ผักดิบ ที่ไม่ควรกิน

เตือน!! ผักดิบ 9 อย่าง กินมากไปอาจได้โทษ

Alternative Textaccount_circle
event
ผักดิบ ที่ไม่ควรกิน
ผักดิบ ที่ไม่ควรกิน

CHtRQP_UYAAobwN

5. ถั่วฝักยาวดิบ

ถั่วฝักยาวดิบจะมีปริมาณไกลโคโปรตีนและเลคตินค่อนข้างสูง ซึ่งสารเหล่านี้มีส่วนชักนำอาการคลื่นไส้ อาเจียน และอาการท้องเสียได้ในเวลา 3 ชั่วโมงหลังรับประทานถั่วดิบ ๆ เข้าไป ซึ่งทางองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกายังออกมาเตือนอีกด้วยว่า ไม่ใช่แค่ถั่วฝักยาวเท่านั้นที่กินดิบ ๆ แล้วอาจให้โทษ ทว่าถั่วแดงหรือถั่วดำก็ไม่ควรกินดิบด้วยเช่นกัน ไม่อย่างนั้นอาจทำให้ไม่สบายได้

3976-160616104426

6. ถั่วงอกดิบ

ผักดิบ ผักกินสดฮอตฮิตอันดับต้น ๆ อย่างถั่วงอกมักจะมีสารโซเดียมซัลไฟต์ ซึ่งเป็นสารฟอกขาวที่เหล่าพ่อค้า แม่ค้ามักจะนำมาฟอกสีให้ถั่วงอกมีสีขาวน่ารับประทาน อีกทั้งยังเป็นสารที่รักษาความสดของถั่วงอกให้เก็บไว้ขายได้นาน ซึ่งหากผู้บริโภคมีอาการแพ้สารชนิดนี้ หรือกินถั่วงอกดิบในปริมาณมาก ทางศูนย์ข้อมูลพิษวิทยา กระทรวงสาธารณสุข ก็บอกว่าอาจทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ หายใจขัด ความดันโลหิตต่ำ และปวดท้องได้ แต่ถ้าหากนำถั่วงอกไปปรุงสุกก็จะช่วยทำลายสารฟอกขาวได้จนไม่ก่อให้เกิดอันตรายค่ะ

Bambooshoot

7. หน่อไม้ดิบ

ศูนย์ข้อมูลด้านอาหาร กระทรวงสาธารณสุข ชี้แจงว่า ในหน่อไม้สดมี Cyanogenic glycoside ซึ่งสามารถเปลี่ยนเป็นไซยาไนด์ อันมีพิษต่อร่างกาย และหากร่างกายได้รับสารตัวนี้ในปริมาณมาก Cyanogenic glycoside จะเข้าไปจับกับฮีโมโกลบิน ทำให้เกิดอาการขาดออกซิเจน ทุรนทุราย หมดสติ และอาจเสียชีวิตได้ ดังนั้นทางกระทรวงสาธารณสุขจึงแนะนำให้ปรุงสุกหน่อไม้หรือนำหน่อไม้ไปดอง (ซึ่งต้องผ่านการต้ม) ก่อนรับประทาน เพราะวิธีการปรุงสุกด้วยความร้อนจะช่วยสลาย Cyanogenic glycoside ได้

cassava

8. มันสำปะหลังดิบ

Cyanogenic glycoside สารตัวนี้ยังตามมาหลอกหลอนในมันสำปะหลังด้วย ซึ่งทางสำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค ได้บอกว่า หากรับประทานมันสำปะหลังดิบในส่วนหัว ราก ใบ อาจมีพิษทำให้ถึงตายได้ โดยมีพิษขัดขวางการทำงานของระบบหัวใจและทางเดินโลหิต ทำให้ออกซิเจนเข้าสู่เซลล์สมองน้อยลง หรือเบาะ ๆ อาจเกิดอาการเวียนศีรษะ ปวดหัว ปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน หรืออุจจาระร่วง

Mushroom1

9. เห็ดดิบ

เห็ดสดที่มีเนื้อสีขาวทั่วไปมักจะตรวจพบสารอะการิทีน (Agaritine) ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งชนิดหนึ่ง แต่จะสลายไปได้เองหากเห็ดเหล่านั้นผ่านการปรุงสุกแล้ว

อย่างไรก็ดี ขอย้ำกันอีกทีว่าผักเหล่านี้ไม่ใช่ผักต้องห้าม แต่ควรจำกัดปริมาณการบริโภค ผักดิบ ไม่ให้กินเยอะครั้งละเป็นกิโลกรัม หรือรับประทานต่อเนื่องกันทุกวัน ๆ จนเกิดการสะสมของสารที่เป็นโทษต่างหากนะคะ

การกินผักโดยรวมให้ปลอดภัยก็ต้องล้างให้สะอาด แต่บางชนิดก็ต้องกินสุก และบางชนิดต้องต้มให้ถึงอุณหภูมิ เช่น หน่อไม้ มันฝรั่ง ต้องต้มเกิน 10 นาที แต่บางชนิดเช่น กระหล่ำปลีก็สามารถใช้แค่การลวกเท่านั้นได้ 

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

วิธีการต้ม/ลวก ผักดิบ ให้เขียวกรอบน่ากิน

มีผักบางชนิดจะมีรสชาติอร่อยมากขึ้นเมื่อผ่านการลวก  ผักลวกนิยมรับประทานคู่กับอาหารที่มีรสจัด เช่น น้ำพริกนานาชนิด แกงกะทิ แกงไตปลา ที่มีรสจัด เพื่อที่จะลดความเลี่ยนและความเผ็ดของอาหาร และยังช่ายเพิ่มคุณค่าทางอาหารอีกด้วย แต่ผักบางชนิดเมื่อลวกแล้วผักกลับดำคล้ำไม่น่ารับประทาน วันนี้มีเทคนิคง่ายๆ สำหรับการลวกผักให้กรอบ เขียวสวยน่ารับประทานมาฝากกัน

1365047796-P1130511JP-o

  • ขั้นตอนแรก ล้างผักให้สะอาด แยกผักออกเป็นส่วนที่สุกยากเช่น ต้น ก้าน และส่วนที่สุกง่ายเช่น ใบ ยอด ดอก
  • ขั้นตอนต่อไป ตั้งน้ำให้เดือด พยายามใส่น้ำให้น้อยที่สุด หรือพอให้ท่วมผักเมื่อใส่ลงไปในหม้อแล้ว (เพื่อถนอมคุณค่าทางอาหารของใบเขียว) ต้มน้ำให้เดือด ใส่เกลือ และน้ำมันอย่างละประมาณ 1 ช้อนชา (เกลือทำให้ผักมีรสชาติ น้ำมันทำให้ผักมีสีเขียว)
  • ขั้นที่สาม เร่งไฟแรง ใส่ผักลงไปต้ม โดยใส่ส่วนที่สุกยากก่อน สักพักแล้วค่อยตามด้วยส่วนที่สุกง่าย
  • ขั้นสุดท้าย เมื่อผักสุกใบเปลี่ยนเป็นสีเขียวสม่ำเสมอ ให้ตักผักขึ้นแช่ในน้ำแข็งทันที คลุกเคล้าผักกับน้ำแข็งเบาๆเพื่อให้ผักคายความร้อน ไม่สุกต่อ ถ้าไม่แช่น้ำแข็งจะทำให้ผักนิ่ม ไม่กรุบกรอบ และจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล หรือเขียวคล้ำไม่น่ากิน

เพียงเท่านี้ผักลวกของคุณพ่อคุณแม่ก็จะเขียว กรอบ น่ารับประทานแล้ว ง่ายขนาดนี้ถ้ามีเมนูน้ำพริกผักลวกครั้งต่อไป หรือหากต้องการให้ลูกน้อยหัดกินผัก ก็อย่าลืมลองนำเทคนิคที่ให้นี้ไปทำดูนะคะ ^^


ขอขอบคุณข้อมูลจาก : health.kapook.com , www.khaosod.co.th , guru.sanook.com

เรื่องที่คนอ่านมากสุด

keyboard_arrow_up