิ่งเสียงดังใส่กันมากขึ้น จนเด็กน้อยเป็นลม
เมื่อผ่านไปสักระยะหนึ่ง ทางโรงเรียนมีจดหมายมาถึง เชิญให้พ่อแม่ไปพบ คุณครูบอกว่า เด็กน้อยมีอาการเหม่อลอย ไม่มองกระดาน และไม่มีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนเลยแม้แต่คนเดียว ให้ทำอะไรทำได้หมด แต่ทำแบบจบๆ ไป ไม่มีอารมณ์ร่วมเลยแม้แต่น้อย บางครั้งก็มีน้ำตาเอ่อ แต่ไม่ไหลออกมาเป็นระยะๆ พูดน้อยลง ใช้สายตาและท่าทางคิดมากขึ้น
![]()
พ่อแม่ไม่ยอมรับ และไม่เชื่อ จึงไปพบคุณหมอ หมอแจ้งว่า เด็กน้อยกระทบกระเทือนทางจิตใจอย่างรุนแรง และเก็บกดภายใน ในสิ่งที่ฝืนความรู้สึกมานาน จนระเบิดออกมาเหมือนคนเสียสติ เขาไม่ได้บ้า หรือพิการทางสมอง แต่เขากำลังปิดกั้นทุกสิ่งทุกอย่างเอง ไม่รับเอง เรื่องที่น่ากังวลก็คือ เมื่อไหร่เขาจะรับ และเปิดใจกลับมาเหมือนเดิม ในเมื่อสมาธิและจิตใจของเขาได้ถูกตัดขาดด้วยตัวเขาเอง เขาอยากอยู่แต่ในโลกจินตนาการที่เขาคิดว่านั่นคือความสุข ไม่อยากออกมา และคงต้องใช้เวลามาก เพราะถ้าเรารู้ว่าเขาสมาธิสั้น เรายังมีทางแก้ ถ้าเขาเป็นดาวน์ซินโดรมเรายังมีทางรักษา แต่เขาเลือกที่จะปิดตัวเองอย่างเด็ดขาด ถ้าปล่อยไว้จะกลายเป็นคนวิกลจริตทางความคิดในอนาคต
ทุกวันนี้คุณพ่อก็ยอมรับในระดับหนึ่ง แต่ก็โทษคุณแม่มากกว่าโทษตัวเอง เด็กน้อยไม่สามารถเรียนได้อีกต่อไปแล้ว ต้องพบจิตแพทย์ และพ่อแม่ไม่สามารถเรียกลูกรักคนเดิมกลับมาได้อีกแล้วจริงๆ
เครดิต: TKpark อุทยานการเรียนรู้