เรียนรู้ธรรมชาติจากนิทานบ้านลอยฟ้า 100 ชั้น

เมื่อหนังสือบ้าน 100 ชั้น พาเด็กๆ สำรวจและผจญภัย พบเพื่อนใหม่บนฟ้า สูงขึ้นไปเรื่อยๆ ได้รู้จักแมงมุม ค้างคาวและสัตว์ตัวอื่นๆ แล้ว ตามด้วยหนังสือบ้านใต้ดิน 100 ชั้นที่พาไปตะลุยและผจญภัยสู่ใต้ดิน ไปพบว่าลึกลงไปใต้ดินมีสัตว์ชนิดไหนอาศัยอยู่บ้างนะ และสนุกกับภาพสีสันสดใสของบ้านใต้ทะเล 100 ชั้น ออกตามหาสิ่งของที่หายไป เรียนรู้การแบ่งปันและแลกเปลี่ยน กับบรรดาเพื่อนใต้ทะเล ไม่ว่าจะเป็นคุณโลมา คุณปลาหมึกยักษ์ ฯลฯ จากบ้าน 100 ชั้น  บ้านใต้ดิน 100 ชั้น และบ้านใต้ทะเล 100 ชั้น ที่ชวนให้เด็กๆ สนุกกับการสังเกตในบ้านแต่ละชั้น ได้เรียนรู้สัตว์ เรียนรู้การปฏิบัติตนต่อผู้อื่น เรียนรู้การแลกเปลี่ยนแบ่งปัน เรียนรู้ที่จะวางแผนและมุ่งเป้าหมายกันมาแล้ว การผญจภัยครั้งใหม่ที่จะทำให้เด็กๆ สนุกกับรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ก็กลับมาอีกครั้ง … คราวนี้เป็นการผจญภัยขึ้นไปบนบ้านลอยฟ้า 100 ชั้น! เรื่องราวของเล่มนี้เกิดขึ้นท่ามกลางฤดูหนาว นกติ๊ดตัวจ้อยชื่อ จิ๊บคุง ออกหาอาหารจนเจอเมล็ดทานตะวัน แต่เมล็ดทานตะวันเล็กนิดเดียว กินไม่อิ่ม จิ๊บคุงอยากกินเยอะๆ เขาจึงจะปลูกเมล็ดทานตะวันเมล็ดนั้น แต่จะปลูกที่ไหนดีนะ […]

เรียนรู้ความแตกต่างแต่อยู่ร่วมกันได้ ผ่านนิทานเอลเมอร์กับโรส

เชื่อไหมว่าเราทุกคนล้วนมีความน่ารักในแบบของตัวเองกันทั้งนั้น  ไม่ว่าเราจะเป็นแบบไหนก็ตาม เอลเมอร์และวิลเบอร์ ได้เรียนรู้เรื่อง “ความน่ารัก” ของผู้อื่น ที่ “ไม่เหมือนกับตัวเอง” และได้พิสูจน์แล้วว่าเป็นเรื่องจริง เอลเมอรกับโรส เรื่องและภาพ เดวิด แมกคี แปล พี่นานะ   เรื่องราวของ เอลเมอร์ ช้างลายตารางหลากสี กับเพื่อนของเขาที่ชื่อ วิลเบอร์ พวกเขาอาศัยอยู่ในโขลงช้าง ที่มี “สีแบบช้าง” อย่างสงบสุขและสนุกสนาน แต่แล้ววันหนึ่ง ช้างลายตารางหลากสีที่เราเห็นว่าเขา “ไม่เหมือนเพื่อนคนอื่น” ก็ได้เจอเพื่อนใหม่ ที่มี “ความไม่เหมือน” และ “แตกต่าง” ไม่แพ้ตัวเขาเอง เพื่อนใหม่ของเอลเมอร์ ชื่อ โรส  ช้างสีชมพูตัวเล็กที่มีชื่อเหมือนกับ สี ในตอนแรกเอลเมอร์รู้สึกตกใจและแปลกใจกับความ “แปลก” ของโรสอยู่ไม่น้อย (รวมถึงเพื่อนช้างตัวอื่นที่บังเอิญมาเจอโรสด้วย)   โรสพลัดหลงกับโขลงจนมาเจอกับคุณตาเอลโด คุณตาจึงให้เอลเมอร์และวิลเบอร์พาโรสกลับไปส่งที่โขลง  ระหว่างทางพวกเขาเล่นด้วยกัน จนกระทั่งส่งโรสถึงโขลงอย่างปลอดภัย เอลเมอร์กับวิลเบอร์จึงได้เข้าใจว่า  ที่พวกเขาบอกว่าโรส “แปลก” นั้น จริงๆ แล้วโรสไม่ได้แปลก เพราะช้างตัวอื่นๆ […]

เสริมทักษะความจำเพื่อใช้งานกับนิทานเรื่อง คุณช้างอยู่ไหนนะ คุณดาวทะเลอยู่ไหนนะ กันเถอะ !

 คุณช้างอยู่ที่ไหนนะ , คุณดาวทะเลอยู่ที่ไหนนะ เรื่องและภาพ บาร์โรซ์ แปล พี่ข้าวตู เมื่อขึ้นชื่อว่า นิทาน หลายคนคงนึกถึงหนังสือที่มีภาพและคำ รวมถึงเรื่องสนุกๆ เมื่ออ่านแล้วเกิดจินตนาการและได้เรียนรู้ไปพร้อมๆ กับตัวละคร แต่จริงๆ  แล้ว นิทาน อาจเป็นหนังสือที่มีคำไม่เยอะมาก แต่ใช้ภาพประกอบในการเล่าเรื่องเป็นหลักก็ได้ คล้ายกับคำที่ว่า ให้ภาพเล่าเรื่อง นิทานเรื่อง คุณช้างอยู่ไหนนะ คุณดาวทะเลอยู่ไหนนะ ก็เป็นนิทานภาพสำหรับเด็กที่ไม่ได้มีคำในการเล่าเรื่องเยอะ แต่ใช้ภาพในการเล่าเรื่องเสียมากกว่า อีกทั้งยังเล่าเรื่องกึ่งเกมอีกด้วย เพราะนิทานเรื่องนี้มีประโยคสั้นๆ เล่มละ 3 ประโยคเท่านั้น คือ คุณช้างอยู่ที่ไหนนะ คุณนกแก้วอยู่ที่ไหนนะ คุณงูอยู่ที่ไหนนะ คุณดาวทะเลอยู่ที่ไหนนะ คุณแมงกะพรุนอยู่ที่ไหนนะ คุณปลาการ์ตูนอยู่ที่ไหนนะ เปิดเรื่องด้วยตัวละครเด่น 3 ตัว พร้อมคำถามว่า สัตว์ทั้ง 3 ตัวนั้นอยู่ไหน แล้วก็ให้เด็กๆ ได้มองหา เมื่อเปิดหน้าถัดไป ภาพก็เริ่มเล่าเรื่องไปพร้อมกับการได้สังเกตภาพ เด็กๆ จะได้สังเกตและเรียนรู้เรื่องผ่านภาพอย่างชัดเจนผ่านนิทานเล่มนี้ เพราะภาพแต่ละหน้ามีความเคลื่อนไหว และมีเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ จนกระทั่งหน้าสุดท้าย ซึ่งการสังเกต มองหา […]

พัฒนาทักษะสมอง EF ให้ลูกน้อย สร้างความสุขและความสำเร็จให้ลูกได้จริง

“EF หรือ Executive Function คือ ความสามารถระดับสูงของสมองที่ใช้ในการควบคุมความคิด อารมณ์ และการกระทำเพื่อไปให้ถึงเป้าหมาย… เป้าหมายเป็นสิ่งที่เด็กกำหนดเอง มิใช่พ่อแม่กำหนด ศตวรรษที่ผ่านมาพ่อแม่อาจจะช่วยกำหนดได้ โตขึ้นให้เป็นอะไร ทำอาชีพอะไร แต่ศตวรรษที่ 21 ซับซ้อนเกินกว่าที่พ่อแม่จะกำหนดได้ เราต้องการให้เด็กมีทักษะสมอง EF ที่ดีเพื่อกำหนดเป้าหมายในชีวิตของตนเอง” — นายแพทย์ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ — ความสำเร็จในชีวิตลูกไม่ได้อยู่ที่การได้คะแนนสอบสูง ทำงานตำแหน่งใหญ่โต หรือมีฐานะมั่งคั่งร่ำรวย แต่คือการเติบโตอย่างมีความสุขบนเส้นทางของลูกแต่ละคน สามารถที่จะดูแลตัวเองและช่วยเหลือคนรอบข้างได้ ซึ่งสิ่งนี้จะเกิดขึ้นได้ก็มาจากการอบรมเลี้ยงดูของพ่อแม่ และทักษะสมอง EF ที่ดี   เราจึงอยากชวนคุณพ่อคุณแม่ มาทำความรู้จ้ก 8 แนวทางเพื่อฝึกทักษะสมอง EF ให้ลูกน้อย จากคิม มูกี ผู้เขียนหนังสือ สอนลูกให้ได้ดีและมีความสุข (สนพ.แพรวเพื่อนเด็ก) เสริมสร้างภาวะผู้นำ สามารถกำหนดเป้าหมายในชีวิตของตัวเองได้เป็นอย่างดีในอนาคต และมีความสุขไปตลอดชีวิต ให้อิสระลูกค้นหาตัวเอง การให้ลูกค้นหาตัวตน ค้นหาสิ่งที่สำคัญ ค้นหาสิ่งที่ชอบ และการปลูกฝังให้ลูกสามารถพิจารณาตัดสินเรื่องต่างๆได้นั้น สิ่งสำคัญคือพ่อแม่ต้องล่อยให้ลูกค้นหาสิ่งที่เขาชื่นชอบอย่างอิสระ ถ้าพ่อแม่เป็นคนกำหนดกะเกณฑ์ แล้วลูกทำตามไปเสียทุกเรื่อง สุดท้ายเขาจะกลายเป็นเด็กที่ยึดติดคนรอบข้าง […]

จิ๋วหลิวผจญภัย ชวนสังเกตธรรมชาติรอบตัวและรู้จักพืชต่างถิ่น

  จิ๋วหลิวผจญภัย อะจุ  คะโต เรื่องและภาพ สิริพร  คดชาคร แปล ดอกไม้ที่ขึ้นตามข้างทาง ใครเป็นคนปลูกเอาไว้นะ ดอกไม้ที่ฝาท่อ ดอกไม้ในสวนที่ไม่ได้มีคนดูแล ทำไมจึงยังเติบโตได้นะ? บางที ต้นไม้ดอกไม้เหล่านั้น อาจจะเติบโตและได้รับการดูแลจาก “จิ๋วหลิว” ก็ได้นะ จิ๋วหลิว ไม่ใช่แมลงแต่จิ๋วหลิวเป็นสิ่งมีชีวิตตัวเล็กจิ๋ว (ที่เด็กๆ อาจจะมองไม่เห็น) จิ๋วหลิวชอบกินกลีบดอกไม้ ใบไม้ แล้วก็ชอบดื่มน้ำหวานจากเกสรดอกไม้ด้วยนะ แต่สิ่งที่จิ๋วหลิวไม่กินและเก็บไว้อย่างดีก็คือ เมล็ดดอกไม้ ครอบครัวจิ๋วหลิวเก็บเมล็ดดอกไม้เอาไว้อย่างดี แล้วพากันเดินทางไปหย่อนเมล็ดดอกไม้เหล่านั้นไว้ตามที่ต่างๆ ไม่ว่าในซอกเล็กๆ ตรงกำแพง ตามถนนคอนกรีต   ปลูกเมล็ดดอกไว้ใต้ตะแกรง ปลูกไว้ที่สวนสาธารณะด้วยนะ การผจญถัยของจิ๋วหลิว นอกจากจะทำให้เด็กๆ ได้สนุกกับมุมมองของภาพที่แตกต่างไปจากปกติ นั่นคือ ได้เห็นภาพขนาดใหญ่จากมุมมองของจิ๋วหลิวที่ตัวเล็กจิ๋วแล้ว  ยังได้สังเกตธรรมชาติรอบตัวไปพร้อมกับการเดินทางของจิ๋วหลิวอีกด้วย  ได้เห็นต้นไม้ที่แปลกตา ดอกไม้ที่ไม่เคยรู้จักชื่อมาก่อน ระหว่างที่เดินไปปลูกเมล็ดดอกไม้เหล่านั้น มีต้นไม้ ดอกไม้ที่ขึ้นอยู่ตามทางมากมาย หน้าตาของต้นไม้เหล่านั้นอาจจะไม่คุ้นตา (เพราะบ้านของจิ๋วหลิวในเรื่องคือญี่ปุ่น) แต่ก็ทำให้เด็กๆ ได้รู้จักพืชต่างถิ่นได้ เหมือนย่อโลกข้างนอกมาไว้ในหนังสือ ได้รู้จักดอกหน้าแมว  ต้นเบอะคะปุ่ย ได้เห็นต้นส้มกบดอกเหลือง  ได้เห็นเดซี่ป่า และต้นไม้อีกหลายต้น […]

เกมเขาวงกตกับทักษะการแก้ไขปัญหาจากนิทาน แม่หนูอยู่ไหน

 แม่หนูอยู่ไหน อิเกะสุมิ  ฮิโรโกะ เรื่องและภาพ ภัทร์อร  พิพัฒกุล แปล เมื่อลูกหมีตื่นนอนแล้วไม่เจอแม่ ลูกหมีจะทำอย่างไรดีนะ  ลูกหมีแก้ปัญหาด้วยการออกตามหาแม่ ระหว่างทางพบผู้คนมากมายที่คอยบอกทางให้ บางครั้งก็เหมือนจะใช่แม่ แต่ก็ไม่ใช่ แค่คล้ายๆ เท่านั้นเอง และสุดท้ายก็พบว่าแม่อยู่ใกล้กว่าที่คิด แต่ที่หาไม่เจอก็เพราะตกใจและไม่ทันได้มองให้ดีเสียก่อน จากเนื้อเรื่องคุณพ่อคุณแม่สามารถบอกเด็กๆ ได้ว่า หากพลัดหลงหรือหาพ่อแม่ไม่เจอ ให้ใจเย็นๆ ลองมองหารอบๆ ตัวให้ดีเสียก่อน แล้วยืนรอที่เดิม หรือไม่ก็ขอความช่วยเหลือจากผู้ใหญ่     นิทานเรื่องนี้ภาพสวย สะอาดและสบายตา ตัวละครเป็นสัตว์ที่เด็กๆ คุ้นเคย แม้เนื้อเรื่องจะเริ่มต้นด้วยความตกใจของลูกหมี แต่เมื่อออกเดินทางไปสักพัก จะมีความสนุกแทรกอยู่ ด้วยภาพที่ผู้แต่งออกแบบให้เป็นเขาวงกต ซึ่งอาจถือได้ว่าเป็นจุดเด่นเรื่องเลยทีเดียวค่ะ เมื่อภาพเป็นเขาวงกต ก็ทำให้การใช้เวลาในการอ่านแต่ละหน้าเพิ่มมากขึ้น เด็กๆ จะมีสมาธิ จดจ่อกับเรื่องและภาพได้มากขึ้น เพราะต้องดูว่าจะให้ลูกหมีเดินไปทางไหนดี เหมือนกับว่า ได้อ่านไปเล่นไป และการเล่นเกมเขาวงกตนั้น ยังช่วยให้เด็กๆ ได้พัฒนาทักษะการแก้ไขปัญหาอีกด้วย 1.เขาวงกตช่วยให้เกิดกระบวนการคิดและวางแผนแก้ไขปัญหา เขาวงกต เป็นเกมที่มีจุดเริ่มต้น และจุดสุดท้าย เมื่อเด็กๆ เห็นว่าทางที่ลูกหมีจะไปไม่ใช่ทางแบบธรรมดา เด็กๆ จะเกิดกระบวนการคิดเพื่อหาทางออก […]

เรียนรู้ความแตกต่างและความภูมิใจในตนเองไปกับ เอลเมอร์

ปกติช้างตัวเป็นสีเทา แต่ถ้าวันหนึ่งมีช้างที่ไม่ใช่สีเทา แถมยังเป็นลายตารางหลากสีอีกละ จะเป็นอย่างไรนะ เรื่องราวของ เอลเมอร์ ช้างลายตารางหลากสีแสนซนซึ่งเป็นที่รักของช้างทุกตัว แต่แล้ววันหนึ่งเอลเมอร์กลับไม่อยากดูโดดเด่นและแตกต่างอีกต่อไป เขาจึงทำตัวเองให้เหมือนช้างตัวอื่นๆ แต่เอลเมอร์กลับรู้สึกไม่สนุกเลย ทำไมกันนะ….  ช้างสีไม่เหมือนช้าง ช้างที่ไม่เหมือนเพื่อนช้างตัวอื่นๆ ในฝูง โดดเด่นและแสนเป็นเอกลักษณ์  เพื่อนช้างในฝูงไม่มีใครมองว่าเอลเมอร์แปลก แต่เป็นเอลเมอร์เองที่คิดขึ้นว่า เบื่อแล้วกับการโดดเด่นและแตกต่างเช่นนี้ ช้างก็ต้องสีแบบช้างสิ เหมือนเพื่อนคนอื่นๆ สิ ถึงจะดี ใครจะอยากแตกต่างกันละ … คิดได้ดังนั้น เอลเมอร์จึงออกเดินทาง และทำตัวเองให้ “เหมือน” เพื่อนคนอื่น แต่เมื่อมีสีเหมือนเพื่อนแล้ว ทำไม่ถึงไม่สนุกเหมือนเดิมนะ … เรื่องราวของเอลเมอร์ สะท้อนให้เห็นความแตกต่างอย่างชัดเจน ความแตกต่าวระหว่างตัวเอลเมอร์กับเพื่อน ความแตกต่างระหว่างเพื่อนกับเอลเมอร์ ความแตกต่างที่เอลเมอร์และเพื่อนไม่เคยมองว่าเรา “ต่าง” กัน จึงอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข และเอลเมอร์เองก็ไม่เคยรู้ว่าการเป็นตัวเองเป็นเรื่องที่ดีแค่ไหน จนกระทั่งได้ลองทำตัวเหมือนคนอื่นแล้วรู้สึกอึดอัดใจแบบแปลกๆ เมื่อนั้นเอลเมอร์จึงได้รู้ว่าไม่มีอะไรจะดีไปกว่าการเป็นตัวเอง แล้วความภูมิใจในตนเองจึงเกิดขึ้น เอลเมอร์กลับมาเป็นช้างลายตารางหลากสีที่สดใสร่าเริง และเล่นสนุกกับเพื่อนเหมือนเดิม เอลเมอร์ได้สอนเราว่า ไม่มีอะไรดีไปกว่าการเป็นตัวของตัวเอง และจงภูมิใจในสิ่งที่ตัวเองเป็น ในขณะเดียวกันเพื่อนของเอลเมอร์ก็สอนให้เราได้รู้ว่า การไม่ตัดสินคนอื่นจากความไม่เหมือน เป็นเรื่องที่ดีแค่ไหน เราทุกควรล้วนมีเอกลักษณ์และมีความแตกต่างระหว่างกัน ไม่มีใครเหมือนกันเลยสักคน การอยู่ร่วมกันท่ามกลางความแตกต่างอย่างเข้าใจ […]

ประวัติศาสตร์อีเล้งเค้งโค้ง

มีห่านตัวหนึ่ง หน้าบึ้งหน้าบูด ไม่เอ่ยปากพูด หน้าบูดทั้งวัน แต่ห่านตัวนั้น  ส่งเสียงเป็นเพลง อีเล้งเค้งโค้ง!! หลายๆ คนคงคุ้นเคยกับบทกลอนข้างต้น และเมื่อถึงคำว่า อีเล้งเค้งโค้ง ก็อาจจะเปล่งเสียงคำนี้ให้ดังกว่าเดิมด้วยใช่ไหมล่ะคะ เจ้าห่านอีเล้งเค้งโค้ง เป็นขวัญใจของเด็กๆ มาอย่างยาวนาน รวมถึงเป็นขวัญใจของคุณพ่อคุณแม่หลายๆ ท่านด้วย เพราะอีเล้งเค้งโค้งเป็นที่รู้จักมากว่า 20 ปีแล้วค่ะ! นิทานเรื่อง อีเล้งเค้งโค้ง แต่งและวาดภาพโดย ครูชีวัน วิสาสะ นักเขียน นักวาดภาพประกอบ และบรรณาธิการหนังสือภาพสำหรับเด็กที่ได้รับรางวัลจากสถาบันต่างๆ มากมายเช่น ตัวเลขทำอะไร เจ้าหนูเมืองพิสดาร ฯลฯ มีผลงานเป็นที่ชื่นชอบของเด็กๆ มากมาย อาทิ อีเล้งเค้งโค้ง, คุณฟองนักแปรงฟัน เป็นต้น ด้วยเรื่องราวที่สนุก มีจุดเด่นและน่าติดตาม ทำให้นิทานของครูชีวันเข้าไปอยู่ในใจเด็กๆ ได้ไม่ยาก โดยเฉพาะเรื่องอีเล้งเค้งโค้ง แต่กว่าจะเป็นอีเล้งเค้งโค้งอย่างในทุกวันนี้นั้น มีเรื่องราวอย่างไรบ้างนะ … กว่าจะเป็นอีเล้งเค้งโค้ง จุดเริ่มต้นของอีเล้งเค้งโค้ง เริ่มเมื่อประมาณปี 2534  ครูชีวันได้เข้าร่วมเวิร์คช็อปเรื่องการเขียนสร้างสรรค์ กับ Mr.Ernst A. Ekker กวีและนักเขียนเรื่องสำหรับเด็กชาวออสเตรีย  […]

มี้จังและการสอนเรื่องความรับผิดชอบแบบคนญี่ปุ่น

ในวัย 5 ขวบที่เป็นช่วงต่อระหว่างวัยเด็กเล็กและเด็กโตอาจทำให้คุณพ่อคุณแม่กังวลว่าลูกของตนมีศักยภาพในการทำอะไรได้บ้าง ในวัยนี้เด็กน้อยหลายคนคงเข้าอนุบาลกันหมดแล้ว และเมื่อต้องห่างไกลสายตาไป คุณพ่อคุณแม่ก็ย่อมมีความเป็นห่วงว่าลูกของตนจะช่วยเหลือตัวเองได้ขนาดไหน สามารถทำอะไรตามคำสั่งได้หรือเปล่า ซึ่งสิ่งนั้นก็คือลูกของเรานั้นสามารถรับผิดชอบตนเองได้มากขนาดไหนในวัยเท่านี้ คำถามคือเราจะรู้ได้อย่างไรว่าลูกของเรานั้นรู้จักความรับผิดชอบ และหากว่ายังไม่รู้ จะเริ่มสอนได้เมื่อไหร่ และต้องสอนอย่างไร เมื่อพูดถึงเรื่องความรับผิดชอบ คุณพ่อคุณแม่หลายคนอาจมองเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่ เพราะคำนี้สื่อไปถึงบุคลิกที่เชื่อมโยงกับสังคมในอนาคตของเจ้าตัวน้อยด้วย แต่จริงๆ แล้วความรับผิดชอบเริ่มต้นด้วยความหมายง่ายๆ และใกล้ตัวมากกว่าที่คิดค่ะ เราลองมาดูการสอนให้เด็กรู้จักความรับผิดชอบผ่านนิทานเรื่อง “งานแรกของมี้จัง” ของประเทศเพื่อนบ้านอย่างญี่ปุ่นกันดีกว่าค่ะ งานแรกของมี้จังเป็นเรื่องราวของเด็กหญิงมี้จังวัย 5 ขวบ ที่คุณแม่ได้ไหว้วานให้เธอช่วยออกไปซื้อนมที่ร้านชำใกล้บ้าน และมี้จังก็พยายามทำหน้าที่นั้นอย่างมุ่งมั่นและสำเร็จจนได้ แม้จะเจออุปสรรคบ้างก็ตาม อาจดูเป็นเรื่องที่ไม่ยากสำหรับผู้ใหญ่หลายๆ คน แต่การออกไปซื้อของนอกบ้านก็นับเป็นการผจญภัยที่ยิ่งใหญ่สำหรับเด็กคนหนึ่งเลยทีเดียว และหากมองตามเนื้อเรื่องเราก็จะเห็นได้ว่า ในประเทศญี่ปุ่นนั้นเด็กวัยเพียงเท่านี้ก็เรียนรู้ที่จะรับผิดชอบหน้าที่ของตนเองได้แล้ว จึงไม่ใช่เรื่องยากที่เราจะนำแนวทางมาปรับใช้และสั่งสอนลูกของเราได้ การสอนเรื่องความรับผิดชอบแบบคนญี่ปุ่น การสอนเรื่องความรับผิดชอบแบบคนญี่ปุ่นเริ่มต้นตั้งแต่เข้าโรงเรียนอนุบาล เมื่อพ่อแม่พาเด็กมาส่งให้คุณครูที่โรงเรียนเรียบร้อยแล้ว ทางโรงเรียนจะให้เด็กทำหน้าที่ของตนเอง เช่นการนำสิ่งของของตัวเอง อย่าง รองเท้า กระเป๋าที่นอน ผ้ากันเปื้อน ไปเก็บไว้ในที่ที่จัดเตรียมไว้ หลังจากนั้นจึงจะเข้าไปร่วมเล่นของเล่นกับเพื่อนๆ ได้ แม้เด็กเล็กอาจจะยังทำไม่ได้ทันทีในวันแรกๆ แต่คุณครูก็จะคอยช่วยบอกและพาเด็กไปทำสิ่งนั้นอย่างใจเย็น เพื่อให้เด็กเข้าใจว่าการช่วยเหลือตนเองเป็นสิ่งที่ควรทำ และเป็นเรื่องปกติที่ต้องทำได้ ซึ่งสิ่งนี้จะสอดแทรกเข้าไปในชีวิตประจำวันของเด็กไปเรื่อยๆ ทำให้ตัวเด็กเกิดความคุ้นเคยและรับรู้หน้าที่ของตนเองได้ในที่สุด ให้เด็กดูแลรับผิดชอบเรื่องของตนเอง เช่นเดียวกับเรื่องมี้จังที่คุณแม่ของมี้จังไม่ได้บอกตรงๆ ว่าต้องทำอะไร แต่ใช้การมอบหมายงานง่ายๆ […]

ความธรรมดาที่ไม่ธรรมดาในนิทานเรื่อง ครอบครัวแสนธรรมดาของคุณจระเข้กับคุณยีราฟ

จากความรักอันยิ่งใหญ่ สู่ความธรรมดาที่ไม่ธรรมดาในนิทานเรื่อง ครอบครัวแสนธรรมดาของคุณจระเข้กับคุณยีราฟ คุณคิดว่า จระเข้กับยีราฟ รักกันได้ไหม แล้วถ้ารักกันได้ ทั้งคู่จะอยู่ด้วยกันอย่างไร แล้วถ้าหากบอกว่าไม่ได้ ทำไมถึงไม่ได้ ในเมื่อความรักเป็นสิ่งที่ดี การที่จระเข้กับยีราฟจะรักกันนั้นเป็นเรื่องแปลกตรงไหน หรือเพราะ “แตกต่าง” “ไม่เหมือนกัน”จึงไม่ควรจะรักกัน อย่างนั้นหรือเปล่า ไม่ว่าคุณจะตอบว่า จระเข้กับยีราฟ “รักกัน” ได้ หรือ “ไม่ได้” ก็ตาม เราอยากให้คุณเก็บคำตอบของคุณเอาไว้ในใจก่อน แล้วลองเปิดใจอ่านนิทานภาพสำหรับเด็กที่ว่าด้วยเรื่องของความรักสามเล่มนี้เสียก่อน บางทีคำตอบที่คุณมีอาจจะเปลี่ยนไปก็ได้ นิทานภาพสำหรับเด็กเรื่อง ครอบครัวแสนธรรมดาของคุณจระเข้กับคุณยีราฟ เขียนโดย ดานีลา คูลอต แปลโดย รวิทัต บุณยเกียรติ  เป็นนิทานเล่มที่สามแล้วสำหรับเรื่องราวของเขาทั้งคู่  คุณจระเข้ และ คุณยีราฟ ขอกล่าวย้อนหลังไปก่อนที่ทั้งคู่จะเป็นครอบครัวกันเสียก่อนว่า ก่อนหน้านั้น คุณจระเข้ตัวน้อยผู้ใส่ใจเกิดอาการตกหลุมรักคุณยีราฟเข้าอย่างจัง  แต่ “เมื่อใครก็ตามตกหลุมรัก เขามักจะประสบปัญหาเล็กๆ น้อยๆ  เสมอ” แม้ว่าจะแตกต่างกันแต่คุณจระเข้ก็ไม่ยอมแพ้  เขาพยายามหาวิธีเพื่อที่จะได้ส่งยิ้มหรือทักทายกับคุณยีราฟที่เขาตกหลุมรัก ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ยุ่งยากเสียจนเกือบจะถอดใจ แต่ทว่า … ความรักมักเล่นตลกและเรียบง่ายกว่าที่เราคิดไว้เสมอ ซึ่งในนิทานเรื่อง คุณจระเข้กับความรักอันยิ่งใหญ่ ได้นำเสนอเรื่องราวความรักของคุณจระเข้เอาไว้ได้อย่างสนุกสนาน […]

5 สิ่งที่หนูๆ ได้จากหนังสือสไตล์ POP UP!!!

ทุกครั้งที่เดินผ่านชั้นหนังสือเด็ก หนังสือป็อบอัป (Pop up) ที่มีอยู่ไม่น้อยในท้องตลาดมักจะเป็นหนังสือที่เด็กๆ วิ่งเข้าไปหาทุกครั้งที่มองเห็น ด้วยลูกเล่นที่แปลกตา และการนำเสนอที่น่าตื่นเต้นกว่าหนังสือปกติทั่วๆ ไป ถึงแม้จะมีราคาค่อนข้างสูง แต่เชื่อว่าคุณพ่อคุณแม่หลายๆ คนคงเคยถูกสายตาหวานๆ จากลูกน้อยอ้อนวอนขอซื้อหนังสือประเภทนี้กลับบ้านแน่ๆ ในขณะที่คุณพ่อคุณแม่อาจกำลังคิดไม่ตกกันว่าหนังสือเหล่านี้คุ้มค่ากับการลงทุนไหมนั้น เรามีบางสิ่งที่อาจเป็นประโยชน์กับการตัดสินใจมาบอกค่ะว่าหนังสือเหล่านี้นอกจากจะสวยงามแล้วยังให้อะไรกับลูกน้อยมากกว่าความรู้ด้วยนะคะ ความสนุกสนาน แน่นอนว่าความสนุกสนานเป็นความรู้สึกแรกๆ ที่เด็กต้องรู้สึกเมื่อมองเห็นภาพที่โดดเด้งขึ้นมาบนหนังสือป็อบอัป และความสนุกสนานนี่แหละค่ะที่เป็นกุญแจสำคัญต่อการเรียนรู้ของเด็กๆ คุณพ่อคุณแม่คงเคยได้ยินมาบ้างว่า “เด็กเรียนรู้จากการเล่น” การนำการเล่นมารวมไว้กับการอ่านหนังสือจึงเป็นแนวทางที่ดีที่จะทำให้เด็กจดจำความรู้เข้าไปได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น อีกทั้งเมื่อเขานึกภาพความสนุกนั้นขึ้นมาก็ยังเชื่อมโยงกับความรู้ในเล่มได้ทันที 2.ช่างสังเกต เพราะกลไกที่อยู่ในหนังสือป็อบอัป บ้างก็ให้เปิด บ้างก็ให้ดึง บ้างก็ให้หมุน บ้างก็ให้เลื่อน ซึ่งบางชิ้นก็มีขนาดเล็ก บางชิ้นก็มีขนาดใหญ่ บางชิ้นก็มองเห็นได้ง่าย และบางชิ้นก็แอบซ่อนอยู่ทำให้เด็กๆ ต้องใช้ทั้งทักษะการสังเกตเพื่อมองกวาดไปในหน้าหนังสือทั้งหมดว่ามีอะไรให้เล่นอีกหรือไม่ เป็นการกระตุ้นการเรียนรู้และสังเกต จากนั้นเด็กๆ ก็จะใช้กล้ามเนื้อมัดเล็กที่มือเปิดและและมองดูผสานกันไป ทำให้ช่วยฝึกทักษะความสัมพันธ์ระหว่างมือและตา ซึ่งความรู้ที่สัมผัสได้และมีรูปลักษณ์จะช่วยกระตุ้นการเรียนรู้และจดจำได้ดีกว่าตัวหนังสือและภาพในหนังสือธรรมดาค่ะ 3.ได้ฝึกสมาธิ โดยปกติแล้วหลักการอ่านหนังสือทั่วไปจะต้องใช้นิ้วไล่ตามตัวหนังสือไปทีละคำ ทีละบรรทัด ทำให้การอ่านหนังสือเป็นการเสริมสร้างสมาธิในการเรียนรู้ขั้นพื้นฐานให้เด็ก ซึ่งหนังสือป็อบอัปแม้จะไม่ได้เป็นหนังสือที่มีเนื้อหาให้อ่านมากมาย แต่ก็เป็นหนังสือที่ผลิตมาเพื่อให้คนอ่านได้ร่วมกิจกรรมไปพร้อมกับหนังสือขณะที่อ่าน ภาพสวยๆ และลูกเล่นสนุกๆ ในเล่มคือการดึงดูดความสนใจให้เด็กๆ เปิดใจเรียนรู้เรื่องราวจากหนังสือเล่มนี้ได้ง่ายขึ้นด้วย ยิ่งมีภาพสวยและลูกเล่นที่น่าสนใจมากเท่าใด ยิ่งทำให้เด็กสามารถเพ่งความสนใจไปที่จุดเดียวได้ และนั่นก็เป็นการเสริมสร้างสมาธิในการเรียนรู้ให้เด็กได้เช่นกัน 4.จินตนาการ วัยเด็กนั้นเป็นวัยที่มีจินตนาการอย่างไม่จำกัด ไร้ขอบเขต […]

พจนานุกรมภาพอังกฤษ-ไทยสำหรับคุณหนู บันไดขั้นต่อไปในการสร้างเด็กสองภาษา

คุณพ่อคุณแม่คงปฏิเสธไม่ได้ว่าทุกวันนี้ภาษาเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่สำคัญในการดำรงชีวิต การที่ลูกน้อยของเรารู้จักภาษาที่สามได้เร็วกว่าคนอื่นจึงเป็นเหมือนการสร้างต้นทุนชีวิตที่ดีให้กับเขาด้วย และนั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้ครอบครัวหลายครอบครัวเริ่มหันมาสอนลูกให้เป็นเด็กสองภาษากันตั้งแต่ลูกเริ่มพูดและจำได้ เด็กสองภาษา เป็นคำที่เชื่อว่าพ่อแม่ในสมัยนี้ทุกคนต้องเคยได้ยิน และต้องการจะนำแนวคิดนี้ไปใช้กับลูกของตนบ้าง แต่บางบ้านก็คงพบกับคำถามว่า “จะให้ลูกเรียนรู้จากหนังสือแบบไหนดี” หรือ “ถ้าให้เรียนรู้จากวิดีโอในแทบเล็ตลูกจะกลายเป็นเด็กติดแทบเล็ตหรือไม่”  คำถามเหล่านี้ทำให้พ่อแม่หลายคนกังวลและไม่กล้าเลือกสื่อที่จะนำมาสอนลูกๆ ด้วยตนเอง วันนี้เราจึงอยากมาแนะนำหนังสืออีกแบบที่จะช่วยเป็นบันไดขั้นต่อไปให้น้องๆ หนูๆ ได้เรียนรู้การเป็นเด็กสองภาษา นั่นคือพจนานุกรมภาพอังกฤษ-ไทยสำหรับคุณหนูค่ะ การเลือกหนังสือสองภาษาให้ลูกจำเป็นจะต้องเป็นหนังสือนิทานอย่างเดียวไหม พ่อแม่หลายคนอาจคิดว่าหนังสือนิทานเป็นหนทางที่ง่ายและเร็วที่สุดในการให้ลูกของตนเรียนรู้ที่จะเป็นเด็กสองภาษาแต่ความจริงยังมีหนังสืออีกประเภทหนึ่งที่น่าสนใจไม่แพ้กันนั่นก็คือ พจนานุกรมภาพสำหรับเด็ก พจนานุกรมภาพสำหรับเด็ก คือหนังสือที่เน้นสอนคำศัพท์ผ่านภาพที่น่ารักและชัดเจน ทำให้เด็กแยกแยะสิ่งที่เขากำลังเรียนรู้ได้ง่ายขึ้น รูปแบบอาจเป็นหนังสือที่ดูจริงจังจากหนังสือนิทานสองภาษาขึ้นมาสักหน่อย คุณพ่อคุณแม่บางคนจึงมองผ่านไป เพราะอาจคุ้นเคยกับการเล่านิทานสองภาษาให้ลูกฟังมากกว่า หรือบางคนอาจคิดว่าหนังสือเหล่านี้โตเกินไปสำหรับลูกของตนเอง เด็กเล็กๆ ไม่น่าสนใจ จึงไม่กล้าซื้อไปให้เด็กๆ ที่บ้าน และบางคนอาจคิดว่าหนังสือพจนานุกรมภาพเหล่านี้ไม่มีลูกเล่นที่จะดึงดูดเด็กได้มากพอ ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่เคยคิดเช่นนั้น อยากบอกค่ะว่าความจริงหนังสือแบบนี้มีลูกเล่นมากกว่าที่คุณคิดไว้ “เพราะเด็กเรียนรู้จากภาพได้ดีกว่าตัวหนังสือ” พจนานุกรมภาพอังกฤษ-ไทยสำหรับคุณหนู เป็นหนังสือสอนคำศัพท์ภาษาอังกฤษที่มีภาพวาดน่ารักมากมาย ควบคู่มากับคำศัพท์ง่ายๆ ที่ใช้ได้ในชีวิตประจำวัน และเนื่องจากมีคำศัพท์ในเล่มกว่า 1,000 คำ ทำให้มีภาพประกอบน่ารักมากตามจำนวนคำศัพท์ไปด้วย ถ้าคุณพ่อคุณแม่คิดว่าหนังสือเหล่านี้จะมีแต่คำศัพท์ที่น่าเบื่อล่ะก็ ผิดถนัดเลยค่ะ เพราะถ้าเป็นเด็กในวัยที่กำลังช่างสังเกตและซักถาม หนังสือเล่มนี้จะเป็นเล่มที่น่าสนใจสำหรับเขาเลยทีเดียว ด้วยความที่มีภาพเล็กๆ มากมาย ทำให้เด็กรู้สึกตื่นตาตื่นใจและสนุกสนานกับการมองดูรายละเอียดต่างๆ เมื่อดึงความสนใจด้วยภาพได้แล้ว เด็กก็จะเริ่มสนใจว่าสิ่งที่เขาเห็นนั้นคืออะไร ทำให้กระตุ้นการอ่าน เริ่มจากภาษาไทยที่อ่านออกก่อน ไปที่การอ่านออกเสียง และจำรูปแบบคำศัพท์ภาษาอังกฤษที่เห็นเอาไว้ […]

ออกเดินทางไปกับหนูน้อยจิ๊ดจิ สู่การสร้างความมั่นใจในตนเองให้เด็กๆ

เมื่อพูดถึงการเดินทาง เชื่อว่าทั้งเด็กหรือผู้ใหญ่ล้วนตื่นเต้นเสมอ ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางใกล้หรือเดินทางไกล เพราะการเดินทางนั้นทั้งน่าสนุกและทำให้ได้เจออะไรใหม่ๆ  อยู่เสมอ  แต่ถ้าต้องเดินทางคนเดียวล่ะ เราจะยังอยากออกเดินทางอยู่ไหม และถ้าหากการเดินทางในครั้งนี้เป็นการเดินทางครั้งแรกที่ต้องไปเพียงคนเดียว เราจะยังตื่นเต้นที่ได้ออกไปเจอโลกกว้าง จะยังมั่นใจในตัวเองมากพอที่จะออกไปเผชิญเรื่องราวต่างๆ หรือจะกลายเป็นความกังวลหวาดกลัวกันแน่นะ เด็กเล็กๆ กับความกลัวเป็นของคู่กัน (ซึ่งจริงๆ แล้วความกลัวเป็นสิ่งที่คนทุกวัยมี) การที่ต้องเปลี่ยนสถานที่หรือต้องออกไปทำอะไรด้วยตัวเองเพียงลำพังและเป็นครั้งแรกนั้น น่ากังวลใจ และทำให้เกิดความไม่มั่นใจในตนเองได้ง่ายๆ แต่ทว่า ทุกอย่างต้องมีครั้งแรกเสมอ หากเราปล่อยให้ความกลัวชนะเราได้ ก็คงยากที่จะเริ่มต้นสิ่งใหม่ๆ ในชีวิต จริงไหมคะ เราหัดเดินครั้งแรก กินข้าวเองครั้งแรก เขียนหนังสือครั้งแรก ปั่นจักรยานครั้งแรก ฯลฯ สิ่งเหล่านี้เราทุกคนล้วนเคยผ่านกันมาแล้ว แล้วทำไมการเดินทางด้วยตัวคนเดียวครั้งแรกจะเป็นเรื่องที่เราทำไม่ได้ จริงไหมล่ะ หนังสือนิทานมีส่วนช่วยให้เด็กๆ มีความมั่นใจในตนเองได้ ถ้าหากเด็กเล็กๆ ที่ยังไม่เคยมีประสบการณ์ทำอะไรด้วยตัวคนเดียว การได้อ่านหนังสือนิทานที่บอกเล่าเกี่ยวกับการเดินทางและทำอะไรด้วยตัวเองเพียงลำพัง จะช่วยให้เด็กๆ เห็นภาพและเข้าใจได้ง่ายขึ้น ส่งเสริมให้เกิดความมั่นใจในตัวเองโดยที่ไม่ต้องบอก นิทานภาพเรื่อง การเดินทางครั้งแรกของหนูน้อยจิ๊ดจิ เป็นหนึ่งในนิทานที่จะช่วยส่งเสริมให้เด็กๆ มั่นใจในตนเองมากขึ้น ผ่านเรื่องราวการเดินทางไปบ้านคุณยายของหนูตัวเล็กชื่อว่า จิ๊ดจิ  จิ๊ดจิเคยไปบ้านคุณยายมาแล้ว แต่การเดินทางครั้งนี้ จิ๊ดจิไม่ได้เดินทางไปบ้านคุณยายไปพร้อมๆ กับคุณพ่อคุณแม่หรอกนะ เพราะจิ๊ดจิออกเดินทางไปคนเดียวยังไงละ 🙂 จิ๊ดจิออกเดินทางด้วยความร่าเริง ถึงแม้ว่าจะไปตัวเดียว แต่ก็ไม่ได้กลัวหรอกนะ […]

keyboard_arrow_up