[Blogger พ่อเอก-50] ปูนปั้น ไปโรงเรียน วันแรก

Alternative Textaccount_circle
event

เคยเขียนไว้ก่อนหน้านี้ไม่นาน เรื่องอย่ากังวลมากเกินไปในการเตรียมตัวให้ลูกไปโรงเรียนเพราะเด็กจะเรียนรู้เอง การไปคาดหวังอะไรมากมายจากเด็ก นอกจากจะไปกดดันลูกเราเอง ยังไปตำหนิและเปรียบเทียบลูกคนอื่นด้วย แต่เมื่อวันที่ต้องส่งเจ้าปูนปั้นไปโรงเรียนวันแรกมาถึงจริงๆ ก็มีเรื่องให้กังวลเพราะปูนปั้นต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมหลายอย่าง เกิดอะไรขึ้นบ้างในวันแรกที่ปูนปั้นต้องไปโรงเรียน ปะป๊าจะเอามาเล่าให้ฟังกันฮะ

ปูนปั้นเป็นเด็กที่อยู่เนอร์สเซอร์รี่ในเมืองอยู่แล้ว เพราะครอบครัวเราอยู่กัน 3 คน พ่อแม่ลูก คงเลี่ยงการฝากเนอร์สเซอร์รี่ไม่ได้ ซึ่งที่เนอร์สเซอร์รี่ ปูนปั้นตื่นนอนจากบ้าน เราก็อุ้มขึ้นรถเลย ไม่ต้องอาบน้ำ ทานข้าว เพราะพี่ๆที่เนอร์สเซอร์รี่ดูแลให้ทั้งหมด

นั่นคือที่มาของเรื่องแรกที่เรากังวลว่า ตื่นนอนไปโรงเรียน ต้องอาบน้ำแต่เช้าที่บ้านเลย ปูนปั้นจะงอแงมั้ย เพราะต้องตื่นตั้งแต่ตี5กว่า ผลปรากฏออกมาว่า ตื่นมาอารมณ์ดีปกติ น่าจะมาจาก 3 องค์ประกอบ

1) ปูนปั้นน่าจะได้นอนหลับเพียงพอ เพราะเราให้ปูนปั้นเข้านอนประมาณ 1 ทุ่มครึ่ง และหลับสนิทที่ไม่เกิน 20.30 น. เป็นประจำ

2) ช่วงเวลาก่อนนอน จะเป็นช่วงเวลาที่เขามีความสุข เราจะมีกิจกรรมทั้งเล่นเกมส์ อ่านหนังสือ และอื่นๆ เขาจะหลับไปพร้อมรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ

3) เราพูดกระตุ้นและย้ำกับปูนปั้นหลายวันก่อนไปโรงเรียนว่า เขาไม่ใช่เบบี๋ตัวน้อยแล้ว ที่เนอร์สเซอร์รี่จะเป็นที่ดูแลเบบี๋ ตอนนี้ปูนปั้นเป็นเดอะบิ๊กบอยต้องไปโรงเรียนแล้ว ซึ่งต้องตื่นมาอาบน้ำก่อนไปโรงเรียน บอกทุกวัน พอถึงวันจริง เขาก็เลยโอเค โดยคืนก่อนวันไปโรงเรียนวันแรก เราสัญญากันก่อนว่าพรุ่งนี้ปูนปั้นจะตื่นมาแบบมีความสุขแล้วอาบน้ำนะ พอเขาตกลงเราก็ตบมือกัน (give me five แต่ที่บ้านจะ give me ten ครับ 555) แล้วก็จับมือตอกย้ำสัญญา เรื่องแรกผลออกมาถือว่า ‘ผ่านฉลุย’

เรื่องกังวลถัดมา คือ มื้อเช้าจะทานลงมั้ย เพราะต้องหม่ำตั้งแต่ หกโมงกว่า โดยมื้อแรกของการไปโรงเรียนหม่าม๊าตุ๋นซี่โครงหมูไว้ตั้งแต่กลางคืน และตื่นมาทอดไข่เพิ่มให้ตอนเช้าตรู่ ผลก็คือ แม้หน้าตาดูจะไม่พร้อมจะทานเท่าไหร่ แต่ก็ทาน หลอกล่อชวนคุยไปเรื่อยๆในที่สุดก็หมด เรื่องนี้ถือว่า ‘ผ่านค่อนข้างสบาย’

คราวนี้มาถึงตอนสำคัญ คือที่โรงเรียน ระหว่างการเดินทางจากบ้านก็ปกติดี พูดจาฉะฉาน พูดไม่หยุดตามปกติ เช่น “ปูนปั้นจะไปโรงเรียนแล้ว” “ปูนปั้นไม่ร้องไห้” และอะไรอีกมากมาย เพราะปูนปั้นจำได้ว่า เราพามาดูโรงเรียนแล้ว และปูนปั้นก็ชอบบรรยากาศที่นี่ พอมาถึงโรงเรียน จอดรถ และอุ้มเดินเข้าโรงเรียน ปูนปั้นก็ยังหน้าตาปกติ เข้าไปเจอสนามเด็กเล่น ก็เข้าไปเล่นสไลเดอร์ โหนบาร์ เป็นที่สนุกสนาน เราก็รู้สึกใจชื้นขึ้นบ้าง แต่พอจะจูงไปที่ห้องเรียนเริ่มไม่ยอมเดินเอง ขอให้ปะป๊าอุ้มท่าเดียวเลย ก็ต้องอุ้ม เมื่อไปถึงหน้าห้องเรียน หน้าตาเริ่มออกอาการเบะ แต่ยังพยายามเก็บอาการที่สุด ให้ถอดรองเท้าเก็บเข้าชั้นก็ยอมทำเอง แต่พอถึงเวลาต้องปล่อยมือให้คุณครูพาเข้าห้องเท่านั้นแหละ ก็ร้องไห้โลกแตกกันเลยทีเดียว ถึงตรงนี้ปะป๊า หม่าม๊า ใจแข็งลูกเดียว ปลอบใจปูนปั้นว่าคุณครูใจดี มีอะไรสนุกๆ มาสอนเยอะเลย โบกมือบ๊ายบาย บอกว่าแล้วจะมารับนะ แล้วก็เดินให้ลับตา ไปแอบลุ้นฟังเสียงร้องไห้อยู่ข้างๆห้อง ประมาณสิบกว่านาทีถึงเงียบลง สรุปเรื่องนี้ก็ยังให้ ‘ผ่าน เพราะไม่เกินที่จะคาดเดาได้’

ถึงตรงนี้ อยากจะแบ่งปันประสบการณ์กับคุณพ่อ คุณแม่ว่า ไม่ต้องกังวลถ้าลูกไปโรงเรียนแล้วร้องไห้ แม้คนอื่นๆจะมาเล่าว่า ‘โห ไปโรงเรียนวันแรกนะ สนุกใหญ่ ไม่สนใจพ่อ แม่เลย’ เราเห็นหลายกรณี บางคนวันแรก สองวันแรก หรือ สัปดาห์แรกฉลุยสนุกสนาน แต่พอสัปดาห์ที่สองเพิ่งรู้ว่า ‘อ้าวไม่ใช่สนามเด็กเล่นหรอ ต้องมาตลอดเลยหรอ’ โลกกลับมาแตกกันสัปดาห์ที่สองก็มี แล้วก็มีที่โลกแตกต่อเนื่องไปเป็นเดือน

หรือแบบที่ไปแล้วร้องวันแรกเลยแบบปูนปั้น (แต่ปูนปั้นก็ไม่ได้ร้องนานอะไร เพราะคุณครูบอกลับตาพ่อแม่สักพักก็เล่นแล้ว ส่วนหนึ่งอาจจะเพราะเป็นเด็กเนอร์สเซอร์รี่มาก่อน) แล้วค่อยๆร้องลดลง เร็วช้าแล้วแต่เด็กแต่ละคน ดังนั้นอย่ากังวลอย่าเอาเรื่องนี้มาเป็นตัววัดว่าลูกใครเก่ง ไปโรงเรียนแล้วไม่ร้องไห้ สำหรับครอบครัวเรา ผมบอกหม่าม๊าเจ้าปูนปั้นไว้ตั้งแต่สมัครเรียนแล้วว่า ‘วันจริงมาโรงเรียนเขาอาจจะร้องไห้นะ อย่าไปเปรียบเทียบลูกคนอื่นหละ ว่าทำไมเขาเก่งไม่ร้องไห้กัน’

เพราะจริงๆตัวปะป๊าเอง ปีแรกที่เข้าอนุบาลร้องไห้โลกแตกไม่ยอมให้อากงกลับบ้านเลย อากงนั่งอยู่เป็นเพื่อนได้สัปดาห์นึงก็ต้องถอดใจพากลับบ้าน เพราะไม่งั้นไม่ได้ทำมาหากินกันพอดี ปะป๊าก็เลยเรียนช้ากว่าที่อากงตั้งใจจะให้เข้าเรียนไปหนึ่งปี แต่มันก็ไม่ได้ส่งผลเสียอะไร เพราะในระยะยาวๆ ปะป๊าถือว่าเป็นเด็กเรียนใช้ได้คนหนึ่งเลยนะเออ

สำหรับวันแรกของปูนปั้น คุณครูให้เรียนแค่ 2 ชั่วโมง เพราะแค่ต้องการให้เด็กมาเรียนรู้ ค่อยๆซึมซับและปรับตัวกับบรรยากาศและบทบาทใหม่ของตัวเอง ตอนที่หม่าม๊ามารับกลับบ้าน ปูนปั้นหันมาเจอปุ๊บ รีบมาเกาะยิ้มแฉ่ง แล้วโม้ว่า “PoonPun don’t cry” หม่าม๊าเลยถามว่า “Who cried this morning?” เจ้าตัวป่วนก็ตอบว่า “ปูนปั้นแหละ” ฮ่าฮ่าฮ่า

สำหรับคืนแรกหลังจากกลับมาบ้าน เราก็ทำการบิวท์อารมณ์โดยการเล่านิทานเกี่ยวกับการไปโรงเรียน ทั้งหมีจอร์จ ทั้งกุ๋งกิ๋ง เพื่อให้ดูว่าใครๆก็ไปโรงเรียนแล้วก็สนุกด้วย ได้ผลออกมาดีทีเดียว ปูนปั้นสัญญาว่า

“Tomorrow PoonPun will go to school and PoonPun will not cry. เยี่ยมเยี่ยม”

ตอนหน้ามาดูผลกันว่า การปรับตัวใน 2 สัปดาห์แรกของการไปโรงเรียนของปูนปั้นเป็นอย่างไรกันครับ

a5 a4 a2 a1

 

ติดตามเรื่องราวความน่ารักของครอบครัวน้องปูนปั้นได้ในคอลัมน์ FAMILY BLOGGER : ได้ทุกสัปดาห์แวะไปดู รอยยิ้มหวานฉ่ำ ที่มีแจกฟรีทุกวันได้ที่

Facebookwww.facebook.com/Poonpun.Poonpoon นะครับ

 บทความโดย: บรรทัดที่สิบเอ็ด (พ่อเอก-จิรัฏฐ์ สิริเฉลิมพงศ์)

เรื่องที่คนอ่านมากสุด

keyboard_arrow_up